การปฎิบัติจิต ตั้งอารมณ์ใจ --เมื่อมีแต่ข่าวภัยพิบัติ--

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 พฤศจิกายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    <EMBED height=480 type=application/x-shockwave-flash width=640 src=http://www.youtube.com/v/dlHyH8GoUxE?version=3&autoplay=1&hl=th_TH&rel=0 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always">

    """"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    <EMBED height=480 type=application/x-shockwave-flash width=640 src=http://www.youtube.com/v/l0w4iXsVwDo?version=3&hl=th_TH&rel=0 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always">

    """"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    ตัวอย่างวิธีการใช้พระผงจักรพรรดิให้เกิดประโยชน์

    พระผงกำลังจักรพรรดิที่หลวงตาม้าท่านสร้างขึ้นมานี้ ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้สารพัด รักษาโรคได้ทุกโรค อีกทั้งยังนำไปกำทำสมาธิได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะท่านปลุกเสกโดยการอัญเชิญบารมีของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด พระผู้ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้ามาไว้ในองค์พระ พระทุกๆองค์จึงมาหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่อยู่ข้างในนั้น ผู้ใดที่มีความศรัทธาเชื่อมั่น นอกจากจะนำมากำทำสมาธิจนเห็นผลได้แล้ว ยังสามารถนำพลังงานบุญที่สถิตย์อยู่ในองค์พระ แผ่ออกไปช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลายทั่วสามโลกธาตุได้อีกด้วย และยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมายซึ่งจะขอกล่าวถึงในภายหลัง

    สิ่งที่ผมกล่าวไปข้างต้นนี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้ ทุกคนสามารถทำได้ด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเรามีความศรัทธาเชื่อมั่นหรือเปล่า ถ้าเชื่อมั่นศรัทธา บวกเข้าด้วยความจริงใจและจริงจังก็จะสามารถนำพลังงานบุญที่อยู่ในองค์พระไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแน่นอน....

    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา
    ปัจเจกานัญ จะยังพลังอะระหันตานัญ จะเตเชนะรักขัง พันทามิ สัพพโส
    (3 หรือ 5จบก็ได้)
    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ

    พระคาถาบทนี้ หลวงตาม้าท่านเรียกสั้นๆว่าเป็น"บทสัพเพฯ"หรือบทอัญเชิญพระเข้าตัว(แล้วแต่จะอธิษฐาน) ซึ่งพระคาถาบทนี้ หลวงตาม้าท่านใช้ในการแผ่บุญ ปรับภพภูมิ แผ่เมตตาให้แก่สรพพสัตว์ทั้งหลายที่มีความทุกข์

    1.วิธีการนำพระผงจักรพรรดิมาใช้ในการแผ่เมตตาหรือแผ่บุญ

    ให้ทำใจสบายๆ...กำพระผงจักรพรรดิเอาไว้ ไม่ต้องเกร็งหรือเพ่งปล่อยตามสบาย จากนั้นนึกถึงหลวงปู่ดู่หรือหลวงปู่ทวดก็ได้ นึกด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น เพราะเรานึกถึงท่านปุ๊ป ท่านก็มาหาเราปั๊ป หลวงตาม้าท่านอธิบายไว้ว่าเรานึกถึงหลวงปู่ดู่ครั้งเดียว ท่านไป-กลับเรา 7-10รอบเลยทีเดียว ท่านไวมาก ดังนั้นเรานึกถึงท่าน ท่านก็มา

    จากนั้นให้นึกอธิษฐานบอกท่านไปในใจ ขอบุญบารมีท่านแผ่ไปให้กับใครก็แล้วแต่จะอธิษฐาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นผม ผมจะบอกว่า "หลวงปู่ช่วยแผ่บุญให้กับวิญญาณเจ้าของเนื้อหมูที่ผมกำลังจะกินอยู่ตอนนี้ด้วยนะครับ" จากนั้นก็ท่องบทสัพเพฯในใจ พร้อมๆกับนึกถึงหลวงปู่และเนื้อหมูรวมถึงวิญญาณเจ้าของเนื้อไปด้วย

    เพียงเท่านี้แหละครับ กำลังบุญบารมีของหลวงปู่ดู่รวมกับกำลังบุญพระรัตนไตรที่สถิตย์ประดิษฐานอยู่ในองค์พระผงจักรพรรดิ ก็จะแผ่ออกไปให้กับวิญญาณหมูตัวนั้นทันที ถ้าหมูตัวนั้นมีบุญอยู่ด้วยแล้ว เขาจะหลุดจากอัตภาพที่เป็นวิญญาณหมู ไปเกิดเป็นเทวดาโดยทันทีทันใดเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าเราส่งวิญญาณหมูให้ไปเกิดเป็นเทวดาได้นะ หลวงปู่ดู่ต่างหากที่ท่านเป็นคนส่งให้ เราเป็นเพียงผู้อธิษฐานเฉยๆ หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าแกแผ่เองไม่ได้(หมายถึงทำเองไม่ได้) นึกถึงข้านี่ ข้าแผ่ให้เอ็งได้!"

    บุญเป็นของดี จะเอาไปให้ใครก็ได้ จะสัพเพไปให้เทวดาเทพพรหมประจำบ้าน ผีสางนางไม้แห่งหนใด หรือบุคคลผู้ใดก็ตาม ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย ล้วนเกิดประโยชน์ทั้งนั้น เพราะบุญเป็นสิ่งที่พึ่งได้จริง ในโลกนี้สิ่งที่บันดาลให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือร้ายตามชะตาชีวิตของแต่ละคน ก็ล้วนเป็นเพราะบุญหรือบาปที่เคยทำเอาไว้ทั้งนั้น อย่าได้ประมาทในผลของกรรมเลย บางทีบุญเขาอาจจะกำลังหมด บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีตกำลังจะตามมาสนอง เราแผ่บุญให้เขาไปย่อมเป็นการเกิดประโยชน์

    ยังมีอีกหลายวิธี เดี๋ยวจะมาเขียนต่อในวันถัดไปนะครับ
    ธรรมรักษา

    เขียนโดย Youngest son ที่ <A class=timestamp-link title="permanent link" onclick="pageTracker._trackPageview ('/outgoing/http_www_luangpudoo_blogspot_com_2009_10_blog_post_21_html');" href="http://www.luangpudoo.blogspot.com/2009/10/blog-post_21.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2009-10-21T10:04:00-07:00>10:04</ABBR> 0 ความคิดเห็น [​IMG]




    วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

    พุทธคุณของพระที่หลวงปู่หลวงตาเป็นผู้อธิษฐานจิต



    [​IMG]


    "พระผงจักรพรรดิ" เป็นชื่อเรียกพระเครื่องที่หลวงตาม้าท่านได้ทำการสร้าง และอธิษฐานจิตตามแนวทางของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ซึ่งท่านได้ใช้"ผงมหาจักรพรรดิ"ของหลวงปู่ดู่เป็นมวลสารในการสร้างพระ และพระที่ท่านสร้างนี้ ท่านได้ทำการแจกฟรีมาตลอด ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์โดยหวังเพียงว่าจะมีผู้นำพระของท่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์

    หากจะบรรยายพุทธคุณของพระผงจักรพรรดิหรือพระที่อธิษฐานจิตโดยหลวงปู่ดู่หรือหลวงตาม้า คงจะไม่สามารถบรรยายได้หมด เหตุก็เพราะว่าพลังงานในพระมีมากมายมหาศาล จนเรียกได้ว่าอธิษฐานขอในสิ่งที่เ็ป็นประโยชน์ได้ตามใจนึก ประดุจแก้วสารพัดนึกเลยทีเดียว ท่านได้ทำการอธิษฐานจิตรวมกำลังพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจก พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ พระธรรมเ้จ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมดทั้งมวลรวมมาไว้ในองค์พระนี้

    ซึ่งไม่แปลกที่ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างเคยมีประสบการณ์ด้านคงกระพัน แคล้วคลาด รอดตายมาแล้วนับไม่ถ้วน หรือจะเป็นลูกศิษย์อีกหลายๆคนที่สามารถหมดปัญหาเรื่องหนี้สินและกลับมาร่ำรวย นี่ก็เป็นเพราะบารมีของหลวงปู่ดู่และพระผงจักรพรรดิ อีกทั้งยังเป็นเมตตา่มหานิยม เป็นที่รักของคนและเทวดา หรือภูติผีปีศาจทั้งหลาย นอกจากนี้ยังป้องกันคุณไสยและของไม่ดีไม่ให้เข้าตัวได้อีกด้วย หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า ให้ใส่พระของท่านเอาไว้ เพราะว่าพระของท่านป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งนิวเคลียร์ รังสีจากนิวเคลียร์ หรือแม้แต่ไข้หวักนก ไข้หวัดหมูที่ระบาดกันอยู่เวลานี้ ท่านก็บอกว่าพระของท่านสามารถป้องกันได้ ให้ใส่ไว้เถอะ ซึ่งกระผมเองเคยพบลูกศิษย์หลวงปู่หลวงตามามาก ก็ยังไม่เห็นผู้ใดที่ห้อยพระเอาไว้แล้วจะเป็นไข้หวัดร้ายแรงเหล่านี้เลย

    แต่จะเป็นประโยชน์กว่านั้น ถ้าหากว่าเราผู้ที่มีพระของหลวงปู่หลวงตา จะนำองค์พระมากำเพื่อทำสมาธิ เพื่อภาวนา เหตุก็เพราะว่าท่านได้ทำการอธิษฐานจิตเอาไว้ด้วยว่า ผู้ใดที่ก็ตามที่ได้พระไป ขอให้มีครบทั้งศีล สมาธิ ปัญญา่ ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่นำพระไปกำภาวนาทำสมาธิ พลังงานจากองค์พระจะเข้าไปที่จิต ช่วยทำให้เราเกิดสมาธิ มีจิตใจที่สงบสบาย ไม่ร้อนรุ่มไปด้วยกิเลสตัณหา ดังที่มนุษย์ยุคปัจจุบันกำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้

    หลวงตาม้าท่านยังสร้างและอธิษฐานจิตพระผงจักรพรรดิจนถึงทุกวันนี้ และท่านแจกฟรีให้กับทุกผู้ทุกคนเสมอ ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นใครหรือดีร้ายประการใดก็ตาม ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า "โจรมันกลับใจได้ ทำไมโจรจะกลับใจไม่ได้ล่ะ" หากท่านต้องการพระผงจักรพรรดิ ขอให้เดินทางไปที่วัดพุทธพรหมปัญโญ(วัดถ้ำเมืองนะ) นอกจากจะได้กราบพระสุปฏิปันโณอันปฏิบัติีดีปฏิบัติชอบเช่นหลวงตาม้าแล้ว ยังจะได้พระดีๆมาคล้องจิตคล้องใจกันถ้วนหน้า สาธุ!!

    ป.ล. หากผู้ใดไม่สะดวกไปวัด ก็สามารถติดต่อขอรับได้กับลูกศิษย์หลวงปู่หลวงตาทุกท่าน พระผงทุกองค์ของหลวงตาม้านั้น ท่านแจกฟรีทั้งหมด ยกเว้นพระบางรุ่นที่ไม่ใช่พระผง เพราะต้องใช้ต้นทุนในการทำ เช่น เหรียญดวงโพธิญาณ เป็นต้น

    เขียนโดย Youngest son ที่ <A class=timestamp-link title="permanent link" onclick="pageTracker._trackPageview ('/outgoing/http_www_luangpudoo_blogspot_com_2009_10_blog_post_6470_html');" href="http://www.luangpudoo.blogspot.com/2009/10/blog-post_6470.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2009-10-20T12:26:00-07:00>12:26</ABBR> 0 ความคิดเห็น [​IMG]






    การปฏิบัติธรรมตามสูตรหลวงปู่ดู่และหลวงตาม้า



    [​IMG]
    หากกายสบาย จิตก็จะสบาย

    การปฏิบัติธรรมตามแบบฉบับของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ไม่มีอะไรยากเพราะทุกคนสามารถทำได้ ขอแค่เพียงสละเวลาวันละ 3-5 นาทีมาปฏิบัติธรรมเป็นประจำทุกวัน ซึ่งจะทำที่ไหนก็ได้ อยู่บ้านก็ทำได้ ขอเพียงมีใจที่เคารพศรัทธาในพระรัตนไตรเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ก่อนจะเริ่มทำก็กราบพระเสียก่อน จะกราบที่หิ้งพระหรือที่หัวเตียงก็ได้ หากหัวเตียงไม่มีพระ ก็ให้นึกถึงพระแล้วกราบลงไป คนเราหากนึกถึงพระอยู่ กราบลงไปเมื่อใดก็ถึงพระท่านเสมอ

    จากนั้นก็นั่งในอริยาบทสบายๆ จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ จะนั่งเหยียดขาก็ได้ แล้วให้นึกท่องในใจว่า

    "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"

    ซึ่งพระคาถาบทนี้เรียกว่าพระไตรสรณคมน์ อันมีความหมายว่า

    "ขอยึดเอาพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง"

    หรือจะใช้บทพระคาุถามหาจักรพรรดิก็ได้ ซึ่งพระคาถานี้มีอยู่ว่า

    "นะโมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสหัสสสุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    ยะธาพุทโมนะ พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อัคคีทานัง วะรังคันธัง สิวลีจะมหาเถรัง
    อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ทาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส
    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ"

    เลือกเอาบทใดบทหนึ่ง ซึ่งระหว่างท่องนั้นให้นึกถึงพระที่เราชอบไปด้วย จะเป็นพระพุทธชินราชก็ได้ พระพุทธโสธรก็ได้ พระพุทธนิมิตก็ได้ พระแก้วมรกตก็ได้ หรือจะเป็นหลวงปู่ดู่ก็ได้ เพราะหลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า
    "แกนึกถึงข้า ข้าก็นึกถึงแก แกไม่นึกถึงข้า ข้าก็ยังนึกถึงแก"

    ให้ท่องในใจไปเรื่อยๆ ท่องจบก็เริ่มใหม่ ท่องจบก็เริ่มใหม่
    อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทำด้วยใจสบาย ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็ง
    อย่างนี้เขาเรียกว่า ภาวนา

    หากจำภาพพระที่เราชอบไม่ได้ ก็ให้หารูปมานั่งดู ดูรูปไปด้วยภาวนาไปด้วย ทำอย่างนี้วันละ 3-5 นาทีทุกๆวัน โดยข้าพเจ้าขอแนะนำให้ทำตอนตื่นนอนหรือไม่ก็ก่อนนอน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ธาตุขันธุ์(ร่างกาย)ได้รับการพักผ่อน จิตจะพลอยสบายไปด้วย นี่แหละคือกรรมฐานสูตรหลวงปู่ดู่


    หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวได้ใจความว่า
    "กรรมฐานสูตรหลวงพ่อ(ดู่)เป็นกรรมฐานผู้ใหญ่
    ครูคือพุทธะ ธัมมะ สังฆะ ครูคือหลวงพ่อ(ดู่)"

    อันที่จริงแล้วหากจะให้ครบเครื่องเรื่องการปฏิบัติตามแนวหลวงปู่ดู่ จะต้องมีพระเครื่องอย่างน้อยหนึ่งองค์เอาไว้กำขณะภาวนา ซึ่งพลังงานพุทธคุณจากพระเครื่องจะช่วยให้จิตเราสงบเป็นสมาธิหรือเบาเย็นสบาย โดยขณะกำและภาวนานั้น ท่านให้นึกถึงองค์พระที่กำเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเป็นพระเครื่องที่สร้างและอธิษฐานจิตด้วยวิชาของหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า จะสามารถดิ้นได้ เดินได้ เมื่อภาวนาไปจนใจสบาย จะพบว่าพระที่กำเอาไว้มีอาการดิ้นอยู่ในมือเลยทีเดียว

    อีกทั้งเมื่อผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไปจนถึงขั้นจิตละเอียดเบาสบาย ก็จะสามารถพูดคุยกับองค์พระที่เรานึกถึงหรือพระที่อยู่ในมือได้ ซึ่งองค์พระท่านสามารถตอบปัญหาในสิ่งที่เราสงสัยคาใจอยู่ได้เช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพระเครื่องที่อธิษฐานจิต ตามแนวทางหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า สามารถพูดได้ทุกองค์ ซึ่งตรงนี้หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า พระที่ท่านสร้างนั้น เราสามารถถามได้ทั้งสามโลกธาตุ เพราะท่านตอบได้ทั้งหมด อยู่ที่ผู้ปฏิบัติจะเข้าถึงหรือไม่ก็เท่านั้นเอง

    เขียนโดย Youngest son ที่ <A class=timestamp-link title="permanent link" onclick="pageTracker._trackPageview ('/outgoing/http_www_luangpudoo_blogspot_com_2009_10_blog_post_3045_html');" href="http://www.luangpudoo.blogspot.com/2009/10/blog-post_3045.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2009-10-20T11:48:00-07:00>11:48</ABBR> 0 ความคิดเห็น [​IMG]






    ประวัติพระอาจารย์วรงคต วิริยธโร(หลวงตาม้า)



    [​IMG]
    [​IMG]





    พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
    วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    หน่อพุทธภูมิ ผู้สืบสานกระแสพลังเหนือพลังแห่งหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ


    โดย : รอบทิศ ไวยสุศรี แฟนพันธุ์แท้พระเกจิคณาจารย์


    “นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
    อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ”


    “พระคาถามหาจักรพรรดิ” เป็นพระคาถาที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก“ชมพูปติสูตร” ในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อกำราบทิฐิพญาชมพูบดีพระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ โดยผู้ที่รจนาพระคาถาบทนี้ขึ้นมาก็คือหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสะแก จ.อยุธยา พระผู้เป็นดั่งร่มโพธิ์แก้วที่แผ่กิ่งก้านใบบุญบารมีมอบความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ลูกศิษย์ทั่วทุกชนชั้นอย่างไม่มีประมาณตามแนวทางแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย์โพธิสัตว์และหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งพระคาถานี้เป็นพระคาถาหลักที่หลวงปู่ดู่ใช้ในการรวมบารมีแผ่เมตตาช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุ และใช้ในการอธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องทุกชนิดของท่าน โดยท่านได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหลายรวมทั้งพระคาถามหาจักรพรรดินี้ไว้ให้แก่ลูกศิษย์ผู้เป็นหน่อโพธิ์แก้วต้นใหม่ที่จะทำหน้าที่สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ลูกศิษย์ในรุ่นหลังต่อไปก็คือ พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร หรือ หลวงตาม้า แห่งวัดถ้ำเมืองนะ นั่นเอง



    พบหลวงปู่ดู่ ศึกษากระแสพลังเหนือพลัง


    ครั้งแรกที่หลวงตาได้พบหลวงปู่ดู่นั้น ท่านทำงานอยู่ที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่(บริเวณซอยอารีย์) และเพื่อนคนหนึ่งได้ไปบวชที่วัดสะแกท่านจึงได้ตามไปงานบวชของเพื่อนและได้พบกับหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณพ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒o โดยหลวงปู่ดู่ได้มอบพระให้ท่าน ๑ องค์ เพื่อนำไปใช้กำไว้ขณะทำสมาธิและสอนให้ภาวนาไตรสรณคมน์ “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ซึ่งในครั้งแรกที่หลวงตานำพระมากำทำสมาธิตามที่หลวงปู่สอนนั้น ท่านก็รู้สึกว่าสามารถทำสมาธิได้นิ่งสงบเบาสบายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน หลวงตาไม่เคยไปศึกษากับครูบาอาจารย์ท่านใดอีกเลย มุ่งศึกษากระแสพลังเหนือพลังจากหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวมาโดยตลอด โดยหลวงตากล่าวว่า “หลวงปู่จะสอนศิษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ท่านจะดูจากจริตนิสัยบุญบารมีของแต่ละคน เวลาหลวงปู่อยู่กับหลวงตาเพียงลำพังก็จะสอนอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนคนอื่น หลวงปู่ท่านมีความรู้มาก มีบุญบารมีเต็มล้นแล้ว หลวงตาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของท่านเท่านั้น”

    หลวงตาได้เล่าให้ฟังเรื่องบุญบารมีอันมากล้นของหลวงปู่ดู่ว่า “ในสมัยนั้น แม้หลวงปู่จะอายุกว่า๗o ปีแล้ว แต่ท่านยังมีผิวสีชมพูสวยมาก ใครไปแตะโดนตัวท่านไม่ได้ ท่านมีบุญบารมีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเรายังมีกิเลสมาก แตะโดนแล้วตัวท่านจะบวมเลย มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์ขอปิดทองบูชาที่ขาท่าน ท่านก็เมตตาให้ปิด แต่พอเช้าวันต่อมาขาท่านบวมทั้งสองข้างเลย ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่อนุญาตให้ใครปิดทองตัวท่านอีกเลย” หลวงตาเล่าพลางหัวเราะเบาๆก่อนทิ้งท้ายว่า “ตอนนั้นหลวงตาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปปิดทองหลวงปู่ด้วย ตอนนั้นเราไม่รู้”


    ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ยังอยู่นั้น หลวงปู่และลูกศิษย์จะช่วยกันสร้างพระทุกวันเพื่อฝึกให้ใจอยู่กับพระเสมอและนำพระไปใช้กำทำสมาธิภาวนา ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องที่คนมักมองว่าเป็นเรื่องงมงายไว้อย่างน่าคิดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” อย่างน้อยดึงให้ใจเขาติดอยู่กับพระเครื่อง ให้เห็นพระทุกวันก็เป็นพุทธานุสติ ใจเขาก็เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้ใจเขาไปติดอยู่กับเหล้ายากิเลสสิ่งไม่ดีอื่นๆ โดยลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาวิธีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ไว้อย่างครบถ้วน และช่วยท่านสร้างพระมาตลอดในสมัยนั้นก็คือ “หลวงตาม้า” นั่นเอง


    บวชจิตให้เป็นพระ


    ในสมัยที่หลวงตาเป็นฆราวาสนั้น ท่านเทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ-อยุธยาเพื่อศึกษาแนวทางการปฏิบัติต่างๆกับหลวงปู่ดู่เป็นเวลากว่า ๑o ปี และมีความรู้สึกอยากบวชมาตลอด ต่อมาเมื่อปรึกษาเรื่องการบวชกับหลวงปู่ท่านได้บอกว่า ผู้ที่จะเป็นพระนั้น ใจต้องเป็นพระ บวชจิตให้เป็นพระ ตัวเราก็เป็นพระ โดยท่านสอนเรื่อง“การบวชจิต”ไว้ว่า ขณะกราบพระ ขณะนั่งสมาธิภาวนาก็ให้นึกว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ” - เรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ “ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ” - เรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ “สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” - เรามีพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็เป็นภิกษุ หญิงก็เป็นภิกษุณี พยายามรักษาใจให้เป็นพระอยู่เสมอ จะมีอานิสงส์สูงเป็นเนกขัมมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ ตื่นมาก็กราบพระ นั่งรถ ทำงาน กินข้าว อาบน้ำ ทำอะไรก็ให้นึกถึงพระ ทำใจให้อยู่ในบุญเสมอ ตามองอะไรก็ให้ได้บุญ มองพระ ดูบทสวดมนต์ หูฟังอะไรก็ให้ได้บุญ ได้ยินใครทำบุญก็อนุโมทนา ไม่ใช่หูผึ่งฟังแต่เรื่องนินทาว่าร้ายกัน ใจอยู่กับบุญไปเรื่อยๆมันจะเบาสบาย อะไรที่ไม่เป็นบุญมันจะไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากกินเหล้าเมายาสร้างบาปกรรมใดๆ พอใจเป็นพระบ่อยๆเข้า กายก็จะค่อยๆเป็นพระไปเอง ต้องเริ่มจากข้างในไม่ใช่ข้างนอก บางคนข้างนอกห่มจีวรเป็นพระแต่ใจเป็นโจร ก็ไม่เรียกว่าเป็นพระ



    ตายแล้วเกิดใหม่ก่อนออกบวช


    แม้หลวงตาจะเป็นฆราวาสแต่ก็บวชใจเป็นพระเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณ ๑ ปีก่อนจะออกบวชจริงๆ ขณะที่ท่านขับมอเตอร์ไซด์อยู่ที่อยุธยา รถของท่านก็โดนรถเฉี่ยวจนตัวท่านลอยสูง แล้วตกลงมาหัวโหม่งกับพื้นถนนอย่างรุนแรงจนสลบไป!! หลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่ากะโหลกของท่านร้าว แต่โชคดีมากที่ไม่มีเลือดคั่งในสมองและไม่มีบาดแผลรุนแรงใดๆเลย เพียง ๓ เดือนกะโหลกก็ประสานกันดีเหมือนเดิม ซึ่งหลวงตาเล่าให้ฟังว่าวันนั้นท่านห้อยเพียงพระและสวมแหวนของหลวงปู่เท่านั้น ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้นท่านจึงไปกราบหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้บอกว่า “ตายแล้วเกิดใหม่ เอ็งมีชีวิตใหม่แล้ว ชีวิตเก่าตายไปแล้ว นี่คือชีวิตใหม่แล้ว!!”


    บวชพร้อมทั้งกายและใจ


    หลังผ่านอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ผ่านการบวชจิต การศึกษาแนวทางปฏิบัติต่างๆจากหลวงปู่ดู่มาอย่างเต็มภูมิแล้ว หลวงตาก็พร้อมจะบวชเป็นพระทั้งกายและใจ แต่เนื่องจากหลวงปู่ดู่ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านได้บอกไว้ว่า “เวลาบวชต้องดูอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์ไม่เป็นพระ เราก็เป็นพระไม่ได้” หลวงตาจึงได้ไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดพุทไธศวรรย์ จ.อยุธยา โดยมีพระพุทไธศวรรย์วรคุณ (หลวงพ่อหวล) เจ้าอาวาสวัดพุทไธศวรรย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑ และได้รับฉายาว่า “พุทธสโร” ต่อมาเมื่อยัติเป็นธรรมยุติจึงได้ฉายาว่า "วิริยะธโร"



    หลังจากบวชแล้ว หลวงตาต้องการจะออกธุดงค์เลย แต่หลวงพ่อหวลได้บอกให้อยู่ให้ครบพรรษาก่อน โดยขณะที่จำพรรษาอยู่วัดพุทไธศวรรย์นั้น หลวงพ่อหวลผู้สืบวิชาสายหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และวิชาเหล็กไหลจากสายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ยังจะถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับหลวงตาด้วย ทั้งที่ปกติท่านไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ใคร แต่หลวงตาก็ขอไม่เรียนเพราะท่านรู้สึกว่าเรื่องของคาถาอาคมมีพิธีกรรมมาก ต้องใช้เวลาเรียนและจดจำมาก และตัวท่านเองก็สนใจแต่การปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ดู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นมาตลอด



    หลังออกพรรษา หลวงตาก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อออกธุดงค์ หลวงปู่จึงมอบเงินให้หลวงตาไว้ ๕oo บาท รวมทั้งของใช้จำเป็นต่างๆ และได้ หันไปหยิบ “รูปหล่อหลวงปู่ดู่เนื้อปูน” มาให้ ๑ องค์ แล้วบอกหลวงตาว่า “เอ็งไปไหน ข้าไปด้วย... หากสงสัยอะไรในการปฏิบัติให้แกถามเอาจากพระองค์นี้!!”



    พระของหลวงปู่วิ่งได้ พูดได้ พระของหลวงตาก็ดิ้นได้เหมือนมีชีวิต


    หลายท่านอาจสงสัยว่า พระที่หลวงปู่ให้มานั้นเป็นพระปูนไม่มีชีวิต จะพูดบอกตอบคำถามของหลวงตาได้อย่างไร แต่ในลูกศิษย์สายหลวงปู่ดู่นั้นทุกคนจะรู้ดีว่า “พระของหลวงปู่มีชีวิต!” ดังที่หลวงตาเคยเล่าว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่นำพระมาใส่ในกะละมัง แล้วให้ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นซึ่งมีหลวงตาอยู่ด้วย ช่วยกันหลับตาอธิษฐานจิตปลุกเสกพระ ทุกคนก็หลับตาแล้วสักพักก็ได้ยินเสียงดัง‘โกรกกรากๆ..’ ทุกคนก็นึกว่าหลวงปู่เอามือลงไปกวนในกะละมังเลยไม่ได้สนใจอะไร ต่อมาลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ในตอนนั้นได้มาเล่าให้ฟังว่า ตอนได้ยินเสียงนั้นเขาแอบลืมตาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ไม่ได้เอามือลงไปกวน ท่านเพียงเอามือจับกะละมัง แต่พระที่อยู่ข้างในกลับวิ่งวนไปมาจนเกิดเสียงดัง!! พอท่านหันมาเห็นว่าเขาแอบดู ท่านเลยทำมือจุ๊ปากห้ามไม่ให้เล่าให้ใครฟังจนท่านมรณภาพไปแล้วจึงได้มาเล่าให้ฟังทีหลัง”


    เมื่อหลวงตาเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ทำให้ผู้เขียนอดนึกถึงเรื่องอัศจรรย์ที่ได้เจอจากพระที่หลวงตาท่านแจกให้ไม่ได้ ตอนได้พระมาใหม่ๆ ด้วยนิสัยไม่เชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นจริง ผู้เขียนจึงเอาพระมาลองกำทำสมาธิดู ก็รู้สึกเหมือนมีกระแสพลังงาน ที่เบาสบายวิ่งผ่านจากพระเข้ามาในตัว ทำให้นั่งภาวนาได้สงบดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่พอจิตนิ่งสงบดีได้สักพักผู้เขียนก็ต้องตกใจ... เพราะพระที่กำไว้ในมือนั้น เกิดอาการดิ้นไปมาได้!! พอลองลืมตาดูก็หยุดไป ในใจก็สงสัยว่าคงคิดไปเอง แต่พอหลับตากำพระทำสมาธิต่อสักพัก พระก็เริ่มดิ้นอีก คราวนี้ดิ้นแรงกว่าเดิมจนได้ยินเสียงดัง‘ แกร๊กๆ..’ ซึ่งเป็นเสียงพระ ๒ องค์ที่กำไว้กระทบกัน!! หลังจากนั้นพระก็ยังดิ้นๆหยุดๆอยู่อีกหลายครั้งจนผู้เขียนมั่นใจว่าไม่ได้ คิดไปเองแน่ๆ และเมื่อนำเรื่องพระดิ้นได้มาเล่าให้ลูกศิษย์หลวงตาฟัง กลับไม่มีใครมีท่าทีตื่นเต้นเลยเพราะทุกคนบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีหลายคนเคยนำพระของท่านไปกำทำสมาธิแล้วพระเกิดดิ้นได้เช่นนี้เหมือนกัน เมื่อรู้เช่นนั้นผู้เขียนจึงลองนำพระของหลวงตาไม่ว่าจะเป็นพระเนื้อผง เหรียญรุ่นต่างๆ หรือแม้แต่ “เหรียญดวงโพธิญาณ กำลังแผ่นดิน” ซึ่งเป็นเหรียญโลหะหล่อที่ข้างใต้อุดผงต่างๆมากมาย มีน้ำหนักพอสมควร มาลองกำทำสมาธิดูก็พบว่าเมื่อใจสงบเบาสบายดีแล้ว พระจะดิ้นไปมาได้ทุกองค์จริงๆ (อย่าเพิ่งเชื่อผู้เขียนจนกว่าจะได้ลองปฏิบัติจนเห็นจริงด้วยตนเอง)


    เมื่อนำเรื่องพระดิ้นได้มาถามหลวงตา ท่านก็ยิ้มและบอกว่า “พระของหลวงปู่หลวงตา ดิ้นได้ พูดได้ทุกองค์!!” เพราะเวลาอธิษฐานจิตปลุกเสกนั้น ท่านจะอาราธนารวมกำลังบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ทั้งปวง เทพพรหมทั่วสามแดนโลกธาตุ บุญบารมีของท่านทั้งหมด ให้มารวมกำลังกันเป็นกระแสพลังเหนือพลัง ผ่านพระคาถามหาจักรพรรดิลงไปสู่พระเครื่องทุกองค์ และยังได้อธิษฐานจิตด้วยวิชา “ภูตพระพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นวิชาพิเศษในสายหลวงปู่ดู่ ที่ทำให้วัตถุมงคลของท่านทุกองค์สามารถดิ้นได้ พูดได้ ราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะกับผู้ที่หมั่นนำไปกำภาวนาจนจิตเกิดความสงบเบาสบาย และสามารถจูนพลังงานจิตของตนให้เข้ากับพลังเหนือพลังที่หลวงปู่หลวงตาได้อธิษฐานไว้ในพระได้แล้ว


    ขณะที่ท่านผู้อ่านกำลังนึกสงสัยอยู่ว่า “พระของหลวงปู่หลวงตามีชีวิต ดิ้นได้ พูดได้ จริงหรือ? หลวงตาตามกระแสหลวงปู่จนไปเจอถ้ำเมืองนะได้อย่างไร? ถ้ำนี้เกี่ยวพันกับหลวงปู่หลวงตาอย่างไร? หลวงตาเริ่มสร้างพระตามแนวทางหลวงปู่ดู่ด้วยเหตุใด?...” อย่านั่งสงสัยอยู่เฉยๆ หากมีโอกาสลองขึ้นไปกราบหลวงตาที่ถ้ำเมืองนะ ขอพระผงจักรพรรดิพร้อมประคำที่ท่านจะแจกให้เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำมาลองกำ ทำสมาธิพิสูจน์ดูด้วยตนเอง หรือหากไม่มีโอกาสไป ก็ร่วมทำบุญบูชา “เหรียญดวงโพธิญาณ กำลังแผ่นดิน” ซึ่งหลวงตาได้อธิษฐานจิตรวมกระแสบุญบารมีพลังเหนือพลังอันไม่มีประมาณของหลวงปู่ไว้อย่างสมบูรณ์พร้อมที่สุด (ดูรายละเอียดได้จากวัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ บารมี หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงตาม้า พระผง บทสวด จักร) โดยปัจจัยทุกบาททุกสตางค์ที่ร่วมทำบุญนี้ เข้าสมทบกองทุนพุทธพรหมปัญโญเพื่อใช้ในงานบุญต่างๆของทางวัด ใช้สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม ให้เป็นทุนการศึกษากับเด็กนักเรียน รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างพระผงจักรพรรดิเพื่อแจกแก่ผู้สนใจนำไปใช้ ฝึกสมาธิภาวนาต่อไป ได้ทั้งพระที่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนมีชีวิตไว้บูชา ได้ทั้งร่วมบุญสร้างพระไว้แจกแก่ผู้ปฏิบัติธรรมและเมื่อนำพระไปกำภาวนา ท่านยังอาจได้พบประสบการณ์อันอัศจรรย์อีกมากมายที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง และอาจได้รู้คำตอบที่สงสัยอยู่ในใจตอนนี้ทั้งหมดโดยไม่ต้องรอคำเฉลยหรือตอนต่อไป เพราะกระแสคำตอบทุกอย่างได้ถูกบรรจุอยู่ในพระทุกองค์ที่ท่านทำบุญบูชาไปแล้ว เหลือเพียงท่านจะลองหมั่นสวดมนต์ภาวนา ทำจิตอยู่กับพระอย่างเบาสบาย จนเปิดล็อคทุกคำตอบที่อยู่ในพระที่หลวงตาท่านตั้งใจอธิษฐานจิตปลุกเสกนี้ได้ เมื่อใดเท่านั้น
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    [​IMG]

    แผ่เมตตา ...อย่าให้ชักช้า



    ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณดา ภรรยาของเฮียอู๋ (โยมอุปัฏฐากคนหนึ่งของหลวงปู่) ก็ได้เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในมุมที่บางคนอาจจะมองข้ามไป จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง

    คุณดาเล่าอานิสงส์ของบทพุทธังอนันตังฯ (บทแผ่เมตตา) ที่หลวงปู่สอน
    (บทเต็มๆคือ "พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโยโหตุ")
    ว่าเธอได้ใช้เป็นประจำ และก็สังเกตว่ามันได้ผลมาก หลายครั้งที่เจอเหตุการณ์ที่สุนัขดุ ๆ จะมากัดเธอ
    เธอก็ตั้งจิตแผ่เมตตาโดยว่าพุทธัง อนันตังฯ สุนัขนั้นก็กลับเป็นมิตร กระดิกหางให้

    เธอยังเล่าว่าหลวงปู่เคยกำชับเธอว่า
    "เวลามีใครมาขอส่วนบุญ จะมามัวว่า อิมินาปุญญกรรมเมนะฯ (บทกรวดน้ำใหญ่) มันจะไม่ทันกิน เพราะบางดวงจิตเขามีเวลาประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น"

    อันนี้ไปสอดคล้องกับคำสอนหลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยาน) ที่ท่านก็พูดสอนไว้ทำนองเดียวกัน
    ท่านสอนให้ตระหนักว่าบางครั้งดวงวิญญาณเขาแอบหนีหรือขออนุญาตนายนิรยบาลมาโมทนาบุญจากญาติ
    หรือคนที่สามารถจะสงเคราะห์เขาได้ เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นมาก ๆ
    หากเรามัวแต่ตั้งท่าไล่บทกรวดน้ำตั้งแต่ให้คุณพ่อ คุณแม่ ครูอาจารย์ เทพที่ดูแลพระอาทิตย์ พระจันทร์ ญาติมิตร ศัตรู ฯลฯ
    ก็พอดีหมดเวลา เขาต้องกลับไปถูกจองจำชนิดกลับไปมือเปล่า น่าสงสาร

    คุณดาจึงบอกว่าบท พุทธังอนันตังนี้ หลวงปู่ตั้งใจให้มันสั้น เพื่อให้มันทันกันกับเหตุการณ์จำเพาะหน้า
    เอาไว้เหตุการณ์ปกติไม่มีอะไร เราก็ค่อยว่าบทกรวดน้ำตามแบบเขา ซึ่งนิยมสวดกันหลังทำวัตรเย็น

    ลูกศิษย์หลวงปู่บางคนเล่าว่า พอได้กลิ่นสาบสาง (ชนิดที่มักได้กลิ่นอยู่คนเดียว คนใกล้เคียงไม่ได้กลิ่นนั้นด้วย) โดยไม่รู้สาเหตุ
    ก็มักตั้งจิตเจตนาไปที่ต้นแหล่งที่มาของกลิ่น แล้วก็แผ่เมตตา คือ พุทธัง อนันตังฯ ในทันที เรียกว่าปลอดภัยไว้ก่อน ไม่เสียหลายอะไร

    นี้แหละ จึงว่าแผ่เมตตาในยามคับขัน ต้องทำให้เร็ว ให้ทันการณ์ ซึ่งนอกจากวิญญาณเขาจะได้รับส่วนบุญโดยตรงและโดยเร็วแล้ว
    ตัวเราเองก็จะคุ้นเคยกับการเจริญสติ ตั้งสติ ระลึกถึงพระได้เร็ว ชนิดอัตโนมัติ จนกลายเป็นนิสัยอีกด้วย

    credit :จากบทความของคุณ พรสิทธิ์
    www.luangpordu.com







    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มีนาคม 2012
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    [​IMG]

    แผ่เมตตา ...อย่าให้ชักช้า



    ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณดา ภรรยาของเฮียอู๋ (โยมอุปัฏฐากคนหนึ่งของหลวงปู่) ก็ได้เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในมุมที่บางคนอาจจะมองข้ามไป จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง

    คุณดาเล่าอานิสงส์ของบทพุทธังอนันตังฯ (บทแผ่เมตตา) ที่หลวงปู่สอน
    (บทเต็มๆคือ "พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโยโหตุ")
    ว่าเธอได้ใช้เป็นประจำ และก็สังเกตว่ามันได้ผลมาก หลายครั้งที่เจอเหตุการณ์ที่สุนัขดุ ๆ จะมากัดเธอ
    เธอก็ตั้งจิตแผ่เมตตาโดยว่าพุทธัง อนันตังฯ สุนัขนั้นก็กลับเป็นมิตร กระดิกหางให้

    เธอยังเล่าว่าหลวงปู่เคยกำชับเธอว่า
    "เวลามีใครมาขอส่วนบุญ จะมามัวว่า อิมินาปุญญกรรมเมนะฯ (บทกรวดน้ำใหญ่) มันจะไม่ทันกิน เพราะบางดวงจิตเขามีเวลาประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น"

    อันนี้ไปสอดคล้องกับคำสอนหลวงพ่อฤาษี (พระราชพรหมยาน) ที่ท่านก็พูดสอนไว้ทำนองเดียวกัน
    ท่านสอนให้ตระหนักว่าบางครั้งดวงวิญญาณเขาแอบหนีหรือขออนุญาตนายนิรยบาลมาโมทนาบุญจากญาติ
    หรือคนที่สามารถจะสงเคราะห์เขาได้ เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นมาก ๆ
    หากเรามัวแต่ตั้งท่าไล่บทกรวดน้ำตั้งแต่ให้คุณพ่อ คุณแม่ ครูอาจารย์ เทพที่ดูแลพระอาทิตย์ พระจันทร์ ญาติมิตร ศัตรู ฯลฯ
    ก็พอดีหมดเวลา เขาต้องกลับไปถูกจองจำชนิดกลับไปมือเปล่า น่าสงสาร

    คุณดาจึงบอกว่าบท พุทธังอนันตังนี้ หลวงปู่ตั้งใจให้มันสั้น เพื่อให้มันทันกันกับเหตุการณ์จำเพาะหน้า
    เอาไว้เหตุการณ์ปกติไม่มีอะไร เราก็ค่อยว่าบทกรวดน้ำตามแบบเขา ซึ่งนิยมสวดกันหลังทำวัตรเย็น

    ลูกศิษย์หลวงปู่บางคนเล่าว่า พอได้กลิ่นสาบสาง (ชนิดที่มักได้กลิ่นอยู่คนเดียว คนใกล้เคียงไม่ได้กลิ่นนั้นด้วย) โดยไม่รู้สาเหตุ
    ก็มักตั้งจิตเจตนาไปที่ต้นแหล่งที่มาของกลิ่น แล้วก็แผ่เมตตา คือ พุทธัง อนันตังฯ ในทันที เรียกว่าปลอดภัยไว้ก่อน ไม่เสียหลายอะไร

    นี้แหละ จึงว่าแผ่เมตตาในยามคับขัน ต้องทำให้เร็ว ให้ทันการณ์ ซึ่งนอกจากวิญญาณเขาจะได้รับส่วนบุญโดยตรงและโดยเร็วแล้ว
    ตัวเราเองก็จะคุ้นเคยกับการเจริญสติ ตั้งสติ ระลึกถึงพระได้เร็ว ชนิดอัตโนมัติ จนกลายเป็นนิสัยอีกด้วย

    credit :จากบทความของคุณ พรสิทธิ์
    www.luangpordu.com








    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    ....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤษภาคม 2012
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->


    1.เจริญพุทธานุสสติ จนชำนาญ เป็นที่ไปของจิต เป็นที่อยู่ของใจ ให้ชำนาญ

    2.เจริญเมตตาพรหมวิหารให้มาก จนชำนาญ เป็นที่ไปของจิต เป็นที่อยู่ของใจ ให้ชำนาญ

    3.เจริญกายคตาสติให้มาก ( อาจสงเคราะรวมไปถึง อสุภะกรรมฐาน ) จนชำนาญ เป็นที่ไปของจิต เป็นที่อยู่ของใจ

    4. เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน จนชำนาญ เป็นที่ไปของจิต เป็นที่อยู่ของใจ




    *****************************

    ฝึกเผชิญความตาย (มรณานุสสติ )
    สอนโดย พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ



    การมีสติรู้เท่าทันความตาย เป็นอุบายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญ ไว้มากยิ่งนัก หากผู้ฝึก ผู้ป่วยได้ฝึกปฏิบัติทดลองตายก่อนตายจริง จะเป็นการช่วยให้ผู้นั้นไม่กลัวตาย กล้าเผชิญหน้ากับความตายที่มาถึงได้อย่างกล้าหาญ


    -------------------------------------------------------------------------------


    อุบายวิธีนี้เป็นการทดลองฝึก “ตาย” ก่อนตายจริง ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เนื่องจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ฝึก คือการตายหลอกที่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับการตายจริง

    ---------------------------------------------------





    ..1 . คลายอารมณ์ปล่อยความรู้สึกนึกและคิดที่เป็นอนาคต อดีต ปัจจุบัน รวมทั้งความดี ความชั่ว ฯลฯ ให้ออกไปพร้อมกับลมหายใจออก จนเป็นความว่าง สักระยะหนึ่ง

    ..2 ลำดับต่อมา นึกมาที่ฐานอารมณ์ในโพรงจมูก จะอยู่ประมาณกึ่งกลางในโพรงจมูก หรืออยู่ระหว่างหรือจุดที่ผู้ฝึกเคยรู้สึกคัดจมูกในเวลาที่เป็นหวัด

    3 . วางหรือจี้ความรู้สึก ลงที่ฐานอารมณ์ซึ่งหาไว้ได้แล้ว กำหนดจี้ลงไปที่ฐานเดียว ไม่เคลื่อนความรู้สึก แส่ส่ายออกไปที่อื่นๆ พร้อมทั้งกำหนดว่า ตาย ตาย ตาย ๆๆๆๆ ฯลฯ




    และสร้างความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่ตาย ไม่เสียหายชีวิตเพราะทุกคนหนี “ความตาย” ไม่พ้น

    4 .หลังจากกำหนด ตาย ตาย ตาย ไปสักระยะหนึ่ง จะรู้สึกว่าลมหายใจเข้า-ออก ได้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนรู้
    สึกอึดอัด หูอื้อ จมูกจะห่อ ตาถูกบีบเหมือนจะถลนออกมา รู้สึกชา และเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ผู้ฝึกจะรู้สึกกลัวตาย ครองสติให้มั่นคง และยอมตาย ลมหายใจจะค่อยๆ อ่อนลงๆ ความดำมืดจะแผ่คลุมไปทั่วไป จนผู้ฝึกหมดความรู้สึกไปในที่สุด เหมือนกับการตายจริง

    5 . บางท่านที่มีความเจ็บปวดมากเพราะโรคร้ายกำลังลุกลาม ให้ผู้ฝึกให้จุดเจ็บปวดเหล่านั้น เป็นฐานกำหนดมรณานุสสติ แทนฐานอารมณ์ โดยการจี้ความรู้สึก ลงไปที่ความเจ็บปวดนั้นๆ และกำหนด ตาย ตาย ตาย ความรู้สึก ตั้งมั่นอยู่ที่ฐานเดียว ไม่หนีไปที่อื่นๆ ความเจ็บปวดทรมานจะเพิ่มมากขึ้นๆ จนรู้สึกหูอื้อ ตาลาย หายใจอึดอัด ฯลฯ ความดำมืดแผ่ซ่านเข้าไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ให้ยอมตาย อย่าแอบสืบลมหายใจเข้า จนกระทั่งความรู้สึกจะดับวูบไป

    6 ผู้ผ่านการดับของเวทนา ซึ่งไม่ใช่การตายที่เกิดเพราะหมดลมหายใจ คือไม่มีก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกายอีกต่อไป และหัวใจหยุดทำงาน การดับในครั้งแรกๆ ผู้ฝึกจะรู้สึกว่าทรมานมากและแต่ละบุคคลให้เวลาของการดับมากน้อยแตกต่างหัน เมื่อผู้ฝึก ผู้ป่วย เริ่มรู้สึกตัว ฟื้นคืนกลับมา จะรู้สึกเย็น โล่ง สบาย แสงสว่างปรากฏอยู่ทั่วร่างกาย และในขณะนั้น ผู้ฝึก ผู้ป่วยจะยังคงไม่มีลมหายใจ เข้า-ออก เช่นเดียวกับก่อนจะเกิดการดับแต่ไม่ตายหลับมีแต่ความสดชื่น ความเจ็บปวดทรมานหมดสิ้นไป


    คุณประโยชน์

    มีโอกาสได้สัมผัส และเห็นขั้นตอนของการดับซึ่งเหมือนกับการตายได้อย่างละเอียดชัดเจน ในชีวิตประจำวันร่างกายของทุกคนจะมีการเกิดและดับอยู่ ทุกๆ ขณะ ที่เกิดขึ้นเร็วมาก จนจิตมนุษย์ทั่วๆ ไปตามไม่ทัน ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วยได้รู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงของร่างกาย ไม่ยึดติดในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป คือร่างกาย, เวทนาคือความรู้สึกทุกข์ สุข เฉย, สัญญาคือความจำได้ และวิญญาณคือ ตัวรู้ สภาพรู้ เกิดการปล่อยวาง ผู้นั้นมีโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมได้

    ผู้ที่มีความเจ็บปวดมาก หรือเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ยาก ถ้าสามารถกำหนด ตาย ตาย ตาย ให้ผ่านจุดดับไปได้ โรคภัยหลายโรคจะหายได้ด้วยเช่นกัน

    ถ้าสามารถผ่านจุดดับไปได้ จะไม่กลัว “ความตาย” เพราะสามารถเอาชนะความตายมาได้

    ด้วยการทดลองตายก่อนตายจริง และเมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัย ผู้นั้นจะสามารถเผชิญกับความตายอย่างกล้าหาญและมีสติ จะไม่มีพญามัจจุราชหรือยมทูตมาปรากฏให้เห็น




    ความเจ็บ ความปวด หรือภาวะที่รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่เข้า เป็นการลวงหลอกของขันธ์ 5 ชักจูง ดึงจิตของผู้ฝึกให้ไขว้เขวไม่ตั้งมั่น เช่น จะถูกดึง ชักนำให้เลิกฝึกบ้าง ให้แอบสืบลมหายใจสักนิดเดียว ผู้ฝึกต้องตั้งสติให้มั่นคง สร้างความรู้สึกที่ถูกต้องก่อนว่า ขณะนี้ตนเองยังมีลมหายใจเข้า-ออกเป็นปกติ ไม่ได้เอามืออุดจมูก บีบจมูก หรือใช้วัสดุใดๆ มาปิดจมูกไม่ให้ก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกาย

    สิ่งที่ผู้ฝึกได้กระทำคือ เพียงแต่จี้ความรู้สึก ลงที่ฐานอารมณ์ ซึ่งเป็นทางผ่านของลมหายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้น เมื่อจิตอยู่ในอารมณ์สมาธิ คือ ตั้งมั่น ตั้งใจทำ จะส่งผลให้ลมหายใจเข้า-ออกตามปกติ ค่อยๆ ช้าๆ ลงจนสัมผัสไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ไม่มีลมหายใจเข้า-ออกอีกเลย สิ่งที่หมดไปหรือหยุดไปหรือดับไป คือความรู้สึก ทุกข์ สุข เฉย ที่อาศัยการเกิดขึ้นหรือปรุงแต่งจากการมีลมหายใจเข้า-ออกต่างหาก


    อุปสรรค

    1. ความกลัวตาย ที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตลอดเวลา

    2. ถ้ากดหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงไปที่ฐานอารมณ์ เป็นจังหวะๆๆ จะเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) เข้าไปชนที่ฐาน ไม่ใช่การจี้หรือการนิ่งที่ฐาน ซึ่งเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) ไปชนที่ฐานเป็นจังหวะๆๆ นั้น จะทำให้เกิดพลังงาน คือแสงสว่างปรากฏขึ้นในโพรงจมูก หรือที่ฐานอารมณ์ หรือกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกทำผิดวิธีนี้ จะไม่เห็นการดับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
    __________________



    มรณานุสสติ... กับ ข่าวภัยพิบัติ

    -------------------------------

    อยากเชิญชวนมิตรธรรมทุกท่าน ลองฝึก หรือ บอกเล่าประสบการณ์ในการฝึก

    "มรณานุสสติ "

    กรรมฐานกองนี้ ให้ผลดีมากๆ

    ไม่ว่าอะไรจะเกิด ช้า หรือ เร็ว หรือ เกิดหลังจากเราตายไปแล้ว


    ในตอนจะทิ้งร่างกายนี้คืนโลก จะมีประโยชน์มาก
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ตุลาคม 2012
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    <EMBED height=360 type=application/x-shockwave-flash width=480 src=http://www.youtube.com/v/0EGr4biS8Ms?version=3&hl=th_TH&rel=0 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always">

    ......................................
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    (หันทะ มะยัง เขมาเขมะสะระณะทีปิกะคาถาโย ภะณามะ เส)


    เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงสรณะอันเกษมและไม่เกษมเถิด





    พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิ จะ,
    อารามะรุกขะเจต๎ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา
    มนุษย์เป็นอันมาก, เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง,
    ป่าไม้บ้าง, อารามและรุกขเจดีย์บ้างเป็นสรณะ
    เนตัง โข สะระณัง เขมัง, เนตัง สะระณะมุตตะมัง,
    เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะ ทุกขา ปะมุจจะติ
    นั่น มิใช่สรณะอันเกษมเลย, นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด,
    เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว, ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
    โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต,
    จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ
    ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว,
    เห็นอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐสี่ด้วยปัญญาอันชอบ
    ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
    อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง
    คือเห็นความทุกข,์ เหตุให้เกิดทุกข์,
    ความก้าวล่วงพ้นทุกข์เสียได้,
    และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐเครื่องถึงความระงับทุกข์
    เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง,
    เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ
    นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม, นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด,
    เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว, ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    .............................................<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 กันยายน 2012
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    [​IMG]
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    ลมหายใจเข้า-ออกนี่แหละ คือชีวิตของแต่ละบุคคล

    [​IMG]





    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    " ลมหายใจเข้า-ออกนี่แหละ คือชีวิตของแต่ละบุคคล
    อายุจริงๆ อยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก
    อายุที่นับกันอยู่ คือ สิ่งที่ล่วงหายไป
    อายุที่แท้เหลืออยู่แค่ลมหายใจ เข้า-ออก
    ถ้าปล่อยออกมาแล้วสูดเข้าไปไม่ได้ ก็ตาย
    สูดเข้าไปแล้วปล่อยออกมาไม่ได้ก็ตาย
    ความตายนั้น แก้ไม่ได้
    ท่านจึงให้แก้ใจตัวเองให้สงบนิ่งอยู่ภายใน
    หายใจเข้ามาชีวิตหมดไปหายใจออกมาชีวิตหมดไป
    เดือน-ปี ไม่ไปไหน วันนี้หมดไป วันใหม่ก็มา
    แต่ว่า ชีวิตของคนเรา หมดไป สิ้นไป
    จงทำความรู้สึกอยู่ ภายในใจว่า "เราต้องตาย" ทุกลมหายใจ"
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    [​IMG]
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,187
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,104
    ค่าพลัง:
    +70,433
    เกิดมาชาตินี้

    ได้อัตภาพเป็นมนุษย์

    สามารถทรงประโยชน์สุงสุดจากอัตภาพนี้คือ การได้ฝึกสติ-สัมปชัญญะ


    ต่างกันที่


    ก่อนตาย ...ใครจะดำรงจิตใจให้อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ ได้อย่างสมบูรณ์
    มากกว่ากัน

    ประโยชน์อย่างอื่น จากผลกรรม การกระทำทั้งหมด จะตามมา

    หลังจาก การดำรงสติ-สัมปชัญญะ ที่มีต่างกัน ก่อนตาย
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...