การถอดจิตมี3วิธี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กระเจียว, 22 กันยายน 2004.

  1. noom_Playmaker

    noom_Playmaker Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +26
    ธาตุไฟเข้าแทรก

    พี่เทวดาดูหนังจีนกำลังภายในมากไปป่ะครับ
     
  2. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...

    สิ่งในโลกล้วนอนิจจัง
    สิ่งที่จิตพบจิตสัมผัสก็อนิจจัง
    ยึดไว้ว่าได้ ว่าเป็นของเรานั้นไม่ใช่อนัตตา
    จิตนั้นย่อมทุกขัง หวั่นไหวไม่สงบนิ่ง
    ................................................


    จิตนั้นเกิดดับ อนิจจัง เกิดเร็วดับเร็ว ดวงแล้ว ดวงเล่า
    ไปโน่นทีนี่ที สู่ภพแล้ว ภพเล่า ไม่ได้ฝึก มันก็ไปเอง
    ด้วยอำนาจแห่งอวิชชา


    อวิชชานี้ มีทุกผู้ทุกคนผู้ยังไม่บรรลุ
    อวิชชานั้นกล้าแกร่ง เหนือ "วิชชา" ทั้งปวง
    พ่ายแพ้เพียงนิพพานเท่านั้น

    อวิชชานั้น พาจิตล่องลอยไปภพสวรรค์ก็ได้
    ไปภพนรกก็ได้ ไปได้รวดเร็ว ด้วยอำนาจ
    ของอวิชชา
    ..............................................

    อวิชชานี้ ไม่ต้องฝึก เพราะอวิชชาเกิดจากจิต
    เองก่อกรรมไว้ จิตนั้น มีกิเลส ปรุงแต่ง และยึดติด
    จิตจึงรับผลกรรมนั้นเอง โดยถูกอวิชชาครอบงำ
    หาได้มีอิสรภาพไม่ ไม่มีใครรับกรรมกับจิตนั้น
    มีจิตนั้นรับกรรมเองคนเดียว เพราะก่อเอง จึงอยาก
    เอง ปรุงเอง ยึดเอง เห็นเอง สุข-ทุกข์ ไปเองคนเดียว
    แสดงออกทางกายมากๆ เข้า กายก็ทำกรรมไปด้วย
    รับกรรมไปด้วย คนอื่นเห็นเข้า ได้ยินเข้า ก็ว่าเรา "บ้า"

    .....................................................

    อวิชชาครอบงำจิตแล้วก็ไปจิตไป
    ทุกผู้ทุกคน ถอดจิตไปได้ ไม่รู้กี่ภพ
    ไม่ต้องร่ำเรียนฝึกฝนก็ทำได้ แถม
    รวดเร็วเหลือคณา ด้วยพลังแห่ง
    "อวิชชา"
    ..........................................




    ถอดจิตแล้ว



    จิตปล่อยวางหรือไม่?
    จิตสงบหรือไม่?
    จิตนิ่งอยู่หรือไม่?
    จิตไม่หวั่นไหวมั้ย?
    จิตเป็นกลางอุเบกขาหรือเปล่า?


    ถ้าไม่... ฝึกถอดจิตไปเพื่ออะไร?
    ................................................
     
  3. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ผมอ่านหนังสือ การถอดจิต ของ คุณแสง อรุณกุศลแล้ว เห็นว่าเนื้อหาดีมากท่านกล่าวได้เป็นกลางๆและมีการอธิบายรายละเอียดข้อควรระวังต่างๆไว้อยู่แล้วล่ะครับ มีครบหมดทั้งสมถะและวิปัสสนา

    ปล.บางทีการปฏิเสธในเรื่องอภิญญาสมาบัติอย่างสุดโต่ง ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการยึดติดในอภิญญาสมาบัติเลยนะครับ เพราะเป็นการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเหมือนกันครับ
     
  4. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">ฝึกถึงขั่น เห็น กายเป็นประกายแก้ว
    ไม่กล้ว ถอด ร่างค่ะ
    </TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ผมจะเล่าเรื่องของผมไห้ฟัง ทั้งที่ขี้เกียจพิมพ์จะแย่- -
    ผมเคยมีประสพการวิญญาณออกจากร่างหลายครั้ง แต่ไม่ไช่ในปัจจุบัน เป็นการออกจากร่างแบบธรรมชาติ คือไม่ได้ตั้งใจไห้ออก ถึงเวลามันออกเอง แต่ มันก็เกี่ยวกับการฝึกสมาธิอย่างแน่นอนครับ เพราะช่วงนั้นผมฝึกนังสมาธิตลอด จนแม่แต่เวลานนอนหลับ แล้วรู้สึกตัวตื่อนขึ้น ผมก็ยังภาวนาพุธ โธ ๆๆ ต่อไปได้เรื่อยๆจนหลับ และวิญญาณ มักจะออกจากร่างในช่วงเวลานี้หละครับ คือเวลาที่ผมทำสมาธิตอนงัวเงียๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่นเนี่ยหละ เพราะผมเชื่อว่า มันเป็นช่วงที่จิตอยู่ในภาวะที่ลึก มากๆ จนเท่ากับการถอดจิตได้เลย
    ทั้งที่ไนเวลานั่งสมาธิปรกติ จิตไม่สามารถรวมสมาธิได้ลึกเท่านั้นเลยครับ
    ส่วนไครที่คิดว่าเป็นความฝัน ผมก็ขอยืนยันว่าไม่ไช่ความฝันแน่นนอนครับ
    แต่ก้ไม่ได้บังคับไห้ไครเชื่อ เพราะทราบดีว่า คนที่ไม่เคยมีประสพการไดๆเลย
    ได้รับได้ศึกษาแต่ข้อมูลจากคนอื่น ไม่มีทางเชื่อเรื่องแบบนี้อยู้แล้วเพราะมันไม่ได้เกิดกับตัวเขาเอง ก็ไม่ได้ว่าท่านที่ไม่เชื่อและยังหาว่าผมโกหกนะครับ เพราะการที่ท่านไม่เชื่อ ก็นับว่าท่านเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองในระดับหนึ่ง
    แต่ อยากขอไห้ท่านลองทำลองดู อย่างเต็มที่นะครับแล้วจะได้เจอถึงจะไม่เหมือนกัน แต่ก็ไกล้เคียงครับ
    เล่าต่อ ตอนนั้นผมอายุแค่18 ผมมีประสพการแบบนั้นมาจนอายุ21ปี และมันก็หายไป ส่วนทีมันหายไปผมเชื่อว่าเป็นเพราะจิตของผมเองขาดการฝึกฝนที่ต่อเนื่อง คือผมหยุดนั่งสมาธิไปหลายปีหนะครับ
    ทุกวันนี้ เวลาผมนอนหลับแล้วรู้สึกตัวตื่น ผมก็ไม่สามารภทำสมาธิต่อได้ไม่เหมือนเมื่อก่อนนี้ครับ แต่ผมเชื่อว่า เมื่อไรก็ตามที่ผมทำสมาธิจนแม้ขนะที่หลับไปแล้วรู้สึกตัวตื่นก็ทำสมาธิต่อได้ ไม่งัวเงียหลับไปแบบคนทั่วไป ผมก็คงถอดวิญญาณได้เหมือนเมื่อก่อนอีกแน่นอนแต่ก็ยังทำไม่ได้ อาจเป็นเพราะเดี๋ยวนี้ผมเป็นผู้ไหญ่แล้ว มีเรื่องมีงานผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย ทำไห้เราต้องคิดสมองไม่ว่าง จิตไม่เหมือนเมื่อครั้งวัยรุ่นครับ
    ส่วนวิธีที่คุณ กระเจียวเอามาลงนั้น มันก็คล้ายกับที่ผมกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน คือรววมสมาธิไว้ที่จุดๆเดียวแต่ไม่เหมือนกันนะครับ ของผมไม่ได้ไช้วิธีนี้เราเพราะรู้จากไหน แต่คิดขึ้นเองครับ คือผมลองเอานิ้วกดที่กลางหน้าผากสักพัก และจำ จำความรู้สึกตรงนั้นไว้แล้วเอานิ้วออก และจำความรู้สึกนั้นไว้ไห้เหมือนตอนที่เอานิ้วไปกด แรกๆ ความรู้สึกมันก็ไม่ชัดหรอกครับ แต่หลายวันเข้า มันก็ชัดมากขึ้น จากเหมือนกลางหน้าผากถูกสำผัสเบาๆ จนกลายเป็นความรู้สึกเหมือนจุสัมผัสนั้นเคลื่อนที่ได้ คือจากกลางหว่างคิ้ว เคลื่อนลงมาที่สันจมูกและเคลื่อนไปเคลื่อนมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งผม สามารถควบคุมมันได้ คือไห้มันเคลื่อนไปในจุดที่เราอยากไห้มันไปได้ครับ คือสันจมูก ปลายจมูกและหน้าผาก
    จนผมเลิกไห้มันเคลื่อนและมาไช้วิธีลองจับแค่จุดเดียวคือกลางหน้าผากความรู้สึกมันก็ชัดขึ้น แรงขึ้น ตรงนี้บางท่านอาจจะว่าผมเกร็ง ขอไห้ท่านลองไปเกร็งตามจุดที่ผมบอกก่อนนะครับ คือเกร็งหว่างคิ้ว เกร็งสันจมูก เกร็งปลายจมูก ท่านจะรู้ว่า จุดทั้งหลายนี้ เกร็ง ไม่ได้ครับ ผมจบแค่นี้ก่อนครับไว้มาต่อ
     
  6. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    ยึดติดนั้นอาจแบ่งเป็นสองแบบก็ได้

    1. ยึดติดข้างนอก คือ กามราคะต้องการสิ่งต่างๆ ฯลฯ
    2. ยึดติดข้างใน คือ ???


    จิตนั้น ปรุงแต่งให้เกิด "ชาติ" "ภพ" ได้ ไปไหนก็ได้ มี "อายตนะ"
    หรือรู้สึกสัมผัสได้ แม้ไม่มีอะไรมาสัมผัส กำหนดจิตให้รู้สึกแบบนั้น
    อย่างนั้น อย่างนี้ได้ โดยจิตจะใช้ "สัญญา" และ "สังขาร" เป็นขันธ์
    เพื่อสร้างสิ่งนั้นๆ เลียนแบบรูปขันธ์ที่ตนต้องการเสพ แล้วเสพมัน
    จึงเกิด เวทนา คือ มี "ทุกข์" มี "สุข" เกิดวัฏฏสงสาร ไม่จบสิ้น


    เอาจิตมานั่งเล่น ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ยาก
    โดยเฉพาะผู้มีสมาธิสูงๆ และเข้าใจองค์ประกอบจิตดี




    แต่ทำไปเพื่ออะไร??
    ..................................................



    สาธุ
     
  7. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +773
    ที่โพสมาอ่านแล้ว งง ๆ นะคะ คุณ พรเทพ
    เหมือนอ่านตำราเล่มหนา ๆ ที่ไหนสักแห่ง
    เอาเป็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน
    อย่าไปยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น
    แม้แต่ตัวเราที่เป็นร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา
    กายทิพย์ก็ไม่ใช่ของเรา
    เราต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน
    ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่ต้องเป็นอะไรทั้งนั้น

    ที่ฝึกถอดกายทิพย์ ก็เพื่อให้เข้าใจ ว่า
    ร่างกายเหม็น ๆที่แท้จริงมันไม่ใช่ของเรา
    สักวันมันต้องตายและเน่า(ถ้าไม่เผา)
    กายทิพย์ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสาร ไม่คงที่
    เดี๋ยวเกิดเป็นโน่น เกิดเป็นนี่
    ไปรับทุกข์ในนรกบ้าง เสวยสุขในสวรรค์บ้าง
    เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง ตามแรงของวิบาก กรรม
    คนที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
    ถ้าอ่านจากตำราก็คงไม่เชื่อ หรือ งง ไปกันใหญ่
    พลอยคิดไปว่าศาสนาพุทธเป็นอะไรที่เข้าใจยาก
    และเกิดมีคำถามในใจว่า
    ที่พระพุทธเจ้าสอนมันจริงหรือ
    จึงเกิดมีวิชามโนมยิทธิ(ฝึกถอดจิต , หรือ กายทิพย์)
    เพื่อพิสูจน์ ให้เห็นจริงด้วยตนเอง
    ว่าที่พระพุทธเจ้าสอนมาทั้งหมด เป็นเรื่องจริง
    โดยที่ไม่ต้องไปพูดพล่ำ่่ทำเพลงอะไรมาก
    ข้าพเจ้าก็เคยสงสัยว่า สวรรค์ ที่สำหรับให้รางวัลคนทำดี
    มีอยู่จริงหรือ จนกระทั่งหายสงสัย เมื่อ
    ได้ไปเห็นมันจริง ๆ นั่นแหละ
    คิดดูถ้าคนทุกคนบนโลก รู้ความจริงเรื่องนี้
    โลกเราคงสงบสุขกว่านี้ ไม่ต้องมารบราฆ่าฟัน หรือเอารัดเอาเปรียบกัน
    ข่าวการปล้น ฆ่า ข่มขืนก็คงจะไม่มี
    แค่นี้ก็เป็นอันเข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องคิดมาก
     
  8. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    เรื่องของทางถูกทางผิด หลง ไม่หลง ไม่เคยผิด หรือจะมีถูก
    ไม่เคยรู้จักล้มแล้วจะรู้จักลุกหรือ
    ไม่เคยรู้จักเดินแล้วจะรู้จักวิ่งได้เลยหรือ
    ไม่รู้จักทุกข์แล้วจะรู้จักหาความสุขหรือ
    ไม่รู้จักกลางวัน แล้วจะรู้จักกลางคืนหรือ
    ไม่รู้จักข้างหน้า แล้วจะรู้จักข้างหลังหรือ
    ไม่รู้จักเริ่มต้นแล้วจะพบจุดจบหรือ
    ไม่เคยเห็นแล้วจะเชื่อเลยหรือ
    ไอ้ที่จะเริ่มต้นจากสิ่งที่คิดว่าถูกเลยตั้งแต่ต้นจนจบหนะคงหายาก
    โดยเฉพาะกับ คน สมัยนี้ กับคน ธรรมดา
     
  9. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    เรียนท่าน kingkaewmath<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_313798", true); </SCRIPT>

    สมองรู้นั้นไม่สำคัญเท่า "มีสติรู้"
    ไอ้ที่เห็นก็ใช่ว่าจะเป็นจริง

    แล้วทำยังไงถึงจะเชื่อ?

    เชื่อเมื่อตั้งสติให้ดี แล้วใช้ปัญญาพิจารณา แล้วค่อยเชื่อ
    เห็นแสงแว่บๆ อ่ะ แปลกใจเพิ่งเคยเห็น เลยเชื่อเขาพูดไปหมดนั้น
    ไม่ใช่หลักความเชื่อตาม "กาลามสูตร" ที่พระพุทธเจ้าแนะ

    มโนมยิทธินั้น เชื่อได้แม้นฝึกแล้วไม่เห็นอะไรเลย ถ้าเป็นการเชื่อที่
    ผ่านสติปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ย่อมเชื่อได้แม้นไม่เห็น


    การพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาหรือเห็นด้วยใจแล้วค่อยเชื่อนั้น เป็นหลัก
    วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่หลัก "กาลามสูตร" ของพระพุทธเจ้า

    อะไรเห็นง่าย คนเชื่อง่ายดาย แต่อาจไม่จริง
    หลักธรรมนั้นเรียบง่าย แต่คนกลับไม่เห็น

    ลองไปดูมายากลก็ได้ ทำให้เราเห็นได้สารพัด แต่ล้วน "ไม่จริง"
    ส่วนสิ่งที่ข้าพเจ้าโพส หาอ่านเพิ่มเติมได้เรื่อง "ปฏิจจสมุทบาท"
    .................................................................................

    เรียนท่าน damrong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_315778", true); </SCRIPT>

    ทุกคนเคยผิดหลายชาติ หลายภพ แต่ผิดซ้ำผิดซาก แล้วยังยอม
    ให้ผิด พระพุทธเจ้าเคยใช้คำว่า "หลง"


    คำว่า "หลง" นั้นชัดเจนโดยแท้ ผู้ที่หลง แม้ขยัน แม้นพากเพียร
    แม้นเร่งรีบประการใด ไม่มีทางออกเลย เหตุเพราะว่ามัน "หลง"


    แม้นเห็นทางสว่าง ทันทีทันใด แทบไม่ต้องก้าวไปหา เพราะเรื่อง
    ที่เราฝึกนี้ มันอยู่ที่ "ใจ" ดังนั้น ใช้ "สติ" ประกอบเสมอ เมื่อเดิน
    แล้วไม่พบทางสว่าง นั่น ไม่ใช่ "มรรค" แน่นอน แต่ถ้าเป็นทางสว่าง
    นั่งนิ่งเฉย ไม่ต้องฝึกฝน ก็ไปถึงได้ทันที เพราะมันอยู่ที่ "ใจ" นี่เอง

    .........................................................................................
    ละอัตตาได้ ละความคลางแคลงใจในธรรมได้ ก็โสดาบันแล้ว
    อัตตานั้นเป็นของหนัก เมื่อวางลงจะรู้สึกเบาทันที ส่วนความ
    คลางแคลงใจนั้นเป็นลมพัดแรง ให้เราหวั่นไหวไม่นิ่งได้เสียที


    ผู้ที่ได้ฟังธรรม แล้วต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตาก่อนจึงเชื่อนั้น
    ยังละความคลางแคลงใจในธรรมไม่ได้ แต่ถ้าใช้สติปัญญา
    พิจารณาย่อมจะเห็นธรรม โดยง่าย


    สาธุ................................................................
     
  10. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    จะเป็นจริงหรือไม่จริงยังไง เราก็ต้องรู้ได้สักวันอยู่แล้ว
    อย่างยกตัวอย่างมายากลไช่ไหมครับ มายากล มันไม่จริงไช่
    แต่ยังไงๆ มายากลมันก็ต้องถูกจับได้สักวันว่ามันไม่จริง
    เช่นกันกับเรื่องอื่น ที่ว่ามันไม่จริง ยังไงๆ จะช้าจะเร็วมันก็ต้องรู้ว่ามันไม่จริง
    แต่อย่างน้อย สิ่งไม่จริงนี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำไห้หลายคนหันมาสนใจและขยายไปสู่เรื่องที่มันเป็นจริงได้ เพราะงั้นไครจะฝึกอะไรยังไงผมว่าเป็นสิ่งดีทั้งนั้นหละ
    ตราบเท่าที่การกระทำนั้นๆ ไม่ได้ทำไห้ผู้หนึ่งผู้ไดเดือดร้อน

    และถึงจะมีไครว่ามาบอกว่าสิ่งที่ฝึกที่ทำนั้น มันไม่จริงนะ แล้วยังไงหละหมายความว่า คนที่อยากฝึกอยากทำนั้น ต้องเชื่อและ ต้องเลิกสนใจการฝึกที่มันไม่จริงงั้นหรือ
    เชื่อว่า ส่วนไหญ่ก้คงรู้กันอยู่แล้วว่าอะไรมันไม่จริง แต่ส่วนมากก็อยากจะลองสิ่งไม่จริงนั้นก่อนทั้งนั้นหละ เชื่อว่าหลังจากที่ได้รู้จักสิ่งไม่จริงแล้วก็คงอยากรู้จักสิ่งที่เป็นจริงเองนั่นหละ

    เหมือนหลายๆท่าน ในอดีต ที่ล้วนแล้วแต่เคยผ่านสิ่งที่มันไม่จริง ทั้งนั้น
    (b-love2u) (b-love2u)
     
  11. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    เราได้รับฟังกามนิตหนุ่มแล้ว ขอจบการเรียนรู้ด้วยการ Discuss ธรรม

    สาธุ....
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    หวัดดีครับคุณกระเจียวไม่เจอนานนะครับ ตอนเดือนธันวาคมปีก่อนที่คุณกระเจียวกลับบ้านผมโทรหาคุณกระเจียวแต่ไม่เคยติดเลยครับ ไม่รู้ว่ากระเจียวเปลี่ยนเบอร์ใหม่ป่าวครับ ผมคนลำปางครับ /แล้วเทวดาจำผมได้ไหมครับ คุณนี่ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยเลยนะเทวดา อย่ารังแกน้องกระเจียวนะเฟ้ย...เขาอุตส่าห์หาข้อมูลมาลงให้ศึกษากัน / กระเจียวยิ้มหน่อยจ้า........ : - )
     
  13. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    อย่ามัวเสียเวลากันเลยครับท่านทั้งหลายที่มีความคิดเห็นกันต่างๆ กันก็เพราะว่าได้รู้...ได้เห็น...ได้ยินเขาพูดกันมาว่าเป็นอย่างนั้น...เป็นอย่างนี้...ทางที่ดีนะครับพิสูจน์ด้วยตัวของทุกท่านเองเลยดีกว่า...เมื่อถึงเวลานั้นทุกท่านอาจจะเข้าใจอะไรดีๆ มากขึ้นก็เป็นได้ครับ...
    จิตนั้นจะถอดได้หรือไม่ได้ก็ลองทดสอบดู...รับรองไม่เสียหายแน่ๆ ครับ...
    แค่ง่ายๆ ...ดูว่า...กายกับจิตแยกกันโดยสิ้นเชิงหรือเปล่า...
    เช่นเวลาเราตายไปแล้วกายอยู่ที่ๆ เราตาย...แล้วจิตของเราไปไหน...
    ทำไมไม่เอากายไปด้วย...ลองคิดดูนะครับ...ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ...
    ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ...สาธุ
     
  14. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    ยุคนี้เป็นยุคพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม ถ้าท่านรักและเคารพในพระพุทธศาสนาจริงท่านอย่าได้อ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์โน้นองค์นี้เพราะท่านกำลังปรามาสพระพุทธเจ้าทั้งอดีตและอนาคตที่กำลังจะตรัสรู้ และเรื่องของการถอดจิตนั้นทุกๆคนสามารถฝึกกันได้ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยะเจ้านั้นก็สามารถฝึกได้ ดูอย่างพระเทวทัตท่านก็ยังไม่ใช่พระอริยะเจ้าท่านได้ฌานโลกีย์ ท่านก็สามารถถอดจิตหรือฝึกอภิญญาได้
     
  15. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +773
    ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งเหตุผล
    พิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์(ทางจิต)
    ถ้าอยากรู้เรื่องถอดจิตว่า เป็นอย่างไร ก็ต้องลองฝึกถอดจิต
    อยากเห็นนรกสวรรค์ ก็ต้องฝึกมโนมยิทธิ
    แต่ก่อนที่จะฝึกได้ มันไม่ใช่ง่าย ๆ
    ถ้าหากจะเชื่อโดยใช้สมองคิด คาดคะเนไตร่ตรองเอา
    ศาสนาพุทธ จะกลายเป็นปรัชญาไปทันที
    ก็ไม่ต่างจาก เพลโต โสเครติส หรือพวกนักปราชญ์อื่น ๆ
    ที่ได้สมญานามว่า armchair philoshophy
    เนื่องจากนั่งคิดเอา ซึ่งก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
    ใช้ Logic (ตรรกศาสตร์)ในการสรุป
    แต่พระพุทธเจ้าของเราไม่ใช่นักปราชญ์แบบนั้น
    ท่านสรุปเพราะท่านเห็นจริง
     
  16. พรเทพ คชมาศ

    พรเทพ คชมาศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,295
    เรียนท่านสาธุชน
    ......................

    ผู้ที่ได้พูดคุยกับกามนิตนั้นไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้า
    ชาวปั้นหม้อในครั้งนั้นก็ได้พูดคุย

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนกับกามนิตนั้น กามนิตยึด
    ติดให้พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสวรรค์ พระองค์ไม่
    สอน เพราะเห็นกามนิตยึด เสมือนสุนัขถูกล่ามโซ่
    ไม่ถอดโซ่ตรวนออกก่อน แม้นดื้อรั้นมากเข้า ก็
    ยิ่งมันพันธนาการ ลองผิดนั้นไม่มีทางออกมาถูก
    ออกมาถูกได้อย่างเดียว คือ เดินทางที่ถูกเท่านั้น



    พระเทวทัตก็ได้อภิญญาของท่านไป
    ท่านอยากเป็นเหมือนพระเทวทัตหรือ?
    หรือว่าท่านอยากเดินทางที่ถูกตามพระพุทธเจ้า?



    พระพุทธเจ้ามีทางถูกให้ลอง กลับไม่ลอง
    ทางที่ไม่ช่วยให้ละ ความอยากเห็น กลับอยากลองไป



    ฝึกเลยทางนี้ ไม่ลองไม่รู้นาท่าน... (แน่จริงลองเด้ โธ่เอ้ย แน่ป่าววะ)

    http://larndham.net/index.php?showtopic=15345&st=9

    ทางนี้ดีแล้ว เชิญเทิดท่านสาธุชน

    ด้วยจิตเมตตาให้สาธุชนหลุดพ้น ความอยาก, การปรุงแต่ง และการยึดติด
    สาธุ....
     
  17. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    ถ้ามีโจร1คน ไม่กลัวบาปกรรม ไม่กลัว ตกนรก ไม่นับถือศาสนา
    มีวิธีไหน ที่จะทำไห้โจรคนนี้ เปลี๊ยนไป๊ เป็น คนดี กลัวบาป กรรม
    กลัวตกนรก ไม่กล้า ทำความเลว
    สอนแบบ ทิด-สะ-ดี หรือ แสดงไห้เห็นแบบะ ปะ-ติ-บัด

    ไม่มีวิธีไหนผิดหรือไม่ถูกหรอก แต่ วิธีแบบไหนเหมาะกับไครตะหาก
    บางคน อาจแค่บอกสอนสั่งก็พอ แต่หลายคนแค่นั้นไม่พอ
    ทุกอย่าง ที่เป็นการเรียนรู้ เราก็ต้องเรียนทั้ง2อย่างทั้งนั้น
    หรือ เมื่อเข้าใจวิธีใดวิธีหนึ่ง ก็จะเข้าใจอีกวิธีแน่นอน
    หรือ ถ้าเข้าใจการปะ-ติ-บัด ก็ศึกษา ทิด-สะ-ดี อีกนิดเดียวก็เข้าใจได้ทั้งหมดแล้ว
    เราฟังเขามาอีกทีนึง มั๊ง(verygood) (b-wow) (b-wow)
     
  18. surad

    surad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +1,287
    รักพ่อ.. อย่าทะเลาะกัน
     
  19. เพชรตาแมว

    เพชรตาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +179
  20. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +773
    การสอนคนให้เขาเข้าใจธรรมมะ นั้นมีหลายวิธี
    แล้วแต่นิสัย ของแต่ละคน
    อย่างกรรมฐานก็มี 40 กอง
    พระอรหันต์ก็มี 3 แบบ
    บัวก็มี 4 เหล่า
    คนโง่ คนฉลาด ปะปนกันไป
    ถ้าท่านชอบแบบนี้
    แล้วคนอื่นอาจชอบอีกแบบก็ได้
    ไม่มีแบบไหนดีที่สุดหรือแย่ที่สุดหรอก
    ปลายทางก็นิพพานเหมือนกัน
    เพียงแค่ให้จิตใจจดจ่อที่พระนิพพานไว้
    ศีล อย่าได้ขาด หมั่นทำจิตใจให้บริสุทธิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...