นั้นคือลักษณะกายเบาจิตเบา เหมาะแก่การพิจารณา ถ้ายกหัวขอธรรมมาพิจารณาจะเข้าใจได้โดยง่าย ทำบ่อยๆ จะได้ปัญญา
ทุกคนที่เกิดมาบนโลก มีบุญและกรรมเป็นของเดิมอยู่แล้ว เพราะว่าแค่เกิดมาก็เป็นกรรมที่เราทำมาในครั้งก่อน แล้วเกิดมาเพื่อชดใช้ในสิ่งที่เราทำไว้...
เราต้องการศึกษา การปฏิบัติอะไร และความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นนี้ เพราะ เราไม่เข้าใจเอง หรือ กิเลสเราไม่อยากให้เข้าใจ
ไม่ว่ายุคใด สมัยใด กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ก็ยังมีอยู่ เป็นอยู่ ไม่ว่าชาติใด ภพใด ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นธรรมดา
สติที่รู้ตัวตลอด มิให้เผลอต้องมีสัมปัชชัญญะประกอบด้วย เพื่อทำให้สติสมบรูณ์
บุคคลใดที่สามารถ ใช้ความพยายาม สู้กับข้าศึกภายใน ให้ราบคราบได้ บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
ทำสมาธิโดยไม่มีสติ ก็ฟุ้งซ่าน ทำสมาธิโดยไม่มี สัมปชัญญะ ก็หลงติด
ถ้าจิตไม่วาง จะว่างเปล่าได้อย่างไร
ตามดูความขุ่น แล้วให้พิจารณา ความขุ่นนี้ เกิดขึ้นมีลักษณะอย่างไร ความขุ่นนี้เมื่อได้ตั้งอยู่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และความขุ่นนี้ดับไปอย่างไร
รูป รส กลิ่น เสียง ที่ได้รู้ ได้ยิน เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความลังเล สงสัยเป็นการปรุงแต่งของจิต ถ้ายังสงสัย ก็จะไม่สามารถให้ใจสงบได้
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอาการของการจิตที่คิดปรุงแต่งให้เราออกจากสมาธิ ถ้าเกิดขึ้นก็ให้ใช้จิตของเราตามความรู้สึกนี้ แล้วดูตามไปจนหายไป...
ถ้าคิดฟุ้งไปทั่วก็ตามดู จิตที่คิดนั้นละแล้วก็ พิจารณาว่า ความคิดที่เกิดขึ้นนี้ มันก็ไม่เที่ยง เพราะเกิดความคิดเรื่องหนึ่งแล้ว...
แล้วตอนนี้จิตเป็นอย่างไรเล่า
นิ่งเห็นจิตดับ ขยับไม่เห็นจิต
ใจยึดติดก็มีเวทนา ถ้าใจไม่ยึดก็ไม่มีเวทนา เวทนาเกิดขึ้นทุกลมหายใจ
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา