ไดโนเสาร์ กับ พระพุทธศาสนา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย YUT_KOP, 29 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    รบกวนผู้ที่รู้และมีข้อมูล ช่วยอธิบายเรื่องไดโนเสาร์ กับ พระพุทธศาสนา ว่า...
    ยุคไดโนเสาร์(หลาย10ล้านปี) ตรงกับ ยุคของ พระพุทธเจ้าองค์ใด หรืออยู่ในยุคว่าง ของพุทธะ แล้วเหตุใดจึงมีแต่สัตว์เดรฉาน
    ปล.คิดว่าหลายท่านก็คงอยากรู้เหมือนผมนะ ช่วยหาข้อมูลให้ทีครับ ขอบคุณ
     
  2. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +1,160
    ผมเป็นผู้ไม่รู้ครับ ได้แต่เดา
    เหตุผลข้อแรก ครับ คำว่า มนุษย์ แปลว่าผู้มีใจสูง
    อย่าได้มีความเข้าใจว่ามนุษย์ ในแต่ละยุคนั้นเหมือนกัน
    ตัวอย่างดูได้จาก รอยพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
    1 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว 12 ศอก
    2 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก
    3 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เป็นรอยที่ 3 ยาว 9 ศอก
    4 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กสุดยาว 4 ศอก
    ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า มนุษยแต่ละยุกขนาดไม่เท่ากัน โดยดูจากรอยเท้า
     
  3. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +1,160
    ต่อมา กล่าวถึงกาลเวลาต่อ
    -มหานรก ๘ ขุม- (เทวทูตสูตร อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย
    ข้อ ๕๒๑ หน้า ๓๔๐ บาลีฉบับสยามรัฐ) กล่าวถึง นรกขุมที่ 1 ว่า

    ๑. สัญชีวมหานรก
    สัญชีวนรก = นรกที่ไม่มีวันตาย คนใจบาปหยาบช้าลามกตายไปตกนรกขุมนี้แล้ว เขาก็จะเป็นคล้ายๆ
    กับว่ามีตัวตนเป็น "กายสิทธิ์" คือไม่มีวันที่จะต้องตายกันเลย แม้ว่าจะได้รับการลงโทษอย่างสาหัสจน
    ทนไม่ไหว ขาดใจตายไปถึงกระนั้น ก็ต้องกลับมีชีวิตชีวากลับเป็นขึ้นมา รับทุกข์โทษต่อไปอีก เป็นๆ
    ตายๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลาก็เกณฑ์
    อายุของสัตว์ในสัญชีวนรกนี้มีประมาณ ๕๐๐ ปีนรก! ซึ่งเทียบกันกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ
    ๙ ล้านปีของมนุษยโลก เท่ากับ วันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

    นรกขุมแรก แค่ เวลา 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2008
  4. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +1,160
    ๒. กาฬสุตตมหานรก
    ์อายุของสัตว์ในกาฬสุตตนรกนี้ ประมาณ ๑๐๐๐ ปี ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ ๓๖ ล้านปี
    จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา
    ๓. สังฆาฏมหานรก
    อายุของสัตว์ในสังฆาฏนรกนี้ มีประมาณ ๒๐๐๐ ปี ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้คือ ๑๔๕ ล้านปี
    จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา
    ๔. โรรุวมหานรก
    อายุของสัตว์ในโรรุวนรกนี้ มีประมาณ ๔๐๐๐ ปีนรก ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ ๒๓๔ ล้านปี
    จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา
    ๕. มหาโรรุวมหานรก
    อายุของสัตว์ในมหาโรรุวนรกนี้ มีประมาณ ๘๐๐๐ ปีนรก ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกดังนี้คือ ๙๒๑๖ ล้านปี
    จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา
    ๖. ตาปนมหานรก
    อายุของสัตว์ในตาปนนรกนี้ มีประมาณ ๑๖๐๐๐ ปีนรก ซึ่งมีการเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ
    ๑๘๔,๒๑๒ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา
    ๗. มหาตาปนมหานรก
    อายุของสัตว์ในมหาตาปนมหานรกนี้ มีประมาณ ครึ่งอันตรกัป ซึ่งนับเป็นเวลาที่นานไม่ใช่น้อยเลย
    ๘. อเวจีมหานรก
    อายุของสัตว์ในอเวจีมหานรกนี้ มีประมาณ ๑ อันตรกัป ซึ่งนับเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
     
  5. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +1,160
    -โลกันตนรก-
    โลกันตนรก นี้ เป็นนรกขุมพิเศษ รับโทษยาวนานกว่าขุมที่ 8 คือ
    อายุของ สัตว์นรกพวกนี้คือ ชั่วพุทธันดรหนึ่ง จึงจะพ้นทุกข์โทษจากโลกันตนรก

    สรุป ครับจากเวลาที่ ได้อธิบายมาแล้ว ก็เพื่ออธิบายให้ทราบว่า
    เวลา 1 พุทธันดร ยาวนานขนาดไหน พระพุทธเจ้า จะเกิดมาแต่ละองค์ นั้น
    ใช้เวลา 1 พุทธันดร และมนุษย์แต่ละยุคที่เกิดในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์
    ก็มีขนาดไม่เท่ากันอายุขัยก็ไม่เท่ากัน มนุษย์บางยุคอายุ 80000 ปี เป็นต้น
    จบครับ
     
  6. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ช่วยกล่าวให้กระจ่างและตรง จุดได้ไหมครับ
    ผมพอทราบเรื่องเวลา ,นรก และ ขนาดพุทธะ แต่ผมยังจับจุดของ ไดโนเสาร์ไม่ได้ ขอบคุณ
     
  7. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    เราก้อยากรู้เหมือนกันเเล้วมันเกิดขึ้นได้ไง
     
  8. santi_st

    santi_st เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +1,160
    อือ ๆ คำตอบของผมไม่ชัดเจนตรงไหน

    จากคำถาม
    1.ยุคไดโนเสาร์(หลาย10ล้านปี) ตรงกับ ยุคของ พระพุทธเจ้าองค์ใด

    ตอบ แค่เวลาในนรกขุมแรก 1 วันยังเท่ากับ เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์แล้ว
    เวลาเปลี่ยนยุกพระศาสนา จะใช้เวลาซักปานใด เวลา แค่ หลาย10ล้านปี
    ที่คุญยากรู้มันเทียบไม่ได้ เลย จากข้อมูลดังกล่าวจึงต้องเดาเอาว่า เป็น
    ช่วงว่างพระศาสนา คือหมดยุกของพระพุทธเจ้ากัสสปะ และอีก กำลัง
    จะเข้ายุก พระพุทธเจ้าโคตะมะ

    2. เหตุใดจึงมีแต่สัตว์เดรฉาน

    ตอบ ตามปกติ โลกธาตุเรานี้ ประกอป ด้วยภพภูมิ มากมายอยู่แล้ว
    เช่น นรก เปรต อสูตรกาย เดรฉาน มนุษย์ เทวดา พรหม และชั้นเหนือพรหม
    ผมไม่เห็นว่ามันจะมีแต่ สัตว์เดรฉาน เลยนิครับ
    แต่ถ้าจะถามว่า ยุกนั้นไม่มีมนุษย์ หรือผมก็ตอบไม่ได้ เพราะคำว่า มนุษย์ คือ
    ผู้มีใจสูง พวกเค้ายุกนั้นจะหน้าตาอย่างไร ก็แล้วแต่ ของให้ชาติก่อน
    มีศีล 5 มีกรรมบท 10 เกิดมาในชาติ ต่อมาก็เรียกว่ามนุษย์ ได้ ครับ
    ข้อนี้ผมยกตัวอย่างรอยเท่าพระพุทธเจ้า ทั้ง 4 พระองค์ รอยพระบาทของท่านมีขนาด
    ต่างกันมาก แสดงว่า ร่างกายของท่านก็ ต่างกันโดยเฉพาะส่วนสุงและน้ำหนัก

    จบครับ
     
  9. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    เรื่องไดโนเสาร์นี้ไม่มีระบุไว้ในพระไตรปิฎกโดยตรงครับ ถ้าอยากทราบเรื่องนี้จริงๆก็คงต้องถามผู้ที่มีตาทิพย์มีญาณหยั่งรู้แล้วล่ะครับ หรือไม่ก็อาจจะหันไปสนใจหลักธรรมที่เป็นใจความสำคัญของพระพุทธเจ้า เช่น อริยสัจ4 , อริยมรรคมีองค์ 8 ,สติปัฏฐาน 4 ,โพชฌงค์ 7,พละ 5,อินทรีย์ 5....ฯลฯ จะดีกว่ามั๊ยครับ (^ ^) เรื่องเหล่านี้รู้แล้วนำมาปฏิบัติได้ เมื่อปฏิบัติแล้วก็เกิดผลดีเป็นความสุขความเจริญแก่ตนเองด้วยนะครับ
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอาอย่างนี้สิ ถ้าภพภูมิมันเกินตาเห็น ก็มองที่ไดโนเสาร์ไปนั้นแหละ

    แต่อย่าไปดูถูกสรรพสัตว์นะ

    พระท่านว่า ถ้าตัวใหญ่กว่านกกระจาบนี้ ก็มีสิทธิสะสมบารมี
     
  11. Broccory

    Broccory สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +22
    เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ
     
  12. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    ผมว่า ยุคไดโนเสาร์ น่าจะเป็นช่วง รอยต่อระหว่างยุคว่างกับ ยุคนี้ เนื่องจาก ช่วงว่างระหว่าง ยุคพระพุทธกัสสปะ กับ ยุคพระพุทธเจ้าของเราห่างกันมาก (ยุคว่างนานมาก) จึงทำให้ คนไม่ทำดี มีแต่บาป คนจึงหมดโลกไปนรกกันหมด มี่แต่สัตว์มาเกิด (ยุคไดโนเสาร์) เมื่อต่อมาใกล้ถึงยุคของพระพุทธเจ้าของเรา จะเสด็จมาตรัสรู้ คนจึงทะยอยกันมาเกิด เพื่อเตรียมรับ พระศาสนา ซึงทั้งหมดนี้เป็นเวลายาวนานมากๆครับ
     
  13. Falcon_Se

    Falcon_Se เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +223
    ผมเดาเอาเล่นๆ ว่าถ้าสังสารวัฏมีเวลายาวนานมากจนกระทั่งหาจุดสิ้นสุดหรือจุดตั้งต้นไม่ได้แล้ว ..ช่วงการเกิดขึ้นของโลกยุคปัจจุบันหรือช่วงระยะเวลานับแต่เกิดเหตุการณ์ตามทฤษฎี Big Bang จะเป็นเวลาที่น้อยนิดมากเมื่อเที่ยบกับเวลาทั้งหมด ..สมมติว่าภัทรกัปป์มีระยะเวลาเท่ากับ 1 ชม. คุณคิดว่าในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันจะกินเวลาเป็นเท่าไรใน 1 ชม.นั้น และยิ่งในช่วงยุคไดโนเสาร์ที่ถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของมนุษย์ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั้น ท่านคิดว่ากินเวลายาวนานเท่าใด ..ผมคิดว่าน้อยมาก เผลอๆ อาจจะกินเวลาแค่ไม่กี่นาทีเลยเสียด้วยซ้ำ และถ้ามองอายุของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันที่มีอายุเพียง 5000 ปี ผมคิดว่าคงกินเวลาน้อยนิดเพียงเศษเสี้ยววินาทีเมื่อเทียบกับเวลาของภทรกัปป์ทั้งหมด เพราะว่าในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ นั้นคนมีอายุยาวนานมาก ..ยิ่งคิดยิ่งงง เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นอจินไตย เผลอๆ เทพบางองค์ก็ยังไม่รู้คำตอบเสียด้วยซ้ำมั้งครับ มีทางเดียวที่จะรู้ถึงกลไกการทำงานของสังสารวัฎได้อย่างถ่องแท้ก็คือการบรรลุเป็นพระอรหันต์ ผมว่าพวกท่านรู้อะไรต่างๆ เยอะมากแต่ไม่สอนพวกเราเพราะมันเกินกว่าความคิดหรือจินตนาการของคนธรรมดาจะหยั่งรู้ได้ ..ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง จำไม่ได้ว่าเล่มไหน มีอ้างอิงพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า โลกนี้สั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ..และในปัจจุบันได้มีคนไปถามพระที่คาดว่าเป็นอรหันต์แล้วว่าอะไรผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน ท่านชี้ไปที่พื้นแล้วบอกกับคนที่ถามว่าเห็นไหมพื้นนี่มันสั่นอยู่ตลอดเวลานะ ..ถ้าจะให้คิดแบบคนปกติคงได้แต่นึกว่ามันเป็นเรื่องของการสั่นสะเทือนหรือเป็นการเคลือนตัวของระดับอะตอมอยู่ตลอด ..อยากให้ลองหาอ่านหนังสือไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น (ไม่แน่ใจในชื่อหนังสือครับ) แล้วอาจจะได้ไอเดียอะไรเพิ่มเติมครับ ผมว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความลับของสังสารวัฏ จริงๆ แล้วคำตอบมันน่าจะอยู่ที่จิตของเรามากกว่าตำราข้างนอก ถ้าฝึกดูจิตจนรู้แจ้งแล้วคงได้คำตอบออกมา .. ยิ่งพิมพ์ผมก็ยิ่งงงเอง ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ
     
  14. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปี(เป็นตัวเลขที่มี ศูนย์ต่อท้าย7ตัว)
    ไดโนเสาร์กำเนิดหลายร้อยล้านปี(เป็นตัวเลขที่มี ศูนย์ต่อท้าย 8 ตัว)
    BIG BANG กำเนิดจักรวาลหลายหมื่น-แสนล้านปี(เป็นตัวเลขที่มี ศูนย์ต่อท้าย10-11ตัว)
    ช่วงพุทธันดร(ช่วงระหว่างพระพุทธเจ้า 2 พระองค์)ไม่แน่นอน
    แต่จะเป็นตัวเลขที่มีศูนย์ต่อท้าย(ประมาณนะครับ)เป็น 100+ ตัว
    (BIG BANG เป็นล้านๆๆๆ...ครั้ง)
    ต้องอ่านพระไตรปิฎกเกี่ยวกันเวลา กัปป์ อสงไขย ฯลฯ ด้วยครับ
     
  15. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ขออภัย
    เมื่อเทียบดูรอยเท้าของคนสมัยก่อนๆ

    ไดโนเสาร์ อาจเป็นแค่สัตว์เลี้ยงเช่น หมาน้อยธรรมดาๆ ก็ได้
    ส่วนคนในสมัยก่อนอาจมีกายละเอียด จนอาจไม่เหลือซากกระดูกก็ได้
    ประมานว่าทานของละเอียด มีกายละเอียดสุขุมาลชาติ เมื่อตายลงก็ย่อยสลายได้ง่าย
     
  16. Falcon_Se

    Falcon_Se เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +223
    นั่นสิครับ ชาติก่อนๆ ผมอาจเลี้ยง T-REX ไว้เป็นหมาเฝ้าบ้านก็ได้ ใครจะรู้ :)
     
  17. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ในยุคไดโนเสาร์นั้น เป็นยุคที่เรียกว่า "พุทธันดร" หรือแปลว่า ยุคที่ว่างจากศาสนาพุทธ
     
  18. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ไม่มีข้อมูลครับ

    เมื่อไม่มีข้อมูลก็ไม่ควรคิดอะไรมากนะ
    และจะตรวจสอบสิ่งที่คิดด้วยอะไร... มันก็ไม่มี
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............จริง จริงคิดแบบ คร่างคร่าวตาม ความคิดของผมนะครับ..ความรู้ใด มันก้เป็น ทิฎฐิ...อย่างเช่น เราไปถามนักฟิสิกส์ เขาก็จะมีทฤษฎีอะรไของเขา ร้อยพันอย่าง....ไปถามชาร์ลดาวิน เขาก็มี ทฤษฎีของเขาอีกเหมือนกัน(ที่ตลกมาก ก็ คือ สมัย ชาร์ลดาวิน..ได้สังเกตุว่า ถั่วงอก มีลักษณะคล้าย เป็ดหรือ หงส์ จึง น่าจะมีความเกี่ยวพันกัน อันนี้ขำกลิ้ง เลย)......หรือไปถาม ชาว ซาไกแท้แท้ดั้งเดิม ว่ารู้จัก ไดโนเสาร์หรือไม่..เขาก็คงมีคำอธิบายอีกแบบ....ส่วนไดโนเสาร์ที่เรานิยามกัน...มันก็มีหลักฐานมาจากการขุดเจอกระดูก เท่านั้น แล้วก็สัณนิษฐานกันไป...แค่ ความรู้ว่า มนุษย์ เกิดมากี่ แสน กี่หมื่นปี ยังสรุปไม่ได้เลย...นั่นเพราะอะไร แท้จริง สิ่งที่พระพุทธศาสนาสอน...คือความจริงแท้แน่นอน ก็เรื่อง ขันธิ์5นี่เอง ที่เราท่าน พิสูจนืได้ในปัจจุบัน ที่นี่ เดี๋ยวนี้...ว่า เรายึดถือและคิดว่ามี..1 รูป 2 เวทนา 3 สัญญา 4สังขาร 5 วิญญาน..อันนี้พิสูจน์ได้เลย และจริงแท้ ทีนี้ ไอ้ ทิฎฐิ ความรู้ความเชื่อ มันเลย อยู่ในส่วนของ สัญญา สังขาร อันมาจาก รูป และวิญญาน..อันนี้จริงแท้ใครเถียงไม่ได้เลย.............ส่วนถ้าจะคิดเล่นเล่นไป ในตำนานก็มี ที่กล่าวถึง การลงมากินง้วนดินของ พรห์ม อันนั้นแหละครับ จนกลาย มาเป็นสัตว์ ที่ติดข้องอยู่ในโลก...แต่อย่างไรก็ตาม มันก็จะกลายมาเป็น ทิฎบิความเชื่ออย่างนึงก็ดี....มันก็เลยมี คำว่า สัมผัปลาป หรือ อจินไตย์...คือสิ่งที่ ไม่ นำออกไปจากสิ่งที่เรียกว่า ทุกข์ได้..และไม่สามารถ เข้าใจ รูป-นาม ขันธิ์5 ตามความเป้นจริงได้...อ่านแล้วงง แต่ผมเชื่อว่าท่านเข้าใจ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2012
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ เรื่องเกี่ยวกับ สัมผัปลาป พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย มีเรื่องในกาลก่อน บุรุษผู้หนึ่ง ตั้งใจว่าจะคิด ซึ่งความคิดเรื่องโลก จึงออกจากราชคฤห์ไปสู่สระบัวชื่อ สุมาคธา แล้วนั่งคิดอยู่ริมฝั่งสระ บุรุษนั้นได้เห็นแล้ว ซึ่งหมู่เสนาประกอบด้วยองค์ สี่(คือ ช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า)ที่ฝั่งสระสุมาคธานั้น เข้าไปอยู่อยู่ สู่เหง้ารากบัว ครั้นเขาเห็นแล้วเกิดความไม่เชื่อ ตัวเองว่า "เรานี้ บ้าแล้ว เรานี้วิกลจริตแล้ว สิ่งใดไม่มีในโลกเราได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว" ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นกลับสู่นครแล้ว ป่าวร้องแก่มหาชนว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นบ้าแล้ว ข้าพเจ้าวิกลจริตแล้ว เพราะว่า สิ่งใดไม่มีอยู่ในโลก ข้าพเจ้าเห็นมาแล้ววึ่งสิ่งนั้น ดังนี้ มีเสียงถามว่า เห็นอะไรมา? เขาบอกตามที่เห็นมาทุกประการ มีเสียงรับรองว่าถูกแล้ว ท่านผุ้เจริญเอ๋ย ท่านเป็นบ้าแล้ว ท่านวิกลจริตแล้ว......................ภิกษุทั้งหลาย แต่ว่าบุรุษนั้น ได้เห็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริงหาใช่สิ่งไม่มีจริง ไม่เป้นจริงไม่ ภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนดึกดำบรรพ์ สงครามระหว่างพวกเทพกับอสูรได้ตั้งประชิดกันแล้ว ในสงครามครั้งนั้น พวกเทพเป็นฝ่ายชนะ อสูรเป้นฝ่ายแพ้ พวกอสูรกลัว แล้วแอบหนีไปสู่ภพ อสูรโดยผ่านทางเหง้ารากบัว หลอกพวกเทพให้หลงค้นอยู่(เรื่องของโลกย่อมพิสดารไม่สิ้นสุดถึงเพียงนี้) ..........ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าคิดเรื่องโลก โดยนัยว่า โลกเที่ยงหรือ โลกไม่เที่ยงหรือ โลกมีที่สุดหรือ โลกไม่มีที่สุดหรือ ชีพก้ดวงนั้น ร่างกายก้ร่างนั้นหรือ ชีพก็ดวงอื่น ร่างกายก็ร่างอื่นหรือ ตถาคตตายไปแล้วย่อมเป็นมาอย่างที่เป็นมานั้นแล้วอีกหรือ ตถาคตตายไปแล้ว ไม่เป้นอย่างที่เป็นมาแล้วอีกหรือ ตถาคตตายไปแล้วเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วอีกก็มีไม่เป็นก็มีหรือ ตถาคตตายไปแล้วเป็นอย่างที่เป็นมาแล้วอีกก็ไม่เชิง ไม่เป็นก้ไม่เชิงหรือ..........เพราะเหตุไรจึงไม่ควรคิดเล่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะความคิดนั้น ไม่ประกอบด้วยแระโยชน์ ไม่เป้นเงื่อนต้นแห่งพรห์มจรรย์ ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพานเลย...........ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเธอจะคิด จงคิดว่า เช่นนี้เช่นนี้เป็นทุกข์ เช่นนี้เช่นนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เช่นนี้เช่นนี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์ และเช่นี้เช่นนี้เป็นทางดับไม่เหลือของทุกข์์ ดังนี้...........เพราะเหตุไรจึงควรคิดเล่า เพราะความคิดนี้ ย่อมประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเงื่อนต้นของพรห์มจรรย์ เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่ายทุกข์ ความคลายกำหนัด ความดับ ความรำงับ ความรู้พร้อม ความรู้ยิ่ง และ นิพพาน..........ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป้นจริงว่า นี้เป้นทุกข์ นี้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์ นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ดังนี้เถิด--------------มหาวาร.สํ.19/558-559/1725-1727.----------------------(อริยสัจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...