ให้ดูที่ " จิต "

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 3 เมษายน 2013.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การปฎิบัติธรรมนั้น ไม่มีสิ่งใดให้เราเห็น
    มีแต่ จิต ของตนเองเท่านั้น ที่จะเห็น
    อย่าได้ลุ่มหลง นึกคิดว่าต้องเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้
    หากเป็น นิมิต นั่นคือ สิ่งที่ตนเองตรึกขึ้นมา
    จิต เป็นผู้สร้างนิมิต ฉนั้น ที่เห็น นิมิต นั้น
    คือ จิต นั่นเอง การรับรู้ และ จดจำ จึงเกิดเป็น นิมิต
    การพ้นทุกข์ก็เฝ้าดู จิต ของตนเองเป็นงานหลัก
    เมื่อ จิต หยุดนิ่งอย่างแท้จริง เมื่อนั้นจะเห็น จะรู้
    ในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ รู้ว่าเหตุใดจึงเกิด
    การหยุดการเกิดนั้น จะเห็นได้ชัดเจน เมื่อ จิต หยุดนิ่ง
    หยุดนิ่งโดยไม่สั่นไหวต่อสิ่งที่เข้ามากระทบ
    ไม่ว่าจะภาวนาว่าอะไร เพ่งกสิณแบบไหน ตรึกนิมิตแบบใด
    สุดท้ายก็มาจบอยู่ที่ จิต เพียงตัวเดียว
    นี่คือ ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ หาใช่กายเนื้อที่ห้อหุ้มอยู่

    สาธุครับ
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ต้องขออภัยที่ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ครับ
    ผมไม่เห็นสิ่งใดที่เกี่ยวกับคำว่า " ภูมิธรรม " เลยครับ
    ผมไม่เห็นระดับขั้นเลยแม้แต่น้อย
    ผมรู้แต่เพียงว่า การดูถูกผู้อื่นนั้น ทำให้จิตใจตกต่ำ
    จนกลายเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัว

    คุณ ฟางว่าน ตั้งใจต่อไปเถอะครับ
    ไม่มีคำว่าถูก-ผิด ไม่ต้องวิตกครับ
    การเฝ้าดู " จิต " เป็นงานหลักครับ

    สาธุครับ
     
  3. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ให้ ดู สติ ดีกว่าไหม ดู จิต คนฝึกใหม่ ไม่ควรดู ควรใช่ สติ ดีกว่า

    สาธุ
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ดูที่จิต จะเห็นตัวตน
    ดูที่พฤติกรรมของจิต จะเห็นการไม่เป็นตัวตน
     
  5. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เรื่องจิต เรื่อง สติ เรื่องการคิด ความนึกคิด อะไรทั้งหลายทั้งปวง จริงๆมันก็อันเดียวกันหมด คือ จิตเป็นผู้สร้าง เถียงกันไปก็เท่านั้น เหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากคำว่า วิมุตติ ที่คุณกล่าว คือ การหลุดพ้น
    ไม่มีคำว่าบุญ หรือ บาป เข้ามาข้องเกี่ยว
    หากแต่ไม่มีการสร้างกรรม โดยเจตนา

    การกระทำทุกชนิดของ " มนุษย์ " ต้องมีการนึกคิด เป็นตัวขับเคลื่อน
    จึงเป็นกรรมโดยเจตนา จึงเป็นที่มาของคำว่า เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
    เพราะการจดจำของ " จิต " ก่อให้เกิดคำว่า " เจ้ากรรมนายเวร "
    ความอาลัยอาวรณ์ที่เกิดขึ้นมานั้นมีผลอย่างรุนแรงในการมาเกิดแต่ละครั้ง

    จิต หยุดนิ่งที่แท้จริง จะเห็นการเวียนว่ายตายเกิด และ วิธีที่ดับการเกิดนั้นๆ

    สาธุครับ
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    จิต มีพลังงานอยู่สองชนิด คือ
    ๑. สติ
    ๒.สัมปะชัญญะ

    ไม่ว่าจะดูที่ สติ หรือ ดูที่ สัมปะชัญญะ ก็คือ การดู จิต

    สาธุครับ
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผิดแล้วครับ หากหาตัวตนที่แท้จริงไม่พบ
    จะเข้าใจได้อย่างไรว่า ไหนคือตัวตน ไหนไม่ใช่ตัวตน
    การปฎิบัติธรรมนั่งกรรมฐาน ก็เพื่อค้นหาจิต
    เมื่อพบจิต ย่อมเห็นพฤติกรรมของจิต
    เหมือนการจับขโมย หากไม่พบตัวตนของขโมย จะจับขโมยได้อย่างไร
    หากไม่พบผู้สร้างบ้าน จะหยุดการสร้างบ้านได้อย่างไร
    หากมองแต่ผลที่เกิดขึ้นแล้ว โดยไม่มองที่เหตุ ย่อมหยุดสิ่งเหล่านั้นไม่ได้

    คำว่าอนัตตา หรือ ไม่มีตัวตน จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อเห็นว่าสิ่งใดที่ตัวตน
    สิ่งนั้นมีเหตุจากอะไร แล้วเข้าไปดับ จึงจะเกิดการไม่มีตัวตน
    หาใช่แค่ " นึกคิด " ว่าไม่มีตัวตน ก็ไม่มี โปรดสังเกตุดูครับ

    ในเว็บแห่งนี้มีคนพูดหนาหูถึงคำว่า " ไม่มีตัวตน " แต่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
    กลับแสดงอาการที่บ่งบอกว่า โกรธ โมโห หรือแม้แต่ การชื่นชอบ ชื่นชม
    ผู้ที่ไม่มีตัวตน ย่อมไม่สามารถรับรู้ในสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะไม่มีความหมายอีกแล้ว
    ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อชาติภพ ไม่มีการกลับมาเกิดอีก จึงไม่จำเป็นต้องสนใจ
    ใครจะด่า จะว่า จะทำอย่างไร ก็ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่ชื่นชมยินดีกับคำชมต่างๆ
    แต่หากยังมีอารมณ์เหล่านี้ ที่โกรธ โมโห ชื่นชอบ ชื่นชม ยินดี ดีใจ เสียใจ
    นี่คือ การหลอกตนเองว่า ไม่มีตัวตน อย่าได้เอาสิ่งที่มีคำสอน สอนไว้ของพระอาจารย์ทั้งหลาย
    มาเปรียบเทียบกับตนเอง เพราะเปรียบดั่งบันไดแล้ว ท่านอาจารย์อยู่ขั้นที่สิบ
    แล้วเราอยู่ขั้นที่หนึ่ง เปรียบเทียบไปก็ไม่เห็นตามนั้น ตามที่พระอาจารย์บอกกล่าว

    สาธุครับ

    สาธุครับ
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ดูมนุษย์ จะเห็นมนุษย์
    ดูสมอง ดูหัวใจ ดู ปอด ดู ตับ ดู กระเพาะ ดู เลือด ดู น้ำเหลือง ดูกระดูก จะไม่เห็นตัวตนของมนุษย์ แต่เห็นเพียงส่วนประกอบที่มารวมกันแล้วอุปาทานเป็นมนุษย์

    ดูจิต จะเห็นตัวตน
    ดูพฤติกรรมของจิต จะเห็นการไม่เป็นตัวตน
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"
    หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา" (น.๔๖๑)



    หวนคิดขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นสามเณร ๒ รูป เสร็จจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หน้ากุฏิ ถกเถียงกันอยู่ถึงคุณแห่งพระอรหันต์ที่ศึกษามาจากห้องเรียน
    สามเณรใหญ่ชี้แจงว่า "พระอรหันต์นั้นละกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น หมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิง"
    สามเณรน้อยเถียงทันที "พระอรหันต์ของหลวงพี่ช่างน่าเวทนานัก เหมือนเสาต้นหนึ่ง ก้อนหินก้อนหนึ่ง จะเกิดน้ำท่วมไฟไหม้ก็ไม่รู้อะไรเลย คงจะต้องตายเสียเปล่า และยังเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง"
    ขณะที่วิวาทะกำลังดำเนินไปอย่างผิดเป้าหมาย ก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นจากในกุฏิ สามเณรทั้ง ๒ จึงสามัคคีกันหลบหนีไป
    ครั้นข้อถกเถียงนี้ล่วงรู้ถึงหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า "แม้จะเป็นการถกเถียงเอาชนะกันแต่ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตที่น่าพินิจพิจารณา"
    แล้วหลวงปู่อธิบายว่า
    "จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ ตราบใดที่มีจิต การรับรู้อารมณ์ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา โดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นบุคคลธรรมดารับรู้อารมณ์อย่างไร พระอรหันต์ก็ย่อมจะต้องรับรู้อารมณ์อย่างนั้น และการรับรู้อารมณ์ของท่านน่าจะเป็นไปด้วยดี ยิ่งเสียกว่าคนธรรมดาสามัญด้วยซ้ำ เพราะจิตของท่านไม่มีเมฆหมอกคือกิเลสปกคลุมอยู่ อันจะทำให้ความสามารถรับรู้อารมณ์ลดลง"
    ดังนี้ การกล่าวหาว่าพระอรหันต์ไม่รับรู้อะไร ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้น จึงไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน
    ส่วนการที่ท่านหมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิงนั้น ย่อมหมายความว่าแม้กระทั่งความไม่ยึดมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน
    กล่าวคือ ท่านหมดทั้งความยึดมั่นถือมั่น และความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทั้งความพอใจในสิ่งใด ทั้งความรังเกียจในสิ่งใด ดังนี้จึงจะเรียกว่า "โดยสิ้นเชิง" ได้
    จิตของท่านจึงลอยเด่นเหนือความดึงดูดและผลักดันต่อสรรพสิ่งเป็นอิสระชั่วนิรันดร
    หลวงปู่ได้ชี้แนวทางพิจารณาว่า
    "อย่าพยายามทึกทักเอาเองตามความรู้สึกของตนว่า พระอริยบุคคลไม่ว่าในลำดับใด เป็นบุคคลที่มีอะไรผิดแปลกไปจากคนธรรมดาสามัญ ท่านก็มีอะไรทุกอย่างเหมือนๆ กับคนธรรมดาสามัญ ทั้งร่างกายและจิตใจ
    หรือถ้าจะว่าให้ถูก ท่านเสียอีกเป็นธรรมดาสามัญ ปุถุชนต่างหากที่มีอะไรผิดธรรมดาวิปริตไปด้วยการปรุงของกิเลสตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
    พระอรหันต์ท่านเป็นปกติธรรมดา พ้นจากการปรุงแต่ง จึงอยู่อย่างไม่มีทุกข์
    พระอริยบุคคลที่รองๆ ลงมา ก็มีการดำรงอยู่อย่างมีทุกข์มากขึ้นตามลำดับ และกำลังดำเนินไปสู่การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์ต่อไป
    ก็แล การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์นี้ ย่อมเป็นยอดปรารถนาของสัตว์โลกทั้งมวล
    สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วิ่งเต้นดิ้นรนอยู่ด้วยประการต่างๆทุกวันเวลานี้ ก็ล้วนแต่เพื่อจุดประสงค์ที่จะระงับดับทุกข์ของตนๆ อย่างเดียวเท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อประการอื่นใดเลยแม้แต่น้อย เมื่อหิวก็เสาะแสวงหาอาหาร เมื่อเกิดโรคภัยก็วิ่งหายารักษาโรค เป็นต้น"

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
     
  11. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกยคตสติ
    ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมไม่บริโภคอมตะ;
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........อธิบายได้ใหมล่ะ ผิดถูก ก็ไม่เป้นไรครับ ปุถุชน กันทั้งนั้น...ทำไมถึงกล่าวว่า บริโภคอมตะ ทั้งทั้งที่ยังไม่ วิมุติ คุณรู้หรือปล่าวล่ะครับ...ลองกล่าวมาดู สิครับ แบบบ้านบ้านก็ได้...:cool:
     
  13. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    พิจารณากาย เห็นเวทนา พิจารณเวทนาเห็นจิต พิจารณาจิตเห็นธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้นย่อมเกิดมาจากการพิจรณากายครับท่าน ถ้าใครกระโดดไปพิจารณาจิตเลยไม่มีทางเข้าถึงธรรมดั่งพระพุทธองค์แสดงไว้ครบ
    อานิสงส์ของการเจริญกายคตสติ
    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกยคตสติ
    ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมไม่บริโภคอมตะ;
    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด บริโภคกยคตสติ
    ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมบริโภคอมตะ;
    ภิกษุทั้งหลาย !
    กายคตสติอันชนเหล่ใดไม่ส้องเสพแล้ว
    อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นไม่ส้องเสพแล้ว;
    ภิกษุทั้งหลาย !
    กายคตสติอันชนเหล่ใดส้องเสพแล้ว
    อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นส้องเสพแล้ว;
    ภิกษุทั้งหลาย !
    กายคตาสติอันชนเหล่ใดเบื่อแล้ว
    อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นเบื่อแล้ว;
    ภิกษุทั้งหลาย !
    กายคตสติอันชนเหล่ใดชอบใจแล้ว
    อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นชอบใจแล้ว.
    เอก. อํ. ๒๐/๕๙/๒๓๕,๒๓๙
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ............ผมอยากให้คุณ อธิบาย ว่าทำไมพระท่านถึงกล่าวว่า บริโภคอมตะธรรม...ไม่ใช่ยกพระวจนะมา.....แล้วถ้าคุณไม่โยนิโสมนสิการ เข้าใจพระสูตรไม่ได้เลยแม้แต่นิด(ถูกผิดไม่ว่า กล้าที่จะเรียนรู้อยู่แล้ว)ลองอธิบายมาดูสิครับ...แล้วจะได้คุยกันต่อว่า ยังไง:cool:
     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ก่อนอื่นกต้องยกพุทธวจนสิครับเป็นหลัก ความคิดคนมันเอียงกันได้ มันเชื่อในสิ่งที่ตนเองเชื่อครับ ถ้าไม่เอาสิ่งที่พระองค์พูดไว้มันก็เถียงกันตายเลยศิครับแลวมันจะหาทางจบได้อย่างไร ท่านบอกว่าอย่างไรก็ต้องดูจิต มันไม่ถูกอย่างที่ท่านเข้าใจเลยครับ จิตจะต้องเข้าไปรู้ธรรมทั้งหลายครับจะดูจิตอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องรูกาย เวทนา จิต ธรรมครับ ท่านจะดูแต่จิตไม่ได้ และจิตดูอะไร ดูกาย ดูกายเกิดดับซึ่งมีหลายระดับ ดูเวทนาเกิดดับเวทนากมีหลายระดับ การดูเวทนานั้นแหละครับคือการดูจิตเพราะเวทนาคือจิตที่เกิดดับ เมื่อจิตเห็นเวทนาเกิดดับจิตที่เห็นการเกิดดับของเวทนานั้นแหล่ะครับ คือการเห็นจิตในจิต
    พิจารณาธรรม ธรรมในธรรมนั้นก็มีหลายระดับครับ การเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเรียกว่าเห็นธรรม การเห็นการเกิดดับของสภาะทั้งหมดทังกายเวทรา จิต นั้นเรียกว่าเห็นธรรมในธรรม ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2013
  16. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    จิตพิจารณาอะไร จิตมีราคะ จิตมีโทษะ จิตมีโมหะ สิ่งเหล่านี้นันเกิดขึ้นมาจากผัสสะที่หน้าพอใจ และไม่น่าพอใจ มีรูปกับนามจึงมีผัสสะ เมื่อมีผัสสะจึงมีเวทนา ทุกอย่างปราศจากกายกับจิตไม่ได้เลย ฉะนั้นการพิจารณาธรรมทั้งหมดจึงต้องมีการพิจารณากาย
     
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คุณจะโยนิโสอะไรเกี่ยวกับการบรรลุธรรมแล้ว มันมีแค่รูปนาม จิตกับกายแยกกันไม่ได้คุณจะเอาจิตไปดูจิตอย่างเดียวไม่ได้ ดั่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวนั้นแหล่ะครับตรงสุด

    ถ้าท่านอยู่ต่อหน้าพระองค์ แล้วบอกท่านว่า ผมพิจารณาจิตอย่างเดียว ท่านก็จะบอกคุณว่า

    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกยคตสติ
    ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมไม่บริโภคอมตะ;

    ภิกษุทั้งหลาย ! ชนเหล่าใด บริโภคกยคตสติ
    ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมบริโภคอมตะ;

    ภิกษุทั้งหลาย !
    กายคตสติอันชนเหล่ใดไม่ส้องเสพแล้ว
    อมตะชื่อว่อันชนเหล่นั้นไม่ส้องเสพแล้ว;
    ชัดเจนครับ

    พิจารณากายไดทังหมดเหมือนการเจริญ อานาปานสตครับ อานาปานก็เป็นกายหนึ่งครับ ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญ
    ทำาให้มากแล้วอยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่ง
    ในบรรดาผล ๒ ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้;
    คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน
    หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อน�ค�มี.
    มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๖-๓๙๗/๑๓๑๑-๑๓๑๓.
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    โง่ หรือ บ้า ฮับ

    ก็เขียนออกมาเองว่า ปราศจากกายกับจิต ไม่ได้

    ดังนั้น จะหยิบจิตมา แล้ว กาย บ้านคุณ มันหายไปเหรอ

    เนี่ยะ เรียนธรรมะ เอาสัญญาเข้าท่วมทับ กล่าวอะไรโง่ๆ ออกมา ยังไม่รู้ตัวเลย
     
  19. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คนที่ดูจิตมักจะดูแต่ความคิด ความคิดนั้นความคิดเป็นนามธรรมเป็นจินตนญาณซึ่งไม่มีพลังอะไรใดๆที่จะตัดความเป็นตัวตนไม่ได้เลย มันจึงเป็นเชาว์ปัญญาเท่านั้น คนที่จะแทงตลอดอริยสัจธรรมนั้นจะตองแทงตลอดบรมสัจจะด้วยกายเท่านั้น ซึ่งในขณะนั้นสติปัฎฐานทั้ง4จะเกิดพ้รอมกันทั้งหมด จนประจักษ์ความจริงที่อยู่เหนือความจริงคืออยู่เหนือรูปนาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2013
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กั๊กๆ

    " ความคิด " มันเป็น คำศัพท์หนึ่งของคำว่า " มโนสัญญาเจตนา "

    การดู " ความคิด " ก็คือ การพิจารณา อาหาร4 ด้วยปัญญาขั้นสูงสุด

    การ รู้ที่รู้ เห็นรู้เป็นกายคตาสติ จัดเป็นการเห็น " วิญญาณาหาร " ภาวนา
    ได้อย่างมาก ก็ " นิพพานพรหม "

    ส่วนการ พิจารณา "ความคิด " อันนี้ มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา
    การพิจารณาทัน มโนสัญญาเจตนาหาร คือ การเห็นแจ้ง " ปฏิสนธิจิต "

    การเห็นแจ้ง " คติ " แทงตลอดว่า ไม่มี " คติ " ใด จิตยังหิวอีก
    ตรงนี้คือ การพยากรณ์การบรรลุขั้นสูง

    เนี่ยะ สังเกตเลยนะ เรียนธรรมะแบบเดียรถีย์ ธรรมะ เขาจะปิด จะฟัง
    ธรรมไม่ได้อีก แถม จิตยังถูกชักนำให้กล่าวสิ่งที่ สวนกับ สัมมาทิฏฐิ

    เขาเรียกว่า " ปิดนิพพาน "

    แล้วไม่ใช่ แค่นี้นะ ยิ่งพูดเท่าไหร่ ก็จะยิ่ง จาบจ้วง สัทธรรม มากขึ้นเท่านั้น

    ดังนั้น เวลา ปิดนิพพาน เนี่ยะ มารเขาจะหลอกให้ พูดมากๆ

    ปิดนิพพาน อนันตกาล นั่นเอง

    *****************

    ปล. การรู้ทันความคิด การรู้อาหาร4 ถึงแม้จะปรารภว่า เห็น หรือ รู้ ก็จะ
    ยังไม่จัดว่า รู้แจ้ง แทงตลอด หากยังไม่รู้ คุณ และ โทษ พร้อมด้วย " การ
    รู้อุบายนำออก "

    หากยังกล่าว อุบายนำออก ไม่ได้ แต่ เขย่งไปโน้น นิ่งตัดรู้ ( ก็จะผลิก
    กลับ กำเริบกลับไปเห็น วิญญาณาหาร ได้เท่านั้น ได้แค่ นิพพานพรหม )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...