เห็นจิต เกิด-ดับ ท่านเข้าใจว่าอย่างไรกันครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somchai_eee, 24 เมษายน 2013.

  1. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    -- กระผมอ่านความเห็นหลายท่าน เข้าใจว่าบางท่านคิดว่า จิตเกิด-ดับ มีสภาวะเหมือนกับ เห็นกับตา เช่นเดี่ยวกับเห็น ไฟที่ กระพริบ เช่นนั้นหรือ..ครับ

    หรือมีความเห็นกันเช่นไรครับ
     
  2. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    สาเหตุ อ่านกันไม่ครบ พออธิบายก็ไปก็ไม่เข้าใจ
    เเต่ถ้าเป็นเรื่องพลังภายใน เเบบเรื่องจิตจะสอาด สว่าง เป็นทอดๆ จะเริ่มตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึงทันที เพราะฟังง่าย สบายๆ เเต่หาเเก่นไม่ได้เลย

    อย่างสูตรนี้ ส่วนมากคนก็จะอ่านกันไม่ครบ


    เอาจิต โดยความเป็นตัวตนไม่ดีเลย. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    ข้อนั้นเพราะเหตุว่า กายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปี
    บ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง
    ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง เกินกว่าร้อยปีบ้าง ปรากฏอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ส่วน
    สิ่งทีเรียกกันว่า "จิต" บ้าง ว่า "มโน" บ้าง ว่า "วิญญาณ" บ้างนั้น ดวงอื่นเกิดขึ้น
    ดวงอื่นดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในเรื่องนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมกระทำไว้
    ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว
    ดังนี้ว่า ด้วยอาการ
    อย่างนี้: เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;
    เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี, เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป.



    มันเห็นๆอยู่เเล้ว ถ้ายังไม่กระทำในใจเป็นอย่างดีโดยเเยบคาย ก็ไม่สามารถอธิบายได้ถูกต้อง
    เเต่นี้เล่นไม่สนใจเเต่ดันมาอธิบาย การเกิดดับของจืต มันจะกลายเป็นเรื่องไปหยุดจิต หล่ะสิ
     
  3. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ท่านช่วยอธิบายการเกิดดับของจิต ให้ฟังหน่อยนะครับ เอามาแชร์กัน... ว่ามันเป็นเช่นไร

    ขอบคุณครับ
     
  4. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    เพียงให้มารู้ปฏิจสมุปบาทพื้นๆเบื้องต้นก็ยากเเล้วคุณ ถ้าให้อธิบายเป็นการเกิด-ดับของ จิตมโนวิญญาน. ยากยิ่งกว่านะ เพราะ ต้องอธิบายให้อยู่ในกรอบปฏิจสมุปบาท

    คุณลองมาดู3พระสูตรนี่ก่อน จะเป็นเรื่องต่อๆกัน
    ถ้าไม่รู้เบื้องต้นเลย อธิบายการเกิดดับไปก็เท่านั่น
    เหมือนพูดหลักคณิตศาสตร์. คนไม่ได้เรียนด้วยก็จะไม่รู้



    ราชกุมาร ! ความคิดข้อนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้
    เป็นธรรมอันลึก สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม, เป็นธรรมระงับ
    และประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่าย ๆ แห่งความตรึก เป็นของละเอียด
    เป็นวิสัยรู้ได้เฉพาะบัณฑิต, ก็สัตว์เหล่านี้ มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย
    เพลิดเพลินแล้วในอาลัย, สำหรับสัตว์ผู้มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีเพลิดเพลิน
    ในอาลัยนั้น, ยากนักที่จะเป็นปฏิจจสมุปบาทอันมีสิ่งนี้ (คือมีอาลัย) เป็นปัจจัย,
    ยากนักที่จะเห็นธรรมเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง,คือ ธรรมอันถอนอุปธิ
    ทั้งสิ้น ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับโดยไม่เหลือ และนิพพาน.
    หากเราพึงแสดงธรรมแล้วสัตว์อื่นไม่พึงรู้ทั่วถึง ข้อนั้นจักเป็นความเหนื่อยเปล่า
    แก่เรา, เป็นความลำบาก แก่เรา.” โอ, ราชกุมาร ! คาถาอันอัศจรรย์เหล่านี้
    ที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้ปรากฏแจ่มแจ้งแก่เราว่า :-

    “กาลนี้ ไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุได้แล้วโดยยาก. ธรรมนี้,
    สัตว์ที่ถูกราคะโทสะรวบรัดแล้ว ไม่รู้ได้โดยง่ายเลย. สัตว์ที่กำหนัด
    ด้วยราคะ ถูกกลุ่มมืดห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันให้ถึงที่ทวน
    กระแส, อันเป็นธรรมละเอียดลึกซึ่ง เห็นได้ยากเป็นอณู”. ดังนี้.

    ราชกุมาร ! เมื่อเราพิจารณาเห็นดังนี้, จิตก็น้อมไปเพื่อความ
    ขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการแสดงธรรม.



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
    บาลี ม.ม. ๑๓/๔๖๑/๕๐๙. ตรัสแก่โพธิราชกุมานาน
     
  5. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ราชกุมาร ! ครั้งนั้น ความรู้สึกข้อนี้ ได้บังเกิดขึ้นแก่สหัมบดีพรหม
    เพราะเธอรู้ความปริวิตกในใจของเราด้วยใจ. ความรู้สึกนั้นว่า “ผู้เจริญ !
    โลกจักฉิบหายเสียแล้วหนอ ผู้เจริญ ! โลกจักพินาศเสียแล้วหนอ, เพราะเหตุ
    ที่จิตแห่งพระตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย,
    ไม่น้อมไปเพื่อแสดงธรรม” ดังนี้. ลำดับนั้น สหัมบดีพรหมได้อันตรธานจาก
    พรหมโลก มาปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเรา รวดเร็วเท่าเวลาที่บุรุษแข็งแรง
    เหยียดแขนออกแล้วงอเข้าเท่านั้น.

    ราชกุมาร ! ครั้งนั้น สหัมบดีพรหม ห่มผ้าเฉวียงบ่า ประคองอัญชลี
    เข้ามาหาเราถึงที่อยู่แล้วกล่าวคำนี้กะเราว่า “พระองค์ผู้เจริญ ! ขอพระผู้มีพระภาค
    จงแสดงธรรมเพื่อเห็นแก่ข้าพระองค์เถิด,ขอพระสุคตจงแสดงธรรมเถิด, สัตว์ที่มี
    ธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย ก็มีอยู่, เขาจักเสื่อมเสียเพราะไม่ได้ฟังธรรม. สัตว์
    ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมีโดยแท้” ดังนี้. ราชกุมาร ! สหัมบดีพรหมได้กล่าว
    คำนี้แล้ว ยังได้กล่าวคำอื่นสืบไปอีก (เป็นคาถา) ว่า:-

    “ธรรมไม่บริสุทธิ์ ที่คนมีมลทิน ได้คิดขึ้น, ได้มีปรากฏอยู่ใน
    แคว้นมคธแล้ว, สืบมาแต่ก่อน; ขอพระองค์จงเปิดประตูนิพพานอัน
    ไม่ตาย. สัตว์ทั้งหลายจงฟังธรรมที่พระองค์ผู้ปราศจากมลทินได้ตรัสรู้
    แล้วเถิด. คนยืนบนยอดชะง่อนเขา เห็นประชุมชนได้โดยรอบ ฉันใด ;
    ข้าแต่พระผู้มีเมธาดี ! ผู้มีจักษุเห็นโดยรอบ ! ขอพระองค์จงขึ้นสู่
    ปราสาท อันสำเร็จด้วยธรรม, จักเห็นหมู่สัตว์ผู้เกลื่อนกล่นด้วยโศก
    ไม่ห่างจากความโศก ถูกชาติชราครอบงำ, ได้ฉันนั้น. จงลุกขึ้นเถิด
    พระองค์ผู้วีระ ! ผู้ชนะสงครามแล้ว! ผู้ขนสัตว์ด้วยยานคือเกวียน !
    ผู้ไม่มีหนี้สิน ! ขอพระองค์จงเที่ยวไปในโลกเถิด. ขอพระผู้มีพระ
    ภาคทรงแสดงธรรม สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมีเป็นแน่” ดังนี้.



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
    บาลี ม.ม. ๑๓/๔๖๒/๕๑๐. ตรัสแก่โพธิราชกุมาร.
     
  6. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ราชกุมาร ! ครั้งนั้น เรารู้แจ้งคำเชื้อเชิญของสหัมบดีพรหมแล้ว,
    และเพราะอาศัยความกรุณาในสัตว์ ท. เราตรวจดูโลกด้วยพุทธจักขุแล้ว. เมื่อ
    เราตรวจดูโลกด้วยพุทธจักขุอยู่, เราได้เห็นสัตว์ ท. ผู้มีธุลีในดวงตาเล็กน้อยบ้าง,
    มีมากบ้าง, ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าบ้าง อ่อนบ้าง, มีอาการดีบ้าง เลวบ้าง,
    อาจสอนให้รู้ได้ง่ายบ้าง ยากบ้าง; และบางพวกเห็นโทษในปรโลก โดยความ
    เป็นภัยอยู่ก็มี; เปรียบเหมือนในหนองบัวอุบล บัวปทุม บัวบุณฑริก,
    ดอกบัวบางเหล่าเกิดแล้วในน้ำ เจริญในน้ำ อันน้ำพยุงไว้ยังจมอยู่ในน้ำ,
    บางเหล่าเกิดแล้วในน้ำ เจริญในน้ำ อันน้ำพยุงไว้ ตั้งอยู่เสมอพื้นน้ำ,
    บางเหล่าเกิดแล้วในน้ำเจริญในน้ำ อันน้ำพยุงไว้ โผล่ขึ้นพ้นน้ำ อันน้ำไม่ถูกแล้ว,
    มีฉันใด, ราชกุมาร !
    เราได้เห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นต่างๆ กันฉันนั้น. ราชกุมาร! ครั้งนั้น เราได้รับรอง
    กะสหัมบดีพรหมด้วยคำ (ที่ผูกเป็นกาพย์) ว่า:-

    “ป ร ะ ตูแ ห่ง นิพ พ า น อัน เ ป็น อ ม ต ะ เ ร า เ ปิด ไ ว้แ ล้ว แ ก่สัต ว์
    เหล่านั้น, สัตว์เหล่าใดมีโสตประสาท สัตว์เหล่านั้น จงปลงศรัทธา
    ลงไปเถิด, ดูก่อนพรหม! เรารู้สึกว่ายาก จึงไม่กล่าวธรรมอันประณีต
    ที่เราคล่องแคล่วชำนาญ ในหมู่มนุษย์ ท.” ดังนี้.

    ราชกุมาร ! ครั้งนั้น สหัมบดีพรหม รู้ว่า ตนเป็นผู้ได้โอกาสอัน
    พระผู้มีพระภาค ทรงกระทำแล้วเพื่อแสดงธรรม, จึงไหว้เรากระทำอันประทักษิณ
    แล้ว อันตรธานไปในที่นั้น นั่นเอง.



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
    บาลี. ม.ม. ๑๓/๔๖๓/๕๑๑. ตรัสแก่โพธิราชกุมาร.
     
  7. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    งั้นผมลองเอาพระสูตรมาให้พิจารณานะครับ ---

    [๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น
    ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุม
    แห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
    ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ

    ..............หรือตอนหนึ่งที่ว่า
    อันตัณหาครอบงำย่อมข้ามธรรมเป็นเครื่องข้องไม่ได้ ชื่อว่าถือเอาธรรมนั้นด้วย สละธรรมนั้นด้วย เปรียบเหมือนวานรจับและปล่อยกิ่งไม้ที่ตรงหน้าเสียเพื่อจับกิ่งอื่น
    ............[๑๒๗] คำว่า เหมือนลิงจับและละกิ่งไม้เบื้องหน้า ฉะนั้น มีความว่า สมณพราหมณ์
    เป็นอันมาก ย่อมจับถือและปล่อย คือ ย่อมยึดถือ และสละทิฏฐิเป็นอันมาก เหมือนลิงเที่ยว
    ไปในป่าใหญ่ย่อมจับกิ่งไม้ ละกิ่งไม้นั้นแล้วจับกิ่งอื่น ละกิ่งอื่นนั้นแล้วจับกิ่งอื่น ฉะนั้น เพราะ
    ฉะนั้น จึงชื่อว่า เหมือนลิงจับและละกิ่งไม้เบื้องหน้า ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค
    จึงตรัสว่า
    สมณพราหมณ์เหล่านั้น ละต้น อาศัยหลัง ไปตามความแสวงหา
    ย่อมไม่ข้ามกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมจับถือ
    ย่อมละ เหมือนลิงจับและละกิ่งไม้เบื้องหน้า ฉะนั้น.
     
  8. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    นี้ผมอุส่ายกพระสูตรที่คุ้นหูให้ดูเเล้วนะเนี่ย
    ที่มาของ บัว3เหล่า คืออะไร. เเละจะไม่มี บัว4เหล่า

    ทีนี้ถ้าคุณจะเทียบเคียง สงสัย ก็ต้องเอาคำพระพุทธเจ้ามาตรวจ ไม่เอาอรรถกถามา
    _____________
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว จะพึงเบื่อหน่ายได้บ้าง พึงคลาย
    กำหนัดได้บ้าง พึงปล่อยวางได้บ้าง ในกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้. ข้อนั้น
    เพราะเหตุไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า การก่อขึ้นก็ดี การสลาย
    ลงก็ดี การถูกยึดครองก็ดี การทอดทิ้งซากไว้ก็ดี แห่งกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต
    ทั้งสี่นี้ ย่อมปรากฎอยู่. เพราะเหตุนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว จึงเบื่อหน่ายได้บ้าง
    จึงคลายกำหนัดได้บ้าง จึงปล่อยวางได้บ้าง ในกายนั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ส่วนสิ่ง
    ที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี ว่า "วิญญาณ" ก็ดี ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว ไม่
    อาจจะเบื่อหน่าย ไม่อาจจะคลายกำหนัด ไม่อาจจะปล่อยวาง ซึ่งจิตนั้น. ข้อนั้นเพราะ
    เหตุไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า สิ่งที่เรียกว่าจิตเป็นต้นนี้
    เป็นสิ่งที่ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว ได้ถึงทับแล้วตัณหา ได้ยึดถือแล้วด้วยทิฏฐิโดยความ
    เป็นตัวตน มาตลอดกาลช้านานว่า "นั่นของเรา นั่นเป็นเรานั่นเป็นตัวตนของเรา" ดังนี้;
    เพราะเหตุนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย ไม่อาจจะคลายกำหนัด
    ไม่อาจจะปล่อยวาง ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าจิตเป็นต้นนั้น.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว จะพึงเข้าไปยึดถือเอากาย
    อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ โดยความเป็นตัวตน ยังดีกว่า. แต่จะเข้าไป
    ยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตัวตน ไม่ดีเลย. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ดูก่อนภิกษุ
    ทั้งหลาย! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า กายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ดำรงอยู่ปี
    หนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้างสี่
    สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง เกินกว่าร้อยปีบ้าง ปรากฏอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    ส่วน สิ่งที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี ว่า "วิญญาณ" ก็ดี นั้น ดวงอื่น
    เกิดขึ้น ดวงอื่นดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือน วานร เมื่อเที่ยวไปอยู่ในป่าใหญ่ ย่อม
    จับกิ่งไม้ : ปล่อยกิ่งนั้น จับกิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่จับเดิม เหนียวกิ่งอื่น เช่นนี้เรื่อย ๆ ไป,
    ข้อนี้ฉันใด; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สิ่งที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี
    ว่า "วิญญาณ" ก็ดี นั้น ดวงอื่นเกิดขึ้น ดวงอื่นดับ ไป ตลอดวัน .

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในเรื่องที่กล่าวนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมกระทำ
    ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้
    จึงมี; เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึง
    ไม่มี; เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป : ข้อนี้ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมี
    อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
    ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะ-

    ^

    ถ้าคนพอสดับปฏจสมุปบาทมามั้งก็น่าจะพอเข้าใจ ความหมาย วานร เเล้วว่าคืออะไร
     
  9. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    วานรคืออะไรครับ เกิดคืออะไร ดับคืออะไรครับ
     
  10. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    คุณลองดู อรรถกถาที่ยกมาสิ ความเห็นของอรรกถา
    พระองค์อธิบายการเกิด ดับ ของจิต มโน วิญญาน. เหมือนวาวรเทียวป่าใหญ่
    มันก็เหมือนอาการ ของลิง ที่ชอบเปลี่ยนกิ่งไปเลื่ิอยๆ
    ซึ่งจิตมันก็อาการเดียวกัน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เเต่ถ้าจิตนาการอย่างนี้ มันก็ไปได้หลายทางหนะ เเต่ที่ถูกสุดให้สอดรับในปฏิจสมุปบาท พระองค์ถึงให้อริยะสาวกผู้สดับ ทำไว้ในใจให้ดีในเรื่องนี้ด้วย เป็นท่อนสรุป เพราะปฏิสมุปบาทเเสดงถึงอาการของจิต ที่เปลี่ยนตลอดเวลา เเละอธิบาย สาเหตุของมันว่า เพราะอะไรมีอะไรจึงมี. เพราะอะไรไม่มี อะไรจึงไม่มี
    ไม่ใช่ไปเน้นในเรื่องของวานร ไปปรุงเเต่งวานร อย่างอรรถกถา พออ่านเเล้วทำให้นึกเคริมว่าตัวเองเป็นลิงสะงั้น พระองค์กำลังอธิบาย ที่เหตุเกิด
    พระองค์เปรียบเทียบ อุปมาเชยๆ สายที่มันเกิดเพราะเหตุปัจจัยนั้น เรื่อยๆ ฉนั้นต้องอ่านให้จบไงที่ผมบอกไป ถ้าอ่านไปจบมันจะไปคิดเอาเอง

    ............[๑๒๗] คำว่า เหมือนลิงจับและละกิ่งไม้เบื้องหน้า ฉะนั้น มีความว่า สมณพราหมณ์
    เป็นอันมาก ย่อมจับถือและปล่อย คือ ย่อมยึดถือ และสละทิฏฐิเป็นอันมาก เหมือนลิงเที่ยว
    ไปในป่าใหญ่ย่อมจับกิ่งไม้ ละกิ่งไม้นั้นแล้วจับกิ่งอื่น ละกิ่งอื่นนั้นแล้วจับกิ่งอื่น ฉะนั้น เพราะ
    ฉะนั้น จึงชื่อว่า เหมือนลิงจับและละกิ่งไม้เบื้องหน้า ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค
    จึงตรัสว่า
    สมณพราหมณ์เหล่านั้น ละต้น อาศัยหลัง ไปตามความแสวงหา
    ย่อมไม่ข้ามกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมจับถือ
    ย่อมละ เหมือนลิงจับและละกิ่งไม้เบื้องหน้า ฉะนั้น.
     
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    จะตอบคำถามนี้ด้ยไอแปด. (ผิดแปลกยกเว้น เพระาไอแปดมันชอบช่วยสะกด)

    ว่าแต่ว่า_คุณสมใจคุณ. ภาวนาเห็นไฟกระพริบมาหรือเป่า

    ถ้าเห็น. หรือขณะที่เห็น. ให้รู้ว่าเห็นไปก่อน. อย่าพึ่งไปรำพึงว่านั่นจิตเกิดดับ

    เมื่อจิตตั้งมั่นเห็นไฟกระพริบได้ต่อเนื่องพอ. จะค่อยเห็นสภาวะจิตตั้ง....มั่น

    งงไหม. จิตจะมั่น. มันต้องตั้ง

    เมื่อจิตตั้งแล้วมั่น. ก็รู้ว่่จิตตั้งมั่น

    ต่อเมื่อ จิตจังซี้มันถอน. จิตไม่ตั้งมั่น. ตรงนี้คือจิตเกิดดับ

    แสงนั้นจะแยกออกมาได้ว่า นั่นแค่สิ่งถูกรู้

    ที่นี้. ได้ฟังแบบนี้. ก็อย่่านะ. อย่าไปปรารภว่า. จิตตั้งมั่นคือจิต

    เพราะถ้าแบบนั้นเมือ่ไหร่. เขาเรียกว่า จิตมันสำคัญ. ให้ค่า ถือว่า
    ตกจากจิตตั้งมั่นไปเลี้ยว

    ภาวนาแบบนี้บ่อยๆ. จะสังเกตว่า จิตไม่มีกำลังณานเท่าไหร่. กิเลส
    จะขยับขยอกได้ไวมาก. อย่าตกใจ. ให้ดูความไม่เคลื่อน. จิตมันไม่ต้อง
    เคลื่อน

    ดูแล้วได้อะไร

    ดูแล้วจะเห็นภพปราณีตที่ชื่อณาน. ว่่าหิวขนาดไหน

    หมดอยากแจ่มๆ. จ้าเลยนะ. บางคนนิวเคลียเรียกพี่ได้
     
  12. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    สรุปว่า .... จิต เกิด-ดับ ดูอย่างไรครับ อาการอย่างไรครับ ไม่ต้องเอาลิงมาก็ได้ครับ ลองช่วยอธิบายหน่อย เผื่อจะมีผู้มีปัญญาในนี้เขาเข้าใจแล้วจะได้เอาไปปฏิบัติอ่ะครับ ขอบคุณครับ
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เห็นไปแบบนี้มากๆ. แล้วเห็นอะไรอีก

    ก็ถ้ามีจ้าบ่อยๆ. จะไดรู้รส. การภาวนาที่ทำให้จิตสบาย
    กับ การภาวนาแบบแห้งแล้ง.

    ภาวนาได้ทั้งสองภูมิ. เสาระเนียดเรียกพี่
     
  14. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ผมตั้งกระทู้เพื่อให้คนที่เข้ามาอ่านได้เข้าใจความหมายของจิต เกิดดับ ว่า เป็นอย่างไร เพราะบางคนไม่เข้าใจ กลับเอาไปปรุงแต่งจนเกิด นิมิต เป็นอย่างนู้อย่างนี้ นะซิครับ มันจึงไม่เห็น อนิจจัง หรือ เข้าใจ อนัตตาเสียที มันเลยยึดมั่นในสิ่งที่รู้ๆมา อยู่ร่ำไป ..... ใครกล่าวอะไรที่ไม่ตรงกับที่รู้ ก็มิจฉาวาจามาเลย.....

    และทุกครั้งที่ผมมีความเห็น มีพระสูตรมารองรับ มาให้พิจาณาอีกทีด้วย ก็จะทำให้น่าเชื่อถือขึ้นได้ ว่าไม่ใช่ปรุงแต่งกันเองอย่างเดียวแล้วเถียงกันไปมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2013
  15. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ ภิกษุเพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญาเพราะการไม่ใสใจซึ่งนานัตตสัญญา จึงเข้าอากาสนัญจายตนะ อันมีการทำไว้ในใจว่าอากาศไม่มีที่สุด ดังนี้เเล้วแลอยู่
    ในอากาสานัญจายตนะนั้นมีธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น(นามธรรม4)โดยความเป็นของไม่เที่ยง
    เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากานัญจายตนะเป็นบาทฐานนั้นฯลฯ

    ^

    ความรู้สึกของคนที่เค้าเข้าใจ การทำงานของจิตดี มันจะเเตกต่างกัน ต้องมาตรวจดูที่ภาคปฏิบัติ เค้าจะเข้าใจว่า ถ้าเป็นฌานลึกๆ จะยิ่งดี เพราะเห็นได้ง่ายขึ้น เเละชัดเจนขึ้น พระองค์เปรียบด้วยน้ำใส ไม่คุ่น เห็นพวก กุ้ง หอย ปู ปลา ชัดเจน
    เเต่สำหรับอีกพวก ที่ยังดูไม่เป็น ยังคงต้องคิดว่า. ฌานยิ่งลึกยิ่งหลง ต่อไป เเละ จะไม่สามารถเห็นอะไรได้ ทั้งๆที่สูตรก็ตรัสไว้ชัดเจน อากาสา ดับเเค่รูปขันธ์ เหลือ นามธรรมอีก4 จะมองไม่เห็นการเกิดดับอีก4ขันธ์หรือ การเกิดดับของจิต เเล้วยิ่งน้ำคุ่นๆก็ยิ่งมองไม่เห็นเข้าไปใหญ่. จะเห็นเเต่ สภาวะหยาบเห็นง่ายคือ อกุศลธรรมที่เกิดเวลาถอนออกจากฌานเท่านั่น ส่วนที่เหลือยึดไว้ ฉนั้นตรวจสอบเเค่นี้ก็พอเเล้ว ถ้าเข้าใจตามเป็นจริงได้ ก็ถือว่าสุดยอด
     
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    จะเอาอะไรกับ ขนมโตเกียวหละคร้าบ

    ขนมโตเกียวเนี่ยะ เขาก็เป็นพวก หาไส้ ชนิดต่างๆ

    พอเจอ ก็ จับ ม้วน

    เห็นเราเป็น ไส้ ก็จับ ม้วน

    แต่ถ้า เราไม่สนใจการเข้ามา ห่อหุ้ม เป็นเปลือกนอก

    แล้ว ค้นกระทู้ขนมโตเกียวลงไปสักปีเดียว จะเห็นเลยว่า

    งานนี้ ขนมโตเกียว แน่นอน มีแต่เปลือก และคงกำลัง หมั่นหาไส้

    ก็ยกเสียว่า ให้เด็กมันกิน
     
  17. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ในอากาสานัญจายตนะนั้นมีธรรมคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้น พอจะอธิบาย ได้มั้ยครับ ตามเห็นอย่างไรครับ
     
  18. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อ้อ สำหรับ กรณี เสือชอบสะสมปืน ทำให้ ยิงไว

    เห็นคำว่า ไอแปด ( iPad ) เป็นคำหยาบ อันนี้ ก็
    ช่วยไม่ได้นะ เพราะ เคยเอ่ยเอื้อนถามไปแล้วว่า

    จะถือปืน ซื้อ ปืน ทำไม

    ก็ของมันเป็นเหตุ ก็เคยถามไปแล้ว ถามไปงั้นๆ
     
  19. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    โธ่ท่าน ผมไม่กล่าวว่าท่าน เลย ผมพูดถึงกระทู้อื่นๆ ที่เถียงกัยจนกลายเป็นอารมณ์แล้ว มิจฉาวาจาเกิด นะท่าน .... เข้าใจผิดแล้วกาบ
     
  20. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อ้าว ก็มันเสียวนี่ เห็น ทริปเปิ้ล อี เหมือนเห็น คังคังชิก

    เอาหน่า ผมเอาตัวเป็นเป้า อย่างน้อยก็เห็น อารมณ์

    ส่วน ทำมาปู๊ดดด นั่น หากเขาไม่ยอมรับว่า เราปฏิบัติได้สมาธิ ได้ฌาณมา
    เขาก็ ด่าเราเพลินแหละ ครั้นจะให้เรา บอกว่าได้ สมาธิ ได้ ฌาณ เขาก็ด่า
    เอาได้อีกแหละ ......การเสวนาเพื่อการ ถกเถียง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ใน
    การปฏิบัติ ก็เสวนาเล่นๆ พอ เนาะ ....

    ทำมาปู๊ดดด นั่นก็แปลกดีเนาะ " คนอะไรมีการด่าเป็นแดนเกิด ด่าเป็นอย่าง
    เดียวเป็นกำเหนิด แถมยังมี กลุ่มเกิดเป็นคนเป็นเผ่าพันธุ์ "

    คนยก พุทธวัจนะ มาเฉยๆ ทำมาปู๊ดดด ยังแคะฝอย จะหาตะเข็บ เพื่อ ด่า ให้ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...