เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 สิงหาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พระใหม่ถ้าหากว่าใครยังแสดงอาบัติปากเปล่าไม่ได้ ให้พยายามปิดหนังสือ อย่าไปคิดอาศัยหนังสือ เพราะว่าถ้าเราคิดอาศัยหนังสือแล้วสมองจะไม่จำ ส่วนท่านที่นั่งเก้าอี้แทนที่จะนั่งอาสนะ ถ้าไม่ใช่เจ็บไข้ได้ป่วยประเภทแข้งขาหัก เพียงแต่ว่านั่งแล้วรู้สึกลำบากเพราะว่าเส้นสายยึด ขอให้พยายามนั่งให้ได้ เนื่องจากมีแต่ผลดีกับตัวเองทั้งนั้น ถ้าเรานั่งเก้าอี้ต่อไปเดี๋ยวก็จะเหมือนกับพวกฝรั่ง

    ทุกวันนี้เวลาเห็นคนเอเชียนั่งยอง ๆ ฝรั่งจะงงมากว่านั่งได้อย่างไร ? เพราะว่าพวกเขาไม่เคยชิน เนื่องเพราะว่าพวกเราถึงเวลานั่งส้วมส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนั่งยองอยู่แล้ว แต่ฝรั่งไม่สามารถที่จะทำได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เขาเคยชินกับการนั่งโถชักโครก ทำให้เส้นสายไม่ยืด ที่อนาถที่สุดก็คือภาพในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่บรรดาเชลยศึกฝรั่งชาติต่าง ๆ โดนกวาดต้อนมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ต้องเอาไม้ไผ่มาตอกเป็นแนวยาว ๆ ให้สูงจากพื้นขึ้นมา เพื่อที่จะนั่งหย่อนก้นข้างบนนั้นแล้วถึงจะถ่ายได้ ถ้าเราไม่ฝืนตัวเองบ้างก็แปลว่ากำลังใจยังไม่เพียงพอ แค่ความลำบากยังไม่ฝืนทำ ไม่ต้องไปคิดถึงว่าการที่จะคิดเข้าถึงมรรคผลด้วยการเอาชีวิตเข้าแลกแล้วเราจะกล้าทำ..!

    ส่วนของมหาจุก (พระมหาอินทรปกรณ์ ฐิตสุโภ ป.ธ.๔) ที่ไปช่วยงานอบรมที่วัดปรังกาสี ต่อไปถ้ามีงานประเภทนี้มาอีก ให้พาพรรคพวกเพื่อนฝูงไปบ้าง คนไหนสนใจเรื่องนี้พาไปช่วยงานสัก ๒ - ๓ รูปก็ได้ เป็นการฝึกฝนคนของเราให้เคยชิน และไปเก็บเอาเทคนิคดี ๆ ในการอบรมมาใช้ในงานของเราเอง เห็นใครที่เขาสามารถอยู่กับเด็ก ๆ ได้แบบลื่นไหล ทำอะไรดึงความสนใจของเด็กได้โดยตลอด ให้พยายามศึกษาเทคนิคเหล่านั้น แล้วเอามาลองทำดู ต่อให้ไม่ใช่ตัวตนของเราอย่างแท้จริง แต่ถ้าหากว่าทำได้ก็จะช่วยให้การอบรมไม่น่าเบื่อ

    อย่างวันนี้ในช่วงเช้า กระผม/อาตมภาพไปที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ เพื่อร่วมพิธีปิดการอบรมกรรมฐานของพระนวกะคณะสงฆ์ ๕ อำเภอ ไปถึงหยิบไมค์ลอยได้ก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ไปเรื่อย จากที่ผู้คนไม่สนใจที่เข้าจะเข้ามานั่งที่ ถึงเวลาพอได้ยินเรื่องน่าสนใจก็เข้ามานั่งฟังเอง จนกระทั่งถึงเวลา ๐๘.๓๐ น. ท่านพระครูสุทธจิตคุณ เจ้าอาวาสวัดสวนมะม่วง พระอุปัชฌาย์ร่วมรุ่นของกระผม/อาตมภาพ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพระวิปัสสนาจารย์อยู่ ถึงขนาดปรารภว่า "วันนี้พระนวกะเข้าห้องประชุมพร้อมเพรียงกันที่สุด"

    เทคนิคพวกนี้ กระผม/อาตมภาพใช้ทุกครั้งในการอบรมกรรมฐาน ก็คือจะไม่บังคับให้เข้าห้องอบรม จะไม่เสียเวลาเรียกให้เข้าห้องอบรม แต่ว่าจะเล่าเรื่องน่าสนใจต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาให้ฟังไปเรื่อย ในเมื่อไม่ไปเน้นการปฏิบัติ ไม่ไปเน้นวิชาการ พระท่านไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ตนเองจะต้องไปเครียด ฟังแล้วสนุกก็มากันเอง ถ้าหากว่าพวกเราศึกษาเทคนิคต่าง ๆ ในการอบรมเด็กไว้ ถึงเวลาก็สามารถไปปรับใช้กับผู้ใหญ่ได้อีกด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    หลังจากนั้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปยังวัดอินทาราม (หนองขาว) หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองขาว อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อร่วมในงานเปิดการประชุมอบรมพระนวกะคณะสงฆ์อำเภอท่าม่วง

    ปรากฏว่าได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ให้กระผม/อาตมภาพแซงหน้ารองเจ้าคณะจังหวัดขึ้นไปบรรยายก่อน โดยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชวิสุทธาภรณ์ (ทองดำ อิฏฺฐาสโภ ป.ธ.๖) วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร และพระเดชพระคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ (ทอมสันต์ จนฺทสุวณฺโณ ป.ธ.๔) รองเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) นั่งรอไปก่อน

    หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านพูดถึงอานิสงส์ของเมตตา ๑๑ อย่างด้วยกัน ตั้งแต่ สุขังสุปะติ สุขังปะฏิพุชฌะติ ก็คือหลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข แล้วท้ายที่สุดก็ไปลงที่พรัหมะโลกูปะโค โหติ ฯ ก็คือถึงตายไป ถ้ากำลังใจเกาะเมตตาอยู่ก็ไปเกิดในพรหมโลกเป็นอย่างน้อย

    กระผม/อาตมภาพก็เลยต่อยอดยืนยันกับพระนวกะท่านว่า ถ้าอยู่ที่ไหนอยากจะอยู่สุขอยู่เย็นและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แปลกไปจากปกติก็ดี ในป่าช้า ในป่าลึก ที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายหรือภูตผีก็ตาม ขอให้พระใหม่พยายามหัดท่องบท "กรณียเมตตสูตร" หรือว่า "บทเมตตาใหญ่" ก็ได้ ตั้งใจกำหนดจิตถึงท่านทั้งหลายที่รักษาบริเวณนั้นว่า "เรา
    แค่มาอาศัยปฏิบัติธรรมชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้มายึดเป็นเจ้าของ ถ้ามีความดีใดที่เราทำตรงนี้แล้วเป็นบุญเป็นกุศล ก็ขอให้ทุกท่านได้อนุโมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับส่วนบุญเหล่านั้นด้วย"

    ถ้าทำอย่างนี้ ต่อให้อยู่ในป่าช้าหรือว่าอยู่กลางดงสัตว์ร้าย กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าปลอดภัย เพราะว่าอานุภาพของบทกรณียเมตตสูตร หรือว่าบทเมตตาใหญ่ก็ตาม มีอยู่ข้อหนึ่งที่ว่าเทวะตา รักขันติ ก็คือเทวดารักษา ก็แปลว่าถ้าเราท่านทั้งหลายทำแบบนี้ อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข แล้วถ้าหากว่าทำจนเป็นปกติ ก็แปลว่ากำลังใจของเราทรงในเมตตาเป็นปกติ ตายลงไปอย่างไม่มีก็ไปพรหมโลก

    โดยเฉพาะบทกรณียเมตตสูตรนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ถ่ายทอดให้กระผม/อาตมภาพเป็นบทแรก ๆ หลังจากที่อนุญาตให้ออกธุดงค์ โดยปกติแล้วทางวัดท่าซุงก็ปฏิบัติตามพระวินัย คือถ้าหากว่าภิกษุพ้น ๕ พรรษาไปแล้ว ถึงจะได้ "นิสัยมุตตกะ" ออกห่างครูบาอาจารย์ได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    แต่กระผม/อาตมภาพนั้น ปีแรกสอบนักธรรมชั้นนวกภูมิและนักธรรมชั้นตรี ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่สอบครั้งเดียว ปีที่ ๒ ไม่ได้สอบนักธรรมชั้นโท เพราะว่าไปคอยดูแลหลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) วัดเทพศิรินทราวาส ที่ท่านป่วยหนัก ปีที่ ๓ สอบได้นักธรรมชั้นโท ปีที่ ๔ สอบได้นักธรรมชั้นเอก

    เมื่อได้นักธรรมชั้นเอกแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่า "ความรู้ความสามารถของแกพอที่จะคุ้มครองตัวเองได้แล้ว อนุญาตให้ออกธุดงค์ได้" ก็เลยกลายเป็นพระรูปเดียวที่ยังไม่ครบ ๕ พรรษาแล้วได้รับอนุญาตให้ออกธุดงค์ แล้วท่านก็ถ่ายทอดคาถาต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบในการธุดงค์ อย่างเช่นว่าบทบารมี ๓๐ ทัศ ต่อด้วยนะโมพุทธายะ ท่านบอกว่าให้ภาวนาเป็นประจำจนกำลังใจทรงตัว ใครจะทำไสยศาสตร์มาขนาดไหนก็ตามจะสลายตัวหมด

    ถ้าหากว่ามีคนนำข้าวปลาอาหารมาถวาย เราเองไม่มั่นใจว่าจะปลอดภัยหรือเปล่า ให้ภาวนาพระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ต่อด้วยนะโมพุทธายะ ทำน้ำมนต์พรมอาหารเหล่านั้นก่อน ถ้าไม่เปลี่ยนสภาพก็แปลว่าเป็นของปกติ สามารถที่จะฉันได้

    แต่กระผม/อาตมภาพเป็นคนขี้เกียจเสมอ อะไรที่ครูบาอาจารย์บอกก็มักจะแหกคอก ใช้วิธีภาวนากำหนดภาพพระครอบลงไปในวงอาหารเลย หมดเรื่องหมดราวไป..! เสียเวลาไปทำน้ำมนต์ให้เขาระแวงด้วย เพียงแต่ว่าเราจะต้องภาวนาจับภาพพระเป็นปกติ จนกระทั่งมั่นใจแล้วก็ภาวนาคาถา พร้อมกับกำหนดภาพพระครอบลงไป

    คาถาอีกบทหนึ่งก็คือคาถาที่ท่านเรียกว่าตวาดป่าหิมพานต์ แต่ว่าไม่เหมือนกับตวาดป่าหิมพานต์ในตำราทั่วไป เพราะท่านใช้บทภะสัมสัมวิสะเทภะ ใน อิติปิ โสฯ ๘ ทิศ ให้ใช้ตอนที่เราขึงสายอัพโภกาส หรือว่าตอกหลักยึดกลด ถ้าเป็นกลดสมัยเก่าหลังใหญ่สูงประมาณ ๒ - ๓ เมตร จะต้องมีเชือกยึดเพื่อไม่ให้ล้ม สมัยนี้ส่วนใหญ่เป็นกลดแขวน ก็ให้ภาวนาตอนแขวนกลด เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในบริเวณนั้น

    หรือถ้าหากว่าใครยังไม่มั่นใจก็เสกก้อนหิน หรือว่าก้อนดินด้วยพระคาถา อิติปิ โสฯ ๘ ทิศ กลั้นใจโยนออกไปทิศละก้อน แต่ควรที่จะอธิษฐานว่าให้หมดอานุภาพเมื่อได้อรุณแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่ากำลังใจท่านทรงฌานได้สักระดับหนึ่ง บริเวณนั้นจะกลายเป็นเขตหวงห้าม ที่บรรดาเทวดาชั้นล่าง ๆ หรือว่าภูตผีปีศาจจะเข้าไม่ได้ เพราะว่าถ้ากำลังใจของเราถ้าทรงปฐมฌานได้จะเทียบเท่ากับพรหม ๓ ชั้นแรก ซึ่งจะมีอานุภาพเหนือกว่าเทวดาอย่างเช่นว่ารุกขเทวดา หรือภุมมเทวดา เป็นต้น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    แล้วก็ยังมีพระคาถาอีก ๒ บท ท่านให้เสกอาหาร ก็คือ "พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ ศัตรูทั้งหลายวินาศสันติ" และ "พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ โรคภัยทั้งหลายวินาศสันติ" โดยให้ภาวนานึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามว่าพระพุทธกัสสปและท้าวเวสสุวรรณ ผู้นำพระคาถามามอบให้ ท่านบอกว่าเสกอาหารทุกครั้ง สามารถที่จะทำลายพวกไสยศาสตร์หรือยาพิษที่แฝงมาได้ แล้วขณะเดียวกัน ใครรับอาหารส่วนที่เหลือไปกินไปใช้ต่อ ก็เท่ากับเป็นยารักษาโรคไปด้วย

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าเราจะศึกษา ท่านให้ตั้งขันครู ประกอบไปด้วยบัวขาว ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก แล้วก็เงิน ๕ บาท หลังจากที่ไหว้ครูแล้ว เงินให้เอาไปใช้ในด้านสังฆทาน เลือกเอาวันพฤหัสบดีข้างขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตั้งขันครูขออนุญาตเจ้าของพระคาถาทุกรูปทุกองค์ว่า ขออนุญาตศึกษาและใช้พระคาถานี้ ขอให้มีอานุภาพสูงสุดเท่าที่จะพึงมีพึงได้

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราศึกษาเอาไว้ ที่กระผม/อาตมภาพมั่นใจที่สุดก็คือ ผลนั้นทำให้เรามีความมั่นใจตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่ในเรื่องผลที่พระคาถาจะสำแดงให้เกิด แต่เป็นการที่ว่าเราทั้งหลายเมื่อใช้แล้วจะเกิดความมั่นใจมากขึ้น มีความกล้าหาญมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าพวกเราทั้งหลายคิดเป็น จะเข้าถึงอำนาจของพระคาถาได้มากกว่าคนอื่นเขา อย่างเช่นบทนะโมพุทธายะ ที่อ้างพระบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ ต่อให้พระองค์เดียวก็กินไม่ไหวใช้ไม่หมดแล้ว เล่นมาทีเดียว ๕ พระองค์เลย..!

    ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ในขณะที่โลกมืดมนด้วยอวิชชา ไม่มีใครสามารถมองเห็นเหมือนดั่งคนตาบอด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้ปัญญาญาณอันแก่กล้า แหวกทะลุอวิชชาทั้งหลายเหล่านั้นออกไปได้ ต้องใช้พลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่มากมายมหาศาลขนาดไหน ? มีใครสักกี่คนที่จะทำแบบนั้นได้ ? อานุภาพเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครสามารถเทียบได้แล้ว แล้วเรายังไปอ้างนามพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ อานุภาพก็คูณ ๕ เข้าไป ไม่ต้องคิดอะไรมากก็เอาแค่นี้ ท่านก็จะยืนอยู่ในลักษณะที่เหนือกว่าทุกสรรพสิ่งแล้ว

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะเกิดความมั่นใจ ทำให้พระคาถาต่าง ๆ ขลังขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าคิดให้เป็น พิจารณาให้เป็น แล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราจะใช้งานได้ดีกว่าคนอื่นเขา มีโอกาสก็ให้ทำการไหว้ครู แล้วก็ไปซักซ้อมดูว่าผลจะเป็นอย่างไร

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...