เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 เมษายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,367
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,367
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพต้องเข้าประชุมพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ระดับเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล และเลขานุการ ประจำเดือนเมษายน ๒๕๖๗ ผ่านระบบ Zoom Meeting Online

    คราวนี้ปัญหาต่าง ๆ ในคณะสงฆ์ของเรา ต้องบอกว่า "แก้กันไม่รู้จักจบ" สาเหตุหลัก ๆ เลยก็คือ เกิดจากบุคคลที่ไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองอย่างหนึ่ง ไม่คำนึงถึงสถานภาพความเป็นพระภิกษุสามเณรอีกอย่างหนึ่ง จึงมีเรื่องวุ่นวายให้บรรดาผู้บังคับบัญชาจะต้องมาวิ่งแก้ไขอยู่ตลอดเวลา

    อย่างล่าสุดนี้ที่มีข่าวพระภิกษุสามเณรเข้าป่าล่าสัตว์ เรายังไม่รู้ว่ารายละเอียดที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ว่าสื่อสังคม "ฟันธง" ไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ทำผิด กระผม/อาตมภาพก็ยังไม่เคยเห็นว่ามีใครออกมากราบขอขมาฝ่ายพระภิกษุสามเณรเลย ประมาณว่าออกข่าวแล้วออกข่าวเลย เพื่อที่จะเรียกยอดวิวยอดไลค์เท่านั้น..!

    ปัญหาของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ที่วันนี้ปรารภกันถึงก็คือ เจ้าคณะตำบลบางราย ไม่ยอมส่งรายงานการปฏิบัติหน้าที่ ๖ ด้านของพระสังฆาธิการ ซึ่งเกิดจากสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือทำไม่เป็น และไม่มีคนช่วย สาเหตุที่สองก็คือไม่ชอบหน้าผู้บังคับบัญชา สั่งมาก็ทำหูทวนลม ถ้าเป็นสาเหตุแรกยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นสาเหตุที่สอง "ฟันธง" ได้เลยว่าอนาคตอาจจะต้องอาบัติหนัก เพราะว่าจัดอยู่ในประเภทว่ายากสอนยาก..!

    ในเรื่องของวงการคณะสงฆ์หรือว่าวงการอื่น ๆ ก็ตาม ถ้าเราไม่แบกกิเลสเข้ามามากนัก เขาส่งใครมาเป็นเจ้านายก็ควรที่จะยอมรับได้ ไม่ใช่ว่าต้องคนโน้นเท่านั้น ต้องคนนี้เท่านั้น ซึ่งบรรดานักปฏิบัติส่วนใหญ่แล้วมักจะแบกกิเลสท่วมหัวเอาไว้ ก็คือ "ต้องหลวงพ่อของกูเท่านั้น ถ้าคนอื่นแล้วไม่ใช่" ถ้าอยู่ในลักษณะแบบนี้ เราจะรับความรู้ใหม่เข้าไปไม่ได้เลย เนื่องเพราะว่าทำตัวเป็น "น้ำล้นแก้ว" ไม่สามารถที่จะเติมของใหม่เข้าไปได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,367
    กระผม/อาตมภาพเองก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ก็คือ "ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงแล้ว กูเรียกใครเป็นหลวงพ่อไม่ได้" พูดง่าย ๆ ว่ายอมลงให้ท่านเพียงรูปเดียวเท่านั้น..!

    แต่เมื่อออกมาจากวัดท่าซุงมาแล้ว ไปกราบครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความรู้ความสามารถอื่น ๆ จึงได้รับคำสั่งสอนประมาณว่า ในพระไตรปิฎกนั้น แม้พระราชายังต้องไหว้คนจัณฑาล เพื่อขอเรียนวิชา ก็แปลว่า ถ้าเรายังแบกมานะท่วมหัวอยู่ เราก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เลย จึงสามารถที่จะกราบ จะไหว้ จะเรียกหลวงพ่อหลวงปู่ท่านอื่น ๆ ได้เต็มปากเต็มคำกับเขา

    เรื่องพวกนี้เป็นเครื่องถ่วงนักปฏิบัติอย่างร้ายแรงมาก เพราะว่าเท่ากับเราแบกมานะ ซึ่งเป็นกิเลสใหญ่ แล้วก็ทำให้เราไม่ได้รับคำแนะนำสั่งสอนอื่น ๆ เพราะว่าไม่สามารถที่จะรับความรู้ใหม่ ๆ เข้าไปได้ ยึดมั่นถือมั่นเฉพาะของครูบาอาจารย์เองเท่านั้น

    ดังนั้น..ในเรื่องของสายปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ถ้ามีการประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมเมื่อไร อย่าได้คุยเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าคุยในเรื่องของสายการปฏิบัติธรรมเมื่อไรแล้วก็มักจะ "ของขึ้น" ก็คือรับไม่ได้ ถ้าโดนคนอื่นเขาวิพากษ์วิจารณ์ว่าของตัวเองไม่ดีอย่างไร ซึ่งความจริงแล้ว วิธีที่ดีที่สุดก็คือ
    ศึกษาให้รู้จริงในสายวิชาของตน จะได้สามารถชี้แจงและแก้ไขได้ เมื่อคนที่ไม่เข้าใจมากล่าวถึงในแง่ที่ไม่ดี

    อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อผู้บังคับบัญชาเขาปรารภว่า ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ก็ให้ทำหนังสือลาออกไปเลย เป็นการลงโทษ ก็มีเสียงโต้เถียงกลับมาว่า ถ้าเรื่องแค่นี้ลงโทษ แล้วไอ้พวกที่ไปนั่งหลับตาปลุกเสก นั่นอวดอุตริมนุสสธรรมไม่ใช่หรือ ? โทษหนักกว่าตั้งหลายเท่า ทำไมไม่ลงโทษ ? ทำเอาผู้บังคับบัญชาท่านไปไม่เป็นเหมือนกัน..!

    แต่ความจริงท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า คำว่า อวดอุตริมนุสสธรรม คือ อวดธรรมที่ไม่มีในตน ถ้าเราไปอวดว่ามีถึงจะโดนปรับอาบัติ ก็คือผิดพระธรรมวินัย แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าบุคคลที่ไปทำแบบนั้นแล้วไม่มีความสามารถจริง ๆ ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นการเถียงข้าง ๆ คู ๆ เพื่อเอาชนะกันตามอารมณ์กิเลสเท่านั้น อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า "เป็นการหากินด้วยเดรัจฉานวิชา" ก็เพราะว่าท่านให้เราหากินด้วยการบิณฑบาต ได้รับอาหารจากญาติโยมที่มีศรัทธาแท้ แต่คราวนี้คำว่าหากินด้วยเดรัจฉานวิชา แปลว่าทำเป็นปกติทุกวัน หรือว่าทุกบ่อย ก็คืออยู่ได้ด้วยลักษณะการแบบนั้นอย่างเดียว ในเมื่อเราไม่ได้อยู่ในลักษณะแบบนั้น ก็แปลว่าไม่ได้หากินโดยเดรัจฉานวิชา หากแต่เป็นการสงเคราะห์ต่อญาติโยมผู้มีศรัทธา

    แต่คราวนี้เราก็จะเห็นว่า แม้แต่เรื่องของพระบิณฑบาต ซึ่งมีการถกเถียงกัน บรรดาพระภิกษุสายวิชาการก็จะบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามให้เราใส่รองเท้าใส่บาตร พูดง่าย ๆ ก็คือที่ถอดรองเท้าใส่บาตรทุกวันนี้เป็นการทำผิด เพราะว่าไม่มีในพระไตรปิฎก

    กระผม/อาตมภาพอยากจะถามว่า ท่านอ่านพระไตรปิฎกครบแล้วหรือ ? ก็คือประการแรก การถอดรองเท้าเป็นการแสดงความเคารพ ซึ่งถ้าท่านทั้งหลายศึกษาในเรื่ององค์ของการประเคน ก็คือการที่ญาติโยมถวายของต่อพระภิกษุสามเณร ก็คือ

    ๑) ต้องอยู่ในเขตหัตถบาส คือ เอื้อมมือถึง
    ๒) เป็นของที่ไม่ใหญ่นัก พอที่บุรุษกำลังปานกลางจะยกขึ้นได้
    ๓) ไม่เป็นสิ่งของที่ต้องห้ามตามพระธรรมวินัย
    ๔) น้อมถวายด้วยความเคารพ


    ในเมื่อการถอดรองเท้าเป็นการแสดงความเคารพ โบราณาจารย์ตลอดจนกระทั่งคนเก่าคนแก่ที่มีสภาพจิตละเอียด ท่านจึงให้ถอดรองเท้าใส่บาตร เพราะว่าเท่ากับเป็นการประเคนด้วยความเคารพ

    ประการต่อไปก็คือ ญาติโยมจำนวนหนึ่งจะรอกรวดน้ำรับพรจากพระภิกษุสงฆ์เลย แล้วก็มีพวกวิตกจริตว่า ภิกษุผู้ยืนอยู่ไม่สามารถแสดงธรรมแก่ผู้ที่นั่งอยู่ หรือว่าการให้พรไม่มีในพระไตรปิฎก ทำในลักษณะนั้น เป็นการประจบชาวบ้านเพื่อปากท้องตัวเอง คิดฟุ้งซ่านไปได้ไกลมาก..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,385
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,528
    ค่าพลัง:
    +26,367
    ในเรื่องของการยืนอยู่แล้วไม่แสดงธรรมแก่ผู้นั่งอยู่ เราไม่ต้องตีความมาก คำว่า "แสดงธรรม" คือสอนในสิ่งที่คนอื่นรับเอาไปปฏิบัติ ส่วนการ "ให้พร" นั้นก็คือ กล่าวขอให้มีสิ่งที่ดีที่งามเกิดขึ้นแก่บุคคลอื่น ดังนั้น..การให้พรจึงไม่ใช่การแสดงธรรม จะไปประสาทรับประทานว่า ภิกษุยืนอยู่ แสดงธรรมแก่ผู้ที่นั่งอยู่ไม่ได้

    เท่าที่เห็นในเรื่องของการให้พร จะมีการแสดงธรรมอยู่ก็คือ บทที่ว่า อภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง คือผู้มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ทรงศีล วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ ย่อมเป็นผู้เจริญด้วยธรรม ๔ ประการคือ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
    ตรงนี้ไม่ต้องแปลก็ทราบความหมาย

    แต่อยากจะถามว่ามีกี่คนที่แปลได้ ? แม้กระทั่งพระของเราก็น้อยรูปที่จะแปลได้ ถ้าไม่ได้เรียนบาลี หรือไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้มาโดยตรง
    ในเมื่อฟังไม่เข้าใจ เขาก็รับเป็นพรขลัง ๆ ไปเท่านั้น ไม่ใช่การแสดงธรรม เราจึงต้องแยกแยะให้ชัดเจน และศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ให้รอบด้าน

    โดยเฉพาะสมัยก่อน เขาถือการยืนเป็นการแสดงความเคารพ ส่วนสมัยนี้โยมนั่งหรือว่าคุกเข่า หรือพับเพียบเป็นการแสดงความเคารพ ก็แปลว่า ถ้าเราเกรงว่าเขาจะไม่เคารพในธรรมเพราะนั่งอยู่ สมัยนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าหากว่าอ้างตามมหาปเทส ๔ สิ่งที่ไม่สมควร แต่พิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร ก็คือพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งอยู่ เพราะเขาไม่เคารพในธรรม แต่สมัยนี้การนั่งอยู่เป็นการเคารพในธรรม จึงสมควรที่จะแสดงได้

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นแค่เรื่องทางโลกเท่านั้น เมื่อเกิดขึ้นมา ระดับผู้บังคับบัญชายังไม่สามารถที่จะให้คำตอบที่ชัดเจนได้ แล้วพระภิกษุหนุ่ม สามเณรน้อยจะทำอย่างไร ?
    จึงเป็นภาระที่เราท่านทั้งหลายต้องศึกษาให้รู้จริง ทั้งทางโลกและทางธรรม เพื่อที่ถึงเวลา เกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว จะได้ชี้แจงให้ชัดเจนว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรไม่สมควรทำ แล้วไม่สมควรจริง ๆ อะไรที่ไม่สมควรทำ แต่พิจารณารอบด้านแล้วสมควรก็ทำได้ เหล่านี้เป็นต้น

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...