เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 พฤศจิกายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ภาษาชาวบ้านทั่วไปก็คือ วันลอยกระทง ซึ่งวันลอยกระทงนั้น ถ้าหากว่ากันตามประเพณีไทยโบราณ ก็จะมีการลอยกระทงเพื่อเป็นพุทธบูชา โดยที่เชื่อกันว่าลอยไปเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมแม่น้ำนัมมทานที

    อีกกระแสหนึ่ง เป็นความเชื่อตามแบบโบราณที่ว่า ลอยกระทงเพื่อขอขมาพระแม่คงคา เนื่องจากว่าคนสมัยก่อนนั้นใช้น้ำมากมายมหาศาลกว่าพวกเราสมัยนี้ เพราะว่ารุ่นโน้นยังไม่มีน้ำประปา กระผม/อาตมภาพเอง สมัยก่อนก็ต้องอาบน้ำท่าเหมือนกัน คำว่าท่า ก็คือสถานที่ขึ้นลงริมน้ำ

    ดังนั้น...การที่ใช้ท่าน้ำสมัยก่อน สิ่งหนึ่งที่เด็ก ๆ กลัวมากเลยคือปลาปักเป้า ปลาปักเป้าปากคมมาก กัดทีเนื้อแหว่งเป็นวงเลย..! หลวงปู่หลวงพ่อสมัยก่อนจึงต้องทำตะกรุดบ้าง สายคาดเอวบ้าง ให้เด็ก ๆ ใส่ ป้องกันปักเป้ากัด ซึ่งคนรุ่นอาตมานี่รู้กันทั่วเลยว่า ถ้าจะแกล้งเจ้าของบ้านที่เราไม่ชอบขี้หน้า ให้หาปลาปักเป้าตัดหางแล้วก็ทิ้งไว้แถวท่าน้ำของบ้านนั้นปลาปักเป้าโดนตัดหางแล้วไปไหนไกลไม่ได้ จะอยู่แถวนั้นแหละ เจ้าของบ้านหรือไม่ก็ครอบครัวลงไปอาบน้ำเมื่อไร ก็ต้องโดนสักวันหนึ่ง ยังดีว่ารุ่นของพวกเรานี่ไม่มีแล้ว..ใช่ไหม ?

    คราวนี้การที่หลวงปู่หลวงพ่อสมัยนั้นทำวัตถุมงคลกันปลาปักเป้ากัด ก็เลยพลอยกันหมากัดไปในตัวด้วย รุ่นหลัง ๆ อย่างพวกเราที่เลี้ยงหมา หาหมาดุไม่ได้ รุ่นกระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ นี่ ใครจะเข้าบ้าน โน่น...ตะโกนมาตั้งแต่หน้าบ้านเป็นกิโล "ดูหมาด้วย" หมาดุมาก..ใครที่มีฐานะหน่อยขี่มอเตอร์ไซค์มา หมากระโดดกัดยันหัวเลย..! ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ เพราะฉะนั้น...คนรุ่นเก่า ๆ ถ้าไม่ใช่
    "หนังดี" จริง ๆ ก็จะกลัวหมากัด

    ในส่วนที่คนรุ่นเก่า ๆ เขาใช้น้ำ ก็มีทั้งอาบ ทั้งดื่ม ตอนอาบบ้าง ล้างหน้าแปรงฟันบ้าง ก็มีการบ้วนน้ำลาย หรือไม่ก็บางคนก็ถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงในแม่น้ำไปเลย ซึ่งจะว่าไปแล้วก็อยู่ไม่นาน เพราะว่าทันทีที่ถ่ายลงน้ำไป ปลาก็แย่งกันกินหมดแล้ว โดยเฉพาะปลาแขยงกับปลาสังกะวาด ไม่รู้จักอีกใช่ไหม ? เครียด..! เล่าเรื่องไปแล้วเด็กสมัยนี้ฟังไม่รู้เรื่อง รู้สึกเครียด พูดง่าย ๆ คือถ่ายลงน้ำป๋อมเดียว ปลาแย่งกันกระจายเลย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    สมัยก่อนในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ถามว่ามีขนาดไหน ? เคยเห็นวังมัจฉาหน้าวัดท่าซุงไหม ? แบบเดียวกันนั่นแหละ เยอะขนาดนั้น สมัยเด็ก ๆ อยู่บ้านป้า กระผม/อาตมภาพเอาแหไปซ้อมเหวี่ยง เหวี่ยงลงไปแล้วลากไม่ขึ้น นึกเอาก็แล้วกันว่าปลาเยอะขนาดไหน ต้องเอาแหไปผูกไว้กับต้นไม้ชายน้ำ แล้วไปเรียกผู้ใหญ่มาช่วยดึงขึ้นให้

    แล้วถ้าหากว่าเป็นหน้าน้ำหลาก ก็จะมีช่วง
    "ปลาออ" มากันแน่นทั้งแม่น้ำเลย ชาวบ้านเขาจะรอปลาสร้อย ถ้าปลาสร้อยขึ้นแล้วจะแย่งกันตัก ใช้เข่งนี่แหละ ว่ายมาทีแน่นไปทั้งแม่น้ำ จ้วงลงไปเถอะ ได้เป็นเข่ง เอามาหมักน้ำปลา สมัยนี้หมักน้ำปลากันเป็นเหรือเปล่า ? เด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่เป็นก็ไม่เป็นไรนะ..กินเป็นก็แล้วกัน..!

    พวกปลาออที่ขึ้นมา เกิดจากว่าจะไปวางไข่ หลังจากนั้นหลายสิบปี เมื่อมาสร้างเกาะพระฤๅษี กระผม/อาตมภาพเจออยู่ครั้งเดียว บรรดาปลากระสูบว่ายขึ้นมาวางไข่ เสียงดังมาก ได้ยินแล้วคุ้นหู ก็เลยออกไปส่องไฟดู อ้าว..ยังมีอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้มากเหมือนสมัยก่อน ประเภทมากันที ๒๐ - ๓๐ ตัวแค่นั้น สมัยก่อนมากันทีเป็นหมื่นตัว บ้านไหนจะทำน้ำปลาก็เตรียมตะกร้าไว้ตักปลาสร้อยได้เลย

    ในยุคโน้นในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ความเป็นอยู่ก็อาศัย "แม่ทั้ง ๕" รู้จักไหม ? แม่ธรณีก็คือดิน แม่คงคาคือน้ำ แม่พระเพลิงคือไฟ แม่พระพายคือลม ตามมาด้วยแม่สุดท้าย แม่โพสพ เป็นอาหาร เป็นสิ่งที่ร่างกายของเราขาดไม่ได้ ขาดแม่ทั้ง ๕ นี่ตายแน่นอน ดังนั้น...ถ้าหากว่าถึงวาระ ถึงเทศกาลที่สำคัญ ก็จะมีการขอขมา การขอขมาแม่คงคาก็อาศัยช่วงลอยกระทงนี่แหละ

    คราวนี้ในการที่คนโบราณมีความเชื่อแบบนี้ ทำให้มีความเคารพในธรรมชาติ อยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยสร้างความเสียหายให้ธรรมชาติน้อยที่สุด เข้าป่าก็เคารพรุกขเทวดา แม้กระทั่งจะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะก็ต้องยกมือไหว้ ขออนุญาตเจ้าที่ก่อน จะตัดต้นไม้ใหญ่ จะทำอะไร ก็ต้องมีพิธีบัดพลีบวงสรวง ขอฤกษ์ขอยาม ขอนิมิตว่าตัดได้หรือไม่ ? ก็เลยทำให้สมัยก่อนที่เราเห็นว่า "คนโบราณโง่" นั้น คนโบราณอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข อยู่ร่วมกันแบบต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกัน


    ถ้าหากว่าเป็นโคลงโลกนิติ ก็ประมาณ "เสือพีเพราะป่าปก ป่ารกเพราะเสือยัง ดินเย็นเพราะหญ้าบัง หญ้ายังเพราะดินดี"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ความเชื่อทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็คือการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ รักษาธรรมชาติเอาไว้ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีพวกชอง รู้จักไหม ? เคยได้ยินชื่อไม้ชองระอาไหม ? ชอง ซาไก เป็นคนพื้นเมือง ตัวเล็ก ๆ หัวหยิก ๆ พุงป่อง ๆ ยังคงอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แล้วก็ทางด้านริมทะเลก็มีพวกมอแกน มอแกนนี่เป็นพวกเราเรียก ตัวเขาเรียก "อุรักลาโว้ย" อยู่ร่วมกับธรรมชาติ แล้วก็มีพวกตองเหลือง ที่เราเรียกว่า "ผีตองเหลือง" เขาเรียกตัวเองว่า "มาลาบรี"

    ถามว่าอยู่กับธรรมชาติอย่างไร ? อย่างเช่นว่าไปขุดมันเพื่อที่จะเอาไปเป็นอาหาร เขาขุดชอนจากข้างล่างขึ้นไป แล้วก็เด็ดเอาเฉพาะหัวมัน ปล่อยต้นให้อยู่เหมือนเดิม พอกลบดินกลับเข้าไป อีกไม่นานต้นก็แตกหัวใหม่ เพราะว่าเถายังอยู่ ไม่ได้รับการกระทบกระเทือน นั่นคือลักษณะของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

    คราวนี้นักปฏิบัติธรรมของเรา การที่เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติมีอยู่ส่วนหนึ่งที่พูดไปแล้ว พวกเราจะเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ก็คือรอบตัวเรามีดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นปกติ ถ้าหากว่าจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยเบียดเบียนให้น้อยที่สุด ก็คืออยู่ด้วยธรรมปีติ ถึงเวลาก็ล็อกกำลังใจของเราเอาไว้แค่ระดับปีติ ก็จะรู้สึกอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้สึกหิว


    เคยกราบเรียนถามหลวงปู่บุดดาว่า "ไม่หิวก็จริง แต่ร่างกายต้องใช้พลังงานนี่ครับหลวงปู่ ?" ท่านบอกว่า "มันหากินเอง" ถามว่า "หากินอย่างไรครับ ?" ท่านบอกว่า "ร่างกายก็ดึงสารอาหารในอากาศเอาเอง ดินกินดิน น้ำกินน้ำ ลมกินลม ไฟกินไฟ" ท่านอธิบายมาฟังแล้วก็มึนตึ๊บ จนกระทั่งตอนหลังถึงมีความเข้าใจว่า ร่างกายที่เราเห็นเป็นแท่งทึบนั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้ทึบเลย

    ถ้าในสายตาที่ละเอียดระดับทิพจักขุญาณนี่ ร่างกายเราพรุนไปหมด ทุกส่วนของร่างกายสามารถดึงเอาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เข้าไปใช้งานได้ ก็ไม่ต้องเบียดเบียนธรรมชาติอื่น แต่ถ้าหากมีคนสามารถทำได้มาก ๆ แล้วอยู่รวมกัน ก็ต้องย้ายไปที่อื่นเป็นระยะ เพราะว่าตรงนั้นจะโดนดึงไปจนกระทั่งบกพร่องไปเลย ลักษณะถ้าเหมือนกับปลูกพืช ก็คือพืชดึงเอาสารอาหารจากดินไปหมด ต้องรอเวลาให้ฟื้นตัว คราวนี้ในส่วนของร่างกายเป็นแบบนั้น บรรดาวัตถุธาตุต่าง ๆ ก็เป็นเหมือนกัน ก็คือเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมา
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ตอนที่กระผม/อาตมภาพฝึกที่หัดอยู่ ตอนแรกก็สงสัย "เอ๊ะ...ทำไมเราทะลุออกหลังคาได้ ทะลุออกข้างฝาได้" พอไปตั้งใจดูเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าไอ้ตึกที่เราเห็นทึบ ๆ นั้น มีรูใหญ่ยิ่งกว่า ประเภทเรียกว่าท่อเทศบาลกระมัง ? ไอ้ท่อที่กว้างประมาณเมตรยี่สิบ เมตรห้าสิบนั่น เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าเราทำสภาพร่างกายของเราให้ละเอียดได้ ก็สามารถผ่านไปได้ง่าย ๆ

    สมัยที่ฝึกซ้อมอยู่ ก็โดนโยมศุภาพร ปุษยะนาวิน อดีตภรรยาเจ้าคุณหลวงตา หลวงตาวัชรชัยท่านเอาครอบครัวไปอยู่วัดด้วย กระผม/อาตมภาพอยู่ตึกกองทุน ป้าศุอยู่ตึกเป๊ปซี่ ซึ่งติดกัน แล้วแกก็ดันตาดีเสียด้วย ถึงเวลาจะไปทำวัตร เดินผ่านตึกเป๊ปซี่ ป้าศุก็แซวว่า "ระวังนะหลวงพี่ ถ้ากำลังใจคลายตัวตอนออกไปครึ่ง ๆ แล้ว ก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ..!" แหม..มีการหลอกกันอีก

    ลองนึกดูว่า เราทำกายให้ละเอียดเพื่อที่จะลอดผ่านข้างฝาไป แล้วอยู่ ๆ กำลังใจคลายตัวแล้วร่างกายหยาบขึ้นมา ก็คาอยู่ข้างนอกครึ่งหนึ่ง อยู่ข้างในครึ่งหนึ่ง..ใช่ไหม ? อันนั้นป้าศุแกหลอกเอานะ หลอกเด็ก..! ไอ้ที่ว่าหลอกเด็กก็เพราะว่า ถ้าคนทำได้ถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ผ่านไปแล้วค่อยคลายกำลังใจ ใครจะไปคลายออกมากลางคันเล่า ?

    ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะอย่างนั้น ก็จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ดีมาก เพราะว่าไม่ต้องไปเบียดเบียนด้วยประการทั้งปวง แต่คราวนี้การที่เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยทั่ว ๆ ไปเราก็ทำได้ อย่างเช่นว่าเดินให้เบาลงหน่อยหนึ่ง อย่าตะโกน พวกประเภทเกิดอะไรขึ้นแล้วก็กรี๊ด ร้องกรี๊ดอยู่ตรงนี้ โน่น...เกิดพายุไปถล่มประเทศอเมริกาโน่น เพราะว่าสิ่งที่เราทำเป็นคลื่นที่สั่นสะเทือนออกไป พอไปรวมกันมาก ๆ เข้าจนได้ระดับ ก็ทำให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นมาได้..!

    ทันทีที่เห็นอเมริกาทิ้งระเบิดตูมตามโครมครามที่อัฟกานิสถาน กระผม/อาตมภาพคิดว่า "มึงซวยแน่..!" แล้วก็จริง ๆ หลังจากนั้น ๒ ปี บรรดาทอร์นาโดถล่มอเมริกาเละเทะหมดเลย เขาทำตัวเขาเอง เพราะว่าเวลาระเบิดแตกระเบิดออก ก็ดันอากาศออกไป...ระเบิดออกก็ดันอากาศออกไป พอแรงดันรวมกันมาก ๆ เข้า เคลื่อนที่ไปเรื่อย...เคลื่อนที่ไปเรื่อย พลังงานก็สูงขึ้น ๆ ท้ายสุดก็กลายเป็น "พายุสลาตัน" ตามภาษาโบราณ ซึ่งก็เกิดขึ้นในซีกโลกไหนก็เรียกกันไปคนละอย่าง เรียกทอร์นาโดบ้าง ไซโคลนบ้าง เฮอร์ริเคนบ้าง

    แม้กระทั่งการสวดมนต์ของเรา การที่เราสวดมนต์ ถ้าหากว่าทอดเสียงถูกจังหวะ จะเกิดคลื่นแห่งความสงบ ซึ่งต้องบอกว่าคนและสัตว์ล้วนแล้วแต่ต้องการ แต่ถ้าเราสวดมนต์ไม่เป็น ไปเสียงดังแล้วกระแทกจังหวะเข้า บางคนทนฟังไม่ได้เลย รู้สึกเหมือนอย่างกับมีอะไรมาทุบอก บางคนต้องเดินหนีเลย สมัยก่อนท่านอาจารย์สมพงษ์สวดมนต์นี่
    กระผม/อาตมภาพแทบจะวิ่งหนีเลย เสียงดังมาก..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ที่พูดตรงนี้ เผื่อหวังว่าพวกเราจะเข้าใจสักคนหนึ่งว่า การที่เราจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ลักษณะเหมือนเราเดินลงน้ำแล้วให้น้ำสะเทือนน้อยที่สุด จะคิด จะพูด จะทำอะไร ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้อื่นให้น้อยที่สุด ระมัดระวังกาย วาจา ใจของเราไว้ อย่าให้เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น

    แค่ไฟฟ้าก็ทำให้ผีจำนวนมหาศาลปรากฏกายไม่ได้แล้ว ดังนั้น...ถ้าใครกลัวผีแล้วนอนเปิดไฟ เป็นวิธีแก้ที่ถูกต้อง แต่แก้ได้เฉพาะพวกผีเด็ก ๆ ถ้าผีระดับปริญญาโท ปริญญาเอกนี่แก้ไม่ได้หรอก เพราะว่าเขาเก่งกว่า
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถึงเวลาผีจะปรากฏตัว เขาจะใช้กำลังของเขาดึงเอาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ในอากาศมารวมตัวกัน เพื่อให้เกิดกายหยาบขึ้นมาให้เราเห็น แต่หลอดไฟกระพริบแแว่บ ๆ ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลา ประมาณ ๕๐ รอบต่อวินาที เท่ากับกระแทกอยู่ตลอดเวลา

    คราวนี้พอ ดิน น้ำ ไฟ ลม จะมารวมกัน ก็โดนไอ้นี่กระแทกกระจายหมด รวมตัวกันไม่ได้ ฉะนั้น...ถ้าหากว่าใครมีประสบการณ์โดนผีหลอก ทำไมอยู่ ๆ เวลาผีมาแล้วเราหนาวขนลุกเกรียว ๆ ก็เพราะว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ตรงโน้นโดนผีดึงเอาไปสร้างกายหยาบ โดยเฉพาะธาตุไฟ ในเมื่อดึงไฟไป อากาศก็หนาว ถือว่าเป็นปกติ ยิ่งพูดก็ยิ่งฟุ้งซ่านนะ..!

    แต่ว่าวัตถุประสงค์จริง ๆ ก็คือว่า วันลอยกระทงเรามีการขอขมาแม่คงคา ให้นึกถึงว่าโบราณอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข แต่รุ่นของพวกเรานี่ทำลายธรรมชาติกันอย่างไม่บันยะบันยัง ขณะเดียวกันทำอย่างไรที่เราจะอยู่รวมกับธรรมชาติ โดยให้กระทบกระเทือนน้อยที่สุด ให้กาย ให้วาจา ให้ใจ ของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับผู้อื่นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พูดเผื่อว่า
    จะมีใครเข้าใจได้บ้าง

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...