เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 มกราคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา บ้านเราเมืองเราก็สูญเสียศิลปินแห่งชาติไปอีก ๑ ราย ก็คือไวพจน์ เพชรสุพรรณ ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อ ๓ - ๔ วันก่อน ก็สูญเสียหนุ่มนาเสียงเด็ด ศรเพชร ศรสุพรรณไปอีก จะว่าไปแล้วก็พอสมควรแก่กาล เพราะว่าศรเพชรอายุ ๗๓ ปี ไวพจน์อายุ ๗๙ ปี แต่ว่ามาเสียชีวิตติด ๆ กันในระยะนี้

    เรื่องนี้ทำให้นึกถึงสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเรียนชั้นประถมอยู่ แล้วมีนักร้องเสียชีวิตติดกันหลายรายเช่นกัน จนกระทั่งมีผู้แต่งเพลง "ยมบาลเจ้าขา" ขึ้นมา คือถ้าไม่แก่จริงก็ไม่ได้ยินเพลงนี้ ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่ายุ้ย ญาติเยอะเอามาร้องซ้ำอีกครั้งหนึ่งในยุคไม่นานที่ผ่านมา คือด้วยความที่นักร้องเสียชีวิตหลายรายติดกัน ก็เลยมีการตั้งข้อสังเกตว่า พระยายมอาจจะอยากตั้งวงดนตรี..! ในเนื้อเพลงว่าอย่างนั้น

    ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพเกิดอยู่ในยุคที่นักร้องมากมายเป็นดอกเห็ด เนื่องจากว่าในยุคเดียวกันของศรเพชร ศรสุพรรณนั้น ยังมีนักร้องอี่นอีกมากมายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ดาว บ้านดอน ศรชัย เมฆวิเชียร เพชร โพธาราม ไล่มาถึงสายัณห์ สัญญา ยอดรัก สลักใจ สัญญา พรนารายณ์ ฯลฯ สารพัด

    มีกระทั่งเสกศักดิ์ ภู่กันทอง ประกายเพชร สรหงษ์ สนธิ สมมาตร บางท่านอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียด้วยซ้ำไป แล้วรุ่นพี่ที่ดังติดลมบนเลย อย่างศรคีรี ศรีประจวบ หรือไม่ก็ไพรวัลย์ ลูกเพชร ต้องบอกว่าเป็นยุคที่นักร้องเป็นร้อย แล้วแต่ละคนก็มีทีเด็ดของตนเอง อย่างรุ่งเพชร แหลมสิงห์นี่ได้ดีตรงเสียงเหน่อ เป็นต้น

    ในส่วนนี้ที่กล่าวถึง ก็เพราะว่ายุคสมัยกาลเวลาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนก็ขึ้นลงไปตามหลักอนิจจังของพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าใครเคยศึกษาเกี่ยวกับเส้นกราฟวิวัฒนาการที่เหมือนกับคลื่น..ขึ้นลง..ขึ้นลง..ลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่าจุดตัดระหว่างวิวัฒนการต่ำสุดกับวิวัฒนาการสูงสุดเกิดขึ้นเมื่อไร ก็น่าจะเป็นยุคต้นกัป อย่างเช่นว่า ถ้าเป็นสมัยพระศรีอาริเมตไตรย ความสูงของมนุษย์จะ ๘๘ ศอก ซึ่งศอกของสมัยนั้นก็คือเมตรหนึ่งของสมัยนี้ ก็เท่ากับว่าคนสูง ๘๘ เมตร ก็ตัวใหญ่เป็นยักษ์เลย..!

    เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าวิวัฒนการของเราต่ำสุด ขณะเดียวกัน วิวัฒนาการของอีกด้านหนึ่งสูงสุด ความต่างก็จะมีมากมายมหาศาล แม้กระทั่งอายุก็อยู่กันเป็นแสนปี อย่างพระพุทธเจ้าบางพระองค์ ตรัสรู้และประกาศพระศาสนาอยู่ ๓๐,๐๐๐ ปี เป็นต้น ถ้าเราเข้าใจในเรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เราก็จะไม่แปลกใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะคิดว่าเป็นไปได้หรือวะ..!?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    ดังนั้น...การที่คนเราตัวเล็กลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตอนปลายศาสนาที่ว่ามีอายุ ๑๐ ปีเป็นประมาณ คนอายุ ๒ ปี เป็นหนุ่มเป็นสาว มีคู่แล้ว สมัยกระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ เขาใช้คำว่า "ต้องสอยมะเขือกิน"

    เราลองนึกถึงต้นมะเขือ ซึ่งสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็คือมะเขือเปราะ มะเขือขื่น อย่างเก่งก็สูงแค่เอวเรา แต่คนยุคนั้นต้องสอยมะเขือกิน เพราะว่าต้นมะเขือกลายเป็นต้นใหญ่มาก แต่ตนเองตัวเล็กลง ก็คงเป็นประมาณลูกหมาวิ่งลอดใต้ต้นมะเขือ เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเป็นไปตามหลักวิวัฒนการของทางด้านชีวศาสตร์ ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากว่าไม่มีหลักพวกนี้มาให้เรายึด ก็ต้องอาศัยศรัทธาคือความเชื่อเท่านั้น

    ควาวนี้ศรัทธาความเชื่อสำหรับพวกเรานั้น ที่สำคัญที่สุดคือ ตถาคตโพธิสัทธา ความเชื่อมั่นในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าเราศึกษาในพระไตรปิฎก แล้วปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมในบางส่วน จะเห็นความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันของหลักธรรมทั้งหมด โดยที่ไม่มีส่วนแย้งกันเลย ตรงจุดนี้จะได้เห็นอัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ท่านตรัสรู้หลักธรรมจริง ๆ และในขณะเดียวกัน สิ่งที่นำมาสอนพวกเรา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น เป็นแค่ "ใบไม้กำมือเดียว" ด้วย แล้วใบไม้ทั้งป่าของพระองค์ท่านจะขนาดไหน ?


    แต่พระองค์ท่าน ไม่ได้สอนให้เราศรัทธาพระองค์ท่านโดยตรง พระองค์ท่านสอนว่ากัมมสัทธา ให้เราเชื่อกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ดี

    วิปากสัทธา เชื่อการส่งผลของกรรม ก็คือถ้าคุณทำมาก็เจอแน่ ๆ ทำดีก็ได้ดีไป ทำไม่ดีก็ได้ชั่วไป


    กัมมัสสกตสัทธา เชื่อในความมีกรรมเป็นของตน ใครทำคนนั้นก็รับผลไป และท้ายที่สุดคือตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีบอกว่าให้เชื่อพระองค์ท่านเลย แม้กระทั่งบางพระสูตรอย่างเกสปุตตสูตร ยังบอกว่า อย่าเชื่อแม้สมณะนี้เป็นครูของเรา ก็คือมา สมโณ โน ครูติ


    แล้วเราจะเกิดศรัทธาขึ้นได้อย่างไร ? ศรัทธาเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรก...มีประสบการณ์ตรง อย่างเช่นว่าปฏิบัติธรรมแล้วเกิดผล หรือใช้วัตถุมงคลแล้วมีประสบการณ์ขึ้น อย่างนี้ เป็นต้น ศรัทธาประการที่สองก็คือ เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ถ้าประเภทนั้น ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี เพราะว่าเกิดผลกับตนเองแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    คราวนี้อยู่ที่พวกเราว่า อันดับแรกเลยก็คือ ถ้าไปหวังผลของประสบการณ์ต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้น..เราต้องตั้งเป้าเอาไว้ว่าการปฏิบัติธรรมของเราต้องทำให้เกิดผล ไม่เช่นนั้นแล้ว เราเองก็ได้แต่ "คิดว่า คาดว่า" ก็คือ คาดเดาเอาโดยตรรกะธรรมดา ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วใช้ไม่ได้กับหลักธรรม

    เพราะว่าหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เวลาเราปฏิบัติเข้าถึงแล้วเป็น "ปัจจัตตัง" เป็นเครื่องรู้เฉพาะตน ภาษาคนหรือภาษาหนังสือไม่สามารถที่จะสื่อถึงความละเอียดชัดเจนได้ เป็นการรู้อยู่แก่ใจ สิ่งที่เรารู้ แม้เพียงเล็กน้อย แต่บางทีถ้าอธิบายเป็นภาษามนุษย์ก็พูดจนคอแห้ง หรือว่าถ้าเขียนเป็นหนังสือ ก็อาจจะหลายหน้ากระดาษ แล้วก็ไม่ชัดเจนอีกด้วย

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบว่า แค่คำว่า "สุข" ในการปฏิบัติธรรม ที่ยังไม่ถึงปฐมฌานเลย กำลังของอุปจารสมาธิขั้นปลายสามารถกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว ไฟรัก ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ที่เผาเราอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ก็ดับลงไป สบายอย่างไรบอกไม่ถูก มีความสุขอย่างไร พูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้

    ดังนั้น...ศรัทธาจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง อย่างน้อยเราต้องปฏิบัติธรรมให้เกิดผล โดยเฉพาะถ้าเกิดปีติแล้ว ตรงนี้ต้องระวัง เหมือนอย่างกับกำลังใจท่วมท้น ไหลมาเทมา บางทีเราก็ทำหามรุ่งหามค่ำ ไม่พักไม่ผ่อน ไม่กินไม่นอนไปเลย แล้วร่างกายทนไม่ไหวก็เจ๊ง..! เกิดอาการจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ยุ่งไปหมด

    ดังนั้น...ในส่วนที่ต้องระวังก็คือทางสายกลางที่เหมาะสมกับพวกเรา ซึ่งกระผม/อาตมภาพบอกไปหลายครั้งแล้วว่า ทางสายกลางไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ความพอดีขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่า กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังบารมี ที่สั่งสมมามากน้อยต่างกัน ความพอดีของทางสายกลางจึงต่างกัน

    เราต้องหาทางสายกลางเฉพาะตนของเราให้ได้ แต่ว่าอย่างต่ำที่สุดต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ถ้าหากว่าเป็นเพศภาวะของสามเณรก็คือศีล ๑๐ ถ้าเป็นพระภิกษุก็ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ ศีล ๒๒๗
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    เมื่อประคับประคองศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ยังต้องทำความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าหรือว่าลับหลัง เป็นความเคารพที่ออกจากใจมาจริง ๆ เพราะเห็นคุณเห็นประโยชน์ และท้ายที่สุด มีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย กำหนดเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจนว่า ตายแล้วเราจะพระนิพพานที่เดียว

    ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะรักษาอารมณ์ใจนี้เอาไว้ได้ โอกาสถอยหลังไม่มี ถ้าตราบใดที่ยังรักษาอารมณ์ใจเช่นนี้ไว้ไม่ได้ ยังไม่ถือว่าปฏิบัติจนเกิดผล มีบางท่านที่สามารถเห็นตรงจุดนี้แล้ว แต่ยังไม่มั่นคง

    การมองเห็นตรงจุดนี้ ถ้าเป็นภาษานักปฏิบัติ เขาเรียกว่ามรรค ก็คือเห็นทางชัดเจนแล้ว เหลือแต่ผล ก็คือจะไปถึงปลายทางเมื่อไร ถ้าหากอย่างที่อรรถกถาจารย์เปรียบเทียบไว้ ก็คือ เหมือนกับบุรุษผู้หนึ่งก้าวข้ามลำธารเล็ก ๆ เท้าหนึ่งไปอยู่ฝั่งโน้น อีกเท้าหนึ่งยังเหยียบฝั่งนี้ รอแค่ชักเท้าหลังก้าวตามเท้าหน้าไปก็เป็นผลแล้ว

    ดังนั้น...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตาเราเห็น หูเราได้ยิน จมูกเราได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ต้องให้เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้ ถ้าสามารถเห็นอย่างนี้ได้มากเท่าไร ความยึดมั่นถือมั่นจะน้อยเท่านั้น แล้วท้ายที่สุดก็ปล่อย วาง สลัด ตัด ละ หลุดออกจากวงจรการเวียนว่ายตายเกิดไปได้

    ดังนั้น...การที่ศรเพชร ศรสุพรรณ หรือว่าไวพจน์ เพชรสุพรรณเสียชีวิตลงก็ดี ถือว่าเป็นไปตามปกติของโลก ก็คือความไม่เที่ยง ไปสร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่ญาติพี่น้อง หรือผู้ที่เคารพนับถือ ตลอดจนกระทั่งมิตรรักแฟนเพลง
    แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าไปยึดถือในตัวในตน ก็เห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่ายึดไม่ได้ ท้ายสุดก็โดนเผา อย่างเก่งก็เหลืออัฐิอยู่กองหนึ่ง นาน ๆ ไป แม้กระทั่งอัฐิที่เก็บไว้ก็ผุพัง สลายตัวไป ไม่มีอะไรให้ยึดมั่นได้เลย

    ถ้าเราสามารถมองเห็นในลักษณะอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ก็ตั้งเป้าไว้เลยว่าตายเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้ารักษากำลังใจเช่นนี้เอาไว้ เช้าสัก ๑ รอบ เย็น ๑ รอบ ไม่ต้องมาก ๕ นาที ๑๐ นาทีก็พอ ตายจากชาตินี้ ท่านทั้งหลายก็สามารถไปพระนิพพานได้

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...