เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 สิงหาคม 2024 at 19:48.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,405
    ค่าพลัง:
    +26,221
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,405
    ค่าพลัง:
    +26,221
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พรุ่งนี้พระนวกะของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิก็จะเริ่มปฏิบัติธรรมประจำปี คราวนี้ในระยะเวลาหลายวันนั้น ควรที่จะเป็นเวลาที่เรากอบโกยสิ่งต่าง ๆ ให้กับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ใช่ว่าเขาสอนไม่ถูกใจ แล้วเราก็เอากิเลสไปปะทะด้วย ก็คือเกิดความไม่พอใจขึ้นมา เกิดการต่อต้าน ซึ่งจะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์

    การปฏิบัติธรรมประจำปีนั้นเกิดจากพระเถระระดับสูง ที่ท่านเห็นว่าในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่พระใหม่ของเราบวชเข้ามาแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ต้องใช้คำว่า "ส่วนใหญ่" เนื่องเพราะว่าส่วนน้อยอย่างของวัดเราที่บังคับเรียน บังคับทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานนั้นไม่ค่อยมี ท่านก็เลยกำหนดต้องให้มีการปฏิบัติธรรมประจำปี ซึ่งหลายแห่งก็ทำแค่พอพ้นหน้าไป ไม่ให้ผู้บังคับบัญชาตำหนิได้เท่านั้น

    แต่ว่าพวกเราอย่าเป็นเช่นนั้น ต้องถือว่าเป็นโอกาสอันดีงามที่เราจะกอบโกยสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเองให้มากที่สุด เพราะว่าต่อให้อยู่วัด กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้บังคับให้พวกท่านปฏิบัติธรรมตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่ว่าในงานปฏิบัติธรรมจะมีพระวิปัสสนาจารย์คอยควบคุมอยู่ ซึ่งไม่ใช่แค่ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นเท่านั้น หากแต่ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเกือบทั้งวัน

    แต่หลายท่านไม่คุ้นชินกับรูปแบบที่เขานำมาสอนพวกเรา ขอเรียนถวายว่า "อย่าโง่" ก็คือในการเดินจงกรม เขาต้องการความพร้อมเพรียงอยู่แล้ว เราก็เดินจงกรม ๖ ระยะตามเขาไป แต่พอนั่งภาวนา ครูสอนอะไรเราก็ทำตามแบบที่เราถนัด เท่านั้นก็หมดปัญหาแล้ว..!

    ส่วนทางด้านวัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส หลวงพ่อมณฑล (พระครูสุชาตกาญจนโกศล) ท่านไม่อยู่ ได้ข่าวว่าไปไม่สบายอยู่ต่างประเทศด้วย ก็แปลว่าปลัดแป๊ะ (พระปลัดวินัย ชาคโร) จะต้องรับผิดชอบ เข้าไปคอยดูแลเอาไว้ สัก ๑๐ วัน ครึ่งเดือน เข้าไปทำความสะอาดใหญ่สักรอบก็ได้ เพียงแต่ว่าการเข้าออกจะลำบากหน่อย ก็คือถ้าไม่มีรถขับเคลื่อน ๔ ล้อ โอกาสที่จะได้ขุดได้เข็น ก็คงจะพอ ๆ กันกับสำนักสงฆ์ถ้ำโป่งช้าง..!

    โดยเฉพาะรถขับเคลื่อน ๔ ล้อของเรา มีแต่คนใช้งานแล้วก็ไม่ได้มีการซ่อมบำรุง จนกระทั่งระบบพังบรรลัยหมดแล้ว ก็คือกระผม/อาตมภาพทอดธุระตั้งแต่ครั้งแรก เพิ่งจะนำไปติดตั้งเบาะญี่ปุ่น ตลอดจนกระทั่งเครื่องปรับอากาศด้านหลัง กลับมาวันนั้นเบาะก็ขาดวันนั้น ก็เพราะว่าไอ้คนใช้ดันปัญญานิ่ม ทะลึ่งเอาเก้าอี้ไปตั้งเพื่อที่จะได้นั่งสบาย เก้าอี้ก็เลยเจาะเบาะเสียขาดหมด..! หลังจากนั้นจะทำอะไรก็เชิญ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพมีนิสัยก็คือ
    ถ้าหากว่าตัดอะไรก็ตัดออกจากใจไปเลย ไม่ได้สนใจที่จะไปดูแลอีก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,405
    ค่าพลัง:
    +26,221
    เรื่องพวกนี้พวกเราเองก็จะต้องพยายามทำให้ได้ ก็คือให้ความผูกพันต่าง ๆ มีกับเราให้น้อยที่สุด ส่วนที่กระผม/อาตมภาพดีใจที่สุดก็คือ ตัดคุณค่าของเงินออกจากใจตัวเองได้ตั้งแต่พรรษาแรก ๆ เพราะว่าโดนเพื่อนทิ้ง..!

    ไปรับผิดชอบดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ ซึ่งตอนหลังกลายเป็นศาลาหลวงพ่อ ๕ พระองค์ที่วัดท่าซุง แต่ละงานญาติโยมทำบุญด้วยการเอาเหรียญที่ตนเองภาวนาพระคาถาเงินล้านแล้วหยอดกระปุกไว้ มาทำบุญตามตู้ทำบุญต่าง ๆ รวมแล้วงานหนึ่งก็เป็นล้านเหรียญ..! แล้วเครื่องนับที่มีอยู่ก็เป็นเครื่องรุ่นเก่า ที่มีเหรียญผิดแปลกไปแม้แต่เหรียญเดียวก็จะหยุดทำงาน จนกว่าเราจะไปคุ้ยหาเจอแล้วก็เอาออกมา กระผม/อาตมภาพรำคาญก็เลยใช้วิธีนับด้วยมือ คราวนี้หาคนช่วยไม่ได้ เพราะว่ามีแต่คนคิดว่า "ไม่ใช่ภาระของตน..!"

    เพราะว่าในเรื่องของเหรียญนั้น แม้แต่ธนาคารก็คิดว่าไม่ใช่ภาระของตนเอง ต่อให้เรานับไปดีแค่ไหน เขาก็จะไปนับใหม่ แล้วก็คิดค่านับร้อยละ ๒ บาท..!
    กระผม/อาตมภาพจึงต้องเช็คก่อน ๑ รอบด้วยการนับจนครบ ปรากฏว่าวันนั้นนับตั้งแต่ประมาณ ๔ โมงเย็นไปเสร็จเอาตี ๒ กว่า..! เป็นเงินแค่ล้านกว่าเหรียญเท่านั้น

    ตั้งแต่นั้นมา กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้เห็นคุณค่าของเงินเลย นอกจากเห็นความทุกข์จากเงิน หลายท่านที่ได้ยินกระผม/อาตมภาพเล่าว่าเก็บห้องทีไรก็ได้เงินทุกทีก็เพราะอย่างนี้ เนื่องเพราะว่าถ้ารับกิจนิมนต์มา ก็จะโยนกอง ๆ เอาไว้พอไม่ให้เกะกะ บางทีก็ทับก็ซ้อนกันอยู่เป็นปี ค้นเจอแต่ละทีรู้สึกดีใจที่มีเงินใช้ตั้งเยอะ ถ้าเราสามารถตัดสิ่งต่าง ๆ ออกจากใจได้ในลักษณะอย่างนี้ ความผูกพันจะน้อยลงไปเรื่อย

    ญาติโยมหลายท่านก็น้อยใจที่กระผม/อาตมภาพไม่ได้ให้ความใส่ใจเลย เกิดจากสาเหตุสองประการด้วยกัน ประการแรกก็คือครูบาอาจารย์ท่านเคยปรารภว่า "การมีลูกศิษย์ก็เหมือนกับมีเมียน้อยหลายคน เอาใจคนไหนที่เหลือก็จะน้อยใจ"

    อีกส่วนหนึ่งก็คือ กระผม/อาตมภาพนั้นสนใจในเรื่องการรักษากำลังใจตัวเองเท่านั้น ไม่ได้สนใจที่จะไปรักษากำลังใจคนอื่น ต่อให้คุณอธิษฐานมาขนาดไหน ก็ใช้คำว่า "เรื่องของมึง..!" ก็คือกระผม/อาตมภาพไม่ได้มีหน้าที่ไปตัดสินชีวิตของใคร ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีหน้าที่ไปรักษากำลังใจของใคร นอกจากช่วยทุบ..! ถ้าเอ็งสามารถรอดไปได้ ก็แปลว่าแกร่งพอที่จะปฏิบัติธรรมต่อ ถ้าไม่รอดก็ถือว่าโดนคัดทิ้งไป..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,405
    ค่าพลัง:
    +26,221
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพไม่เสียเวลาไปเคี่ยวเข็ญทุกคนให้ทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐาน หรือบิณฑบาต เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่ทำก็เรื่องของมึง..! ถ้าไม่มีอารมณ์ไปสนใจก็แล้วไป ถ้าสนใจเมื่อไร ก็จะได้ฉวยโอกาสไล่ออกจากวัดไปเลย หมดเรื่องหมดราว..! เพราะว่าเราบวชมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จำเป็นที่จะต้องเล่นให้สมบทบาท ในเมื่อหน้าที่ของพระก็คือสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต เจริญพระกรรมฐาน แล้วเราไม่ทำจะเป็นพระได้อย่างไร ? วัน ๆ อาศัยแต่เปลือกนอกหลอกกินของชาวบ้านเขาไปเรื่อยก็หาความซวยใส่ตัวเอง..!

    ตราบใดที่ท่านยังไม่เห็นนรกด้วยตนเองก็จะไม่รู้สึกกลัว แต่กระผม/อาตมภาพเห็นมาตั้งแต่ก่อนอายุครบ ๒๐ ปี โยมแม่ขอร้องให้บวชปีแล้วปีเล่า ก็ไม่ยอมบวชเพราะว่ากลัว เนื่องจากว่านรกแต่ละขุม บรรดานักบวชลงไปแออัดยัดเยียด แน่นจนเหมือนอย่างกับเปิดกล่องไม้ขีดไฟ แล้วเห็นหัวไม้ขีดอย่างไรอย่างนั้น..! กลัวว่าตัวเองจะต้องลงไปอยู่ตรงนั้น แต่ด้วยความที่ครูบาอาจารย์ขอให้บวชให้ท่าน จึงตัดสินใจที่บวช แต่ก็ตั้งใจจะบวชแค่ ๗ วันเท่านั้น..!

    เพียงแต่ว่า ๗ วันที่ตั้งใจเอาไว้ก็คือปิดทางถอยของตัวเองจนหมด ข้าวของเงินทองทุกอย่างสละให้คนอื่นหมด ถ้าหากว่าสึกออกมาเมื่อไรก็ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ในเมื่อปิดทางถอยของตัวเองแล้วคู่ต่อสู้อยู่ตรงหน้า ก็มีอย่างเดียวคือลุยกันให้ตายไปข้างหนึ่ง เพราะว่าทางถอยไม่มี ไม่เหมือนกับหลายท่านที่เปิด "โอเพ่น" ๓๖๐ องศา กูพร้อมที่จะถอยทันที..! บวช ๓ วัน ๗ วันแล้วสึก นึกว่าดี ประเภทนั้นจะได้ดีตรงไหน ? ก็ได้ดีแค่กำไรบุญ ซึ่งเป็นเรื่องของทางโลก ๆ เท่านั้น แต่ว่าในส่วนของธรรมนั้นเข้าถึงยากมาก เพราะกำลังใจของเราไม่เด็ดขาดพอ

    ในเรื่องของสมาธินั้นมีแต่ประโยชน์ทั้งสิ้น เนื่องเพราะว่าจะไปเสริมปัญญาของเราให้แหลมคม ว่องไว รู้เท่าทันกิเลส จนกระทั่งสามารถถอนตนเองออกมาได้ แม้กระทั่งทุกวันนี้ ต่างประเทศเขาก็ใช้งานกันเป็นปกติ เราจะเห็นว่านักแม่นปืนชาวตุรกี ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อยูซุฟ ดิเคช เดินเข้าไปยิงปืนแบบหน้าตาเฉย แล้วก็หยิบเหรียญเงินไปหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ช่วยใด ๆ ทั้งสิ้น นั่นคือลักษณะของคนที่ทรงสมาธิจนกระทั่งเป็นปกติแล้ว ไม่มีอะไรที่กระทบกระเทือนให้หวั่นไหวได้แล้ว ที่ภาษาเด็กรุ่นใหม่เขาบอกว่า "ชิล ๆ"

    หรือไม่ก็นักกระโดดสูงชาวยูเครน ก็คือยาโรสลาวา มาอูชิค นอนอยู่ข้างสนามรอกรรมการเรียกไปกระโดด คนอื่นถามว่า "จะชิลไปถึงไหน ?" แต่เขาบอกว่าเขากำลังทำสมาธิ และทำแบบนี้มาตลอด ก็คือถ้าไม่ใช่มองเมฆเพื่อความผ่อนคลาย ก็จะนับเลขในใจไปเรื่อย นั่นคือการภาวนาสร้างสมาธิของตัวเอง แล้วเขาสามารถตัดอารมณ์หลับได้ทุกเวลา พวกเราทำได้ขนาดนั้นไหม ? บางคนฟุ้งซ่านไปครึ่งค่อนคืนยังไม่ยอมหลับเลย..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,110
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,405
    ค่าพลัง:
    +26,221
    ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายมาก เพราะว่าเขาไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม เป็นเพียงผู้เล่นกีฬาเท่านั้น แต่สามารถใช้สมาธิในการเล่น จนกระทั่งสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติของตัวเองได้ ขณะที่พวกเราได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม กำลังที่จะสู้กิเลสยังไม่มี โดยเฉพาะถ้าเป็นนักชวชก็ยิ่งน่าขายหน้าเข้าไปอีก เพราะว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อที่นำไปสั่งสอนญาติโยมต่อ

    บริษัท ๔ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ภิกษุ ภิกษุณีเป็นบุคคลที่ไม่ได้ทำงาน มีเวลาในการปฏิบัติธรรมมากกว่า อาศัยการสนับสนุนปัจจัย ๔ จากอุบาสก อุบาสิกาที่มีแต่งานท่วมหัว ไหนจะลูกกวนหัว ไหนจะผัวกวนใจ เวลาปฏิบัติธรรมไม่มี เขาหวังให้พวกเราทำให้เต็มที่ ถ้าชี้ทางออกบอกทางถูกได้ เขาก็จะไปทางลัด ก็คือไม่ต้องไปดิ้นรนไขว่คว้าให้ยากลำบากด้วยตนเอง เนื่องเพราะว่าผู้ที่เคยผ่านทางมาแล้ว ย่อมบอกทางที่ง่ายที่สุดให้กับเขาได้ แล้วเราเองไปรอการสนับสนุนปัจจัย ๔ จากอุบาสกอุบาสิกาอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้คิดจะตอบแทนอะไรเลย ก็รู้สึกว่าจะเกินไป..!

    จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องมีจิตสำนึกว่า เราบวชเข้ามาแล้วต้องทำให้เต็มที่ สะสมบุญกุศลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าสึกหาลาเพศไป ต้นทุนตรงนี้จะทำให้ทางชีวิตของเราสะดวกกว่าผู้อื่น แต่ถ้าหากว่าอยู่ต่อไป ผลบุญที่เราสร้างสมไว้จะกลายเป็นบารมี ถึงเวลาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะมาพึ่งพิง ถ้ากำลังเราไม่พอ ถึงเวลาก็จะตบะแตกเอง..!

    ขอฝากเอาไว้ว่าสำหรับท่านทั้งหลายที่ยังไม่มีการไม่มีงานทำ แล้วคิดจะสึกหาลาเพศหลังจากรับกฐินแล้วว่า
    "โลกเราจะวุ่นวายไปอย่างน้อย ๓ ปี โอกาสที่จะสึกออกไปแล้วได้งานได้การยากมาก ๆ" รอดูแค่ออกพรรษานี้ ก็จะรู้ว่าฉิบหายวายป่วงกันขนาดไหน ?!! เพราะฉะนั้น""ถ้าหากว่าจะตัดสินใจสึกออกไปให้ลำบากกว่าเวลาอื่นก็ตามใจ แต่ถ้าคิดว่ายังอยู่ต่อไป เพื่อสร้างสมบุญกุศลให้กับตัวเองได้ ก็ทนอยู่ต่อ สถานการณ์ของโลกและประเทศชาติดีขึ้นแล้วเราค่อยสึกหาลาเพศไปก็ยังไม่สาย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...