เสกจนเหรียญแตกรุ่นแรกหลวงพ่อไวย์๑ใน๑๖เกจิพิธีจตุรพิธพรขัยเหรียญและพระผงลพ.คลี่ประชาโฆษิตาราม

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    เหรียญพระแก้วมรกต สร้างเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี ธนาคารศรีนคร ปี 2523 พิธีใหญ่ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และเกจิอีกหลายรูปร่วมปลุกเสก

    ด้านหลัง มีตัวอัขระ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ซึ่งเป็นอักขระชุดเดียวกะที่เขียนในเหรียญหลวงพ่อเดิมอันลือลั่น ถึง 2 ชุดทั้งเดินหน้าและถอยหลัง เพิ่มความเข้มขลังแบบทวีคูณเข้าไปอีก เป็นเหรียญดีที่น่าเก็บอีกรุ่นครับ

    อะสังวิสุโลปุสะพุภะ เป็นพระพุทธคุณ 9 ประการของพระพุทธเจ้า ใช้เป็นพุทธานุสสติในการเจริญพระกรรมฐาน หมายถึงระลึกเอาคุณพระพุทธเจ้ามาเจริญภาวนา เจริญมากๆ จนกระทั่งจิตใจเป็นสมาธิ ก็จะระงับนิวรณ์ต่างๆในชั่วระยะอยู่ในฌาน สมเด็จพระพุฒาจารย์อาจ อาสภเถระท่านแนะนำว่า ต้องสวดมากๆ เพื่อทำให้พระพุทธคุณติดอยู่กับใจ หรือให้ใจติดกับพระพุทธคุณ เมื่อใจติดกับพระพุทธคุณดีแล้ว เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ พอจะนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ใจวิ่งไปหาพระพุทธคุณเลยทีเดียว หรือพระพุทธคุณมาปรากฏแก่ใจทันที อย่างนี้เรียกว่าเจริญได้ที่แล้ว.....ต้องสวดต้องท่องกันให้ได้ เพราะไม่ได้นี่แหละ เวลาภาวนา พระพุทธคุณ ก็ไม่มาคุ้มครองปกป้องรักษาเรา มีเหตุเภทภัย ก็คุ้มครองอะไรไม่ได้ และเพราะเราไม่เจริญพระพุทธคุณนี่แหละ เราก็ไม่รู้จักคุณพระพุทธเจ้าจริงๆ พระพุทธเจ้าก็เลยไม่รู้จักเรา เมื่อเราไปไหนมาไหน พระพุทธเจ้าก็ไม่ตามรักษาพระพุทธคุณนี้ ถ้าเจริญได้จริงๆ ใจรักจริงๆ ไปไหน พระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด ให้เราได้เล็ดลอดปลอดภัย ให้เราได้มีความสุขด้านจิตใจจริงๆ.พระพุทธคุณ 9ประการนั้น คือ อิติปิโส ภควา สมเด็จพระผู้มรพระภาคพระองค์นั้น...
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่ง30บาทflashหรือ j&t

    IMG_20220914_212523.jpg IMG_20220914_212614.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    pic_160.jpg
    พระครูสุวิชานวรวุฒิ เคยเล่าให้พระภิกษุ สามเณร ฟังถึงความยากลำบากในวัยเด็กของเด็กชายปี้ ชูสุข ว่า "มันถึงที่สุดแค่นั้นเอง เพราะถ้ามันเกินกว่านี้ไป ชีวิตก็ทนไม่ได้ ต้องตายแน่ๆ"
    การปกครอง และสมณศักดิ์
    พ.ศ. 2481 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงคีรี

    พ.ศ. 2485 ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดลานหอย และได้รับตราตั้งกรรมวาจาจารย์

    พ.ศ. 2492 เป็นพระอุปัชฌาย์

    พ.ศ. 2496 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบ้านด่านลานหอย

    พ.ศ. 2510 เลื่อนขึ้นเป็นพระครูสัญญาบัตร พระครูเจ้าคณะตำบลชั้นโท

    พ.ศ. 2510 เป็นเจ้าคณะตำบลกิตติมศักดิ์

    ท่านได้อบรมพระภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกาที่ไปกราบนมัสการท่านในเทศกาลต่างๆ เช่นในวันตรุษสงกรานต์ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษาเป็นต้น การอบรมของท่านส่วนใหญ่จะเป็นไปในแบบ "สนทนาธรรม" และ "ปริศนาธรรม" ท่านมีปริศนาธรรมมาก ได้แนะนำให้ประชาชนงดเว้นจากการทุจริต กลับมาประพฤติตนเป็นสุจริตชนได้เป็นจำนวนมาก คนที่มีปัญหาเดือดร้อนมักไปนมัสการท่าน เล่าถึงปัญหาความเดือดร้อนให้ท่านฟัง ถ้าช่วยได้ท่านก็จะช่วยทันที พร้อมกับให้คติธรรมแนะนำสั่งสอนให้ทำแต่ความดีต่อไปว่า ผลของการทำความดีจะต้องตอบสนองอย่างไม่ต้องสงสัย ท่านเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนได้เป็นอย่างดี

    นอกจากวัดในเขตอำเภอบ้านด่านลานหอยแล้ว ท่านยังได้ให้การอุปถัมภ์การสร้างถาวรวัตถุให้กับวัดในอำเภอ และจังหวัดอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ที่ไปขอความอุปถัมภ์จากท่านในงานสาธารณอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ประชาชนและทางราชการ ท่านได้ให้แนวความคิดในการงานนั้นๆ ให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถ้าเป็นงานที่จะต้องมีการใช้จ่ายเงิน ท่านก็จะมอบวัตถุมงคลของท่านให้เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนำไปดำเนินการ นับว่าท่านเป็นพระที่ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติเป็นอย่างมากรูปหนึ่ง

    เด็กชายปี้ เป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อคนและสัตว์มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ เคยไปพบคนฆ่าสัตว์ คือเก้ง-กวาง ก็เกิดเมตตาสงสารจับใจ จนไม่สามารถรับประทานเนื้อสัตว์เหล่านั้นได้ เด็กชายปี้ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเพศฆราวาส ซึ่งเต็มไปด้วยความยากลำบากจนอายุได้ 20 ปี ก็เกิดศรัทธามีความปรารถนาจะบรรพชาอุปสมบทเป็นพุทธบุตรในพระพุทธศาสนา

    การศึกษาทางพระพุทธศาสนา
    เมื่ออายุครบ 20 ปี มีความเลื่อมใสศรัทธาที่บวชในพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่สามารถจะบวชได้เพราะความยากจน ไม่มีเงินจะซื้อผ้าไตร แม่จึงต้องพาไปหา นายโจทย์ เข็มคง กำนันตำบลลานหอยในขณะนั้น โดยได้ขอร้องนายโจทย์ ให้ช่วยเป็นเจ้าภาพจัดการให้ได้บวชในพระพุทธศาสนา นายโจทย์ ก็รับเป็นเจ้าภาพจัดการบวชให้สมความปรารถนายังความปลื้มปิติให้กับ นายปี้ และมารดาเป็นอย่างยิ่ง แม่ของนายปี้ มีเงินไปร่วมในการบวชลูกชายเพียง ๒๕ สตางค์เท่านั้นเอง ได้บวชเป็นพระภิกษุสมความปรารถนา เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2465 ณ พัทธสีมา วัดสังฆารามตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย โดยมีพระครูวินัยสาร (พระราชประสิทธิคุณ) เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการน้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า ทินโน เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเชิงคีรี ตำบลลานหอย อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย

    การศึกษาพระปริยัติธรรม ได้ศึกษานักธรรมชั้นตรีด้วยตนเองแล้วไปสมัครสอบสนามหลวง แต่สอบไม่ได้ เนื่องจากไม่สู้จะมีหนังสือเรียนและขาดครูสอน แต่ก็พยายามศึกษาด้วยตนเองมาโดยตลอด สอบนักธรรมชั้นตรีได้เมื่อปี พ.ศ. 2475 และได้เรียนวิปัสนากรรมฐาน และการธุดงค์กับพระอุปัชฌาย์ของท่านที่วัดราชธานี จนมีความเข้าใจในเรื่องการเดินธุดงค์ เป็นอย่างดี และมีศรัทธาเลื่อมใสตั้งใจออกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เพื่อปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ท่านได้ออกจาริกธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ หลายจังหวัด คือ เมืองร่างกุ้ง ประเทศพม่า ปาดังเบซา ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น ปรากฏว่า ท่านได้ออกเดินธุดงค์อยู่หลายปี ท่านเป็นพระที่มีความเพียรสูง เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและมีความมานะอดทนเป็นเลิศรูปหนึ่ง
    ผู้ที่เคยได้ไปนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จะเห็นสัญลักษณ์ประจำวัดลานหอยอยู่ชนิดหนึ่งที่ตรึงใจท่านที่ไป คือ บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เลี้ยงไว้มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเก้ง กวาง หมูป่า วัวป่า ฯลฯ ท่านเลี้ยงไว้ด้วยความเมตตา พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ปรารภว่า "สัตว์นั้นแม้จะเป็นสัตว์ป่า แต่ก็มีความจริงและซื่อตรงยิ่งกว่ามนุษย์ ที่มีความคิดความอ่านที่ดีเสียอีก" พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล่าว่า แม้กระทั่งผึ้งที่เกาะในวัดก่อนจะมาอยู่อาศัย จะมีหัวหน้ามาบินวนท่านเป็นเชิงบอกกล่าว แม้เวลาจะไปก็บอกเช่นเดียวกับตอนมาอาศัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ให้ศีลให้พรไป ท่านบอกว่าคนบางคนจะมาจะไปไม่บอกไม่กล่าวกับเจ้าของสถานที่ (จะไปก็ไม่ลา จะมาก็ไม่บอก) แย่กว่าสัตว์เสียอีก สัตว์ป่าบางชนิดดุร้าย ประชาชนที่มานมัสการหลวงพ่อจะไม่มีโอกาสเข้าใกล้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสามารถจับและเล่นกับสัตว์เหล่านี้ได้ จากสัตว์ที่ดุร้ายกลายเป็นสัตว์ที่เชื่องไปในพริบตา และสัตว์เหล่านี้ก็มีความรักใคร่ในพระเดชพระคุณหลวงพ่อมากแม้กระทั่งวัวแดง (ชื่อไอ้ต่อม) ครูเกิน ไชยเชิงชน ซึ่งเป็นครูอยู่ที่ท่าดินแดง อำเภอคีรีมาศ มาขอไปเพื่อเป็นพ่อพันธุ์ หลวงพ่อให้ไป แต่วัวแดงไม่ยอมขึ้นรถ จนหลวงพ่อไปบอกวัวด้วยตัวท่านเองว่า "ไปเถอะ" วัวจึงยอมไป และก็ไปตาย หลวงพ่อบอกว่ามันคงเสียใจ ท่านสร้างแท็งก์น้ำไว้ ณ โรงพยาบาลสุโขทัยตรงตึกสงฆ์เขียนที่แท้งก์น้ำว่า "อุทิศให้ไอ้ต่อม" บางครั้งผู้ที่ไปโรงพยาบาลสุโขทัยไปพบเห็นสิ่งเหล่านี้ จะเข้าใจเรื่องราวได้โดยตลอด
    น้ำมนต์ยอดอภินิหาร
    วันหนึ่งคณะกรรมการวัดฯ ได้นำน้ำใส่แท็งก์ไว้ประมาณ 4-5 แท็งก์ เพื่อให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อแผ่เมตตาให้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้นำไปใช้ ผู้เขียนได้กราบนมัสการหลวงพ่อว่า คงจะไม่มีคนมาเพราะสายมากแล้ว หลวงพ่อตอบว่า "ใจเย็นๆ โยม"

    ต่อมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ขึ้นไปนั่งปรกแผ่เมตตาอยู่บนแท็งก์น้ำ เมื่อเสร็จพิธีประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่น่าเชื่อว่าประชาชนได้หลั่งไหลเขามาในวันนั้นนับหมื่นคนแน่นไปหมด น้ำมนต์ที่ทำไว้หมดเกลี้ยง จนต้องเอาน้ำในบ่อขึ้นมาให้บูชาเพราะในวันนั้นน้ำในอาณาบริเวณวัดจะเป็นน้ำมนต์ทั้งสิ้น ความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์แห่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อปี้ เป็นที่เลื่องลือไปไกลและเป็นที่แน่นอนว่า ขณะนี้น้ำมนต์บางส่วนเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งวัตถุมงคลที่พระเดชพระคุณท่านได้แผ่เมตตาไว้อีกเป็นจำนวนมากมาย ถึงแม้จะเป็นเพียงพระดิน ถ้าใครมีโอกาสได้ไว้บูชาติดตัวก็นับว่าโชคดี

    ปัจจุบันวัดลานหอยไม่มีสัตว์เหล่านั้นอยู่คู่วัดลานหอยอีกแล้ว ในอดีตวัดซึ่งเคยเป็นที่พำนักพึ่งพิงของสัตว์ทั้งหลาย เหลือเพียงความทรงจำของคนรุ่นเก่าเท่านั้น ตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านอยู่เพื่อที่จะให้ ไม่ว่าใครจะนิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่ใด ท่านไม่เคยขัดนิมนต์ ท่านปลุกเสกแผ่เมตตาให้แก่วัตถุมงคลของทางราชการ ช่วยเหลือประเทศชาติของเรา วัตถุมงคลที่ปลุกเสกมีหลากหลาย เช่น พระเครื่อง แหวนผ้า ธนบัตรขวัญถุง ฯลฯ

    ตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สร้างความเจริญให้กับพุทธศาสนามากมายในบริเวณวัดลานหอย ท่านได้สร้างพระอุโบสถ สำหรับประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเสร็จเรียบร้อยสวยงามเด่นเป็นสง่า ก็ด้วยบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ อภินิหารของน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อสามารถสร้างพระอุโบสถได้เป็นหลังๆ มีคนจากทั่วสารทิศมากราบนมัสการท่านมากมายมืดฟ้ามัวดินทีเดียว และจตุปัจจัยที่ได้จากผู้มากราบนมัสการก็ได้กลายมาเป็นพระอุโบสถ หอสวดมนต์ และสิ่งก่อสร้างอันเป็นสาธารณกุศลอีกมากมาย
    ไม่สรงน้ำ
    ไม่เคยมีผู้ใดเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อสรงน้ำเลยตลอดชีวิตของบรรพชิตเรื่องการไม่เคยสรงน้ำนี้เอง มีเรื่องเล่าลือมากมายบางคนบอกว่าท่านสรงน้ำในโหลอันนี้เป็นไปได้ ถ้าเราเคยศึกษาประวัติของปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นอาจารย์ของกรมหลวงชุมพร ฯ แล้วจะพบว่าเป็นเรื่องจริงของผู้สำเร็จวิชาชั้นสูง และเป็นที่น่าสังเกตว่าเนื้อตัวของท่านสะอาดอยู่ตลอดเวลา เคยมีคนนมัสการถามเกี่ยวกับการสรงน้ำของท่านว่า "ไม่เห็นหลวงพ่อสรงน้ำ?" พระเดชพระคุณหลวงพ่อตอบว่า "ท่านสรงทุกวัน" ทุกคนในที่นั้นเลยนิ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้นำน้ำมาหนึ่งถัง ทุกคนเฝ้ามองการสรงน้ำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่เห็นท่านสรงได้แต่พูดคุย เอามือลูบตามเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นปรากฎมีน้ำเปียกชุ่มตามตัวของท่าน ท่านได้บอกว่า "เอ้าข้าอาบแล้ว" นับเป็นความประหลาดและสร้างความตะลึงแก่ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นเป็นอย่างยิ่ง

    ธรรมปฏิบัติและความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์
    คณาจารย์ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อปี้นับถือมากและยกย่องอยู่ตลอดเวลาได้แก่พระราชประสิทธิคุณ (เจ้าโบราณวัตถาจารย์) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อปี้ ไม่ว่าท่านเจ้าคุณจะเอ่ยปากในเรื่องใด ๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นต้องสนองความต้องการของท่านเจ้าคุณอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการจัดงานปลุกเสก ณ วัดราชาธานีครั้งใดๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อต้องไปช่วยทุกงานตลอดเวลา ซึ่งนับว่าท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของบุคคลที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์เป็นอย่างดียิ่ง ตลอดชีวิตของท่าน ท่านยึดมั่นในคุณความดี ยึดมั่นในส่วนรวม เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ท่านสะสมไว้เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นอกจากส่วนรวมเท่านั้น

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ปรารภกับผู้ใกล้ชิดเสมอว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นเด็ดขาด และอย่าดำรงตนอยู่ในความประมาท มีผู้ที่ต้องการของดีจากหลวงพ่อมากมายเมื่อมากราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านไม่ได้ขัดความต้องการ ท่านให้คาถาบทสำคัญ คือ "ระวัง" ถ้าใครไม่คิด นึกว่าเป็นคำพูดธรรมดา แต่ถ้าผู้ที่มีความรู้สึกนึกคิดในทางธรรมแล้วนั่นแหละพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ให้ของดีแก่เขาแล้ว คือ "ความไม่ประมาท" นั่นเอง
    พระภิกษุที่นั่งฟังหลวงพ่อเล่าความฝันในคืนนั้น คือ พระครูสมบูรณ์ วิสารโท เจ้าอาวาสวัดลานหอย ในปัจจุบัน นั่งฟังพร้อมกันกับพระภิกษุในรุ่นนั้นอีกหลายรูป ตอนเช้าวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2517 หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระทองคำ โชติปญโญ พระสมบูรณ์ วิสารโทร (พระครูสมบูรณ์) และพระภิกษุอีก 2 รูป เข้าไปกราบเพื่อขอลาไปอยู่ปริวาสกรรมที่วัดดอนศัก จังหวัดอุตรดิตถ์ ท่านก็อนุญาตให้ไปได้ ในตอนท้ายท่านได้พูดว่า "กว่าพวกท่านจะกลับมาผมก็คงจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว"

    ช่วงสายวันนั้นท่านมีอาการอ่อนเพลีย จึงให้นายบุญช่วย น้อยผล ลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสุโขทัย และมีบ้านอยู่ใกล้ๆ วัด มาให้น้ำเกลือและกลูโคส แต่อาการของท่านไม่ดีขึ้นจึงต้องนำส่งโรงพยาบาลสุโขทัย เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์และพยาบาลได้ให้การรักษากันอย่างสุดความสามารถ แต่อาการก็ยังทรงอยู่ ไม่ดีขึ้น

    วันที่ 10 มกราคม 2517 ตลอดทั้งวัน อาการของท่านก็ยังทรงอยู่ ไม่ดีขึ้น

    วันที่ 11 มกราคม 2517 ปรากฎว่ามีโรคแทรกซ้อน คือไตไม่ทำงานอาการเริ่มทรุดลง แพทย์และพยาบาลได้ถวายการรักษาอย่างเต็มกำลังความสามารถแต่อาการกลับทรุดลงโดยลำดับ ในที่สุดท่านก็ถึงกาลมรณภาพไป เมื่อเวลา 19.27 น. ด้วยโรคหัวใจวาย ณ โรงพยาบาลสุโขทัย ด้วยอาการสงบ สิริอายุ 71 ปี 2 เดือน 26 วัน

    แม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้ว ด้วยคุณงามความดี กอปรกับอิทธิบารมี พระครูสุวิชานวรวุฒิ (หลวงพ่อปี้ ทินโน) แห่งวัดลานหอย ตำบลลานหอย อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย ยังเป็นปูชนียบุคคลทางด้านศาสนาที่ชาวสุโขทัย และประชาชนทั่วไปให้ความเคารพสักการะอย่างไม่เสื่อมคลาย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    รูปกระดาษสีหลวงพ่อปี้วัดด่านลานหอยหลังยันต์ รูปทำตัวท่านอธิษฐานจิตนะครับ
    ให้บูชา
    300 บาทปิดรายการ

    IMG_20220914_212442.jpg IMG_20220914_212458.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2022
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    หลวงพ่อพริ้ง-วัดโบสถ์โก่งธนู6-e1573999165360.jpg
    ประวัติหลวงพ่อพริ้งวัดโบสถ์โกร่งธนู ลพบุรี
    พระครูประสาทวรคุณ (พริ้ง มณีธาโน)
    พระครูประสาทวรคุณ (พริ้ง มณีธาโน) วัดโบสถ์ ต.โก่งธนู อ.เมือง จ.ลพบุรี
    วัดโบสถ์ฯ ตั้งขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏชัดเจน จากการสันนิษฐานหรือประมาณกาลเอาว่าคงจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา โดยประชาชนและพุทธมามกะ มีความพร้อมใจกันสร้างขึ้นด้วยความสามัคคีการที่สร้างวัดนี้ขึ้น ก็เพื่อเป็นที่ประกอบศาสนกิจ และบำเพ็ญกุศล และ ตั้งชื่อวัดนี้ว่า 'วัดโบสถ์' ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 4 ตำบลโก่งธนู อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ของวัดมีประมาณทั้งสิ้น 20 ไร่ เศษและมีผู้ใจบุญได้ถวายที่ดินให้กับทางวัดอีกจำนวนหนึ่ง ระยะทางจากหัวเมืองลพบุรีถึงวัดโบสถ์โก่งธนูประมาณ15 กม.มาถึงวัดได้โดยเดินทางทางรถยนต์ เวลาฤดูน้ำก็เดินทางมาได้ทางลำน้ำโดยทางเรือ วัดโบสถ์เป็นวัดสังกัดมหานิกาย โบราณวัตถุมงคลของวัดมีพระเจดีย์ 3 องค์ หน้าพระอุโบสถเก่า 1 หลัง โบราณสถานมีอุโบสถ์หลังใหม่ 1 หลัง ศาลาการเปรียญ 1 หลัง และมีกุฎิ 9 หลัง หอสวดมนต์ 1 หลัง หอฉัน 1 หลัง หอระฆัง 1 หลัง ศาลาเล็กๆ ที่ท่าน้ำ 2 หลัง มีห้องสุขา 8 ห้อง มีสถานีอนามัยชั้น 2 มีบ่อน้ำบาดาลและจัดตั้งประปาน้ำบาดาล มีโรงเรียนประชาบาล 1 หลัง มีเมรุเผาศพ 1 เมรุ และมีโรงเก็บศพ 1 หลัง
    ทำเนียบเจ้าอาวาส
    ตั้งแต่องค์แรกไม่ทราบประวัติ ได้สอบถามผู้ใหญ่สูงอายุที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่อาจจะทราบได้ เพิ่งมาจำได้ตอนที่พระอาจารย์สะอาดปกครองแล้ว ต่อจากพระอาจารย์สะอาดแล้ว ก็มีพระอาจารย์ฉิมจากอาจารย์ฉิม
    ก็ถึงอาจารย์อินปกครอง มีนายจันทร์ นายแก้ว เป็นไวยาวัจกรหรือมัคทายก ต่อจากปลัดหลำ
    ก็ถึงอาจารย์ฝอยปกครอง มีนายพึ่ง, นายจันทร์, นายจุ่น,นายเป๋า, นายดิษฐ์,นายเปีย,นายฮวบ เป็นไวยาวัจกร เมื่อพระอาจารย์ฝอยลาสิกขาแล้วการปกครองก็ถึงพระครูประสาทวรคุณหรือทุกคนเรียก
    ท่านว่า หลวงพ่อพริ้ง เมื่อพรรษา 5 ท่านเป็นคู่สวดและสมภารสืบแทนอาจารย์ฝอย นายเฉื่อย จันทร์อิน เป็นไวยาวัจกร
    ประวัติของพระครูประสาทวรคุณ (พริ้ง มณีธาโน) อายุ84 พรรษา 64 วัดโบสถ์ ตำบลโก่งธนู อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี อดีตดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลโก่งธนู สถานะและชาติกำเนิดของหลวงพ่อ
    นามเดิม ชื่อพริ้ง นามสกุล เพ็งเพชร์
    เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2443 ปีชวด ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 12
    ที่ บ้านคุ้งนามอญ ตำบลโก่งธนู อ.เมือง จ.ลพบุรี
    บิดาชื่อนายดึก นามสกุล เพ็งเพ็ชร
    มารดาชื่อ นางแสง นามสกุล เพ็งเพ็ชร
    มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คนคือ
    1. หลวงพ่อพริ้ง เพ็งเพ็ชร
    2. นางผลบ ไข่หงส์
    3. นายกรู่ เพ็งรอด
    4. นายโหน่ง เพ็งรอด
    5. นายบ่าย เพ็งรอด
    6. นางสาวสาคร เพ็งรอด
    ตอนหลังหลวงพ่อพริ้งได้เปลี่ยนนามสกุลเป็นเพ็งรอด ตามน้องชายที่ชื่อนายกรู่ ซึ่งเป็นคนต้นคิดที่เปลี่ยน และได้ใช้ เพ็งรอด มาตลอด
    เยาว์วัย
    โยมบิดาได้นำไปฝากเรียนอักษรสมัยในสำนักของพระอาจารย์จาด วัดไก่เตี้ย อำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อพริ้งได้ศึกษาอักษรสมัยทั้งภาษาไทยและภาษาขอม ในสำนักของพระอาจารย์จนเป็นที่แตกฉานและเรียนได้เร็วกว่าศิษย์รุ่นเดียวกัน เมื่อเยาว์วัยหลวงพ่อมีร่างกายไม่แข็งแรง บอบบางและอ่อนแอ โยมบิดาจึงคิดว่าถ้าให้มาประกอบอาชีพ เช่นการทำนาคงจะไปไม่ไหว จึงให้หลวงพ่อพริ้งบรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 13 ปี ในสำนักของพระอาจารย์จาด
    เมื่อบรรพชาแล้วก็ศึกษา เล่าเรียนเวทย์มนต์จากพระอาจารย์จาดซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิที่สุดในยุคนั้น
    อุปสมบท
    หลวงพ่อพริ้งได้บรรพชาจนอายุครบ 20ปี ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2463 ณ พัทธสีมาวัดญาณเสน ตำบลโก่งธนู อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี หลวงพ่อหลำเจ้าอาวาสวัดญาณเสนเป็นอุปัชฌายะ หลวงพ่อแสน วัดญาณเสนเป็นกรรมวาจารย์ หลวงพ่อฝอย วัดญาณเสน เป็นอนุสาวนาจารย์ได้ฉายาว่า'มณีธาโน'
    ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่กับพระอุปัชฌาย์วัดญาณเสนได้ปฏิบัติอุปัฏฐาก อุปัชฌาย์อันเป็นหน้าที่ของนะวะกะจนครบ 5 พรรษาในระหว่างจำพรรษาอยู่กับพระอุปัฌชาย์
    หลวงพ่อพริ้งมีความประสงค์จะเดินธุดงค์และพระภิกษุในสมัยนั้นเมื่อค้างพรรษาก็มักจะออกธุดงค์กันเมื่ออนุโมทนากฐินกันเรียบร้อยแล้วหลวงพ่อพริ้งและพระภิกษุอื่นรวม 7 รูปและหลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำการออกปฏิบัติกัมมัฏฐานธุดงค์วัตร
    หลวงพ่อพริ้งได้ไปกราบอาจารย์หลำเพื่อเดินธุดงค์หลวงพ่อหลำได้ทดสอบกรรมฐาน และสมาธิจิตของหลวงพ่อพริ้งจนเป็นที่แน่ชัดจึงอนุญาติให้หลวงพ่อพริ้งเดินธุดงค์ได้ตามความปรารถนาหลวงพ่อพริ้งได้เรียนและฝึกสมถะ ภาวนา และวิปัสสนา กรรมฐานจากพระอาจารย์หลำ ตลอด 5 พรรษา
    ชีวิตตำแหน่งและสมณศักดิ์ เมื่ออุปสมบทแล้ว 5 พรรษาได้ปกครองวัดและเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ตำบลโก่งธนู
    เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เป็นต้นมา
    เป็นเจ้าคณะตำบลโก่งธนูเมื่อ 29 กันยายน พ.ศ. 2480
    เป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2482
    เป็นพระครูสัญญาบัตรเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2496 ชั้นตรี
    มีพระภิกษุจำนวน 28 รูป สามเณร 2 รูป ศิษย์วัด 30 คน การปกครองเป็นปกติด้วยดีเสมอมาไม่มีอธิกรณ์ใดๆ เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 68 ปี นับว่ามีอายุครบปกครอง ดีเสมอต้นเสมอปลายมาตลอดผลงาน การก่อสร้าง เมื่อท่านได้เข้ารับหน้าที่เจ้าอาวาส เมื่อ พ.ศ. 2468 ท่านได้บำเพ็ญคุณงามความดีต่างๆ ได้ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมแด่พระภิกษุสามเณรภายในวัด ซึ่งเป็นผลให้พระภิกษุสามเณรสอบนักธรรมได้หลายรูป ท่านได้มีเมตตาสั่งสอนเพื่อนสหธรรมิก ตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาให้ตั้งอยู่ในความดี และให้ความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชน ที่จะประกอบการกุศล ด้วยคุณงามความดีที่พระเดชพระคุณได้บำเพ็ญมา
    ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2516 จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาพระเดชพระคุณเป็นพระครูสัญญาบัตรที่ 'พระครูประสาทวรคุณ' ท่านได้ก่อสร้างและซ่อมแซมถาวรวัตถุภายในวัดโบสถ์แห่งนี้เรื่อยมา โดยมิได้หยุดยั้ง ผลงานของท่านจะอวดและกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
    1. สร้างโบสถ์หลังใหม่
    2. สร้างโรงเรียน
    3. สร้างสถานีอนามัยชั้น 2
    4. สร้างศาลาท่าน้ำ
    5. ซ่อมโบสถ์และกำแพงแก้ว
    6. สร้างศาลาการเปรียญ
    7. สร้างฌาปนสถาน (เมรุ)
    8. สร้างกุฎิ
    9. สร้างสะพานข้ามแม่น้ำมูลค่าในการก่อสร้างทั้งหมดนี้หลายล้านบาท
    คุณธรรม หลวงพ่อพริ้ง นับว่าเป็นเพชรน้ำเอกของเมืองละโว้ธานีองค์หนึ่ง พระเดชพระคุณท่านนับว่าเป็นพระเถระ ที่ทรงคุณธรรมหลายประการ ใครๆ ที่ได้มาเยี่ยมเยือนหรือสัมผัสพูดคุย มักจะประทับใจในอริยาบทและวัตรปฏิบัติตลอดจนอุปนิสัยใจคอ อันเยือกเย็นของพระคุณท่าน หลวงพ่อเป็นพระที่พูดน้อย มีลูกศิษย์ลูกหามาก เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของหมู่ชนทุกระดับชั้นยิ่งในแถวถิ่นโก่งธนูด้วยแล้วใครไม่รู้จักหลวงพ่อก็
    แสนจะเชยสิ้นดี เมื่อหลวงพ่อบวชแล้วก็หาโอกาสเดินธุดงค์วัตรไปในสถานที่ต่างๆหลายแห่ง บางแห่งต้องผจญกับสัตว์ร้ายนานาชนิดไม่ว่าจะเป็นผีสางนางไม้หรือภัยนานาประการ หลวงพ่อได้ประสบพบอยู่เป็นประจำจนชินชา หลวงพ่อต้องการหาความวิเวก ขณะเดินธุดงค์ก็ได้พบกับพระอาจารย์ต่างๆ อยู่ไม่น้อย ต่างก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย แลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อเป็นการถ่ายทอดวิชาไสยศาสตร์เวทย์มนต์ ให้แก่กันและกัน และการที่หลวงพ่อมีวิริยะอุตสาหะอย่างล้นเหลือ หลวงพ่อได้ท่องบ่นตำราจากสมุดเก่าๆ และตำรับตำราต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ต่างๆ ทั้งในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียงบ้านเช่น อยุธยา, อ่างทอง, สิงห์บุรี,สระบุรี และที่อื่นๆ อีกด้ววยหลวงพ่อพริ้งได้พยายามศึกษาร่ำเรียนด้วยตนเองบ้าง จนเป็นเกจิอาจารย์ที่เรืองวิชาน่าอัศจรรย์ยิ่งทีเดียวหลวงพ่อพริ้งมีพรสวรรค์อยู่ในตัว ท่านสามารถท่องบ่นหรือสวดมนต์เช้า-เย็น โดยไม่ต้องต่อจากพระในวัด เพียงแต่จดจำพระรุ่นพี่ๆ ในระยะแรกๆ ท่านท่องจำเจ็ดตำนาน สิบสองตำนานและสามารถท่องปฏิโมกข์ได้คล่องแคล่วสมบูรณ์ดีด้วยประการทั้งปวง นับว่าสติปัญญาของหลวงพ่อเป็นเลิศการเขียนการอ่านโดยมาก มักจะเรียกด้วยตนเองเสมอ ประกอบกับหลวงพ่อมีบารมีอันสูงส่ง อนาคตของหลวงพ่อจะต้องรุ่งเรืองในบวรพระพุทธศาสนาอย่างแน่แท้ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะเป็นพระหนุ่มในขณะนั้น แต่ก็เคร่งครัดในกฎระเบียบของพระธรรมวินัยในสมัยนั้น เรียนทั้งพระธรรมวินัย(พระปริยัติธรรม) และเรียนภาษาขอมรวมกันไปด้วยจากสำนักวัดไก่เตี้ยจนความรู้แตกฉาน ท่านได้รวบรวมตำรับตำราต่างๆ ไว้มากมาย เช่น ตำรายากลางบ้านตำราแพทย์แผนโบราณ ตำราเวทย์มนต์คาถา และตำราไวยาศาสตร์ ไวยเวท ไว้มากพอสมควรหลวงพ่อพริ้งเป็นพระเถรรูปหนึ่งที่ชาวลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียงเคารพนับถือท่านมาก หลวงพ่อได้มุ่งมั่นประกอบศาสนกิจ เพื่อบำรุงพุทธศาสนาโดยจิตมั่น เพื่อเจริญรอยตามเบื้องยุคลาบาทขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า หลววงพ่อจึงได้รับแต่งตั้ง ตามตำแหน่งต่างๆ ดังได้กล่าวข้างต้นการเผยแพร่ศาสนานั้นหลวงพ่อได้จัดอบรมให้มีการฟังธรรมฟังเทศน์ตามไตรมาส มีอุบาสกอุบาสิกาและประชาชนโดยทั่วไปเข้ารับการอบรมเป็นจำนวนไม่น้อย การทำบุญกุศลหรืองานประเพณีต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับทางวัดแล้ว หลวงพ่อมีวิเทโศบายและอุบายให้คนทั้งหลายมาร่วมกันได้เป็นอันมาก หลวงพ่ออำนวยความสะดวกให้ในทุกกรณีเมื่อปี พ.ศ. 2504 หลวงพ่อได้มีอายุ 61 พรรษา บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อได้อ้อนวอนให้หลวงพ่อออกวัตถุมงคล เพื่อจะได้ให้ศิษยานุศิษย์และญาติโยมผู้ใกล้ชิดไว้เป็นที่ระลึก และเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ ปลายปี พ.ศ.2504 ก็มีศิษย์อ้อนวอนท่านอีก 'สร้างเถอะหลวงพ่อ' หมายถึงสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อท่านทนต่อคำรบเร้าอ้อนวอนของบรรดาศิษย์ไม่ไหว ท่านจึงพูดว่า 'จะเอาอย่างไร ก็เอากัน' หลวงพ่อบุญช่วย เขมโก ผู้เป็นผู้ช่วยของหลวงพ่อหาโอกาสนี้มานาน แต่ไม่กล้าออก ความเห็น จึงนมัสการกับหลวงพ่อขึ้นว่า ควรจะทำเป็นเหรียญ ซึ่งจะถาวรต่อการใช้ไว้นานๆ ไม่เหมือนกับพระเนื้อผง อันอาจจะเสียหายและหักง่าย จากการเสนอแนะของหลวงพ่อบุญช่วย และบรรดาลูกศิษย์ของหลวงพ่อจึงได้ตกลง ออกแบบเป็นรูปเหรียญสี่เหลี่ยม ด้านหน้ามีรูปของหลวงพ่อครึ่งองค์ ด้านหลังเป็นรูปพระพุทธ ใช้เนื้อทองแดงและทองแดงกะหลั่ยทอง ที่พื้นเหรียญ ออกไม่มากนัก ราคารุ่นนี้แพงเป็นพัน เพราะถือว่าเป็นเหรียญรุ่นแรก เหรียญนี้หลวงพ่อพริ้งได้นั่งปรกปลุกเสกเดี่ยวด้วยพุทธาคมอันเข้มขลัง นักเล่นเหรียญทั้งหลายมักจะเสาะหาเหรียญของหลวงพ่อรุ่นแรกนั้นเป็นจำนวนไม่น้อย ใครมีไว้ในครอบครองจงหวงแหน อย่าจำหน่ายจ่ายแจกเพราะเป็นของดี มีคนที่มีประสบการณ์มาแล้วจากเหรียญนี้ จากเหรียญรุ่นหนึ่งนี่เองทำให้หลวงพ่อพริ้งมีชื่อเสียงโด่งดัง จากเหรียญดังกล่าวแล้ว ยังมีแหวนรูปหลวงพ่อซึ่งเป็นแหวนลงยา มีทั้งแหวนทองคำ แหวนเงิน และอาปาก้า เป็นแหวนลงยา ปลุกเสกในคราวเดียวกัน และมีความนิยมไม่แพ้เหรียญ ลักษณะของแหวนด้านบนของหัวแหวนซึ่งมีรูปของหลวงพ่อ จะมีลักษณะคล้ายรูปโล่ มีตัวอักษรสองข้าง ข้างขวามีคำว่า 'หลวง' ข้างซ้ายมีความว่า 'พ่อพริ้ง' ปัจจุบันเริ่มหายากเหมือนกัน
    จำนวนการสร้างประมาณ 2,000 วง บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างก็บูชาไว้ใช้คนละวงสองวง
    วัตถุมงคลรุ่นแรกหนักแน่นไปในทาง แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี เพราะผู้ใช้ได้ประสบการณ์จากการใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อมากรายด้วยกัน
    หลังจากหลวงพ่อได้สร้างวัตถุมงคลรุ่นแรกแล้ว ท่านก็ไม่คิดหรือจะออกของอีก ชั่วระยะไม่นานนักทั้งเหรียญและแหวนเริ่มหมด คณะกรรมการต่างปรึกษาหารือกันจะขออนุญาตสร้างวัตถุมงคล กรรมการปรึกษากันแล้ว จึงเรียนให้หลวงพ่อท่านทราบ หลวงพ่อก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร 'จะให้สร้างหรือไม่ให้สร้างก็ไม่พูด' เพราะหลวงพ่อท่านเป็นพระรักสันโดษและมักน้อย กรรมการต่างก็พากันกลับโดยมิได้ปริปากต่อไปอีกกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2505 กรรมการชุดเดิมนั่นแหละ เห็นว่าความต้องการของบรรดาลูกศิษย์และประชาชนคนทั่วไป มีความเลื่อมใสศรัทธามาก ประกอบกับของที่ออกแต่ละครั้งไม่ทั่วถึงผู้ที่ใฝ่หาและความต้องการของประชาชน ศิษยานุศิษย์ และกรรมการจึงเรียกร้องอ้อนวอนให้หลวงพ่อออกของอีกสักรุ่นโดยบอกว่าวัตถุมงคลเมื่อปี 2504 ให้ได้บูชากันไปยังไม่ทั่วถึง คณะกรรมการได้กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบ หลวงพ่อก็ตอบสนองตามอัธยาศัยของบรรดาศิษย์และกรรมการ เมื่อหลวงพ่อ อนุญาตต่างก็ดีอกดีใจไปตามๆ กัน และคณะกรรมการจึงติดต่อช่างหล่อพระท่ากระยางลพบุรีมาทำการหล่อรูปหล่อพิธีแบบโบราณ พร้อมรูปหล่อองค์ใหญ่ที่วัดจากคำบอกเล่าของยายกิมฮวย พุ่มขจร(ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) เจ้าของโรงหล่อทองเหลืองท่ากระยางพระหล่อแบบโบราณรูปทรงไม่สวยเท่าไรและหล่อได้จำนวนน้อย กรรมการวัดจึงได้ลงไปกรุงเทพฯ มอบแบบตามที่ต้องการ สร้างวัตถุมงคลรุ่นปี พ.ศ. 2505 เมื่อสร้างเสร็จก็นำมาให้หลวงพ่อปลุกเสกเดี่ยวจนครบไตรมาส(หนึ่งพรรษา) ลักษณะของรูปวัตถุ คือรูปของหลวงพ่อ(แบบเดียวกับหลวงปู่ทวดที่นิยมสร้างในปี 2505) เรียกว่ารุ่นหลังเตารีดมีทั้ง 2 แบบคือ แบบหนึ่งมีห่วง และแบบหนึ่งไม่มีห่วง แบบไม่มีห่วงหรือหูห้อย นักสะสมเรียกว่ารุ่น หายห่วง หรือหมดห่วง ครั้นเมื่อหลวงพ่อปลุกเสกแล้ว ก็เปิดให้สาธุชนผู้เลื่อมใสเช่าบูชา นักสะสมบางคนต่างพากันสะสมและแสวงหากันเป็นจำนวนมากมีผู้ที่ไปถึงวัดไม่เว้นแต่ละวัน พระรุ่นหลังเตารีดของหลวงพ่อพริ้งครั้งนี้ เป็นแบบปั๊ม รมดำทำด้วยเนื้อทองผสม ทุกวันนี้เริ่มจะหายาก และราคาก็แพง และยังให้โรงงานสร้างรูปหล่อลอยองค์ขึ้นอีกในปี 2505 เรียกรุ่นที่มียันต์ที่ฐาน มีตัวอักษร ขอมอ่านว่า นะ มะ พะทะ ดินน้ำลมไฟ
    ปี พ.ศ. 2506 หลวงพ่อมิได้ออกของหรือวัตถุมงคลใดๆ เพราะภารกิจติดนินมต์ แต่มีทางวัดการจัดทำล๊อคเกต รูปต่าง ๆของหลวงพ่อ บรรดาสุจริตชนต่างพากันขอพรและขอบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่ออยู่เนืองนิจ วัตถุมงคลของ หลวงพ่อมีหลายชนิด ที่วัดยังมีเหลือยู่อีกมาก ทางวัดได้จัดจำหน่ายจ่ายแจกให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ไปเคารพกราบไหว้ท่าน บางอย่างก็หมดไปแล้วบางอย่างยังเหลืออีกมาก หลวงพ่อพริ้งท่านได้มีเมตตาจิตปลุกเสกหลายครั้งหลายหน จนกระทั่งจำ ไม่ได้ว่าแต่ละครั้งมีอะไรบ้าง ท่านเคยปรารถอยู่เสมอว่า ของของหลวงพ่อทุกชนิด ทุกอย่างมีคุณภาพเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะปลุกเสกเมื่อใด วัตถุต่างๆ ที่หลวงพ่อได้สร้างไว้ก็มีอาทิเช่น แหวน, เหรียญ, รูปหล่อ, ตะกรุด, ผ้ายันต์, นกคุ้ม ปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทอง รูปหล่อลอยองค์ทั้งนั่งและยืน สมเด็จเนื้อผง 3 ชั้น (เล็ก-ใหญ่) พระสามพี่น้อง, ธงค้าขาย, และรูปล็อกเก็ต
    สำหรับปี 2507 ได้มีการจัดสร้างรูปหล่อลอยองค์ มีตั้งแต่ขนาด 2 ซม. สูง 33 ซม. ขัดสมาธิ สังฆาฏิจรดแท่น ที่แท่นมีชื่อของหลวงพ่อ ด้านหลังจะมีหมายเลข 1 ไทย ที่ด้านหลังบอก พ.ศ.2507 และเหรียญรูปไข่ ด้านหลัง ปี2507 ได้รับความนิยมมากแล้วก็ว่างเว้น
    ปี พ.ศ. 2508หลวงพ่อมิได้ออกของหรือวัตถุมงคลใดๆ เพราะภารกิจติดนินมต์ และงานล้นตัว หลวงพ่อท่านไม่ปฏิเสธ
    การนิมนต์ ท่านจะรับนิมนต์ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่ามีหรือจน หลวงพ่อเป็นพระเถระที่ไม่ถือตัวไม่ว่าใครจะนิมนต์ไปฉันหอ, ขึ้นบ้านใหม่, โกนจุก,งานบุญ,งานบ้าน,งานบวช,งานสวด,งานศพ ใครนิมนต์ไม่เคยขัดนอกจากป่วย วันหนึ่งหลวงพ่อท่านรับ นิมนต์ไปเป็นอุปัชฌาย์ เจ้าภาพนำเอารถมอเตอร์ไซด์รับท่านไปในเส้นทางที่แสนลำบาก บางครั้งต้องวิ่งกลางทุ่งนา บางครั้ง ต้องวิ่งบนคันนา บังเอิญรถมอเตอร์ไซด์ตกหล่นจากคันนา หลวงพ่อก็หล่นกลิ้นไปตามรถทั้งคนขับ เมื่อลุกขึ้นคนขับก็ถามว่า หลวงพ่อเป็นอะไรบ้างครับ ก็ได้รับคำตอบจากหลวงพ่อ ไม่เป็นอะไรหรอก หลวงพ่อไม่เคยบ่นหรือปริปากแต่ประการใด ทั้งที่เจ็บๆ เล็กๆ น้อยๆ ในเมื่อหลวงพ่อบอกว่าไม่เป็นอะไรคนขับก็ขับรถให้หลวงพ่อนั่งซ้อนท้ายไปจนถึงวัดที่บวชจนได้ นี่ก็แสดงว่า หลวงพ่อพริ้งท่านเปี่ยมล้นไปด้วย วิริยะคุณ เมตตาคุณ กิจนิมนต์ของหลวงพ่อไม่เคยว่างเว้น ไม่ว่างานพุทธาภิเษก เล็กหรือใหญ่ จะมีชื่อของหลวงพ่อเสมอๆ ลงโฆษณาติดใบปลิวเกือบทั้งพิธี
    นอกจากงานนิมนต์ดังที่กล่าวมาแล้ว งานในวัดของหลวงพ่อเองก็มีอยู่มากพอสมควรในยามว่างหลวงพ่อจะปลูกพืชผลไม้
    ทั้งชนิดล้มลุกและยืนต้น ในขณะนั้นรั้วของวัดยังไม่เรียบร้อย เมื่อปลูกพืชมีผลออกมา วัวควายของชาวบ้านมักจะเข้ามาขบเคี้ยว
    กัดกินทำให้พืชผลเสียหายอยู่เสมอ ทายกวัดก็ไม่กล้าไปว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงดังกล่าวก็เข้ามากัดกินของในวัดเสียหาย ทายก
    คนหนึ่งเห็นเข้าก็มาบอกกับหลวงพ่อให้ทราบ แทนที่หลวงพ่อจะโกรธแค้นท่านกลับสงบสติอารมณ์ แล้วท่านก็กล่าวขึ้นลอยๆ ว่า
    'มนุษย์เรานี้ไม่ค่อยมีความเกรงอกเกรงใจกันเลย สัตว์เป็นเดียรฉานอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถพูดได้เหมือนกัน
    เมื่อคนปล่อยมันออกมามันก็ต้องหากินของมันไปตามประสาสัตว์ คนเรากินข้าวก็น่าจะมีความนึกคิดอะไรเหมาะ
    อะไรไม่เหมาะ คนอย่างนี้คงไม่กินข้าวละมัง คงกินแกลบกินรำ'
    หลังจากที่หลวงพ่อพูดออกไปได้ไม่กี่ปี เจ้าของสัตว์ผู้มีฐานะมั่งคั่งก็ประสบหายนะ กล่าวคือค้าขายก็ขาดทุน ออกเงิน
    ให้เขากู้ก็ถูกโกง ทำอะไรก็ไม่เกิดมักผล ชีวิตในบั้นปลายสุดท้ายถึงกับซื้อเรือกระแชงล่องแกลบไปขายถึงกรุงเทพฯ ปัจจุบัน
    พ่อค้าคนนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว
    และอีกเรื่องหนึ่งที่อดกล่าวเสียมิได้นั้นคือภายในบริเวณวัดมีผลไม้หลายอย่างอาทิเช่น กล้วย,มะม่วง,ขนุน,ต่างก็ออกผล ตามฤดูกาล ขนุนก็ออกผลใหญ่แก่ก็ซึ่งน่าจะติดบ่มได้แล้วทายกก็ไม่กล้าตัด ก็เรียนให้หลวงพ่อทราบว่า ขนุนแก่แล้วครับ หลวงพ่อ ตัดได้แล้ว ถ้าไม่ตัดขโมยมันจะลักตัดนะครับ หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า 'ปล่อยมันเถอะขโมยมันไม่กล้าขึ้นไปลักตัด ขนุนหรอก มันขึ้นเดี๋ยวมันก็ตกลงมาเองแหละ' อยู่มาได้ 2-3 วัน เจ้าขโมยเหมือนกับจะท้าทายคำพูดของหลวงพ่อ ก็ค่อยแอบย่องขึ้นไปตัดขนุน ยังไม่ทีนได้มีโอกาสให้ได้จับลูกขนุนเลย เกิดพลาดท่าร่วงหล่นลงมาขาหัก พรรคพวกที่ไปด้วย ซึ่งคอยอยู่ข้างล่างต้องรับภาระแบกขึ้นคอหนีกลับไปรักษาขา จากสาเหตุที่เกิดขึ้น 2 ครั้ง 2 ครานี้ ทำให้สาธุชนในละแวกนั้นต่างก็โจษขานกันว่าหลวงพ่อพริ้นท่านมีวาจาสิทธิ์ เป็นที่ เกรงขามของสุจริตชนทั้งหลาย บรรดาสุจริตชนต่างพากันขอพรและขอบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่ออยู่เนืองนิจ วัตถุมงคลของ หลวงพ่อมีหลายชนิด ที่วัดยังมีเหลือยู่อีกมาก ทางวัดได้จัดจำหน่ายจ่ายแจกให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ไปเคารพกราบไหว้ท่าน บางอย่างก็หมดไปแล้วบางอย่างยังเหลืออีกมาก หลวงพ่อพริ้งท่านได้มีเมตตาจิตปลุกเสกหลายครั้งหลายหน จนกระทั่งจำ ไม่ได้ว่าแต่ละครั้งมีอะไรบ้าง ท่านเคยปรารถอยู่เสมอว่า ของของหลวงพ่อทุกชนิด ทุกอย่างมีคุณภาพเท่าเทียมกันหมดจนกระทั่งปี 2516 ถึงปี 2527 เป็นช่วงที่คนนิยมวัตถุมงคลหลวงพ่อมาก จึงมีการทำวัตถุมงคลให้หลวงพ่อปลุกเสกในงานต่าง ๆมากมายรวมทั้งหลวงพ่อยังไปร่วมปลุกเสกวัตุถมงคลให้กับเกจิอาจารย์อื่น ๆวัดต่าง ๆอีกวัตถุมงคลหลวงพ่อช่วงนี้จึงมีเยอะแยะมากมายหลายรุ่นตามปีพ.ศ.ระบุไว้ที่วัตถุมงคล
    หลวงพ่อพริ้งมรณภาพที่โรงพยาบาลอนันทมหิดล ลพบุรี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2527
    เดินธุดงค์ หลวงพ่อพริ้งและคณะที่ออกเดินธุดงค์รวม 7 องค์ โดยมีหลวงพ่อพริ้งเป้นหัวหน้า ได้เดินมุ่งไปยังภาคเหนือ วันแรกของการเดินธุดงค์ถึง อ.โคกสำโรง เป็นเวลาเย็นมาก ประกอบด้วยอ่อนเพลีย เพราะเป็นการเดินทางวันแรก หลวงพ่อดูที่ทำเลที่ปักกรด ได้ แล้วพักผ่อนพอหายเหนื่อย หลวงพ่อพร้อมภิกษุทั้งหลาย ได้เจริญพระพุทธมนต์ และเจริญกรรมฐานบำเพ็ญภาวนา ในเวลาเช้าก็ออกบิณฑบาตร โปรดญาติโยมในแถบนั้น ชาวบ้านเมื่อทราบว่ามีพระธุดงค์มาก็มีความยินดีอย่างยิ่ง ได้นำเอาอาหารคาวหวานมาถวายมากมาย เพราะนานๆจะมีพระธุดงค์ผ่านมาซักครั้ง บ้างก็ขอให้ตัดจุกลูกหลานให้บ้าง บ้างก็ขอน้ำมนต์อาบเพื่อความเป็นมงคล บ้างก็ขอให้เจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านฯลฯ หลวงพ่อพริ้งก็มิได้ขัดศรัทธา ฉลองศรัทธาทุกราย การเดินธุดงค์ของหลวงพ่อเป็นไปด้วยความลำบาก เพราะภูมิประเทศในภาคเหนือ ในยุคนั้นเต็มไปด้วยป่าดงดิบ และต้องผจญภัยกับสัตว์ร้ายนานาชนิด
    ไล่พระกลับวัด เมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดนครสวรรค์ พระภิกษุหนุ่มที่ร่วมธุดงค์ได้ เกิดเล่นหูเล่นตากับสีกาสาว และตกกลางคืนได้มีมดขี้หมา เข้ามาอยู่ในกรดของพระหนุ่มสองรูปนั้นเต็มไปหมด และได้มีงูเหลือมใหญ่เลื้อยเข้ามาในกรด แต่มิได้ทำอันตรายใด ๆจนกระทั่งพระหนุ่มสองรูปนั้นไม่ได้นอนเลยลอดคืน รุ่งเช้าหลวงพ่อพริ้งจึงสั่งให้พระสองรูปนั้นเดินทางกลับวัดทันที หลวงพ่อบอกว่าพระทั้งสองรูปยังไม่มีอุปนิสสัย ที่จะเดินธุดงค์
    เรียนคาถาบังไพร ตัดรุ้งและละลายเมฆ
    หลวงพ่อเมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดนครสวรรค์ บริเวณใกล้วัดหนองกระโดน เมื่อปักกรดเรียบร้อยแล้วหลวงพ่อได้เดินทางไปในวัดหนองกระโดนพร้อมพระภิกษุอีก 4 รูป เพื่อจะไปขอน้ำสงค์ ในขณะนั้นทางวัดหนองกระโดนทำการสร้างกุฏี อยุ่ หลวงพ่อพริ้งซึ่งเป็นช่างไม้อยุ่แล้วจึงขออาสาช่วยงานก่อสร้างกุฏี หลวงพ่อพวงซึ่งเป็นเจ้าอาวาสก็ไม่ขัดข้องเมื่อเลิกงานแล้ว หลวงพ่อพริ้งได้สนทนากับหลวงพ่อพวง เมื่อหลวงพ่อพวงทราบว่าหลวงพ่อพริ้งและคณะเป็นพระธุดงค์ประกอบกับ สนธนาเป็นที่ถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกัน หลวงพ่อพวงถามว่ากรดปักอยุ่ที่ไหนหลวงพ่อพริ้งก็เรียนให้ทราบหลวงพ่อพวงก็บอกว่าไม่มี ในที่สุดก็ชวนกันมาดูที่กรด ปรากฏว่าไม่พบกรดของหลวงพ่อพริ้งจริง ๆ โดยหลวงพ่อพวงยืนหน้าแล้วถือกิ่งไม้เพียงกิ่งเดียวก็บังหลวงพ่อพริ้งไม่ให้เห็นกรด หลวงพ่อพริ้งและคณะได้ก้มกราบหลวงพ่อพวงพร้อมกับขอเรียนคาถาบังไพร และหลวงพ่อพวงไม่ขัดข้องและขอให้ หลวงพ่อพริ้งอยู่จำพรรษาด้วยกัน
    สร้างวัดและโรงเรียน
    คณะหลวงพ่อพริ้ง เดินทางมาถึงจังหวัดตากบ้านวังเจ้า เป็นเวลาตะวันบ่าย ชาวบ้านทราบว่ามีพระธุดงค์มายังหมู่บ้าน ก็เป็นที่ยินดีปรีดาอย่างยิ่ง รีบพากันมาปฏิบัติรับใช้เพราะชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นไม่ได้พบพระมานานและชาวบ้านในถิ่นนั้นก็ได้บำเพ็ญกุศลกันอย่างเต็มที่และเป็นหมุ่บ้านที่ใหญ่มากและมีคืนหนึ่งหลวงพ่อเจริญวิปัสสนากัม มัฎฐานแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย และในนิมิตรนั้นปรากกร่างของชายชรา นุ่งขาวมากราบหลวงพ่อและบอกว่าทนทุกข์ทรมานมานานมากไม่มีที่อยู่ช่วยสร้างที่อยู่ให้ด้วย ชายชราผู้นั้นก็กราบหลวงพ่อพริ้งแล้วร่างก็หายไป และรุ่งเช้าหลวงพ่อพริ้งก๋เล่าให้ชาวบ้านฟัง ปรึกษาเพื่อสร้างวัดเพื่อใช้บำเพ็ญกุศล ของชาวบ้าน ข่าวนี้เป็นที่ยินดีของชาวบ้านอย่างยิ่งชาวบ้านทุกคนช่วยกันหาไม้มาก่อสร้างวัด โดยมีหลวงพ่อพริ้งเป็นผุ้ดำเนินการก่อสร้างทั้งหมด และขุดบ่อน้ำสร้างโรงเรียนขึ้นหนึ่งหลังโดยเอาบุตรหลานชาวบ้านถิ่นนั้นมาเรียนหนังสือและ หลวงพ่อพริ้งเป็นผุ้ทำการสอนร่วมกับพระที่เดินธุดงค์ช่วยกันสอน
    ถูกลองวิชา
    หลวงพ่อพริ้งอยุ่ช่วยชาวบ้านวังเจ้าเป็นเวลา 2 พรรษา และก่อนที่จะออกพรรษาที่ 2 เพียง 3 วัน หลวงพ่อพริ้งนั่งวิปัสสนากรรมฐานและทราบโดยฌาณว่า โยมมารดาได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว และหลวงพ่อก็รอจนออกพรรษา แล้วหลวงพ่อพริ้งก็รีบเดินทางกลับจังหวัดลพบุรีในระหว่างที่เดินทางถึงจังหวัดกำแพงเพชร ในระหว่างทางได้พบกับพระภิกษุชรารูปหนึ่ง ซึ่งเดินธุดงค์มาเหมือนกันและได้นั่งสนทนากับพระภิกษุชรารูปนั้นได้รูดกิ่งไม้แล้วขว้างไปใบไม้ นั้นกลายเป็นกระต่ายและหลวงพ่อพริ้งก็ได้เอาผ้าสังฆาฏิม้วนแล้วขว้างออกไปบ้าง ผ้านั้นกลายเป็นเด็กวิ่งไล่จับกระต่าย แล้วก็หายไปทั้งกระต่ายและเด็ก หลวงพ่อพริ้งและพระภิกษุชรานั้นก็สนทนากันถุกอัธยาศัย๙ึ่งกันและกัน ภิกษุชราบอกวิชาย่นระยะทางให้กับหลวงพ่อพริ้ง และหลวงพ่อพริ้งก็แบ่งปันวิชาบังไพรให้กับภิกษุรูปนั้นนับเป็น
    เวลาหลายช่วง หลวงพ่อบอกเอาไว้ผุ้ที่มาสัมภาษณ์หลวงพ่อ
    ประมาณ 17 ปีที่หลวงพ่อพริ้งจาริกธุดงค์วัตร
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทส่งflashหรือ j&t(ปิดรายการ)

    IMG_20220914_212414.jpg IMG_20220914_212425.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2022
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    วัตถุมงคลหลากหลายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศครับค่าจัดส่งต่อครั้ง 30 บาทระบบflash หรือ J&Tและ 50 บาทems ไปรษณีย์ไทย 08--1--70--4--72--64 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง line ตามเบอร์โทรศัพท์
    บัญชีธนาคาร กรุงไทย 125-00-89-239
    Supachai thu
    โอนแล้วแจ้งบอก ทางข้อความ พร้อมที่อยู่จัดส่ง ป้อง กัน
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    วันนี้จัดส่ง
    TH570637W3610A. อุทัยธานี
    ขอบคุณครับ
     
  6. Karoonsur

    Karoonsur Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +224
    จองครับ
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    97569756-9936.jpg


    เทพเจ้าแห่งโชคลาภ " หลวงพ่อแนม กตปุญโญ" พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดเขาหน่อ ต.บ้าน แดน อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ศิษย์พระคณาจารย์สายหลวงปู่เภา วัดถ้ำตะโก จ. ลพบุรี

    ปัจจุบันวัตถุมงคลของ "หลวงพ่อแนม" ผู้นำไปใช้ต่าง ประสบการณ์โชคลาภ วัตถุมงคลรุ่นนี้ นายบุญชู โรจน เสถียร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตส.ส.หลายสมัย เป็นประธานวาง ศิลาฤกษ์ บันไดเพื่อขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทวัดเขาหน่อ และประธานพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล 6 รอบหลวงพ่อแนมด้วย

    ประวัติหลวงพ่อแนม วัดเขาหน่อ

    เกิดวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๕ ณ บ้านท่าเกษม ตำบลเมืองบางยม หมู่ ๔ อำเภอสังคโลก จังหวัดสุโขทัย เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวน ๗ คน ของนายน้อย นางฝอย ธรรมราช เมื่ออายุ ๙ขวบได้ตามแม่ใหญ่ชื่อขาวพวง ธรรมราช ซึ่งเป็นแม่ชีมาจากสุโขทัย ได้พบกับพระธุดงค์ ชื่ออ๊อด ที่วัดท่าพระจันทร์ ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย และได้เรียนหนังสือจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ ที่โรงเรียนวัดบ้านแดน ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย

    ต่อมาหลวงพ่ออ๊อดจะออกธุดงค์จึงฝากเด็กชายแนมไว้กับ หลวงพ่อแท่น ยโสธร และได้พาไปบวชเณรกับท่าเจ้าคุณวิเชียรโมลีเจ้าคณะจังหวัด กำแพงเพชร วัดบรมธาตุเมื่อ วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๘๐ ได้จำพรรษาที่สำนักสงฆ์เกาะทรายมูล จังหวัดกำแพงเพชร ต่อมายามมาจำพรรษาอยู่ที่วัดท่าพระจันทร์ จนกระทั่งอายุ ๒๐ ปี หลวงพ่อแท่นได้พาไปอุปสมบทที่ วัดสังขวิจิตร ตำบลตาขีด อำเภอบรรพตพิสัย โดยมีหลวงพ่อสว่างเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาฯ กตปุญโญ หลวงพ่อแนมได้เรียนธรรมมะกับหลวงพ่อสว่างและหลวงพ่อแท่นอยู่หลายปี จึงได้ออกธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ กระทั่งพบคณาจารย์ สายหลวงปู่เภา วัดถ้ำตะโก จังหวัดลพบุรีซึ่งท่าเป็นคณาจารย์ของหลวงพ่อแท่น

    ในช่วงจำพรรษาอยู่ที่วัด ท่าจันทร์ คืนหนึ่งหลวงพ่อแท่นได้นิมิตเห็นแสงสว่างเจิดจ้าอยู่บริเวณวัดเขาหน่อ ครั้นพอยามเช้าหลวงพ่อแท่นจึงได้บอกให้หลวงพ่อแนมอยู่ที่วัดท่าจันทร์ไปก่อน ส่วนหลวงพ่อแท่นจะไปจำวัดเขาหน่อเพื่อบูรณะฟื้นฟูตามที่ตามที่เห็นนิมิต

    ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๕ หลวงพ่อแนมได้ตามมาจำพรรษา อยู่กับหลวงพ่อแท่นที่วัดเขาหน่อและได้พากันเดินธุดงค์มาจากวัดเขาหน่อ และได้มาปักกรดปฏิบัติธรรมที่เขาห้วยลุง ตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพพิสัย โดยอาศัยอยู่ในถ้ำเขาห้วยลุง ในขณะนั้นนายทอง เอี่ยมแพร เป็นกำนัน ตำบลบ้านแดน ได้เกิดศรัธาเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อแท่นและหลวงพ่อแนม ได้ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อทั้ง ๒ รูป และได้ชักชวนชาวบ้านบริเวณบ้านเขาห้วยลุง และหมู่บ้านใกล้เคียงมาร่วมกันสร้างกุฏิ ศาลา เสนาสนะ สิ่งก่อสร้าง ถาวรวัตถุต่างๆภายในสำนักสงฆ์เขาห้วยลุง และต่อมากำนันทอง เอี่ยมแพร ได้ถวายที่ดินประมาณ ๑๐๐ ไร่เศษ ให้กับหลวงพ่อแท่นและหลวงพ่อแนม พื้นที่ดังกล่าวคือวัดเขาห้วยลุงในปัจจุบัน

    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ตรงกับปีชวด เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๔ ค่ำ วันพุธ หลวงพ่อแท่น ยโสธโร ได้มรณภาพลงและก่อนที่จะละสังขารได้ฝากหลวงพ่อแนมให้ดูแลสำนักสงฆ์เขาห้วย ลุง และวัดเขาหน่อ สืบต่อมา ซึ่งหลวงพ่อแนมก็รับปาก และในวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๘ สำนักสงฆ์เขาห้วยลุงก็ได้รับอนุญาตให้ตั้งวัดโดยใช้ชื่อวัดว่า "วัดเขาห้วยลุง"

    หลวงพ่อแนม กตปุญโญ ได้ยึดมั่นอยู่ในสมณะเพศอย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะเป็นด้านวิปัสสนาธุระและคัน กธุระ แม้กระทั่งโยธากระธุระ ไม่เคยขาดตกบกพร่อง จนสอบได้ น.ธ เอก ในปีพ.ศ.๒๔๘๗ ณ สำนักเรียนวัดป่าธรรมโสภณ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี และสุดท้ายได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระครูนิวาตธรรมโกศล ในสายงานปกครองนั้น เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาหน่อเมื่อพ.ศ.๒๔๙๐ ในปีพ.ศ.๒๕๑๑ เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านแดน

    ทางด้านการศึกษานั้นเป็นครูสอน ปริยัติธรรมประจำวัดเขาหน่อ ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๙๐ นอกจากนั้นยังได้เผยแผ่เทศนาอบรมประชาชนในเขตตำบลบ้านแดน และใกล้เคียง ไม่เคยเว้นจากพิธีจากพิธีกรรมทางศาสนาจวบจนวาระสุดท้าย หลวงพ่อแนมมีความชำนาญทางด้านก่อสร้างเป็นพิเศษ ได้ก่อสร้างสนสถานไว้มากมายอาทิเช่น

    พ.ศ. ๒๕๑๓ สร้างศาลาการเปรียญ ๑ หลัง

    พ.ศ. ๒๕๑๔ สร้างกุฏิแบบทรงไทย ๕ หลัง

    พ.ศ. ๒๕๑๕ สร้างประปาร่วมกับอนามัย อำเภอบรรพพิสัย ประจำวัด

    พ.ศ. ๒๕๑๙ สร้างหอสวดมนต์ ๑ หลัง

    พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๒๑ สร้างหอสมุด ๑ หลัง แบบทรงไทย

    ในปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ประชาชนชาวนครสวรรค์ต่างปลื้มปิติเมื่ออุโบสถวัดเขาหน่อได้เสร็จสิ้นลง และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จยกช่อฟ้า นอกจากนั้นยังมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญๆ อีกมากมาย ไม่ว่าการบูรณะรอยพระพุทธบาทเขาหน่อพร้อมทางขึ้นและถนนรอบเขาหน่อ

    ประการสำคัญท่านพยายามย้อนรอยประวัติ ศาสตร์โดยเฉพาะเส้นทางเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ ๕ ที่ได้เสด็จมาที่วัดเขาหน่อ โดยได้ขอให้หลวงปู่โง่นทำพิธีหาจุดประทับ ของรัชกาลที่๕ และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ท่านได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษาธรรมชาติของเขาแก้วและเขาหน่อได้ ต่อสู้กับอิทธิพลต่างๆมากมาย จากการกระทำของผู้ที่ต้องการระเบิดเขาเพื่อนำหินไปทำธุรกิจ จนกระทั่งท่านได้ถวายฏีกาด้วยตนเอง ต่อ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จยกช่อฟ้า โดยกล่าวว่า "ขอถวายธรรมชาติทั้งเขาแก้วและเขาหน่อให้อยู่ในความดูแลของพระองค์..."

    ระยะหลังหลวงพ่อแนมได้มีอาการของโรคภูมิแพ้ ต้องมีออกซิเจนอยู่ข้างตัวตลอดเวลาและท่านได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลค่าจิระ ประวัติหลายครั้งซึ่งทางโรงพยาบาลได้จัดห้องไว้ให้ท่าน ๑ ห้อง และแพทย์ได้แนะนำให้ท่านอยู่ในที่โล่งอากาศถ่ายเทสะดวกในปีพ.ศ.๒๕๔๐ ท่านจึงย้ายมาจำพรรษาที่วัดเขาห้วยลุงอีกครั้ง เมื่อย้ายมาจำพรรษาที่วัดเขาห้วยลุง อาการของโรคภูมิแพ้ได้ทุเลาลงจนแทบจะไม่ปรากฏอาการ เพราะบริเวณวัดเขาห้วยลุงเป็นที่โล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก อีกทั้งไม่มีกลิ่นมูลค้างคาวและลิง ประกอบกับ คุณพิสิฏฐ์ และคุณสุดจินต์ สุพิชญางกูร สองสามีภรรยาผู้มีความเลื่อมใส ในหลวงพ่อแนมเป็นอย่างยิ่งได้สร้างกุฏิถวายเป็นที่จำพรรษา

    ในช่วง พ.ศ. ๒๕๔๐ เศรษฐกิจของไทยเริ่มมีปัญหา ฟองสบู่เริ่มแตกและเกิดอาการหนักในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๒ หลวงพ่อแนมได้รับทราบความเป็นไปของบ้านเมืองโดยตลอด และได้ปรารภด้วยความเป็นห่วงประชาชนโดยเฉพาะชาวบ้าน ตำบลบ้านแดน จะอยู่อย่างไรในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แนวความคิดของท่านได้ชะลอการสร้างสนสถานไว้ทั้งหมด โดยหันมาปลูกป่าโดยเฉพาะสมุนไพร และได้ยกที่ส่วนหนึ่งของวัดเขาห้วยลุงได้เป็นที่ตั้งของศูนย์ถ่ายทอด เทคโนโลยีทางการเกษตร ท่านได้พยายามจำทำในเรื่องของเกษตรแปรรูป และการท่องเที่ยวเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านและยังห่วงใยในเรื่องของการศึกษาและ สุขอนามัย โดยให้ใช้ที่ส่วนหนึ่งของวัดเขาห้วยลุงเป็นที่ตั้งโรงเรียนและอนามัย และได้ติดตามดูแลสนับสนุนโดยตลอด

    ในเดือนมกราคม ๒๕๔๓ ท่านให้ดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิ ชื่อว่ามูลนิธิหลวงพ่อแนม โดยให้วัดเขาห้วยลุงเป็นฯที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิและได้มอบเงินของท่าน จำนวน ๖๖๕‚๖๗๙ บาท (ณ ๒๒ พฤศจิกายน๒๕๔๒)ที่ฝากไว้ธนาคารออมสิน สาขา สลกบาตร เป็นทุนดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ

    วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๓ ท่านประพฤติปฏิบัติเหมือนวันต่อมา คือเดินจากกุฏิไปทำความสะอาดมณฑปหลวงพ่อแท่น แล้วกวาดศาลาพระพุทธชินราชที่ตั้งยู่ในวัดเขาห้วยลุง และนั่งวิปัสสนา ทำสมาธิ อธิฐานจิตและเดินกลับกุฏิทรายทอง สรงน้ำและฉันภัตตาหารเช้า จากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ที่คอยปรนนิบัติท่านอยู่ได้ยินท่านปรารภกับเป็ดที่ ท่านเลี้ยงไว้ว่า "ข้าฯหมดกำลังเลี้ยงพวกเอ็งแล้วและยังพูดกับลูกศิษย์ว่าให้เตรียมช่วยเหลือ ตัวเอง" ไม่มีใครเฉลียวใจเลยแม้แต่น้อยว่าท่านหมายถึงอะไร

    เวลา ๙.๐๐ น. ของวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๓ คุณ พิสิฏฐ์ และคุณสุดจินต์ สุพิชญางกูร พร้อมครอบครัวได้นำภัตตาหารและเครื่องสังฆทานมาถวายหลวงพ่อแนม และในเวลา ๑๐.๓๐ น. หลวงพ่อแนมเริ่มมีอาการแน่นหน้าอก คณะศิษย์ได้นำหลวงพ่อส่งโรงพยาบาลปากน้ำโพ ในขณะนั้นอาการของหลวงพ่อดีขึ้นจนกระทั่งเวลา ๑๔.๕๘ น.อาการของหลวงพ่อได้ทรุดหนักลงอีก แต่ท่านยังมีสติอยู่ตลอด แพทย์นำยามาให้ฉันโดยป้อนใส่ปากท่านเลย ท่านยังคายออกและสั่งให้ประเคนก่อน ท่านเคร่งในวัตรปฏิบัติจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต และในเวลาดังกล่าว ท่านจากพวกเราไปด้วยอาการสงบ ทิ้งไว้แต่ธรรมะคำสั่งสอนความเมตตา หลวงพ่อแนม กตปุญโญ

    "ก่อนมรณภาพท่านสั่งไว้ว่าให้เผาท่านที่วัดเขาห้วยลุงอย่าเก็บศพไว้ให้เป็นภาระของผู้อื่น"
    .. พระอาจารย์ ที่หลวงพ่อแนม ได้ศึกษาธรรมะและ พุทธาคม ที่ได้บันทึกไว้มีดังนี้

    1. พระวิบูลย์วชิรธรรม ( หลวงพ่อสว่าง ) วัดคหบดีสงฆ์ กำแพงเพ็ชร
    2. หลวงพ่อแท่น ยโสธโร
    3. หลวงปู่เภา วัดถ้ำตะโก ลพบุรี
    4. หลวงพ่อฉาย วัดป่าธรรมโสภณ
    5. หลวงพ่อกึ่ง วัดโพธิ์ชัย
    6. หลวงพ่อสุด วัดปฐมพานิช
    7. หลวงพ่อสำลี วัดเขาวัง ราชบุรี
    8. หลวงพ่ออุ่ม วัดเขาวัง ราชบุรี
    9. หลวงพ่อธูป วัดเขาปถะหวี
    10. หลวงพ่อวัน วัดเขาวง บ้านหมี่
    11. หลวงปู่นาค วัดท่าเกษม สวรรคโลก จ.สุโขทัย
    12. หลวงพ่อแกร วัดส้มเสี้ยว อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญระฆัง หลวงพ่อแนม วัดเขาหน่อ จ.นครสวรรค์ อายุ 72 ปี รุ่นรวยเงินล้าน มี ตอกโค๊ตรูประฆัง เนื้อทองเหลือง ขนาด 2.2 x 3.2 ซ.ม จัดสร้างเมื่อปี 2537
    ให้บูชา
    200 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t(ปิดรายการ)

    IMG_20220915_185700.jpg IMG_20220915_185722.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2022
  8. Karoonsur

    Karoonsur Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +224
    จองครับ
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    เหรียญหลวงพ่อเจริญวัดเกาะอุทการาม ปากช่องจังหวัดนครราชสีมาหลังสาริการุ่นแรกแจกสิงคโปร์ ท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่หน่ายวัดบ้านแจ้ง ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t
    IMG_20220915_191504.jpg IMG_20220915_191536.jpg IMG_20220915_191448.jpg


     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    tyoopic.jpeg
    หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา จ.สมุทรสาคร ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ท่านเป็น เกจิชื่อดังแห่งสมุทรสาคร พระผงยาวาสนาจินดามณี รุ่นแรก ท่านโด่งดังทางด้านยารักษาโรค #เรื่องยาจินดามณีของท่านนั้นเป็นที่เชื่อกันว่าใช้ตำรับเดียวกันกับของวัด กลางบางแก้ว อาราธนาแช่น้ำมนต์รักษาโรคได้
    หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา จ.สมุทรสาคร เป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยและยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับ ลป.เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว แต่ถ้าศึกษากันอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบว่าท่านเป็นหลานแท้ ๆ ของลป.บุญครับ เพียงแต่ท่านออกจะเก็บตัวแต่คนพื้นที่รู้จักท่านเป็นอย่างดี เหตุที่บอกว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องก็เพราะว่าท่านเดินทางไปร่ำเรียนวิชา ต่างๆ จาก ลป.บุญ วัดกลางบางแก้ว ไว้หลายอย่าง ทั้งแพทย์แผนโบราณ พุทธาคม และที่เป็นหัวใจสุด ๆ ก็คือ "การทำผงยาจินดามณี" เรียกได้ว่าเป็นสายตรงของวัดกลางบางแก้วเช่นเดียวกัน
    ประสบการณ์สามารถใช้แทนของลป.เพิ่มได้ ผงยาจินดามณี อันมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นของวัดกลางบางแก้ว จังหวัดนครปฐม โดยหลวงปู่บุญได้ทำขึ้นจากตำรับเก่าแก่ของวัดกลางบางแก้ว ที่สืบทอดมาแต่ครั้งสมเด็จพระพนรัตน์ แห่งวัดป่าแก้ว สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นผงยาที่ประกอบขึ้นจากตัวยาสมุนไพรมากมาย ดังในบทกลอนที่กล่าวถึงตัวยาต่างๆ ว่า
    จินดามณีโอสถอันพิลาสประกอบดอกคราด ดอกจันทน์ เกสรบุษบัน เปราะหอม กำยาน โกฏสอ โกฏเขมา น้ำทองประสาน เปลือกกุ่มชลธาร กรุงเขมาเท่าๆ กัน ผสมแล้วตำบดพิมเสน ชะมด น้ำผึ้งรวงรัง กฤษณา น้ำมะนาว น้ำมะเขื่อขื่นคั้น ผสมเข้าด้วยกัน บดปั้นตากกิน เป็นยาวาสนาเลิศล้ำตำรา ในโลกแดนดิน ผู้ใดได้กินจะสวัสดิโสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุเงินทอง จักพูนกูนกองกว่าโลกหญิง ชาย นำมาบูชา อภิวาทบ่วาย ระงับอันตรายทั้งสี่กิริยา โทษหนักเท่าหนัก ถึงจักมรณา โทษน้อยถอยคราเคลื่อนคลายหายเอย"
    ผงยาจินดามณีที่สืบทอดจากหลวงปู่บุญ ยังสืบตำนานอยู่ ณ วัดกลางบางแก้ว ต่อจากหลวงปู่บุญ คือหลวงปู่เพิ่ม ผู้เป็นลูกศิษย์ และพระอาจารย์ใบ และหลวงปู่เจือ ที่สืบสานต่อจากหลวงปู่เพิ่ม แต่ตำรับการสร้างผงยาจินดามณียังมีสืบสานต่อที่วัดท่าเสา อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร มีความเป็นมาเช่นใดกัน
    ตำรับผงยาจินดามณีของวัดท่าเสาก็สืบสานมาจากหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เพราะหลวงพ่อทองอยู่ อัตตทีโป มีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่บุญ ได้มีโอกาสศึกษาวิชาการทำผงยาจินดามณีจากหลวงปู่บุญโดยตรง ซึ่งหลวงพ่อทองอยู่ได้ทำผงยาจินดามณีขึ้นมาทั้งในส่วนที่เป็นเม็ดยา และที่เป็นผงสร้างเป็นพระเครื่องเนื้อผงยาจินดามณี
    หนึ่งในพระเครื่องเนื้อผงยาจินดามณีล้วนๆ ของหลวงพ่อทองอยู่ คือ พระพิมพ์ลีลาหนังตะลุง ที่สร้างขึ้นเป็นครั้งแรก รุ่นแรก เมื่อปี พ.ศ. 2525ที่นอกเหนือจากจะเป็นยาเลิศล้ำแล้ว ยังมีดีในด้านเมตตามหานิยม เล่าขานกันเป็นอันมากถึงพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม ในวันที่ทำการปลุกเสกพระผงยาจินดามณีของหลวงพ่อทองอยู่ บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายภายในวันนั้น ต่างพากันเกี้ยวพาราสีกัน แม้กระทั่งผีเสื้อที่บินไปมาในวัด สมดังที่หลวงพ่อทองอยู่บรรยายสรรพคุณผงยาจินดามณีที่ท่านทำขึ้น ผูกเป็นคำกลอนว่า
    โอสถนามมี จินดามณี เลิศล้ำยอดยา ผู้ใดมีไว้ ใช้กิน ใช้ทา รุ่งเรืองวัฒนา ปรารถนาสมจินต์ เงินทองมากมาย หน้าตาสดใส จิตใจโสภิณ โทษหนักเท่าหนัก จักถึงชีวิน มิต้องแดดิ้นถึงสิ้นชีวา อยากให้ใครรัก จิตตั้งประจักษ์ เห็นในพริบตา มหานิยม สมเจตนา เขาจ๊ะจ๋า มาหาทันที
    แม้รับราชการเจ้านายโปรดปราน บริวารมากมี อธิษฐานเอาเถิดผลจะก่อเกิด ประเสริฐสุขี อาทรธรรมนิเทสก์ พระคุณปกเกศ บอกเลศยานี้ เจ้าตำรับเก่า พระครูเสา มาเนาว์นานปี อย่าได้ละทิ้ง ในสิ่งสวัสดี จินดามณียอดยานี้เอย"
    ผงยาจินดามณีของหลวงพ่อทองอยู่ มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของหลวงปู่บุญเลย มีเรื่องเล่ากันว่า มีโยมผู้หญิงชื่อศรี คุณพ่อป่วยหนักเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเข้าห้องไอซียู และหัวใจหยุดเต้นในเวลาต่อมา ทางแพทย์ได้แจ้งให้ญาติของผู้ป่วยทราบ หลังจากหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว 2 ชั่วโมง ทางโรงพยาบาลจะฉีดยาศพ แต่ญาติได้ทักท้วงไว้เพราะคุณศรีซึ่งเป็นบุตรียังเดินทางมาไม่ถึง #พอคุณศรีมาถึงก็นึกถึงยาจินดามณีของหลวงพ่อทองอยู่ขึ้นมา ซึ่งมีติดตัวอยู่ประจำ จึงได้จุดธูปกลางแจ้งอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อทองอยู่ และอาราธนาบารมียาจินดามณี แล้วบดยากับน้ำกรอกใส่ปากและทาลำตัว #ไม่นานนักคนไข้เกิดการสะอึกขึ้นมาและหัวใจเต้นฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ แพทย์ทราบสาเหตุของการฟื้นก็พากันเล่าขานและมีคนที่เจ็บไข้พากันมาขอยาหลวง ปู่กันมากมาย
    ประวัติ หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา สมุทรสาคร เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2439 ที่บ้านท่าไม้ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร อุปสมบทที่ วัดนางสาว อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน มีพระครูถาวรสมณศักดิ์ (คง) วัดหงอนไก่ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเพี้ยน จันทสโร วัดนางสาว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูสุนทรคุณธารี วัดนางสาว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อยู่จำพรรษาที่วัดนางสาว จนปี พ.ศ.2480 พระครูถาวรสมณศักดิ์ เจ้าคณะอำเภอกระทุ่มแบน ได้ส่งหลวงพ่อทองอยู่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าเสา ซึ่งเป็นวัดร้าง และหลวงพ่อทองอยู่ได้ร่วมกับชาวบ้านบูรณปฏิสังขรณ์จนเจริญรุ่งเรืองมาเป็น ลำดับ ในด้านสมณศักดิ์ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่พระครูอาทรธรรมนิเทสก์ หลวงพ่อทองอยู่ มรณภาพลงเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2531 อายุได้ 92 ปี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหยดน้ำหลวงพ่อทองอยู่วัดท่าเสาให้บูชา 150 ค่าจัดส่ง 30 บาทระบบflashหรือ j&t(ปิดรายการ)

    IMG_20220915_194849.jpg IMG_20220915_194901.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2022
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1663249762989.jpg

    ประวัติหลวงพ่อพระครูสุนทรศีลาภิวัฒน์ ปฎิปันโน
    หลวงพ่อพระครูสุนทรศีลาภิวัฒน์ (ปฎิปันโน) นามเดิม ชม สกุลเดิม ไทยเจริญ เกิดวันพฤหัสบดีที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับแรม ๑๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง ที่บ้านปากคลอง หมู่ที่ ๑๒ ตำบลทองหลาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ในตระกูลชาวนา นามบิดา ชื่อ ไกร นามมารดา ชื่อ เชย นามสกุล ไทยเจริญ มีพี่น้อง บิดามารดาเดียวกันรวม ๗ คน คือ
    ๑. เป็นชาย ชื่อ ชม ไทยเจริญ คือ หลวงพ่อพระครูสุนทรศิลาภิวัฒน์
    ๒. เป็นหญิงเสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัย
    ๓. เป็นหญิงฝาแฝดเสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัย
    ๔. เป็นชาย ชื่อ ชั้น ไทยเจริญ
    ๕. เป็นหญิง ชื่อ ช่วง ไทยเจริญ (ปิ่นเงิน)
    ๖. เป็นหญิง ชื่อ ฉ่ำ ไทยเจริญ (แสงสร)
    บิดาของหลวงพ่อ เป็นผู้เดินทางแสวงโชคมาจาก ตำบล อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี
    ชีวิตในเยาว์วัย ได้มีโอกาสเรียนหนังสือกับพระในวัด มีความรู้อ่านออกเขียนได้ ได้ช่วยครอบครัวประกอบอาชีพทำนา ชีวิตในวัยรุ่น คบเพื่อนที่เป็นนักเลงหัวไม้ นักเลงในสมัยนั้นนิยมเล่าเรียนวิชาอาคมไว้เพื่อป้องกันตัว หลวงพ่อได้เล่าเรียนวิชาอาคมกับตาทอง ผู้มีวิชาอาคมเก่งกล้าหลายอย่าง เพื่อไว้ป้องกันตัว ต่อมามารดาของท่านได้เสียชีวิตลง ได้ทิ้งภาระอันยิ่งใหญ่ไว้ให้ คือ น้อง ๓ คน ซึ่งยังเล็กอยู่เพราะบิดาของท่านได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา จนมรณภาพ หลวงพ่อต้องปกครองดูแลเลี้ยงน้อง ๓ คน จนเติบโตด้วยความยากลำบาก ครั้นอายุ ๒๑ ปี อายุครบการเกณฑ์ทหาร หลวงพ่อได้มีโอกาสรับใช้ประเทศชาติ โดยถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารที่จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดจันทบุรี เป็นเวลา ๒ ปี
    หลังจากหลวงพ่อพ้นจากการเกณฑ์ทหารแล้ว ได้กลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน มีความศรัทธาที่จะบวชในพระพุทธศาสนา วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๖ ปีเถาะ หลวงพ่อได้สละเพศฆราวาสประพฤติ เข้าบรรพชาอุปสมบท เป็นศิษย์ของพระบรมศาสดา ภายใต้ร่มเงาผ้ากาสาวพัสตร์ ในขอบขันฑสีมา ณ พัทธสีมาวัดพระโต ตำบลอาษา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก โดย ผู้ใหญ่สุก นางปลั่ง ไทยเจริญ ญาติผู้พี่ เป็นเจ้าภาพจัดหาผ้าไตร จีวร ฯลฯ ในการบรรพชาอุปสมบท มีพระครูพิศาลธรรมประยุต (หลวงพ่อเกิด) วัดสะพาน เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สี วัดพระโต เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ผ่อง วัดโบสถ์เจริญธรรม เป็นอนุสาวนาจารย์ จำพรรษา ณ วัดพระโต ๑ พรรษา จึงย้ายมาจำพรรษา ณ วัดท่าทราย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ จนถึงปัจจุบัน ในระหว่างจำพรรษา ณ วัดท่าทราย หลวงพ่อได้เดินทางไปศึกษาธรรมวินัยกับพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเกิด วัดสะพาน และพระเถระผู้ใหญ่อีกหลายรูป และหลวงพ่อเคยออกเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงพ่อพร้อม วัดหนองหมู อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น เป็นที่รู้จักของผู้นิยมเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะตะกรุดโทนและแหวนพิรอดทำด้วยเถาเครือหญ้านาง พุทธคุณยอดเยี่ยมทางคงกระพันชาตรี จุดเริ่มแรกในการธุดงค์ คือ เดินธุดงค์ไปนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี แล้วมุ่งสู่ภาคอิสานและภาคเหนือ เป็นประจำ ระหว่างทางได้พบพระอาจารย์ดีมีวิชา ก็ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม หลวงพ่อได้ยินกิตติศัพท์ของพระอาจารย์ ชื่อดัง ๒ รูป คือ หลวงพ่อมุ้ย (พระครูปราจิณธรรมธารี) เจ้าอาวาสวัดท้าวอู่ทอง และหลวงพ่อปุ่น เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ปากพลี ตั้งแต่หลวงพ่อไปรับราชการทหารที่จังหวัดปราจีนบุรี จึงเดินทางไปมอบตัวเป็นศิษย์ ศึกษาหาความรู้ ได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์ทั้ง ๒ รับไว้เป็นศิษย์ หลวงพ่อเป็นเพื่อนกับหลวงพ่อตี่ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อมุ้ย ไปมาหาสู่กันอยู่เป็นนิจ และมีอาจารย์ร่วมสมัยกับหลวงพ่ออีกรูปหนึ่ง คือ หลวงพ่อสมุย วัดโพธิ์ปากพลี ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อปุ่น หลวงพ่อสมุย นอกจากจะเก่งทางวิชาอาคมแล้ว ยังเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น ได้ไปมาหาสู่กันอยู่ประจำ จนกระทั่ง หลวงพ่อสมุยมรณภาพ
    หลวงพ่ออุปสมบทได้ ๖ พรรษา พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าทราย และปีต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าทราย ในขณะที่หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดท่าทราย นายเขียน เป็นคนคลองสิบสอง ศิษย์หลวงพ่อหม่น ย้ายมาตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ วัดท่าทราย ชาวบ้านรู้จักกันในนามอาจารย์เขียน ผู้มีวิชาอาคมเก่งกล้า อาจารย์เขียนมีความรักใคร่นับถือในตัวหลวงพ่อชมมาก แวะมาเยี่ยมเยือนหลวงพ่อที่วัดเป็นประจำ ได้ถ่ายทอดวิชาให้กับหลวงพ่อ เช่น วิชาเสกหมาก และวิชาอาคม อื่นๆ จนครบถ้วน
    ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หลวงพ่อได้ไปศึกษาธรรม กับ พระครูสัทธาภินันท์ (หลวงพ่อเผื่อน) เจ้าอาวาสวัดเลขธรรมกิตติ์ ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา ซึ่งเป็นพระเถระที่เคร่งครัดในธรรมวินัยรูปหนึ่ง ได้ศึกษาทั้งด้านวิชาการและการฝึกปฏิบัติ จนเป็นที่สนิทสนม กับหลวงพ่อเผื่อน โดยยึดถือแนวประพฤติในแนวเดียวกันจนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อชม ถือว่า หลวงพ่อเผื่อน เป็น "ปรมาจารย์" ที่ชี้นำ ให้เดินทางไปพบทางสว่างอย่างแท้จริง เพื่อจะได้ดำรงพระพุทธศาสนาสืบไป ระเบียบที่หลวงพ่อถือปฏิบัติร่วมกัน คือ เปลี่ยนจากการห่มผ้าบิดขวา เป็น บิดซ้าย ออกบิณฑบาตด้วยการอุ้มบาตร แทนการสะพาน นำพระภิกษุ สามเณรทำวัตรเช้า-ค่ำ เป็นประจำตลอดปี มิใช่ทำวัตรเฉพาะในระหว่างเข้าพรรษา ไม่ขบฉันสิ่งของที่ไม่ได้รับการประเคนตามวินัย อบรมธรรมวินัยแก่พระภิกษุ สามเณร เป็นประจำหลังจากการทำวัตรเช้า-เย็น พระภิกษุสามเณรในวัดจะต้องศึกษาธรรม วินัย จัดให้มีการฟังธรรมเทศนาทุกวันธรรมสวนะ ไม่ยินดีกับตำแหน่งยศฐาบรรดาศักดิ์ เพราะถือว่า ยศ ตำแหน่ง เป็นเครื่องบ่งบอกถึงหน้าที่การทำงานเท่านั้น
    ประวัติวัดท่าทราย
    วัดท่าทราย อยู่ในเขตปกครองท้องที่ หมู่ที่๓ ตำบลทองหลาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง เท่าที่ค้นหาหลักฐานได้ คือ วัดท่าทราย ได้จดทะเบียนตั้งวัด ในปี พ.ศ. ๒๓๒๐ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในปี พ.ศ. ๒๓๗๐ มีเนื้อที่ตั้งวัด จำนวน ๒๒ ไร่ ๒ งาน กุฎิสงฆ์หลังเดิมสร้างอยู่ทางทิศทางเหนือของพื้นที่ คือที่ตั้งโรงเรียนวัดท่าทราย(พิมพานุสร) ปัจจุบันนี้ ได้ย้ายวัดไปก่อสร้างทางด้านทิศใต้ของพื้นที่วัด
    จากคำบอกเล่าของท่านผู้เฒ่าอายุ ๙๓ ปี(เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๐) เล่าว่าเมื่อท่านอายุประมาณ๑๐ขวบ ท่านเห็นอุโบสถของวัดท่าทราย มีแต่ซากฝาผนังก่อด้วยอิฐเตี้ยๆ ไม่มีหลังคา มองเห็นพระพุทธรูปทำด้วยหินทรายตั้งอยู่เพียงองค์เดียว สันนิษฐานว่าคงถูกทอดทิ้ง ขาดการบูรณะปฏิสังขรณ์มาเป็นเวลานานมาก ชาวบ้านในระแวกนั้นเริ่มบูรณะขึ้นทั้งอุโบสถและกุฎิสงฆ์ เพื่อใช้ประโยชน์ แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาจำพรรษา ได้ช่วยกันสร้างหลังคาอุโบสถโดยใช้เสาไม้แก่น มุงด้วยหญ้าแฝก เพื่อกันแดดกันฝน
    ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้ทำการรื้ออุโบสถหลังเก่า อุบาสกคล้อย อุบาสิกาพิมพ์ ธรรมปัญญา ได้บริจาคเงินก่อสร้างอุโบสถขึ้นใหม่ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก โครงหลังคาสร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง มุงกระเบื้อง เมื่อมีการชำรุดทรุดโทรมได้บูรณะซ่อมแซมโดยทายาทของผู้ก่อสร้างเรื่อยมา
    ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ อุบาสกคล้อย อุบาสิกาพิมพ์ ธรรมปัญญา ได้บริจาคเงินก่อสร้างหอระฆังพร้อมระฆังเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
    ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ อุบาสกคล้อย อุบาสิกาพิมพ์ ธรรมปัญญา ได้บริจาคเงินสร้างศาลาการเปรียญ เป็นอาคารไม้สักทั้งหลังเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคามุงกระเบื้อง
    ตำแหน่งเจ้าอาวาสและรักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าทราย (เท่าที่มีหลักฐาน)
    ๑. หลวงพ่อสว่าง ๒. หลวงพ่ออุ่น ๓. หลวงพ่อปลั่ง ๔. หลวงพ่ออู๊ด ๕.หลวงพ่อสาด ๖.หลวงพ่อเปี่ยม ๗.หลวงพ่อผ่อง ๘.หลวงพ่อชม
    คือหลวงพ่อพระครูสุนทรศีลาภิวัฒน์ (ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทราย ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๗)
    ขอขอบคุณข้อมูลความรู้จาก คุณลุงบุญส่ง ปิ่นเงิน มากครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อชมวัดท่าทรายอายุ 100 ปีบูชา 150 บาทค่าส่ง 30 บาทระบบflashหรือ j&t(ปิดรายการ)
    IMG_20220915_194925.jpg IMG_20220915_194943.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2022
  13. Karoonsur

    Karoonsur Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +224
    จองครับ
     
  14. Karoonsur

    Karoonsur Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +224
    จองครับ
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    ข้อมูลประวัติ หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน ต.ท่าวาสุกรี พระนครศรีอยุธยา

    เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2500 ที่วัดญาณเสน ต. ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีพระอาจารย์ผู้เรืองวิชารูปหนึ่ง ชื่อ หลวงพ่อชื้น พุทธสโร ช่วยเหลือชาวบ้าน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยน้ำพระพุทธมนต์ มีชื่อเสียงมากในทางแก้คุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจ ถูกกระทำ โรคกรรมเก่า โรคจิตวิปริต จิตฟุ้งซ่าน คลอดลูกไม่ออก พ่นตาแดง รักษาฝี ฯลฯ
    pic_156.jpg
    เมื่อหลวงพ่อชื้นเสกน้ำมนต์ ให้ดื่มกินก็ปรากฏว่าหายวัน หายคืน เป็นไปอย่างน่าประหลาด เหล่าภูตผี เจ้าที่หรือวิญญาณที่มีสิงสู่ในตัวตน เมื่อรู้ว่ามีผู้นำน้ำพุทธมนต์เสกของ หลวงพ่อชื้น มา ก็รีบหนีไปผุดไปเกิดทันที จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วตลาดหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม

    ผู้ทีชอบทางค้าขายหลวงพ่อก็จะเสกธะนางกวักเรียกคนเข้าร้านให้
    ผู้ที่ชอบทางโลดโผน ผจญภัย เป็นรั้วของชาติ ท่านก็สร้างตะกรุดโทนแจกให้

    เล่นแร่แปรธาตุ

    ในสมัยนั้นบรรดาเกจิอาจารย์นิยมเล่นแร่แปรธาตุ โดยนำโลหะต่างชนิดกันมาผสมกัน เพื่อให้เป็นทองคำให้เป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์ผสมโลหะ 5 อย่าง 7 อย่าง 9 อย่าง ออกมาเป็นสัตตโลหะ นวโลหะ อย่างเช่น หอกของหลายชุมพล ปลายหอกทำด้วยสัตตโลหะ ใครที่ว่าเหนียว เมื่อเจอโลหะผสมก็เปื่อยเป็นเนื้อต้มทีเดียว หลวงพ่อชื้น ท่านก็ลองวิชาของท่านเหมือนกัน นำโลหะมาผสมได้เนื้อเหลืองทางทองคำก็มี เนื้อเหลือบใสแดงขาวก็มี ท่านเรียกโลหะของท่านว่า เนื้อลูกแก้ว ท่านผสมไว้มากมายใต้ถุนกุฏิ เมื่อใครมาขอท่านก็หลอมเป็นลูกอมเล็ก ๆ ให้พกติดตัว ผู้ที่ได้ไปก็แคล้วคลาดภัยอันตรายต่าง ๆ ถ้าวันใดว่าง ๆ ท่านก็จะให้ศิษย์ไปหาตะปูสังฆวานรตามเจดีย์ร้างเก่า ๆ มาหลอมรีดเป็นตะกรุด ผู้ได้ไปก็มีความคงกระพันชาตรี มหาอุด หยุดลูกปืน จนท่านทำให้แทบไม่หวาดไหว

    พระธุดงค์มาสอนธรรมะเพื่อความหลุดพ้น

    ต้นปี พ.ศ. 2500 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้ธุดงค์ผ่านมาที่วัดญาณเสน พบกับ หลวงพ่อชื้นเข้าโดยบังเอิญ ท่านอาจารย์ทั้งสองเกิดถูกอัธยาศัยกัน จึงได้สนทนาธรรมกับผู้ศึกษาธรรมย่อมรู้ญาณซึ่งกันและกัน เพียงสนทนากันไม่กี่ประโยคก็ทราบได้ว่ามีความรู้เพียงใด บำเพ็ญเพียร มามากเพียงใด


    อาจารย์ต้องการศิษย์….ศิษย์ต้องการอาจารย์

    พระธุดงค์เปรยขึ้นมาว่า ที่ท่านชื้นได้ร่ำเรียนวิชามานั้น ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในวัตถุ ต้องปล่อยปละละวาง ละความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง พร้อมทั้งแนะนำธรรมะ และข้อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอีกหลายข้อ ตามแนวทางของพระพุทธองค์หลวงพ่อชื้น จึงได้กราบขอเป็นศิษย์ พระธุดงค์รูปนั้นก็มิได้ปฏิเสธ และพูดว่า “นับเป็นกุศลของอาตมาที่จะได้ช่วยให้ผู้มีบุญวาสนาอยู่แล้วได้สำเร็จมรรคผล” นับแต่วันนั้นมาพระภิกษุทั้ง 2 รูป ก็ได้ทบทวนศีล 227 ข้อ พระธรรมวินัยต่าง ๆ ภายในพระอุโบสถ ครั้นยามค่ำคืนก็พากันนั่งสมาธิอยู่โคนต้นโพธิ์ ภายในวัดญาณเสน โดยที่หลวงพ่อชื้นจะภาวนาพระคาถาต่าง ๆ ไปด้วย และลงท้ายด้วยภาวนา นัตถิเม มีพระธุดงค์รูปนั้น ได้นั่งสมาธิคุมไปด้วย

    ความสำเร็จ

    จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไป 2 เดือน กับอีก 27 วัน หลวงพ่อชื้น ท่านก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ว่าจิตใจสบายและสงบขึ้น และในคืนวันที่ 27 นั้นตอนใกล้รุ่งที่โคนต้นโพธิ์ หลวงพ่อชื้น ท่านได้ยินเสียงเหมือนคนหว่านทรายมารอบ ๆ ตัวท่าน จึงลืมตาถาม พระธุดงค์ พี่เลี้ยงว่า “นั่นเสียงอะไร” พระธุดงค์ จึงตอบว่า “ผีประจำต้นโพธิ์มันจะเข้าต้นไม้ มันไล่ท่านแล้ว” คืนต่อมาหลวงพ่อชื้น จึงขอเข้ามานั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ จะได้ไม่ไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทาง หลังจากนั่งในพระอุโบสถคืนที่ 3 ใกล้รุ่ง หลวงพ่อชื้น ก็นิมิตเห็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งสมาธิลอยมา ถึง 3 พระองค์ และพระธรรมจักร เปล่งรัศมีโชติช่วง หมุนอยู่ระหว่างกลาง องค์พระทั้ง 3 พระองค์ เมื่อหลวงพ่อชื้นถอนสมาธิก็บังเกิดความสว่างขึ้นภายในดวงใจ เต็มไปด้วยความปิติ จะนึกสิ่งใดต้องการรู้สิ่งใดก็มีคำตอบขึ้นมาเสร็จ ท่านจึงได้เล่านิมิตให้พระธุดงค์ฟัง พระธุดงค์รูปนั้นท่านก็บอก ว่า “อาตมาหมดหน้าที่แล้ว อาตมาจะกลับไปที่บ้านเกิดของอาตมา ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา”

    พระอาจารย์มรณภาพ

    หลังจากวันนั้นแล้วพระธุดงค์องค์นั้นก็ธุดงค์กลับ แม้หลวงพ่อชื้นจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อ เพื่อจะได้สนองคุณดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า หลวงพ่อชื้น เล่าว่า พระธุดงค์องค์นี้ ชื่อ หลวงพ่อเสน เตชะธัมโม เป็นชาวโคราช อำเภอสูงเนิน มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็ก ๆ กับพระยาท่านหนึ่ง ต่อมาได้อุปสมบทที่วัดบรมนิวาส ได้เล่าเรียนพระปริยัตธรรม วิปัสสนากรรมฐานอยู่กับ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) จนกระทั่งมีความคงแก่เรียน จึงได้ออกรุกขมูลธุดงค์หาความวิเวกไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสูงสุดหลวงพ่อชื้น เล่าว่า ท่านได้ส่งกระแสจิตถึงกันอยู่เสมอ เพียงแต่นึกถึงกัน ก็สนทนากันได้แล้ว และหลังจากนั้นอีก 5 ปี พระอาจารย์เสน เตชะธัมโม ก็มรณภาพ ในท่านั่งสมาธิอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ในอำเภอสูงเนิน เมื่อหลวงพ่อชื้นทราบข่าว ก็ขึ้นไปทันที กว่าจะหาศพพบ ก็เป็นเวลา 7 วัน ปรากฏว่านั่งมรณภาพในขณะสมาธบำเพ็ญเพียรอยู่ในซอกหิน ศพไม่เน่าเปื่อยเหมือนคนหลับธรรมดา สัตว์ป่า หรือ มด แมลง ก็มิได้มาไต่ตอมหลวงพ่อชื้น ท่านก็ได้ช่วยทำการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติ แล้วจึงเดินทางกลับ

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา ยังบอกว่า "ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว ให้ไปกราบพี่ชื้น วัดญาณเสน"

    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ยังได้บอกศิษย์ว่า ให้ไปทำบุญกับหลวงปู่ชื้น จ.อยุธยา

    หลวงปู่พรหมา เขมจาโร ยังให้ลูกศิษย์ที่เป็นฤาษี มาเก็บพระหลวงปู่ชื้น

    หลวงปู่แหวน วัดดอกแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ยังเคยเอ็ดเอากับชาวอยุธยาว่า "ใกล้เกลือกินด่าง" หมายความว่า ชาวอยุธยาผู้นั้นเดินผ่านวัดหลวงปู่ชื้นกลับไม่รู้ว่ามีเพชรแท้อยู่หน้าบ้านตัวเอง แต่กลับไปกราบหลวงปู่แหวน ซึ่งห่างไปตั้งหลายร้อยกิโล

    ผมเคยถามท่านด้วยตัวเองว่า พระของหลวงปู่กันนิวเคลียร์ได้ใช่ไหมครับ (เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้) ท่านตอบว่า "ได้" และบอกอีกว่า นิวเคลียร์เป็นพลังทางโลกจะสู้พลังทางธรรมไม่ได้!

    คำอาราธนาพระเครื่อง
    ให้อาราธนาว่าดังนี้

    ข้าพเจ้าขอพระบารมีคุณ
    พระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ เป็นที่พึ่ง......... หรือ
    พุทธัง ฤทธิ ธัมมัง ฤทธิ สังฆัง ฤทธิ ชัยยะมังคะลัง
    เอหิ พุทธัง เอหิ ธัมมัง เอหิ สังฆัง เอหิ จิตตัง มะมะ เอหิ

    ให้ท่านอาราธนาทุกเช้าค่ำแล้วท่านจะสำเร็จตามความปรารถนาตามที่ท่านอธิษฐาน
    หลวงปู่ชื้นเป็นพระเถระ บารมีสูง ท่านสำเร็จธรรมชั้นสูง ตั้งแต่ปี 2500 วัตถุมงคลท่านคนในพื้นที่เก็บกันมาก มีประสบการณ์เยอะ ท่านสำเร็จวิชารัตนจักร คือจักรของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จักรคืออำนาจ แปลว่าวัตถุมงคลท่านเป็นอาวุธของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เพื่อกำจัดสิ่งไม่ดี แม้แต่หลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก ยังบอกว่า "ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว ให้ไปกราบพี่ชื้น วัดญาณเสน" และหลวงพ่อคูณยังได้บอกศิษย์ว่า ให้ไปทำบุญกับหลวงปู่ชื้น จ.อยุธยา หลวงปู่พรหมา เขมจาโร ยังให้ลูกศิษย์ที่เป็นฤาษี มาเก็บพระหลวงปู่ชื้น นอกจากนี้หลวงปู่แหวน วัดดอกแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ยังเคยเอ็ดเอากับชาวอยุธยาว่า "ใกล้เกลือกินด่าง" หมายความว่า ชาวอยุธยาผู้นั้นเดินผ่านวัดหลวงปู่ชื้นกลับไม่รู้ว่ามีเพชรแท้อยู่หน้าบ้านตัวเอง แต่กลับไปกราบหลวงปู่แหวน ซึ่งห่างไปตั้งหลายร้อยกิโล

    เคยถามท่านด้วยตัวเองว่า พระของหลวงปู่กันนิวเคลียร์ได้ใช่ไหม ท่านตอบว่า ได้ และบอกอีกว่า นิวเคลียร์เป็นพลังทางโลกจะสู้พลังทางธรรมไม่ได้!

    องค์นี้ เป็นเนื้อผง สภาพสวย และท่านอธิฐานจิตเพิ่มให้กับมือครับ ออก ปี 45 ตอนท่านอายุ 96 ปี มาพร้อมกล่องเดิมครับ

    คำอธิษฐานของหลวงปู่ชื้น เมื่อพุทธาภิเษกวัตถุมงคลแล้วเสร็จ
    “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสัจธรรม เป็นศาสนาสากล ทรงไว้ซึ่งภราดรภาพ พลานุภาพอันสูงเยี่ยม ไม่มีอะไรเทียบได้ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งได้จริง พระธรรมเจ้าเป็นที่พึ่งได้จริง พระสงฆเจ้าเป็นที่พึ่งได้จริง พระรัตนจักรชัยสิทธิ์เป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง กันปืนกันอาวุธ กันระเบิด กันนิวเคลียร์
    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่ชื้นวัดญาณเสนอยุธยาให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t
    IMG_20220916_125936.jpg IMG_20220916_125956.jpg IMG_20220916_125927.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2022
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ระลึกในงานฉลองสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ออกวัดราชบพิธ กรุงเทพฯ ปี 2521 เนื้อทองแดง หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ร่วมเป็นประธานปลุกเสก
    เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ออกวัดราชบพิธ กรุงเทพฯ ปี 2521 เนื้อทองแดง หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ร่วมเป็นประธานปลุกเสก ที่ระลึกในงานฉลองสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช องอาจ กล้าหาญ สู้เพื่อชาติ เหรียญ สวย คม ขลัง เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ 10-14 มกราคม 2521 ณ วัดราชบพิธ โดยพระคณาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิ 108 รูป เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีปลุกเสก) ปี 2521 (พิมพ์ใหญ่ / ขนาดพระ 4 ซม.) เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สร้างปี 2521 พระดีพิธีใหญ่ จัดสร้างโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เพื่อนำไปแจกทหารไปรบในสมัยนั้น พิธีมหาพุทธาภิเศกโดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรงจุดเทียนชัย พิธีปลุกเสกใหญ่ 5 วัน โดยคณาจารย์ในยุคนั้น 108 รูป ทั้งนิกายมหายาน และหินยาน สำหรับพระคณาจารย์ที่เข้าร่วมปลุกเสก ได้แก่... หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม., หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธินิมิตร กทม., หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขตต์ ขอนแก่น, หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม, หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง ร่อนพิบูลย์, หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว, หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู, หลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร, หลวงพ่อสุด วัดกาหลง, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง, หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะองค์ สมุทรสาคร, หลวงปู่วัน วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร, หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า ระยอง, หลวงพ่อเส็ง วัดประจันตคาราม ปราจีนบุรี, หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณ, และคณาจารย์อื่นๆ อีกมากมาย... เหรียญนี้ สมัยก่อนมีลงประวัติพิธีในหนังสือพระเครื่องหลายเล่ม เหรียญสภาพสวยมาก พระดีพิธีใหญ่ แขวนบูชาขึ้นคอ คุ้มครองได้ สบายใจ พระดีพิธีใหญ่ปลุกเสกโดยยอดคณาจารย์ ได้บูชาสมเด็จพระเจ้าตากสินและมียอดพระเกจิอาจารย์ปลุกเสก ให้ พุทธคุณสูงทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี คุ้มครองป้องกันภัย โชคลาภ

    เหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ 10-14 มกราคม 2521 ณ วัดราชบพิธ โดยพระคณาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิ 108 รูป พระดีพิธีใหญ่ จัดสร้างโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เพื่อนำไปแจกทหารไปรบในสมัยนั้น

    พิธีมหาพุทธาภิเศกโดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรงจุดเทียนชัย พิธีปลุกเสกใหญ่ 5 วัน โดยคณาจารย์ในยุคนั้น 108 รูป ทั้งนิกายมหายาน และหินยาน สำหรับพระคณาจารย์ที่เข้าร่วมปลุกเสก ได้แก่...

    - หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม.,

    - หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธินิมิตร กทม.,

    - หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขตต์ ขอนแก่น,

    - หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม,

    - หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง ร่อนพิบูลย์,

    - หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว,

    - หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู,

    - หลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร,

    - หลวงพ่อสุด วัดกาหลง,

    - หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง,

    - หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะองค์ สมุทรสาคร,

    - หลวงปู่วัน วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร,

    - หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า ระยอง,

    - หลวงพ่อเส็ง วัดประจันตคาราม ปราจีนบุรี,

    - หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณ, และคณาจารย์อื่นๆ อีกมากมาย...
    เเหรียญพระเจ้าตากสินให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบflashหรือ j&t
    IMG_20220916_171359.jpg IMG_20220916_171415.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    เหรียญหลวงพ่อคงวัดเขาสมโภชน์ชัยบาดาลลพบุรีหลังหลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุงอำเภอเมืองจังหวัดอุทัยธานีออกวัดม่วงศิลาทอง อ. ชัยบาดาลจ.ลพบุรี

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบflashหรือ j&t

    IMG_20220916_171311.jpg IMG_20220916_171340.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,734
    ค่าพลัง:
    +21,341
    ประวัติ หลวงปู่เจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว

    budd1299.jpg
    สุดยอดพระเกจิอาจารย์เรืองนามเมืองเจดีย์ใหญ่ในอดีต มิพักต้องกล่าวถึงเกียรติคุณของ หลวงปู่บุญ ขันธโชติ และ หลวงปู่เพิ่ม ปุญญวสโน แห่งสำนักวัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

    แม้บูรพาจารย์ทั้ง 2 ท่าน จะล่วงลับดับสังขารไปแล้ว แต่วิทยาคมอันเรืองอิทธิฤทธิ์ของท่านยังเลื่องลือขจรไกลไป ทั่วสารทิศอย่างไรก็ดี เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่บุญและหลวงปู่เพิ่ม สำนักวัดกลางบางแก้ว ได้ปรากฏนาม หลวงปู่เจือ ปิยสีโล ศิษย์เอกสายตรงหลวงปู่เพิ่ม เป็นทายาทสืบทอดวิทยาคม ปัจจุบัน หลวงปู่เจือ ปิยสีโล สิริอายุ 82 พรรษา 56 เป็นรองเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

    อัตโนประวัติหลวงปู่เจือ

    เกิด ในสกุล เนตรประไพ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2468 ที่บ้านท้ายคุ้ง ต.ไทยยาวาส อ. นครชัยศรี จ.นครปฐม โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายแพและนางบู่ เนตรประไพ ในช่วงวัยเยาว์ ศึกษาเล่าเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดประชานาถ (วัดโคกแขก) แล้วมาช่วยครอบครัวทำนาหาเลี้ยงชีพ

    กระทั่งอายุได้ 26 ปี จึงกราบลาบุพการีเข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดกลางบางแก้ว โดยมีพระครูพุทธวิถีนายก (เพิ่ม ปุญญวสโน) เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์, พระธรรมธรมูล วัดกลางบางแก้ว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูพุทธไชยศิริ (ผูก) วัดใหม่สุประดิษฐาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    หลังอุปสมบท อยู่จำพรรษาที่วัดกลางบางแก้ว ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมอย่างมุ่งมั่น สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก

    พ.ศ.2504 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมพระสมุห์ ของพระพุทธวิถีนายก(เพิ่ม)

    พ.ศ.2528 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว และเป็นพระกรรมวาจาจารย์

    แม้นเคยได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว แต่ท่านปฏิเสธ ทั้งที่เพียบพร้อมทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ

    หลวงปู่เจือ เป็นศิษย์สายตรงวัดกลางบางแก้ว เริ่มจากเป็นพระลูกวัดศิษย์อุปัฏฐากรับใช้สนองงานของหลวงปู่เพิ่ม โดยมีหน้าที่คอยจัดสร้างเบี้ยแก้ตามคำสั่งของหลวงปู่เพิ่ม ประกอบพิธีกรรมตั้งแต่เริ่มบรรจุปรอท ใช้ตะกั่วหุ้มหอยเบี้ย ลงอักขระเลขยันต์ ถักเชือกหุ้มหอยเบี้ยด้วยมือ

    เมื่อทำสำเร็จจะนำไปขอบารมีให้หลวงปู่เพิ่มปลุกเสกอีกครั้ง ก่อนจะนำออกแจกจ่ายลูกศิษย์ กล่าวได้ว่า หลวงปู่เจือ ได้สืบทอดวิธีจัดสร้างเบี้ยแก้ อันเป็นสุดยอดวิชาของหลวงปู่บุญและหลวงปู่เพิ่มไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

    สรรพคุณหรือพุทธคุณเบี้ยแก้หลวงปู่เจือ เป็นที่ร่ำลือในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยม และป้องกันคุณไสยต่างๆ สามารถกันถูกกระทำย่ำยี กันคุณผี คุณไสยเวท อาถรรพณ์ ยาสั่ง ฝังรูปฝังรอย ผีเข้าเจ้าสิง กันไข้ป่าสารพัด ผีป่า ผีโป่ง ผีเปิ่ง ผีปอบกองกอย กันจิตคิดวิกลด้วยโรคอุปาทาน กันมนต์ยาดำย่ำยีด้วยเล่ห์กลมายาสารพัด เป็นต้น

    นอกจากการสร้างเบี้ยแก้อันลือลั่นแล้ว หลวงปู่เจือ ยังสร้างยาจินดามณี อันเป็นวิชาที่สืบทอดตำรับของวัดกลางบางแก้วอย่างสมบูรณ์อีกหนึ่งขนาน

    ยาจินดามณี หรือ ยาวาสนา (ยาต่ออายุ) เป็นยาที่สำเร็จด้วยสมุนไพรและปลุกเสกด้วยมหาพุทธาคม ต้องรวบรวมตัวยาตามตำรับคัมภีร์ที่โบราณาจารย์ระบุไว้ตามสูตร การผสมบดยาต้องใช้พระสงฆ์ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์หรือฆราวาสนุ่งขาวห่มขาว สมาทานศีล รักษาศีลอุโบสถ ผสมยาอยู่ในอุโบสถ ปริมณฑลวงสายสิญจน์ การตำบด ปั้นตัวยา ต้องบริกรรมภาวนาพระคาถาตลอด และต้องให้เสร็จตามฤกษ์ที่กำหนดด้วย

    ยาจินดามณี ใช้อธิษฐานทำน้ำมนต์ อาบ กิน ป้องกันและปัดเสนียดจัญไร บูชาติดตัวไว้จะเป็นเสน่ห์ เมตตามหานิยม เจริญด้วยโชคลาภ หญิงมีครรภ์รับประทาน 3 เม็ดคลอดลูกง่าย มีผิวพรรณวรรณะผุดผ่องใส สติปัญญาดี

    นอกจากนี้ หลวงปู่เจือ ยังได้สร้างวัตถุมงคลไว้แจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์อีกหลายแบบหลายรุ่น เช่น เหรียญเสมาหลวงปู่เจือ รุ่น 1 พ.ศ. 2534 เนื้อเงิน เนื้อกะไหล่ทอง รูปหล่อลอยองค์ รูปเหมือนบูชา พระพิฆเนศวรบูชา พระกริ่งนเรศวรตรึงไตรภพ พระพิมพ์ปรกโพธิ์เนื้อผง พระนางพญาสะดุ้งกลับเนื้อผงขมิ้นเสก และเนื้อดินเผา พระพิมพ์เศียรโล้น พระพิมพ์ซุ้มแหลม พระขุนแผนเคลือบ เหรียญหล่อหลวงปู่เจือ พระปิดตา เนื้อผง ผ้ายันต์และยาจินดามณี

    ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2550 ตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 82 ปี คณะศิษย์ได้จัดงานบุญถวายเป็นมุทิตาสักการะ โดยจัดสร้างวัตถุมงคลพระผงเนื้อยาวาสนาจินดามณี รุ่นแรก เป็นพระผงพิมพ์นางพญาสะดุ้งกลับพิมพ์เจ้าสัว พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่ และพิมพ์พระปิดตา เนื้อผงยาจินดามณีที่นำมาจัดสร้างประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตามตำรับของวัดกลางบางแก้ว เมื่อวันเพ็ญกลางเดือนสิบสอง ปีที่ผ่านมา โดยประกอบพิธีกรรมภายในอุโบสถวัดกลางบางแก้ว โดยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จทรงเป็นประธานในการประกอบพิธีสร้างยาจินดามณีดังกล่าว

    หลวงปู่เจือ ดำเนินชีวิตด้วยความมักน้อยสันโดษ ไม่ยินดียินร้ายในลาภสักการะทั้งหลายทั้งปวง เคร่ง ครัดในศีลาจารวัตร ส่งผลให้ท่านเป็นที่เคารพนับถือของศิษยานุศิษย์ตลอดทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไป

    ความเรียบง่ายของหลวงปู่เจือ เห็นได้อย่างชัด เจน เมื่อมีชาวบ้านไปขอบูชาเบี้ยแก้ที่กุฏิ แล้วให้ท่านประสิทธิ์ประสาท หลวงปู่เจือจะเมตตาทำให้ทุกคน บางคนให้ท่านปลุกเสก ลงเหล็กจาร ท่านจะเมตตาตั้งใจทำอย่างดีเป็นที่ประทับใจของผู้พบเห็น

    ตลอดชีวิตในช่วงที่ครองตนอยู่ในเพศบรรพชิตของหลวงปู่เจือ ท่านได้เคยปรารภว่า เจอมาทั้งความสำเร็จและอุปสรรคขัดขวาง ทั้งจากทางตรงและทางอ้อม ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่เรียกได้ว่ามารผจญ แต่ท่านก็ยึดหลักยึดมั่นจนฟันฝ่ามาได้ คือ ทนเอา อดทน อดกลั้น รวมทั้งแนวความคิดรับสืบทอดมาจากครูบาอาจารย์ ท่านได้นำมาสั่งสอนแก่ลูกศิษย์ว่า ให้มีความเพียร ขยัน อดทน

    หลวงปู่เจือ จึงนับเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่มีวัยวุฒิอาวุโสรูปหนึ่งแห่งลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี จ.นครปฐม เป็นพระเกจิอาจารย์ ที่สมถะเรียบง่าย มักน้อย สัน โดษ มีความเป็นอยู่แบบพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย เมตตาบารมีสูง เป็นพระเถระที่ควรแก่การกราบไหว้โดยแท้.


    ที่มา : http://www.itti-patihan.com
    https://www.siamstreet.com/view-13435.html

    1014-018.jpg
    พระพิมพ์เจ้าสัวแสนล้าน
    1014-011.jpg
    พระนางพญาสะดุ้งกลับ
    1014-010.jpg
    พระพิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ

    1014-012.jpg
    พระพิมพ์ปรกโพธิ์


    1014-09.jpg
    พระลีลาหนังตะลุง
    เบญจภาคีจิ๋ว เนื้อทองทิพย์ แจกพร้อมหนังสือลานโพธิ์ ตลอดปี 2552
    (ฉบับปีใหม่ ฉบับสงกรานต์ ฉบับวันเกิดหลวงปู่เจือ ฉบับวันเกิดหนังสือลานโพธิ์ และฉบับส่งท้ายปีเก่า 2552)

    “ ลานโพธิ์ ” วางเป้าหมายแจกฟรีตลอด ปี 2552 ด้วยพระเครื่องชุด “ เบญจภาคีจิ๋ว ” หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก พระเครื่องชุดนี้มี 5 องค์ คือ

    1. ลีลาหนังตะลุง
    2. นางพญาสะดุ้งกลับ
    3. พระพิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ
    4. พระพิมพ์ปรกโพธิ์
    5. พระพิมพ์เจ้าสัว

    1014-02.jpg ทั้ง 5 พิมพ์นี้ ได้บรรจงสร้างแม่พิมพ์ให้มีความงดงามคงเค้ารูปแบบพิมพ์เดิมของหลวงปู่บุญโดยใกล้เคียงมากที่สุด นอกจากนั้นได้อัญเชิญยันต์ “ พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ” มาเรียงร้อยในชุดทั้งห้าองค์ คือ “ นะ โม พุท ธา ยะ ” ในแต่ละพิมพ์มีอักขระเชื่อมโยงกันครบห้าองค์ก็ครบพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ และมีคาถาย่อยลงแต่ละองค์ เช่น พิมพ์เจ้าสัว ขึ้นต้น “ นะ ” ก็ต่อด้วย “ นะชาลีติ ” พิมพ์นางพญาสะดุ้งกลับ ขึ้นต้น “ โม ” ก็ต่อด้วย “ ภะคะวา ” พิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ ขึ้นต้นด้วย “ พุทธ ” ก็ต่อด้วย “ ทะสังมิ ” พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่ ขึ้นต้นด้วย “ ธา ” ก็ต่อด้วย “ อิสวาสุ ” และ พิมพ์ลีลาหนังตะลุง ขึ้นต้นด้วย “ ยะ ” ก็ต่อด้วย “ มะอะอุ ” เมื่อรวมชุดก็จะได้ “ นะ โม พุท ธา ยะ ” เป็น “ เบญจภาคี ” ของ หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว เป็นครั้งแรกของท่านที่สร้างขึ้นมามอบให้ ลานโพธิ์ แจกแก่ผู้อ่าน ในมงคลวโรกาส หลวงปู่เจือจะมี อายุครบ 7 รอบ คือ 84 ปี ในปี 2552 นี้

    พระชุดนี้มีสร้างด้วยกัน 2 เนื้อ คือ
    1014-021.jpg

    1. เนื้อทองทิพย์ ผสมชนวนโลหะก้านช่อ พระชัยวัฒน์ หลวงปู่บุญ และชนวนโลหะมงคลต่างๆ ที่สร้างชุด “ พระกริ่งนเรศวรตรึงไตรภพ ” ของ หลวงปู่เจือ ตลอดจนชนวนของหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ชนวนพระเจ้าสัว ปี 2535

    2. เนื้อแร่ เนื้อแร่ดีบุกผสมแร่ธาตุจากเกาะล้าน เขาเขียว เขาเมือง แร่บางไผ่ แล้วจึงผสมด้วย ชนวนขี้นกเขาเปล้าของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และตะกรุดเนื้อตะกั่วของหลวงปู่บุญ-หลวงปู่เพิ่ม ตลอด จนแร่ศักดิ์สิทธิ์จากคณาจารย์ชุดเขาอ้อ พัทลุง
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ



    1014-018.jpg
    พระพิมพ์เจ้าสัวแสนล้าน
    1014-011.jpg
    พระนางพญาสะดุ้งกลับ
    1014-010.jpg
    พระพิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ

    1014-012.jpg
    พระพิมพ์ปรกโพธิ์


    1014-09.jpg
    พระลีลาหนังตะลุง
    เบญจภาคีจิ๋ว เนื้อทองทิพย์ แจกพร้อมหนังสือลานโพธิ์ ตลอดปี 2552
    (ฉบับปีใหม่ ฉบับสงกรานต์ ฉบับวันเกิดหลวงปู่เจือ ฉบับวันเกิดหนังสือลานโพธิ์ และฉบับส่งท้ายปีเก่า 2552)

    “ ลานโพธิ์ ” วางเป้าหมายแจกฟรีตลอด ปี 2552 ด้วยพระเครื่องชุด “ เบญจภาคีจิ๋ว ” หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก พระเครื่องชุดนี้มี 5 องค์ คือ

    1. ลีลาหนังตะลุง
    2. นางพญาสะดุ้งกลับ
    3. พระพิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ
    4. พระพิมพ์ปรกโพธิ์
    5. พระพิมพ์เจ้าสัว

    1014-02.jpg ทั้ง 5 พิมพ์นี้ ได้บรรจงสร้างแม่พิมพ์ให้มีความงดงามคงเค้ารูปแบบพิมพ์เดิมของหลวงปู่บุญโดยใกล้เคียงมากที่สุด นอกจากนั้นได้อัญเชิญยันต์ “ พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ” มาเรียงร้อยในชุดทั้งห้าองค์ คือ “ นะ โม พุท ธา ยะ ” ในแต่ละพิมพ์มีอักขระเชื่อมโยงกันครบห้าองค์ก็ครบพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ และมีคาถาย่อยลงแต่ละองค์ เช่น พิมพ์เจ้าสัว ขึ้นต้น “ นะ ” ก็ต่อด้วย “ นะชาลีติ ” พิมพ์นางพญาสะดุ้งกลับ ขึ้นต้น “ โม ” ก็ต่อด้วย “ ภะคะวา ” พิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ ขึ้นต้นด้วย “ พุทธ ” ก็ต่อด้วย “ ทะสังมิ ” พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่ ขึ้นต้นด้วย “ ธา ” ก็ต่อด้วย “ อิสวาสุ ” และ พิมพ์ลีลาหนังตะลุง ขึ้นต้นด้วย “ ยะ ” ก็ต่อด้วย “ มะอะอุ ” เมื่อรวมชุดก็จะได้ “ นะ โม พุท ธา ยะ ” เป็น “ เบญจภาคี ” ของ หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว เป็นครั้งแรกของท่านที่สร้างขึ้นมามอบให้ ลานโพธิ์ แจกแก่ผู้อ่าน ในมงคลวโรกาส หลวงปู่เจือจะมี อายุครบ 7 รอบ คือ 84 ปี ในปี 2552 นี้

    พระชุดนี้มีสร้างด้วยกัน 2 เนื้อ คือ
    1014-021.jpg

    1. เนื้อทองทิพย์ ผสมชนวนโลหะก้านช่อ พระชัยวัฒน์ หลวงปู่บุญ และชนวนโลหะมงคลต่างๆ ที่สร้างชุด “ พระกริ่งนเรศวรตรึงไตรภพ ” ของ หลวงปู่เจือ ตลอดจนชนวนของหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ชนวนพระเจ้าสัว ปี 2535

    2. เนื้อแร่ เนื้อแร่ดีบุกผสมแร่ธาตุจากเกาะล้าน เขาเขียว เขาเมือง แร่บางไผ่ แล้วจึงผสมด้วย ชนวนขี้นกเขาเปล้าของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว และตะกรุดเนื้อตะกั่วของหลวงปู่บุญ-หลวงปู่เพิ่ม ตลอด จนแร่ศักดิ์สิทธิ์จากคณาจารย์ชุดเขาอ้อ พัทลุง

    ลานโพธิ์ ฉบับต้อนรับปีใหม่ เริ่มต้นแจกด้วย “ พระพิมพ์ลีลาหนังตะลุง ” เนื้อทองทิพย์ เพื่อเป็น สัญลักษณ์แห่งการก้าวไปข้างหน้า เป็นเคล็ดมงคลเพื่อความรุ่งโรจน์ในการเดินทางไปในชีวิต แห่งห้วงเวลาปีใหม่ 2552 ซึ่งต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ อีกมากมาย

    1014-020.jpg พระชุดนี้สร้างเสร็จแล้วทั้งหมด ตอก “ โค้ด ” กันปลอมทุกองค์ พร้อมแจกในวาระมงคลต่างๆ ตลอด ปี 2552 โดยเฉพาะ วันที่ 14 พฤษภาคม 2552 อันเป็นวันครบรอบ อายุ 7 รอบ ( 84 ปี ) ของ หลวงปู่เจือ หนังสือลานโพธิ์ฉบับ วางตลาดวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 จะแจกพิมพ์หนึ่งใน เบญจภาคี จะเป็นพิมพ์ใด โปรดติดตามกันต่อไป

    พระชุดนี้ปลุกเสกสองครั้ง ครั้งแรกปลุกเสกในพิธี วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2552 โดยมีคณาจารย์ 19 รูป คือ

    1. พระเทพสารเวที วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
    2. หลวงปู่บุญฤทธิ์ ที่พักกสงฆ์สวนทิพย์ จ.นนทบุรี
    3. พระญาณดิลก ( เจ้าคุณแดง ) วัดมกุฏคีรีวัน จ.นครราชสีมา
    4. หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
    5. พระเทพวิสุทธิเมธี วัดระฆังฯ กทม.
    6. หลวงปู่จันทร์แรม วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน จ.บุรีรัมย์
    7. พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา จ.ตรัง
    8. หลวงพ่อสืบ วัดสิงห์ จ.นครปฐม
    9. หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง จ.ปทุมธานี
    10. พระอาจารย์แพง วัดโพธิ์ไทร จ.ยโสธร
    11. หลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา
    12. หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน จ.อยุธยา
    13. พระราชพิพัฒนาทร ( เจ้าคุณถาวร ) วัดปทุมวนาราม กทม.
    14. พระวิมลศีลาจาร วัดบรมนิวาส กทม.
    15. พระครูสังฆรักษ์ ( หลวงปู่เพ็ง ) วัดบรมนิวาส กทม.
    16. พระครูสุมนศาสนกิจ ( อ.สมพงษ์ ) วัดบรมนิวาส กทม.
    17. หลวงพ่อทองสุข วัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี
    18. หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม จ.อยุธยา
    19. พระราชภาวนาพินิจ วัดพุทธบูชา กทม.

    จากนั้นในวันที่ 12 ธันวาคม 2551 หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ได้ปลุกเสกเดี่ยวโดยเฉพาะเป็นพิเศษนานนับชั่วโมง เพื่อมอบเป็นพิเศษแก่ผู้ศรัทธาเลื่อมใสท่านในมงคลวโรกาส อายุท่านครบ 7 รอบ ( 84 ปี ) เพื่อให้ลานโพธิ์แจกผู้อ่านตลอด ปี 2552

    การปลุกเสกทั้งสองครั้งสมบูรณ์แบบในด้านพิธีกรรม การภาวนาปลุกเสกเต็ม ไปด้วยความขลัง จึงเชื่อว่ามงคลวัตถุ หลวงปู่เจือ ชุด “ เบญจภาคีจิ๋ว ” จะมีพุทธคุณดีเยี่ยม เพื่อมอบมาให้ท่านผู้อ่าน ลานโพธิ์โดยเฉพาะ เป้าหมายที่แจกทั้ง 5 พิมพ์นี้จะเป็นวาระต่างๆ จนครบ 5 วาระ ตลอด ปี 2552 ซึ่งมีความหมายคือ “ สองห้า ” และ “ ห้าสอง ”

    สองห้า คือมีสองเนื้อ เนื้อทองทิพย์ และ เนื้อแร่
    ห้าสอง
    คือมี ห้าองค์ เบญจภาคี ที่มี สองเนื้อ
    ฟันไม่เขัา
    https://www.siamstreet.com/view-13435.html

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t
    IMG_20220916_223752.jpg IMG_20220916_223824.jpg IMG_20220916_223843.jpg



     

แชร์หน้านี้

Loading...