เรื่องเด่น เปิดเส้นทางธรรมะของ ‘ตา สุรางคนา’ เคยสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ?

ในห้อง 'บันเทิงและศิลปวัฒนธรรม' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 6 กรกฎาคม 2021.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    0b8aae0b989e0b899e0b897e0b8b2e0b887e0b898e0b8a3e0b8a3e0b8a1e0b8b0e0b882e0b8ade0b887-e0b895e0b8b2.jpg

    วันอังคาร ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2564, 14.18 น.


    ถ้าเห็นหน้าคาดตาคงจำกันไห้แม่นในบทบาทนางร้ายบทหน้าจอทีวีที่ในจอร้ายสุดเหวี่ยงจนได้ใจแฟนละครไปเต็มๆ ส่วนในชีวิตจริงของ ตา สุรางคนา ที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ที่เจ้าตัวเผยว่าเป็นคนเรียบง่าย แถมไม่ค่อยพูดด้วยซ้ำไป พร้อมเล่าสิ่งที่ทำให้ชีวิตนี้ของตัวเองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก็ตอนที่ป่วยเป็นมะเร็งเมื่อตอนอายุ 27 ปี ทำให้ตัวเองได้เข้าสู่เส้นทางสายธรรมอย่างจริงจัง และครั้งหนึ่งเคยสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ?จนออกเดินทางค้นหาด้วยตัวเอง

    ก่อนอื่นต้องขออัพเดทก่อนว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

    ตา สุรางคนา : ร้านนี้เพิ่งเปิดได้ประมาณปีกว่าๆเริ่มต้นจากการที่เราไปทำงานช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆแล้วเราก็ประชุมกันบ่อยที่บ้านเพื่อนเขาก็ทำอาหารอร่อยให้ทานประจำ ซึ่งเขาก็เคยเป็นชาววัง เป็นหม่อม อาหารที่ทำก็แบบต้นตระกูลสูตรชาววังเลย ก็เลยมาตั้งชื่อว่าร้าน หม่อมหลวงสมิท ข้าวคลุกกะปิ ร้านอยู่แถวประชาชื่นค่ะ ซึ่งทั้งร้านเราจะมีแค่ 5 เมนู แต่ตอนนี้คือยังไม่สามารถที่จะนั่งได้นะคะ แต่สามารถสั่งไปรับเอง หรือว่าให้ทางร้านส่งไปให้ได้ค่ะ ซึ่งอาหารที่ร้านก็จะมี ข้าวคลุกกะปิ จากต้นตำหรับเราใช้หมูเราก็นำมาเคี้ยวกับคาราเมล ซึ่งหนึ่งจานที่เราเสิร์ฟก็จะมีเครื่องเคียงอยู่ 13 อย่าง ตอนที่เราคั่วกะปิจะเป็นสูตรพิเศษของร้านเราจะคั่วเป็นเม็ดทราบจนละเอียดเลยค่ะ ส่วนน้ำมันหมูเราก็เจียวเอง กากหมู เราก็เอาใส่ลงในข้าวคลุกกะปิรสชาติพอได้ทานแล้วจะกลมกล่อมมาก และอีกเมนูที่อยากนำเสนอคือ ข้าวน้ำพริกลงเรือ จะหาทานที่อื่นไม่ได้จะหาทานยากเพราะว่าเป็นสูตรโบราณ ส่วนขนมจีนชาวน้ำ จะเป็นสูตรเด็ดของร้านร้านเราจะมีแจงร้อน(คือปลาบด ทางร้านเราก็บดเอง) พอทานลงไปแล้วจะสดชื่น ถ้าใครที่อยากทานอาหารรสชาติไทยๆราคากันเอง มาที่ร้าน หม่อมหลวงสมิท ข้าวคลุกกะปิ ได้นะคะ เปิดทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์นะคะ

    มาอัพเดทเรื่องราวชีวิตของ ดา กับมุมที่บางคนรู้แต่อีกหลายคนไม่รู้ เพราะว่าภาพของเราเมื่อก่อนคือนางร้าย

    ตา สุรางคนา : เล่นเป็นนางร้ายตบอย่างเดียวเลยค่ะ ตอนนี้เป็นคนที่ใช้อารมณ์เยอะมาก ช่วงหนึ่งของชีวิตเรียกว่า 7 วันอยู่กับละครเลยแล้วเมื่อก่อนละครคือ ถ่ายไปออกอากาศไปด้วย จนแทบไม่มีเวลาเป็นชีวิตจริงๆของเราเลย (ซึ่งชีวิตเราก็วี๊ดไปตามตัวละครที่เราเล่นเลยจนแทบแยกไม่ออกเลย จริงเราเป็นคนสนุก แต่ถ้าเอาลึกๆกว่านั้นคือเราเป็นคนเงียบๆนะ) แต่ที่ทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนเลยคืออายุ 27 เพราะเราไปตรวจเจอมะเร็งท่อน้ำดี พอหลังจากนั้นต้องนอนโรงพยาบาล 10 วัน ซึ่งตอนนั้นถ้าเป็นดาราคือห้ามออกข่าว เจ็บ ป่วย ตาย หรือมีแฟน ต้องเก็บตัวเงียบอย่างเดียว เพราะถ้าเขารู้ว่าเราป่วยคือ งานเราก็จะหายไปเลยเพราะเขาจะคิดว่าเราทำงานไม่ได้เลยให้รู้ไม่ได้เลยว่าเราป่วย ซึ่งตอนนั้นที่เราป่วยคือ เป็นครั้งแรกที่ตั้งแต่เราทำงานมาได้หยุดนอนอยู่โรงพยาบาลสิบวันเลย แล้วคือผ่าตัดของเราคือ ความยาวแปดนิ้วเลยเพราะการผ่าตัดสมัยก่อนไม่ได้มีเครื่องมือที่ทันสมัยมากเท่ากับปัจจุบันนี้ และมะเร็วที่เป็นก้อนคือก้อนใหญ่มากเท่า กำมือของเราเลย ซึ่งเรานอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลในช่วงเจ็ดวันแรกคือ หมอเขาให้มอร์ฟีน พอหลังจากนั้นคือพอเขาหยุดให้เราต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดเพราะหายใจแต่ละครั้งน้ำตาคือไหลเลยคือไม่อยากหายใจเลย ไม่หายใจได้ไหม และเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่าจริงๆแล้วเพื่อนที่ดีที่สุดของเราคือลมหายใจนะ เพราะเมื่อก่อนเราไม่เคยสนใจลมหายใจตัวเองเลยแต่พอเวลาที่เราจะตายเราคิดว่ายังไงฉันขออีกเฮือกเถอะเพราะว่าฉันไม่อยากให้ลมหายใจของฉันมันหมดไป แล้ววันนั้นคือช่วงที่เราเมามอร์ฟีนอยู่สองวันเพื่อนเอาหนังสื่อธรรมะมาทิ้งไว้ชื่อ คู่มือมนุษย์ ของท่านพุทธธาตุ เราก็หยิบขึ้นมาเปิดแล้วไปเจอท่อน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันยากนะภาษาบาลีแต่พอเราอ่านในเนื้อหาคือ ทุกอย่างมันไม่เที่ยงว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตนน้ำตาเราเลย เพราะเรามองย้อนไปคือก่อนที่เราจะมาผ่าตัดเรายังแข็งแรงอยู่เลย แต่พอเราได้อ่านแล้วเราป่วยอยู่ตอนนั้น ทำให้เราคิดได้ว่าร่างกายไม่ใช่ของเราเหรอ เราไม่สามารถที่จะสั่งให้ไม่เจ็บไม่ปวดได้เหรอ เรามองไปหาพ่อแม่ที่รักเรา มองไปหาแฟนที่เรารัก เขาเจ็บไปกับเราก็จริง แต่เขาไม่ได้เจ็บเหมือนที่เราเจ็บ เราก็คิดว่านี่เราต้องตายไปคนเดียวจริงๆเหรอ คือ ชีวิตทุกอย่างตอนนั้นพลิกไปหมดเลย จากตอนนั้นที่เราอายุ 27 เราก็ตามหาว่าใครกันนะที่สอนข้อความนี้ไว้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราก็มารู้ว่าเป็นท่านพุทธธาตุ แต่ท่านมรณะภาพไปแล้วก็คือเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งจริงแล้วเป็นสิ่งที่เราเคยเรียนมาแล้วตั้งแต่ตอนที่เราเด็กๆในวิชาพระพุทธศาสนา แต่ตอนที่ป่วยเราเห็นสัจจะธรรม เห็นชีวิตจริง ว่าถ้าลมหายใจเฮือกนั้นหมดไปคือเราก็ตาย ถ้าเราตายเราก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็ได้แต่ภาวนาของให้เรายังมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตต่อไป จะใช้ชีวิตให้รู้จักชีวิตจริงๆ ใช้ชีวิตที่เราจะรักตัวเองจริงๆ คือก็เริ่มพอเราแข็งแรงขึ้นมาก็เลิกอย่างแรกคือ เราเลิกกินเหล้า เลิกสูบบุหรี่เลย

    ตา สุรางคนา : พอหลังจากนั้นเราก็เริ่มแสวงหาความจริงในชีวิตค่ะ เริ่มไปปฏิบัติธรรม สนใจธรรมะ อยากที่จะรู้จริงๆ เราก็เลยไปนั่งสวดมนต์ที่วัดสุทัศน์ พอครบหนึ่งเดือนเราสามารถสวดได้คล่องเลย ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งที่เราสวดมนต์อยู่แล้วจิตของเราอีกจิตหนึ่งคือคิดว่าพอสวดมนต์เสร็จฉันต้องไปร้านข้าวมันไก่ ซึ่งตอนนั้นเราคิดเลยว่าไม่ได้แล้วจิตเรายังไม่นิ่ง เราต้องตั้งใจมีสมาธิมากกว่านี้

    เห็นบอกว่าจริงจังจนถึงขนาดที่ว่าไปที่ที่หนึ่งเขาสอนให้ตัดกรรมจนเห็นอดีตชาติของตัวเอง

    ตา สุรางคนา : คือ สถานที่นี้อยู่ที่ ลพบุรี เป็นกรรมฐานเปิดโลกเป็นวัดที่สอนให้เราสูดลมหายใจแรงๆเดินจงกรมสองชั่วโมง ยืนสองชั่วโมง นั่งสองชั่งโมง ฝึกหมดทั้งสี่อย่าง แต่ที่เน้นที่สุดคือการหายใจ ซึ่งพอเราทำแบบนี้แล้วมีพระอาจารย์นำ เราจะสามารถย้อนกลับไปเห็นอดีตชาติในสามชาติคือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อย่าง กายกรรม บางคนก็จะออกมาเลื้อยเป็นงูเลยค่ะ หรือบางคนก็รำออกมาเต็มองค์เต็มร่างไปหมด แต่ต้องบอกแบบนี้นะคะ จะมีทั้งคนที่มโน และ คนที่เข้าถึงจริงก็มีอันนี้แล้วแต่บุญกรรมและความรู้เก่า แต่อยากจะบอกว่าที่เราไปเราต้องไม่คิดไปเองก่อนนะคะ เพราะอย่างที่เราไปคือ เราไม่เชื่อเลยแล้วอยากไปลองแล้วสิ่งที่เราเห็นคือ เราเคยเป็นพญาทนาค อยากจะบอกว่าคนที่ลงไปเลื้อยคือตัว ตา ซึ่งเรารู้สึกตัวทุกอย่าง ไม่ไม่ขาดสติแต่มันฝืนลมหายใจตัวเองไม่ได้ ซึ่งรูปร่างพญานาคที่เราเห็นคือ สวยมากมีขนงามมากแล้วก็เปล่งแสงสีเขียว แล้ววันนั้นเราก็ช็อคไปเลยไม่น่าเชื่อ ตอนแรกไม่ได้เชื่อเรื่องพยานาคหรืออะไรมาก่อนเพราะต้องบอกก่อนว่าตอนแรกที่เราไปนั่งคือ ไม่ได้เห็นที่ชาติที่เราเป็นพญานาคแค่ชาติเดียวนะ เราย้อนกลับไปเห็นถึงสิบชาติ ว่าชาตินั้นๆเราเป็นอะไรบ้าง ที่เห็นคือเตยเกิดในวังด้วยเคยเป็นนางสนมในวังด้วย แล้วก็มีหลายชาติเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี ลงไปในนรกก็มี

    พอเห็นอดีตชาติไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตามเราได้อะไร

    ตา สุรางคนา : ที่เราได้คือ รู้จักคำว่าเวียนว่ายตายเกิด และกฎแห่งกรรมที่แท้จริง เชื่อว่าเราไม่ได้เกิดมาแค่ชาติเดียว เชื่อว่ากรรมมีจริง เชื่อว่าผลของการกระทำที่เราทำไว้จะส่งผลกลับมาหาเรา เราไม่เชื่อเรื่องการย้อนกลับไปแก้กรรมนะ แต่เชื่อในการกระทำในปัจจุบัน ถ้าเราทำแต่สิ่งที่ดีๆ ทำแต่กุศลตลอดเวลาต่อให้กรรมยังมีอยู่มันจะเจือจางและเบาบางลง เชื่อในสิ่งนี้มากกว่า ซึ่งกรรมก็มีอยู่แต่บุญก็ต้องสร้าง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนให้พวกเรามีความเพียร คือ ให้เราละอกุศล สร้างแต่กุศล

    ได้ศึกษา ปฏิบัติ ทำความเข้าใจแล้วก็เกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหมเลยออกเดินทางตามหา

    ตา สุรางคนา : พอเราปฏิบัติมา 7 ปี สิ่งหนึ่งเลยที่เราตั้งใจคือในชีวิตนี้ต้องบรรลุโสดาบัน แต่พอเราทำทุกอย่างแล้วเราก็ยังไม่บรรลุสักทีเราเลยเกิดการท้อแท้ และศรัทธาเสื่อม ซึ่งสิ่งที่เรารู้สึกว่าทำไมเรายังไม่บรรลุเพราะว่าเรายังเป็นเหมือนเดิมคือ ยังมีความโกรธ ความทุกข์ ซึ่งถ้าบรรลุเราต้องโกรธน้อยลง มีความสุขมากขึ้น แต่นี่คือเหมือนเดิม เราเลยออกไปตามหาเลยบินไปที่อินเดียเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วที่นั่นคือ ถนนไม่มี ห้องน้ำไม่มี พอเราไปคือทำให้เรารู้สึกถึงนรกกับสวรรค์เลย เพราะว่าอยู่เมืองไทยเราได้นอนที่นอนสบาย แต่ที่โน้นคือเขาต้องนอนกับพื้นกัน แต่ที่เราเดินผ่านคนเหล่านั้นไป แล้วก้าวเข้าเขตพุทธคญาณเคนโค ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พอเราก้าวเข้าไปคือ นิ่งสงบ และเจอกับทุกคนที่ได้เดินทางมาหาพระพุทธเจ้าด้วยใจศรัทธา พอเราเข้าไปถึงสถานที่นี้คือ ไม่เหมือนที่อื่นเลยเราเข้าไปแล้ว อิ่มใจ ซึ่งตอนนั้นที่เราไปคือ เราจะไปเพื่ออธิษฐาน แล้วเราก็ยังคงตามหาว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม แล้วคนอย่างเราจะสามารถบรรลุโสดาบันได้ไหมเราสงสัยมาก เราเลยตั้งใจที่จะไปอธิษฐานจิตที่ใต้ต้นโพธิ์ซึ่งเราตั้งจิตว่าถ้าคำอธิษฐานของเราไม่เป็นจริงฉันจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ซึ่งเราก็ตั้งจิตอธิษฐานว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม แล้วตัวของเราที่เป็นผู้หญิงสามารถบรรลุธรรมได้ไหมในชาตินี้ ถ้าทุกอย่างมีจริงคือ ระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่ขอให้ใบโพธิ์หล่นลงมาตรงบริเวณไหนก็ได้ ซึ่งพอเราเริ่มนั่งสมาธิแค่ 3 วิ คืออะไรหล่นมาอยู่ที่กลางมือของเราเลยเราก็เอามือกำๆซึ่งทำให้เราเชื่อเลย และเราก็บอกท่านว่าขอโทษที่มีจิตลบลู่ ตอนนี้เชื่อแล้ว ซึ่งเราก็ได้อธิษฐานจิตอีกว่าต่อจากนี้ไปคือจะมาที่อินเดียปีละครั้งเพราะว่าเราไม่รู้จิตศรัทธาของเราจะเสื่อมอีกเมื่อไหร่เราก็ได้กลับไปตลอดเลยปีละสองครั้ง ยกเว้นช่วงที่เกิดโควิดมาคือ ไม่ได้ไปเลย

    ตา สุรางคนา : ตั้งแต่ที่พอเรากลับมาจากอินเดียก็ได้เริ่มทำเพจธรรมะชื่อ ตา สุรางคนางค์ ก็จะมีคนมาติดตาม แลเวเราจะพูดคำง่าย และก็เริ่มพาคนไปที่ประเทสอินเดีย แล้วเราก็มองว่าเราอยู่ในวงการบันเทิงเราเลยร่วมกับทาง สสส. จัดกิจกรรมเพื่อพระพุทธศาสนาขึ้นมาก็มีดารารุ่นใหญ่หลายท่านมาร่วมค่ะ แต่เป็นการปฏิบัติธรรมแนวใหม่ที่เราไม่ได้เดินจงกรม แต่เราเชื่อว่าเราต้องกลับมารู้จักตัวเองก่อน

    สามารถชมรายการ ต้มยำอมรินทร์ ย้อนหลังได้ทาง ยูทูป :


    ขอขอบคุณที่มา
    https://www.naewna.com/entertain/585511
     

แชร์หน้านี้

Loading...