เรื่องเด่น อัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้าในการประกาศพระศาสนา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Apinya Smabut, 16 ธันวาคม 2017.

  1. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    33_20140207190503..jpg


    พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เรื่องของคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ? เป็นคำถามโลกแตกมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว เขาก็พยายามแสวงหาคำตอบกันตลอดมา จนกระทั่งท้ายสุดสรุปลงตรงที่ว่า ต้องมีการหลุดพ้น

    แต่ว่าการหลุดพ้นของแต่ละสำนัก เขาไม่สามารถที่จะลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีหนทางของตนเอง อย่างเช่นว่า ฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ เขาก็บอกว่าไปรวมอยู่กับปรมาตมัน ปรมาตมัน คือ พลังงานอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ซึ่งจะเป็นที่รองรับจิตวิญญาณทั้งหมด ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ ก็ว่าเขาจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า

    แต่ท้ายสุดพระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบจริง ๆ ว่า มีสถานที่ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง เพียงแต่ว่าการจะไปซึ่งสถานที่นั้น จะต้องอยู่ในลักษณะเป็นผู้ที่ปล่อยวาง ไม่เอาอะไรไปเลย ลักษณะเหมือนกับว่าในเมื่อไม่เอาอะไร ท้ายสุดคุณก็จะได้สิ่งนั้น

    อย่างพราหมณ์ฮินดู เกิดก่อนศาสนาพุทธหลายพันปี แต่ก็ยังคงตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ท่านก็สรุปรวมว่า บรรดาลัทธิต่าง ๆ ที่พวกพราหมณ์เขาสอนถึงวิธีการหลุดพ้น มีถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน ที่เขาเรียกว่าเป็น ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ มีอยู่ ๑๘ ลัทธิ อปรันตกัปปิกทิฏฐิ อีก ๔๔ ลัทธิ

    ตอนแรกที่ศึกษาอยู่ อ่านพระไตรปิฎกมีความสงสัยว่า ในเมื่อลัทธิต่าง ๆ เหลวไหลขนาดนั้นทำไมคนจึงเชื่อ ? อย่างครูทั้ง ๖ ได้แก่ มักขลิโคสาล ปูรณะกัสสปะ อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร

    ถ้าลัทธิเหลวไหลขนาดนั้นทำไมคนจึงเชื่อ ? ปรากฏว่าพอไปศึกษาในพรหมชาลสูตรแล้ว ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นรู้ไม่ครบ

    ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิทั้ง ๑๘ ลัทธิ เขาสามารถระลึกชาติได้ ระลึกย้อนชาติได้ตั้งแต่แสนชาติขึ้นไป จนกระทั่งถึงหลายสิบกัป ก็เลยตั้งลัทธิของตนเองขึ้นมา จะมากจะน้อยก็ตามแต่ที่ตนเองรู้เห็น แล้วสามารถยืนยันได้ เขาจึงเชื่อกัน

    ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐิยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะเขาเห็นอนาคต ในเมื่อเขาเห็นอนาคต เขาจึงบัญญัติว่าโลกเที่ยงบ้าง ไม่เที่ยงบ้าง มีทั้งเที่ยงบ้างและไม่เที่ยงบ้างให้ยุ่งกันไปหมด เพราะแต่ละคนรู้เห็นยาวสั้นไม่เท่ากัน เราจึงเข้าใจได้ว่าแต่ละคนที่จะมาเป็นเจ้าสำนักจริง ๆ ล้วนแล้วแต่มีความสามารถทั้งนั้น เพียงแต่ว่ารู้ไม่ครบเท่าพระพุทธเจ้าเท่านั้น"

    "คราวนี้เราจะเห็นอัจฉริยภาพอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า สมมติว่าแต่ละสำนักเป็นเสือ สิงห์ กระทิง แรด ร้อยสำนักประชันขันแข่งกันอยู่ แล้วจู่ ๆ พระพุทธเจ้าก็โผล่ขึ้นมา ถ้าเป็นเรา คนอื่นเขาลงรากปักฐาน มีบริวารกันเต็มเมืองแล้ว ส่วนเราเพิ่งเกิดได้ไม่นาน จะทำอย่างไร ?

    พระพุทธเจ้าจึงต้องเสาะหาว่า จะมีใครเป็นพยานการรู้เห็นของพระองค์ท่าน พยานการรู้เห็นที่น่าจะง่ายที่สุดก็คือ อาฬารดาบส กาลามโคตร และ อุทุกดาบส รามบุตร เพราะทั้งสองได้สมาบัติ ๗ และสมาบัติ ๘ ซึ่งมีอารมณ์คล้ายวิปัสสนาญาณมาก

    สมาบัติ ๗ ก็คือ อากิญจัญญายตนะ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่คราวนี้ไม่ปลดในอารมณ์ ยังไปยึดเกาะอยู่ ส่วนสมาบัติ ๘ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่เอาอะไรแล้ว รู้ก็เหมือนไม่ได้รู้ เห็นก็เหมือนไม่ได้เห็น มีความรู้สึกก็เหมือนว่าไม่มี

    พอเล็งข่ายพระญาณไป ปรากฏว่าอาฬารดาบส กาลามโคตร ตายไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อุทกดาบส รามบุตร เพิ่งตายเมื่อวันนี้นี่เอง ถ้าพระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาตั้งแต่วันแรกที่บรรลุ ก็จะทันพระอาจารย์ทั้งสอง แต่พระองค์ท่านเสวยวิมุตติสุขอยู่ ๔๙ วัน ทำให้เลยกำหนดไป เรียกว่าท่านอาจารย์ทั้งสอง บุญมีแต่กรรมมาบัง

    ในเมื่ออาจารย์ทั้งสองตายไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่สามารถที่จะมีอายตนะรับรู้หรือสื่อสารกับใครได้ พระองค์ท่านก็ต้องพุ่งเป้าใหม่ จะไปสอนคนทั่วไป..สมัยนั้นเขาก็ถือเนื้อถือตัวกันเต็มที่ โดยเฉพาะบุคคลที่โกนศีรษะ นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ เขาจะถือว่าเป็นจัณฑาลหรือกาลกิณี จะไม่มีใครเข้าใกล้

    พระองค์ท่านก็นึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เชื่อถือศรัทธากันมาก่อน ถ้าไปประกาศธรรม ท่านทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะรู้ได้ ก็เลยเดินทางจากอุรุเวลาเสนานิคม ไปยังป่าอิสิปตนมฤคาทายวัน เป็นระยะทางปัจจุบันอยู่ที่ ๒๓๐ กิโลเมตร

    พอไปถึง ปัญวัคคีย์ทั้ง ๕ เชื่อว่า การตรัสรู้ธรรมจะเกิดขึ้นได้ด้วยการทรมานกายตามแบบของพราหมณ์อย่างเดียว จึงไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสย้ำว่า "ตถาคตเคยกล่าวว่าตนเองบรรลุธรรมมาก่อนหรือไม่ ?"

    ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่ออกมหาภิเนษกรมณ์ อยู่ร่วมกันมา ๖ ปีเต็ม ๆ ไม่เคยกล่าววาจาอะไรที่เป็นเท็จ จึงได้ยอมเชื่อและน้อมใจรับฟัง "

    "พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรกัปวัตตนสูตร ทำลายความเชื่อของพราหมณ์ที่มีมาแต่อดีต เพราะท่านบอกว่าลัทธิที่เป็นอัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนก็ดี กามสุขัลสิกานุโยค ติดสบายเกินไปก็ดี ใช้ไม่ได้ทั้งคู่

    เขาอุตส่าห์ศึกษามาเป็นพัน ๆ ปี แล้วบอกว่าใช้ไม่ได้ อยู่ ๆ ก็มีวิธีที่สามขึ้นมา ถ้าไปประกาศกลางตลาด อาจโดนรุมแน่นอน แล้วถ้าเราเป็นปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ฟังแล้วจะเชื่อไหม ?

    นี่เกิดจากเหตุสองประการด้วยกัน ประการแรก ปัญจวัคคีย์ท่านมีบุญเดิมที่เป็นปุพเพกตปุญญตาจริง ๆ ก็เลยทำให้ตั้งใจฟังโดยไม่คัดค้านก่อน ประการที่สองก็คือ ท่านเป็นผู้มีปัญญา พอฟังแล้วสะดุดหูทันทีเลย ที่เขาทำมา ถ้าหากมีผลจริง ๆ เจ้าชายสิทธัตถะที่ท่านทรมานตนเสียยิ่งกว่าใครเคยทรมานมาก่อน ก็ต้องบรรลุไปแล้ว ในเมื่อพระองค์ประกาศว่าวิธีบรรลุเป็นวิธีอื่น ก็ต้องฟัง

    พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถึงมัชฌิมาปฏิปทา ที่เป็นมรรค ๘ ย่อลงเหลือศีล สมาธิ ปัญญา ปรากฏว่าทั้งหมดที่ว่ามาตั้งแต่ต้น ก็คือ มรรค ๘ และอริยสัจ ๔ รวมกันทั้งหมดแล้ว พระอัญญาโกณฑัญญะสรุปว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นย่อมดับไป


    ประโยคนี้ไม่มีในคำสอนตั้งแต่ต้นจนถึงท้าย แต่พระอัญญาโกณฑัญญะท่านสรุปได้ บรรลุมรรคผลกันตรงนั้นเอง เป็นผลงานของตนเองขึ้นมาได้ ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ตัดแปะ..!

    เมื่อท่านโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลได้ทั้งหมดแล้ว ก็นับว่ามีพยานในการตรัสรู้ของพระองค์ท่านแล้ว เมื่อมีบุคคลรู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ก็ทำให้พระองค์ท่านมั่นใจว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นไม่ยากเกินไป บุคคลที่ปัญญาถึงยังมีอยู่ พระองค์ท่านก็ตั้งใจเผยแผ่พระศาสนา

    ทีนี้การเผยแผ่พระศาสนานั้น อย่าลืมว่าการขัดแย้งกันนั้น สมัยหลัง ๆ เขาฆ่ากันตายจนนับไม่ถ้วนแล้ว ของคนอื่นเขามีอยู่แล้ว ๖๒ สำนัก ตัวเองอยู่ ๆ โผล่ขึ้นมา ก็ต้องวางแผนกันให้ดีก่อน แต่พระพุทธเจ้านั้นสัพพัญญุตญาณท่านยอดเยี่ยมอยู่แล้ว จะทำอะไรลำดับขั้นตอนได้ภายในวินาทีเดียว"

    "พระองค์ท่านก็เสด็จไปเพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารก่อน โดยถือพันธะสัญญาเดิมที่ตกลงกันไว้ว่า ถ้าพระองค์ท่านตรัสรู้แล้ว ให้มาโปรดพระเจ้าพิมพิสารด้วย

    การที่จะไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จู่ ๆ ให้เดินเข้าไป เขาก็อาจจะไม่เชื่อ พระองค์ท่านก็ต้องเล็งหาว่า จะเข้าทางใครก่อนดี ท่านเล็งไปที่ชฎิลสามพี่น้อง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวมคธเป็นอย่างมาก สังเกตได้จากบริวารที่ออกบวชเพื่อปฏิบัติตามลัทธิบูชาไฟ มีถึง ๑,๐๐๐ คน เราลองนึกว่า ถ้ามีพระนั่งห่มเหลืองอยู่ ๑,๐๐๐ รูป แสดงว่าเจ้าอาวาสต้องมีศักยภาพมาก ต้องเก่งมากแน่ ๆ เลย

    ในระหว่างที่เดินทางไปหาชฎิลสามพี่น้อง ก็โปรดผู้อื่นระหว่างทาง เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อย เริ่มจากยสกุลบุตรก่อน ได้พระอรหันต์เพิ่มมา ๑ รูป ได้พ่อแม่และภรรยาของพระยสะมาเป็นอุบาสกอุบาสิกาชุดแรกในพระพุทธศาสนา ได้สหายเพื่อนพระยสะอีก ๕๔ คนมาเป็นพระอรหันต์อีก

    ในช่วงนั้นก็มีปัญจวัคคีย์ ๕ พระยสะและสหายอีก ๕๕ รวมแล้ว ๖๐ บวกพระพุทธเจ้าอีก ๑ ก็เป็น ๖๑ รูป ท่านจึงได้เริ่มการประกาศพระศาสนาอย่างจริงจัง โดยใช้คำพูดภาษาบาลีว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเที่ยวไป พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก โลกานุกมฺปายะ เพื่ออนุเคราะห์ต่อโลก อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสนํ เพื่อประโยชน์สุขแก่ทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย


    บาลียังกล่าวต่อว่า แต่อย่าไปทางเดียวกันสองคน ให้ไปคนเดียว เพราะจำนวนคนยังมีน้อยอยู่ ถ้าไปสองคนจะไม่กว้างขวางพอ และพระองค์ท่านก็จะเสด็จไปอุรุเวลาเสนานิคมด้วย นั่นเป็นครั้งแรกในโลก ที่กองทัพธรรมได้ยาตราขบวนทัพออกไปเพื่อเผยเผ่ธรรมอย่างจริงจัง"

    "พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ระหว่างทางก็ไปพบภัททวัคคีย์ทั้ง ๓๐ แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีคู่ทั้งนั้น มีเพียงหนึ่งคนที่ไม่มี จึงต้องไปเช่าหญิงโสเภณีมาควงคู่ด้วย

    ปรากฏว่าตอนอาบน้ำ หญิงโสเภณีขนทรัพย์หนีไปจนเกลี้ยง..! ขโมยได้ก็หนี มาณพทั้งหลายขึ้นจากน้ำเที่ยวตามหา พบพระพุทธเจ้าจึงถามว่า "โภ ปุริสสะ ดูก่อน..บุรุษผู้เจริญ ท่านเห็นหญิงผู้หนึ่งพร้อมเครื่องประดับและผ้า ผ่านมาทางนี้หรือไม่ ?" พระพุทธเจ้าจึงถามเป็นปริศนาธรรมกลับไปว่า "เธอจะค้นหาผู้อื่น หรือว่าจะค้นหาตัวเองดี ?"

    นี่คือเจโตปริยญาณที่ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ คือแทงใจดำเลย เพราะรู้ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้เหมือนบัวที่พร้อมจะบาน กระทบแสงอาทิตย์เมื่อไรก็บานทันที

    พอภัทวัคคีย์ได้ยินพระพุทธเจ้ากล่าวดังนั้นก็สะดุดใจ ตัดสินใจฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงบรรลุอรหัตผลทั้งหมด

    พระองค์ท่านก็มุ่งไปยังเป้าที่ต้องการต่อไป ก็คือ ชฎิลสามพี่น้อง พระองค์ปักหลักอยู่ที่นั่นเป็นพรรษาเลย โดยเฉพาะท่านอุรุเวลกัสสปะ หัวหน้าใหญ่ พระพุทธเจ้าแสดงความสามารถขนาดไหนก็ตาม เขามั่นใจว่าทุกคนสรรเสริญว่าตัวเขาเองเป็นพระอรหันต์

    อุรุเวลกัสสปะคิดว่า "พระสมณะนี้เก่ง แต่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่างเรา" กี่ครั้งก็ตามที่พระพุทธเจ้าแสดงความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นการปราบพญานาคในเรือนไฟก็ดี เดินจงกรมขณะที่น้ำป่าหลากมาก็ดี ไปบิณฑบาตที่อุตรกุรุทวีปก็ดี หรือว่าซักผ้าแล้วต้นหว้าน้อมกิ่งลงมาให้ตากก็ดี ท่านคิดว่าพระพุทธเจ้าเก่ง แต่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่างท่าน

    พระพุทธเจ้าท่านต้องการแสดงความสามารถให้เขาเห็นว่า จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าทำได้ทุกอย่างและทำได้เหนือกว่าด้วย พระองค์สู้อุตส่าห์ยอมทนอยู่ด้วย ๑ พรรษาเพื่อยอมให้เขายอมคลายทิฐิมานะ

    จนกระทั่งเห็นว่าท่านอุรุเวลกัสสปะ มีอุปนิสัยแก่กล้าพอที่จะบรรลุมรรคผลได้แล้ว พูดง่าย ๆ ว่าสอนไปก็ไม่เถียงแล้ว พระองค์ท่านจึงได้ตรัสจี้ใจดำว่า "ดูก่อน..กัสสปะ แม้กระทั่งความเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไรเธอยังไม่รู้เลย แล้วเธอจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ?"

    สรุปแล้วที่คิดอยู่ในใจ โดนลากไส้ออกมาหมดเกลี้ยงเลย ท่านอุรุเวลกัสสปะพอได้ยินจึงได้ยอม ขอให้พระพุทธเจ้าช่วยสอนให้ด้วย ว่าการเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นกันอย่างไร"

    "ท่านอุรุเวลกัสสปะก็ยอมบวชพร้อมบริวารและลอยบริขารไปตามแม่น้ำ น้องชายอีกสองคนเห็นบริขาร ก็คิดว่าอันตรายเกิดแก่พี่ชาย จึงยกบริวารตามมา พากันบวชจนหมด พระพุทธเจ้าทรงเทศน์อาทิตปริยายสูตรให้ฟัง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ๑,๐๐๓ รูป

    คราวนี้เราจะเห็นลีลาของพระพุทธเจ้าชัดเจนที่สุดเลย ตอนแรกมีภิกษุอยู่ ๖๑ รูป ส่งออกประกาศพระศาสนาหมด แม้กระทั่งพระองค์เองก็ไป แต่ตอนที่มี ๑,๐๐๓ รูป พระองค์กลับไม่ส่งออกไปเผยแผ่ศาสนา เพราะอะไร ? เพราะการที่จะปราบทิฐิของคนอื่นนั้น นอกจากจะมีความสามารถแล้ว จะต้องมียศ มีทรัพย์ มีบริวาร คนในสมัยนั้นเขาจึงจะเชื่อ

    คนเขาดูแค่เปลือกก่อน ถ้าพระพุทธเจ้านุ่งห่มเหลือง โกนหัว สะพายบาตรในลักษณะของภิกขุ คือ ผู้ขอ อยู่ ๆ เข้าไปอาจจะไม่ได้รับการศรัทธาอะไรเลย พระองค์ก็เลยไปในลักษณะบริวารยศ คือ เป็นใหญ่ด้วยบริวาร นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ไปพร้อมกับภิกษุรวมทั้งหมด ๑,๐๐๓ รูป

    พอพระองค์ไปถึงก็ไม่เข้าวังนะ เพราะถ้าเข้าวังไปเจ้าถิ่นอาจจะเห็นว่าตัวเองใหญ่กว่า พระองค์จึงไปพักที่สวนตาลหนุ่ม(ลัฏฐิวัน) ข่าวทราบไปถึงพระเจ้าพิมพิสาร เพราะชาวบ้านเขาลือกันว่าอาจารย์ใหญ่ทั้งสามท่านออกจากที่พักมาแล้ว แต่ไม่มีใครนึกถึงพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่คนเดียว เขาจะไปหาอาจารย์ใหญ่ของเขา

    ชนทั้งหลายพากันหอบดอกไม้ ธูปเทียน อาหาร ข้าวของบูชาทั้งปวงแห่กันไป แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านสมกับเป็นกษัตริย์ อาจจะเป็นเพราะว่ามีสายลับเยอะ พระเจ้าพิมพิสารจึงทราบข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะที่ออกบวชเป็นสมณะ อยู่ในกลุ่มสมณะนั้นด้วย

    เมื่อพระเจ้าพิมพิสารมาถึง สายตาส่วนใหญ่ก็จับอยู่ที่อาจารย์ใหญ่ที่ตนรู้จัก เพียงแต่คราวนี้แต่งตัวแปลกไปเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าพอทราบความคิดของคนทั้งหมด เห็นว่าได้เวลาที่จะแสดงพระองค์แล้ว จึงทรงตรัสว่า "ดูก่อน..กัสสปะ ระหว่างเธอกับตถาคต ใครเป็นศิษย์ ใครเป็นอาจารย์ เธอจงแสดงให้เขาทราบ"

    พระอุรุเวลกัสสปะที่ถือว่าเป็นอาจารย์ใหญ่สุด ถวายบังคมแทบบาทพระพุทธเจ้า ประกาศว่า "พระองค์ท่านเป็นศาสดา ข้าพระองค์เป็นศิษย์" ประกาศเสร็จก็เหาะขึ้นไป ๗ ชั่วลำตาล ลงมาบังคมประกาศใหม่ถึงสามวาระด้วยกัน สายตาทั้งหมดจึงได้มองที่พระพุทธเจ้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มองเลย"

    "คราวนี้จะเห็นได้ว่า การที่พระองค์นำบริวารไปจำนวนมากนั้น นอกจากจะเป็นการปราบพยศบุคคลทั่วไปที่มากด้วยทิฐิแล้ว ยังเป็นการดึงศรัทธาด้วย เพราะพระอาจารย์ใหญ่ขนาดนั้นยังยอมเป็นลูกศิษย์ แสดงว่าสิ่งที่ท่านสอนจะต้องมีผลอย่างแน่นอน

    ดังนั้น..ทุกคนในที่นั้นจึงตั้งใจฟัง พระพุทธเจ้าจึงได้เทศน์ ครั้งเดียวบรรลุมรรคผลไปถึง ๑๑๐,๐๐๐ คน เป็นพระโสดาบัน ส่วนที่เหลืออีก ๑๐,๐๐๐ นั้น ประกาศตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต แปลว่าไม่หลุดรอดไปเลยแม้แต่คนเดียว..!

    หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาก็ตั้งมั่นในแคว้นมคธ ลงรากปักฐานได้มั่นกว่าลัทธิอื่นทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ประกาศพระศาสนาทีหลัง เพราะว่าผู้ครองแคว้น ผู้ครองประเทศเป็นพุทธสาวก ตรงนี้เราจะเห็นว่าของแท้เสียอย่าง อะไรก็ไม่สามารถบดบังรัศมีได้ ศาสดาอื่นใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่ลัทธิของตนเองจะมีคนถือตาม แต่พระพุทธเจ้าใช้เวลาไม่ถึงปี ลงรากปักฐานอย่างมั่นคงแน่นหนา สามารถแข่งกับลัทธิอื่นได้อย่างสบาย

    จะว่าไปแล้วพระพุทธศาสนาต่อยอดศาสนาพราหมณ์ได้พอดิบพอดี สมัยนั้นพระพุทธศาสนาจึงได้รุ่งเรืองมาก เพราะศาสนาพราหมณ์เขามัวแต่ถือลัทธิ ถือวรรณะกันอยู่ ก็เลยทำให้การเผยแผ่ศาสนาไม่กว้างไกลพอ

    ขณะเดียวกันก็สร้างความคับแค้นใจให้แก่วรรณะล่าง ๆ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพวกศูทรหรือจัณฑาลที่เขาแทบจะไม่เห็นเป็นคนเลย แต่ศาสนาพุทธประกาศชัดเจนเลยว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีศักยภาพในการบรรลุมรรคผลทั้งสิ้น

    เห็นชัดที่สุดก็คำเทศน์ของพระมหากัจจายนะ เรื่องวรรณะสี่เหล่า ท่านบอกว่า "วรรณะใดทำโจรกรรม ทำปรทาริกกรรม วรรณะนั้นต้องรับราชอาญาเหมือนกันทั้งหมด ไม่มียกเว้น" ลองไปค้นหาตรงนี้เพิ่มเติมได้จากมธุรสูตร"

    "ในเมื่อศาสนาพุทธไม่มีการกีดกั้นวรรณะ จึงทำให้บุคคลจากวรรณะต่าง ๆ พากันเข้ามาบวชและเป็นสาวกจำนวนมาก ขณะเดียวกันเมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว หลายท่านก็มีฤทธิ์มีเดช โดยวิสัยเดิมก็แสดงให้ชาวบ้านเขาเห็น

    อย่างพระสาคตะก็ไปแสดงฤทธิ์ปราบพญานาค ชาวบ้านก็เลยพร้อมใจถวายสุราให้ท่าน จนท่านเมามายขาดสติ กลายเป็นต้นบัญญัติข้อห้ามดื่มสุราไป

    สมัยนั้นพญานาคไปยึดท่าน้ำของชาวบ้าน พอใครเข้ามาใกล้ก็จะทำร้าย จนกระทั่งเขาไม่สามารถที่จะใช้น้ำได้ พระสาคตะท่านเก่งทางเตโชกสิณ จึงเผาพญานาคเสียกระเจิงอยู่ไม่ได้ ชาวบ้านก็มาถามลูกศิษย์ว่าพระสาคตะท่านชอบอะไร ? เขาก็บอกว่า "พระเถระท่านชอบสุรารสอ่อนสีเหมือนเท้านกพิราบ"

    ปรากฏว่าพอพระสาคตะบิณฑบาตบ้านไหน เขาก็ถวายแต่สุรา สุดท้ายท่านเลยเมานอนหมอบอยู่ข้างทาง พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาพอดี ถามว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ นั่นเป็นผู้ใดหรือ ?" พระอานนท์กราบทูลว่า "พระสาคตะพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า "พระสาคตะเถระที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ว่ามีฤทธิ์มากถึงขนาดปราบพญานาคได้ใช่ไหม ? แล้วตอนนี้ปราบงูเขียวได้หรือไม่เล่า ?" พระองค์ท่านจึงบัญญัติห้ามภิกษุดื่มสุราเมรัยตั้งแต่นั้นมา

    หรือไม่ก็อย่างพระปิณโฑลภารทวาชะ เหาะไปเอาบาตรไม้แก่นจันทน์ของมหาเศรษฐี หรือไม่ก็อย่างพระโมคคัลลานะไปเที่ยวนรก เที่ยวสวรรค์ แล้วก็มาประกาศให้ทราบว่า ญาติพี่น้องของคนนั้นตายไปแล้วตอนนี้เป็นอย่างไร

    นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้น เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเผยแผ่เร็วมาก แผ่กว้างออกเร็วชนิดสำนักอื่นตามไม่ทัน โดยเฉพาะบรรดาเศรษฐีที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน พอมานับถือศาสนาพุทธแล้วจะทำบุญเฉพาะในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ายังต้องทรงห้ามเอาไว้

    อย่างมหาเศรษฐีชื่ออุบาลี ท่านถือศาสนาพุทธแล้ว ตั้งใจจะเลี้ยงแต่พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ไม่เลี้ยงพราหมณ์แล้วเพราะเห็นว่าเปลืองข้าวเปล่า ๆ พระพุทธเจ้าตรัสให้เลี้ยงต่อไปตามปกติ แต่อุบาลีเศรษฐีก็อดไม่ได้ สั่งคนใช้ว่า ถ้าพราหมณ์ลัทธิอื่นมาให้อยู่แค่ประตูนอก ถ้าเป็นสมณะในพระพุทธศาสนาให้นิมนต์มาข้างในเลย ทำเอาพวกลัทธิอื่นแช่งชักหักกระดูกพระพุทธเจ้าเสียไม่มี..!"

    "เราจะเห็นความใจกว้างของพระพุทธเจ้าว่าท่านไม่ได้อิจฉาใคร มั่นใจว่าคำสอนของพระองค์ท่านเป็นของแท้พิสูจน์ได้ อย่างไรเสียบุคคลที่เห็นธรรมแล้ว มีศรัทธาที่แน่นแฟ้นย่อมไม่หวั่นไหวไปไหน เพราะฉะนั้น..เขาจะทำบุญที่ไหนก็ทำเถอะ พระองค์ท่านไม่ได้ว่า

    อย่าลืมว่าทำบุญกับนักบวชนอกศาสนาผู้สามารถระงับราคะได้ มีอานิสงส์มากกว่าผู้มีศีลบริสุทธิ์เป็นแสนเท่า ไปดูได้ในทักขิณาวิภังคสูตร บรรดาอเจลก(ชีเปลือย) ก่อนที่จะออกมาประกาศศาสนาของตนได้ เขาผ่านการพิสูจน์มาแล้วทุกรูปแบบ ออกมาเดินแก้ผ้า เจอสาวแล้วต้องไม่ขายหน้าเขา..!

    ในเมื่อเป็นดังนั้น แปลว่าเขาสามารถที่จะระงับราคะได้ แต่ไม่ใช่สิ้นราคะ ระงับได้ด้วยอำนาจของฌานสมาบัติที่กดเอาไว้ ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำบุญกับเขาก็มีอานิสงส์มาก เพียงแต่ว่าทำบุญแบบนั้นร้อยครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำบุญพระโสดาบันเพียงหนึ่งครั้ง

    ในการเผยแผ่ศาสนาพุทธ พระองค์ท่านไม่เบียดเบียนศาสนาอื่น มีแต่สนับสนุน ส่งเสริม ต่อยอดไปเรื่อย ตัวอย่างคือ ชฎิลสามพี่น้อง ท่านบูชาไฟมาก่อน พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ตรัสว่าการบูชาไฟไม่ดี แต่ท่านบอกว่า การบูชาไฟควรจะบูชาไฟภายในดีกว่า แล้วตรัสสอนให้รู้ถึงไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นอกจากนี้ยังบอกวิธีดับไฟเหล่านั้นอีกต่างหาก ท่านบอกว่าการดับไฟทั้งสามกองนี่แหละจึงเป็นอุดมธรรม(ธรรมสูงสุด)

    หรือไม่ก็สิงคาลมาณพ ฟังคำสั่งของพ่อแล้วไปไหว้ ๖ ทิศ โดยไม่รู้ว่า ๖ ทิศคืออะไร ? พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสสอนว่า ทิศเบื้องบน คือสมณชีพราหมณ์ ทิศเบื้องล่าง คือบริวาร คนรับใช้ ทิศเบื้องหน้า คือบิดามารดา ฯลฯ แต่ละคนควรปฏิบัติอย่างไร ท่านบอกไว้หมด ไปดูเพิ่มเติมได้ในสิงคาลสูตร

    "พระองค์ท่านไม่ได้ค้านใคร แต่บอกในส่วนที่ดีกว่าให้ คนที่เขามีปัญญา พอรู้ว่ามีสิ่งที่ดีกว่าจริง ๆ เขาก็ปฏิบัติตาม"


    ที่มา
    พระอาจารย์เล็ก สุธัมมปัญโญ
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 ธันวาคม 2017
  2. NuchabaGreenmonkeys

    NuchabaGreenmonkeys สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +132
    สาธุธรรมอันประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ สาธุ สาธุ.
     
  3. ออฟศัก

    ออฟศัก ทิพย์นาคาพระเครื่อง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +17
    สาธุๆๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    สาธุอนุโมทนามิค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความนะคะ

    ทำให้มลได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้าอีกเยอะเลย ได้เกร็ดธรรมด้วย สาธุค่ะ
     
  5. ออฟศัก

    ออฟศัก ทิพย์นาคาพระเครื่อง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +17
    :):):)
     

แชร์หน้านี้

Loading...