สัตว์ที่ทำร้ายคน สัตว์เหล่านั้นจะได้รับบาปไหม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย keanu911, 11 มกราคม 2007.

  1. keanu911

    keanu911 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +920
    อยากทราบว่าถ้าสัตว์ทำร้ายคน เช่น เดินอยู่ดีๆ โดนหมากัด, เข้าไปเที่ยวป่าโดนงูกัดตาย หรือโดนยุงลายกัดจนป่วยเป็นไข้เลือดออกตาย ยังงี้เป็นต้น สัตว์ที่ทำร้ายคนนี้จะได้รับบาปไหมครับ แล้วมีนรก สวรรค์สำหรับสัตว์รึป่าว
     
  2. sumet

    sumet สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +8
    ผลของกรรมครับ เคยทำมาอย่างไร ก็ได้รับอย่างนี้น สัตว์ทั้งหลายเป็นเพียงส่วนประกอบที่เข้ามาครับ
    สมมุติว่า นาย ก. ได้เคยไปทำร้าย นาย ข. ผลที่นาย ก. จะได้รับภายหน้า ก็คือ การถูกทำร้าย
    เมื่อถึงเวลาผลของกรรมให้ผล นาย ก. ก็จะได้รับผลของกรรม ซึ่งไม่จำเป็นว่า จะต้องถูก นาย ข. เข้ามาทำร้าย
    ส่วนสัตว์ที่เข้ามาทำร้ายนั้น เขายังได้รับผลของกรรมที่จะต้องเป็นสัตว์อยู่นะครับ บาปหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจตนาของสัตว์ตัวนั้น ส่วน นรก หรือ สวรรค์ นั้นเหมือนกันหมดครับ เช่น เมื่อตายจากความเป็นคน ถ้าทำดี ก็ได้ไปสวรรค์ ทำขั่วก็อาจ ตกนรก หรือ เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ก็ได้ ครับ
     
  3. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    กากะเปรต


    ตายจากกาไปเกิดเป็นเปรตมีชื่อว่ากากะเปรต <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์มหานคร <o:p></o:p>
    เวลานั้นพระโมคคัลลาน์กับพระลักขณะ จำพรรษาอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ ในตอนเช้าทั้งสององค์ก็ลงมาเพื่อไปบิณฑบาต ขณะเดินมาอยู่ดี ๆ ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉย ๆ พระลักขณะเห็นพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉย ๆ จึงถามว่า พระคุณเจ้ายิ้มเรื่องอะไร ” <o:p></o:p>
    เวลานั้นปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ท่านเห็นอหิเปรตกับกากะเปรตอยู่ข้างหน้า แต่ท่านไม่ตอบเพราะพระลักขณะซึ่งเป็นปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกันท่านไม่เห็น ส่วนพระโมคคัลลาน์ท่านเป็นอัครสาวกมีความเข้มข้นกว่าจึงเห็น <o:p></o:p>
    ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมีกำลังไม่เท่ากันคือ <o:p></o:p>
    ๑. ปฏิสัมภิทาญาณขั้นปกติ มีกำลังต่ำ <o:p></o:p>
    ๒. ปฏิสัมภิทาญาณขั้นมหาสาวก มีกำลังเป็นทิพย์สูงกว่า <o:p></o:p>
    ๓. ปฏิทาภิทาญาณขั้นอัคครสาวก มีกำลังสูงกว่าพระมหาสาวก <o:p></o:p>
    ฉะนั้น บรรดาท่านผู้ที่ฝึกมโนยิทธได้ความเป็นทิพย์ จึงมีความรู้สึกไม่สม่ำเสมอกัน ใช้จิตมาก ๆ ใช้ปัญญาน้อย ความแจ่มใสของจิตก็น้อย การเห็นก็ไม่ค่อยจะตรง ไม่ชัดเจนแจ่มใส <o:p></o:p>
    ต่อมาเมื่อกลับจากบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จ พระโมคคัลลาน์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถามพระโมคคัลลาน์ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ถามว่า เมื่อเช้าพระคุณเจ้ายิ้มเดินมาแล้วยิ้มเฉย ๆ ผมถามท่าน ท่านบอกให้ถามต่อหน้าองค์สมเด็จพระบรมครู อยากจะถามว่าเมื่อเช้าท่ายิ้มเพราะเรื่องอะไร ” <o:p></o:p>
    พระโมคคัลลาน์จึงตอบว่าเมื่อเช้าที่เรายิ้มเพราะเห็นเปรต ๒ เปรต คือเปรตกับกากะเปรต ” <o:p></o:p>
    เมื่อพระโมคคัลลาน์กล่าวเพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่า <o:p></o:p>
    อหิเปรตก็ดี กากะเปรตก็ดี มีจริง ๆ ตามที่พระโมคคัลลาน์ว่า ตถาคตเห็นเปรตทั้งสองนี้มาตั้งแต่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่มีคนอื่นเห็น ตถาคตจึงไม่พูดเพราะไม่มีพยาน เวลานี้พระโมคคัลลาน์เห็นแล้วตถาคตมีพยาน ตถาคตก็ขอยืนยัน ” <o:p></o:p>
    ต่อจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงกล่าวถึงกรรมของเปรตทั้งสอง แต่วันนี้จะพูดถึงกรรมของกากะเปรตเรื่องเดียวก่อน <o:p></o:p>
    องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าว่าทั้งสองตนนั้นมีตัวยาว ๒๕ โยชน์ ( ๑ โยชน์มี ๔๐๐ เส้น) เปรตทั้งสองมีสภาพเหมือนกันคือ มีไฟลุกตั้งแต่หัวพุ่งไปหาหางและไปก่อตัวขึ้นจากหางพุ่งไปหาหัว ไฟก่อตัวขึ้นตรงกลางตัวรวมไปทั้งหัวทั้งหางและกลางเสร็จ รวมความว่าเปรตทั้งสองนี้จมอยู่ในกองเพลิงตลอดเวลา สำหรับอหิเปรตนั้นมีรูปร่างคล้ายคน แต่หัวเป็นงู ( อหิแปลว่างู) ส่วนกากะเปรตนั้นมีหัวเป็นคนแต่ตัวเป็นกา” <o:p></o:p>
    แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสบุพกรรมของกากะเปรตนี้ทำบาปอะไรไว้ เรื่องมีดังนี้ <o:p></o:p>
    ถอยหลังไปกัปนี้เองสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระพุทธกัสสป เวลานั้นบรรดาประชาชนทั้งหลายตั้งใจถวายอาหารแก่พระสงฆ์ สมัยนั้นเขาจะถวายพระองค์ไหนก็รับบาตรจากท่านไป เมื่อชาวบ้านเขารับบาตรจากพระเถระไปแล้ว ก็นำอาหารที่มีรสเลิศหมายความว่าอาหารที่ทำดีแล้วใส่บาตร ในขณะที่ใส่อาหารลงไปในบาตรนั้น ยังไม่ทันจะถวายพระ ก็มีกาตัวหนึ่งจับอยู่บนยอดไม้มองเห็นอาหารในบาตรเป็นที่ชอบใจ จึงได้โฉบลงมาคาบเอากับข้าวในบาตรไปเต็มปากตามกำลังที่จะนำไปได้ แล้วก็ไปยืนกิน <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า กาทำบาปเพียงเท่านี้ เมื่อตายจากความเป็นกาก็ไปเกิดเป็นกากะเปรต มีหัวเป็นคนตัวเป็นกายาว ๒๕ โยชน์ มีไฟไหม้ก่อตัวทางหัวพุ่งไปถึงหาง ไฟไหม้ก่อตัวทางหางพุ่งมาทางหัว ไฟไหม้ก่อตัวตรงกลางลามไปทั่วตัว ต้องไหม้อยู่อย่างนี้นับเป็นพุทธันดร <o:p></o:p>
    และพระองค์ตรัสอีกว่า อาการที่กาขโมยอาหารเขากิน ถึงแม้ข้าวนั้นยังไม่ได้เป็นของสงฆ์คือยังไม่ได้ประเคนพระ ยังเป็นเจตนาที่จะถวายพระอยู่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ของบุญ ยังไม่เป็นอาหารของสงฆ์ จึงได้มาเกิดเป็นกากะเปรตอยู่ในแดนของเปรต <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าอาหารที่ถวายสงฆ์แล้ว ถ้าขโมยกินอย่างนี้เป็นขโมยข้าวสงฆ์ จะมีโทษมากกว่านี้มาก จะไปเกิดเป็นสัตว์นรกก่อนในอเวจีมหานรก หรือข้าวที่เขาถวายพระเสร็จแล้ว เขาจะนำไปเลี้ยงคน ตอนนั้นถ้าฉกฉวยเอาไปกินเป็นส่วนตัวก็ถือว่าเป็นขโมยของสงฆ์เหมือนกัน แต่ถ้าท่านอนุญาติว่ากินได้อันนี้ไม่มีโทษเพราะพระให้แล้ว มีหลายท่านถามว่า กินข้าววัดต้องชำระหนี้สงฆ์ไหม <o:p></o:p>
    ถ้าขโมยกินต้องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าพระให้กินไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์ คือพระให้ไม่เป็นหนี้ รวมความว่าการที่เกิดมาเป็นคนได้ต้องอาศัยศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ <o:p></o:p>
    จะมีทรัยพย์สินข้างก็เพราะผลของทาน
    จะมีปัญญาบ้าง ก็เพราะการอบรมธรรม <o:p></o:p>
    และเกิดมาเป็นคนแล้วกลับทำความชั่ว ก็ต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์นรก กว่าจะมาเกิดเป็นคนใหม่ก็ยังใช้เวลาอีกนานเป็นการถอยหลัง ทางที่ดีควรจะก้าวหน้าต่อไป อย่างน้อยจากการเป็นคนแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์เป็นเทวดาหรือนางฟ้า ไปเป็นพรหมก็ยิ่งดีกว่า ไปพระนิพพานดีถึงที่สุด...
    http://www.mindcyber.com/content/data/4/0007-1.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...