วัตถุมงคล..คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม..พระพุทโธ..ล๊อคเก๊ต.ศิลาน้ำ พลอยเสก ฯลฯหน้า88.

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย ญาณวโร นามะ, 25 ธันวาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ประวัติ แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม ฆราวาสผู้เปี่ยมด้วยธรรม

    [​IMG]คุณ แม่บุญเรือน กลิ่นผกา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมียขึ้น 15 ค่ำเวลา 11.20 น. หรือตรงกับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2437 ท่านได้กำเนิดในครอบครัว ที่มีฐานะค่อนข้างยากจน มีนายยิ้ม กลิ่นผกา เป็นบิดา และมี นางสวน กลิ่นผกา เป็นมารดา สถานที่เกิดอยู่ที่คลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร
    ต่อมาบิดามารดาของท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี อยู่ในละแวกบ้านชาวสวน และมีฐานะเป็นชาวสวนในเวลาต่อมา คุณแม่บุญเรือน ท่านก็ได้เติบโตมาในละแวกบ้านชาวสวน ที่ตำบลบางปะกอกใหญ่นั่นเอง
    นายยิ้ม บิดาของคุณแม่บุญเรือน มีภรรยาทั้งสิ้น 3 คน คนแรกก็ได้แก่ นางสวน มีบุตรด้วยกันสองคน คนโตคือ นางทองอยู่ ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว คนที่สองก็ได้แก่ คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกานั่นเอง
    ภรรยาคนที่สอง ชื่อนางเทศ มีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่ นายเนื่อง นางทองคำ และนางทิพย์ ซึ่งทั้งสามคนนี้ ถือเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน
    ภรรยาคนที่สาม ไม่มีใครจำชื่อได้ และไม่มีใครยืนยันว่า นายยิ้ม ได้มีบุตรกับภรรยาคนนี้หรือไม่
    ผลสำเร็จของงานบุญ
    ในระหว่างที่บวชเป็นชีนี่เอง ด้วยความตั้งใจจริง ในการบำเพ็ญเพียร หัดวิปัสสนากัมมัฏฐาน ทำใจให้สงบระงับ ฝึกใจให้แข็งแกร่งแก่กล้า มองเห็นธรรมอันวิเศษของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังผลให้เป็นที่ทราบในหมู่ผู้ร่วมวิปัสสนาด้วยกัน ว่าคุณแม่บุญเรือนได้สำเร็จแล้วอย่างแท้จริง คือสำเร็จใน จตุตถฌาน หรือ ฌาน4 อันประกอบด้วย
    ปฐมฌาน หมายถึง ฌาน ขั้นแรก มีองค์ 5 คือ ยังมีตรึก เรียกว่า วิตก และ ตรอง เรียกว่า วิจารณ์ เหมือนอารมณ์แห่งจิตของคนสามัญ ซ้ำยังมีปิติ คือ ความอิ่มใจ มีความสุข คือความสบายใจ เกิดแต่ความวิเวก คือ ความเงียบสงบ ประกอบด้วยจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งลงไปได้ เรียกว่า “ เอกัคตา”
    ทุติยฌาน หมายถึง ฌาน ชั้นสอง ซึ่งละวิตกและวิจารณ์ ในปฐมฌานลงไปได้ คงเหลือแต่ ปิติ และ สุขอันเกิดแก่สมาธิกับเอกัคตา
    ตติยฌาน เป็น ฌาน ชั้นสาม คงเหลือแต่องค์สอง คือละปิติเสียได้ คงเหลือแต่สุขและเอกัคตา
    จตุตถฌาน เป็น ฌานสำคัญชั้น 4 มีองค์ 2 คือละสุขเสียได้กลายเป็น อุเบกขาคือวางเฉย คู่กับเอกัคตา ฌาน 4 จัดเป็นรูปสมาบัติ มีรูปธรรมเป็นอารมณ์ สงเคราะห์เข้าไปในรุปาวจรภูมิ
    ฌานทั้ง 4 นี่แหละที่เชื่อกันว่า แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม ได้บำเพ็ญเพียรฝึกปฏิบัติจนประสบความสำเร็จ และด้วยเหตุที่ปรากฏต่อมาว่า แม่ชีบุญเรือน มีความเชี่ยวชาญในวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนสามารถจะเข้าวิปัสสนาเมื่อใดก็ได้ และไม่จำเป็นต้องยึดสิ่งมีรูปเป็นอารมณ์ ทั้งอาจเข้าวิปัสสนาโดยลืมตาก็ได้โดยเร็วพลันด้วยเหตุนี้ ทางด้านอรูปฌาน ก็เชื่อว่าท่านสันทัดและบรรลุโดยลักษณะเดียวกัน
    ด้วยความสำเร็จใน จตุตถานนั่นเอง เป็นเหตุให้แม่ชีบุญเรือน เป็นนักเสียสละชั้นยอด มีอารมณ์วางเฉย เป็น อุเบกขา สละความโลภ ความอยากได้ในทรัพย์สินต่าง ๆ อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นคนที่รู้จักแม่ชีบุญเรือนมาก่อนก็ดี หรือเพิ่งจะมารู้จักก็ดี จะทราบคติธรรมข้อหนึ่งว่า “ คนที่จะไปหาท่าน จงไปหาด้วยการเป็นผู้รับ ส่วนท่านเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้บริการ” ท่านไม่ต้องการสิ่งใดของใคร แม้แต่ดอกไม้ ธูปเทียน ทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ทั้งสิ้น
    จากหนังสือคนเหนือโลก
    โดย อนามิส พ.ศ. ๒๕๑๙
    ใกล้สะพานกรุงธน มีศาลาหลังหนึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของ อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม อันที่จริงน่าจะกล่าวว่าสร้างให้เป็นที่สถิตแห่งดวงวิญญาณของท่านผู้กล่าว นามมามากว่า เพราะปัจจุบันท่านหาชีวิตไม่แล้ว ตัวศาลาที่สร้างภายหลังท่านถึงแก่กรรมแล้ว ใช้ที่ส่วนหนึ่งของวัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด ธนบุรี ตัวศาลาใหญ่โตพอจะใช้เป็นที่ประชุม สวดมนต์ ทำบุญถวายทานสำหรับบุคคลคราวละนับร้อยๆ ท่าน
    อุบาสิกาบุญเรือน เคยบวชเป็นชี ภายหลังท่านชอบแต่งกายตามสบายแต่ยังโกนศีรษะ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านมีลูกศิษย์เรียนธรรมะด้วยกันมาก ท่านนายพลดำเนิน เลขะกุล ผู้มีชื่อเสียงก็เป็นผู้หนึ่งที่เคารพนับถือท่าน คุณดำเนินมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบาสิกาบุญเรือน เชื่อว่าท่านสามารถอ่านใจคนได้ เพราะเคยไปหาครั้งแรกในยามมีทุกข์ใจ ได้รับคำแนะนำทันทีโดยที่อุบาสิกาบุญเรือนไม่ได้ไต่ถามอะไรเลยว่า “คนจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อใจสงบ”
    ศิษย์ของอุบาสิกาบุญเรือน ยังคงมีการประชุมสวดมนต์ตามแบบที่ได้รับคำแนะนำสั่งสอน ที่ศาลาทุกวันอาทิตย์ ผู้ที่เคารพนับถือมักเรียกท่านว่า “คุณแม่” เป็นส่วนมาก ป้ายสวยงามติดไว้เป็นระยะนำไปสู่ศาลา ก็เขียนว่า ศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ทุกปีที่ศาลานี้จะมีการทำบุญใหญ่ ค่าใช้จ่ายแต่ละคราวกว่าสองหมื่นบาท
    สมัยคุณแม่บุญเรือนยังไม่สละร่างมนุษย์ (ตามคำของศิษย์ ไม่ประสงค์จะเรียกการจากไปของท่านว่า ถึงแก่กรรม) มีผู้สร้างศาลาให้คุณแม่บุญเรือนใช้เป็นที่อาศัยและที่อบรมสั่งสอนหลายแห่ง เช่นที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ บางขุนพรหม, ที่ภายในบริเวณบ้านของครูเก่า คุณหลวงแจ่มวิชาสอน มหาเศรษฐีเจ้าของยาสีฟันวิเศษนิยม, ที่พระโขนง และที่บ้านนาซา ปากน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง
    คุณแม่บุญเรือน เรียกคณะของท่านว่า สามัคคีวิสุทธิ ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งเป็นครูอาจารย์ของใคร ผู้ที่ไปเรียนธรรมะด้วย ท่านขอให้ถือเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนธรรมะของท่าน
    คุณหลวงแจ่มวิชาสอน กล่าวถึงคุณแม่บุญเรือนว่า “เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสำเร็จในอิทธิฤทธิ์บางอย่าง” ท่านเรียกคุณแม่บุญเรือนว่า “แม่หมอ” และได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเองไว้ ดังนี้
    เมื่อเดือนมีนาคม ๘๙ คุณพี่ปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ เจ้าของห้างวิวิธภูษาคาร ได้ชวนข้าพเจ้าและแม่หมอบุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยรถยนต์ สวนอยู่ห่างตัวจังหวัดสิบสองกิโลเมตร ตอนกลับจากสวนขณะที่รถกำลังติดไฟ แม่หมอบุญเรือนออกเดินไปก่อน ข้าพเจ้าออกเดินตามไปภายหลังห่างกันประมาณหนึ่งเส้น ข้าพเจ้าเดินมาถึงที่เลี้ยวก็มองไม่เห็นตัวแม่บุญเรือนแล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกสองสามเลี้ยวก็มองไม่เห็น
    ข้าพเจ้าก็เลยหยุดคอยรถเพราะรู้สึกเมื่อย สักครู่หนึ่งรถก็ตามมาทัน ข้าพเจ้าจึงกลับขึ้นรถ ประมาณเวลานับแต่ออกเดินจนรถมาทันนั้นราวสิบห้านาที เมื่อขึ้นรถแล้ว รถแล่นมาอย่างเร็วเพราะเป็นทางลงจากเขา รถแล่นมาเป็นหลายเลี้ยวจนถึงศาลาพักร้อน ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างจังหวัดกับสวน ก็ไม่เห็นแม่หมอบุญเรือนคอยอยู่ รถหยุดที่ศาลา เติมน้ำหน้าหม้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแล่นย่อไปจนพ้นเขตเขาทุ่งก็ยังไม่พบแม่หมอบุญเรือน ผู้อยู่ในรถต่างรู้สึกเอะใจ เพราะตามปกติธรรมดาคนเราจะเดินเร็วเช่นนี้ไม่ได้ รถคงจะแล่นผ่านมาเสียแล้ว ขณะที่พวกเราคิดจะให้รถหยุดรอ ก็พอดีเห็นแม่หมอบุญเรือนเดินเนิบๆ อยู่ข้างหน้า เมื่อขึ้นมาบนรถ สังเกตดูไม่เห็นกิริยาแสดงว่าเหน็ดเหนื่อยหรืออิดโรย การที่คุณแม่บุญเรือนเดินไกลถึงแปดกิโลเมตร ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแถมไม่เหน็ดเหนื่อยเสียด้วย คุณว่าเป็นเพราะอะไร ?
    กิตติศัพท์เรื่องคุณแม่บุญเรือนมีฤทธิ์ย่นระยะทางเดินได้ พวกศิษย์รู้กันดี แต่สำหรับผู้ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองได้พยายามทดสอบอย่างเงียบๆ กันเสมอ คุณเลื่อน ประสานอักษรพรรณ เป็นผู้หนึ่งที่กระทำดังกล่าว
    วันหนึ่ง คุณแม่บุญเรือนไปแวะที่บ้านคุณเลื่อน ตรงสี่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันนั้นคุณแม่บุญเรือนตั้งปณิธานว่าจะเดิน ไม่ขึ้นรถ ตั้งแต่ออกจากบ้านที่พระโขนง ในตอนจะลาจากคุณเลื่อนไปยังสถานที่ต่อไป คือบ้านคุณเขียม วรรณยิ่ง ตรอกสารพัดช่าง บางขุนพรหม คุณแม่บุญเรือนก็เดินอีก คุณเลื่อนพอรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนกำลังจะเดิน ก็รีบติดตามไปทันทีโดยไม่ให้รู้ตัว
    “ครั้งแรกที่ตามออกมายังไม่เห็น” คุณเลื่อนเล่า “จึงได้แวะเข้าไปในบ้านจ่านายสิบสุข ซึ่งอยู่ใกล้ สามารถมองถนนได้ถนัด ถามจ่านายสิบสุขได้ความว่า แม่หมอบุญเรือนกำลังเดินไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมกับชี้บอก ดิฉันมองตามมือเขาชี้ แลเห็นแม่หมอบุญเรือนกำลังเดินข้ามถนนลานอนุสาวรีย์ฯ บ่ายหน้าไปทางเสนารักษ์ พญาไท ตอนที่จะเข้าสู่ถนนตรงไปทางเสนารักษ์ พญาไทนั่นเอง แม่หมอบุญเรือนเหลียวหน้ามาทางดิฉัน แล้วทำท่าเหมือนกับจะรีบวิ่งหนีรถ หายไปตรงนั้นเอง”
    ตอนนี้คุณเลื่อนเข้าใจว่า ถนนทางนั้นมีทางเลี้ยวจึงไม่ได้ติดตามไปดูต่อ คงหยุดคุยกับจ่านายสิบสุขเสียครู่หนึ่ง ภายหลังได้เดินออกไปตรวจสถานที่ ปรากฏว่าตรงที่คุณแม่บุญเรือนหายวับไปกับตานั้น หาได้มีทางเลี้ยวแต่อย่างใดไม่ ผู้คนที่เดินอยู่จะไม่มีโอกาสลับสายตาจากผู้ที่จ้องดูไปได้เป็นอันขาด คุณเลื่อนได้สอบถามผู้ที่อยู่ด้วยกันว่าเห็นอย่างเดียวกับตนหรือไม่ ผู้ที่อยู่กับคุณเลื่อนตอบว่า เห็นหายไปทางต้นสน
    “ความจริงหากมีใครเดินเลยต้นสนไป เราก็ยังจะสามารถมองเห็นเขาได้ต่อไปอีก แต่แม่หมอบุญเรือนหายวับไปเลย !”
    ขณะที่ฝ่ายติดตามดูพฤติการณ์มีสี่นัยน์ตาด้วยกันจ้องจับอยู่นั้น เห็นเวลากลางวันแสกๆ ราวสักสิบสี่นาฬิกาเศษๆ แดดเปรี้ยงมิได้มีเมฆหมอกมืดแม้แต่น้อย
    คุณเลื่อนได้สอบถามเวลาที่คุณแม่เรือนไปถึงที่หมายปลายทางจากคุณเขียน ได้เวลาแน่นอนว่าคุณแม่บุญเรือนใช้เวลาเดินจากสี่แยกชัยสมรภูมิ ผ่านวงเวียนพญาไท สวนจิตรลดา ออกสี่เสา ไปถึงบางขุนพรหม ระยะทางนับสิบกิโลเมตรด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที่ เร็วยิ่งกว่ารถประจำทางวิ่งเสียอีก
    ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถเดินบนน้ำได้มาแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยไปแสดงอภินิหารเดินบนน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่อัศจรรย์ ไม่มีใครเห็นตอนที่ท่านกำลังเดินหรอกครับ แต่เหตุการณ์จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากท่านต้องเดินไปบนผิวน้ำ
    เรื่องของเรื่องมีว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คุณแม่บุญเรือน ได้ขึ้นไปพักอยู่ที่บ้านคุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์ วัดเจดีย์หลวง หน้าบ้านคุณนายลิ้นจี่มีหนองน้ำ ห่างจากตลิ่งราวสองวา มีกอหญ้าแห้งลอยอยู่ คุณแม่บุญเรือนไปจับเต่ามาจากกอหญ้า และเอาเปลือกมะพร้าวไปวางไว้แทนอย่างเรียบร้อย
    “ดิฉันเอาไม้ลองพาดดูก็ไม่ถึงกอหญ้า” คุณนายลิ้นจี่บอก “น้ำก็ยังกระเพื่อมอยู่ ได้พิจารณาดูตามเท้าและร่างกายคุณบุญเรือน ไม่เห็นมีเปียกมีเปื้อนที่ตรงไหน น้ำตอนนั้นลึก ถ้าจะลุยไปอย่างน้อยจะต้องเปียกขึ้นมาถึงเอวเชียวค่ะ”
    “สังเกตดูที่กอหญ้า เห็นเหมือนกับรอยเท้าสองข้างเหยียบกอหญ้านั้น กอหญ้าแห้งนี้สมมุติว่าคนจะไปยืนก็คงไม่ได้ เพราะหญ้าฟูลอยน้ำขึ้นมา ขนาดกอไม่ใหญ่พอจะทานน้ำหนักเด็กๆ ได้ เพียงแต่เอาก้อนอิฐขว้างไป หญ้าก็แยกกระจาย” คุณนายแดง ชัวย่งเสง คหบดีชาวเชียงใหม่ที่อยู่ในที่เดียวกัน อธิบายเพิ่มเติม
    ถ้าจะคิดว่าอภินิหารเรื่องเดินบนน้ำยังเลือนลางไม่กระจ่างนัก ลองดูเรื่องฝนกับคุณแม่บุญเรือนกันหน่อยก็ยังได้
    คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ บ้านเลขที่ ๒๕๓ ถนนดำรงรักษ์ ป้อมปราบ ป่วยมานาน เพื่อนผู้หนึ่งแนะนำให้มาหาคุณแม่บุญเรือนช่วยรักษาจนหาย คุณนายบ๊วยรู้สึกเป็นพระคุณ จึงถือโอกาสพาคุณแม่บุญเรือนไปพักผ่อนทัศนาจรภาคใต้
    คุณนายบ๊วยเล่าถึงคุณแม่บุญเรือนเอาไว้ตอนหนึ่งดังนี้
    “พวกเราเดินทางต่อไปชุมพรโดยรถไฟถึงสถานีชุมพรเวลาสองทุ่ม นางสาวปราณีและคุณสุดใจเพื่อนของบุตรสาวดิฉันได้มารับที่สถานี คุณปราณีบอกให้ดูเสื้อผ้ากล่าวว่า
    “ดิฉันวิ่งมารับ ฝนตกถนนลื่นไปหมด จนหกล้มผ้าซิ่นเปื้อนไปแถบหนึ่ง”
    พวกเราช่วยกันลำเลียงของลงจากรถไฟ คุณแม่บุญเรือนสะพายกระเป๋าใบหนึ่ง กับหิ้วกระเป๋าเสื่อบรรจุศิลากรวดกับหนังสือแดนมธุรสและใบตั้ง (เสก) น้ำอีกใบหนึ่ง ขบวนของเราออกเดินทางไปทางหลังสถานี โดยมีคุณสุดใจเป็นผู้นำทาง ดิฉันเดินตามหลังคุณแม่บุญเรือนไปติดๆ เพราะมืดมาก คุณสุดใจจะช่วยถือกระเป๋าเสื่อให้คุณแม่บุณเรือน แต่ท่านไม่ยอม บอกให้คุณสุดใจเดินนำไปที่รถ
    ทางเดินตอนนั้นทั้งมืดทั้งแฉะ เลอะเทอะ คุณสุดใจเห็นว่าคุณแม่บุญเรือนมีอายุทั้งหิ้วของหนัก ส่งมือมาจะช่วยจูง คุณแม่ก็ปฏิเสธไม่ต้องจูงอีก พวกเราเดินไปถึงรถ ศูนย์ที่คุณปราณี คุณสุดใจจัดมาคอยรับ พอขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว คุณแม่บุญเรือนถามว่า ใครเท้าเปื้อนบ้าง ทุกคนบอกว่าเปื้อนทั้งนั้น ของดิฉันไม่เปื้อนแต่ไม่บอกใคร
    พอถึงบ้านใครๆ ก็เขาห้องน้ำล้างเท้ากัน แต่คุณแม่บุญเรือนกับดิฉันขึ้นบนบ้านเลยทีเดียว พอถึงบนเรือนมีแสงไฟเห็นชัด ดิฉันเห็นว่าดิฉันมีโคลนเปื้อนเล็กน้อย จึงกลับลงมาล้างเท้าใหม่ พบกับคุณลำไยซึ่งมีหน้าที่ในการปฏิบัติคุณแม่บุญเรือนในการเดินทางคราวนี้ กำลังจะยกรองเท้าคุณแม่บุญเรือนนำไปล้าง เขาร้องว่า รองเท้าคุณแม่ไม่เปื้อน ดิฉันตรวจดูรองเท้าที่คุณลำไยยกให้ดู ปรากฏว่าไม่เปื้อนจริงๆ เหมือนกับว่าท่านสวมเดินมาบนถนนแห้งๆ การที่ดิฉันไม่พลอยเปื้อนเหมือนกับคนอื่น เห็นจะเพราะเดินตามคุณแม่มาติดๆ เลยพลอยได้พึ่งบารมี ไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคนอื่น” คราวนี้ถึงเรื่องฝนตกไม่เปียก
    คุณนวม ลิมพานิชการ เล่าด้วยความประหลาดใจว่า เพียงแต่ดิฉันนึกถึงคุณหมอบุญเรือนแล้วบูชาพระ ไม่ต้องออกปากเชิญ คุณหมอก็มาหาดิฉันเอง เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งคุณหมอได้ไปหาในเวลาฝนตกมาก คุณหมอจะกลับทั้งๆ ที่ฝนยังตกหนักอยู่ ดิฉันค้านก็ไม่ฟัง จึงต้องออกไปส่งที่ประตู ฝนตกหนักมาก มองดูตัวคุณหมอก็ไม่เห็นเปียก ตอนนั้นดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ เพราะมองดูห่างไกล ไม่ค่อยจะเชื่อนัยน์ตาดิฉันแน่นัก
    มาเมื่อแต่งงานหลานสาวดิฉันที่บ้านคุณควง อภัยวงศ์ เมื่อออกจากบ้านพี่สาว ดิฉันจะให้พ่อหนุ่มๆ ยกขันน้ำมนต์ไป คุณหมอบุญเรือนไม่ยอมให้ยก ท่านยกขันน้ำมนต์นั่งมาบนรถยนต์เอง ขันใหญ่มาก มีน้ำมนต์ค่อนขันขึ้นมาเกือบเต็ม คุณหมอยกตั้งแต่บ้านข้างวังกรมพระนครสวรรค์ (วังบางขุนพรหม) ไปจนถึงบ้านคุณควง อภัยวงศ์ ข้างสนามกีฬา น้ำไม่ได้กระฉอกหกเลยแม้แต่น้อย ท่านประคองขันชูมาตลอดเวลาไม่ได้วางบนตักเลย
    เมื่อไปถึงบ้านคุณควง รดน้ำบ่าวสาวแล้วกลับมาขึ้นรถยนต์ จอดนอกบ้านไกลประมาณสองเส้น ฝนตกเม็ดใหญ่ๆ คุณหมอบุญเรือนก็ออกไปตามรถเองโดยไม่มีร่มกาง กลับเข้ามาก็เดินมาอีก คราวนี้ดิฉันได้พิสูจน์ตามร่างกายคุณหมอ ไม่มีเปียกฝนเลย !”
    เรื่องฝนตกไม่เปียกร่างกายคุณเเม่บุญเรือน โตงบุญเติมนี้ เป็นไปหลายครั้งหลายหน ในขณะที่คนอื่นเปียกฝนกัน คุณแม่บุญเรือนร่างกายค่อนข้างร้อนผะผ่าว เสื้อผ้าแห้งสนิททีเดียว
    คราวแต่งงานรดน้ำบ่าวสาวที่บ้านคุณควง อดีตนายกฯ ผู้น่ารักท่านนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งท้าพนันเมื่อสังเกตดินฟ้าอากาศแล้วว่า “วันนั้นจะไม่ตก” คุณแม่บุญเรือนทำนายว่า “เวลารดน้ำ ฝนจะตก”
    ไม่จำเป็นต้องบอก ก็คงทราบได้ว่าคุณแม่บุญเรือนชนะ
    ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของนางธำรุโกศา (แปลก ปานคำ) ผู้ไปช่วยจับสายสิญจน์ หล่อพระพุทธรูปพระพุทโธใหญ่ ที่วัดสัมพันธวงศ์
    “พอถูกใช้ให้จับสายสิญจน์ ดิฉันใช้ไม้ก้านร่มพันม้วนเป็นแกนสายสิญจน์เลย คุณนายบุญเรือนพูดว่า ทีนี้โปร่งละ พอจับสายสิญจน์สักประเดี๋ยวก็มีฝนตกลงมามาก พายุซัดฝนสาดมาเปียกดิฉัน คุณนายบุญเรือนออกมาเห็นเข้าก็บอกดิฉันให้กระเถิบหนีฝนเข้ามาข้างใน แต่ดิฉันไม่ยอมลุกหนีฝน คุณนายบุญเรือนจึงพูดว่า “ฝนอย่ามาเปียกแม่แปลกชี ! เขาจะจับสายสิญจน์ ไป ! ไป ! ไป !” พอว่าเท่านั้นลมพัดฝนไปทางอื่นไม่สาดดิฉัน และฝนก็เลยหายไป
    ข้อความการบอกกล่าวของนางธำรุโกศา ได้พิมพ์ไว้ในประวัติพระพุทโธใหญ่ ซึ่งเมื่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยอง
    ผมมีโอกาสไปชมความงามของพระพุทธรูปที่ถวายนามว่า พระพุทโธใหญ่ มาแล้ว สวยงามมากครับ อยู่ในโบสถ์รูปร่างแปลก ที่มุมโบสถ์จำลองพุทธเจดีย์จากอินเดียมาก่อสร้างไว้ ภายในโบสถ์หลังใหญ่ปูด้วยหินอ่อน อากาศเย็นเฉียบทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศ
    วัดสารนารถฯ เป็นวัดที่กำลังพัฒนา มีเนื้อที่กว้างขวาง นอกจากโบสถ์ที่น่าชมยังมีศาลารูปร่างแปลก ความจริงก็ก่ออิฐถือปูน แต่ทำให้ดูเหมือนกับใช้ซุงมาผ่าซีกทำบันได ฝาก็ทำเหมือนกับใช้ซุงผ่าประดับเหมือนกัน ขนาดของศาลาใหญ่โตมโหฬารทีเดียว

    คุณสุจริต ถาวรสุข ผู้เขียนประวัติของคุณแม่บุญเรือน เล่าถึงตนเองกับคุณแม่บุญเรือนว่า
    “ข้าพเจ้าได้ไปกราบทำความเคารพท่าน ท่านได้ถามถึงความประสงค์ที่มาหา ข้าพเจ้าก็เลยเล่าถึงความอยากมีโชคดีในการสอบเป็นผู้พิพากษาบ้าง (ข้าพเจ้าได้ผิดหวังในการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาในตอนราวกลางปีนั้น) คุณแม่บุญเรือนบอกว่า เมื่อตั้งใจจริง ใฝ่การกุศลก็ต้องสอบได้ และบอกว่าคราวต่อไปก็สอบได้แล้วละ คำพูดประโยคนั้นซาบซึ้งความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานให้หรืออวยพรให้ หรือท่านมีญาณทราบโดยทางใดหรือไม่อย่างไร เพราะปรากฏว่าในระยะต่อมาอีกไม่เกินหกเดือน นับแต่หลังสอบคราวก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็สอบเป็นผู้พิพากษาสำเร็จ ได้คะแนนอันดับดีเป็นที่สอง”
    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม บำเพ็ญเพียรฝึกใจในพระพุทธศาสนา จนบรรลุจตุตถฌานและอภิญญาหก สำเร็จครั้งแรกตั้งแต่บวชเป็นแม่ชีที่วัดสัมพันธวงศ์
    ท่านผู้พิพากษาสุจริต ถาวรสุข บันทึกไว้ว่า
    “ได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรก เมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพัก สถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นเข้านอนไม่หลับจนดึก สามีแลบุตรบุญธรรมหลับ มีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชนึกเบื่อ จึงตั้งจิตอธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐาน ตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองไม่ทราบว่าได้ออกจากห้องทางไหน และเข้าไปในศาลาทางไหน

    ในครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ และให้นางเล็ก, นางคำ, นางเทียม ซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนแม่ชีดูเป็นพยาน ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสียในคืนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลาดึกสงัดปีเดียวกันนั้นเอง คุณแม่บุญเรือนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์เข้าไปในศาลาได้เช่น คราวก่อน พวกที่คอยดูก็แปลกใจไปตามๆ กัน
    จนต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์ พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งองค์ และได้กลับมาตามคำอธิษฐานพร้อมด้วยพระธาตุ การสามารถทำปาฏิหาริย์ดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นได้เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ท่านอธิษฐานเมื่อเข้าสมาธิผ่านที่ปิดล้อม หรือไปที่ใดไกลๆ ได้ในชั่วระยะเวลาลัดมือเดียวในเวลาต่อมา ขณะได้ฌานวิเศษนั้นท่านอายุประมาณสามสิบสามปี”

    เมื่อต้นปีพ.ศ.2498 คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า
    "มีใครเป็นห่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์น้อย(ในหลวง)บ้าง..??"
    เมื่อทุกคนกล่าวรับว่าเป็นห่วงเนื่องจากมีข่าวที่น่าเป็นกังวลมาให้ได้ยินอยู่ คุณแม่บุญเรือนก็ว่าต่อไปอีกหน่อยว่า
    "ถ้าเป็นห่วง ก็ขอให้แม่อธิษฐานช่วยพระองค์ท่านซิ"
    (ตามอริยประเพณี พระอริยะจะทำการสิ่งใดโดยปราศจากเหตุ
    หรือไม่มีผู้อาราธนามิได้)
    เมื่อศิษย์ทุกคนกล่าวคำขอให้คุณแม่ใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยในหลวงให้ทรงพระเจริญและแคล้วคลดจากสรรพภยันตรายทั้งปวงแล้ว
    คุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติมจึงได้กำหนดที่จะไปเข้า"นิโรธสมาบัติ"
    คุ้มครองถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บ้านนาซา
    (เป็นเคล็ดให้เรื่องร้าย"สร่างซา"ลงไป)
    ของนางสาววาย(เป็นเคล็ดให้เรื่องราวที่ไม่ดีมีอันต้อง"วาย"หายสูญไป) วิทยานุกรณ์ (น้องสาวพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์)
    ที่ปากน้ำประแสร์ จ.ระยองเป็นเวลาถึง 1 ปีเต็ม
    โดยช่วงนั้นคุณแม่บุญเรือนได้สั่งห้ามมิให้ศิษย์คนใดเข้ามารบกวน
    ท่านในช่วงเวลานั้นเป็นอันเด็ดขาด..!!!!
    ที่มา,หนังสืออนุสรณ์อดีตเจ้าอาวาส วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง พ.ศ. 2551
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2014
  2. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ๏ การสร้างวัตถุมงคล
    ในวงการ ผู้นิยมสะสมพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง คนส่วนใหญ่มักจะสนใจประวัติการสร้างวัตถุมงคลของพระเกจิรูปต่างๆ ขณะเดียวกัน ประวัติของฆราวาสจอมขมังเวทย์ก็เป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงการสร้างวัตถุมงคลของอุบาสิกาหรือแม่ชีนั้น คนวงการพระบางคนอาจะรู้จักบ้าง ส่วนคนนอกวงการพระอาจจะเกิดคำถามว่า “มีด้วยหรือ ?”
    วัตถุมงคลที่คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานจิตมอบให้ลูก ศิษย์ คือ ปฐวีธาตุหรือศิลาน้ำ (หินหรือกรวดใต้น้ำ) เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป ลูกศิษย์มักนิยมนำมาใส่ในภาชนะที่ตั้งน้ำอธิษฐานประจำวันเสาร์ และภาพถ่าย ซึ่งเป็นที่แสวงหาของคนวงการพระยิ่งนัก นอกจากนี้แล้ว หนังสืออนุสรณ์ในงานบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็เป็นที่แสวงหาเช่นกัน
    ส่วน “พระพุทโธน้อย” เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธ วิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2496 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลังมีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า “พุทโธ”

    [​IMG]
    ภาพถ่ายที่ระลึกงานศพคุณแม่บุญเรือน ณ วัดธาตุทอง พ.ศ. 2507


    ๏ การวายชนม์ทิ้งร่าง

    คุณธรรม อันสูงส่งของ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม” อุบาสิกาผู้ใจบุญท่านนี้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้เสียสละ ชอบการทำบุญ ให้ทาน ไม่ยึดติดสะสมในทรัพย์สมบัติ มีแต่เป็นผู้ให้ตลอดมา และทั้งชีวิตท่านยังได้บำเพ็ญธรรมอย่างสม่ำเสมอตราบจนวาระสุดท้ายที่ท่านได้ จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ไต และโลหิตจาง

    แม้จะมีลูกศิษย์ ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อโดยการอธิษฐานขอ แต่ท่านก็ไม่ทำ ท่านบอกว่า “สังขารร่างกายและใจ หรือขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ ท่านจึงต้องการออกจากเรือนทุกข์นี้”

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้วายชนม์ทิ้งร่างไปเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2507 เวลา 11.00 นาฬิกา สิริอายุรวม 70 ปี และได้มีการบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2507 ณ วัดธาตุทอง แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ คุณแม่บุญเรือน ท่านรู้สถานที่ วันและเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไป โดยท่านให้ตั้งเวลานาฬิกาไว้ถึง 2 เรือนล่วงหน้า คือ 11.00 น. !!! (ตรงกับเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไปจริงๆ)

    [​IMG]
    งานทำบุญประจำปีคุณแม่บุญเรือน ณ วัดอาวุธวิกสิตาราม พ.ศ. 2549


    ๏ กว่า 40 ปี แห่งความศรัทธา

    ใน ปัจจุบันมีรูปหล่อของคุณแม่บุญเรือน ตั้งอยู่บนศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ในบริเวณวัดอาวุธวิกสิตาราม หรือวัดบางพลัดนอก เลขที่ 137 ถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 72 แขวงและเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นวัดที่ท่านเคยอยู่บำเพ็ญศีลสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันนี้ยังมีผู้คนไปสักการบูชากราบไหว้ขอพรจากรูปปั้นของท่าน อยู่เสมอมิได้ขาด โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ เวลาหลังเที่ยง จะมีสานุศิษย์และผู้ศรัทธาของคุณแม่ต่างพร้อมใจไปชุมนุมกัน เพื่อสวดมนต์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านที่ศาลาดังกล่าว โดยปฏิบัติติดต่อกันทุกวันอาทิตย์ เป็นเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่คุณแม่บุญเรือนถึงแก่กรรม ซึ่งนับได้ประมาณ 40 กว่าปีมาแล้ว

    หลัง จากการสวดมนต์ นั่งสมาธิแล้ว สานุศิษย์และผู้ศรัทธาจะขอรับเอาสิ่งของต่างๆ ที่นำมาสักการบูชา เช่น ผลไม้ น้ำตาลทราย เกลือ พริกไทย สาคู และปูนสีแดง ที่ใช้ทาใบพลูสำหรับรับประทาน โดยอธิษฐานขอให้สิ่งของต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นยาแก้โรคต่างๆ ซึ่งก็แปลกที่หลายคนหายขาดโรคภัยที่เป็นอยู่อย่างน่ามหัศจรรย์

    นอก จากนี้บางคนยังเอาไพลทุกชนิดไปถวายต่อหน้ารูปปั้นของคุณแม่บุญเรือน แล้วจุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาท่าน อธิษฐานจิตขอให้ท่านดลบันดาลให้ไพลเป็นยารักษาโรค แล้วนำไพลนั้นมาทารักษาโรค ก็หายได้เช่นกัน คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง มีชื่อเสียงโด่งดังจากการใช้พลังจิตในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไป รวมทั้งการนวดจับเส้น การใช้พลังจิตของคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านเรียกว่าเป็นการ “อธิษฐานจิต” คือ ท่านจะเข้าสมาธิให้จิตนิ่งเสียก่อน จากนั้นท่านจะอธิษฐานจิตขอให้เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา

    แม้ว่าท่านจะจากไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีและชื่อเสียงในทางธรรมที่ท่านเพียรสร้างไว้ขณะยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีผู้กล่าวถึงอยู่ตลอดไป

    [​IMG]
    พระราชปริยัติวิมล (ทองดี ฐิตายุโก)
    พระ ราชปริยัติวิมล (ทองดี ฐิตายุโก) เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม (พระอารามหลวง) กล่าวว่า “ตั้งแต่คุณแม่บุญเรือนเสียชีวิตลง มีลูกศิษย์และคนที่มีจิตศรัทธาเพิ่มจำนวนมากขึ้น มากราบไหว้และสวดมนต์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านเป็นประจำทุกวัน เหมือนกับตอนที่คุณแม่บุญเรือนยังมีชีวิตอยู่ โดยที่วันอาทิตย์จะมีมากกว่าทุกวัน เพราะเป็นวันที่ร่วมกันสวดมนต์”

    เจ้า อาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ยังกล่าวอีกว่า “ในวันอาทิตย์แรกของเดือนกันยายนทุกปี เหล่าลูกศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนจะมาสวดมนต์และทำบุญประจำปี เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันวายชนม์ของท่าน คุณแม่บุญเรือนมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้วัดอาวุธฯ เป็นวัดที่มีคนรู้จักคนทั่วไป จึงได้อธิษฐานจิตขอพรให้สมดั่งปรารถนา และมีส่วนช่วยในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดอาวุธฯ ให้สวยงามและมีชื่อเสียงอย่างในทุกวันนี้”
    .............................................................
    รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
    1. นิตยสารหญิงไทย เรื่องโดย สายทิพย์
    2. หนังสือพิมพ์คม ชัก ลึก - 2006/11/20
    เรื่องโดย พิสิษฐ์ จันทร์ศรี
     
  3. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    จากหนังสือคนเหนือโลก
    โดย อนามิส พ.ศ. ๒๕๑๙

    ใกล้ สะพานกรุงธน มีศาลาหลังหนึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของ อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม อันที่จริงน่าจะกล่าวว่าสร้างให้เป็นที่สถิตแห่งดวงวิญญาณของท่านผู้กล่าว นามมามากว่า เพราะปัจจุบันท่านหาชีวิตไม่แล้ว ตัวศาลาที่สร้างภายหลังท่านถึงแก่กรรมแล้ว ใช้ที่ส่วนหนึ่งของวัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด ธนบุรี ตัวศาลาใหญ่โตพอจะใช้เป็นที่ประชุม สวดมนต์ ทำบุญถวายทานสำหรับบุคคลคราวละนับร้อยๆ ท่าน

    อุบาสิกาบุญเรือน เคยบวชเป็นชี ภายหลังท่านชอบแต่งกายตามสบายแต่ยังโกนศีรษะ

    เมื่อ ยังมีชีวิตอยู่ท่านมีลูกศิษย์เรียนธรรมะด้วยกันมาก ท่านนายพลดำเนิน เลขะกุล ผู้มีชื่อเสียงก็เป็นผู้หนึ่งที่เคารพนับถือท่าน คุณดำเนินมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบาสิกาบุญเรือน เชื่อว่าท่านสามารถอ่านใจคนได้ เพราะเคยไปหาครั้งแรกในยามมีทุกข์ใจ ได้รับคำแนะนำทันทีโดยที่อุบาสิกาบุญเรือนไม่ได้ไต่ถามอะไรเลยว่า “คนจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อใจสงบ”

    ศิษย์ของอุบาสิกาบุญเรือน ยังคงมีการประชุมสวดมนต์ตามแบบที่ได้รับคำแนะนำสั่งสอน ที่ศาลาทุกวันอาทิตย์ ผู้ที่เคารพนับถือมักเรียกท่านว่า “คุณแม่” เป็นส่วนมาก ป้ายสวยงามติดไว้เป็นระยะนำไปสู่ศาลา ก็เขียนว่า ศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ทุกปีที่ศาลานี้จะมีการทำบุญใหญ่ ค่าใช้จ่ายแต่ละคราวกว่าสองหมื่นบาท

    สมัยคุณแม่บุญเรือนยังไม่สละ ร่างมนุษย์ (ตามคำของศิษย์ ไม่ประสงค์จะเรียกการจากไปของท่านว่า ถึงแก่กรรม) มีผู้สร้างศาลาให้คุณแม่บุญเรือนใช้เป็นที่อาศัยและที่อบรมสั่งสอนหลายแห่ง เช่นที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ บางขุนพรหม, ที่ภายในบริเวณบ้านของครูเก่า คุณหลวงแจ่มวิชาสอน มหาเศรษฐีเจ้าของยาสีฟันวิเศษนิยม, ที่พระโขนง และที่บ้านนาซา ปากน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง

    คุณแม่บุญเรือน เรียกคณะของท่านว่า สามัคคีวิสุทธิ ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งเป็นครูอาจารย์ของใคร ผู้ที่ไปเรียนธรรมะด้วย ท่านขอให้ถือเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนธรรมะของท่าน

    [​IMG]

    คุณ หลวงแจ่มวิชาสอน กล่าวถึงคุณแม่บุญเรือนว่า “เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสำเร็จในอิทธิฤทธิ์บางอย่าง” ท่านเรียกคุณแม่บุญเรือนว่า “แม่หมอ” และได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเองไว้ ดังนี้

    เมื่อเดือน มีนาคม ๘๙ คุณพี่ปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ เจ้าของห้างวิวิธภูษาคาร ได้ชวนข้าพเจ้าและแม่หมอบุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยรถยนต์ สวนอยู่ห่างตัวจังหวัดสิบสองกิโลเมตร ตอนกลับจากสวนขณะที่รถกำลังติดไฟ แม่หมอบุญเรือนออกเดินไปก่อน ข้าพเจ้าออกเดินตามไปภายหลังห่างกันประมาณหนึ่งเส้น ข้าพเจ้าเดินมาถึงที่เลี้ยวก็มองไม่เห็นตัวแม่บุญเรือนแล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกสองสามเลี้ยวก็มองไม่เห็น

    ข้าพเจ้าก็เลยหยุด คอยรถเพราะรู้สึกเมื่อย สักครู่หนึ่งรถก็ตามมาทัน ข้าพเจ้าจึงกลับขึ้นรถ ประมาณเวลานับแต่ออกเดินจนรถมาทันนั้นราวสิบห้านาที เมื่อขึ้นรถแล้ว รถแล่นมาอย่างเร็วเพราะเป็นทางลงจากเขา รถแล่นมาเป็นหลายเลี้ยวจนถึงศาลาพักร้อน ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างจังหวัดกับสวน ก็ไม่เห็นแม่หมอบุญเรือนคอยอยู่

    รถ หยุดที่ศาลา เติมน้ำหน้าหม้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแล่นย่อไปจนพ้นเขตเขาทุ่งก็ยังไม่พบแม่หมอบุญเรือน ผู้อยู่ในรถต่างรู้สึกเอะใจ เพราะตามปกติธรรมดาคนเราจะเดินเร็วเช่นนี้ไม่ได้ รถคงจะแล่นผ่านมาเสียแล้ว ขณะที่พวกเราคิดจะให้รถหยุดรอ ก็พอดีเห็นแม่หมอบุญเรือนเดินเนิบๆ อยู่ข้างหน้า เมื่อขึ้นมาบนรถ สังเกตดูไม่เห็นกิริยาแสดงว่าเหน็ดเหนื่อยหรืออิดโรย

    การที่คุณแม่บุญเรือนเดินไกลถึงแปดกิโลเมตร ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแถมไม่เหน็ดเหนื่อยเสียด้วย คุณว่าเป็นเพราะอะไร ?

    กิตติศัพท์ เรื่องคุณแม่บุญเรือนมีฤทธิ์ย่นระยะทางเดินได้ พวกศิษย์รู้กันดี แต่สำหรับผู้ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองได้พยายามทดสอบอย่างเงียบๆ กันเสมอ คุณเลื่อน ประสานอักษรพรรณ เป็นผู้หนึ่งที่กระทำดังกล่าว

    วันหนึ่ง คุณแม่บุญเรือนไปแวะที่บ้านคุณเลื่อน ตรงสี่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันนั้นคุณแม่บุญเรือนตั้งปณิธานว่าจะเดิน ไม่ขึ้นรถ ตั้งแต่ออกจากบ้านที่พระโขนง ในตอนจะลาจากคุณเลื่อนไปยังสถานที่ต่อไป คือบ้านคุณเขียม วรรณยิ่ง ตรอกสารพัดช่าง บางขุนพรหม คุณแม่บุญเรือนก็เดินอีก คุณเลื่อนพอรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนกำลังจะเดิน ก็รีบติดตามไปทันทีโดยไม่ให้รู้ตัว

    “ครั้งแรกที่ตามออกมายังไม่ เห็น” คุณเลื่อนเล่า “จึงได้แวะเข้าไปในบ้านจ่านายสิบสุข ซึ่งอยู่ใกล้ สามารถมองถนนได้ถนัด ถามจ่านายสิบสุขได้ความว่า แม่หมอบุญเรือนกำลังเดินไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมกับชี้บอก ดิฉันมองตามมือเขาชี้ แลเห็นแม่หมอบุญเรือนกำลังเดินข้ามถนนลานอนุสาวรีย์ฯ บ่ายหน้าไปทางเสนารักษ์ พญาไท ตอนที่จะเข้าสู่ถนนตรงไปทางเสนารักษ์ พญาไทนั่นเอง แม่หมอบุญเรือนเหลียวหน้ามาทางดิฉัน แล้วทำท่าเหมือนกับจะรีบวิ่งหนีรถ หายไปตรงนั้นเอง”

    ตอนนี้คุณ เลื่อนเข้าใจว่า ถนนทางนั้นมีทางเลี้ยวจึงไม่ได้ติดตามไปดูต่อ คงหยุดคุยกับจ่านายสิบสุขเสียครู่หนึ่ง ภายหลังได้เดินออกไปตรวจสถานที่ ปรากฏว่าตรงที่คุณแม่บุญเรือนหายวับไปกับตานั้น หาได้มีทางเลี้ยวแต่อย่างใดไม่ ผู้คนที่เดินอยู่จะไม่มีโอกาสลับสายตาจากผู้ที่จ้องดูไปได้เป็นอันขาด คุณเลื่อนได้สอบถามผู้ที่อยู่ด้วยกันว่าเห็นอย่างเดียวกับตนหรือไม่ ผู้ที่อยู่กับคุณเลื่อนตอบว่า เห็นหายไปทางต้นสน

    “ความจริงหากมีใครเดินเลยต้นสนไป เราก็ยังจะสามารถมองเห็นเขาได้ต่อไปอีก แต่แม่หมอบุญเรือนหายวับไปเลย !”

    ขณะ ที่ฝ่ายติดตามดูพฤติการณ์มีสี่นัยน์ตาด้วยกันจ้องจับอยู่นั้น เห็นเวลากลางวันแสกๆ ราวสักสิบสี่นาฬิกาเศษๆ แดดเปรี้ยงมิได้มีเมฆหมอกมืดแม้แต่น้อย

    คุณเลื่อนได้สอบถามเวลาที่ คุณแม่เรือนไปถึงที่หมายปลายทางจากคุณเขียน ได้เวลาแน่นอนว่าคุณแม่บุญเรือนใช้เวลาเดินจากสี่แยกชัยสมรภูมิ ผ่านวงเวียนพญาไท สวนจิตรลดา ออกสี่เสา ไปถึงบางขุนพรหม ระยะทางนับสิบกิโลเมตรด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที่

    เร็วยิ่งกว่ารถประจำทางวิ่งเสียอีก

    [​IMG]

    ผม เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถเดินบนน้ำได้มาแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยไปแสดงอภินิหารเดินบนน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่อัศจรรย์ ไม่มีใครเห็นตอนที่ท่านกำลังเดินหรอกครับ แต่เหตุการณ์จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากท่านต้องเดินไปบนผิวน้ำ

    เรื่องของเรื่องมีว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คุณแม่บุญเรือน ได้ขึ้นไปพักอยู่ที่บ้านคุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์ วัดเจดีย์หลวง หน้าบ้านคุณนายลิ้นจี่มีหนองน้ำ ห่างจากตลิ่งราวสองวา มีกอหญ้าแห้งลอยอยู่ คุณแม่บุญเรือนไปจับเต่ามาจากกอหญ้า และเอาเปลือกมะพร้าวไปวางไว้แทนอย่างเรียบร้อย

    “ดิฉันเอาไม้ลองพาด ดูก็ไม่ถึงกอหญ้า” คุณนายลิ้นจี่บอก “น้ำก็ยังกระเพื่อมอยู่ ได้พิจารณาดูตามเท้าและร่างกายคุณบุญเรือน ไม่เห็นมีเปียกมีเปื้อนที่ตรงไหน น้ำตอนนั้นลึก ถ้าจะลุยไปอย่างน้อยจะต้องเปียกขึ้นมาถึงเอวเชียวค่ะ”

    “สังเกต ดูที่กอหญ้า เห็นเหมือนกับรอยเท้าสองข้างเหยียบกอหญ้านั้น กอหญ้าแห้งนี้สมมุติว่าคนจะไปยืนก็คงไม่ได้ เพราะหญ้าฟูลอยน้ำขึ้นมา ขนาดกอไม่ใหญ่พอจะทานน้ำหนักเด็กๆ ได้ เพียงแต่เอาก้อนอิฐขว้างไป หญ้าก็แยกกระจาย” คุณนายแดง ชัวย่งเสง คหบดีชาวเชียงใหม่ที่อยู่ในที่เดียวกัน อธิบายเพิ่มเติม

    ถ้าจะคิดว่าอภินิหารเรื่องเดินบนน้ำยังเลือนลางไม่กระจ่างนัก ลองดูเรื่องฝนกับคุณแม่บุญเรือนกันหน่อยก็ยังได้

    คุณ นายบ๊วย ศิวพฤกษ์ บ้านเลขที่ ๒๕๓ ถนนดำรงรักษ์ ป้อมปราบ ป่วยมานาน เพื่อนผู้หนึ่งแนะนำให้มาหาคุณแม่บุญเรือนช่วยรักษาจนหาย คุณนายบ๊วยรู้สึกเป็นพระคุณ จึงถือโอกาสพาคุณแม่บุญเรือนไปพักผ่อนทัศนาจรภาคใต้

    คุณนายบ๊วยเล่าถึงคุณแม่บุญเรือนเอาไว้ตอนหนึ่งดังนี้

    “พวก เราเดินทางต่อไปชุมพรโดยรถไฟถึงสถานีชุมพรเวลาสองทุ่ม นางสาวปราณีและคุณสุดใจเพื่อนของบุตรสาวดิฉันได้มารับที่สถานี คุณปราณีบอกให้ดูเสื้อผ้ากล่าวว่า

    “ดิฉันวิ่งมารับ ฝนตกถนนลื่นไปหมด จนหกล้มผ้าซิ่นเปื้อนไปแถบหนึ่ง”

    พวก เราช่วยกันลำเลียงของลงจากรถไฟ คุณแม่บุญเรือนสะพายกระเป๋าใบหนึ่ง กับหิ้วกระเป๋าเสื่อบรรจุศิลากรวดกับหนังสือแดนมธุรสและใบตั้ง (เสก) น้ำอีกใบหนึ่ง ขบวนของเราออกเดินทางไปทางหลังสถานี โดยมีคุณสุดใจเป็นผู้นำทาง ดิฉันเดินตามหลังคุณแม่บุญเรือนไปติดๆ เพราะมืดมาก คุณสุดใจจะช่วยถือกระเป๋าเสื่อให้คุณแม่บุณเรือน แต่ท่านไม่ยอม บอกให้คุณสุดใจเดินนำไปที่รถ

    ทางเดินตอนนั้นทั้งมืดทั้งแฉะ เลอะเทอะ คุณสุดใจเห็นว่าคุณแม่บุญเรือนมีอายุทั้งหิ้วของหนัก ส่งมือมาจะช่วยจูง คุณแม่ก็ปฏิเสธไม่ต้องจูงอีก พวกเราเดินไปถึงรถ ศูนย์ที่คุณปราณี คุณสุดใจจัดมาคอยรับ พอขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว คุณแม่บุญเรือนถามว่า ใครเท้าเปื้อนบ้าง ทุกคนบอกว่าเปื้อนทั้งนั้น ของดิฉันไม่เปื้อนแต่ไม่บอกใคร

    พอถึงบ้านใครๆ ก็เขาห้องน้ำล้างเท้ากัน แต่คุณแม่บุญเรือนกับดิฉันขึ้นบนบ้านเลยทีเดียว พอถึงบนเรือนมีแสงไฟเห็นชัด ดิฉันเห็นว่าดิฉันมีโคลนเปื้อนเล็กน้อย จึงกลับลงมาล้างเท้าใหม่ พบกับคุณลำไยซึ่งมีหน้าที่ในการปฏิบัติคุณแม่บุญเรือนในการเดินทางคราวนี้ กำลังจะยกรองเท้าคุณแม่บุญเรือนนำไปล้าง เขาร้องว่า รองเท้าคุณแม่ไม่เปื้อน ดิฉันตรวจดูรองเท้าที่คุณลำไยยกให้ดู ปรากฏว่าไม่เปื้อนจริงๆ เหมือนกับว่าท่านสวมเดินมาบนถนนแห้งๆ การที่ดิฉันไม่พลอยเปื้อนเหมือนกับคนอื่น เห็นจะเพราะเดินตามคุณแม่มาติดๆ เลยพลอยได้พึ่งบารมี ไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคนอื่น”

    [​IMG]

    คราวนี้ถึงเรื่องฝนตกไม่เปียก

    คุณ นวม ลิมพานิชการ เล่าด้วยความประหลาดใจว่า เพียงแต่ดิฉันนึกถึงคุณหมอบุญเรือนแล้วบูชาพระ ไม่ต้องออกปากเชิญ คุณหมอก็มาหาดิฉันเอง เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งคุณหมอได้ไปหาในเวลาฝนตกมาก คุณหมอจะกลับทั้งๆ ที่ฝนยังตกหนักอยู่ ดิฉันค้านก็ไม่ฟัง จึงต้องออกไปส่งที่ประตู ฝนตกหนักมาก มองดูตัวคุณหมอก็ไม่เห็นเปียก ตอนนั้นดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ เพราะมองดูห่างไกล ไม่ค่อยจะเชื่อนัยน์ตาดิฉันแน่นัก

    มาเมื่อแต่ง งานหลานสาวดิฉันที่บ้านคุณควง อภัยวงศ์ เมื่อออกจากบ้านพี่สาว ดิฉันจะให้พ่อหนุ่มๆ ยกขันน้ำมนต์ไป คุณหมอบุญเรือนไม่ยอมให้ยก ท่านยกขันน้ำมนต์นั่งมาบนรถยนต์เอง ขันใหญ่มาก มีน้ำมนต์ค่อนขันขึ้นมาเกือบเต็ม คุณหมอยกตั้งแต่บ้านข้างวังกรมพระนครสวรรค์ (วังบางขุนพรหม) ไปจนถึงบ้านคุณควง อภัยวงศ์ ข้างสนามกีฬา น้ำไม่ได้กระฉอกหกเลยแม้แต่น้อย ท่านประคองขันชูมาตลอดเวลาไม่ได้วางบนตักเลย

    เมื่อไปถึงบ้านคุณควง รดน้ำบ่าวสาวแล้วกลับมาขึ้นรถยนต์ จอดนอกบ้านไกลประมาณสองเส้น ฝนตกเม็ดใหญ่ๆ คุณหมอบุญเรือนก็ออกไปตามรถเองโดยไม่มีร่มกาง กลับเข้ามาก็เดินมาอีก คราวนี้ดิฉันได้พิสูจน์ตามร่างกายคุณหมอ ไม่มีเปียกฝนเลย !”

    เรื่องฝนตกไม่เปียกร่างกายคุณเเม่บุญเรือน โตงบุญเติมนี้ เป็นไปหลายครั้งหลายหน ในขณะที่คนอื่นเปียกฝนกัน คุณแม่บุญเรือนร่างกายค่อนข้างร้อนผะผ่าว เสื้อผ้าแห้งสนิททีเดียว

    คราว แต่งงานรดน้ำบ่าวสาวที่บ้านคุณควง อดีตนายกฯ ผู้น่ารักท่านนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งท้าพนันเมื่อสังเกตดินฟ้าอากาศแล้วว่า “วันนั้นจะไม่ตก” คุณแม่บุญเรือนทำนายว่า “เวลารดน้ำ ฝนจะตก”

    ไม่จำเป็นต้องบอก ก็คงทราบได้ว่าคุณแม่บุญเรือนชนะ

    ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของนางธำรุโกศา (แปลก ปานคำ) ผู้ไปช่วยจับสายสิญจน์ หล่อพระพุทธรูปพระพุทโธใหญ่ ที่วัดสัมพันธวงศ์

    “พอ ถูกใช้ให้จับสายสิญจน์ ดิฉันใช้ไม้ก้านร่มพันม้วนเป็นแกนสายสิญจน์เลย คุณนายบุญเรือนพูดว่า ทีนี้โปร่งละ พอจับสายสิญจน์สักประเดี๋ยวก็มีฝนตกลงมามาก พายุซัดฝนสาดมาเปียกดิฉัน คุณนายบุญเรือนออกมาเห็นเข้าก็บอกดิฉันให้กระเถิบหนีฝนเข้ามาข้างใน แต่ดิฉันไม่ยอมลุกหนีฝน คุณนายบุญเรือนจึงพูดว่า “ฝนอย่ามาเปียกแม่แปลกชี ! เขาจะจับสายสิญจน์ ไป ! ไป ! ไป !” พอว่าเท่านั้นลมพัดฝนไปทางอื่นไม่สาดดิฉัน และฝนก็เลยหายไป

    ข้อความ การบอกกล่าวของนางธำรุโกศา ได้พิมพ์ไว้ในประวัติพระพุทโธใหญ่ ซึ่งเมื่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยอง

    ผมมี โอกาสไปชมความงามของพระพุทธรูปที่ถวายนามว่า พระพุทโธใหญ่ มาแล้ว สวยงามมากครับ อยู่ในโบสถ์รูปร่างแปลก ที่มุมโบสถ์จำลองพุทธเจดีย์จากอินเดียมาก่อสร้างไว้ ภายในโบสถ์หลังใหญ่ปูด้วยหินอ่อน อากาศเย็นเฉียบทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศ

    วัดสารนารถฯ เป็นวัดที่กำลังพัฒนา มีเนื้อที่กว้างขวาง นอกจากโบสถ์ที่น่าชมยังมีศาลารูปร่างแปลก ความจริงก็ก่ออิฐถือปูน แต่ทำให้ดูเหมือนกับใช้ซุงมาผ่าซีกทำบันได ฝาก็ทำเหมือนกับใช้ซุงผ่าประดับเหมือนกัน ขนาดของศาลาใหญ่โตมโหฬารทีเดียว

    คุณสุจริต ถาวรสุข ผู้เขียนประวัติของคุณแม่บุญเรือน เล่าถึงตนเองกับคุณแม่บุญเรือนว่า

    “ข้าพเจ้า ได้ไปกราบทำความเคารพท่าน ท่านได้ถามถึงความประสงค์ที่มาหา ข้าพเจ้าก็เลยเล่าถึงความอยากมีโชคดีในการสอบเป็นผู้พิพากษาบ้าง (ข้าพเจ้าได้ผิดหวังในการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาในตอนราวกลางปีนั้น) คุณแม่บุญเรือนบอกว่า เมื่อตั้งใจจริง ใฝ่การกุศลก็ต้องสอบได้ และบอกว่าคราวต่อไปก็สอบได้แล้วละ คำพูดประโยคนั้นซาบซึ้งความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานให้หรืออวยพรให้ หรือท่านมีญาณทราบโดยทางใดหรือไม่อย่างไร เพราะปรากฏว่าในระยะต่อมาอีกไม่เกินหกเดือน นับแต่หลังสอบคราวก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็สอบเป็นผู้พิพากษาสำเร็จ ได้คะแนนอันดับดีเป็นที่สอง”

    [​IMG]

    คุณ แม่บุญเรือน โตงบุญเติม บำเพ็ญเพียรฝึกใจในพระพุทธศาสนา จนบรรลุจตุตถฌานและอภิญญาหก สำเร็จครั้งแรกตั้งแต่บวชเป็นแม่ชีที่วัดสัมพันธวงศ์

    ท่านผู้พิพากษาสุจริต ถาวรสุข บันทึกไว้ว่า

    “ได้ ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรก เมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพัก สถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นเข้านอนไม่หลับจนดึก สามีแลบุตรบุญธรรมหลับ มีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชนึกเบื่อ จึงตั้งจิตอธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐาน ตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองไม่ทราบว่าได้ออกจากห้องทางไหน และเข้าไปในศาลาทางไหน

    ใน ครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ และให้นางเล็ก, นางคำ, นางเทียม ซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนแม่ชีดูเป็นพยาน ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสียในคืนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลาดึกสงัดปีเดียวกันนั้นเอง คุณแม่บุญเรือนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์เข้าไปในศาลาได้เช่น คราวก่อน พวกที่คอยดูก็แปลกใจไปตามๆ กัน

    จนต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้ อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์ พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งองค์ และได้กลับมาตามคำอธิษฐานพร้อมด้วยพระธาตุ การสามารถทำปาฏิหาริย์ดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นได้เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ท่านอธิษฐานเมื่อเข้าสมาธิผ่านที่ปิดล้อม หรือไปที่ใดไกลๆ ได้ในชั่วระยะเวลาลัดมือเดียวในเวลาต่อมา ขณะได้ฌานวิเศษนั้นท่านอายุประมาณสามสิบสามปี”
     
  4. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    [​IMG]

    เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    จากประวัติหลวงตาไสว สิวญาโณ
    ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณแม่บุญเรือน และท่านพุทธทาส

    ๏ สู่ทางธรรม

    แม่แดง-ครูคนแรก

    “แม่ แดง” คนนี้อยู่บ้านใกล้กับอาตมาที่จังหวัดเชียงใหม่ แกเป็นคนดี ธัมมะ ธัมโม และที่บ้านแม่แดงมักมีแม่ชีมาสอนด้วย ตัวแม่แดงเองก็สอนธรรมะพื้นๆ ได้เก่ง เช่น สอนว่าวิธีที่จะไม่โกรธแม่ยายจะทำยังไง ? จะต้องมีขันติ-อดทน เป็นต้น พออาตมากลับมาบ้านที่ลำปาง ก็เอาข้อธรรมที่แม่แดงสอนนั้นมาเขียนติดไว้ในบ้าน ตามประตู หน้าต่างเต็มไปหมด แต่แล้วขันติก็แตก ทนไม่ได้ อาตมาก็โกรธแม่ยายอีก จึงกลับไปเชียงใหม่เพื่อไปหาแม่แดงอีก แต่แม่แดงไม่อยู่ คนที่บ้านบอกว่า “แม่แดงไม่อยู่ ไปกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม (อุบาสิกาที่มีคนนับถือมากในขณะนั้น) ไปที่วัดเจดีย์หลวง” อาตมาจึงตามไป

    คุณแม่บุญเรือน

    คุณ แม่บุญเรือนปกติอยู่กรุงเทพฯ แต่มีคนเชิญท่านมาที่เชียงใหม่ ตอนอาตมาได้พบคุณแม่บุญเรือนที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่นั้น ประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๑ ขณะนั้นอาตมามีอายุราว ๔๔ ปี อาตมาได้เห็นการปฏิบัติของคุณแม่บุญเรือนแล้ว รู้สึกว่าท่านมีฤทธิ์ คือรู้ใจคน ทั้งสามารถแสดงปาฏิหาริย์ทำให้คนเดินกลางฝนได้โดยไม่เปียก หนังสือพิมพ์สมัยนั้นลงข่าวเกรียวกราวมาก

    อาตมารู้สึกศรัทธาคุณแม่ บุญเรือนมาก จึงไปสมัครเป็นลูกศิษย์ ต่อมาภรรยาเมื่อไปเชียงใหม่ก็ตามไปเรียนด้วย แรกๆ ภรรยาก็เรียนกับคุณแม่บุญเรือนด้วยเล็กๆ น้อยๆ จนต่อมาก็เป็นลูกศิษย์ที่คุณแม่บุญเรือนรักใคร่ สนิทสนมกันมาก

    พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    ขณะ ที่อยู่ที่เชียงใหม่ วันหนึ่งอาตมาได้ถามคุณแม่บุญเรือนว่า “พระที่มีปฏิปทาปฏิบัติชอบนั้นมีใครบ้าง ?” ท่านก็บอกว่า “มีหลวงปู่มั่น, เจ้าคุณอุบาลี และท่านอาจารย์พุทธทาส” ซึ่งอาตมาก็ฟังๆ ไปยังงั้นเอง เพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักกับพระทั้งสามองค์ที่ออกนามมานี้ อีกอย่างหนึ่งอาตมาเองก็เคารพในคุณแม่บุญเรือนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว อาตมาเป็นศิษย์ศึกษาธรรมกับคุณแม่บุญเรือนอยู่นานถึง ๑๒ ปี

    สมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ

    ขณะ ที่อาตมายังเป็นศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนนั้น อาตมาก็ยังไปๆ มาๆ เชียงใหม่บ้าง ลำปางบ้าง ส่วนโรคปวดหัวและริดสีดวงทวารของอาตมาก็ยังไม่หาย แถมยังเริ่มเป็นโรคปอดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง อาตมาจึงหันไปฝึกสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ, ยืนหนอ-นั่งหนอ, มีการเดินจงกรมชั่วโมงหนึ่ง นั่งสมาธิหลับตาภาวนาชั่วโมงหนึ่ง ตอนนั้นเขาสอนทำตบะตัวแข็งเลย

    อาตมาเรียนอยู่ถึง ๒ เดือน เอาจริงๆ เลย ! ผลที่ได้รับคือรู้สึกว่าตัวเบา มีปีติสูงมาก อยากให้คนอื่นได้รับเหมือนเราบ้าง ในขณะนั้นครูผู้สอนยังบอกอาตมาว่า “แค่นี้ยังไม่พอ ยังมีอีก” อาตมาก็เรียนได้ดีจนครูผู้สอนยกย่อง จะให้อาตมาเป็นครูช่วยสอนให้ผู้อื่นด้วย แต่อาตมาไม่เอา เรื่องอาตมาเรียนสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ ที่เชียงใหม่นี้ มีคนฟ้องมายังคุณแม่บุญเรือนด้วยน่ะ

    ชักชวนให้พี่สาวศรัทธาในคุณแม่บุญเรือน

    ต่อ มาเมื่อคุณแม่บุญเรือนได้ลงมากรุงเทพฯ อาตมาได้มีจดหมายบอกไปยังพี่สาวแกมแก้ว ซึ่งยังอยู่ที่บ้านบางขุนพรหม ที่กรุงเทพฯ ให้ไปหาคุณแม่บุญเรือนที่บ้านของท่าน ที่ถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ เพราะบ้านอยู่ใกล้กันแค่นั้น โดยอาตมาไปเล่าเรื่องปาฏิหาริย์ของคุณแม่บุญเรือนที่เดินกลางสายฝนได้โดยไม่ เปียกให้พี่สาวฟังด้วย พี่สาวอาตมาซึ่งเรียนจบวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนราชินี พอฟังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟัง ก็ว่า “น้องชายถ้าจะเสียสติเสียแล้ว” แต่ลงท้ายพี่สาวอาตมาก็ไปหาคุณแม่บุญเรือน

    พอคุณแม่บุญเรือนพบพี่ สาวอาตมา ก็พูดว่า “ฉันมีอะไรไม่ดีให้บอกฉัน” พี่สาวได้เล่าให้อาตมาฟังว่า ตัวเขาเองถึงกับสะดุ้งในตอนนั้น ต่อมาพี่สาวอาตมาก็ศรัทธาในคุณแม่บุญเรือนยิ่งกว่าอาตมาเสียอีก

    วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน

    วิธี สอนของคุณแม่บุญเรือน ค่อนข้างดุ รุนแรง ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยทีเดียว เช่นเมื่อราว พ.ศ.๒๕๐๐ ตอนนั้นอาตมามีอายุได้ราว ๕๓ ปีแล้ว เมื่ออาตมาได้เข้ามากรุงเทพฯ และได้แวะมากราบเยี่ยมคุณแม่บุญเรือนในฐานะอาจารย์ ท่านก็ถามเรื่องไปเรียนกัมมัฏฐาน เล่นตบะตัวแข็ง ว่าจริงหรือไม่ ? พออาตมารับว่าจริงเท่านั้นแหละ ท่านก็ลุกขึ้นมากระทืบอาตมา กระทืบในขณะที่อาตมายังนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลายในที่นั้นเลย เมื่อคนกลับไปหมดแล้ว ท่านยังพูดว่า “นายไสวนี่กระดูกเหล็ก ทำเอาเท้าฉันเจ็บ” นี่ ! เป็นยังงั้น

    ต่อมาเมื่ออาตมาได้มาเยี่ยม ท่านอีกที่บ้านพระโขนง ที่หลวงแจ่มวิชาสอนสร้างให้ พออาตมาไปเห็นบ้าน ซึ่งขณะนั้นถนนยังเป็นโคลน อาตมาจึงโทรศัพท์สั่งหินมาคันรถหนึ่ง ให้เขาเอามาถมและเกลี่ยถนนให้พอเดินได้ พอดีเกิดฝนตก ถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ คุณแม่บุญเรือนสั่งให้อาตมาเอาจอบไปเกลี่ยหินกลบตามหลุมตามบ่อนั้น อาตมาไม่เคยจับจอบมาก่อน จึงทำไม่เป็น ท่านก็ตบเอา แล้วว่า “งานแค่นี้ก็ทำไม่เป็น” ตกตอนเช้า ขณะที่อาตมากำลังก้มลงเก็บหินที่กระจายเกลื่อนๆ อยู่ ท่านเดินมาเห็นเข้าก็เตะก้นอีกที

    อีกหนหนึ่ง อาตมาไปเยี่ยมท่าน ขณะนั้นมีคนนั่งกันเต็ม ท่านบอกให้อาตมาไปเอาดอกไม้มาให้คุณหญิงคุณนายจัดแจกัน พอดอกไม้เหลือ ท่านก็สั่งอาตมา “เอาไปไว้ที่เก่า” อาตมาก็เอาไปวางที่เก่า

    สักครู่ ท่านพาคุณหญิงคุณนายผ่านไปพบเข้า ก็ดุว่าอาตมาว่า “ทำไมเอาดอกไม้มาวางไว้ตรงนี้ ?” อาตมาก็บอกท่านว่า “ที่เก่ามันอยู่ตรงนี้” เท่านั้นแหละท่านตบอาตมาทันที เห็นเขียวๆ แดงๆ ตาลายเลย พอท่านทำท่าจะตบครั้งที่ ๒, อาตมาก็เอนตัวหลบ ท่านก็ว่า “จะสู้ยังงั้นรึ ?”

    อาตมาก็นิ่งเฉยเสีย พออาตมาเดินห่างไปหน่อย ท่านก็ประกาศบอกใครๆ ว่า “ฉันสอนลูกศิษย์ของฉันยังงี้” ในตอนนั้นอาตมาไม่เข้าใจ, ต่อมาภายหลังเมื่อมาอยู่ที่สวนโมกข์แล้ว จึงเข้าใจว่า ท่านสอนแบบเซ็นด้วยวิธีฉับพลัน กล่าวคือ ขณะนั้นลูกศิษย์ที่มาหาท่าน คุยกันแซ็ดไปหมด, พอคุณแม่บุญเรือนตบอาตมาเท่านั้น เสียงเงียบกริบลงทันทีเลย, เป็นการข่มขวัญ หรือเชือดคอไก่ให้ลิงดูนั่นเอง

    ความเคารพในครูบาอาจารย์

    ขณะ ที่อาตมาถูกคุณแม่บุญเรือนตบตีอย่างรุนแรงนั้น อาตมาก็มิได้มีอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด เนื่องจากมีความเคารพว่าท่านเป็นอาจารย์ ท่านได้แนะนำสั่งสอนมา อาตมาได้ความรู้จากคุณแม่บุญเรือนหลายอย่าง จนตั้งตัวมาได้ถึงปานนี้

    แต่ทว่าโรคภัยไข้เจ็บก็ยังเบียดเบียน ไม่ว่าจะเป็นโรคปวดหัว ริดสีดวงทวาร โรคปอด และยังมีโรคต่อมลูกหมากโตเพิ่มเข้ามาอีกด้วย

    [​IMG]
    รูปหล่อรุ่นแรกคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม


    เมื่อทำไร่มันฝรั่ง

    ต่อ มาแม่แดง ซึ่งเป็นครูคนแรกของอาตมานั้น, เขาเป็นเศรษฐี ลูกเขย ๒ คนของเขาไปทำไร่มันฝรั่งที่เชียงใหม่ กิโลเมตรที่ ๓๘ มีเนื้อที่ ๒๓๔ ไร่ ขณะนั้นยังไม่มีใครปลูกมันฝรั่งในเมืองไทย ปีแรกก็ขาดทุน แม่แดงบอกว่าจะเลิกทำ อาตมาก็เลยอาสาว่า อย่าเลิกเลย อาตมาจะไปทำให้ พออาตมาไปถึงที่ไร่ ก็เห็นเจ้าของไร่คือลูกเขยแม่แดง แต่งตัวคาวบอย มีรถแทรกเตอร์ใช้ มีคนงานในไร่ ๔๐ คน พอตกเย็นก็นั่งกินเหล้ากัน อาตมาจึงมองเห็นเหตุที่มาของการขาดทุน และได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงต่างๆ

    ในขั้นแรกก็คือการตัดคนงานออกเสีย ๒๐ คน เหลือไว้แค่ ๒๐ คน เพราะจำนวนคนเกินกว่างานมาก นี่ก็เป็นการลดต้นทุนอย่างหนึ่ง

    ส่วน เรื่องที่มีขโมยมาลักขุดมันนั้น อาตมาก็ต้องค่อยๆ แก้ไข สอบสวนดู โดยคอยสังเกตจนรู้ว่า ขโมยที่เข้ามาลักขุดมันนั้นเป็นชาวบ้านแถบนั้น เมื่อเจ้าของไร่เอาหัวมันฝังดินไว้เพื่อปลูก แล้วก็ไม่ได้เอาใจใส่ดูแล ชาวบ้านจึงมาลักขุดขนเอาหัวมันเหล่านั้นไป เจ้าของก็ไม่รู้ ผลผลิตจึงออกมาไม่สมกับที่เจ้าของคาดหมาย เพราะปลูกเท่าไร ต้นมันก็ไม่งอกเป็นต้นสักที อาตมาขุดดูจึงรู้ว่า หัวมันถูกขโมยลักขุดเอาไปหมดแล้ว

    อาตมาต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการแก้ไข คือเริ่มเข้าไปทำความรู้จัก คุ้นเคย เข้าหาคนเฒ่าคนแก่กับเด็ก และทำความเข้าใจกับชาวบ้าน โดยบอกว่า “ถ้าจะเอาอะไร ขอให้บอก” เราปลูกอะไรก็ให้พันธุ์เขาไปปลูกบ้าง จากนั้นก็ทำตู้ยามล้อมรอบที่ไร่ มีที่พักของอาตมาเองอยู่ตรงกลางไร่ เพื่อจะได้ดูแลได้รอบทิศ

    กลาง คืน พอฉายไฟไปที่ตู้ยาม ถ้ายามไม่ตอบ จะเป็นเพราะหลับหรือเมาก็ตาม อาตมาก็ลงไปที่ตู้ยาม แล้วยิงปืนออกไป ซึ่งเท่ากับขู่ชาวบ้านไปด้วย สำหรับคนงานคนไหนอยู่ยามกลางคืน รุ่งขึ้นให้หยุดพัก ๑ วัน การแก้ไขปัญหาหลายๆ อย่างนี้ ทำให้กิจการไร่มันหายจากการขาดทุนได้ เพราะการควบคุมดูแลอย่างเอาจริง และการประหยัดค่าใช้จ่าย ตลอดจนการมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้านนั่นเอง

    การพบท่านพุทธทาสเป็นครั้งแรก

    เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ขณะที่อาตมาดูแลการปลูกมันฝรั่งนั้น, วันหนึ่งคุณประสิทธิ์ พุ่มชูศรี เจ้าของกิจการไร่ชาระมิงค์ มาบอกอาตมาว่า “ท่านอาจารย์พุทธทาส จากสวนโมกข์ ไชยา มาพักที่ไร่ จะไปพบท่านไหม ?” อาตมารีบตอบว่า “ไป ไป” ก็ตามคุณประสิทธิ์ไปกราบท่าน พออาตมาเห็นท่านอาจารย์พุทธทาส ก็อยากเป็นพระอรหันต์กับเขาบ้าง อาตมาได้บอกกับท่านว่า อาตมาจะไปสวนโมกข์ ท่านก็ตอบว่า “ได้ ได้”

    หมดห่วงทางโลก

    พอดีในช่วงนั้นแม่ แดง ผู้ร่วมกิจการทำไร่มันฝรั่งมาตายลง, คุณแม่บุญเรือนก็บอกว่าหยุดช่วยเขาได้แล้ว ได้ตอบแทนคุณเขามามากพอแล้ว อีกทั้ง อาตมาก็ยังไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ อาตมาจึงเลิกทำ ไม่อยากทำอะไรอีกต่อไป อาตมาได้เห็นทุกข์ทางกายทางใจมามากแล้ว อีกอย่างหนึ่งอาตมาก็รู้สึกหมดห่วงในเรื่องครอบครัว ลูกและภรรยา เมื่อลูกๆ ที่อาตมาได้ขอมาเลี้ยงไว้ทีแรก ๔ คนก็ไปหมด ไปมีผัวแล้วได้ลูกมาอีก ๖ คน เป็นผู้หญิง ๕ ผู้ชาย ๑ อาตมาก็ต้องเลี้ยงไว้อีก จนผู้หญิง ๕ คนได้ปริญญาเป็นครูหมดทุกคน ผู้ชายส่งให้เรียนอัสสัมชัญ ลูกๆ ทุกคนตั้งตัวได้หมด (ขณะนี้พ.ศ.๒๕๓๙ ตายไปแล้ว ๑ คน) เป็นอันว่าอาตมาหมดห่วงเรื่องลูก

    เหตุที่ไปสวนโมกข์

    เหตุ ที่อาตมาคิดจะไปสวนโมกข์ เพราะคิดว่าเรียนกับคุณแม่บุญเรือนมา ๑๒ ปีแล้ว ยังไม่หมดทุกข์สักที พอพบท่านพุทธทาสก็อยากเป็นพระอรหันต์กับเขาบ้าง ดังนั้น ก่อนจะมาสวนโมกข์ อาตมาได้ไปขออนุญาตคุณแม่บุญเรือนก่อน

    ไปสวนโมกข์ครั้งแรก

    พอ ปี พ.ศ.๒๕๐๑ อาตมาเดินทางโดยรถไฟ มาลงสถานีไชยา จากนั้นก็เดินเท้ามายังสวนโมกข์ ระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร สมัยนั้นยังไม่มีรถรับส่ง เมื่ออาตมาไปถึงสวนโมกข์ วัดธารน้ำไหล อาตมาไม่พบท่านอาจารย์พุทธทาส, ท่านไม่อยู่ ไปกิจที่อื่น อาตมาจึงกลับมากรุงเทพฯ

    [​IMG]

    เกิดความสงสัยในคุณแม่บุญเรือน

    อาตมา กลับจากสวนโมกข์ ก็ไปหาคุณแม่บุญเรือนอีก กลับไปเป็นลูกศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนตามเดิม คุณแม่บุญเรือนดูอาการของอาตมาแล้วพูดว่า “มีอะไรให้บอกแม่” อาตมาจึงถามสวนไปว่า “ก็คุณแม่มีญาณวิเศษถึงขั้นรู้ใจคนแล้ว ทำไมจึงไม่รู้ใจผมว่าอยากมาสวนโมกข์ เพราะอะไร ?” คุณแม่บุญเรือนก็ว่า “เดี๋ยวนี้เครื่องวิทยุ ๒ เครื่องนี้ มันรับส่งกันไม่ได้อีกแล้ว เครื่องส่งส่งไป แต่เครื่องรับมันไม่ยอมรับ”

    ครั้นพออาตมาบอกท่าน ว่า “อยากไปหาท่านพุทธทาส” คุณแม่บุญเรือนก็ว่า “พระนิพพาน แม่ก็สอนได้ ไม่ไปได้ไหม ?” ในฐานะที่ท่านมีบุญคุณ อาตมาก็เลยคิดว่า เอาปัจจุบันไว้ก่อน คือเรียนกับคุณแม่บุญเรือนต่อไปอีกระยะหนึ่ง ก็สุดแล้วแต่ท่านจะสอนอะไร ดังนั้น ทุกวันอาตมาจะออกจากบ้านบางขุนพรหม ไปหาท่านที่บ้านพระโขนง, ส่วนพี่สาวจะไปวันอาทิตย์ งานที่ไปทำก็คือ ไปรับใช้ทุกอย่างสุดแต่ท่านจะใช้

    ไปสวนโมกข์ครั้งที่สอง

    อย่างไรก็ดี โรคประจำตัวต่างๆ ที่อาตมาเป็นอยู่ก็ยังไม่หาย ทั้งความคิดอยากจะเป็นพระอรหันต์ยิ่งแรงกล้าขึ้น ดังนั้นในปี พ.ศ.๒๕๐๓ ขณะนั้นอาตมามีอายุได้ ๕๖ ปีแล้ว, อาตมาจึงเดินทางจากกรุงเทพฯ มาสวนโมกข์อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่บอกใคร แต่ก็ไม่พบท่านอาจารย์พุทธทาสอีก ท่านไปปฏิบัติศาสนกิจตามโปรแกรมของท่าน

    การมาครั้งนี้อาตมาไม่คิดจะ กลับอีกแล้ว ตั้งใจจะอยู่รอจนพบท่านให้ได้ก่อน อาตมาได้พักอยู่ที่สวนโมกข์ (ปัจจุบัน) ช่วยงานเก็บกวาดวัด ปฏิบัติรับใช้พระ ส่วนอาหารนั้นยังต้องระวังเพราะโรคริดสีดวงทวารยังไม่หาย จึงต้องไปติดต่อทางโรงครัวให้ทำอาหารที่ไม่แสลงโรคให้

    เมื่อเป็นอุบาสกที่สวนโมกข์

    อาตมา อยู่ที่สวนโมกข์ไม่นาน, ท่านอาจารย์พุทธทาสก็กลับมา ท่านไม่ถามอะไรอาตมาสักคำ ว่าไปยังไงมายังไง อาตมาคิดว่าท่านอาจารย์คงจะรู้เรื่องราวของอาตมาจากคุณประสิทธิ์ พุ่มชูศรี มาบ้าง ตั้งแต่ครั้งที่ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว

    ท่านบอกอาตมาเพียงว่า “ให้ปฏิบัติตนเป็นอุบาสก รับประทานมื้อเดียว กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนตายแล้ว”

    ต่อสู้อย่างหนักกับอาหารแสลงโรค

    พอ ท่านอาจารย์พุทธทาสกลับมาถึงสวนโมกข์วันแรก อาตมาก็โดนดีทีเดียว คือระหว่างที่พระฉันภัตตาหาร ท่านให้พระที่นั่งองค์สุดท้ายตักข้าวให้อาตมาจานหนึ่ง ข้าวจานนั้นมีแต่น้ำแกงเหลืองราดมาให้เท่านั้นแหละ เผ็ดแทบตาย พออาตมาตักข้าวเข้าปาก โอ้โฮ ! รู้สึกร้อนเหมือนไฟ ต้องแอบคายทิ้ง แล้วเอาข้าวไปให้ปลากิน ซึ่งแต่เดิมลำธารในวัดธารน้ำไหลมีน้ำไหลแรง มีปลาอาศัยอยู่ด้วย เป็นอันว่าอาตมาต้องอดอาหารในวันแรก

    ตอนเย็นได้ ดื่มน้ำปานะ คือชาซึ่งกลิ่นเหม็นยังกะอะไรดี กับน้ำร้อน น้ำตาล ๑ ก้อน, ต้องใส่น้ำแค่ครึ่งแก้วเท่านั้นจึงจะมีรสหวาน แล้วค่อยเติมน้ำทีหลัง

    รุ่ง ขึ้นวันที่สองก็เจอแบบนี้อีก คือข้างราดแกงเหลืองเผ็ดจัด ก็เลยกินไม่ได้อีก เอาข้าวไปให้ปลากินแทน ตัวเองอด พอถึงวันที่สาม ชักหิวแล้วซิ ทนไม่ไหว จึงแอบไปกระซิบบอกพระที่ตักอาหารองค์สุดท้าย โดยบอกว่า “ขอแต่ปลา ไม่เอาน้ำแกง” ปรากฏว่า วันนั้นต้องกินปลากระเบน ซึ่งเป็นของแสลงต่อโรคริดสีดวงอย่างยิ่ง

    ปลากระเบนนี้ พระสวนโมกข์ตั้งชื่อว่า “ไก่ทะเล” และก็เป็นอาหารหลักของที่นี่เกือบจะเป็นประจำทุกวัน เมื่ออาตมากินเข้าไปแล้ว มันก็ไปออกอาการทางริดสีดวงทวารจนเลือดไหลทรมานมาก อาตมาต้องต่อสู้อย่างหนัก แต่ก็ไม่เคยบอกท่านอาจารย์พุทธทาสให้ทราบ คิดแต่ว่า “ต้องสู้ให้ได้” แม้จะลำบากก็ “สู้” เพราะอยากได้ธรรมะ อยู่ที่ว่าใครจะสู้ได้แค่ไหน อีกอย่างหนึ่งสมัยที่อาตมาอยู่กับคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านก็ใช้งานทุกอย่างเลย บางทีเรียก “ไอ้” ก็ยังมี อาตมาจึงได้ความอดทนมาจากท่าน เมื่อมาพบความยากลำบากที่สวนโมกข์ อาตมาจึงไม่รู้สึกอะไรนัก ไม่รู้สึกว่าต้องทน

    การมาอยู่ที่สวนโมกข์ นี้ ภรรยาของอาตมาก็ไม่ว่าอะไร เพราะทรัพย์สินของอาตมาทั้งหมดก็ให้เธอเอาไป อาตมาเอาเงินติดตัวมาก้อนหนึ่งเท่านั้น

    ความกระจ่างในการปฏิบัติธรรม

    ตอน เป็นอุบาสกก่อนบวช ๓ เดือน อาตมาก็ได้ทำสมาธิจนตัวเกร็ง โดยบอกตัวเองว่า “จิตไป ดึงมาเสีย, จิตไป ดึงมาเสีย พยายามไม่นึกไม่คิด” ท่านอาจารย์พุทธทาสรู้เข้าก็ว่าทันทีเลยว่า “จิตเกิดดับ ห้ามได้รึ ? เมื่อเกิดผัสสะ อย่าให้เลยไปจนเกิดเวทนา เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยินซิ” แค่นี้อาตมาก็เข้าใจเลย ความคิดว่า ตัวอยากเป็นพระอรหันต์, มัวหันไป หันมา อยู่นั่นแหละ ไม่เอาแล้ว !!

    งานแก้โรคภัยไข้เจ็บ

    โรค ที่เป็นอยู่อาตมาก็ไม่ได้กินยาอะไร การแก้โรคของอาตมาคือการทำงานให้หนัก ช่วยงานวัด มีงานทำตลอดระหว่างเป็นอุบาสก ๓ เดือน ก็เลยลืมๆ ไป ไม่คิดว่าตัวเจ็บป่วย

    [​IMG]

    แจ้งข่าวการบวชกับคุณแม่บุญเรือน

    ก่อน จะบวช อาตมาได้เขียนจดหมายไปถึงพี่สาวบอกว่า จะบวช คุณแม่บุญเรือนสั่งให้พี่สาวมาบอกอาตมาว่า “ถ้าไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่ากลับมาหาแม่” ท่านเล่นไม้ตายแบบนี้เลย เท่ากับบังคับให้อาตมาต้องเอาจริง

    ต่อมาอีกหลายปี คือวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๗ ก่อนที่คุณแม่บุญเรือนจะสิ้น (ตาย) ก็สั่งพี่สาวให้เขียนจดหมายมาบอกอาตมาว่า “ให้พระอยู่ไปนานๆ นะ” เท่านั้นแหละรู้กัน
     
  5. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ใบตั้งน้ำอธิษฐานของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด กรุงเทพ

    การ เตรียมน้ำ ให้หาน้ำสุกหรือน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้ ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดให้เรียบร้อยมิให้ฝุ่นละอองหรือแมลงลงไปในน้ำได้ การตั้งน้ำแต่ละครั้งให้มีน้ำมากพอที่จะใช้ดื่มได้ตลอดสัปดาห์
    เวลาในการตั้งน้ำ ให้ตั้งวันเสาร์เวลาเช้า ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป แต่ต้องก่อนบ่ายสองโมงเย็น
    คำอธิษฐาน ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐานดังต่อไปนี้
    ข้าพเจ้า ตั้งน้ำไว้ นางบุญเรือนเป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้น้ำนี้เป็นยาทิพย์...(นอกจากนี้พูดเอาเอง ตามชอบใจ)...”

    เวลาที่ใช้ดื่มได้ ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. ของวันอาทิตย์เป็นต้นไป นำน้ำนั้นมาดื่มได้เป็นน้ำอธิษฐาน ย่อมมีสรรพคุณดังคำอธิษฐานนั่นแล มีลักษณะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นยาทิพย์

    ของที่ให้อธิษฐานเองนอกจากน้ำ ศิษย์บางท่านได้กล่าวว่าความจริงยังมีไพลอีกอย่างหนึ่งที่ท่านอนุญาตให้ลูก หลานหรือศิษย์อธิษฐานเองได้ มีลักษณะเช่นเดียวกับการอธิษฐานน้ำ

    วิธีใช้ของอธิษฐานบางอย่าง ของอธิษฐานทุกชนิดย่อมใช้ประโยชน์ตามของนั้น ๆ แต่มีระเบียบในใบตั้งน้ำของคุณแม่กล่าวถึงรายการพิเศษอยู่บ้าง ขอนำมาลงไว้ ท่านกล่าวว่า “ปูนต้องนำมาให้อธิษฐานให้ พริกไทยใช้รับประทานวันละเม็ด ไพลใช้รับประทานครั้งหนึ่งเท่าศีรษะมือ โขลกให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำอธิษฐานพอสมควร ถ้าเป็นบิดเติมน้ำปูนใส ถ้าท้องผูกเติมเกลือแล้วไม่ต้องใช้น้ำปูนให้ใช้น้ำอธิษฐานค่อนแก้วดื่มก่อน นอนจะถ่ายได้”

    คำอธิษฐานทั่วไป “ข้าพเจ้าสมมุติว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลของเหล่านี้ให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทิพย์ ใช้รักษาโรคให้หายทุกชนิด ให้มีแนวชีวิตรุ่งโรจน์ ให้อายุยืน” (ปรารถนาสิ่งใดให้อธิษฐานตามไปด้วย)

    ผู้เป็นลูกหลานและศิษย์ของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม หรือผู้เคารพเลื่อมใสนั้น แม้คุณแม่บุญเรือนจะวายชนม์ไปแล้ว ก็ยังคงตั้งน้ำอธิษฐานให้มีความศักดิ์สิทธิ์ใช้รับประทานได้เช่นเดิม ขอทุกท่านที่เคยทำไปแล้วก็โปรดทำต่อไป ส่วนผู้ไม่เคยทำก็ได้โปรดลองทำดูติดต่อกันไปหลาย ๆ เสาร์ แล้วท่านจะประหลาดใจในผลของน้ำอธิษฐานอย่างน่าพิศวงทีเดียว เช่น เด็กในบ้านที่เคยเจ็บป่วยก็จะหายเป็นปลิดทิ้งอย่างคาดไม่ถึง

    ขออำนาจของพระรัตนตรัยจงเป็นที่พึ่ง ขออัญเชิญบารมีอันสูงยิ่งของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
    จง สถิตสถาพรอยู่กับท่านทั้งหลาย แม้ประสงค์สิ่งใดจงสมประสงค์ทุกประการ และถึงพร้อมด้วยธรรมสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกท่าน เทอญ ฯ
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  6. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    พระคาถาพระฉิม(พระสีวลี)
    นะโม 3 จบ แล้วว่า
    " นะชาลีติ ฉิมพาลี จะ มหาเถโร สุวรรณะมามา โภชนะมามา วัตถุวัตถามามา พลาพลังมามา โภคะมามา มหาลาโภมามา สัพเพชะนา พหูชะนา ภวันตุเม ฯ"

    พระ คาถานี้คุณแม่บุญเรือนได้จากสมาธิเมื่อวันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ (บางกระแสว่า เป็นคาถาที่ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์นำมาถวายแด่คุณแม่บุญเรือน) ท่านให้ สวดตามกำลังวันเพื่อบูชาพระสิวลีมหาเถระหรือพระฉิมพลี จะเป็นมหาลาภ มหาโชค มหาโภคทรัพย์อย่างยิ่ง
    หมายเหตุ , กำลังวันมี วันอาทิตย์ ๖ วันจันทร์ ๑๕ วันอังคาร ๘ วันพุธ ๑๗ วันพฤหัสบดี ๑๙ วันศุกร์ ๒๑ และวันเสาร์ ๑๐
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  7. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    หมายเหตุ , คุณป้ามานิดา สุขสถิตย์ คู่ชีวิตคุณชินพร (มารดาคุณป้ามานิดานี้เป็นศิษย์คุณแม่บุญเรือนโดยตรง)เคยเล่าให้ฟังครั้ง หนึ่งว่า
    "คาถาพระฉิมพลีของคุณ แม่บุญเรือนนี้ มีคนรู้จักคนหนึ่ง เดิมก็มิได้มั่งมีอะไร ต่อมา ได้มาสวดคาถานี้เข้า ก็มีเงินมีทองมีโชคมีลาภขึ้นมาอย่างผิดสังเกต แต่พอเกิดความขี้เกียจ หยุดสวด ก็แป้กลงคือเก่า..!!!"
    ด้วยเหตุฉะนี้ หากท่านต้องการ"มรรค"หรือ"ผล"กันจริงๆ ก็ต้องทำกัน"จริงๆ"สมควรแก่เหตุด้วย จึงจะสมมาดปรารถนาโดยเที่ยงแท้ หาข้อสงสัยบ่มิได้เลยแลฯ <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  8. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    "พุทธวงศ์"เคยอ่านในนิตยสารพระเครื่อง ยุคเก่าเล่มหนึ่ง(มหาโพธิ์) ระบุไว้อย่างชัดเจน ถึงเหตุผลของคุณแม่บุญเรือนที่ไม่ยอมบวชเป็นแม่ชีอย่างทั่วๆไปว่า
    "ถ้า ท่านบวชเป็นชีตามปกติแล้ว ท่านก็ต้องอยู่ในกฏของมหาเถรสมาคม ซึ่งจะทำให้การใช้ฤทธิ์อภิญญาช่วยเหลือคนของท่านเป็นไปได้โดยยาก คุณแม่บุญเรือนจึงถือแค่ศีล 5 แต่โกนผมใส่เสื้อสีเทานุ่งผ้าถุงสีดำแบบฆราวาสนักปฏิบัติธรรมทั่วไปเท่า นั้น"
    ด้วยเหตุนี้ จึงมีบันทึกของลูกศิษย์ใกล้ชิดไว้อย่างชัดเจน ถึงการที่คุณแม่บุญเรือนจะมา"รับประทานอาหารเย็น"ด้วยอยู่บ่อยครั้ง(ถ้าถือศีล 8 จะรับประทานไม่ได้) อันเป็นข้อน่าคิดอย่างยิ่งว่า ขนาดคุณแม่บุญเรือนถือเพียงศีล 5 ยังสามารถปฏิบัติจิตจนสำเร็จมรรคผลอภิญญาปาฏิหาริย์ได้ถึงขนาดนี้ นับได้ว่า คุณแม่บุญเรือนนับเป็นอัจฉริยสตรีชั้นพิเศษ เป็นวิสามัญบุคคลที่น่ายกย่องบูชาและยึดถือเป็นแบบอย่างแก่บุคคลทั่วไปที่ ไม่อาจบวชพระหรือบวชชีโดยสะดวกได้เป็นอย่างยิ่งโดยแท้เลยทีเดียว..!!!!!!
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
     
  9. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    มหาอภินิหารนิโรธสมาบัติ(ของจริง) คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม สมัยนี้ เราท่านทั้งหลายอาจจะได้ยินข่าวว่า มีพระองค์นั้น มีครูบาองค์นี้เข้านิโรธสมาบัติ หรือ นิโรธกรรม กันให้มากมายหลายที่หลายแห่งกันเสียเหลือเกิน
    จะเป็น นิโรธสมาบัติ (ของจริง) เพื่อความดับสนิทแห่งสัญญาอารมณ์ทั้งปวง ปานประหนึ่ง เข้านิพพานทั้งเป็น หรือเป็นเพียง นิโรธสมบัติ (แบบหลอกๆ) โดยเลียนชื่อและ ทำท่าให้ดูขลังน่าเลื่อมใส แล้วได้ สมบัติ (เงินทอง)จากผู้ศรัทธาที่หลงเอามาให้กันหรือเปล่าล่ะจ๊ะ?????????????
    ก็เมื่อว่าเพียงนี้ ก็อยากถามแต่ละคนละท่านก่อนเลยก็ได้ว่า อันนิโรธสมาบัติที่เป็น ของจริงของแท้นั้น จริงๆแล้ว เป็นไฉน?????
    และคนหรือพระที่จะเข้า นิโรธสมาบัติ(ของจริง)ได้นั้น ต้องมี คุณสมบัติเป็นประการใดบ้าง?????
    แต่.....เชื่อได้เหลือเกินว่า ในคนร้อยคน ที่จะรู้ลึกถึงเรื่องนี้จริงๆและตอบได้ถูกต้อง คงมีไม่เกิน 1- 5 คนเป็นแน่......
    เพราะอันว่า โคทายนั้น พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) วัดญาณเวสกวัน นครปฐม พระนักปราชญ์แห่งสยามประเทศเคยวิพากษ์เอาไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า
    ไม่มีนิสัยในการแสวงหาความรู้นั่นแล....
    แถมต่อมความจำ ยัง หลบในเสียอีกต่างหากด้วย..
    ก็เมื่อ ไม่มีนิสัยในการแสวงหาความรู้ และเมื่อ เจ็บแล้ว ยังไม่จำอีกต่างหาก ก็เลยต้องถูกคนที่ รู้มากกว่า แต่ ใจต่ำ ทั้งในฝ่าย โลกย์และ อธรรม เล่นงาน หลอกและลวง ล้วงกระเป๋ากันจนกลวงโบ๋ซีดแล้วซีดอีกไม่รู้จักจบสิ้นไปได้....
    เลยไม่รู้ว่า จะสมวอเตอร์เฟซ ดี หรือ สงสารดีนะเนี่ย???????
    แต่เอาเถอะ...หน้าที่ของข้าเจ้า ก็คือการทำเป็น ดวงตา หรือ แว่นแก้ว ส่องให้ผู้ไม่รู้ได้รู้ ผู้ไม่เคยเห็นให้ได้เห็น ผู้ไม่เคยทราบให้ได้ทราบ.......อันเป็น ธรรมทานและ วิทยาทาน ซึ่งมีอานิสงส์อันยิ่งเท่านั้น
    แต่เมื่อบอกแล้ว รู้แล้ว ยังจะ ใจง่าย ให้เขา หลอกต่อไปอีก ก็คงต้องยกให้เป็น เวรกรรมของใครก็ของมันก็แล้วกันเด้อ...!!!!!!!!!

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"> <tbody> <tr> <td>
    " หมายของคำว่า "นิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" "
    </td></tr></tbody></table>​

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="90%"> <tbody> <tr> <td> ตามความหมายของคำว่า "นิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" นั้น เป็นการเข้าฌานสมบัติอันสูงส่ง เป็นฌานลำดับที่ 9 ดังนี้

    1. ปฐมฌาน ฌานที่
    1
    2. ทุติยฌาน ฌานที่
    2
    3. ตติยฌาน ฌานที่
    3
    4. จตุตถฌาน ฌานที่
    4
    5. ปัญจมฌาน ฌานที่
    5
    6. ฉัฏฐมฌาน ฌานที่
    6
    7. สัตตมฌาน ฌานที่
    7
    8. อัฏฐมฌาน ฌานที่ 8 และ

    9. นิโรธฌาน ฌานที่ 9 หรือนิโรธสมาบัติ


    เมื่อ เข้าสู่องค์ฌานลำดับที่ 9 นี้ กายสังขารและจิตตสังขารจะระงับไป คือแทบไม่มีลมหายใจ ไม่มีความรู้สึกทางกายและทางใจ แต่ก็ไม่ใช่พระนิพพาน สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่สามารถเข้า "นิโรธสมาบัติ" ได้นั้น พระบาลีระบุว่า

    "ต้องเป็นพระอนาคามีและพระอรหันต์" เท่านั้น ต่ำกว่านั้นไม่สามารถเข้าได้

    พระบาลีหลายแห่งยังระบุอานิสงส์ของการเข้าฌานสมาบัติไว้อีกว่า

    "เป็น การพักผ่อนของพระอริยเจ้า" สามารถระงับทุกขเวทนาทางกาย ฌานสมาบัตินี้สามารถเข้าได้นานสุดเพียง 7 วัน เพราะร่างกายของคนเราจะทนอดทนกลั้นไม่กินข้าว ไม่หายใจ ไม่รับรู้อะไรเลยนั้น ฝืนธรรมชาติได้เพียง 7 วัน

    และ เมื่อพระอริยบุคคลท่านนั้นออกจากฌานสมาบัติแล้ว ก็จะเกิดความหิวขึ้นมา (เพราะว่าอดข้าวมาหลายวัน) บุคคลผู้ใดได้ให้อาหารแก่พระอริยบุคคลผู้แรกออกจากฌานสมาบัติเช่นนี้ จะได้รับอานิสงส์ใหญ่หลวง เทียบเท่าระดับจักรพรรดิสมบัติ มีสวรรค์และพระนิพพานเป็นเบื้องหน้า

    </td></tr></tbody></table>​



    คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่๔

    นิโรธสมาบัติวิถี

    การ เข้านิโรธสมาบัติ เหมือนฝึกนิพพาน เข้าสู่ความดับสนิทแห่งนามขันธ์ โดยปราศจากอันตรายใด ๆ เป็นมหาสันติสุขอันยอดเยี่ยม ดังนั้นพระอริยเจ้าจึงนิยม เข้าผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติด้วยศรัทธา และฉันทะในอมตรสนั้น จนกว่าจะ นิพพาน

    ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดังจะกล่าวต่อไป นี้ คือ

    คุณสมบัติ คือ

    ๑. ต้องเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์
    ๒. ต้องได้ฌานสมาบัติทั้ง ๘ กล่าวคือ ต้องได้รูปฌาน และ อรูปฌานด้วย ทุกฌาน
    ๓. ต้องมีวสี ชำนาญคล่องแคล่วในสัมปทา คือ ถึงพร้อมสี่ประการ ได้แก่
    ก. มีสมถพละ และวิปัสสนาพละ คือ มีสมาธิ และปัญญาเป็นกำลัง ชำนาญ
    ข. ชำนาญในการระงับกายสังขาร (คือลมหายใจเข้าออก) ชำนาญใน การระงับ วจีสังขาร (คือ วิตก วิจาร ที่ปรุงแต่งวาจา) ชำนาญในการ ระงับจิตตสังขาร (คือสัญญา และเวทนาที่ทำให้เจตนาปรุงแต่งจิต)
    ค. ชำนาญใน โสฬสญาณ (คือ ญาณทั้ง ๑๖)
    ง. ชำนาญใน ฌานสมาบัติ ๘ มาก่อน
    ดัง นี้จะเห็นได้ว่า การเข้านิโรธสมาบัติ จำเป็นต้องใช้กำลังทั้ง ๒ ประการ คือ กำลังสมถภาวนา ต้องถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และกำลังวิปัสสนาก็ต้องถึง ตติยมัคคเป็นอย่างต่ำ กล่าวคือ ต้องใช้ทั้งกำลังสมาธิ และกำลังปัญญาควบคู่กันด้วย
    ๔. ต้องเป็นบุคคลในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (คือ ปัญจโวการภูมิ) เพราะในอรูปภูมิ เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ด้วยเหตุว่าไม่มีรูปฌาน พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ ที่ได้สมาบัติทั้ง๘ อันเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดังกล่าวแล้ว

    เมื่อจะเข้านิโรธสมาบัตินั้น ต้องกระทำดังนี้

    (๑) เข้าปฐมฌาน มีกัมมัฏฐานใดกัมมัฏฐานหนึ่ง ที่ตนได้มาแล้วเป็นอารมณ์ ปฐมฌานกุสลจิตสำหรับพระอนาคามี หรือ ปฐมฌานกิริยาจิตสำหรับพระอรหันต์ ก็เกิดขึ้น ๑ ขณะ
    (๒) เมื่อออกจากปฐมฌานแล้ว ต้องพิจารณาองค์ฌาน โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    (๓) เข้าทุติยฌาน ฌานจิตก็เกิด ๑ ขณะ
    (๔) เข้าปัจจเวกขณวิถี
    (๕) เข้าตติยฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
    (๖) เข้าปัจจเวกขณวิถี
    (๗) เข้าจตุตถฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
    (๘) เข้าปัจจเวกขณวิถี
    (๙) เข้าปัญจมฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
    (๑๐) เข้าปัจจเวกขณวิถี
    (๑๑) เข้าอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
    (๑๒) เข้าปัจจเวกขณวิถี
    (๑๓) เข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
    (๑๔) เข้าปัจจเวกขณวิถี
    (๑๕) เข้าอากิญจัญญายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
    (๑๖) เมื่อออกจาก อากิญจัญญายตนฌานแล้ว ไม่ต้องเข้าปัจจเวกขณวิถี แต่เข้าอธิฏฐานวิถี คือ ทำ บุพพกิจ ๔ อย่าง ได้แก่
    ก. นานาพทฺธ อวิโกปน อธิษฐานว่า บริขารต่าง ๆ ตลอดจนร่างกาย ของข้าพเจ้า ขออย่าให้เป็นอันตราย
    ข. สงฺฆปฏิมานน อธิษฐานว่า เมื่อสงฆ์ประชุมกัน ต้องการตัวข้าพเจ้า ขอให้ออกได้ โดยมิต้องให้มาตาม
    ค. สตฺถุปกฺโกสน อธิษฐานว่า ถ้าพระพุทธองค์มีพระประสงค์ตัว ข้าพเจ้า ก็ขอให้ออกได้ โดยมิต้องให้มีผู้มาตาม
    ง. อทฺธาน ปริจฺเฉท อธิษฐานกำหนดเวลาเข้า ว่าจะเข้าอยู่นานสัก เท่าใด รวมทั้งการพิจารณาอายุสังขารของตนด้วยว่าจะอยู่ถึง ๗ วันหรือไม่ ถ้าจะตายภายใน ๗ วัน ก็ไม่เข้า หรือเข้าให้น้อยกว่า ๗ วัน
    (๑๗) อธิษฐานแล้วก็เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน วิถีนี้ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เกิดขึ้น ๒ ขณะ (๒ ขณะ ไม่ใช่ ๑ ขณะ)
    (๑๘) ลำดับนั้น จิต เจตสิก และจิตตชรูปก็ดับไป ไม่มีเกิดขึ้นอีกเลย ส่วน กัมมชรูป อุตุชรูป และอาหารชรูป ยังคงดำรงอยู่ และดำเนินไปตามปกติ หาได้ดับ ไปด้วยไม่จิตเจตสิก และจิตตชรูป คงดับอยู่จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้อธิษฐานไว้
    (๑๙) เมื่อครบกำหนดเวลาที่ได้อธิษฐานไว้ ซึ่งเรียกว่า ออกจากนิโรธสมาบัติ นั้น
    อนาคามิผล สำหรับอนาคามิบุคคล หรือ อรหัตตผล สำหรับอรหัตตบุคคล ก็เกิดขึ้น ๑ ขณะก่อน ต่อจากนั้น จิต เจตสิก และจิตตชรูปจึงจะเกิดตาม ปกติต่อไปตามเดิม
    สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ อารมณ์จิตของพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือ พระอนาคามีระดับปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้นที่มีจิตที่ว่างจากอารมณ์ทุกชนิด โดยจิตไม่ยอมรับรู้อารมณ์อะไรเลย แม้จะเป็นพระอรหันต์ระดับเตวิชโช หรือฉฬภิญโญ ก็ไม่สามารถทำจิตว่างจากอารมณ์ใดๆ ได้............
    นี่ว่ากันตาม พระบาลี”แท้ๆนะครับ
    ก็เพื่อให้สะดวกแก่ความเข้าใจ จึงจะขอสรุปสั้นๆก็คือ อันผู้ที่"มีสิทธิ์"เข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)ได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
    1. ต้องเป็น"พระอริยบุคคล"ระดับ"พระอนาคามี"ถึง"พระอรหันต์"เท่านั้น (นอก จากนี้ไม่ว่าจะเป็นพระโสดา,สกทาคามี หรือแม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ไม่อาจเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)ได้ เพราะเนื่องจากท่านยังมิอาจละกามราคานุสัย อันเป็นกิเลสอย่างละเอียดอ่อนที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานซึ่งเป็นศัตรูตัว ฉกาจของการทำสมาธิในระดับสูงเช่นนี้ได้ ฉะนั้น พระอริยบุคคลโสดาบันหรือพระสกทาคามี และหรือพระโพธิสัตว์(ไม่ว่าจะได้รับหรือยังไม่ได้รับพยากรณ์ ซึ่งยังคงอยู่ใน"ปุถุชน"เต็มภูมิอยู่)ทั้งสิ้น จึงมิอาจเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)ได้ สภาวจิตยัง"ไม่ใช่"นั่นเอง)
    2.พระ"อนาคามี"หรือ"อรหันต์"นั้น จะต้องเป็นผู้ชำนาญใน"สมาบัติ 8"เท่านั้น จึงจะเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)ได้
    . เพราะการเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง) อันเปรียบด้วยการ"เข้านิพพานทั้งเป็น" นั้น จิตและเจตสิกดับไปเลยชั่วคราว ในช่วงเวลาที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่ ท่านที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่จึงมีร่างนิ่งๆเหมือนหัวตอ ลมหายใจก็ไม่มี จึงไม่ต้องกล่าวถึงการ"กิน"การ"ดื่ม"และ"ขับถ่าย"ใดๆทั้งสิ้น
    ด้วยเหตุการเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง) ดังกล่าว เป็นการตัดสัญญาอารมณ์และเวทนาใดๆโดยสิ้นเชิง (จิตใจจะไม่รับรู้สิ่งภายนอกใดๆแม้สัญญาอารมณ์ในจิตตนเองทั้งสิ้น) หากใครว่า "เข้านิโรธสมาบัติ"แล้ว ยังกินยังดื่มยังมี movement เคลื่อนไหวใดๆ มีการปลุกเสกพระเครื่องราง 108 เป็นต้นได้อยู่ ก็จงรู้เถิดว่า นั่นหาใช่"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)แต่ประการใดไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5" width="100%"> <tbody> <tr> <td> แต่เพราะการเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)นั้น จะเกิด"พลังงานพิเศษ"ที่ทรงอานุภาพมากแผ่ซ่านไปทั่ว อันย่อมรักษาตัวตนแห่งผู้เข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)นั้นให้ปลอดภัยในทุกกรณี ในที่ทุกสถานได้อย่างสิ้นเชิง แม้วัตถุอันเกี่ยวเนื่องด้วยอัจฉริยบุคคลผู้เข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง) ไม่ว่าจะเป็นโดยตำแหน่ง,ที่ตั้ง หรือการตั้งโปรแกรมจิตก่อนหรือหลังเข้านิโรธฯนั้น ย่อมกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ทรงอานุภาพมากล้นตามไปด้วยโดยปริยาย โดยไม่จำต้องหรือสามารถ"ถอนจิต"มาปลุกเสกใดๆเลย สมดังประโยคที่มีการเปรียบเทียบกันไว้อย่างน่าคิดน่าฟังที่สุดประโยคหนึ่ง ว่า
    "ไม่เสกก็เหมือนเสก แต่ถ้าเสกก็ยิ่งกว่าเสก" ไปด้วยประการฉะนี้.....
    </td></tr></tbody></table>​
    และแน่นอนที่สุด หนึ่งใน พระอริยะ ชั้นสูงที่ทรง อัจฉริยภาพอันประเสริฐยิ่งที่สามารถเข้า นิโรธสมาบัติ (ของจริง) ตามที่พระอรรถกถาจารย์ได้พรรณนาไว้ ก็คือ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม แห่งบ้านสามัคคีวิสุทธิ นั่นเอง...!!!!!!
    อันการเข้า"นิโรธสมาบัติ" นี้ คุณแม่บุญเรือนเคยกล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า หากเป็นการเข้านิโรธสมาบัติแบบ"เต็มภูมิ"แล้วไซร้ จะต้องไม่มีการดื่ม การกิน การถ่าย ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะใดๆทั้งสิ้น
    การเข้านิโรธสมาบัติแบบ"เต็มภูมิ"นี้ ท่านกล่าวว่า จะอยู่ได้เพียง 7 วัน เพราะพลังงานต่างๆทุกชนิดที่สะสมไว้ในร่างกาย จะถูกเผาผลาญไปจนหมดสิ้น ซึ่งหากใครขืนเข้านิโรธสมาบัติแบบเต็มภูมิเกินไปกว่านั้น ร่างกายสังขารก็อาจจะถึงแก่การอวสานได้
    ซึ่งการเข้านิโรธสมาบัติอย่าง"เต็มภูมิ"นี้ คุณแม่บุญเรือนก็เคยเล่าไว้ว่า
    "แม่ก็เคยทำมาแล้ว ไม่กินไม่ถ่ายตลอด 7 วัน...!!!!"
    นอกจากนี้ คุณแม่บุญเรือนยังได้เคยกล่าววิพากษ์ถึงการเข้า"นิโรธฯ"ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิเทสโก) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ในสมัยนั้น แม้จะเคยเป็น"อาจารย์สอนกรรมฐานเบื้องต้น"ให้คุณแม่มาก่อน แต่เมื่อถึง"ธรรมะชั้นสูง"ยัง"ไม่ใช่" คุณแม่ก็ต้องว่า "ไม่ใช่" อย่างตรงไปตรงมาทีเดียวว่า
    "เจ้าคุณรัชฯ...เจ้าคุณอาจารย์นี่ทำนิโรธไม่เป็น ทำไมเวลาเข้านิโรธแล้ว จึงยังฉันน้ำผึ้งอยู่อีก ท่านทำไม่ถูกนะคะ...!!!?”
    หมายเหตุ , จากคำกล่าวของคุณแม่บุญเรือน ดังกล่าว ก็ย่อมส่งสะท้อนไปถึงใครก็ตามที่ว่า “เข้านิโรธ” หากยังมี “การกินการดื่ม” ไม่ว่าจะเป็นเพียงแม้ “ข้าวหนึ่งเมล็ด” หรือ “น้ำหนึ่งหยด” ก็จงรู้ไว้เถิดว่า นั่นหาใช่เป็น “นิโรธสมาบัติ”(ของจริง)แต่ประการใดไม่....(ส่วนการนั้น จะเป็นเพียง “นิโรธสมบัติ”หรือ “นิโรธสมมุติ” ประการใดนั้น ก็กรุณาไปพิจารณากันเอาเองเต๊อะ!!!!!)

    จากประวัติที่คุณเสทื้อน สุภโสภณได้เคยบันทึกไว้ ระบุไว้อย่างแน่ชัดว่า สถานที่สำคัญต่างๆที่คุณแม่บุญเรือนเคยเข้านิโรธสมาบัติ เพื่อช่วยทุกข์และบันดาลความสำเร็จให้แก่บรรดาสานุศิษย์ของท่านนั้น เท่าที่จดจำกันได้ มีอยู่เพียง 4 ครั้งคือ
    1.บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พ.ศ.2496
    2.พระพุทธบาท สระบุรี พ.ศ.2496
    3.บ้านนาซา ระยอง ต้นปีพ.ศ.2499
    4. วัดพระแท่นดงรัง วันเพ็ญเดือน 4 พ.ศ.2499
    และต่อไปนี้ ก็คือ ประวัติวัดพระแท่นดงรัง และการไปเข้านิโรธสมาบัติครั้งสุดท้ายของคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติมที่อ.เส ทื้อน สุภโสภณได้บันทึกไว้ใน “พลังเหนือโลก” เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วครับผม....
    พระแท่นดงรัง
    พระแท่นดงรัง นับว่าเป็นเจดียฐานประการหนึ่ง คือถือว่าเป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และนับว่าเป็นสังเวชนียสถานแห่งหนึ่ง ในสี่แห่งของพระพุทธเจ้า คือสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา และสถานที่ดับขันธปรินิพพาน ซึ่งสถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในประเทศอินเดียในปัจจุบัน
    ตามตำนาน อันเป็นคติที่เชื่อกันว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังแว่นแคว้นต่าง ๆ ภายนอกประเทศอินเดีย ด้วยอำนาจฌานสมาบัติ และได้ประดิษฐานเจดีย์หรือ ตรัสพยากรณ์เรื่องราวต่าง ๆ ไว้ในแว่นแคว้นเหล่านั้น จึงเกิดมีเจดีย์วัตถุและพุทธพยากรณ์ที่อ้างว่า พระพุทธองค์ได้ทรงประดิษฐานเจดีย์วัตถุไว้หลายแห่งในแว่นแคว้นต่าง ๆ
    ในประเทศไทยก็มีตำนานเกี่ยวกับการประทับรอยพระพุทธบาท และการสร้างพระธาตุเจดีย์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย รวมทั้งพระแท่นและพระพุทธฉาย สำหรับพระแท่นที่มีอยู่ในพงศาวดารคือ พระแท่นศิลาอาสน์ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แต่พระแท่นดงรังไม่ได้มีกล่าวไว้ในพงศาวดาร จึงสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
    ความอัศจรรย์ของพระแท่นดงรังนั้นผิดกับเจดีย์วัตถุอื่น เนื่องจากมีผู้เชื่อว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระแท่นดงรังนี้จริง ๆ ซึ่งเท่ากับว่าเมืองไทยนี้เป็นมัชฌิมประเทศ อันเป็นสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ และดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
    พระแท่นดงรังตั้งอยู่ที่ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ในบริเวณพระแท่นมีเทือกเขาอยู่สองหย่อม หย่อมทางทิศตะวันตกเรียกว่า เขาถวายพระเพลิง ยอดสูง 45 เมตร บนยอดเขามีมณฑปขนาดเตี้ยครอบพระพุทธบาทจำลองไว้ หย่อมเขาทางด้านตะวันออกเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ มีหินแท่งทึบหน้าลาดรูปลักษณะคล้ายพระแท่นหรือเตียงนอน มีตำนานเล่ากันมาแต่ก่อนว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาบรรทมแล้วดับขันธปรินิพพานบนพระแท่นนี้ เล่ากันว่า แต่เดิมมีต้นรังขึ้นอยู่ริมพระแท่นข้างละต้น โน้มยอดเข้าหากัน ดังปรากฎอยู่ในนิราศพระแท่นดงรังตอนหนึ่งว่า
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td valign="top"> "…..
    ในระหว่างนางรังทั้งคู่ค้อม

    แต่ไม้รังยังรักพระศาสดา
    </td> <td width="10">
    </td> <td valign="top"> ชวนกันไปไหว้พระแท่นแผ่นศิลา
    คำนับน้อมกิ่งก้านก็สาขา
    อนิจจาเราเกิดไม่ทันองค์"
    </td></tr></tbody></table>​
    ปัจจุบันมีวิหารสร้างครอบพระแท่นไว้ ซึ่งคงสร้างไว้นานแล้ว เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2376 สามเณรกลั่น ได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังกับสุนทรภู่ ได้แต่งนิราศไว้มีความตอนหนึ่งว่า
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td valign="top"> "ถึงพระแท่นแสนสงัดเห็นวัดมี
    กับต้นรังทั้งคู่ยังอยู่พร้อม
    ต่างชื่นชมโสมนัสยิ่งศรัทธา
    เข้าประตูดูแผ่นพระแท่นดัง
    ………"
    </td> <td width="10">
    </td> <td valign="top"> ทั้งโบสถ์ที่ครอบพระแท่นแผ่นศิลา
    ดูยอดน้อมเข้ามาข้างแท่นที่แผ่นผา
    ตามบิดาทักษิณด้วยยินดี
    เหมือนบัลลังก์แลจำรัสรัศมี

    </td></tr></tbody></table>​
    ส่วนที่เป็นพระแท่นนั้นเป็นปลายของเทือกศิลาที่ยื่นออกมา มีลักษณะเป็นศิลาแท่งสูงข้างหนึ่ง ต่ำข้างหนึ่ง ข้างสูงวัดได้ศอกคืบ และยังมีส่วนที่สูงขึ้นไปอีกเหมือนเป็นหมอน กว้างประมาณคืบเศษ สูงประมาณหนึ่งคืบ ข้างปลายพระแท่นสูง 16 นิ้ว พระแท่นยาว 11 ศอกคืบ กว้าง 4 ศอก เศษบริเวณส่วนบน ส่วนล่างกว้าง 3 ศอก เศษ
    บริเวณที่ตั้งพระแท่นดงรังมีสถานที่ต่าง ๆ อันเนื่องด้วย พระพุทธเจ้าดังนี้


    เขาถวายพระเพลิง

    ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวิหารพระแท่น บนยอดเขามีมณฑปเตี้ย ๆ รูป 12 เหลี่ยม สมมุติว่าสร้างครอบเชิงตะกอน ที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว สภาพของเขาถวายพระเพลิง ตามที่ปรากฎในกลอนนิราศของสามเณรกลั่น ตอนหนึ่งว่า
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td valign="top"> "ขึ้นคีรีที่ถวายพระเพลิงเผา
    ขึ้นถึงยอดทอดตาดูน่าเพลิน
    ดูทางทิศบูรพาน่าวิเวก
    ข้างทิศใต้ทิวไม้เป็นหมอกมล
    เห็นเขาใหญ่ไกลตะคุ่มชะอุ่มเขียว
    พยับลมกลมกลืนกับพื้นฟ้า
    พี่พูดพลางทางเดินบนเนินผา
    พรรณรายพรายแพรวดูแววไว
    บ้างเป็นก้อนกลิ้งกลมบ้างคมแหลม
    เป็นที่เทพนิมิตด้วยฤทธา
    เป็นก้อนแก้วแวววาบปละปลาบแสง
    จึงเกิดเป็นบรรพตปรากฎมี
    </td> <td width="10">
    </td> <td valign="top"> บันไดเล่าลดหลั่นเป็นคั่นเขิน
    เหมือนเหาะเหินเห็นรอบขอบมณฑล
    เห็นเทียมเมฆกลุ้มเกลื่อนเลื่อนเวหน
    แลดูคนตัวนิดติดสุธา
    ดูลดเลี้ยวหลายหลากชวากผา
    ทัศนานั่งแลอยู่แต่ไกล
    เห็นศิลาแวววามงามไสว
    แลวิไลเลื่อมเลื่อมละลานตา
    เป็นแก้วแกมเกิดก้อนชะง่อนผา
    พิจารณาสมความตามบาฬี
    คือเครื่องแต่งพระศพพระชินสีห์
    ด้วยเป็นที่ถวายพระเพลิงเชิงตะกอน"
    </td></tr></tbody></table>​
    วัดพระแท่นดงรัง นับว่าเป็นวัดเก่าโบราณยิ่งวัดหนึ่งของไทย ได้มีการก่อสร้างถาวรวัตถุ และบูรณะปฏิสังขรณ์มาโดยลำดับ บริเวณโดยรอบพระแท่นมีเนื้อที่ 2,390 ไร่ และภายในเนื้อที่นี้กำหนดเป็นเขตป่าคุ้มครอง 1,120 ไร่ เป็นป่าโปร่ง มีต้นรังขึ้นอยู่ทั่วไป
    เมื่อ พ.ศ. 2484 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดป่าพระแท่นดงรัง ให้เป็นป่าคุ้มครอง

    วิหารพระแท่นดงรังหลังเดิม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรดาพระสงฆ์และบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธา ได้บอกบุญร่วมใจกันปฏิสังขรณ์เพิ่มเติม มีทำพาไลข้างนอกกับชานทักษิณโดยรอบเป็นต้น มีหลักฐานบันทึกไว้อย่างละเอียด

    ปี พ.ศ. 2406 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์วิหารพระอุโบสถ แล้วให้ทำพระเจดีย์ขึ้นที่หลังพระแท่น 1 องค์

    ปี พ.ศ. 2465 สมภารน้อย เจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรัง ได้ชักชวนพุทธบริษัทบูรณะซ่อมแซมมณฑปครอบพระพุทธบาท บนเขาถวายพระเพลิง และบรรดาเสนาสนะขึ้นใหม่ทั้งหมด

    ปี พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์ พระอุโบสถหลังใหม่ และพระราชทานเงินซึ่งผู้มีจิตศรัทธาทูนเกล้าถวาย โดยเสด็จพระราชกุศล ให้เป็นทุนก่อสร้างพระอุโบสถต่อไป

    การที่พระแท่นดงรังได้ดำรงอยู่ด้วยดีตลอดมา เป็นระยะยาวนานหลายร้อยปี ก็ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา ของบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวไทย ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ตลอดจนถึงอาณาประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่า ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส อันเป็นแบบฉบับที่ดีงามของบรรพบุรุษไทย ที่มีความมั่นคงในพระบวรพุทธศาสนาสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

    อนึ่ง เพราะเหตุที่"พระแท่นดงรัง" มีเรื่องราวและสิ่งแวดล้อมนานาประการที่ทำให้ชวนให้เชื่อได้ว่า เป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์เสด็จมาดับขันธปรินิพพานจริงๆ ซ้ำยังมีความศักดิ์สิทธิ์และมีปาฏิหาริย์มาช้านาน ประกอบกับพระแท่นดงรังนี้ อยู่ในเขตจังหวัด"กาญจนบุรี" ที่คุณแม่บุญเรือนท่านถือเอาชื่อเป็น"เคล็ด"ว่า เป็นเมืองแห่ง"กาลเวลา" กาลเวลาที่คุณแม่จะปฏิบัติการบางอย่างเพื่อ"ช่วย"ลูกหลานท่านนั่นเอง คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จึงได้เจาะจงมาเข้า"นิโรธสมาบัติ"เป็นครั้งสุดท้ายที่วัดพระแท่นดงรังนี้ เมื่อคืนวันเพ็ญ เดือน 4 พ.ศ. 2499 ดังที่คุณเสทื้อน สุภโสภณได้เคยเขียนไว้ใน"พลังเหนือโลก"เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ดังนี้...
    (ข้อความต่อแต่นี้ อาศัยสำนวนเดิมของคุณเสทื้อน สุภโสภณเป็นหลัก แต่บางตอน ผมก็จะขอสอดแทรกสำนวนหรือความรู้พิเศษเพิ่มเติมเข้าไปบ้างนะครับ.. )
    "....ภาย หลังจากที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมได้ไปถ่ายรูปอธิษฐานที่วัดท่าผา อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เพื่อช่วยหาทุนสร้างโบสถ์ของวัดท่าผาในตอนกลางวันของวันเพ็ญ เดือน 4 พ.ศ. 2499 ซึ่งตรงกับวัน"มาฆบูชา"แล้ว คุณแม่บุญเรือนพร้อมคณะศิษย์ก็ได้เดินทางต่อไปนมัสการพระแท่นดงรัง ที่อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ต่อในคืนเดียวกันนั้นนั่นเอง......
    ใน บรรดาสานุศิษย์หรือ"ลูก"ของคุณแม่บุญเรือนนั้น มีทุกระดับชั้น ตั้งแต่คนเดินดินสามัญเรื่อย ไปจนถึงท่านผู้มียศมีตำแหน่งฐานันดรอันสูงและเหล่าปัญญาชนผู้มีการศึกษา ระดับสูงจำนวนไม่น้อย ที่ได้ติดตามคุณแม่บุญเรือนไปยังวัดพระแท่นดงรังด้วย บรรดา"ผู้รู้" ทั้งหลาย ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันขรม ถมเถไปตาม"สัญญาเก่า"ที่เคยรับรู้เล่าเรียนมาแต่อ้อนแต่ออกว่า แท้จริงนั้น สถานที่พระพุทธองค์ทรงนิพพานนั้น อยู่ที่ประเทศอินเดียชมภูทวีปโน่น มิใช่ที่ไหนในเมืองไทยแต่อย่างใดไม่..ฯลฯ..
    "ความจริง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้มานิพพานที่นี่หรอก" ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเพื่อแสดงภูมิรู้ว่าตัวเขาเป็นคนทันสมัยเฉลียวฉลาดขึ้นมากลางปล้อง
    และพอดี คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมซึ่งอยู่ตรงแถวนั้นพอดี ท่านก็สวนคำไปว่า
    "เออ...เขาก็สร้างขึ้นน่ะซี..!!!!!"
    คุณแม่บุญเรือนเอ่ยขึ้นมาบ้าง แสดงว่า ท่านก็รู้เท่าทันในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระแท่นดงรังนี้เหมือนกัน แต่คุณแม่บุญเรือนท่าน"แน่กว่า"บุคคลทั้งหลายทั่วไปตรงที่ท่านสามารถ"เจาะลึก"ในเรื่องเร้นลับ เกินกว่าวิสัยมนุษย์สามัญจะตามไปรู้ไปเห็นได้ โดยคุณแม่บุญเรือนได้กล่าวต่อไปอีกว่า
    "แต่ว่า คนที่สร้าง(พระแท่นดงรัง)นี้ ไม่ใช่คนธรรมดาหรอก แต่เป็นเรื่องราวที่เทวดาเขามาสร้างเอาไว้หรอกนะ!!!???!!!"
    จากคำกล่าวนี้ แสดงว่า พระแท่นดงรังนี้ เป็นปูชนียสถานที่พวกทวยเทพยดาผู้มีฤทธิ์ มาดลบันดาลให้ปรากฏมีขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย คล้ายจำลองถ่ายแบบมาจากสถานที่ปรินิพพานจริงในชมพูทวีป
    เพราะฉะนั้น พระแท่นดงรัง จึงมีความสำคัญและมีความศักดิ์สิทธิ์มากแห่งหนึ่งของเมืองไทย ด้วยถือว่าเป็น"บริโภคเจดีย์" คือสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงเคยใช้สอย ทำนองเดียวกับ"สังเวชนียสถาน"ในประเทศอินเดียฉะนั้น.....
    และภายหลังจากเสร็จพิธีถ่าย"รูปอธิษฐาน"ที่วัดท่าผาและรับประทานอาหารกลางวันกันแล้ว ตอนบ่ายยังมีการเทศน์ครั้งสำคัญโดยการ"ยืมปากเทศน์" กว่าทุกสิ่งจะเสร็จสรรพ ก็ค่ำมืดแล้วจนถึง 4-5 ทุ่ม ระของคณะคุณแม่บุญเรือน จึงได้เดินทางออกจากวัดท่าผา มุ่งหน้าต่อไปยังวัดพระแท่นดงรัง อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรีในทันที.....
    เนื่องจากอยู่ในระหว่างการเดินทาง และเป็นเวลาค่ำคืนแล้ว และยังมิได้ทำวัตรเย็นกันเลย ดังนั้น คุณแม่บุญเรือนจึงประกาศให้"ลูกๆ"ทำวัตรสวดมนต์พร้อมกันบนรถ ระหว่างเดินทางไปยังวัดพระแท่นดงรังเสียเลยทีเดียว..!!!!
    และเมื่อเดินทางไปได้สักพักใหญ่ๆ ใกล้จะถึงพระแท่นดงรังอยู่รอมร่อแล้ว อยู่ดีๆ คุณแม่บุญเรือนก็บอกให้รถหยุด เมื่อรถหยุดเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ประกาศกับคณะศิษย์ที่ไปด้วยกันในโอกาสนั้นนั่นเองว่า
    "เฮ้ย...!!! เอาไฟส่องหัวพวกมึงดูหน่อยซิ ว่าฝุ่นมันขึ้นมาถูกพวกมึงกันบ้างรึเปล่า???"
    เหตุที่คุณแม่บุญเรือนกล่าวเช่นนั้น เพราะทางหลวงแผ่นดินในสมัยก่อนโน้น ส่วนใหญ่ยังมิได้ราดยางหรือเป็นถนนคอนกรีตถาวรอย่างสมัยปัจจุบันนี้ เห็นมีถนนดินลูกรังเกือบทั้งสิ้น โดยเฉพาะถนนไปกาญจนบุรี-ราชบุรี-เพชรบุรีเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว ใครที่"แก่พอ"และเคยเดินทางไปบนถนนเหล่านั้น ก็คงจะจำได้ดีถึง"ฝุ่น"ที่คละคลุ้งตลบอบอวลแทบตลอดเวลา ชนิดที่ว่า หากรถใครไม่ปิดกระจกแล้ว ก็คงไม่แคล้วต้อง"รมฝุ่น"เปื้อนเปรอะเลอะเทอะแดงเถือกด้วยฝุ่นดินลูกรังเกาะเต็มหน้าเต็มตาเต็มหัวตลอดเท้าชนิด"ดูไม่จืด"อย่างไม่ต้องสงสัย....!!!!!
    แม้ถนนเส้นทางสายบ้านโป่ง-ท่ามะกา-พระแท่นดงรังก็เช่นกัน ผิวถนนมีแต่ฝุ่นหนาเตอะชนิดท่วมถึงข้อเท้าไปเกือบทั้งเส้น ยามรถวิ่งผ่านแต่ละที ทุกล้อที่บดทับลงไปก็จะตะกุยฝุ่นมหากาฬขึ้นฟุ้งไปทั่ว ต้นไม้ตลอดสองข้างทางจึงมีแต่ฝุ่นดินลูกรังจับแดงเขรอะไปหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
    และยิ่งรถเมล์สมัยก่อน หาได้มี"แอร์ของดิฉัน"(แอร์คอนดิชั่น) ปรับอากาศให้เย็นสบายเยี่ยงในปรัตยุบันนี้ไม่ จึง"ไม่อาจ"จะ"ปิดกระจก" เพื่อกันฝุ่นใดๆมิให้เข้ามาแผ้วพานจนขาดใจตายไปคาที่ ด้วยเหตุ"หายใจไม่ออก"หรือกลายเป็น"ตู้อบ"ไปเปล่าๆปลี้ๆ แม้ทุกคนจะต้องถูกบังคับให้ทำ"ไฮไลท์"หัวแดงเถือกเป็นฝรั่งอั้งม้อเพราะถูกฝุ่นจับ ก็จำต้องยอมทนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงโดยทั่วกันทีเดียว....
    แต่ช่างน่าอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น ที่ในครั้งนั้น พอคุณแม่บุญเรือนท่านสั่งให้เอาไฟฉายส่องดูตามศีรษะของแต่ละคน ก็ปรากฏว่า ทุกๆรายล้วน"เรี่ยมเร้เรไร" ยังไม่ได้แปลงสัญชาติเป็น"ฝรั่ง" หรือหนีไปทำ"ไฮไลท์"อย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ทั้งสิ้น....
    เพราะทุกรูปทุกนาม ยังคงอนุรักษ์สภาพสังขาร "ดั้งเดิม"ไว้เป็นอันดี หาได้โดน"รมฝุ่น"อย่างที่ควรจะเป็นแต่อย่างไรทั้งสิ้น!!!!! ทั้งๆที่ตามปกติแล้ว หากเป็นการเดินทางตามปกติ เพียง 3-4 กิโลเมตรเท่านั้น ทุกๆคนย่อมจะต้องถูกฝุ่นคุกคามจนแทบจะจำหน้ากันไม่ได้เป็นแน่แท้!!!???
    ด้วย เหตุนี้ ทุกๆคนที่ร่วมเดินทางไปในวันนั้น (มีแม่ยายของคุณชินพร สุขสถิตย์รวมอยู่ด้วยท่านหนึ่ง) จึงตระหนักแน่แก่ใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ด้วยบุญญาบารมีของคุณแม่บุญเรือนคุ้มครองไว้แท้ๆ จึงปกปักรักษาทุกๆคนไปจนตลอดทาง แม้กระทั่งในเรื่องของฝุ่นละอองที่จะขึ้นมาแผ้วพานรบกวนให้สกปรกแปด เปื้อน!!!!
    แต่แล้ว...ทุกๆคนในคณะคุณแม่บุญเรือนก็ต้องตกตะลึงตึงๆใจหายวาบ พร้อมกับต้องรีบตั้งสติเตรียมตัวผจญกับ"อภิมหาฝุ่น"ครั้งใหญ่ในบัดดล แม้จะเป็นระยะทางเพียง 3-4 กิโลเมตรก่อนถึงวัดพรระแท่นดงรังก็ตาม ด้วยอยู่ดีๆ คุณแม่บุญเรือนก็ประกาศก้องให้ทราบทั่วกัน ก่อนที่รถจะสตาร์ทเดินทางต่อไปทีเดียวว่า
    "คราวนี้ ระวังให้ดีๆนะ..หุบปากกันให้ดีด้วยล่ะ...พวกมึงอย่าอ้าปากกันนะ กูเลิกอธิษฐานแล้วล่ะ!!!???!!!"
    คราวนี้ ไม่ต้องบอก ท่านผู้อ่านที่รักทุกๆท่านก็คงจะนึกภาพออกได้โดยไม่ยากเป็นแน่ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ???
    ไม่มีอะไรจะต้องสงสัย หรือหลบซ่อนอยู่ในกอไผ่......เพียงชั่วแป๊บเดียว เมื่อรถวิ่งไปถึงวัดพระแท่นดงรัง พอเอาไฟฉายส่องดูหน้าตาตัวตนของแต่ละคน ต่างล้วนแปรสภาพกลายเป็น"ฝรั่งหัวแดง" หรือกลายไปเป็นสาวก"ปีศาจแดง"แมนเชสเตอร์ฯไปทั้งสิ้น!!!!!
    ก็เมื่อคุณแม่บุญเรือนกับคณะได้เดินทางไปถึงพระแท่นดงรัง แม้จะเป็นเวลาค่อนข้างดึกอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้คนพลุกพล่านมากพอดู ด้วยกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลนมัสการพระแท่นดงรังอยู่พอดี มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง มีทั้งที่มาจากตัวเมืองกาญจนบุรีเองหรือจังหวัดอื่นๆทั้งใกล้และไกล ซึ่งประเพณีนี้ ได้มีติดต่อสืบเนื่องกันมานานเป็นร้อยๆปีแล้ว....
    พอไปถึงวัดพระแท่นดงรัง คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษยานุศิษย์เข้าไปภายในวิหารพระแท่น ซึ่งมีหินแท่งทึบหน้าลาด รูปพรรณสัณฐานคล้ายกับแท่นหรือที่นอน ที่บรรดาชาวบ้านชาวเมืองต่างเชื่อว่า นี้แลคือสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้า ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางหรือหัวใจหลักของปูชนียสถานแห่งนี้....
    และภายในพระวิหารนี้เอง ยังมี"รอยพระพุทธบาทไม้แกะ"สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ซึ่งปูลาดและห่อหุ้มขอบข้างด้วย"ชินตะกั่วโบราณ" อายุนับได้กว่า 150-200 ปีประดิษฐานอยู่เคียงข้างกับ"พระแท่น"ด้วย อันเป็นที่มาแห่ง" ที่ทางวัดได้นำมาจัดสร้าง"พระนางพญา เนื้อชินตะกั่วโบราณ"ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง....
    ก็เมื่อเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยกันเป็นอย่างดีแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมก็จุดธูปเทียนถวายเป็นพุทธบูชา แล้วท่านก็นำไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ค่ำอีกครั้ง หลังจากที่ได้สวดกันมาแล้วบนรถระหว่างเดินทางมาอีกจบหนึ่ง....
    "อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา..ฯลฯ..."
    กระแสเสียงของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมอัน กังวาลชัดเจน ก็ดังเจื้อยแจ้วแจ่มใสกึกก้องกังวาลไปทั่วทั้งวิหารพระแท่นดงรัง ฟังแล้วชวนให้เคลิบเคลิ้มดื่มด่ำในรสพระพุทธคาถาอย่างหาใดเปรียบมิได้ ขานรับด้วยสรรพสำเนียงสวดของเหล่าสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มานมัสการพระแท่นดงรังและถือโอกาสมาร่วมทำวัตรค่ำ(ดึก)กับคณะ"สามัคคีวิสุทธิ" ด้วยในคืนค่ำดึกสงัดของวันเพ็ญมาฆมาส กล่าวกันว่า สุ้มเสียงที่เจริญพระพุทธมนต์ในคราวนั้น ดูจะดังหนักแน่นและกึกก้องกังวาลเป็นพิเศษ ยิ่งกว่าวันเวลาในครั้งไหนๆที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น
    การ ทำวัตรสวดมนต์ในวิหารพระแท่นดงรังในยามนั้น เล่ากันว่า ออกจะมีรสชาติสนุกสนานเบิกบานในธรรมเป็นพิเศษ ไม่มีการสวดมนต์ครั้งใดจะเสมอเหมือนเลยทีเดียว
    และแน่นอนที่สุด ในการเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในวาระโอกาสอันสำคัญยิ่งนี้ กระแสพลังและบุญบารมีแห่งจิตของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมอันกล้าแข็งยิ่งอย่างพิเศษ ย่อมจะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสิบทิศ เอิบอาบครอบคลุมทุกสรรพสิ่งและผู้คนในที่นั้น ปานประหนึ่งตกอยู่ในเบ้าหลอมแห่งบุญอันโชติช่วงหาที่สิ้นสุดมิได้ก็ไม่ปาน
    อนึ่ง เพราะด้วยเหตุที่การสวดมนต์ของ"ผู้สำเร็จ"ทางจิตนั้น ย่อมมีพลังมีอานุภาพมาก อันย่อมแผ่ซ่านไปทั่ว หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา ท่านจึงเห็นประโยชน์ และมิปล่อยให้"พลังแห่งบุญ"นั้น ทิ้งตกหกหล่นไปเสียเปล่า หลวงปู่ดู่จึงสร้างพระเครื่องไว้รองรับพลังจิตพลังบารมีจากการที่ท่านได้สวด มนต์ทำวัตรเช้าค่ำทุกวี่วัน เพื่ออำนวยความเป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้ได้ไว้สักการะบูชาเรื่อยมา สมดังที่หลวงปู่ท่านได้เคยกล่าวไว้คราวหนึ่งว่า
    "ดีกว่าสวดมนต์ทิ้งเปล่าๆน๊ะ..!!!!!!!"
    และจากการเอาพระนางพญานี้ไปให้"หน่วยสืบราชการลับ"(ทางจิต)ตรวจสอบ ก็พบว่า "มีพลังของคุณแม่บุญเรือน ซึ่งเป็นพลังงานเฉพาะตัวของท่านอยู่จริงๆ" โดย"หน่วยสืบราชการลับฯ" นั้นถึงกับกล่าวการันตีว่า
    "ระดับคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านไม่สวดมนต์ทิ้งเปล่าๆหรอกนะ!!!???!!!"
    และเมื่อเสร็จจากการทำวัตรสวดมนต์ ณ วิหารพระแท่นดงรังในคืนนั้นแล้ว คุณ แม่บุญเรือนก็นำคณะศิษย์ตรงไปยังเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างจากวิหารพระแท่นดงรังไปทางทิศตะวันตกไม่ไกลนัก มีบุคคลภายนอกติดตามไปด้วยเป็นจำนวนมากพอดู
    "เขาถวายพระเพลิง"นี้ เป็นจุดที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่งของวัดพระแท่นดงรัง มีลักษณะเป็นเนินเขาย่อมๆ สูงประมาณ 55 เมตร บนยอดเนินนนี้มีณฑปทรง 12 เหลี่ยม ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง กล่าวกันว่า มณฑปนี้ สร้างครอบเชิงตะกอนที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระคราวเสด็จดับขันธปรินิพพานนั่นแล.....
    และ ณ เชิงเขาถวายพระเพลิงนี่เอง คุณแม่บุญเรือนได้กระทำพิธี"เข้านิโรธสมาบัติ" อยู่เป็นเวลา 15 นาที อันเป็นการเข้า"นิโรธสมาบัติแบบพิเศษ" ที่ไม่ซ้ำแบบหรือเหมือนกับท่านผู้ใดทั้งสิ้น(ที่ปกติจะเข้ากัน 7 วันรวด)
    เชื่อกันว่า การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนนี้ เป็นปฏิปทาหรือแนวทางในการช่วยเหลือศิษยานุศิษย์ของท่าน โดยเมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดจะ"อนุเคราะห์"ช่วยเหลือเขาเหล่านั้นเป็นพิเศษเมื่อใด ในโอกาสที่ได้ไปประกอบพิธีกรรมทางสถานที่สำคัญต่างๆ คุณแม่บุญเรือนก็จะมีการเข้านิโรธสมาบัติ ณ ที่นั้นตามสมควร ซึ่งตามมีการเล่าขานมา การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือน จะมีทั้งหมดเพียง "4" ครั้งเท่านั้น โดยมีการเข้านิโรธฯ ที่วัดพระแท่นดงรังเมื่อคืนวันเพ็ญ เดือน 4 ปีพ.ศ.2499 เป็นครั้งสุดท้ายที่สุดดังกล่าว....
    แต่...แม้คุณแม่บุญเรือน จะไปเข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง ซึ่งห่างออกไปจากวิหารพระแท่นดงรังหลายสิบเมตรอยู่ แต่เพราะเหตุที่"อำนาจจิต"ย่อมไม่อาจมีสิ่งใดกีดกั้น สมดังที่หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเคยกล่าวเอาไว้ว่า "แม้ภูเขาหนานับเป็นแสนโยชน์( 1,600,000 กิโลเมตร) ก็กั้นพลังจิตไว้ไม่ได้" ประกอบกับที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี (ถือเคล็ดโดย"ชื่อ"เมืองแห่ง"กาลเวลา") แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่คุณแม่บุญเรือนได้เลือกที่จะเข้า"นิโรธสมาบัติ" เพื่อช่วยเหลือ"ลูกๆหลานๆ"แห่งท่านให้สำเร็จประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยตัวของท่านเอง พลังงานแห่งจิตพระอริยเจ้าของคุณแม่บุญเรือน ขณะทรงอยู่ใน"สัญญาเวทยิทนิโรธ"หรือ"นิโรธสมาบัติ" ที่ทรงพลานุภาพอย่างมหาศาล ไม่มีใดจะต้านทานจึงแผ่ซ่านครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในเขตวัดพระแท่นดงรังไว้ทั้งสิ้น!!!!!!!
    หมายเหตุ , เรื่องเช่นเดียวกันนี้ แม้หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระอริยเจ้าชั้นสูงที่เคยเข้านิโรธสมาบัติมาหลายครั้งก็กล่าวรับรองว่า “พลังแห่งนิโรธสมาบัติ”นั้น จะครอบคลุมไปทั้งภูเขา(ทั้งวัด) ท่านเลยทีเดียว!!!!!!!!!!!!!!!
    ทุกคนทุกสรรพสิ่ง แม้"ชินตะกั่วเก่า" หุ้มรอยพระพุทธบาทไม้แกะโบราณ ข้างพระแท่นดงรัง ที่ได้นำมาสร้าง"พระนางพญา" ดังว่า ก็ย่อมพลอยได้รับอานิสงส์แห่ง"นิโรธสมาบัติ" ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมในค่ำคืนวันนั้นไปทั้งสิ้นอย่างไม่มีใดต้องสงสัย ดังที่ได้ปรากฏเหตุแห่ง"ปาฏิหาริย์" ยืนยันการดังกล่าวกับตัวของ"ศิษย์"ของคุณแม่บุญเรือนท่านหนึ่ง ซึ่งแม้จะนั่งอยู่ห่างๆ แต่เมื่อโดนอัดด้วยกระแสพลังนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนเข้าอย่างจัง ทำให้"ศิษย์"คนนั้น ถึงกับได้"ตาทิพย์"มองเห็นสิ่งอันพ้นวิสัยมนุษย์สามัญจะพึงเห็นได้ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน..!!!!!!!!
    ในวันที่คุณแม่บุญเรือนเข้านิโรธสมาบัติครั้งสุดท้าย ที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรีนั้นเอง ก็ได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดกับบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะ"สามัคคีวิสุทธิ"ที่ติดตามคุณแม่บุญเรือนไปยังวัดพระแท่น ดงรังในคราวเดียวกันนั้นนั่นเอง ซึ่งมีชื่อว่า "นายผัน" ชาวตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี (ถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว)
    นายผันผู้นี้ มีอาชีพเป็นแพทย์ประจำตำบล ผู้คนจึงนิยมเรียกกันจนติดปากว่า "หมอผัน"
    "หมอ ผัน" หรือนายผันได้เล่าให้บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เดินทางไปด้วยกันฟังว่า ขณะที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่นั่นเอง ตัวเขาก็ได้นั่งสมาธิในจุดที่ไม่ห่างไกลไปพร้อมกันด้วย
    ฉับพลันนั้นเอง โดยไม่คาดฝันมาก่อน ก็ได้ มีลำแสงชนิดหนึ่ง พุ่งออกมาจากร่างของคุณแม่บุญเรือนตรงมายังตัวของหมอผันที่กำลังนั่งสมาธิ อยู่นั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงปานสายฟ้าฟาด!!!!
    และ พอลำแสงแห่งนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนมากระทบตัวกับหมอผันเพียงเท่านั้น ก็เกิดแสงสว่างโชติช่วงชัชวาลในตัวของเขาในบัดดลนั้นเอง!!!!!!
    และในทันใด หมอผันก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆที่เร้นลับ นอกเหนือสายตาปกติของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปจะเห็นได้!!!!!!!!!!!!!!!
    "หมอผัน" จึงกลายเป็นคนได้ "ตาทิพย์"ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ด้วยอำนาจ "นิโรธสมาบัติ"ของคุณแม่บุญเรือนในบัดเดี๋ยวนั้น!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
    ช่างน่าตื่นตาตื่นใจและอัศจรรย์อย่างเหลือที่จะกล่าวได้แท้ๆแล้ว
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table align="center" bgcolor="#f4f4f4" border="0" cellpadding="5" cellspacing="1" width="250"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#FFFFFF">[​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  10. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    มีคนเคยถามเอาแก่"พุทธวงศ์"ตรงๆว่า ต่อ ไปพระเครื่องอะไรมีสิทธิ์ที่จะกลายพระยอดนิยมและราคาแพงทะลุเพดาน และเป็นอมตะตลอดกาล ไม่แพ้พระเครื่องของหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ที่ร้อนแรงที่สุดแห่งยุคนี้..???
    เมื่อได้ฟัง ก็ได้วิเคราะห์ตอบไปแต่เพียงว่า
    "เรื่องนี้ตอบยากเหมือนกัน แต่หากจะให้ว่ากันจริงๆ พระที่จะดังแบบหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ได้ จะต้องมีคุณลักษณะพิเศษที่ไม่แพ้หรือยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นก็คือ
    1.จิตของพระองค์นั้น ต้องมีวัตรปฏิบัติที่งดงาม ต้องมีบุญบารมีมาก และต้องสร้างบารมีมาเพื่อการโปรดสัตว์เป็นการเฉพาะ จนถึงขนาดที่ว่า ไม่ว่าจะอยู่หรือละสังขารไปแล้วจะต้องยังคอยเฝ้าดูแลรักษาผู้บูชายามอธิษฐาน ถึงอยู่ตลอดเวลา
    2.พระเครื่องต้องอธิษฐานขอได้อย่างเห็นผลประจักษ์ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากๆ
    3.พระเครื่องนั้นๆจะต้องมีพุทธานุภาพ ดีเด่นในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน โชคลาภ รักษาโรคภัย เจริญยศ เจริญโภคสมบัติ ขจัดอัปมงคล 108ฯลฯ ครอบคลุมแบบครอบจักรวาลในหนึ่งเดียว (หากมีแต่อานุภาพจำกัดแต่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะได้รับความนิยมศรัทธาที่ลดหลั่นกันลงไปตามส่วน)
    4.ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตน
    5.แยกแยะเก๊แท้ได้โดยง่าย ไม่มีของเสริม
    6.พระมีจำนวนมากพอที่จะหมุนเวียนแลกเปลี่ยนและมีโอกาสก่อให้เกิดประสพการณ์อภินิหารได้มาก
    7.เป็นที่ยอมรับและยกย่องนับถือของคน ทุกระดับชั้นอย่างกว้างขวางทั่วไป (โดยเฉพาะเซียนพระชั้นนำส่วนกลาง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง,ขีดขั้นความนิยมของพระได้อย่างทรงอิทธิพลที่สุด) มิได้จำกัดแต่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
    ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ....etc.
    ก็ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ หากจะพิจารณาการทั้งปวงด้วยความเป็นกลางและเที่ยงธรรมที่สุด พระที่เข้าองค์ประกอบดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง ในยุคนี้ ที่โดดเด่นที่สุด และมีสิทธิ์ติดลมบนเป็นพระเครื่องอมตะยอดนิยมตลอดกาลที่สูงค่า หายากและจะมีราคาแพงอย่างจรดไม่ลงในอนาคตอันใกล้นี้ ก็ยากจะมีอะไรเกินพระเครื่องของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมไปได้เลย..!!!!
    ฟังธง..!!!!!!!!!!!
    Confirm..!!!!!!!!!!!!!!!!
     
  11. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    "อุบาสิกา คนนี้ประเสริฐนัก อำนาจจิตหรือก็แก่กล้า ขนาดพระสายกรรมฐานอย่างเรา ก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาเธอลงหรืออยู่มือได้..!!!!????!!!!!" และ
    "เรากำหนดจิตดูอุบาสิกาคนนี้ทีไร จะนิมิตเห็นเธอนั่งเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทุกครั้งไป..!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร สกลนครเล่าได้นายทหารอาวุโสชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดท่านหนึ่งฟัง หลังจากหลวงปู่ฝั้นไปนั่งปรกพุทธาภิเษกที่วัดสารนาถธรรมารามเมื่อปีพ.ศ.2506 และได้พบกับคุณแม่บุญเรือนด้วยในครั้งนั้น(คุณคำพัน ศิษย์ร่วมสำนักมูลนิธิหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่และมีประสพการณ์บารมีคุณแม่บุญเรือนรักษาโรคให้รอดตายได้อย่าง ปาฏิหาริย์ได้ยินและเล่าให้"พุทธวงศ์"ฟังต่อมาอีกทอดหนึ่ง)
    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [​IMG]
     
  12. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    โชว์
    ภาพบูชาท่านแม่บุญเรือน ผู้ทรงอภิญญา เป็นภาพที่มีอยู่ในหนังสือเล่มเขียวเล่มใหญ่มาตรฐาน พร้อมทั้งผ้าปั้มฝ่ามือคุณแม่บุญเรือน ภาพบูชานี้หายาก มีน้อย ครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • xx11.jpg
      xx11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.2 KB
      เปิดดู:
      564
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2011
  13. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    โชว์
    ทรายทอง พลอยเสก เชือกมัดลูกนิมิต ท่านแม่บุญเรือนอธิฐานจิต พกบูชาติดตัวเป็นสิริมงคลกับตัวเอง ช่วยเรื่องโชคลาภ เงินทอง (ปัจจุบันนี้มีอยู่ในท้องตลาดเกลื่อนกลาด แต่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นของที่ท่านแม่อธิฐานหรือไม่คงต้องดูแหล่งที่มาเป็นสำคัญเพราะฉะนั้นผมจะไม่นำของเสกของท่านแม่มาให้บูชาครับแต่จะนำมาแจกให้ไปบูชาฟรีๆๆครับ)
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • xx10.jpg
      xx10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.1 KB
      เปิดดู:
      541
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2011
  14. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    รายการที่1 รูปปรอทสามแถว คุณแม่บุญเรือน ปี2496 สุดยอดหายาก แท้และทันคุณแม่ เป็นรูปถ่ายที่มีราคาค่อนข้างสูง เป็นที่ต้องการของลูกศิษย์ที่นับถือท่านแม่ ต่างคนต่างไขว่คว้านำมาเป็นเจ้าของ รูปปรอทคุณแม่นี้ทันแท้ทุกสนาม รับประกันความแท้100%ครับ รายการนี้ผมจะแถมพลอยเสกให้1องค์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • xx13.jpg
      xx13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.4 KB
      เปิดดู:
      2,261
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2011
  15. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    อัพโหลดแล้วรูปไม่ขึ้นครับ เวปคงมีปัญหาครับ เด๋วมาลงอีกทีตอนเย็นๆดีกว่าครับ
     
  16. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    รายการที่2พระพุทโธน้อยคุณแม่บุญเรือนรุ่นแรกปี 2494 เนื้อดินพิมพ์เล็กหน้าตุ๊กตา(ตาเหลี่ยม)หลังยันต์พุทโธ เปิดบูชาองค์ละ พีเอมหรือโทรถาม ครับ พิมพ์นี้ตามวงการให้ราคาอยู่ประมาณ 3000-3500บาทตามสภาพแต่ผมให้บูชาที่2xxxครับ พระองค์นี้ทันแท้ทุกสนาม รับประกันความแท้100%ครับ รายการนี้ผมจะแถมพลอยเสกให้1องค์ครับ ปิดรายการนี้ครับ
    พระพุทโธน้อย พระพุทโธน้อยรุ่นแรกปี 2494 พิมพ์เล็กเนื้อดินหลังยันต์พุทโธ คุณแม่บุญเรือน ผู้ทรงอภิญญา
    พระพุทโธน้อย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2494 ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ธนบุรี เป็นพิมพ์ครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้าองค์ประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นนุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมันต์ส่วนด้านหลัง มีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึก โดยมีทั้งพิมพ์ใหญ่พิมพ์กลางและพิมพ์เล็ก จำนวนการสร้างรวมทั้งสิ้น 100000 องค์

    **แยกเป็นเนื้อต่างๆดังนี้**
    1.เนื้อผงใบลาน ทุกพิมพ์รวมกัน จำนวน 20000 องค์
    2.เนื้อผงพุทธคุณ ทุกพิมพ์รวมกัน จำนวน 30000 องค์
    3.เนื้อดินเผา ทุกพิมพ์รวมกัน จำนวน 50000 องค์
    **และมีหลังยันต์พิเศษ เพียง 3000 องค์**
    ***จัดแบ่งตามพิมพ์และยันต์ต่างๆได้ดังนี้ครับ***
    1.พระพุทโธน้อยพิมพ์ใหญ่
    1.1 พระพุทโธพิมพ์ใหญ่จัมโบ้หลังยันต์พุทโธ
    1.2 พระพุทโธพิมพ์ใหญ่หลังยันต์พุทโธ
    1.3 พระพุทโธพิมพ์ใหญ่หลังยันต์นะอะระหัง
    1.4 พระพุทโธพิมพ์ใหญ่หลังยันต์เฑาะว์
    1.5 พระพุทโธพิมพ์ใหญ่หลังยันต์เฑาะว์ดอกบัว
    1.6 พระพุทโธพิมพ์ใหญ่หลังเรียบ
    2.พระพุทโธน้อยพิมพ์กลาง
    2.1 พระพุทโธพิมพ์กลางหลังยันต์พุทโธ
    2.2 พระพุทโธพิมพ์กลางหลังยันต์นะอะระหัง
    2.3 พระพุทโธพิมพ์กลางหลังยันต์พุทโธบัวติดขอบ
    3.พระพุทโธน้อยพิมพ์เล็ก
    3.1 พระพุทโธพิมพ์เล็กหลังยันต์พุทโธ
    3.2 พระพุทโธพิมพ์เล็กหลังยันต์นะอะระหัง
    3.3 พระพุทโธพิมพ์เล็กหลังยันต์เฑาะว์ดอกบัว
    **พระพุทโธน้อยเป็นพระเครื่องที่เก่าแก่และน่าสะสมมากพิมพ์หนึ่ง ด้วยพุทธคุณหลายด้าน เช่น เมตามหานิยม แคล้วคลาดจากอันตรายสิ่งชั่วร้ายและเจริญด้วยโภคทรัพย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • xx1.jpg
      xx1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.5 KB
      เปิดดู:
      456
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2011
  17. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    รายการที่3พระประจำวันอาทิตย์ คุณแม่บุญเรือนปี 2499 หลังยันต์นะล้อม เนื้อผงพุทธคุณ เปิดบูชาองค์ละ 550 ครับ พระองค์นี้ทันแท้ทุกสนาม รับประกันความแท้100%ครับ ปิดรายการนี้ครับ
    พระกรุวัดอาวุธ พิมพ์ประจำวัน คุณแม่บุญเรือนองค์นี้เนื้อสวยคลาสสิคมากครับ เป็นพระที่ได้จากการเปิดกรุวัดอาวุธที่คุณแม่บุญเรือนท่านอธิษฐานจิตไว้ทั้งหมด เป็นสุดยอดพระที่น่าเก็บครับผม ปัจจุบันพระที่ทันคุณแม่ปัจจุบันมีค่านิยมที่สูงมากและหายากมากครับ ยังเหลือชุดพระประจำวันและมงคลมหาลาภหลังเรียบนี่หละครับที่ยังพอจะเก็บกันได้อยู่แต่ก็เริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆครับผมพระของคุณแม่บุญเรือนที่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ศักดิ์ศิทธิ์มากนะครับ เซียนพระแทบทุกคนล้วนมีไว้ครอบครองแล้วก็ปรากฏอยู่ในคอแทบทั้งนั้น สังเกตุดูว่า ท่านเหล่านั้นพระหมุนเวียนเป็นหลักแสนหลักล้านก็ยังขึ้นคอพระของคุณแม่บุญ เรือน เป็นเพราะประจักษ์ในของจริงครับ พุทธคุณและความเมตตาของคุณแม่ที่ปราถนาให้ศิษย์ทุกๆคน ผู้ที่ศรัทธาในท่านทุกๆคน ได้เจริญทั้งอริยทรัพย์ภายนอกและภายใน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • x4.jpg
      x4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      108 KB
      เปิดดู:
      737
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  18. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    รายการที่3พระสมเด็จมงคลมหาลาภ คุณแม่บุญเรือนปี 2499 พิมพ์สมเด็จ 3ชั้น หลังเรียบ พิมพ์เล็ก วงการให้บูชาอยู่ที่ประมาณ1000-1500บาทครับ แต่ผมให้บูชาองค์ละ 800 ครับ พระองค์นี้ทันแท้ทุกสนาม รับประกันความแท้100%ครับ ปิดรายการนี้ครับ

    พระมงคลมหาลาภ พ.ศ.2499 ของวัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานครเป็นพระสมเด็จ
    แบบสมเด็จพระพุฒาจารย์ พระพุทโธเล็ก พระวัดตะไกร และพระแบบวัดนางพระยา ฯลฯ
    (และแบบอื่นๆอีกมาก)
    พระเครื่องเหล่านี้สร้างเป็นที่ระลึก
    ในงานสมโภชพระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี ซึ่งสร้างที่ วัดสัมพันธวงศ์ พระนคร แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ วัดสารนาถธรรมราม อ.แกลง จ.ระยอง พร้อมด้วยพระอัครสาวกซ้ายขวา เมื่อวันที่ 5-31 มีนาคม 2499 ***พระ รุ่นนี้ ปลุกเสกโดยคุณแม่บุญเรือน วัดอาวุธ และ คณาจารย์หลายท่านเช่น
    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม
    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
    หลวง พ่อเงินวัดดอนยายหอม เป็นต้น
    ****ทั้ง นี้ ได้รับการปลุกเสก ซ้ำที่วัดสารนาถธรรมาราม จ.ระยองอีกครั้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • xx5.jpg
      xx5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.8 KB
      เปิดดู:
      368
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2011
  19. ญาณวโร นามะ

    ญาณวโร นามะ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    29,626
    ค่าพลัง:
    +4,635
    ให้บูชาพระเครื่อง วัตถุมงคล หลากหลายรายการ ค่าจัดส่ง50บาททั่วประเทศครับรับประกันแท้ยินดีคืนเงินเต็มจำนวน โดยไม่มีเงื่อนไขครับ (พระต้องกลับมาสภาพเดิมครับ)
    ท่านที่สนใจโอนเงินได้ที่รายละเอียดที่อยู่ด้านล่าง หลังจากโอนแล้ว รบกวนโทร.หรืออีเมล์มาบอกชื่อที่อยู่สำหรับจัดส่งด้วยครับ
    ติดต่อสอบถามได้ที่
    - Pm
    - เบอร์โทร 0817933946
    ชำระเงินได้ที่
    ธ.กรุงไทย สาขา ศรีย่าน
    ชื่อบัญชี นายพรราวินท์ เล้ารัตนอารีย์
    เลขที่บัญชี 012-0-14398-4
     
  20. วาตานาเบ้

    วาตานาเบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2009
    โพสต์:
    990
    ค่าพลัง:
    +2,283
    สุดยอด ครับผม (รูปถ่าย แต่ล่ะใบ หายากมาก หามาได้ยังไงนี่)
    ผมเอง ก็บูชาสาย คุณแม่ อยู่เหมือนกัน ประสบการณ์ ดีมากมาย ครับผม
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...