ร่วมทำบุญบูชา มงคลตัดผ่านสวรรยามหากุมารต้นไฟอมฤต(สลายจุดชะลอชะตาสี่มหาฤทธิ์พญา) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่กฤตเมธ ET 0636 6052 6 TH

    พี่วันชัย ET 0636 6053 0 TH

    พี่เปรมยุดา ET 0636 6054 3 TH
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตอบ pm ครบนะครับ
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เดี๋ยวพรุ่งนี้ส่งของให้นะครับ วันนี้ใครจะฝากอะไรก็ pm ไว้
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตอบ PM ครบนะครับ พรุ่งนี้มาคุยกันพอดีวันนี้ผมยุ่งทั้งวัน
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    ที่โอนมาแล้วพอดีมีฝากไปเลี่ยมหลายคนผมจะส่งของให้พรุ่งนี้ทีเดียวนะ
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พูดคุยยามเช้า

    อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ก็มาพูดถึงบทสวดมนต์อาฏานาฏิยะปริตรกันนะครับ เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินเพราะเป็นบทที่ใช้สวดภาณยักษ์ ว่ากันว่ามีอานุภาพมากทีเดียว ที่กล่าวเช่นนี้เพราะแม้บทเริ่มต้นบทเดียวก็มีอานุภาพถึงเพียงนี้แล้ว ลองมาศึกษากันดู ความจริงบทนี้น่าจะหัดสวดกันให้คล่องด้วย โดยเฉพาะตัวเต็มเพราะมันเป็นทำนองที่กลืนกันถ้าหัดสวดหรือท่องจำมันไม่ยาก


    พระพุทธมนต์บทนี้ เป็นคาถาที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ของสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา ถือว่าเป็นสวรรค์ชั้นแรกสุดของสวรรค์ ๖ ชั้น มีวิมานอยู่บนยอดเขายุคันธร คือ ท้าวธตรฐ จอมคนธรรพ์, ท้าววิรุฬหก จอมกุมภัณฑ์ ,ท้าววิรูปักษ์ จอมนาค, ท้าวเวสสุวรรณ จอมยักษ์ ท้าวเธอมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่เกรงว่าบริวารที่ไม่เลื่อมใสจะไปรบกวนการปฏิบัตธรรมของพระสาวก จึงตกลงกันผูกมนต์บทนี้ที่อาฎานาฎิยนคร จึงมีชื่อเรียกตามชื่อเมืองที่แต่งนั่งเอง

    โดยเนื้อหาในบทมนต์ ก็แต่งเป็นบทสวดสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ คือ พระวิปัสสีพุทธเจ้า พระสิขีพุทธเจ้า พระเวสสภูพุทธเจ้า พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า กระกัสสปพุทธเจ้า และพระโคดมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ครั้นแต่งมนต์บทนี้เสร็จ ก็ประกาศแก่บริวารทั้งหลายว่า เวลาใดที่ได้ยินเสียงผู้ใดสวดสาธยายมนต์บทนี้ ให้ถือว่าผู้นั้นได้อยู่ในเขตรักษาของธรรมห้ามพวกเจ้าเข้าไปทำอันตราย ใครไม่เชื่อฟังจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เพราะถือว่าได้ทำร้ายบุคคลผู้เลื่อมใสพระรัตนตรัยเช่นกับเรา เมื่อป่าวประกาศแก่บริวารแล้ว ท้าวเธอทั้ง ๔ ก็มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อถวายมนต์บทนี้ให้พระสงฆ์นำไปสวดสาธยาย จนกลายเป็นตำนานสวดภาณยักษ์เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายในปัจจุบัน

    บทนี้ที่มีอานุภาพขับไล่ความชั่วร้ายออกไปได้ ด้วยอาศัยการอ้างถึงอำนาจคุณความดีของพระพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์ เป็นสำคัญ ถึงกระนั้นยักษ์มารที่ควรจะขับไล่ออกไปจากตัวเป็นอันดับแรก คือ ความโลภ โกรธ หลงนั่นเอง โดยให้สวดมนต์บท อาฏานาฏิยปริตร จากด้านล่าง


    วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต
    สิขิสสะปิ นะมัตถุ สัพพะภูตานุกัมปิโน
    เวสสะภุสสะ นะมัตถุ นหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน
    นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ มาระเสนัปปะมัททิโน
    โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ พราหมะณัสสะ วุสีมะโต
    กัสสะปัสสะ นะมัตถุ วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ
    อังคีระสัสสะ นะมัตถุ สักยะปุตตัสสะ สิรีมะโต
    โย อิมัง ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง
    เย จาปิ นิพพุตา โลเก ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง
    เต ชะนา อะปิสุณา มะหันตา วีตะสาระทา
    หิตัง เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง
    วิชชาจะระณะสัมปันนัง มะหันตัง วีตะสาระทัง
    วิชชาจะระณะสัมปันนัง พุทธัง วันทามะ โคตะมันติ.


    gallery_20090419_7c26525.jpg
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ที่ฝากเลี่ยมไว้ผมส่งให้พรุ่งนี้ทุกรายการนะครับ;)
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ราตรีสวัสดิ์นะครับ พรุ่งนี้มาติดตามกันต่อ
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    สวัสดีตอนเช้านะครับ แจ้งนิดนึงวนนี้เดี๋ยวส่งของให้ ส่วนภายในเดือนนี้เราก็มีกิจกรรมเล่นเกมส์กันนะ;)
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    หุ่นพยนต์ (ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์)

    หุ่นพยนต์ ในวงการไสยศาสตร์เป็นที่ยอมรับกันดีเรื่องมีภูตผีเป็นผู้รับใช้ติดตาม จะสายไหนก็มักจะมีข้ารับใช้เสมอ ทั้งสายเทพ สายพราย สายภูติ สายผี สายเวทย์ บางครั้งถูกเรียกไปต่างๆนานา เช่น วิชามายาศาสตร์สร้างปู่โสม การฆ่าคนเพื่อเฝ้าสมบัติพัสถาน กุมารทองกุมารี รักยม อิ่นจันทร์ อิ่นแก้ว ในลัทธิองเมียวโดของญี่ปุ่นมีชิกิงามิ ชิกิยิน เป็นการเสกกระดาษเป็นข้ารับใช้ ซึ่งเป็นพวกเดียวกับหุ่นพยนต์นี้ แต่ต่างกันออกไปที่หุ่นพยนต์จะสามารถสร้างจากวัตถุสิ่งของอะไรก็ได้

    หุ่นพยนต์ คำนี้ว่าจากคำว่า “พยนต์” แปลว่า สิ่งที่ผู้ทรงวิทยาคมปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้น เช่น หุ่นพยนต์ เป็นรูปหุ่นจำลองของคน สัตว์ เทวดา ยักษ์ หรืออะไรต่อมิอะไร โดยอาศัยหลักการว่าอยากได้รูปร่างยังไงให้ทำหุ่นแบบนั้น หรือชนิดไหนตามแต่ความต้องการจะใช้หุ่นพยนต์ ประมาณว่าให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้ไปทำ

    วัสดุที่นำมาใช้สามารถทำได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่หุ่นหญ้าสาน หุ่นก้านใบไม้สาน หุ่นเถาวัลย์สาน หุ่นหวายสาน ใบไม้ถัก หุ่นไม้แกะสลัก หุ่นไขเทียน หุ่นด้าย หุ่นผ้า หุ่นดิน หุ่นดินเผา หุ่นหิน หุ่นกระเบื้อง หุ่นอิฐ หุ่นปูน หุ่นเงิน หุ่นทอง หุ่นโลหะ ซึ่งการเลือกใช้นั้นอาศัยหลักง่ายๆว่าอาจารย์ไหนใช้อะไรจะต้องใช้ตามอาจารย์ ผีธาตุไหนจะให้เหมาะก็ธาตุนั้นๆ เหมาะสมกับงานดำน้ำลุยไป อย่างไรก็ตามเห็นดินเพียงก้อนเดียวก็เป็นหุ่นพยนต์ที่ทรงพลังได้ ต้องมาจากวิชาอาคมวิทยาคมของผู้ทรงอาคมแกร่งกล้ามากเพียงไหนหุ่นพยนต์จะมีอานุภาพเพียงนั้น ที่สำคัญเอาสะดวกเข้าว่า บางครั้งจะเก็บติดตัวต้องพกพาไปไหนมาไหนง่าย ขนาดกะทัดรัดหรือขนาดใหญ่ก็อาศัยว่าจะใช้งานอย่างไร หุ่นพยนต์ธรรมดามักจะแค่หุ่นที่เสกคล้ายมีชีวิต มีรูปร่างของวิญญาณที่มีฤทธิ์มีเดช แต่หากเป็นหุ่นพยนต์อาถรรพ์ เป็นของอาถรรพ์จะมีการเอาวิญญาณ หรือผีสางนางไม้ วิญญาณสิงสาราสัตว์ ผีตายห่าตายโหง ผีตายพราย ตายทั้งกลม ผีแขวนคอตาย ผีรถชนตาย ผีจมน้ำตาย สัมภเวสีผีเร่ร่อน สะกดลงในหุ่นเพื่อกำกับออกมาใช้ เรียกว่า “พรายหุ่นพยนต์”

    การใช้ของอาถรรพ์มาเป็นหุ่นนั้นประสบความสำเร็จมากสำหรับมือใหม่หัดทำ หรือมือเก่าขั้นฉมัง ไม่ว่าจะเป็นด้ายจูงศพ ผ้าหอศพ เชือกผู้คอตาย ดินเชิงตะกอนป่าช้ายิ่งเฮี้ยนยิ่งดี ขี้เถ้า ตะปูตอกโลงศพ เหล็กแทงศพ เขี้ยวงาสัตว์ พิษสัตว์ เมื่อได้วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องการเหมาะสมกับงานแล้ว ให้ขึ้นรูปตามที่คิดว่าจะทำตัวอะไร สิ่งที่นิยมคือหุ่นสาน หุ่นตันๆ(หุ่นปั้น) หุ่นแกะสลัก 3 อย่างนี้มักเห็นอยู่บ่อยๆ

    - ตัวอย่างที่หนึ่ง ถักสานย่านลิเภาเป็นหุ่นรูปจำลองคน สองแขนหรือสี่แขนหรือสิบแขน นุ่งผ้าขาวผ้าแดง สานอาวุธติดพร้อมมือ หอกดาบปืนผาหน้าไม้กระบี่กระบองจักรธนู จะให้ให้ขี่วัวขี่ควาย ขี่หมีขี่แรด ขี่เสือขี่ช้าง ขี่เหยี่ยวขี่หงส์หรือจะให้เป็นกองทัพเดินดิน ให้เป็นนักรบโชว์เดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม ใช้ในการต่อสู้ ใช้ป้องกันตัวเป็นกลุ่มกองกำลังผีติดอาวุธยุทโธปกรณ์

    - ตัวอย่างที่สอง ปั้นหุ่น หล่อหุ่นเป็นสัตว์ มีเท้าไม่มีเท้า สองตีน สี่ตีน สิบตีน แสนตีน มีเขี้ยวมีงา มีงวงมีหาง มีหูมีเขา จะเป็นสัตว์ประหลาดหรือสัตว์ในวรรณคดีย่อมได้ บ้างให้เป็นเสือมีเขี้ยวมีเล็บหรือเขี้ยวดาบ บ้างให้เป็นช้างมีงามีงวงหรือหางเป็นปลา ช้างน้ำมีงาลงน้ำได้สะดวก บ้างให้เป็นหมี บ้างให้เป็นแรดมีนอมีหนังแข็ง บ้างให้เป็นงูมีเขี้ยวมีพิษ บ้างให้เป็นนกมีหูมีตามีปากแหลมเล็บแหลมมองไกลได้สะดวกใช้เป็นเรดาร์ได้สบาย ใช้ต่อสู้โจมตี

    - ตัวอย่างที่สาม แกะสลักจากไม้จากหิน หรือปั้นจากดิน เป็นยักษ์ปิศาจ สัตว์ประหลาดต่างๆ มีกระบองกระบี่ ขี่พาหนะ มีโล่มีเกราะ ยืนบ้างนั่งบ้าง ใช้ต่อสู้ หรือเฝ้าสถานที่ ปกปักษ์พิทักษ์รักษาสถานที่ต่างๆ ตามคำสั่งของผู้ใช้วิทยาคม

    - ตัวอย่างที่สี่ หุ่นพยนต์ตาปะขาว ยายปะขาว ชีปะขาว หุ่นพยนต์ตัวครูพ่อครู เป็นปู่ครูอาคม นุ่งขาวห่มแดง ใช้รักษาวิชาอาคม ปกป้องคุ้มภัย ใช้ถามไถ่ความอยากรู้ต่างๆ ใช้ป้องกันตัวจากภูตผีปิศาจ ใช้เป็นเมตตามานิยม รักษาผลประโยชน์ของเจ้าของ ทำให้ผู้ประสงค์ร้ายมีอันเป็นไปในรูปแบบต่างๆ

    - ตัวอย่างที่ห้า หุ่นพยนต์ตะกรุด เป็นด้ายหรือเชือกผูกเป็นปม ประกอบด้วยหัว ลำตัว แขน ขา ใช้แผ่นโลหะ บ้างใช้ทองเหลือง บ้างใช้แผ่นเงิน บ้างใช้แผ่นทองคำ บ้างใช้แผ่นทองแดง บ้างใช้แผ่นเหล็ก บ้างใช้แผ่นตะกั่ว พันเป็นหัวเป็นตัวเป็นแขนขา ตะกรุดประเภทนี้เหมือนกับการพกติดตัวไปไหนมาไหนมาที่สุด สะดวกที่จะห้อยติดตัวแขวนติดรถ มัดติดกระเป๋า นิยมใช้ในการป้องกันตัว ไล่ภูตผีปิศาจ เมตตามหานิยม เป็นมหาเสน่ห์ก็ได้

    เมื่อได้รูปปั้นตามต้องการแล้วก็นำมาประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ เรียกว่า “ผูกหุ่นพยนต์” คือการเอารูปหุ่นที่ได้แล้วมาเป่าเสกคาถา ปลุกผีแล้วสะกดลงหุ่น ให้ภูตผีสิ่งสถิตหุ่นพยนต์ ในระดับนี้จะเรียกว่าพรายหุ่นพยนต์ ปลุกเสกเสร็จแล้วจะมีวิธีการเลี้ยงรักษาแน่นอนหุ่นพยนต์ปกติไม่กินอะไรอยู่แล้ว จะมีคาถากลบทอยู่ 4 คาถาที่ใช้หลังจากปลุกเสกแล้ว ตามตำหรับที่ผมได้ศึกษามา การนำหุ่นไปที่ๆมีผีเฮี้ยนแล้วปลุกผีขึ้นมาจากนั้นก็เจรจากันให้ดี ถ้าผียอมดีๆเราจะใช้ทำงานง่ายขึ้น จากนั้นใช้คาถาผูก หากเป็นตำหรับที่ไม่ต้องใช้พรายสะกด ตัวอย่างเช่น ตำหรับของหลวงปู่ศุข วัดปากครองมะขาวเฒ่าท่านว่าเอาหญ้าคาหรือหญ้าแพรก ผ้าที่ท่านชักบังสุกุลหรือสายสิญจน์ที่ใช้สวดมนต์นำมาถักเป็นหุ่น แล้วปลุกให้ขึ้นจนมีรูปร่างใหญ่โตก็ได้ ให้หัดทำในที่ลับตาคน เมื่อทำเป็นแล้วจึงทำที่ใดก็ได้ ขณะที่จะเริ่มเป็นหุ่นนั้น จะกลิ้งโคลงเคลงเสียงดังโครมครามเสียก่อน จากนั้นก็ใช้คาถาหัวใจนิพพานสูตร “อะนิโสสะ”
    “โสสะอะนิ” พระคาถานี้ใช้บริกรรมผูกหุ่น จนกว่าจะเป็นขึ้นมา
    “สะอะนิโส” พระคาถานี้ ใช้บริกรรมเรียกหุ่นให้มาหาเรา เมื่อจะไปในที่ใด ให้ขี่คอหุ่นนั้นไปเถิด
    “อะนิโสสะ” พระคาถานี้ เมื่อผูกหุ่นให้เป็นขึ้นมาแล้ว จะให้อยู่ในที่ใดก็ดี ให้เสกเอาสายสิญจน์คล้องคอหุ่นไว้ เมื่อจะใช้ไปไหนค่อยถอดออก
    “นิโสสะอะ”เมื่อจะใช้หุ่นไปไหนให้ บริกรรมคาถานี้ขับออกให้ไป แล้วเอาสายสิญจน์ออก

    เมื่อจะทำให้จัดเครื่องกระยาบวช ๑ สำหรับบูชาครู เทียนเล่มหนัก ๑ บาท ผ้าขาว ๑ ผืน เงิน ๑ บาท เอาแป้งปั้นเป็นควายดำ ๑ ตัว ท่องคำบูชาครู

    ตะมัตถัง ปะกาเสนโต สัตถาอาหะ อิมะอะวิ ตะอุอะมิ มะสะนะโม
    สิบนิ้วของข้าขอน้อมนมัสการ แด่คุณครูบาอาจารย์ ผู้ประสาทวิทย์ อันเป็นมิ่งมิตรทั่วโลกา ข้าพเจ้าขอไหว้เทพยดาผู้ศักดิ์สิทธ์ ทั้งพระองค์พรหมศรี ผู้เรืองฤทธิไกร อีกทั้งครูผู้รู้ไสยศาสตร์โหราจารย์ จงมาอภิบาลปกเกศ ทั้งบิตุเรศชนนี หลวงพ่อกวยก็ดีจงมาเป็นสักขีพยานให้ข้า ซึ่งจะท่องว่าคาถาอาคม ให้บรรจุสิ้นและศักดิ์สิทธิ์ เป็นนิมิตดีแก่ข้า ณ บัดนี้เทอญ

    กล่าวคือตำหรับของหลวงปู่ศุขนั้นได้รับกล่าวขานว่า “เสกหัวปลีเป็นกระต่าย การเสกใบมะขามเป็นตัวต่อ” ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าพระพักต์ของกรมหลวงชุมพรฯ (เสด็จเตี่ย) มาแล้ว ในหุ่นพยนต์ที่หลวงปู่ศุขสร้างนั้นรุ่นที่ทำจากน้ำว่านและใบไม้ 7 อย่าง ใบตาล ใบลาน ใบขนุน ใบคูณ ใบพยุง ใบรัก ใบจันทร์ แล้วจารอักขระคาถายันต์หัวใจนักรบ ผูกเป็นหุ่นพยนต์อาถรรพ์ขึ้นมา

    ในตำหรับอีกหลายตำหรับจะใช้คาถานี้คือ "โอม ปลุกมหาปลุก กูจะปลุกพ่อหุ่นพยนต์ ด้วยอะหังทุกัง นะมะพะทะ" ถ้าจะให้ผีพรายสิงก็ใช้ "อมปลุก มหาปลุก กูจะปลุกโหงพรายด้วยนะมะพะทะนะละภูตาปิยังมะมะฯ" เป็นการปลุกผีพรายที่อยู่ในหุ่นพยนต์เข้าสิงคนอื่น และคาถาสำหรับหุ่นพยนต์ ให้ใช้คาถาสี่กลบทนี้ในการควบคุม คือ เรียก ปลุก ผูก ขับ

    หลักการนี้สามารถใช้กับผีประเภทอื่นๆได้ เพื่อให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจเรา
    คาถาเรียก (เรียกพรายให้มาหา)
    จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
    นิพพานัง พะทะนะมะ เตโชธาตุ
    ทีฆังวา อะสะจะภะ วาโตเสนโต
    เอกะชานัง ปะรังยันตะวา อาคัจฉามิ

    คาถาปลุก (ปลุกพรายเพื่อสั่งการใช้งาน)
    จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
    นิพพานัง มะพะทะนะ ปถวีธาตุ
    ทีฆังวา ภะกะสะจะ วาโตเสนโต
    ปะสสาโสหัทธะยัง สิวัง ชีวัง อุตเตติ

    คาถาผูก (ผูกพรายให้อยู่กับที่ไม่ออกไปเพ่นพ่าน)
    จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
    นิพพานัง ทะนะมะพะ วาโยธาตุ
    ทีฆังวา สะจะภะกะ วาโตเสนโต
    พุทธา พันธะ นายะกัง พันธัตตะวา

    คาถาขับ (ขับพราย ไล่พรายให้ไปไกลๆ)
    จิเจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
    นิพพานัง นะมะพะทะ อาโปธาตุ
    ทีฆังวา จะภะกะสะ วาโตเสนโต
    อัสสาโส นิพพานังสูญญัง คัจฉะติ

    หุ่นพยนต์แม้ว่าโดยรวมๆแล้วจะไม่มีพิษมีภัย แต่ควรใช้อย่างระมัดระวัง เพราะถ้าเลี้ยงงูเห่า ก็อย่าให้งูเห่าเหว้งกลับมากัดเรา


    * ก็ก้อปมาให้อ่านเป็นความรู้นะครับ พิจารณากันดีๆเพราะหลายคนเลี่ยงสายพรายแต่ไปทดแทนด้วยการบูชาหุ่นพยนต์แทน ซึ่งหลายคนที่มีปัญหาให้แก้ไขและสอบถามกันเข้ามาสุดท้ายก็เอาไปทิ้งเอาไปหลอกให้คนอื่นเลี้ยงต่อเพราะตัวเองหนีไม่พ้นพรายนี่เอง ดังนั้นก่อนจะเช่าจะบูชาก็ศึกษากันดีๆว่าหุ่นพยนต์นั้นๆเป็นสายไหนมีพรายรึเปล่า ไม่อย่างงั้นก็คงขว้างงูไม่พ้นคอตัวเอง ถึงไม่มีเนื้อหนังกระดูกก็ต้องดูว่าเขาแช่น้ำมันอะไร ใช้ผงอาถรรพ์รึเปล่า ผ้าห่อศพรึเปล่า ใช้เหล็กพวกตะแกรงศพเหล็กพลิกศพมาหล่อรึเปล่า พูดง่ายๆพวกนี้มันก็กองทัพผีทั้งนัั้น แต่พยนต์สายคุณพระสายเทพก็มีอยู่มากศึกษาให้ดี

    image.jpg
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่ฐิตกาญจน์ ET 0635 4022 8 TH

    พี่ชัยวัฒน์ ET 0635 4023 1 TH

    พี่ธีรพจน์ ET 0635 4024 5 TH

    พี่ภาคภูมิ ET 0635 4025 9 TH

    พี่ชัยวัฒน์(ยานนาวา) ET 0635 4026 2 TH

    พี่สุรวุฒิ ET 0635 4027 6 TH

    พี่ศิระ ET 0635 4028 0 TH

    * ถ้าขาดตกรายชื่อใครแจ้งผมด่วนนะ เหมือนจะตกไปคนนึง
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เดี๋ยวพรุ่งนี้มาติดตามพูดคุยกันนะครับ ห้ามพลาด เห็นมีคนถามเข้ามาจะยกมาพูดกัน
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้ห้ามพลาดเลย เดี๋ยวเราจะมาพูดคุยกัน ติดตามกันติดๆเลยนะ;)
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530


    กุมารทอง



    ก็มีเรื่องแปลกนิดๆมาเล่าคั่นเวลาซักครู่


    เรื่องของน้องก้อนทองที่พ่ออาจารย์ท่านเคยแจกนี่แหละ หลังจากหมดไปเราก็มีเก็บไว้เองอยู่สององค์ มันน่าแปลกที่เราไหว้เราบูชาอยู่แต่พอตั้งใจจะยกให้ใครหาอย่างไรก็ไม่เจอ จะไม่แปลกได้ยังไง ก็วางเค้าไว้อยู่ตรงหน้าเรามาตลอดแถมยังค้นตรงนั้นแบบที่เรียกว่าค้นแล้วค้นอีกหลายรอบ วางอยู่ตรงหน้า เห็นทุกวันแต่หาไม่เจอ จนเราเองยังเข้าใจผิดไปว่าน้องก้อนทองหายไปไหนนะ หายไปได้อย่างไร จนเมื่อวันก่อนได้ยินเสียงเด็กมากะซิบว่า" พ่อๆ หนูหายงอลแล้ว " ก็ยังไม่คิดอะไรเพราะว่าคิดไม่ทัน ไม่รู้ว่าหูแว่วรึเปล่า แต่มาวันนี้กลับเจอน้องเค้าวางอยู่ที่เดิม อยู่ตรงหน้าเราเหมือนเดิม ตรงที่เราค้นเราหาอย่างไรก็ไม่เจอนั่นแหละ

    ก็เลยมาคิดว่าเออกุมารเทพนี่ก็งอลเป็นนะ สงสัยเขาคงไม่อยากไปหรือไม่ยอมให้เรายกเค้าให้คนอื่นจริงๆเลยต่อต้านด้วยการบังตาเอาดื้อแบบนั้น แถมไม่ใช่เรื่องบังเอิญรึบังวันสองวันด้วย แต่เป็นบังไว้ถึงเดือนสองเดือนให้หาอย่างไรก็ไม่พบไม่เห็นทั้งที่วางอยู่หน้าตัวเอง น่าจะงอลยาวจริงๆ

    อันนี้ก็แปลกดี เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเราเลย ก็นำมาเล่าให้ฟังกัน ใครที่ทันกิจกรรมแจกน้องก้อนทองก็อย่าลืมเอามาอธิษฐานกันนะ สมหวังอะไรแล้วก็เลี้ยงเค้าบ้าง อธิษฐานชวนเค้าไปทำบุญแผ่กุศลคิดถึงเค้าบ้าง ปกติผมจะชอบเชิญมารับบุญตอนแผ่เมตตา จะเติมชื่อเค้าไปด้วยก่อนแผ่ว่าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้กับ....(ชื่อครูบาอาจารย์ เทวดา กุมารทองต่างๆ ร่ายยาวไปเท่าที่จะนึกได้) เจ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันก็ตอกย้ำเราอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือน้องเค้าเป็นกุมารทอง ทีนี้เรื่องนี้มันทำให้เรารู้ว่ากุมารทองก็มีความคิด จะพูดว่าเจ็บได้ร้องไห้เป็นก็คงจะยังไง เพราะงอลยังงอลเป็น อารมณ์ก็คงเหมือนคนในครอบครัวจะเอาไปยกให้ใครง่ายๆคงไม่ได้ ดังนั้นหลายท่านที่เลี้ยงกุมาร บอกกันไว้ก่อนเลย เพราะก่อนเลี้ยงมันยังไม่มีพันธะหรือความผูกพันตรงนี้ ให้มองในระยะยาวไว้ก่อน ศึกษาดีๆ ถ้าคิดว่าจะเช่ากุมารสายพรายซึ่งมีอยู่มากมายหลายสำนัก คิดว่ารับเขาได้เลี้ยงแล้วไม่ทิ้งก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าจะเอามาแล้วทิ้งหรือไม่ทิ้งก็ตาม แนะนำให้บูชากุมารเทพดีกว่า ที่กล่าวเช่นนี้คือเค้าไม่ให้โทษเรา เต็มที่ก็มีโกรธเคืองหรืองอลกันเล็กๆน้อยๆแค่นั้น กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าทิ้งได้นะ มันมีพันธะถึงเราจะมองไม่เห็นก็ตาม ก็เหมือนเราทิ้งลูกตัวเองซึ่งคนดีๆเขาไม่ทำ ดังนั้นก่อนเลี้ยงก็พิจารณาดีๆ

    เรื่องของน้องก้อนทองนี่แปลกนะ หลายคนมีประสบการณ์ยังไงไม่รู้ แต่ที่ผมเจอกับตัวก็คือการบังตา ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น แม้ตอนเอาน้องมาติดตัวเรียกให้ไปกับเรา ตอนเราเข้าที่คับขันเจอคนที่เราไม่อยากเจอวันนั้นจริงๆ แล้วเค้ากำลังมองหาเราเดินตามหาเราด้วย เราก็อธิษฐานบอกน้องก้อนทองว่าช่วยกันหน่อย บีบเค้าไว้แน่นเลยอย่าให้มันหาพ่อเจอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเค้าเดินมามองเรา หยุดตรงหน้าเรา มองมาที่หน้าเรา ตอนนั้นคิดเลยว่าเหอะเจอจนได้ แต่แล้วกลับเดินผ่านไปเฉยๆพยายามหาเราต่ออยู่แบบนั้น แต่กลับมองเหมือนเราเป็นอากาศธาตุหาเราไม่เจอทั้งๆที่มันจ้ิงเราอยู่เมื่อกี้ พอวันต่อมาเจอกันถึงมาทักว่าเราหายไปไหน ทั้งๆที่เราก็บอกว่าผมนั่งอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงหน้าคุณเลย คุณยังเดินมาหยุดตรงหน้าผมมองผมแทบจะหายใจรดกันเลย เค้าก็ดูน่าอึ้งๆบอกว่าเราอำเราพูดไม่จริง คนบ้าอะไรจะมองไม่เห็นกันขนาดนั้น" แต่เรารู้แก่ใจว่ามันคือความจริง และทำให้เชื่อได้หมดใจว่า น้องเค้าบังตาคนๆนี้เอาไว้จริงๆ " ให้มองไม่เห็นเรา นี่ก็เป็นช่วงเวลาที่น้องก้อนทองเขาแสดงฤทธิ์ของเขาเวลาที่เรารู้สึกจวนตัว หรือรู้สึกว่ามีภัยคุกคาม

    ทีนี้ถามว่าผมเซ่นกุมารมั๊ย บูชายังไง บอกเลยว่าค่อนข้างจะปล่อยปละละเลยด้วยซ้ำ เรื่องเซ่นเรื่องเรียกกินนี่เรายอมรับเลย แต่เค้าเป็นกุมารเทพ ย่อมไม่ให้โทษให้แต่คุณ ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านบอกว่าจะเซ่นรึไม่เซ่นก็ได้ ตรงนี้ ไม่ใช่ไม่เซ่นแล้วจะบูชาไม่ได้ อันนี้คือยอมรับในส่วนที่เราลืม แต่ก็มีอีกเรื่องที่เราไม่เคยลืมคือเวลาทำบุญรึแผ่กุศลต่างๆเราจะนึกถึงกันเสมอ เรียกว่านึกถึงครูบาอาจารย์ เทวดา และกุมารต่างๆ ตรงนี้ให้คิดเสียว่าเค้ามาช่วยเราเพื่อเอาบุญ ดังนั้นเอาจริงๆไอ้ของไหว้ทั้งหลายนั้นเราเคยเห็นเค้ามานั่งตักกินให้มันแหว่งมันพร่องหรือเปล่า พ่ออาจารย์ท่านว่าที่เราไหว้ก็เพื่อเป็นน้ำใจ เป็นการแสดงออกทางมารยาท ว่าเราระลึกถึงเขาเลี้ยงดูเขาแต่มันก็เป็นเพียงทางกายภาพทำให้เขารู้สึกว่าเราใส่ใจเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไหว้แล้วเค้าจะมากินมาเสพ สิ่งที่จะทำให้เทวดาทั้งหลายได้จริงๆนั่นก็คือกุศล ทางแห่งกุศลอันจะไม่พาลงไปสู่จตุรบาย เราก็จำตรงนี้เอาไว้มั่นเลยว่าสิ่งเหล่านี้เค้าไม่ต้องการอิ่มท้องกันแล้วเพราะเค้าเป็นทิพย์และเป็นเทวดาระดับสูง แต่เค้าต้องการอิ่มบุญ ใครที่เลี้ยงกุมารทองก็ลองถามตัวเองว่านอกจากเครื่องเซ่นที่เราให้ตามมารยาทแล้ว เราเคยออกปากชวนเค้าไปทำบุญมั๊ยหรือชวนมาร่วมกุศลรับกุศล ชวนมาสวดมนตไหว้พระด้วยกันมั๊ย อันนี้แหละสำคัญ ทำให้เค้าอิ่ม ถึงเวลาเค้าก็จะช่วยเราให้อิ่มเสมอกัน เพราะเทวดาท่านไม่โกงแน่นอน

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2017
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เดี๋ยวมาพูดคุยกันต่อนะ ติดตามๆ
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    วันนี้ยุ่งทั้งวันเลย เพราะมีแต่คนฝากคำถามคำทำนาย หรือฝากเรื่องให้ท่านทายความฝันที่เป็นเชิงลึกต่างๆ แต่ก็มีรายนึงเล่าว่าเค้าเกือบถูกหวยรางวัลที่หนึ่งแล้ว เพาะเค้าซื้อเลขไว้ชุดนึง พี่เค้าเล่าว่าคุณกรณ์เชื่อมั๊ยฉลากผมกับรางวัลที่หนึ่งที่ออกเลขมันตรงกันหมดเลย มีเลขเดียวกันหมดทุกตัว ผิดแค่มันสลับที่กันหลักนึงเท่านั้น ผมฟังไปก็แหย่ไปว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คิดซะว่าวาสนาเรายังไม่ถึงในงวดที่ผ่านมาก็แล้วกัน ก็เอามาเล่าให้ฟังกัน ส่วนเรื่องที่จะเล่าจะพูดคุยก็โยกไปวันหยุดเลย อย่าลืมติดตามนะ;)
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    วิธีเจริญสมาธิ

    อรุณสวัสดิ์ครับ ก็เห็นมีพี่ท่านนึงแชร์มาเมื่อเช้าพอดี ก็เลยจะยกมาให้อ่านกันเลย ลองศึกษากันดูนะครับ ถ้าคิดว่าใช่ตรงกับจริตเราก็ลงมือทำ


    วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้

    ๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก

    ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ “ตัว” อย่างเดียว

    รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ “รู้อยู่เฉยๆ” ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม

    เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ

    จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป

    ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

    ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการ เจริญจิตครั้งต่อๆ ไป

    ในกรณีที่ไม่สามารทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า “พุทโธ” หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต

    พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง

    ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว

    เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้

    ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที

    เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง

    ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ

    เจตจำนงนี้ คือ ตัว “ศีล”

    การบริกรรม “พุทโธ” เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป

    แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

    ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจนและความไม่ขาดสายของพุทโธจะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ

    เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย

    เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย

    เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ “พฤติแห่งจิต” ที่ฐานนั้นๆ

    บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ

    ๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต)

    ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ

    ๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)

    ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖

    ๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ

    คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด

    ๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดละออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้

    คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง

    ๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ
    เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น

    เรียกว่า “สมุจเฉทธรรมทั้งปวง”

    ๗. ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึกถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้นก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะ กรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า “พ้นเหตุเกิด”

    ๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร

    เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)

    เมื่อจิตว่างจาก “พฤติ” ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซึมซาบอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน

    เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร

    เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว “จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง” จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า “นิพพาน”

    โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้นเป็นแบบ “ปริศนาธรรม” มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้นคำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้น มีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า “พฤติของจิต”แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น

    คำว่า “ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต” เหล่านี้ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่าย เข้าใจง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่

    ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ “พฤติแห่งจิต” อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการ ปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลังเพราะคำว่า “มรรคปฏิปทา” นั้น จะต้องอยู่ใน “มรรคจิต” เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย

    การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีล วิสุทธิมรรค พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่เปรมยุดา ET 0636 7340 5 TH

    พี่ภิญโญ ET 0636 7341 4 TH
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตั้งแต่ลงเรื่องหุ่นพยนต์ไป มีหลายท่านถามว่าพ่ออาจารย์ท่านได้ทำวิชาผูกหุ่นพยนต์มั๊ยอยากได้เพราะมั่นใจของท่านว่าไม่มีพรายหรือแรงผีแน่นอน ไม่งั้นก็อะไรก็ได้ที่เป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ผมยังสะดุ้งกับคำหลังเลยนะ คำว่าทาสผู้ซื่อสัตย์ เพราะมันคือพันธะและหน้าที่ ที่จะต้องคอยตามรับใช้ผู้เป็นเจ้านาย แต่ถามท่านไปแล้วก็ปรากฏว่ามี แถมไม่ใช่มีธรรมดา เสกมาตกเกือบสี่ปีแล้วด้วย ซ้ำยังเป็นพระผงซึ่งเราจะรู้กันว่าพ่ออาจารย์ท่านไม่เคยจารสดลงในเนื้อพระเลย แต่กับเครื่องมงคลนี้ท่านว่าท่านกดพิมพ์ไป ฝังของมงคลต่างๆไป จารกำกับลงในเนื้อพระไป ถือได้ว่าต้องมีอะไรสำคัญแน่ๆ เดี๋ยวเราจะเอามาพูดคุยกัน
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,106
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อนันต์กาล

    วิชาการสร้างพยนต์ด้วยมหาพันธะสัญญาจะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้อย่าพลาดกัน แล้วจะพูดได้คำเดียวว่าหากได้ลองใช้จะวางไม่ลงทีเดียวกับพยนต์เทวภูติอนันต์กาลมหายักษา...

    .... อันนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่าเป็นเครื่องมงคลที่พ่ออาจารย์ท่านตั้งใจทำให้พกห้อยเอวไว้กับพวกตะกรุดหรือใส่ในกระเป๋ากางเกงก็ได้ กระเป๋าเดินทางเวลาเราไปไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องห้อยคอ ซึ่งพยนต์เทวภูติอนันต์กาลมหายักษานั้นต้องเรียกว่าพ่ออาจารย์ท่านเสกจนสำเร็จนานแล้ว ก่อนอื่นต้องพูดว่าที่เสกสี่ปีนั้น ความจริงก็ไม่ใช่การเสกซะทีเดียว เพราะท่านมักจะพูดเสมอว่าการสำเร็จเครื่องมงคลทั้งหลายนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน เพียงช้างกะดิกหู งูแลบลิ้น ก็เสำเร็จแล้ว เต็มแล้ว ดังนั้นการที่ท่านบอกว่าต้องเสกถึงสี่ปีจึงน่าจะมีอะไรลึกๆอย่างแน่นอน

    จากที่ได้ถามท่านไว้กลายๆ ไม่ใช่ว่าท่านเสกถึงสี่ปี แต่กลับเป็นท่านเคยให้คนบูชาไปแล้วและไม่กล้าให้ใครบูชาต่อถึงสี่ปี ซึ่งระหว่างสี่ปีนี้ท่านก็ได้แต่เพียรสวดเสกไปอธิษฐานจิตเพิ่มเติมในส่วนของฤทธิ์และตบะบารมีเสริมให้อนันต์กาลมหายักษา อันว่าตบะและฤทธิ์นั้นท่านว่าเป็นสิ่งที่สามารถขัดเกลาให้กับเขาได้และในทางตรงข้ามก็สามารถทำลายลงได้เช่นกันด้วยอานุภาพแห่งพระเวทย์ จะกล่าวถึงในส่วนนี้ท่านว่าเพราะฤทธิ์กับตบะบารมีนี้มันสามารถเพิ่มพูนได้ไม่รู้หมด สี่ปีนี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดทีเดียว

    แล้วทำไมเหตุใดท่านถึงเก็บเอาไว้นานขนาดนั้น ท่านว่าพยนต์อนันต์กาลมหายักษานี้ท่านทำตามวิชาของท่านเป็นพยนต์ยักษ์ถือจักรกรดและกระบอง ซ้ำมีหัวของมหายักษ์ทั้งหลายวางกองอยู่ที่พื้น....เดี๋ยวไว้ติดตามกัน(เหมาะกับคนชอบของแรงๆและตามที่บอกแต่ต้นคือเหมาะกับคนที่ต้องการทาสหรือบริวารที่รักนายและซื่อสัตย์กับเราคนเดียวจริงๆ)

    พ่ออาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นมีคนมาขอบูชาไป เค้าว่าโดนกระทำย่ำยีเสียเหลือเกิน คู่แข่งฝ่ายตรงข้ามทำกับเขาเสียทุกอย่าง ท่านว่าเราเห็นว่าเค้าไม่มีมลทิน ไม่มีความผิด แล้วกำลังรับทุกข์โทษภัยที่ไม่สมควรจะเกิดแก่ชีวิตครอบครัวอยู่ สิ่งที่ได้รับมานั้นมันค่อนข้างรุนแรงและเกินเลยขอบเขตของการแข่งขันทางธุรกิจกันมากไป เหมือนว่าเป็นความแค้นส่วนบุคคลมากกว่าเหตุผลทางธุรกิจ มันบานปลายหลายๆเรื่องทั้งมีคนส่งนักฆ่าตามประกบ ขับรถชนลูกชายลูกสาว ตลอดจนเรื่องร้ายแรงต่างๆมากมายเหมือนข่มขู่เอาชีวิต ตอนนั้นท่านจึงให้เค้าร่วมทำบุญเอาพยนต์อนันต์กาลมหายักษาไปบูชา ปรากฏว่าฝ่ายที่คิดจองล้างจองผลาญนั้น ต่อมาภายหลังจึงได้ทราบว่าเค้ามีอาการเพ้อ ฝันเห็นยักษ์ว่าจะเอากระบองมาทุบศรีษะเขาให้แตกออกเป็นเจ็ดภาค ฝันซ้ำแล้วซ้ำอีกจนต้องหาครูบาอาจารย์มาแก้ไขและครูของทางนั้นต้องแนะนำให้มาขอขมากับคนที่ตัวเองทำร้ายเพราะเป็นเจ้าของมหายักษ์ซึ่งก็คือชายคนนี้แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง... ก็ยาวเลยแต่หลังจากนั้นช่วงตกสองสามปีหลังนี้ คนที่บูชาอนันต์กาลมหายักษาไปได้ส่งข่าวมาเนืองๆพร้อมขอเป็นเจ้าภาพงานบุญใหญ่ๆหลายงานที่พ่ออาจารย์ท่านดูแลอยู่ เขาทำโดยไม่เอาอะไรเลยและทำมาตลอดจนน่าแปลกใจ จนผมมีโอกาสได้ถามเค้าว่าอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง ซึ่งพี่คนนี้ก็ตอบแบบติดตลกว่า ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เหล้าขาวขวดเดียว ทั้งช่วยชีวิตและเปลี่ยนชีวิตผมได้ เราฟังทีแรกก็ยังไม่เข้าใจนึกไปว่าเออเฮียคนนี้แปลกน่าจะติดเหล้าขาวสงสัยเลิกเหล้าได้ จนเค้าเล่าว่ามันเป็นเคล็ดที่พ่ออาจารย์ท่านให้เซ่นเหล้ากับอนันต์กาลมหายักษาเป็นประจำ เขาว่ามันไม่มีอะไรเลยมีแค่นี้จริงๆ เหล้าขาวขวดเดียวทั้งช่วยชีวิตและเปลี่ยนชีวิต พี่เค้าว่าถ้าเทียบกับตอนก่อนได้มาผมกล้าพูดได้เลยว่าธุรกิจการงานของผมขยายตัวเกินกว่าสิบเท่า ได้ฟังดูแล้วทำให้เราคิดได้ว่าอนันต์กาลมหายักษาน่าจะเป็นเครื่องมงคลที่มีคุณหลายทางเป็นแน่ และพี่เค้าก็คงอธิษฐานใช้งานหลายอย่างจนสำเร็จและสำเร็จแล้วจริงๆ

    จากที่ได้ถามพ่ออาจารย์ท่านว่าทำไมถึงเก็บไว้นาน ท่านบอกว่าเทวภูติรับใช้ที่มีอานุภาพเกินเทวดายักษ์มารปีศาจแบบนี้ไม่ใช่คิดจะทำก็ทำได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ เราไม่กลัวคนจะไม่ได้ใช้ กลัวแต่จะไม่มีเหลือให้ดู ท่านว่าตัวท่านเองยังต้องเลี่ยมคาดเอวไว้ตนหนึ่งเช่นกันเพราะเวลามีประสงค์ต้องการอะไรเค้าจะเป็นธุระจัดการให้ไปเสียหมด เขาแรงและไวดี พ่ออาจารย์ท่านว่าแค่พกไว้เค้าก็คอยอ่านจิตและรับรู้ความต้องการของเราแล้ว ของพวกนี้เป็นทิพย์ ทิพย์กายเหล่านี้เค้าทำอะไรได้ไวกว่าที่เราคิดจะทำเองเยอะ ก็ติดตามกันไว้ บอกได้คำเดียวว่าห้ามพลาด

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...