ร่วมทำบุญบูชา มงคลตัดผ่านสวรรยามหากุมารต้นไฟอมฤต(สลายจุดชะลอชะตาสี่มหาฤทธิ์พญา) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. Akkra1978

    Akkra1978 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +1,490
    บูชาพระไปเกือบครึ่งแสน พอมีปัญหาจะถาม ก็ไม่ตอบ พอจะขายพระล่ะเร็วนัก
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตอบคุณ Akkra1978 นะครับ คำถามคุณตั้งแต่รอบดูดวงซึ่งก็ตอบเคลียไปรู้สึกว่าจะมากแล้ว แล้วถามกลับมาก็เหมือนย้อมคำถามเดิม ซึ่งถ้าจะให้ท่านตอบก็คงได้คำตอบเดิม ผมเคยแจงไว้แต่เริ่มว่าจะตอบครั้งเดียว ดูดวงเจ็ดสิบกว่าคน ไม่เฉพาะคุณนะมีคนย้อนกลับมาไม่จบไม่สิ้นทุกคน ก็อธิบายละเอียดไปเเล้วว่าดวงมันเป็นเช่นนั้นคนที่เลือกว่าต้องทำอะไร ลงมือตัดสินใจมันคือตัวคุณเอง ดังที่ตอบไปแล้ว ว่าไม่สมควรแต่ถ้าสถานการณ์มันพาไปก็ต้องพึ่งสติปัญญาตัวเองไตร่ตรอง ผมถึงเคยบอกแต่แรกว่ากิจกรรมดูดวงดูให้ได้ตอบให้ได้ แต่มันวุ่นวายไม่จบสิ้นถึงได้ไม่จัดขนาดมีคนขอแทบจะทุกวัน เพราะคนเค้าชอบบริการแบบเต็มคอร์สโดยไม่ได้นึกถึงเราเลยว่าคนหนักหน้ารับหน้าก็เรา บางทีอ่านแล้วเงียบเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเดิมเรื่องที่เราตอบไปแล้ว นั่งพิมพ์บางคนก็ครึ่งหน้าเอสี่เพราะดวงเค้าต้องแก้มีเรื่องต้องแนะนำเยอะ บางคนดวงดีอันนี้ก็สั้นหน่อยบอกแค่ครอบคลุมไปเฉยๆตอบไปเจ็ดสิบกว่าคนแล้วเกือบทุกคนมีคำถามย้อนกลับมาเกินสี่สิบ ที่จะพิมพ์ว่าขอบคุณครับนับหัวได้เลย มันไม่สนุกหรอกคุณ เพราะมีเรื่องแบบนี้บ่อยเวลามีกิจกรรมเกี่ยวกับดวง ถึงแจ้งตลอดว่ามันวุ่นวายเลยพักเบรคไปเกือบสองปี

    อีกประเด็นหนึ่งคุณแอดไลน์มาผมก็กดรับแล้ว แต่ไม่ได้พิมพ์อะไรเข้ามาเลยแค่ถามคุณคุรุปาละใช่มั๊ยซึ่งผมก็อ่านแล้วไม่เห็นมีคำถามอะไรให้ตอบก็กดข้ามๆไป รักษามารยาทด้วยครับ ไม่ใช่ไม่ตอบ แต่ผมเคยพิมพ์ไปแล้วว่าจะตอบในขอบเขตที่เราตอบได้นะ พี่ถามเรื่องงานซึ่งเราส่งคำตอบท่านไปแล้วว่าไม่ดีซึ่งผมพิมพ์ละเอียดมากย้ำว่ามากพร้อมอธิบายด้วยไม่น่าจะจำผิด ย้ายไม่ได้อะไรก็บอกไปหมด แต่พอดีมันเกิดขึ้นเหตุการณ์มันบีบให้ย้ายนั่นก็ต้องเป็นตัวพี่เองที่ต้องพิจารณาเอง เพราะดวงมันก็ยืนพื้นไปเช่นนี้ทั้งปี ตอบอีกกี่ครั้งเวลายังห่างไม่ถึงเดือนดวงคุณพี่มันจะเปลี่ยนรึยังไง อีกอย่างนึงมันไม่ใช่เรื่องที่จะคาดคั้นเอาคำตอบอะไรเลย ถ้าตอนแรกผมไม่ส่งคำตอบก็ว่าไปอย่างจริงมั๊ยครับ แล้วก็แจ้งหน้ากระทู้แล้วว่างดทุกคำถามเกี่ยวกับกิจกรรมดูดวงที่จะฟีดแบ๊คกลับมา เพราะดูแล้วให้มันจบจะดีหรือไม่ดี พูดเลยว่าที่ดีมีน้อยมาก ถึงมีกิจกรรมที่ท่านจะทำเสริมดวงให้ในวาระถัดมาซึ่งก็เพิ่งผ่านพ้นไป มันไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอกครับ ที่จองพระมาก็ไม่ใช่ผมจะตอบเร็ว บางทีครึ่งวัน หนี่งวันสองวันผมเพิ่งตอบก็มีไม่ต้องประชดผมหรอก เวลาส่งของยังส่งผิดส่งพลาดกันไปต้องPM สลับของกันก็หลายครั้ง ที่เห็นน่ากระทู้เงียบๆปกติคือเราต้องการรักษาระเบียบและความสงบเอาไว้ เรื่องวุ่นวายผมก็จัดการเองทางPm มาตลอด เพราะเราจำเหตุผลที่แจ้งไว้ได้ แล้วเราจำได้ว่าตอบอะไรใครไปบ้างแล้ว คือจำได้อ่ะว่าถ้าตอบอีกก็เหมือนเดิม ในเมื่อไอ้ที่บอกหรือแนะนำไปยังไม่ทำก็ไม่มีเหตุผลต้องตอบต่อ ถ้าให้ตอบอีกก็ควรเป็นคำตอบเดิม เอาไปประกอบการคิดพิจารณาและตัดสินใจเอาเอง

    บอกแต่แรกแล้วว่าการดูดวงนี้อย่าไปใส่ใจมาก ให้ดูไว้เป็นแนวทางเฉยๆว่าเราจะรับมือปรับแก้เอากับชีวิตจริงได้อย่างไร เกิดก็ดีไปไม่เกิดก็แล้วไป คิดว่าเจริญสติระวังเอาไว้ มันเป็นสิ่งที่แก้ได้เพราะมันคือการตัดสินใจของเราชีวิตเรา บางอย่างบางคนเราก็เงียบเพราะมันเกี่ยวกับกรรมนับชาติไม่ได้พิมพ์ไม่ถูกไม่รู้จะตอบยังไงเจอมาไม่รู้กี่ชาติจะให้มาจบที่การดูดวงรอบนี้มันก็ไม่ใช่ ทำได้แค่พิมพ์กลับไปพอให้เค้าเห็นทางออกคร่าวๆ เรียกว่าถ้าคิดแล้วย้อนกลับมาคิดและทบทวนดีๆหลายๆรอบมันก็เห็นทางออก ขนาดเราคนพิมพ์ตอบไปเวลาเราตอบเรายังคิดได้เลยว่าเออมันมีทางออกนะดวงคนนี้ บางคนนี่ท่านไม่รับไม่ตอบเลยก็มีเพราะถือว่าที่ถามไม่ใช่เรื่องแล้วจะให้ผมตอบอะไร ให้ผมนั่งมโนเอาเองรึไง อย่างส่งมาเรื่องเดิมตอบไปแล้วก็ควรเอาคำตอบไปพิจารณาเอา ถ้าท่านบ่อกให้อยู่ต่อในขณะที่เค้าเชิญออกพี่จะอยู่ต่อได้ยังไง มันก็ชัดแล้วว่าไม่ควรออกแต่ถ้าออกมาปีนี้มันก็ไม่ดีก็มีอยู่แค่นั้น

    ยกตัวอย่างเลยนะช่วงในหลวงในพระบรมโกฏิจะสิ้นพระชนม์ พ่ออาจารย์ท่านบอกล่วงหน้ามาหลายเดือนว่าเดือนไหนท่านจะไป เราก็ส่งไลน์บอกคนที่ชอบทักไลน์มาว่าช่วงเดือนนี้ๆแผ่นดินจะมีเรื่องใหญ่ ฟ้าท่านถึงที่แล้ว แล้วอย่างไรท่านก็ห้ามไม่ได้ หยุดยั้งรั้งชีวิตไม่ได้ เพราะสิ่งที่เกิดมันก็ต้องเกิดขนาดท่านรู้ล่วงหน้าเกือบปีก็ยังยื้อไม่ได้ท่านก้มีดุลย์พินิจของท่านในคำตอบที่ส่งไปผมเชื่อว่าหลายๆคน บางทีเราอาจจะอ่านให้แล้วพิมพ์แบบสรุปๆ แต่อะไรที่ไม่ดีผมเชื่อว่าผมพิมพ์ให้ครอบคลุมนะเพราะจิตสำนึกเราไม่มาล้อเล่นกกับชะตาคนอยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องตัวเราเองที่ต้องรับไม่ใช่ดวงดาวเทพเจ้าจะมากำหนดอะไรอันนี้ผมพิมพ์ไว้ก่อนเริ่มกิจกรรมเลยนะ ก็ถือว่าตอบไปแล้วเป็นแนวทาง พี่จะเลือกเชื่อตามดวงหรือจะทำตัวนิ่งๆรอให้มันเกิด หรือคิดจะแก้ไขเมื่อมันเกิดก็ควรเป็นเรื่องของพี่เก็บไปคิดไตร่ตรองเอง มันมีช่องว่างให้เป็นทางออกเสมอทุกคนนั่นแหละ ผมพูดได้แค่ว่าที่ตอบกลับไปทุกคน มีถึงขั้นดวงตก ชะตาขาด พร้อมที่จะตายได้ในวันสองวันก็ยังมีแต่มันก้มีช่องว่างให้หลีกเลี่ยงเรื่องร้ายได้ถ้าเขาอ่านที่เราพิมพ์ไปดีๆ เราก็พิมพ์ไปให้ละเอียดว่าต้องระวังอะไร ต้องทำอะไร ควรคิดหรือตัดสินใจอะไร แต่สุดท้ายมันก็ป็นเรื่องของเค้าเองว่าจะคิดหรือทำมั๊ย จริงมั๊ยครับ ตอบครั้งเดียวนะเรื่องนี้ไม่ต้องมาถามต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2017
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ก่อนจะราตรีสวัสดิ์กันวันนี้นะครับ

    เกี่ยวกับเรื่องPM ขอแนะนำอย่างนึง อย่าส่งคำถามซ้ำหรือเรื่องเดิมมาเวลา PM เพราะผมอ่านถ้าเห็นว่าตอบไปแล้วผมจะไม่ตอบซ้ำจะข้ามไปดูของคนอื่นเลย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราไม่อ่าน แต่คือเราจำได้ว่ามันเรื่องเดิมมันตอบไปแล้วให้ตอบอีกก็เหมือนเดิมจะย้ำกี่รอบก็คำตอบเดิม ถึงจะเปลี่ยนคำถามแต่เนื้อหาก็วนๆอยู่เรื่องเดิม เราจะข้ามและเงียบทันที กับอีกกรณีคือเหมือนถามแบบกวนๆว่าบ้านผมมีพระนั่นนี่สิ่งนั้นสิ่งนี้พิมพ์มาแค่ตัวหนังสือจะให้ท่านนั่งดูย้อนอดีตเป็นร้อยเป็นพันปีว่าใครสร้างเราก็จะเงียบ ตรงนี้มันเป็นระบบตอบกระทู้ของผมที่ผมใช้มาประจำ

    แต่ในกรณีเดียวกันไม่ได้หมายความว่าบุคคลเดิม ถ้าส่งPM มาแล้ว แล้วผมไม่ตอบไปแปลว่าผมไปโกรธหรือเคืองอะไรเค้าถึงไม่ตอบอันนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าถามอีกผมจะไม่ตอบเค้า แค่ไม่ใช่เรื่องเดิมที่ตอบไปแล้ว เปลี่ยนมาถามเรื่องใหม่เปลี่ยนหัวข้อมาใหม่มาคุยกันอันนี้ผมตอบและไวด้วย ไม่ไปวนเวียนกดดันจะเอาคำตอบเรื่องเดิมซึ่งตอบไปแล้วซ้ำซากให้ได้เพราะบางเรื่องมันมีลิมิตในคำตอบอยู่เช่นกัน แล้วการปฏิเสธของผมก็คือการเงียบ เพราะเราถือคติว่าไม่พูดดีที่สุด ขอแค่ถามเรื่องใหม่ผมจะดำเนินการณ์ให้ทันทีในกรณีที่ตอบเองไม่ได้ ซึ่งก็ยินดีตอบไม่ใช่ละเว้นไว้ว่าเราจะไม่คุยหรือติดต่อกับใคร ขอแค่ให้มันพ้นเรื่องที่ตอบไปแล้วก็พอ เอาเรื่องใหม่มาถามอยู่ในขอบเขตที่ตอบได้ก็จะตอบทุกครั้ง และก็ใช้วิธีนี้ในการดำเนินกระทู้มานานมากแล้ว เรียนทำความเข้าใจไว้อีกทีนะครับ
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ใครมีอะไรก็ฝากPM ไว้ เดี๋ยวมาลงสาระเพิ่มให้ต่อนะ;)
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    สัมปชัญญะ

    อรุณสวัสดิ์ครับ ก็จะมาต่อที่ข้อธรรมความรู้นำมาพูดคุยกันเช้าๆ ซึ่งวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องของสัมปชัญญะ สิ่งที่ต้องเจริญคู่กับสติ หลายๆคนอาจจะรู้เพียงความหมายคร่าวๆหรือบางทีอาจไม่รู้ไปเลยเพราะไปให้น้ำหนักกับคำว่าสติมากกว่าเช่นสติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะก็เป็นอาการรู้ตัว รู้เพียงแค่ว่าต้องเจริญคู่กับสติเท่านั้น ก็มาศึกษาและทำความเข้าใจไปทีเดียวนะครับเพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยน่าสนใจจริงๆ


    เมื่อกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องมีความเข้าใจในคำนั้น ๆ ให้ชัดเจนจริง ๆ ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวถึง สติ กับ สัมปชัญญะ ต่างก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม สติ เป็นสภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล เกิดร่วมกับจิตที่ดีงามทุกประเภทไม่มีเว้น ส่วนสัมปชัญญะ เป็นอีกชื่อหนึ่งของปัญญา เป็นความไม่หลง เป็นความรู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง (ปัญญาเจตสิก) สติสัมปชัญญะ มักจะเป็นคำที่ใช้คู่กัน โดยจะใช้ในเรื่องของการอบรมเจริญภาวนา ๒ อย่าง คือ การอบรมเจริญความสงบของจิต ที่เป็นสมถภาวนา และ การอบรมปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่เป็นวิปัสสนาภาวนา หรือ สติปัฏฐาน เพราะตามความเป็นจริงแล้ว สติเกิด โดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้ แต่เมื่อสัมปชัญญะเกิดก็จะต้องมีสติเกิดร่วมด้วยเสมอ ขณะนี้มีสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด เมื่ออาศัยเหตุที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะเริ่มเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมยิ่งขึ้นว่า ทุกขณะมีแต่ธรรมเท่านั้น ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นได้โดยที่สติทำกิจระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง และปัญญาทำกิจรู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น ๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริง ๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สติเป็นสติ ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาเป็นปัญญาไม่ใช่สติ

    ขณะที่เหม่อ ๆ ขณะนั้นไม่ได้เป็นไปในกุศลที่เป็นไปในเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ขณะนั้น ไม่ใช่กุศล ไม่มีทั้งสติและไม่มีทั้งปัญญา จะกล่าวว่า มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ไม่ได้ เพราะจริง ๆ แล้วคำรู้สึกตัวทั่วพร้อมจริง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา คือ สติสัมปชัญญะ ขณะที่ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จะเห็นได้ว่าความเป็นจริงของสภาพธรรม ไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ใคร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

    จากความเข้าใจเบื้องต้น ก็เข้าใจได้ว่า สติ เป็นสภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล จะไม่เกิดกับอกุศลเลย ถ้าไม่ได้เป็นกุศลอย่างหนึ่งอย่างใด ขณะนั้นก็ไม่มีสติเกิดร่วมด้วย แม้ในขณะที่ใช้คำว่า ระลึกได้ว่าเก็บอะไรไว้ตรงไหน ระลึกถึงคำที่พูดได้ เป็นต้น ความเป็นจริงไม่เคยเปลี่ยน อาจจะเป็นไปกับด้วยอกุศลที่เป็นโลภะก็ได้ หรือ อาจะเป็น

    กุศลก็ได้ ถ้าเป็นเหตุให้กุศลเกิดขึ้นเป็นไปในกุศล ขึ้นอยู่กับสภาพจิตเป็นสำคัญความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตขณะนั้นเป็นจริง ตรง ใคร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

    สัมปชัญญะ 4 (ความรู้ตัว, ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ชัด, ความรู้ทั่วชัด, ความตระหนัก - clear comprehension; clarity of consciousness; awareness)
    1. สาตถกสัมปชัญญะ (รู้ชัดว่ามีประโยชน์ หรือตระหนักในจุดหมาย คือ รู้ตัวตระหนักชัดว่าสิ่งที่กระทำนั้นมีประโยชน์ตามความมุ่งหมายอย่างไรหรือไม่ หรือว่า อะไรควรเป็นจุดมุ่งหมายของการกระทำนั้น เช่น ผู้เจริญกรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง มิใช่สักว่ารู้สึกหรือนึกขึ้นมาว่าจะไป ก็ไป แต่ตระหนักว่าเมื่อไปแล้ว จะได้ปีติสุขหรือความสงบใจ ช่วยให้เกิดความเจริญโดยธรรม จึงไป โดยสาระคือ ความรู้ตระหนักที่จะเลือกทำสิ่งที่ตรงกับวัตถุประสงค์หรืออำนวยประโยชน์ที่มุ่งหมาย - clear comprehension of purpose)
    2. สัปปายสัมปชัญญะ (รู้ชัดว่าเป็นสัปปายะ หรือตระหนักในความเหมาะสมเกื้อกูล คือรู้ตัวตระหนักชัดว่าสิ่งของนั้น การกระทำนั้น ที่ที่จะไปนั้น เหมาะกันกับตน เกื้อกูลแก่สุขภาพ แก่กิจ เอื้อต่อการสละละลดแห่งอกุศลธรรมและการเกิดขึ้นเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม จึงใช้ จึงทำ จึงไป หรือเลือกให้เหมาะ เช่น ภิกษุใช้จีวรที่เหมาะกับดินฟ้าอากาศและเหมาะกับภาวะของตนที่เป็นสมณะ ผู้เจริญกรรมฐานจะไปฟังธรรมอันมีประโยชน์ในที่ชุมนุมใหญ่ แต่รู้ว่ามีอารมณ์ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อกรรมฐาน ก็ไม่ไป โดยสาระคือ ความรู้ตระหนักที่จะเลือกทำแต่สิ่งที่เหมาะสบายเอื้อต่อกาย จิต ชีวิต กิจ พื้นภูมิ และภาวะของตน - clear comprehension of suitability)
    3. โคจรสัมปชัญญะ (รู้ชัดว่าเป็นโคจร หรือตระหนักในแดนงานของตน คือ รู้ตัวตระหนักชัดอยู่ตลอดเวลาถึงสิ่งที่เป็นกิจ หน้าที่ เป็นตัวงาน เป็นจุดของเรื่องที่ตนกระทำ ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไรอื่น ก็รู้ตระหนักอยู่ ไม่ปล่อยให้เลือนหายไป มิใช่ว่าพอทำอะไรอื่น หรือไปพบสิ่งอื่นเรื่องอื่น ก็เตลิดเพริดไปกับสิ่งนั้นเรื่องนั้น เป็นนกบินไม่กลับรัง โดยเฉพาะการไม่ทิ้งอารมณ์กรรมฐาน ซึ่งรวมถึงการบำเพ็ญจิตภาวนาและปัญญาภาวนาในกิจกรรมทุกอย่างในชีวิตประจำวัน โดยสาระคือ ความรู้ตระหนักที่จะคุมกายและจิตไว้ให้อยู่ในกิจ ในประเด็น หรือแดนงานของตน ไม่ให้เขว เตลิด เลื่อนลอย หรือหลงลืมไปเสีย - clear comprehension of the domain)
    4. อสัมโมหสัมปชัญญะ (รู้ชัดว่าไม่หลง หรือตระหนักในตัวเนื้อหาสภาวะ ไม่หลงใหลฟั่นเฟือน คือเมื่อไปไหน ทำอะไร ก็รู้ตัวตระหนักชัดในการเคลื่อนไหว หรือในการกระทำนั้น และในสิ่งที่กระทำนั้น ไม่หลง ไม่สับสนเงอะงะฟั่นเฟือน เข้าใจล่วงตลอดไปถึงตัวสภาวะในการกระทำที่เป็นไปอยู่นั้น ว่าเป็นเพียงการประชุมกันขององค์ประกอบและปัจจัยต่างๆ ประสานหนุนเนื่องกันขึ้นมาให้ปรากฏ เป็นอย่างนั้น หรือสำเร็จกิจนั้นๆ รู้ทันสมมติ ไม่หลงสภาวะเช่นยึดเห็นเป็นตัวตน โดยสาระคือ ความรู้ตระหนัก ในเรื่องราว เนื้อหา สาระ และสภาวะของสิ่งที่ตนเกี่ยวข้องหรือกระทำอยู่นั้น ตามที่เป็นจริงโดยสมมติสัจจะ หรือตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใช่พรวดพราดทำไป หรือสักว่าทำ มิใช่ทำอย่างงมงายไม่รู้เรื่อง และไม่ถูกหลอกให้ลุ่มหลงหรือเข้าใจผิดไปเสียด้วยความพร่ามัว หรือด้วยลักษณะอาการภายนอกที่ยั่วยุ หรือเย้ายวนเป็นต้น - clear comprehension of non-delusion, or of reality)

    คำว่า"สัมปชัญญะ"มีความหมาย 5 ประการ

    1. ความรู้ชอบโดยประการต่างๆ คือความรู้อย่างถูกต้อง โดย.....

    สภาวลักษณะ คือ ลักษณะพิเศษ หมายถึงลักษณะเฉพาะของรูป-นามแต่ละอย่าง เช่น ปฐวีธาตุ มีลักษณะแข็ง-อ่อน,อาโปธาตุ มีลักษณะไหล,เกาะกุม เป็นต้น

    สังขตลักษณะ คือ ลักษณะของสังขตธรรม หมายถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสังขตธรรม

    สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะทั่วไปของรูป-นาม หมายถึง ไตรลักษณ์ อันได้แก่ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน

    2. ความรู้ชอบโดยพิเศษ คือความรู้อย่างถูกต้องโดยลักษณะทั้ง ๓ อย่างนั้น ซึ่งพิเศษกว่าความรู้โดยสมมติบัญญัติของคนทั่วไป

    3. ความรู้อย่างบริบูรณ์โดยประการต่างๆ คือ ความรู้อย่างถ้วนทั่วไม่ขาดไม่เกิน โดยลักษณะทั้ง 3 นั้น

    4. ความรู้เองโดยประการต่างๆ คือความรู้จากประสบการณ์ของตนเอง ไม่ใช่ความรู้จากการฟังผู้อื่น หรือนึกคิด ใคร่ครวญ

    5. ความรู้อย่างบริบูรณ์โดยพิเศษ คือความรู้อย่างถ้วนทั่ว ซึ่งพิเศษกว่าความรู้โดยสมมติบัญญัติ

    สมฺมา ปถาเรหิ อนิจฺจาทีนิ ชานาตีติ สมฺปชญฺญํ

    "ปัญญาที่รู้ไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยง เป็นต้น โดยประการต่างๆโดยชอบ ชื่อว่า สัมปชัญญะ"

    ความเป็นผู้รู้อย่างบริบูรณ์ โดยประการต่างๆ หรือโดยพิเศษอย่างยิ่ง ชื่อว่า"สัมปชัญญะ" คือ ปัญญาที่ดำเนินไปอย่างนั้น.

    คำว่า"สติสัมปชัญญะ"นั้น...สติมีหน้าที่อย่างไร?สัมปชัญญะมีหน้าที่อย่างไร?

    "สติ"มีหน้าที่เพียงแต่ระลึกรู้อยู่ในอารมณ์เท่านั้น.

    "สัมปชัญญะ"มีหน้าที่รู้อารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวปัญญา.
    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327_d25vj52.jpg
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พูดคุยวันหยุด

    มีคนถามเข้ามาแบบแนวเสนอความคิด ให้จัดการกระทู้ใหม่ งดการเล่นเกมส์หรือร่วมกิจกรรมไป เปิดให้คนเล่าประสบการณ์แล้วก็ไปขอเครื่องมงคลพ่ออาจารย์มาแจก ที่เป็นเฉพาะอย่าง แบบพิเศษเฉพาะกับคนที่เล่าประสบการณ์

    เราก็ตอบเค้าไปว่าคงไม่ดีมั๊ง ถ้าทำแบบนี้แต่ละคนจะได้ครั้งเดียว แล้วก็ของแจกมันจะเป็นตัวเดิมซ้ำๆ ที่สำคัญมันดูเหมือนปั่นกระทู้นะฟังดูแล้วไม่น่าทำ คนที่มาเล่าประสบการณ์ทั้งหลายเราจะแน่ใจหรอว่ามันประสบการณ์จริงเค้าไม่ได้แต่งเรื่องเพื่อมาขอรับของฟรี ถ้าเราทำแบบนั้นเราจะได้เรื่องเฟคเพื่อรอแจกของทุกครั้งเสียมากกว่า สู้ดำเนินกระทู้ไปตามปกติ ไม่ต้องปั่นต้องเชียร์อะไรขนาดนั้นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว

    ในส่วนเรื่องกิจกรรมหรือของแจกนั้นเราก็หาเกมส์หรือกิจกรรมมาให้ร่วมเล่นรับของกันตลอด ไม่เคยให้ขาดในทุกๆเดือน พอมีคนเเจ้งไลน์มาว่าเล่นเกมส์ๆเราก็จะเริ่มหาเกมส์ให้เค้าเล่นแล้ว กิจกรรมตรงนี้ก็บอกเค้าไปว่ามันน่าจะพอชดเชยกันได้ ผมคิดว่ามันน่าจะดีมากกว่าให้มานั่งเล่ารอของแจก ส่วนเรื่องประสบการณ์มันเป็นเรื่องของเค้า ถ้าเค้าอยากบอกเราก็ให้เค้าเล่าเอง อันไหนเรามองว่าพิมพ์เล่าหน้ากระทู้ได้เราก็จะนำมาพิมพ์ แต่ส่วนใหญ่หลังๆมีแต่เราเรื่องเสน่ห์ฟังดูแล้วไม่เจริญปัญญาขัดกับเรื่องเจริญสติที่เราย้ำอยู่เสมอ เป็นเพียงผลพลอยได้ของอานุภาพเครื่องมงคลเวลาจะเอามาเล่าต่อเราก็จะนิ่ง เรื่องบนเตียง เรื่องอะไรที่มันดูเว่อร์ๆเช่นไปเที่ยวปุ้ปได้สาวปั้ป เราก็จะพิจารณาไปว่ามันไม่น่าเล่าไม่น่าเอามาพิมพ์ ถ้าจะให้เอาเรื่องพวกนี้มาเล่ามาพิมพ์หน้ากระทู้เชื่อว่าวันนึง ในบางวันอาจมีถึงสิบคนสิบเรื่องไม่ซ้ำกัน

    และอีกหลายคนก็เจอแต่เรื่องแปลกๆจนเราคิดว่าถ้าเล่าคงจะมีคนตั้งคำถามกลับมาแน่เช่นเจอพระศิวะ เค้าว่าเป็นกายเนื้อเลยจากที่เอาพระสยมของพ่ออาจารย์ท่านไปบูชา เห็นมั๊ยมาพูดอย่างนี้ให้ใครฟังลอยๆคนเค้าก็มองว่าบ้ากายเนื้อพระศิวะนะ คือกายเนื้อไม่ใช่นิมิตหรืออะไรเลย กายเนื้อที่สัมผัสได้มองเห็นได้คุณเจอได้ยังไง แต่เค้าก็แค่บอกว่ามาแว้ปเหมือนท่านตั้งใจเดินผ่านไป บางคนบูชาเครื่องมงคลไปบอกว่าสมาธิพัฒนารวดเร็วจนสื่อกับจิตของพระปิณโฑลภารทวาชะได้ก็มี นั่นประไรเล่าปุ้ปเราสะดุ้งเลยพระอรหันต์ยุคพุทธกาลแถมเป็นเอตทัคคะด้วย ถึงจะมีตำนานว่าท่านรับพุทธดำรัสไม่เข้านิพพานแต่จะคอยอยู่ดูแลพระศาสนาไปจนครบห้าพันปี เป็นต้นกำเนิดพระของสายโลกอุดรเลยก็ว่าได้

    ก็เอาเถอะคือเรื่องแบบนี้ถ้าเอามาเล่ามาพูดใครจะเชื่อ เพราะเค้าไม่เจอเหมือนคนที่เจอที่เห็น คนที่เค้าเจอนี่ก็ปักใจจนเรากลัวจะกลายเป็นงมงายไปเลย พอเจอแล้วก็มาถามเราว่าพระปิณโฑลภารทวาชะคือใครเรายังสะดุ้งเลย เพราะพ่ออาจารย์ท่านพูดถึงเสมอเรื่องพระปิณโฑลดุจว่าท่านเคยเจอกันหรือรับการสั่งสอนกันมา เรียกว่าเป็นครูใหญ่สายโลกอุดรของท่านก็ไม่ผิด แต่เหนือเหตุผลคือไม่คิดว่าจะมีคนเจอเพราะท่านไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับพระปิณโฑลอย่างเป็นเอกเทศน์ หากแต่เชิญครูเวลาเสกของเท่านั้น ตรงนี้ไงขนาดเรายังไม่เคยเจอหรือคิดว่าจะได้เจอแต่ก็มีคนอื่นเจอ ก็นับว่าแปลกดี เรื่องเกี่ยวกับบารมีหรือครูจะลงโปรดใครเฉพาะตัวมันเป้นเรื่องของจิตของวาสนา เครื่องมงคลเป็นเพียงแค่สื่อ แต่จิตตัวเราจะสื่อไปถึงท่านมั๊ยก็อีกเ
    รื่อง เพราะจิตคนทุกคนไม่เสมอกัน

    จะให้เล่นเกมส์เล่าประสบการณ์รับของ ใครมีประสบการณ์มาเล่าถึงจะแจก ถึงจะให้สิทธิพิเศษแบบนั้นมองแล้วมันไม่น่าทำ เพราะเราถือคติว่าประสบการณ์มันเป็นเรื่องเฉพาะคน จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนร้อยคนสมมตินะ คนร้อยคนจะเจอเรื่องเดียวกันประสบการณ์เหมือนกันทุกคน เอาตามที่ยกตัวอย่างไป มีคนเจอครูพระปิณโฑลภารทวาชะของท่านแล้วคนอื่นต้องเจอเหมือนกันทุกคนมั๊ย ไม่ต้องเอาไกลครูพระปิณโฑลผมยังไม่เคยได้สัมผัสบารมีท่านเลย เห็นมั๊ยมันเป็นไปไม่ได้ ทุกคนก็จะเจอต่างเรื่องราว ต่างสังคมกันไป ถ้าเราหยิบมาเล่ามาก มันจะดูเหมือนสร้างแรงบันดาลใจให้เค้าต้องการเจอเหมือนกับที่คนอื่นเจอ ให้เค้าต้องการได้รับเหมือนที่คนอื่นรับ ให้เค้าอยากเจอ อยากเสพย์ อยากได้ของ ไม่ได้เข้ามาเพราะศรัทธา แต่จะมาเพราะความหวังที่สูงลิบ

    ก็ยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่เอาดีกว่า ที่จริงก็อยากทำนะแต่มันดูเฟคๆไป คล้ายสร้างกระแสหรือปั่นด้วยวิธีที่ครูบาอาจารย์หลายรูปเคยบอกว่าเป็นการตลาดและท่านทั้งหลายก็ทำกันจริงๆจังๆ มาคิดดูก็ไม่รู้จะทำแบบนั้นทำไมเอาแบบเดิมดีกว่า คนเก่าคนใหม่หรือใครก็ได้ คือกระทู้นี้เราให้เป็นสาธารณะเลยเวลาเล่นเกมส์หรือมีกิจกรรม ถ้าเอาแบบที่พี่คนนี้เสนอมาใครที่เค้าไม่มีของใช้เค้าจะไปมีประสบการณ์ได้ยังไงในเมื่อของเค้ายังไม่มีจะใช้เลย คิดถึงตรงนี้ก็เลยอยากทำกระทู้แจกแบบมีกิจกรรมให้ร่วมเล่นแบบนี้ต่อไปแทนมากกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2017
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ตอบPM ครบนะครับ เดี๋ยวจะปรึกษาท่านดูก่อนเผื่อมีกิจกรรมพิเศษอะไรมาให้เล่นกัน ก็ติดตามๆกันไว้;)
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เจริญสติ

    อรุณสวัสดิ์ครับ เคยพูดคุยกันหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องการเจริญสติ วันนี้ก็จะนำวิธีเจริญสติแบบง่ายๆมาให้ศึกษากัน ใครถูกจริตกับวิธีไหนก็ลองปฏิบัติกันตามนั้นนะครับ
    ;)

    เทคนิคที่ ๑
    ผู้ฝึกใหม่อาจสับสน ไม่รู้ว่าจะ “รู้” อารมณ์ ไหนดี ก็จงประคองสติ หรือรู้สึกอยู่กับอาการของลมหายใจเข้าออก ซึ่งกระทบที่ปลายจมูก หมายความว่าไม่ได้ให้รู้ปลายจมูก หรือรู้ลมหายใจ แต่ให้รู้ความรู้สึกที่ลมกระทบกับปลายจมูกเท่านั้น เพราะลมหายใจเป็นตัวช่วยสร้าง “ความรู้สึกตัว” ได้อย่างดีที่สุด ซึ่งจะหยาบหรือละเอียด จะชัด
    หรือไม่ชัด จะยาวหรือสั้นไม่สำคัญทั้งนั้น เพราะ ลมหายใจเข้าออกมีอยู่ตลอดเวลา เป็นปัจจุบัน อารมณ์เสมอ “แค่รู้” ตามที่มันเป็นเท่านั้น ลมหาย ใจจึงเป็นอารมณ์หลัก ส่วนอารมณ์อื่นๆ จัดว่า เป็นอารมณ์รอง

    เทคนิคที่ ๒
    ผู้ปฏิบัติใหม่ ควรเริ่มจากการรู้อาการของลมหายใจที่กระทบกับปลายจมูกอย่างเป็น ธรรมชาติที่สุด ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิดฯลฯอยู่ก็ตาม และรู้เท่าที่จะรู้ได้ อย่าใจ ร้อนวู่วาม อย่าตั้งใจมากเกินไป และระวังอย่าตั้งใจ ที่จะไม่ตั้งใจด้วย ฝึกใหม่ๆ รู้ได้น้อยก็ไม่เป็นไร เมื่อ“เพียรรู้”อยู่บ่อยๆ ใจจะเริ่มคุ้นชินกับการ ระลึกรู้นั้นเอง

    เทคนิคที่ ๓
    ผู้ปฏิบัติที่มีประสบการณ์การปฏิบัติอย่างอื่นมาก่อน แต่ไม่มีอะไรก้าวหน้า ลองหันมาใช้วิธี การอย่างนี้ดู แต่อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาใช้หลาย วิธีในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้สับสนไป เปล่าๆ อย่างน้อยควรทดลองใช้วิธีนี้สัก ๑ เดือน ก่อน อย่ารีบถอดใจง่ายนัก ถ้าพยายามแล้วไม่มี ผลอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ได้เสียเวลาทำงาน เวลาอยู่ กับครอบครัวหรือเวลาเรียนแม้แต่น้อย

    เทคนิคที่ ๔
    หากผู้ปฏิบัติเกิดอาการแปลกๆ อย่างที่ ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น ขนลุก, คันยุบยับตาม หน้าตา หรือลำตัวเหมือนมีแมลงมาไต่, ตัวหนัก, ตัวเบา, ตัวโยก, ตัวหมุน,ตัวลอย,ตัวสั้น,ตัวยาว, แขนขาหายไปฯลฯ ก็อย่าตกใจ เป็นเพียงอาการ ของสมาธิและปีติเท่านั้น แค่กลับไปรู้ลมหายใจ ก็พอแล้ว อย่าคล้อยตามคืออยากให้อาการนั้น อยู่นานๆ หรือเพ่งบังคับให้หายไปโดยเด็ดขาด (เพราะเป็นอนัตตาบังคับไม่ได้ อาการนั้นจะอยู่ หรือไปก็เป็นเรื่องของมัน) เมื่ออุปาทานปรุง อาการเหล่านั้นมาหลอกใจไม่ได้ ก็จะเปลี่ยน ของเล่นใหม่ มาให ้“รู้” เอง

    เทคนิคที่ ๕
    หากมีทุกขเวทนาทางกายเกิดขึ้น อย่า พยายามต่อสู้หรือเอาชนะโดยเด็ดขาด เพราะนั่น คือการทำตามอำนาจของโทสะ ก็จะเท่ากับเอา โคลนไปล้างโคลน ยิ่งทำก็ยิ่งทุกข์ไปเปล่าๆ เพียง แค่ “รู้อย่างอ่อนโยน” สบายๆ เท่านั้น แล้วรีบย้าย จิตกลับมา“รู้”ที่ลมหายใจต่อไป คนที่มีทุกขเวทนา ต้องถือว่าโชคดีเพราะ“รู้”ได้ง่าย ถ้าทุกขเวทนา มีกำลังมาก โมหะคือ ความง่วง ความฟุ้งซ่าน จะครอบงำไม่ได้ ถ้าไม่เห็นทุกข์ จะรู้จักทุกข์ ได้อย่างไร เมื่อไม่รู้จักทุกข์ ก็ไม่สามารถจะหาทาง ออกจากทุกข์ได้ การเรียนรู้จากทุกข์นั่นแหละ ผู้ปฏิบัติจึงจะเห็นธรรมได้โดยง่าย

    เทคนิคที่ ๖
    ในขณะที่รู้ลมหายใจอย่าลืมสังเกตใจ ตนเองด้วยว่าเมื่อมีสภาวธรรม (คือสิ่งที่เป็นเอง อันเกิดจากวิบากกรรมเก่า ที่ส่งผลให้เกิดเป็น กายใจอยู่นี้) ใดๆ เกิดขึ้น ใจเป็นอย่างไร จะสุขหรือ ทุกข์ จะชอบหรือชัง ก็ควรทำหน้าที่ “แค่รู้”เท่านั้น อย่าได้ยึดติดอยู่กับความรู้สึกนั้นเลย

    เทคนิคที่ ๗
    ผู้ปฏิบัติบางคนอาจมีนิมิต คือภาพที่เห็น ได้ทางใจเช่นสี, แสง, ภาพงดงาม, น่ากลัว ส่วนมาก เป็นเพียงจินตนาการ ใจสร้างภาพขึ้นมาเองตาม กำลังสมาธิ ถ้าสมาธิมีกำลังภาพก็ชัดเจน ถ้าสมาธิ อ่อนภาพก็ไม่ชัด อย่าติดอยู่โดยเด็ดขาด เพียงทำ หน้าที่“รู้ว่าเห็น”เท่านั้น แล้วรีบกลับมารู้ลมหาย ใจต่อไปทันที
    ส่วนใครที่ไม่มีนิมิตก็อย่าอยากเห็น เหมือนคนอื่นเลย แต่ละคนไม่เหมือนกัน จะมี หรือไม่มีก็มีค่าเท่ากัน การเห็นนิมิตแสดงว่าส่งจิต ออกนอกไปแล้ว และสติมีกำลังอ่อนกว่าสมาธิ การปฏิบัตินั้นเพื่อให้เห็น กายใจตามความเป็นจริง มิใช่เพื่อให้เห็นนรกสวรรค์ใดๆ ทั้งสิ้น

    เทคนิคที่ ๘
    สิ่งที่ต้องระวังคือ ความสุขและความสงบ เพราะเมื่อพบสุขหรือความสงบแล้ว ใจไม่ค่อย ดิ้นรนออกจากสุขสงบนั้น ติดจมแช่อยู่ ความสุข และความสงบจึงกลายเป็นกับดักที่น่ากลัวที่สุด เพราะติดสุขแก้ยากยิ่งกว่าติดทุกข์เสียอีก นัก
    ปฏิบัติต้องหมั่นสังเกตใจตนเองให้ดี“สุขก็รู้ว่าสุข” เท่านั้น

    เทคนิคที่ ๙
    สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรู้ปัจจุบันอารมณ์ตามความเป็นจริง อย่าดัดแปลงแก้ไขอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น และต้องมีความ “เพียรรู้อยู่เนืองๆ” ขยันก็รู้ ขี้เกียจก็รู้ สงบก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ เบื่อก็รู้ ไม่เบื่อก็รู้ฯลฯ ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะฯลฯ โดยไม่ จำเป็นต้องมีคำบริกรรม เช่น พุทโธ สัมมาอรหัง พองหนอ ยุบหนอฯลฯใดๆ ทั้งสิ้น (คนที่คุ้นกับ การใช้คำบริกรรม อาจเผลอบริกรรมไปบ้างก็ช่าง เถิด พอ“รู้”บ่อยๆเข้า ก็จะละคำบริกรรมได้เอง) เป็นการฝึกฝืนกิเลสในใจตนเอง ไม่ให้ปล่อยไป ตามอารมณ์ ตกเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของ ความคิด หรือทาสของความอยากที่เกิดขึ้น

    เทคนิคที่ ๑๐
    ในขณะที่เดินทำงานอยู่ ควรรู้กายโดยรวม ทั้งหมด รู้แค่เพียงอาการที่กายกำลังเคลื่อนไหว อยู่เท่านั้น กายส่วนไหนชัดก็ย้ายรู้เรื่อยไป เช่นคอ สะโพก ต้นขา ไหล่ น่อง เท้า เป็นต้น ด้วยความ รู้สึกสบายๆ รู้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ประคอง ไม่เพ่ง ไม่ควรรู้เฉพาะเท้าเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เพ่ง โดยไม่ตั้งใจ และไม่ต้องมีคำบริกรรมใดๆ ทั้งสิ้น
    แต่ถ้าใจฟุ้งซ่านมาก ก็ลองรู้เฉพาะส่วน เช่นเท้าที่กระทบพื้น หรือใส่คำบริกรรมไปด้วย ก็ได้ เช่นขวาพุท ซ้ายโธ หรือขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอเป็นต้น

    เทคนิคที่ ๑๑
    ในขณะที่ทำงาน ควรให้สติรู้อยู่กับงาน เช่นกำลังหยิบเอกสาร สติก็รู้อยู่กับมือที่หยิบ เอกสารนั้น, กำลังคุยกับเพื่อนร่วมงาน ก็รู้ว่า กำลังคุย, กำลังกวาดบ้าน, ล้างจาน, อาบน้ำฯลฯ ก็รู้อยู่กับอาการทางกายที่กำลังกวาด กำลังล้างจาน กำลังฟอกสบู่เป็นต้น อย่าลืมสังเกตใจไปด้วยว่า หงุดหงิด โกรธ รำคาญหรือไม่ ถ้าสามารถรู้กาย ที่เคลื่อนอยู่กับลมหายใจไปพร้อมกัน จะช่วย ทำให้ลดการเผลอเพ่งไปได้

    เทคนิคที่ ๑๒
    หากมีอาการของราคะเช่นคิดถึงแฟน ให้ ระลึกรู้ไปที่อาการของใจที่ห่วงหาอาวรณ์นั้น อย่านึกถึงหน้าแฟนโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ ราคะมีกำลังยิ่งขึ้น แต่ถ้านึกอยู่ก็ขอให้ “รู้ว่านึก” เท่านั้น สำหรับมือใหม่เป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับ ราคะ หากรู้แล้วจิตคล้อยตามราคะทุกที ก็ลอง กลั้นลมหายใจแล้วค่อยผ่อนออกมา หรือย้ายไปรู้ อารมณ์อื่นๆ ก่อน เช่นเสียงภายนอกเป็นต้น
    หรือมีอาการของโทสะเกิดขึ้นเช่นโกรธ กลัว กลุ้มใจ น้อยใจ เสียใจ หงุดหงิด รำคาญ ให้รู้ไปที่ใจที่กำลังขุ่นนั้นเบาๆ วิธีการทำคล้ายกับ ราคะนั่นเอง
    ราคะกับโทสะเป็นกิเลสที่มีอารมณ์หยาบ จึงช่วยให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกตัวได้ง่าย

    เทคนิคที่ ๑๓
    เมื่อปฏิบัติไปได้ระดับหนึ่ง อาจมีอาการ ทางกายร่วมด้วย เช่นท้องเสีย ปวดหัว เป็นไข้ ไม่ สบายฯลฯ หรือเคยป่วยด้วยโรคบางอย่างมาก่อน แต่หายไปนานแล้ว จู่ๆอาการป่วยนั้นก็หวนกลับ มาดื้อๆ หากทานยาแล้วไม่หาย หรือตรวจหา สาเหตุไม่พบ ขอให้รู้ไว้เถิดว่านี่คือโรคอุปาทาน แค่รู้ไปที่ใจซึ่งกำลังทุรนทุรายหวาดกลัวอยู่นั้น อาการของโรคอุปาทานก็จะดับไปต่อหน้าต่อตาเอง

    เทคนิคที่ ๑๔
    หากมีเวลาว่าง เช่นวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ควร เดินจงกรม นั่งสมาธิบ้าง โดยไม่จำเป็นต้องกำหนด เวลา เช่นเดินเหนื่อยแล้วก็นั่ง นั่งเหนื่อยแล้วก็ลุก ขึ้นเดิน แต่ควรให้นานพอสมควรอย่างน้อย ๒๐ นาที โดยการเดินหรือนั่งสบายๆ เหมือนกำลัง นั่งชมวิวหรือเดินเล่นอยู่อย่างมีสติ อย่าคิดว่า กำลังปฏิบัติ โยนความเป็นนักปฏิบัติทิ้งไปบ้าง จะได้ไม่เครียดมากนัก แต่ก็ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำหลอกตนเองขอให้รู้เท่าทันด้วย

    เทคนิคที่ ๑๕
    ก่อนหลับ แทนที่จะปล่อยให้ใจฟุ้งซ่านไป อย่างไร้จุดหมาย ทดลองเอาสติไป “รู้” อยู่กับ ลมหายใจหรือท้องพองยุบ รู้เบาๆ สบายๆ เมื่อรู้สึก ตัวว่าง่วงก็ปล่อยให้หลับไป ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า หลับไปตอนหายใจเข้าหรือหายใจออก และเมื่อ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก็ให้“รู้”ที่ลมหายใจก่อนที่จะทำภารกิจอื่นๆ

    เทคนิคที่ ๑๖
    การเจริญสตินั้น มิใช่ทำไปนานๆ แล้ว จะสุขหรือสงบมากกว่าเดิม แต่ยิ่งทำให้เห็นทุกข์ ชัดเจนขึ้น สุขและทุกข์จะสั้นและเบาลงกว่าเดิม ใจจะไม่ยึดทั้งสุขและทุกข์ จนปล่อยวางเป็นอิสระ มากขึ้นเรื่อยไป ลองสังเกตใจตอนนี้ กับใจที่ถูก ฝึกแล้วอีก ๓ เดือนข้างหน้า จะเห็นความแตกต่าง ชัดเจน คือใจจะเป็นอิสระจากอารมณ์มากยิ่งขึ้น

    เทคนิคที่ ๑๗
    จงอย่าคาดหวังกะเกณฑ์ว่าปฏิบัติแล้ว จะได้อะไร จะเป็นอย่างไร เพราะหากทำอย่างนั้น สภาวธรรมจะดำเนินต่อไปไม่ได้ ทุกสิ่งล้วน ตกอยู่ในกฎเกณฑ์ของไตรลักษณ์ เกิดดับอยู่ ตลอดเวลา จงสร้างเหตุ คือ“รู้เนืองๆ” ได้แก่รู้บ้าง ไม่รู้บ้างเท่านั้น ไม่ใช่รู้อย่างต่อเนื่องหรือรู้ ตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครทำได้ เพราะความรู้นั้น เกิดแล้วก็ดับไปอยู่ทุกขณะเช่นกัน
    5_Lord_Buddha.jpg
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่งEMS

    พี่ฐิตกาญจน์ ER 5707 4461 9 TH

    พี่สายเมธี ER 5707 4462 2 TH

    พี่ปฏิภาณ ER 5707 4463 6 TH
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ลอยสัพเคราะห์

    อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ก็จะมาลงสาระกันต่อ ซึ่งเป็นบทความเรื่องวิชาลอยสัพเคราะห์ของท่านอาจารย์น.นาคราช ก็คิดว่าน่าสนใจดีลองอ่านพร้อมสังเกตุตัวเองและเรียนรู้กันนะครับ


    วิชานี้ เป็นวิธี แก้เคราะห์ แก้กรรม ที่ดีมาก วิชาหนึ่ง ถือว่าเป็นวิชา ที่พิเศษ ที่สุด ซึ่งได้รับความกรุณา จากท่านอาจารย์ น.นาคราช อาจารย์ ผู้ทรงวิทยาคุณ ค่อนข้างสูง คนหนึ่งในประเทศไทย แนะนำถ่าย ทอดมา เป็นเวช วิทยาทานเพื่อท่าน ทั้งหลาย จะได้นำไป ใช้แก้เคราะห์แก้ กรรมให้ แก่ตนเอง โดยไม่ต้อง ไปพึ่งร่าง ทรงองค์เจ้า หรือหมอผี ให้ยุ่งยากเสียเงิน เสียทอง โดยไม่ใช้เหตุ แต่ก่อนแก้ ต้องรู้เหตุที่ทำให้เกิดเคราะห์เกิดกรรมเสียก่อน มันมาจากไหนและคืออะไรโดนแล้วมันมีลักษณะเป็นเช่นไร เหตุการณ์ใดที่ทำให้เกิดกรรมเกิดเคราะห์กับเรา โบราณท่านกล่าวไว้ว่า การที่เราได้ไปคบหาสมาคมกับบุคคลบางประเภทย่อมทำให้เราเกิดอุบาทว์ ความอัปรีย์ เสนียดจัญไร หรือธรณีสารเมื่อมาโดนตัวเราเข้าก็ทำให้เราหากินไม่ขึ้นเกิดเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่ดีดังเช่น ครอบครัวแตกแยก เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ทำมาหากินไม่ขึ้นไม่เจริญก้าวหน้าลักษณะคนที่เรียกว่าโดน อุบาทว์ อัปรีย์ เสนียดจัญไร และต้องธรณีสารนั้นมีดังนี้คือ

    ๑. มนุษย์อุบาทว์ อัปรีย์ เสนียดจัญไร ได้แก่บุคคลประเภทอัปมงคล ประพฤติตนต่ำช้า เลวทราม พูดจาหยาบโลน ชอบนินทา ใส่ร้ายผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ ชอบยกตนข่มท่านไม่คารวะผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ เป็นคนอกตัญญูลบหลู่ดูถูกผู้มีพระคุณ ชอบเอาของต่ำส่วนตัวเช่น กางเกงใน หรือผ้าอนามัย ไว้ในที่อันที่ไม่เหมาะสมหรือนำผ้าถุง ถุงเท้า ตากไว้บนราวสูงตรงกับทางเดินภายในบ้าน เดินรอดไปรอดมา เสพกามวิปริต ผิดมนุษย์ธรรมดา มั่วกามรมณ์ ชอบเสพเมถุนไม่เลือกสถานที่ เรียกว่า ต้องกาลกิณี

    ฉะนั้นผู้หญิงหรือชายใดได้เสพกามกับบุคคลประเภทนี้เรียกว่าต้องอุบาทว์ อัปรีย์ เสนียดจัญไร ชีวิตจะอับเฉาประสบอุปสรรคมาก

    ๒. มนุษย์ต้องธรณีสารได้แก่ บุคคลมีลักษณะง่วงซึม และง่วงเหงาหาวนอนอยู่เสมอ นอนกรนเสียงดัง กัดฟัน น้ำลายไหลยืดไม่รู้ตัว มีกลิ่นตัวแรง เมื่อเสพกามกิจครั้งใดน้ำกามจะมีกลิ่นเหม็นอย่างแรง ทำให้คู้ครองเบื่อหน่ายเรียกว่าต้องธรณีสาร

    ฉะนั้นท่านใดเคยร่วมเสพกามกับบุคคลประเภทนี้หรือตัวเราเองมีอาการดังกล่าวต้องแก้ไขดังต่อไปนี้
    ๑. กระทงใบตอง ๑ ใบ

    ๒. ตัดเล็บมือเล็บเท้าทั้ง ๑๐ เล็บ อย่างละหน่อย

    ๓. ตัดผมนิดหน่อย

    ๔. เอาผ้าขาวหรือกระดาษทิชชู่เช็ดหน้า เช็ดขี้ตา และน้ำมูก เอาของทั้งหมดใส่ในกระทงแล้วจุดธูป ๓๒ ดอก จากนั้น

    ว่า นะโม ๓ จบ

    ว่าคาถา “ ปาสุอุชา “ ( ๒ จบ )

    แล้วกล่าวคำอธิษฐานดังนี้
    ตนตัวแห่งลูกนี้มีชื่อว่านาย นาง นางสาว................นามสกุล.....................เกิดวันที่........เดือน................ปี...........พ.ศ..................อายุ.............อยู่บ้านเลขที่.....................ตำบล......................อำเภอ.................จังหวัด...........................จะขอทำพิธีลอยสัพพระเคราะห์ด่วน ต่อองค์แม่พระคงคาขอได้โปรดเมตตารับทราบและน้ำส่งยังสถานที่อันควรด้วยเทอญ

    จากนั้นให้ปักธูปลงที่ริมตลิ่งแล้วจึงนำกระทงและของทั้งหมดลอยลงน้ำไป เมื่อลอยแล้ว ให้หันหลังกลับเดินจากไปทันทีห้ามหันกลับมามองอีก การลอยต้องลอยในน้ำไหลเท่านั้นน้ำนิ่งในบึงในบ่อไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปให้ทำน้ำมนต์อาบ ๓ วันติดต่อกัน

    พิธีทำน้ำมนต์

    ๑. จุดธูป ๓๒ ดอก ต่อหน้าพระบูชา
    ๒. ว่า นะโม ๓ จบ
    ๓. แล้วว่าคาถาดังนี้

    พุทธัง อัตถันจะ ปัจจุทธะรามิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
    ธัมมัง อัตถันจะ ปัจจุทธะรามิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
    สังฆัง อัตถันจะ ปัจจุทธะรามิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ

    โองการพินทุนาถัง อุปปันนังพรหมาสะหะปะฏินามะอาทิกัปเป สุอาคะโต ปัจจะปะถุมัง ทิสสวา นะโมพุทธายะวันทะนัง สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยะ ตะถาคะโต สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง สิทธิลาโภนิรันตะรัง สัพพะกัมมัง ประสิทธิเม สัพพะสิเนหา จะปูชิโต สัพพะโกธัง วินาสะสันตุ ปิยามะนาโป เมโลกัสสะมิง สัพพะสุขโข ลาโภภัญปัญ ภะวันตุเม

    การทำน้ำมนต์นี้จะว่ากี่จบก็ได้ ยิ่งมากยิ่งดีแล้วแต่เรา ขยันทำอาบบ่อยๆจะเป็นศิริมงคลแก่ตนมาก อย่างน้อยควรทำอาบให้ได้ ๓ ครั้ง

    หลังจากนั้นให้จัดอาหารคาวหวาน ๑ ปิ่นโตพร้อมน้ำ ๑ ขวด ถวายพระสงฆ์เช้าหรือเพลแล้วกรวดน้ำด้วยบทอิมินาบทใหญ่

    แล้วหลังจากนั้นต้องปล่อยนก ๑ คู่ เต่า ๑ คู่ แล้วชีวิตจะดีขึ้น อาจารย์ท่านกล่าวคำรับรองว่าชีวิตจะค่อยๆดีขึ้น 100% แน่นอน ตำรานี้เหมาะกับอาชีพทำเสริมสวยเป็นอย่างมากเพราะต้องโดนหัวและโดนตัวคนเยอะ มีโอกาสโดนอุบาทว์อัปรีย์เสนียดจัญไรและต้องธรณีสารได้ง่าย สังเกตดูเถอะ คนที่ทำอาชีพทำผมเสริมสวยมักมีปัญหาครอบครัว ชีวิตคู่ล้มเหลว และส่วนใหญ่จะเป็นเมียน้อยเขา เพราะโดนอาถรรพณ์ดังกล่าว ขอให้ลองทำกันเถอะชีวิตจะได้ดีขึ้นใครได้พบตำรานี้ถือว่าเป็นโชคอย่างยิ่งแล


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327_d25vj52.jpg
     
  11. ปฏิภาณ บดส

    ปฏิภาณ บดส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +132
    ได้รับน้ำมันแล้วครับ
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ชไมพร ER 5708 0248 9 TH

    พี่ศิระ ER 5708 0249 2 TH
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พอดีมีคำถามน่าสนใจเข้ามา เป็นคำถามแปลกๆเปิดหูเปิดตาคนฟังจริงๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้นำมาเล่าให้ฟังกัน ติดตามๆ;)
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    กาฝาก

    จากที่เกริ่นไว้เมื่อวาน วันนี้ก็จะนำมาพูดคุยกัน ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณนะครับ ซึ่งจากที่มีคนถามมาพ่ออาจารย์ท่านก็รับรองว่า ในยุคนี้มันมีมากขึ้นจนหลายๆคนเริ่มที่จะแยกแยะไม่ออก

    กาฝากที่พูดถึงนี้ท่านว่ามีตั้งแต่ผียันเทวดาชั้นสูงหรือแม้แต่มารในภพปรนิมก็ยังมี ส่วนใหญ่จิตวิญญาณเหล่านี้จะเกาะอยู่กับเจ้าเข้าทรงต่างๆ ตลอดจนพระสงฆ์ที่มีบารมีมากๆ ซึ่งทีแรกที่ท่านบอกเราก็นึกว่าหูเราเพี้ยนเพราะถ้ากับร่างทรงนี่ยังพอเข้าใจ แต่กับพระสงฆ์ล่ะคืออะไร

    อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดและทำความเข้าใจกันยาวจริงๆ เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พ่ออาจารย์ท่านถึงให้เน้นการหมั่นสวดมนต์เจริญกรรมฐานและสร้างบารมีให้เต็มรูปแบบของใครของมัน โดยไม่ต้องเอาตัวไปยึดติดกับใครกับอะไรทั้งหมด

    ท่านว่ากาฝากประเภทนี้จะมาในรูปแบบของระบบบุญ ทั้งเจ้าเข้าทรงทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าโดนเหมือนกันหมด สิ่งที่เค้าจะได้จากการลงมาแฝงในภพมนุษย์นั้นก็คือได้บารมี ได้บุญ เลื่อนภพเลื่อนภูมิได้

    ท่านว่านี่สำคัญเลย มารก็อยากจะเลื่อนไปอยู่พิภพดุสิต เทวดาก็อยากจะเลื่อนไปพิภพดุสิต ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าใครก็อยากเลื่อนไปภูมิพระโพธิสัตว์ทั้งนั้นไปบำเพ็ญรอขึ้นปัญจสุทธาวาสมหาพรหม หรือให้จบกิจในภูมิพิภพดุสิตยิ่งดี แม้ไม่ใช่ปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์แต่หากมีบารมีมากก็สามารถอยู่ในภูมินี้ได้เช่นกัน จิตวิญญาณเหล่านั้นก็เลยมาแฝงอยู่กับมนุษย์ ใช้อำนาจบารมีของตนรวมพล รวบรวมกำลังหรือทรัพยากร คนที่เคยคบค้าสมาคมหรือรู้จักกับตนตั้งแต่ชาติปางก่อน และเกิดทันกันในชาตินี้ ให้อยากไปมาหาสู่ อยากทำบุญทำกุศลด้วยโดยมีตัวเองเป็นแม่งาน เรียกว่าให้เค้ามาทำบุญกับเรา ทั้งเจ้าเข้าทรงหรือภิกษุสงฆ์ก็ตาม

    บางคนก็ดีใจคิดว่าได้เทวดาอุปถัมภ์ ได้เทวดามาเป็นครูบาอาจารย์เพราะตนมีบารมีมาก บำเพ็ญมาดี เทวดายังต้องมาคอยช่วยเหลือ ก็สร้างกันไป พระอุโบสถ พระเจดีย์ กำแพงแก้ว ขยายกันออกไป ทำเสียจนงดงาม วัดวาอารมใหญ่โต วิจิตรพิศดาร ทำจนมีวัดสาขา ทำจนรากฐานของพระพุทธศาสนาเข้มแข็ง อานิสงค์ผลบุญก็บังเกิดขึ้นเลื่อนภพเลื่อนภูมิให้กับเทพยดาเจ้าต่างๆองค์นั้นที่ยังติดกรรม หรือมีเหตุที่ต้องให้ลงมาบำเพ็ญเพียรสร้างบุญ เรียกว่าเลื่อนได้เร็วสมใจปรารถนาทีเดียว จนต้องมีคนสงสัยบ้างล่ะ ว่าทำเช่นนี้เทพยดาทั้งหลายไม่บาปหรอ เทพเจ้าพึงใจในจตุรบายเช่นนั้นหรือ ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าเจตนาของเทวดานั้นเป็นกุศลจริงๆ ใสสะอาดไม่มีอะไรแอบแฝงแน่นอน เค้าก็เหมือนมนุษย์เราอยากสร้างบารมีอยากทำเพื่อพระศาสนา แต่คนที่เสื่อมจิตเกิดกิเลสเกิดความเข้าใจผิดหลงคิดว่าทุกสิ่งเกิดด้วยอำนาจบารมีของเราก็คือหุ่นเชิดในภพมนุษย์เสียมากกว่า เพราะเค้าไม่เจริญสติ ตามจิตตามความคิดตัวเองไม่ทัน ก็ได้แต่เสื่อมและตกลงไป

    ต้องทำความเข้าใจกันให้มาก มองให้ทะลุเพราะกาฝากนั้นอย่างไรก็ได้ชื่อว่ากาฝาก สิ่งที่ได้มาทั้งหลาย ได้มานั้นก็ด้วยบารมีของเค้า ไม่ใช่ของเรา ตัวพระภิกษุเหล่านั้นตลอดจนเจ้าทรงหมอผีต่างๆเมื่อความสบายและเทคโนโลยีมาถึงตัวก็จะแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน วัตรปฏิบัติที่เคยทำ กิจที่เคยเจริญ กองกรรมฐานทั้งหลายก็ตกไป ญาณก็ตก ณานก็เสื่อม บารมีก็ถดถอย มีแต่จะนับวันลดชั้นลดภูมิของตนเองไปเรื่อยๆ เพราะเขาไปเข้าใจผิดยึดติดกับสิ่งลวงตาหลงอยู่ในตัณหาทั้งสาม บางคนก็คิด
    ว่าเรานี้มีบารมีมากได้ประกาศพระศาสนามีสาวก มีลาภสักการะ เจริญในสมณศักดิ์รวดเร็วผิดปกติ ที่ร้ายหน่อยคิดว่ามีเทวดาเป็นข้ารับใช้หรือตนเองถึงแล้วซึ่งอนุตรธรรมลุแก่พระโสดาบันเป็นต้น สามารถทำสิ่งใหญ่โตได้เพียงลัดนิ้วมือเดียว เรียกว่ายิ่งมีศิษย์มากมีคำพูดยกยอปอปั้นมาก ก็ยิ่งหลงเพลิดเพลินไปกับเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น อย่าว่าแต่มนุษย์หลงผิดเลย แม้เหล่าพรหมยังหลงกันมาแล้วนับประสาอะไรกับความคิดคำนึงของคน โดยไม่ตระหนักว่าแท้จริงใช้บารมีของใคร ใครช่วยหรือเผลอได้รับปากตกลงสัญญาอะไรกับใครไว้ ท่านว่าทอดสายตาไปทั่วแผ่นดินแล้วในปัจจุบันนี้บารมีกาฝากเช่นนี้เรียกได้ว่ามีเกลื่อนแผ่นดิน

    ดังนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงใส่ใจกับการเจริญสติ หมั่นอบรมตนเอง ไม่ปล่อยให้ตัวเองไหลไปกับกระแสของโลก ของวัตถุ ไม่เปลี่ยนข้อวัตรปฏิบัติ ไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้นเพื่อยังประโยชน์ของตนให้ถึงพร้อมจะได้โปรดสัตว์ทั้งหลายต่อไป

    ตรงนี้สำคัญ ยิ่งที่ไหนถ้ายกผียกพรายมาด้วยทั้งพ่อนั่นแม่นี่หาว่าพรายช่วยสร้างวัดบ้างอะไรต่างๆนานาบ้าง อันนี้ก็ต้องยินดีกับสัมภเวสีเหล่านั้นจริงๆ เพราะเค้าได้เลื่อนภูมิมีวิมานอยู่เป็นเทวดานางฟ้ากันทั้งนั้นยุคนี้มีเยอะจริงๆที่ผีได้ดีกว่าคน ได้ดีกว่าพระ มีภูมิธรรม มีภพภูมิแซงหน้าพระไปก็มาก เพราะจิตของผีได้รับบุญได้มีการพัฒนา หากแต่ที่ตกแทนเพราะหลงใหลมัวเมาในกิเลสตัณหากลับเป็นพระแทน หลายคนถามว่าเทวดาทำแบบนี้แล้วได้อะไร ในยุคสามนี้เทพเจ้าทำไมลงมายุ่งกับมนุษย์กันมากมาย ก็เพราะว่าท่านต้องการจะสร้างบารมีของท่าน ทำลายคำสาป ทำลายข้อจำกัดและอื่นๆอีกมากมายที่เรียกว่าอย่าเสียเวลาคิด ถึงคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงทั้งนั้น จะดีกว่าหากเอาเวลามาเจริญสติ รู้ตัว รู้ความคิด รู้เท่าทันการกระทำตนเอง

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327_d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2017
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    แจ้งการส่งEMS

    พี่ศุภชัย ER 5708 0424 1 TH

    พี่สุเมธ ER 5708 0425 5 TH
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งน้ติดตามเรื่องพูดคุยกันต่อนะครับ;)
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    การใช้ทรัพย์
    วันนี้ก็มาพูดคุยกันรอบเช้าเกี่ยวกับเรื่องการใช้ทรัพย์ ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงสอนไว้ ว่าใช้จ่ายอันใด ใช้โภคทรัพย์อย่างไรให้สมควร จากหลายๆคนที่ส่งดวงมาและได้ทำการตอบกลับไปแล้วปรากฏว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการใช้จ่าย ก็มาเรียนรู้ทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันตามหลักพระศาสนานะครับ

    พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการใช้ทรัพย์ ปรากฏในอาทิยสูตร เล่มที่ 36 หน้าที่ 93 (เล่มสีน้ำเงิน) ว่าด้วยหลักการใช้โภคทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ 5 อย่าง

    ครั้งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

    ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า

    ดูก่อนคฤหบดี
    ประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็นไฉน คือ
    อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ ชอบธรรม ได้มา โดยธรรม

    1. เลี้ยงตนให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ บริหารตนให้เป็นสุขสำราญ
    2. เลี้ยงมารดาบิดาให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ บริหารให้เป็นสุขสำราญ
    3. เลี้ยงบุตร ภรรยา ทาสกรรมกร คนใช้ ให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ บริหารให้เป็นสุขสำราญ
    นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ 1อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ
    ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม
    4. เลี้ยงมิตรสหายให้เป็นสุข ให้อิ่มหนำ บริหารให้เป็นสุขสำราญ
    นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ 2 อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยัน สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ
    ชอบธรรมได้มาโดยธรรม
    5. ป้องกันอันตราย ที่เกิดแต่ไฟ น้ำ พระราชา โจร หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก ทำตนให้สวัสดี
    นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ 3อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยันสะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ
    ชอบธรรมได้มาโดยธรรม

    ทำพลี 5 อย่าง คือ

    - ญาติพลี [บำรุงญาติ]
    - อติถิพลี [ต้อนรับแขก]
    - ปุพพเปตพลี [ทำบุญอุทิศกุศลให้ผู้ตาย]
    - ราชพลี [บริจาคทรัพย์ช่วยชาติ]
    - เทวตาพลี [ทำบุญอุทิศให้เทวดา]
    นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ 4 อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมใช้จ่ายโภคทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความหมั่น ความขยันสะสมขึ้นด้วยกำลังแขน อาบเหงื่อต่างน้ำ
    ชอบธรรมได้มาโดยธรรม
    บำเพ็ญทักษิณา มีผลสูงเลิศ เกื้อกูลแก่สวรรค์ มีวิบาก(ผลที่จะได้รับข้างหน้า) เป็นสุข ยังอารมณ์เลิศให้เป็นไปด้วยดีในสมณพราหมณ์


    คำว่าสมณพราหมณ์ ตรงนี้ไม่ใช่ลัทธิพราหมณ์ แต่เป็นผู้เว้นจาก กิเลส ตัณหา อุปทาน
    คือ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า และพระปัจเจก และพระอรหัตทั้งหลาย ผู้เว้นจากความมัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในขันติและโสรัจจะ (ความอดทน และความเสงี่ยม) ผู้มั่นคง ฝึกฝนตนให้สงบระงับดับกิเลสโดยส่วนเดียว นี้เป็นประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อที่ 5

    ดูก่อนคฤหบดี ประโยชน์ที่จะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ 5 ประการนี้แล ถ้าเมื่ออริยสาวกนั้นถือเอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์ 5 ประการนี้ โภคทรัพย์หมดสิ้นไป อริยสาวกนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า
    เราได้ถือเอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์นั้นแล้ว และโภคทรัพย์ของเราก็หมดสิ้นไป ด้วยเหตุนี้

    อริยสาวกนั้น ย่อมไม่มีความเดือดร้อน ถ้าเมื่ออริยสาวกนั้นถือเอาประโยชน์แต่ โภคทรัพย์ 5 ประการนี้ โภคทรัพย์เจริญขึ้น อริยสาวกนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราถือเอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์นี้แล้ว และโภคทรัพย์ของเราก็เจริญขึ้น อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีความเดือดร้อน

    อริยสาวกย่อมไม่มีความเดือดร้อนด้วยเหตุทั้ง 2 ประการฉะนี้แล.

    หมายความว่าทรัพย์หมดไปด้วยประการที่ว่าทำต่างๆ 5 ประการนี้ ก็ไม่เสียดายหรือมันได้พอกพูนขึ้นมาก็ไม่ภูมิใจจนเกินเหตุและไม่เสียใจว่าได้ทรัพย์มาโดยที่ไม่ถูกต้อง เพราะได้มาโดยถูกต้อง

    นรชนเมื่อคำนึงถึงเหตุนี้ว่า เราได้ใช้จ่ายโภคทรัพย์เลี้ยงตนแล้ว ได้ใช้จ่ายโภคทรัพย์เลี้ยงคนที่ควรเลี้ยงแล้ว ได้ผ่านพ้นภัยที่เกิดขึ้นแล้ว ได้ให้ทักษิณาอันมีผลสูงเลิศแล้ว ได้ทำพลี 5 ประการแล้ว และได้บำรุงท่านผู้มีศีล สำรวมอินทรีย์ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว

    บัณฑิตผู้อยู่ครองเรือน พึงปรารถนาโภคทรัพย์ เพื่อประโยชน์ใดประโยชน์นั้น เราก็ได้บรรลุแล้ว
    เราได้ทำสิ่งที่ไม่ต้องเดือดร้อนแล้วดังนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ดำรงอยู่ในธรรมของพระอริยะ
    บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้ เมื่อเขาละจากโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงใจในสวรรค์
    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327_d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2017
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    เดี๋ยวมาคุยกันต่อรอบเย็นนะครับ ติดตามๆ
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    พรุ่งนี้ติดตามกันดีๆนะครับ แอบกระซิบเพราะจะเปิดให้จอง มหาตะกรุดเทียมครูมงคลค้ำฟ้าชินะบันดาล(มหาเวทย์ไตรตรึงษ์) ตะกรุดตัวนี้เฉพาะพระยันต์ที่พ่ออาจารย์ท่านตั้งใจจารบรรจุลงไปก็เป็นอักขระพิเศษถึง 33 มหายันต์แล้ว ท่านตั้งใจจารและบีบอักขระมาก ที่พิเศษกว่านั้นคือมีอุดทั้งพระธาตุและไม้...และผงวิเศษอื่นๆ ติดตามกันดีๆ;)
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,108
    ค่าพลัง:
    +16,530
    ร่วมทำบุญบูชา มหาตะกรุดเทียมครูมงคลค้ำฟ้าชินะบันดาล(มหาเวทย์ไตรตรึงษ์)

    พ่ออาจารย์นั้นท่านมักจะพูดเสมอว่าแต่เดิมครูท่านมักจะกล่าวไว้เสมอ ว่าเครื่องมงคลที่ลงด้วยตัวธรรมและเสกด้วยวิชาธรรมจะมีอำนาจของคุณวิชาแก่กล้า ช่วยคนได้มากที่สุด ก่อให้เกิดประสบการณ์สูงสุด


    ท่านจึงได้เมตตาทำตะกรุดมงคลค้ำฟ้าชินะบันดาลขึ้น โดยท่านว่าตะกรุดนี้เป็นสุดยอดวิชา เป็นของสูงที่สุดแล้วในสายวิชาจำปาศักดิ์ เพราะท่านใช้วิชาเอกของเจ้าปู่สำเร็จลุนซึ่งเจ้าปู่นั้นได้คัมภีร์ก้อมนี้มาจากศพของท่านนาโหล่ง หลังจากได้ศึกษาแล้วก็ปรากฏอิทธิคุณกระเดื่องเลื่องลือแม้แต่หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่าที่ฝั่งไทยยังให้การยอมรับและนับถือในเวทย์วิชา พ่ออาจารย์ท่านได้เมตตาทำตะกรุดมหาวิเศษที่เรียกว่าทำยากที่สุดขึ้นมา


    มหาตะกรุดเทียมครูมงคลค้ำฟ้าชินะบันดาลนั้น พ่ออาจารย์ท่านว่าทำยาก เพราะท่านอยากให้คนที่ได้บูชาไว้นำไปติดตัวกันจริงๆ ท่านจึงอาศัยความเพียรและวิระยะอุตสาหะของท่านลงจารด้วยกสิณด้วยกำลังฌานแฝงจิตแฝงครูเต็มที่ ทำการบีบอักขระให้ตะกรุดออกมาเล็กที่สุด เพื่อให้ง่ายต่อการบูชาและพกพาของทุกคน


    โดยท่านว่าตะกรุดเทียมครูนี้คือเสมอครู เป็นวิชาที่จะทำให้คนเป็นครูบาอาจารย์คนได้ เพราะว่าลงไว้ครอบคลุมเสียทั้งหมด มีดีทุกด้าน แค่ยกตะกรุดจบหัวนึกเอา อยากได้อะไรเดี๋ยวก็มาเอง ติดอุปสรรคปัญหาอะไรก็ผ่านไปได้ทั้งสิ้น


    พ่ออาจารย์ท่านเมตตาจารตะกรุดมงคลค้ำฟ้าชินะบันดาลไว้ได้ 9 ดอก โดยใช้เวลาลงถึง 5 ปี ท่านว่าเวลาลงก็นับว่ายากแล้ว แต่ที่ยากกว่าก็คือเชิญพลังฟ้าให้มาล้างแผ่นตะกรุดเสียคำรบหนึ่งก่อน เรียกว่าเชิญสายฟ้าก็ได้ โดยท่านนำแผ่นทองแดงมาคลุมทับแผ่นตะกั่วไว้ ก่อนจะเชิญกำลังฟ้าด้วยวิชาของท่าน ท่านว่าตะกรุดรุ่นนี้คนใช้จะเห็นผลเร็วและมีอำนาจรุนแรงดุจสายฟ้า เพราะมีกำลังของเทพเจ้าแฝงอยู่ในทุกอณูเนื้อ

    มหาตะกรุดเทียมครูนั้นมีอานุภาพโดดเด่นเฉพาะด้านต่างๆ ดังนี้
    - แก้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ดวงติดขัดต่างๆ ดำรงค์ชีวิตอยู่อย่างติดขัดคือคิดทำการอย่างใดก็ไม่ได้เสมอใจเราซักอย่าง ที่หวังไว้ก็ไม่เคยสมหวัง พบแต่เรื่องผิดพลาด ผิดหวัง มีวามรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดผีซ้ำด้ามพลอย ส่งผลให้ความรู้สึกอ่อนล้ามัวหมอง จิตใจหดหู่ถดถอย พ่ออาจารย์ท่านว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาตึงมือแต่อย่างใด ด้วยวิชาธรรมและเคล็ดของบูรพาจารย์ขอให้มั่นใจเท่านั้น
    - ช่วยในเรื่องการเจริญสติ แรงครูดุจแสงสว่างกระจ่างจ้าเบื้องบนที่จะทำลายความทุกข์โศกมืดมิดที่เราหาทางออกไม่ได้ มีคุณใหญ่ชัดเจนคือการดลบันดาลความสำเร็จมาให้
    - ช่วยให้เรามีทัศนคติที่ดี มองอะไรทะลุปรุโปร่ง เห็นช่องทางความสุข เห็นประโยชน์ใหญ่ จิตใจปลอดโปร่งรู้แจ้งแทงตลอด เห็นสิ่งที่ปกติตัวเองคิดไม่ถึง มองไม่เห็น เมื่อจะพิจารณาการณ์และกิจสิ่งใดย่อมทำไปโดยความรอบคอบ ไม่ปล่อยโอกาศทุกครั้งให้หลุดรอดไป
    - พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่าชินะบันดาล ก็คือการบันดาลของคุณพระ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่พุทธนิมิตบันดาลให้เกิดขึ้นไม่ได้ ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้เสมอใจ ต้องได้ในสิ่งที่ดีที่สุดเหนือคนอื่นเสมอ
    - กลับสิ่งร้ายให้แปรเปลี่ยน เป็นโอกาศ เป็นเรื่องดี ผ่อนสิ่งที่หนักตนให้บางเบา เคราะห์กรรมฉาบฉวยให้สูญหายไป
    - ส่งผลต่อจิตวิญญาณเบื้องต่ำและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ให้หยุดคิดร้ายไม่สามารถรังแกเราได้ เพราะเกรงอำนาจและเทวราชอาชญาของแก้ววัชระ หรือสายฟ้าแห่งองค์อินทร์ที่ประจุเข้าไป
    - ปรับสมดุลย์ความห่างเหิน ต่ำชั้น ไม่คู่ควร กับสิ่งที่มุ่งหวังหรือหมายปองด้วยว่าบารมีของเราไม่เสมอกัน ไม่เท่ากัน ไม่คู่ควรกันกับสิ่งที่เราหวังที่เราปรารถนาเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นให้สมกัน คู่ควรกัน ไม่มีใครเกินเราหรือเหมาะหรือควรเท่าเรา
    - ท่านว่าในแต่ละวันกิจและชีวิตของคนมีหลากรูปแบบ ท่านจึงผูกธาตุวิชาไว้โดยดึงขึ้นมาให้เด่นทุกธาตุ สอดคล้องกับกิจที่เราจะเจอในแต่ละวัน เป็นได้ทุกอย่าง ครูท่านคอยคลุมธาตุของท่านเอง ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสถานการณ์ จะเป็นน้ำก็ดีได้ชื่อว่าเป็นโชคลาภเป็นมหานิยมที่สุด จะเป็นไฟก็ดี เป็นลมก็ดี เป็นดินก็ดี ล้วนปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ชีวิต ว่าเราต้องการผูกสัมพันธ์ก็จะเป็นเสน่ห์เข้าไส้ ต้องหลบหนีอันตรายก็จะเป็นคลาดแคล้วบังตา ต้องการแข่งขัน ต้องการเสี่ยงโชค ต้องการโอกาศในชีวิต ทุกสิ่งล้วนปรับเปลี่ยนตามสมดุลย์ชีวิตไม่ขัดแย้งหรือล่วงเกินกัน


    ท่านว่าตะกรุดนี้สร้างด้วยวิชามหายันต์ทั้ง 33 บทของเจ้าปู่สำเร็จลุน ท่านเห็นว่าเลข 33 นั้นไปพ้องกับจำนวนมหาเทพแห่งดาวดึงส์พอดี ซ้ำตัวตะกรุดนั้นก็มีการบรรจุพลังแห่งแก้ววัชระของพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแห่งดาวดึงส์ไว้ด้วย ท่านจึงเมตตานำมนต์อักขระวิเศษที่เรียกว่ามหาเวทย์ไตรตรึงษ์มาลงจารล้อมปิดและอธิษฐานจิตอีกคำรบหนึ่ง ท่านว่าตะกรุดนี้สำคัญนัก จอมเขาสิเนรุราชนั้นเป็นแกนจักรวาล ด้วยอำนาจของเทพบดีทั้ง 33 พระองค์ ผู้เป็นใหญ่เหนือจอมเขาสิเนรุราชแห่งดาวดึงส์นี้บารมีนั้นครอบคลุมไปทั่วทุกพิภพ แม้ตัวเจ้าจะอยู่ที่ใดในจักรวาล อย่าว่าแต่ในโลกนี้เลย ด้วยอานุภาพของเทพทั้งสามสิบสามนั้น ย่อมจะเปลี่ยนโชคลาภคนให้ได้ดีจากหน้ามือเป็นหลังมือ ประมาทหรือล่วงเกินไม่ได้เลยในอำนาจของเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามสิบสามพระองค์ผู้บุกเบิกดาวดึงส์


    พ่ออาจารย์ท่านว่าตะกรุดชินะบันดาลนั้นเป็นตะกรุดพิเศษที่มีวิธีการสร้างยุ่งยาก เพราะของศักดิ์สิทธิ์ภายในที่ท่านต้องหามาบรรจุไว้ด้วยก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งตะกรุดเทียมครูนี้จะบรรจุด้วยของวิเศษต่างๆ ดังนี้
    - พระธาตุพระอนุรุทธศากยวงศ์ พระเถระผู้ไม่รู้จักคำว่าไม่ได้ ไม่มี ด้วยธาตุของท่านนั้นย่อมเป็นของวิเศษศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏขึ้นที่ใด เทพยดาเจ้าทั้งหลายย่อมให้ความเคารพเป็นที่สุด คอยบันดาลให้ในทุกสิ่งที่เสมอใจแก่ผู้บูชาและอธิษฐาน ดุจเดียวกับสมัยที่พระอนุรุทธเถระยังดำรงค์ขันธ์อยู่ พ่ออาจารย์ท่านว่าเทพเจ้าท่านตามอภิบาลบำรุงพะอนุรุทธเช่นไร ท่านก็ทำกับเราเช่นนั้น มันจะดีหรือไม่ถ้าได้ชื่อว่าเป็นคนโชคดี เป็นลูกรักของเทพยดา เป็นลูกรักของพระเจ้า เกิดอีกกี่สิบชาติก็ยากที่จะมีโชคเช่นนี้
    - กายสิทธิ์กลางหาว ท่านว่าแค่ธาตุกายสิทธิ์ที่เชิญกันในภาคพื้นปฐพีก็นับว่าทำได้ยากแล้ว แต่กายสิทธิ์กลางหาวกลางฟ้านี้ เป็นของที่หาได้ยากยิ่งกว่า พ่ออาจารย์ท่านว่าให้พูดตรงๆก็คือถ้าเหาะไม่ได้สูงสี่หมื่นหกพันโยชน์ซึ่งเป็นอาณาเขตที่ตั้งแดนจาตุมหาราชิกาแล้ว อย่าหมายว่าจะได้มา ตัวท่านเองนั้นก็ได้รับมาสืบต่อแต่บูรพาจารย์ โดยครูท่านนั้นกล่าวไว้ว่าเมื่อทำของก็ให้ใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเป็นของสำคัญที่เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กท่านกระทำด้วยฤทธิ์อภิญญาขึ้นไปเอามา
    - ผงไม้ค้ำฟ้าหรือไม้มณีโคตร ท่านว่าแค่ผลหมากของมันยังหายากนักเป็นตำนานมาร้อยปีพันปี นับประสาอะไรกับต้นมัน ท่านว่าต้นมณีโคตรนี้เกิดแต่ตั้งฟ้าตั้งดินทีเดียว อุบัติขึ้นพร้อมฟ้าดิน ยากนักที่ใครจะได้เห็น มีก็แต่รุ่นครูบาอาจารย์ที่แก่กล้าในฤทธิ์และอภิญญาได้เห็นและบอกเล่ากันสืบมา ถึงความวิเศษของต้นค้ำฟ้านี้ ท่านว่าคำว่าค้ำฟ้านี้ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใดเลย ต้นมณีโคตรนี้เหมือนคันฉัตรกั้นฟ้าดินให้แยกออกจากกันอย่างแท้จริง มีจิตมีชีวิต มีเทพเจ้าในจักรวาลทั้งแสนโกฏิชื่นชมคอยพิทักษ์รักษา ท่านว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีหากถามว่าดีอย่างไร เอาว่าแค่ได้ครอบครองก็ถือเสียว่ามันคือเกียรติยศก็แล้วกัน ตายไปไม่เสียชาติมนุษย์ สุดแล้วแต่จะอธิษฐานใช้ ท่านได้บดเอาผงไม้มณีโคตรนี้บรรจุไว้ภายใน
    - ผงเสด็จ เป็นผงที่พ่ออาจารย์ท่านไม่ค่อยนำออกมาทำอะไรเลย เพราะท่านว่าเชิญยากมีวิธีการยุ่งยากต้องประกอบอย่างเคร่งครัดต้องทำพิธีขอผง เป็นผงของเทพเจ้าที่ท่านให้มาทีละนิดทีละหน่อย เรียกว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่จะหาไม่ได้ในโลกมนุษย์ มีวิชาอย่างไร ถ้ายังขึ้นชื่อว่าเป็นคนก็ทำไม่ได้ ต้องให้ครูพระครูเทพยดาท่านทำ ดุจว่าเป็นของทิพย์ ผงนี้มีอานุภาพมาก ท่านว่าไม่อยากจะเปรียบจริงๆเพราะกระทบครูบาอาจารย์หลายองค์ เอาแค่ว่าต่อให้ครูที่ว่าเก่งด้านลบผงทั้งหลาย ผงของท่านเหล่านั้นก็ทำไม่ได้เช่นนี้ ไม่มีอิทธิคุณมากไปกว่านี้ ดีทุกเรื่องตามแต่จะอธิษฐานทีเดียว
    - ผงวิเศษอื่นๆ ...อันนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าไม่ขอพูดมากไปกว่านี้


    พ่ออาจารย์ท่านว่ามันเป็นความรู้สึกของท่านเอง ที่จารตะกรุดนี้ท่านก็คิดแต่แรกแล้วว่าทำยากนักหนา ไหนๆทำทั้งทีก็เอามาใส่ให้มันหมด จะได้มีครบรสไปเลย อะไรที่ว่าหายากก็บรรจุลงไป ถือเสียว่าทำบูชาคุณเจ้าปู่สมเด็จลุนเสียครั้งหนึ่ง ทำให้ท่านดีที่สุด ก่อนที่ท่านจะปิดหัวและท้ายตะกรุดด้วยสีผึ้งอีกคำรบหนึ่ง


    เมื่อทำตะกรุดจนสำเร็จแล้ว พ่ออาจารย์ท่านได้เชิญครูทั้งหลายโดยท่านว่าพิธีนี้ท่านยกเอาเจ้าปู่สำเร็จลุนและเจ้าราชครูหลวงเป็นประธานมาช่วยกันเสก อันนี้ถือเป็นเรื่องแปลกเพราะปกติพ่ออาจารย์ท่านจะเสกของไม่นานท่านก็ว่าเต็มแล้ว แต่สำหรับตะกรุดนี้ท่านว่าต้องทำวิชาธรรมแต่ละห้อง ไหนจะเชิญครูเสก ไหนจะเชิญบารมีเสด็จพระใหญ่และองค์อื่นๆมากมาย ท่านว่าที่ทำนานนั้นไม่ใช่เสกไม่เต็ม แต่ต้องคอยจนกว่าครูท่านจะลงมาช่วยกันอธิษฐานจิตจนครบ


    คาถาบูชา
    พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ นะโมพุทธายะ เทวะโลเก นาโคตะเก ยักขาทันตา มะโนทันติ อัตตะมะโนสุขี นาระโกโตหิ อินทะรี ปะมาเชถะ พุทธะปัญโญ นาตะโก สะมันตา สันติ นะภะโว เทวะลัง โลเก ทันตะมัง
    ข้าพระพุทธเจ้า ขออัญเชิญเทวดาหกชั้น พรหม ๒๐ ชั้น อรูปพรหม ๔ ชั้น นาค ๗ ตระกูล ยักษ์ ๒๐ ตระกูล พระนารายณ์ พระอินทร์เจ้า คุณพระบิดามารดา พญาครุฑ ๓๐ ตระกูล และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง จงมารักษาข้าพระพุทธเจ้าด้วยนะโมพุทธายะ


    * มหาตะกรุดเทียมครูมงคลค้ำฟ้าชินะบันดาลนี้ ท่านว่าเป็นของทำยาก เป็นเครื่องมงคลตระกูลสูง มีเจ้าของถือครองวิชาที่ครูบาอาจารย์เบื้องบนท่านเลือกเฟ้นแต่เดิมแล้วทุกดอก ท่านว่าคนที่ไม่มีวาสนาต้องกันจะมองไม่เห็นค่าของตะกรุดนี้เลย ท่านว่าพูดสั้นๆเพราะท่านอธิษฐานจิตเอาไว้คนที่รู้คนที่เห็นค่าคือคนที่โชคดีมาก สำหรับผู้บูชาให้แจ้งชื่อสกุลไว้ด้วย รับจองเฉพาะทาง PM เท่านั้น เพราะพ่ออาจารย์ท่านจะลงวิชานะเทวดาเล่นแป้งให้เฉพาะที่ตะกรุดทุกดอก รายได้ทั้งหมดบริจาคแก่เด็กที่ไร้โอกาศทางการศึกษาในชนบทต่อไป

    ร่วมทำบุญบูชา มหาตะกรุดเทียมครูมงคลค้ำฟ้าชินะบันดาล(มหาเวทย์ไตรตรึงษ์) 4,000 บาท

    Our_real_Father_in_Nibbana.jpg image.jpg
    lp_kruang_036a.jpg SAM_5237.jpg SAM_5239.jpg SAM_5240.jpg SAM_5241.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2017

แชร์หน้านี้

Loading...