พระยอดกตัญญูเลี้ยงแม่อัมพฤกษ์

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย no123, 4 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. no123

    no123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +188
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><!--images-->พระศรีสะเกษ ยอดกตัญญูเดินจากวัดมาบ้านไป-กลับหลายกิโลฯ เอาข้าวที่บิณฑบาตมาได้ป้อนโยมแม่ที่พิการ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แถมถ่ายเรี่ยราด ต้องคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว



    เผยเคยเป็นถึงเจ้าอาวาส จู่ๆ แม่หกล้ม ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ ตัดสินใจสละตำแหน่ง จะได้มีเวลาดูแล ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เหลือกัน 2 คนแม่ลูก ไม่สนทำผิดวินัยสงฆ์ถูกเนื้อตัวผู้หญิง คิดว่าแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพื่อนบ้านชื่นชมกตัญญูรู้คุณ วอนทางการช่วยเหลือ



    เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษ ว่าขณะนี้มีประชาชนพากันร่ำลือเกี่ยวกับพระสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ที่วัดบ้านสังกัน ต.สำโรงพลัน อ.ไพรบึง ยอมสละตำแหน่งเจ้าอาวาสที่เป็นมานานถึง 9 ปี ลดฐานะลงมาเป็นแค่พระลูกวัดธรรมดา เพื่อจะได้มีเวลาไปดูแลโยมแม่ที่ป่วยและพิการมานานหลายปี จากนั้นจึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่วัดบ้านสังกัน ทราบชื่อพระรูปดังกล่าวคือ พระอภิรักษ์ อภิญญาโณ อายุ 41 ปี ซึ่งออกไปบิณฑบาตกับพระปลัดสุวิทย์ ฐานวโร เจ้าอาวาสวัดบ้านสังกัน


    ต่อมาพระปลัดสุวิทย์ และพระอภิรักษ์ กลับจากบิณฑบาต โดยเฉพาะพระอภิรักษ์เมื่อมาถึงก็จัดแจงแบ่งข้าวและอาหารที่บิณฑบาตมาได้ ใส่ถุงเตรียมนำไปให้โยมแม่ ก่อนจะเดินด้วยเท้าเปล่าจากวัดไปยังบ้านโยมแม่ที่บ้านสำโรงพลัน ต.สำโรงพลัน ห่างจากวัดบ้านสังกันระยะทางไปกลับประมาณกว่า 5 กิโลเมตร เมื่อไปถึงพบนางตู๊จ ศรีสัจจา อายุ 74 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72 หมู่ 1 บ้านสำโรงพลัน ซึ่งป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ช่วยเหลือตนเองไม่ได้มานานกว่า 3 ปี โดยจะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะบนที่นอนจนเปรอะเปื้อน


    ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า เมื่อพระอภิรักษ์มาถึงบ้านก็จะนำเอาผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวให้นางตู๊จ ก่อนจะป้อนข้าวป้อนน้ำให้แม่ อีกทั้งยังเข้าครัวทำกับข้าว และซักผ้าถุงเสื้อผ้าให้โยมแม่ โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าจะเป็นการทำผิดพระธรรมวินัยของสงฆ์แต่อย่างใด โดยพระอภิรักษ์ปฏิบัติเช่นนี้มานานกว่า 3 ปีแล้ว เนื่องจากว่านางตู๊จไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน มีเพียงลูกชายคนเดียวคือพระอภิรักษ์
    พระอภิรักษ์ กล่าวว่า


    บวชเป็นเณรมาตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี ที่วัดบ้านสำโรงพลัน กระทั่งอายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์นานกว่า 20 พรรษาแล้ว กระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านหัวช้าง ต.สำโรงพลัน เป็นเจ้าอาวาสนาน 9 ปี ช่วงนั้นโยมแม่จะนำข้าวปลาอาหารมาถวายที่วัดเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งโยมแม่หกล้ม ก่อนจะเป็นโรคอัมพฤกษ์ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ อาตมาจึงตัดสินใจสละตำแหน่งเจ้าอาวาส แล้วย้ายมาจำพรรษาที่วัดบ้านสังกัน ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เพื่อจะได้ดูแลโยมแม่สะดวกขึ้น


    อดีตเจ้าอาวาสวัดกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้เคยขอจะมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านสำโรงพลัน ซึ่งใกล้บ้านกว่า แต่ไม่รับอนุญาตเจ้าอาวาสวัดบ้านสำโรงพลัน เนื่องจากเกรงว่าการที่อาตมาดูแลแม่ แล้วแตะต้องตัวแม่จะเป็นการทำผิดพระธรรมวินัย อาตมาจึงขอมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านสังกันแทน ด้วยความเมตตาของพระปลัดสุวิทย์ เจ้าอาวาสวัด ช่วงที่ดูแลโยมแม่เคยมีหลายคนเคยถามว่า เพราะอะไรจึงไม่ลาสิกขาบทออกมาเพื่อมาดูแลโยมแม่ เพราะจะต้องแตะต้องเนื้อตัวแม่ แต่อาตมาคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า คนเราเกิดมาจะต้องกตัญญูรู้คุณ และแม่คือพระอรหันต์ของลูก จึงคิดว่าเป็นพุทธบุตร ได้ปฏิบัติต่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือนพระอรหันต์


    พระอภิรักษ์กล่าวอีกว่า ส่วนที่ไม่ลาสึก เพราะต้องการให้โยมแม่เห็นชายผ้าเหลือง จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต แทนที่จะเป็นเพียงการบวชหน้าไฟ การที่ทำเช่นนี้พระผู้ใหญ่หลายท่านก็เห็นดีด้วย และสนับสนุน เนื่องจากทำเพื่อโยมแม่ อีกทั้งด้วยความยากจน ทำให้ไม่มีเงินรักษาโยมแม่ เพราะอยู่วัดตามบ้านนอก มีเพียงเจ้าอาวาสที่ให้ปัจจัยไปรักษาแม่ อาตมาเคยเครียดขนาดว่าซื้อยาพิษมา จะกินฆ่าตัวตายพร้อมกับโยมแม่มาแล้ว แต่เกรงว่าเป็นบาป จึงล้มเลิกความคิดนี้ ก่อนนำเอาที่ดินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไปจำนองกับร้านค้าใน อ.ไพรบึง จำนวน 30,000 บาท เพื่อมารักษาโยมแม่ และได้รับความเมตตาจากนายทุนเงินกู้ ที่ยังไม่ไล่ออกจากบ้าน เพราะไม่มีเงินไปใช้มานานร่วม 3 ปีแล้ว ส่วนอาการของโยมแม่ก็ยังไม่ดีขึ้น

    ด้านนายกะมอน สุพรรณ์ อายุ 42 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 บ้านสำโรงพลัน ซึ่งบ้านอยู่ติดกับบ้านนางตู๊จ กล่าวว่า เฝ้าดูพระอภิรักษ์ดูแลแม่มานานแล้ว มีความชื่นชมมากที่พระอภิรักษ์ปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดี ไม่มีความรังเกียจ แม้แม่จะถ่ายเรี่ยราด เพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่นั้น คิดว่าหากปล่อยให้นางตู๊จตายโดยไม่มีใครเหลียวแล แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบ จึงอยากขอฝากไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ขอให้มาช่วยเหลือนางตู๊จด้วย


    หรือผู้มีจิตศรัทธาท่านใดจะให้ความช่วยเหลือ
    ขอให้ติดต่อ
    พระอภิรักษ์ที่วัดบ้านสังกัน ต.สำโรงพลัน
    โทร.0-6870-6879




    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ [​IMG]


    [music]http://www.tummaprateip.com/midi/05khanam.mid[/music]


    ขออนุญาติใส่ midi เพลงค่าน้ำนม


    : พลังจิต.com<!--detail--><!-- /keepstat.php?post_id=194686 -->
     
  2. นักเดินทาง

    นักเดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +9,112
    โอ้โห ผมน้ำตาซึมเลยครับ ไม่รู้จะว่าไงดี สุดยอดจริง ๆ
     
  3. mungkorn

    mungkorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +367
    สาธุ สาธุ สาธุ น้ำตาซึมเหมือนกันครับ
     
  4. นักเดินทาง

    นักเดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +9,112
    ผมมาคิด ๆ ดู ไหน ๆ เราก็รู้เรื่องของท่านแล้ว มาช่วยกันบริจาคคนละนิดละหน่อยช่วยเหลือท่าน ให้บรรเทาทุกข์ไปบ้าง จะดีรึเปล่าครับ?
     
  5. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,861
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,507
    ส่วนที่ไม่ลาสึก เพราะต้องการให้โยมแม่เห็นชายผ้าเหลือง
    จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต

    คุณยายตู๊จช่างมีบุญเหลือเกินค่ะ
    เดี๋ยวนำกระทู้นี้ขึ้นโปรโมท ไว้สองหมวด มาร่วมด้วยช่วยกัน
    อ่านกระทู้นี้ แล้วทำให้คิดถึง หลวงพ่อปาน [​IMG]

    ....

    หลวงพ่อปานปฏิบัติมารดา ดังได้ยินมาจากพระอาจารย์ว่า หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุทธยา สมัยที่ท่านเป็นพระนั้น ครั้งนั้น โยมแม่ มีอายุมาก และป่วย หลวงพ่อปานได้นำโยมแม่มาปรนนิบัติเลี้ยงดูโดยการ ป้อนข้าว อาบน้ำ และซักผ้านุ่งที่เปื้อนอุจจาระ ปัสสาวะ ให้กับโยมแม่โดยมิได้มีความรังเกียจแต่อย่างใด

    ด้วยเหตุนี้ ท่านสาธุชนทั้งหลาย พึงพิจารณาโดยแยบคายเถิด แล้วปฏิบัติมารดาบิดา ด้วยความกตัญญู จะเป็นกุศลแก่ท่านเอง

    ที่มา : หนังสือรวมคำสอนพระสุปฏิปันโน เล่ม 4 (เล่มพิเศษ) ชุดเทิดทูนพระคุณพระบิดามารดา โดย กลุ่มเกศแก้ว
     
  6. ball

    ball เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +1,094
    ผมอ่านแล้วซึ้ง คับสาธุ สาธุ
     
  7. นักเดินทาง

    นักเดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +9,112
    สาธุ คุณ MBNY เห็นแล้วผมสงสารอยากช่วยท่านจริง ๆ ตอนแม่ผมยังอยู่ผมก็ปฎิบัติกับท่านอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สุดท้ายแม่ผมก็จากไปคนเดียวตอนเช้ามืดที่โรงพยาบาล นึกแล้วก็เสียใจทุกทีที่ไม่ได้อยู่ส่งท่าน

    เห็นพระอาจารย์ท่านแล้วมันสะเทือนใจมาก
     
  8. poramase

    poramase เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +592
    ผมอยากให้ผู้ที่มีพระไตรปิฏกลองค้นดูหน่อยครับ เนื่องจากผมจำได้ว่ามีอยู่ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าไม่เป็นการผิดแต่อย่างใด เพราะเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นด้วย ตามหลักเหตุผลยิ่งสมควรใหญ่ เผื่อค้นได้จะได้เผยแพร่ต่อให้ทราบโดยทั่วกัน ขอบคุณครับ
     
  9. นักเดินทาง

    นักเดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +9,112
    เท่าที่ผมรู้ ในสมัยพุทธกาลก็มีกรณีคล้าย ๆ กันนี้ จึงมีผู้นำขึ้นกราบทูลพระบรมศาสดาว่าพระรูปนี้ทำผิดพระวินัย แต่พระพุทธองค์พอทราบเรื่องกลับทรงตรัสสรรเสริญว่าเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง เพราะฉนั้นการดูแลเลี้ยงดูแตะต้องสัมผัสบิดามารดา จึงไม่ใช่เรื่องผิดพระวินัย
     
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า....

    สาธุ รูปานัง กตัญญู กตเวทิตา....

    ผู้ที่มีความกตัญญู กตเวทิตา เป็นเครื่องหมายของคนดี....

    .........................................................

    ขอกราบในคุณ ความดี เป็นผู้รู้คุณ หาทางตอบแทนผู้มีคุณ....อย่างยอดเยี่ยม

    ...........................................................................

    กราบ....
    กราบ....
    กราบ....
    .........
     
  11. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา หลวงปู่ปานก็เคยปฏิบัติแบบนี้ กับโยมมารดา

    สาธุ
     
  12. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    แม่คืออรหันต์ ถูกต้องแล้วครับ การสัมผัสกายสตรี ดูว่าเจตนาอย่างไรด้วย
     
  13. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต [​IMG]


    ผมอยากให้ข้อเขียนเรื่องนี้ "พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต" เป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน เพราะถ้าอ่านด้วยการพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการสร้างสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตคุณๆ จริงๆ

    เดี๋ยวนี้ความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูก ดูเหมือนจะห่างกันมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะในโลกยุคปัจจุบันนี้ มีกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น มีสิ่งที่น่าสนใจ น่าศึกษา น่าหาความรู้ และน่าเข้าไปร่วมในกิจกรรมมากมาย มีโลกของอินเตอร์เน็ต มีเพื่อนมีหนังมีรูปมีเกมส์ให้ดูให้เล่นมากมาย เวลาที่ควรจะอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่หรือญาติพี่น้องจึงน้อยลงไปด้วย เดี๋ยวนี้เราจะเห็นเด็กๆ นั่งเล่นเกมส์ตามร้านคอมฯ ทั่วไป เย็นค่ำจนดึกดื่น

    แทนที่จะกลับไปที่บ้าน นั่งคุยหรือเล่นเกมส์ที่บ้าน เพื่อเป็นการสังสรรค์กับพ่อแม่พี่น้องที่บ้าน เรื่องนี้ถ้าจะมาพูดถึงต้นเหตุและปัญหา ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยืดยาว และหาที่จบไม่ได้ เอาเป็นว่า มาพูดถึงเรื่องบางเรื่องที่เราคาดไม่ถึง แต่เป็นเรื่อง "หญ้าปากคอก" กันดีกว่า มีหลายรายที่มาปรึกษาผม และพอพูดคุยกันแล้ว สาเหตุหนึ่งก็คือ "การไม่ได้ทำตัวเป็นลูกที่ดี" ของพ่อแม่ การไม่ทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ นั้น เท่าที่ผมได้รับฟังปัญหา ก็มีอย่างนี้

    1.ชอบเถียงพ่อเถียงแม่

    2.ชอบทำให้พ่อแม่เสียใจ บางรายถึงกับทำให้พ่อแม่ร้องไห้

    3.ไม่เลี้ยงดู ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่ตามสมควร

    4.สร้างแต่ปัญหาให้พ่อแม่

    5.ขโมยของที่เป็นสมบัติของพ่อแม่

    6.ด่าว่า กล่าวคำที่เป็นการล่วงเกินพ่อแม่

    7.ทำร้ายร่างกาย และจิตใจต่อพ่อแม่ บุคคลใดก็ตามที่กระทำอย่างนี้ จะต้องได้รับ "กรรม" หนัก ยิ่งข้อที่ 6 และ 7 คือด่าว่าและทำร้ายพ่อแม่ "กรรม" จะยิ่งหนักมากมายมหาศาล โอกาสได้ไปภพภูมิต่ำถึงนรกอเวจีมีมาก ชีวิตของผู้กระทำการตามนี้ จะไม่มีความสุขเลยชั่วชีวิต

    จะไม่มีความสบายใจ มักจะมีเรื่องหงุดหงิด เรื่องทุกข์ ทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจเกิดขึ้นบ่อยๆ อะไรที่คิดว่าน่าจะได้มา น่าจะสร้างความสุข น่าจะประสบผลสำเร็จ ก็มักจะไม่ได้ มีการเลื่อน คลาดเคลื่อน จนสุดท้ายก็ไม่ได้เลย ผมเคยรู้จักคนๆ หนึ่ง ก็พอจะรู้เรื่องราวในอดีตของเขา ต่อหน้าสาธารณชนนั้น จะดูเหมือนเป็นคนดี เอื้ออนาทร และเป็นคนที่รักพ่อแม่รักครอบครัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนนี้ไม่เคยสร้างความสบายใจให้กับพ่อแม่เลย หนำซ้ำยังพูดจาไม่ดีไม่ไพเราะกับพ่อแม่ พูดคำเถียงคำ

    มีบางครั้งถึงขนาดด่าว่าบุพการีด้วย บ่อยครั้งที่ผมรู้ว่าพ่อแม่ของคนๆ นี้ต้องร้องไห้ เสียใจจากการกระทำของคนนี้ คนนี้ได้รับความก้าวหน้าจากการทำงาน มีสังคมที่กว้างไกล มีคนนับถือ มีลูกน้องที่รักเคารพมากมาย มีทั้งเงิน มีทั้งเกียรติยศ คุณๆ อาจจะสงสัยว่า ก็ไหนว่าคนที่ทำร้ายพ่อแม่ เถียงพ่อเพียงแม่ ทำให้พ่อแม่เสียใจจะต้องได้รับ "กรรม"

    แต่ทำไมคนที่ผมเล่าถึงคนนี้ จึงมีแต่ดีวันดีคืน คืออย่างนี้นะครับ การรับกรรมนั้น ไม่ได้รับกรรมตามวันเวลาเป็นสำคัญ แต่การรับกรรม จะรับตามความหนักเบาของกรรม คือทำกรรมหนัก (ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว) ก็ต้องรับกรรมหนักนั้นก่อน เมื่อหมดกรรมหนักที่สุดแล้ว ก็รับกรรมที่รองๆ ลงมา คนนี้คงจะทำกรรมหนักที่ดีๆ มาในอดีต จึงรับกรรมที่ดีนั้นก่อน พอกรรมหนักที่ดีนั้นหมดลง กรรมที่ทำให้พ่อแม่เสียใจจึงเริ่มส่งผล จากนั้นเป็นต้นมา คนนี้ก็เริ่ม "ทรุด" ลงอย่างเห็นได้ชัด จากงานที่เคยทำแล้วประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าชื่นชม ก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า งานที่ไปเสนอลูกค้าก็ถูกปฏิเสธ จากสิ่งที่ดีๆ เดิมๆ ทั้งหมดเลวลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ พินาศลงในเวลาไม่นาน คนนี้โทรศัพท์มาปรึกษาผม คุยกันนานครับ กว่าจะรู้ว่าเขาเองไม่ได้ดูแลปฏิบัติพ่อแม่เท่าที่ควร คือไม่ดูแลก็แย่พออยู่แล้ว แต่นี่ยังทำร้ายจิตใจพ่อแม่อีก พูดจากระทบกระเทียบ พูดแดกดัน ตะคอกใส่ ทำให้พ่อแม่เสียใจ แอบไปนั่งร้องไห้บ่อยครั้ง ผมฟังแล้วแทบจะไม่เชื่อ เพราะมันคนละบุคลิกกับเบื้องหน้าที่ผมและหลายคนเห็น ผมเลยแนะนำให้เขาทำแบบง่ายๆ ก็คือให้ไปกราบขอขมาพ่อแม่ แล้วให้พ่อแม่ "อภัย" ในทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา แต่เงื่อนไขมันอยู่ที่ ทั้งตัวเขาเองและพ่อแม่ ต้องทำจาก "ใจ" จริง ไม่ใช่แกล้งทำ สักแต่ว่าทำ หรือทำแบบขอไปที ต้องมาจากความจริงใจ และความตั้งใจจริงที่จะทำ ฝ่ายลูกต้องตั้งใจที่จะขอขมาและยอมรับผิด สำนึกผิดจริงๆ มันต้องมาจากใจจริง ส่วนพ่อแม่ก็ต้อง "อภัย" ให้ลูกจริงๆ ไม่ใช่อภัยแต่เพียงปาก ต้องมีการ "อภัย" ที่มาจากใจจริง มีความรู้สึกที่อยาก "อโหสิกรรม" ให้ลูกจริงๆ เดี๋ยวนี้คนนี้ดีขึ้นแล้วครับ เจริญอย่างไม่น่าเชื่อ และ.."ดีขึ้น"

    อย่างน่าอัศจรรย์ใจ สำหรับคนที่ได้กระทำในสิ่งที่เลวร้าย หรือไม่สวยงามไม่น่ารักกับพ่อกับแม่แล้วนั้น บางทีอาจจะไม่รู้ตัวหรอกครับว่า กำลังรับกรรมในส่วนนี้อยู่ บางทีการกระทำที่เราทำกับพ่อแม่นั้น อาจจะทำไปโดยไม่ตั้งใจ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าพ่อแม่จะเสียใจ ในสิ่งที่เราทำ เพราะเรา "คาดไม่ถึง" อย่างเช่น ถ้าพ่อแม่ทำกับข้าวมาให้กิน เพราะเห็นว่าเราทำงานมาเหนื่อยเราหิว เรากลับพูดสวนกลับไปว่า ไม่ต้องมาสนใจหรอกน่า เดี๋ยวหากินเองได้ โตแล้วนะ ไม่ต้องมายุ่งเรื่องแบบนี้หรอก ซึ่งเราเองก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่าพ่อแม่ยุ่งอะไรนักหนาหรอก เพียงแต่อยากทำอาหารกินหรือหากินเอง จะได้ไม่ต้องรบกวนใคร แต่
     
  14. น้องไข่แมงสาบ

    น้องไข่แมงสาบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +501
    น้องไข่ น้ำตาไหลเลยอ่ะ รู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งที่หลวงพี่ท่านนี้ทำมากๆ สาธุค่ะ
     
  15. PCO

    PCO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +3,626
    ขอโมทนาสาธุและขอยกย่องสรรเสริญในความกตัญญู กะตะเวทิตา ของพระอภิรักษ์เป็นอย่างมาก และขอให้ท่านจงดูแลเอาใจคุณโยมแม่ของท่านให้เป็นอย่างดีผมขอกราบในความดีนี้ครับ เรื่องนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างมากครับ ขณะที่ผมพิมพ์อยู่นี้น้ำตามันก็ไหล ผมเองก็เคยได้ทำมาคล้ายๆอย่างนี้ทั้งแม่และพ่อ ซึ่งในชาตินี้ผมหมดโอกาศที่จะทำอย่างนี้ได้อีกเพราะทั้งแม่และพ่อไม่อยู่ให้ผมได้มีโอกาศอีกแล้ว <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ผมได้คัดลอกจากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ซึ่งหลวงปู่ปานวัดบางนมโคท่านเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็มชาติสุดท้ายของท่าน ท่านก็ได้เคยทำเป็นแบบอย่างมาแล้วในเรื่องการดูแลเอาใจในบุพการีของท่านอย่างยอดยิ่ง แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันพระองค์ท่านก็ทรงประพฤติปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างแก่พวกเราที่สมควรที่จะได้เอาแบบอย่างอันประเสริฐนี้น้อมใส่เกล้าใส่กระหม่อมนำไปประพฤติปฏิบัติตามแบบอย่างพระองค์ท่าน<o:p></o:p>
    และก็ขอบอกกล่าวบรรดาท่านที่ปารถนาพระโพธิญาณทั้งหลาย ขอจงโปรดช่วยสงเคราะตามแต่พวกท่านจะเห็นสมควรกันครับ 5 กุมภาพันธ์ 2549<o:p></o:p>

    ข้างล่างทั้งหมดนี้คัดลอกมาจากหนังสือประวัติหลวงพ่อปานครับ
    ท่านบอกว่าสมัยท่านเป็นเด็กอายุสัก 4-5 ขวบ นี่ท่านไม่ได้จำกัดไปนะว่ามันกี่ขวบกันแน่กี่ปีกันแน่ ท่านบอกประมาณ 4-5 ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้าน หลวงพ่อปานท่านเป็นคนบางนมโค และเป็นคนตำบลนั้นไม่ใช่คนที่อื่น เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อยนะ สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส ท่านบอกว่า วันหนึ่งท่านวิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านย่าของท่าน ก็ปรากฎว่าย่าของท่านกำลังป่วยหนักใกล้จะตาย เวลานั้นก็เห็นจะเป็นเวลาบ่ายสัก 2-3 โมงกว่า ท่านว่าอย่างนั้นโดยประมาณ คนทุกคนเขามาเยี่ยมย่า พ่อแม่ของท่านก็ไป เมื่อคนทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านบอกเห็นร้องดัง ๆ บอก แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง ภาวนาไว้ อรหัง พระอรหังจะช่วยแม่ ก็ร้องกันเสียงดัง ๆ ท่านอยู่ใต้ถุน ท่านยืนฟัง ท่านยืนฟังเขาว่าอรหังกันทำไม พอท่านสงสัยก็ย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน พอท่านขึ้นไปแล้วก็ปรากฎว่าผู้อยู่เขาเอาปากกรอกไปที่ข้างหูของคุณย่าท่าน บอกแม่ แม่ อรหังนะ อรหัง แต่ว่าพอผู้ให้เขามองเห็นท่านเข้าไปเขาก็ไล่ท่านไป เขาจะหาว่าไอ้เด็กมันรุ่มร่าม ท่านก็เลยไปเล่นใต้ถุนบ้านอื่น พอมาถึงตอนเย็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็ป่าวหมู่เทวฤทธิ์ คือเรียกลูกกินข้าว
    เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางกลาง สำหรับตัวท่านเองเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานมาให้แล้วเอาแกงเท ท่านบอกว่าไอ้แกงฉู่ฉี่แห้งท่านชอบ เขาใส่มาให้ เรียกว่าไม่ต้องไปหยิบกับข้าว กินแบบประเภทข้าวราดแกง เวลาที่ท่านกินข้าวไปแล้วมานั่งนึกว่ากับข้าวมันอร่อยถูกใจก็เกิดความชุ่มชื่น พอจิตมันนึกขึ้นได้ว่า เขาบอกอรหัง อรหัง นึกถึงคำว่าอรหังขึ้นมาได้ ท่านก็เลยปลื้มใจ อย่างไรชอบกล เลยเปล่งวาจาออกมาดัง ๆ ว่า อรหัง อรหัง ว่า 2-3คำ ท่านแม่มองตาแป๋ว ลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ จับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน แล้วร้องตะโกนสุดเสียงเขียว เอ้า มึงจะตายโหงตายห่าก็ตายห่าคนเดียว มันจะมาว่าอรหังที่นี่ได้รึ คำว่าอรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่าอรหังที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย มึงจะตายโหงตายห่าก็ไปตายคนเดียว ท่านแปลกใจคิดว่า นี่เราว่าดี ๆ นี่ แม่ดุเสียงเขียวปัด นี่มันเรื่องอะไรกัน ในเมื่อถูกแม่ดุอย่างนั้นจะขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียว ก็เลยไม่ว่าอีก ตอนนี้ไม่ว่า ลุกไปหยิบข้าวไปกินทั้งน้ำตาคลอ เสียใจว่านี่เวลาท่านให้ผู้อื่นพูดว่าได้ แต่เราเป็นเด็กจะว่ามั่งว่าไม่ได้ มันแปลก ท่านแปลกใจ แต่ก็ไม่ว่าอะไร กินข้าวด้วยอาการตื้นตันใจ วันนั้นกลืนไม่ค่อยลง ท่านพูดถึงตอนนี้แล้วท่านก็หัวเราะบอกว่า คุณแม่ฉันน่ะโง่นะ ไม่ได้ฉลาดหรอก อีตอนใหม่นั้น ตอนฉันมาบวชได้แล้วคุณอรหังหรือพุทโธนี้ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ตกนรกไม่ได้ เขาห้ามตกนรก พอท่านพูดแล้วท่านก็ชี้มือมาทางฉัน บอก นี่เจ้าลิงดำนี่ก็เหมือนกัน เมื่ออายุ 12 ปี มันจะตาย มันย่องตามเขาไปนรก เขาไม่ให้เข้าเขตนรก จนกระทั่งฉันมาบวช นี่มันไปได้ของมันนะ แต่เขาก็ไม่ให้มันไป เขาไม่ยอมให้มันไป ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าคนที่ภาวนาพุทโธหรืออรหังนี่ จัดว่าเป็นคนปรารถนาความดีของ พระพุทธเจ้า มีความดีเกินกว่าที่จะลงนรก แต่ว่าแม่ของฉันนี่ท่านไม่รู้ ก็เป็นโทษเพราะไม่ได้รับการศึกษา แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก ตอนหลังที่ฉันบวชแล้วนี่นะ ฉันกลับใจแม่ของฉันได้ ฉันแนะนำให้ท่านทราบแล้ว เวลาท่านตายท่านก็ยึดพุทโธ อรหัง เป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ยึดเวลาตาย ฉันให้ท่านว่าทุกวัน
    นี่ท่านเล่าถึงเรื่องแม่ของท่านตอนนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องแม่ของท่าน บรรดาลูกหลานทั้งหลายก็เลยจะเอาเรื่องแม่ของท่านมาพูดให้ฟัง เพราะมีเรื่องอยู่นิดเดียวมาเล่าต่อกันฟังเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเข้ามาอายุมากแล้ว ประมาณ 30 หรือ 40 ปีแล้ว ใกล้จะ 40 แม่ท่านตาย แต่มันจะข้ามตอนไปบ้างก็ช่างมันเถอะนะ จะได้ไม่เอาไปคั่นกับเรื่องอื่นเข้า คือว่าหลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับแม่ท่านมาก ทั้งพ่อ ทั้งแม่นั่นแหละ พ่อก็ดีแม่ก็ดี เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านเอามารักษาตัวที่วัดให้นอนในกุฎิท่าน ผ้านุ่งแม่ของท่าน ๆ ซักเอง ท่านเอาผ้านุ่งแม่ของท่านไปตากไว้บนขื่อ ไอ้ขื่อบ้านนี่มันสูงนะลูกหลานนะ มันสูงกว่าหัวคนนะ เวลาเดินไปเดินมาหัวคนก็ต้องลอดขื่อ แต่ผ้านุ่งแม่ของท่าน ท่านไปตากไว้บนขื่อ เวลาแม่ท่านลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง ถึงได้บอกว่าแม่ท่านเป็นผู้หญิง แต่ว่าเวลานั้นท่านเป็นพระ มีคนหลายคนเขามาตำหนิท่าน ผู้หญิงเขาติว่า คุณปาน โยมของคุณน่ะเป็นผู้หญิง ผ้านุ่งเอาไปตากบนขื่อ ซักผ้านุ่งแม่เอง อุ้มลุกอุ้มนั่งเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเองอย่างนี้แม่จะบาป ท่านก็เลยบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาปนี่ พระพุทธเจ้าท่านว่าดีนี่ ท่านก็ตอบกับคนพูดว่า เวลานี้ไม่ใช่คนแล้ว ฉันเป็นพระ พอฉันมาเป็นพระฉันเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นพ่อว่าไม่บาปเป็นความดี ฉันก็เลยทำตามท่านน่ะซิ หากว่าฉันจะทำตามคนอื่นพูดก็ชื่อว่าฉันไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ฉันทำตามคำของพระพุทธเจ้าชื่อว่าฉันไม่เชื่อคนอื่น หากว่าฉันเป็นฆราวาสฉันจะเชื่อชาวบ้าน แต่ว่าเวลานี้ฉันเป็นพระฉันต้องเชื่อพระพุทธเจ้า เมื่อเขาสงสัยก็ถามว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ที่ไหน ว่าอย่างไร ท่านก็บอกว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ แต่วาถ้าจะหาให้ง่ายจงไปหาในพระธรรมบท แล้วดูเรื่องราวในเรื่องของทศชาติ คือเรื่องของสุวรรณสามก็ได้ แล้วท่านเลยกล่าวเอาเรื่องของพระที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ในธรรมบท คำว่า ธรรมบท นี้คือบทที่กล่าวถึง ธรรมบทแปลว่า ถึง เรื่องที่เข้าถึงธรรม เข้าถึงความดี ธรรมคือสิ่งที่คงสภาพและทรงไว้ซึ่งความดี เรียกกันว่าธรรม ถ้าจะแยกออกไปก็ต้องแยกเป็น กุศลธรรมและอกุศลธรรม ถ้ากุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายความฉลาด ความดี อกุศลธรรมก็เป็นธรรมฝ่ายชั่ว หากเรียกกันว่าธรรมเฉย ๆ ก็ต้องหมายความกันว่าความดีเฉย ๆ หมายเอาความดีโดยเฉพาะกัน แล้วก็นำเรื่องราวของพระลูกเศรษฐีที่ปรากฎมาในธรรมบทมาเล่าให้ฟังว่า ในครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประกาศพระศาสนา ในตอนนั้นปรากฎว่ามีลูกเศรษฐีคนหนึ่งฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีความเลื่อมใส อยากจะบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พ่อแม่ก็มีลูกคนเดียว มีทรัพย์ตั้ง 160 โกฎิ 160 โกฎินะ ไม่ใช่ 160 ล้าน ต้องเอา 0 เติมเข้าไปอีกศูนย์หนึ่ง มีลูกคนเดียวก็อยากจะให้ลูกรักษาทรัพย์สินเอาไว้เพื่อปกครองทรัพย์ แต่ลูกชายมีความเลื่อมใสมาก ไม่ยอม จะบวชท่าเดียว นี่ การมีลูกมีเต้าระวังไว้นะ อย่าคิดว่าเขาตามใจเราทุกอย่างน่ะ มันไม่ได้ เขาก็มีใจเราก็มีใจ คิดเอาไว้ให้ดีนะ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย เผื่อว่าลูกหลานจะขัดใจ ลูกที่เลี้ยงมาด้วยความเหนื่อยยาก เราต้องการให้เรียนอย่างนี้ เขาจะเรียนอย่างโน้น เขาจะเรียนอย่างนั้น เราต้องการให้เรียนอย่างนี้ เขาจะทำอย่างโน้น นี่มัน ขัดใจกัน ยากเหมือนกันนะ นี่ดูสมัยโบราณก็เหมือนกันนะ นั่นท่านมีลูกคนเดียว ทรัพย์ตั้ง 160 โกฎิ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ เวลาเขาต้องการจะบวช เมื่อไม่ให้เขาบวช เขาก็นอนเฉยไม่กินข้าวกินปลา ไปเอาเพื่อนมาปลอบยังไงก็ตามไม่ยอมฟัง แกบอกว่าสิ่งที่แกต้องการมีอย่างเดียวคือการบวช ถ้าแกไม่ได้บวชแกจะตาย แกจะนอนให้มันตายลงไปตรงนี้แหละ ตามใจ พ่อแม่ไม่ให้บวชก็ตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่กิน ใครไปให้อะไรก็ไม่กิน ไม่กินจริง ๆ ตานี้ทำอย่างไร บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็มาบอกมหาเศรษฐีผัวเมีย บอกว่า คุณพ่อคุณแม่อย่าฝืนใจเลยครับ ลูกชายของคุณพ่อคุณแม่น่ะเคยเป็นลูกมหาเศรษฐี เป็นคนมีทรัพย์ มีความปรารถนาสมหวังอยู่เสมอ การบวชในพระพุทธศาสนามีความลำบากมาก เวลาได้ข้าวปลาอาหาร เวลาจะกินต้องไปขอชาวบ้านเขา ต้องการข้าวร้อน อาจจะได้ข้าวเย็น ต้องการข้าวเย็นอาจจะได้ข้าวร้อน ต้องการอาหารเปรี้ยวอาจจะได้อาหารหวาน ต้องการอาหารหวานอาจจะได้อาหารเค็ม ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่เป็นไปตามความประสงค์ ไม่เหมือนอยู่เป็นฆราวาส ถ้าแกไปโดนความลำบากแบบนั้นเข้า ทนไม่ไหวแกก็สึกมาเอง และอย่างน้อยถึงแม้ว่าแกไม่สึก แกก็ยังมีชีวิตอยู่ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นหน้า ถ้าขืนขัดใจกันแบบนี้ล่ะก็ แกตายแน่ แกไม่ยอมกินอะไรทั้งหมด บรรดาเพื่อน ๆ มาแนะนำ ท่านมหาเศรษฐี 2คน ตายายเห็นชอบก็เลยยอมให้บวช
    เมื่อพ่อแม่ยอมให้บวช แกก็ลุกจากที่นอน กินข้าวกินปลา กราบพ่อกราบแม่ ลาพ่อลาแม่ แล้วก็ไปบวช ไปสำนักพระพุทธเจ้า เฉพาะต่อหน้าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าเป็นอุปัชฌาย์เอง แหม นี่เฮงจริง ๆ เมื่อบวชแล้ว ท่านเรียนกรรมฐานถึงขั้นอรหัตผล ท่านลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในป่าลึก สมัยก่อนเขาปฏิบัติกันอย่างนี้นะลูกหลานนะ เขาถามความเข้าใจว่า การรักษาจิตใจในขั้นต้นทำอย่างไร ขั้นกลางทำอย่างไร ขั้นสุดท้ายทำอย่างไร ถึงจนจบอรหัตผล ถามถึงความเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็ ไม่ได้สอนนาน ท่านสอนเดี๋ยวเดียว อย่างมากก็ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมงเป็นอย่างมาก ไม่ยังงั้นก็ไม่ถึง ชั่วโมง เขาพูดกันแบบลัด ๆ ย่อ ๆ ไม่ใช่มานั่งท่องแบบกันเป็นร้อยเล่มอย่างสมัยฉันเรียนหรอก ฉันเรียน นี่น่ะ ไอ้แบบที่ฉันท่อง ๆ นี่แหละนะ เฉพาะที่ท่องฉันแบกก็ไม่ไหว แล้วที่ดูจำก็ต่างหาก อย่างนี้เขาเรียกว่าเรียนเลยตำรามักมากไป เลยเอาดีไม่ได้ สมัยพระพุทธเจ้าท่านสอนกันประเดี๋ยวเดียว ไม่ได้สอนนาน สร้างเจริญสมณธรรม แต่ว่าก่อนเข้าพรรษา มีพระที่ไปข้างหลังไปจำพรรษาในป่าเดียวกับท่าน ท่านก็ถามว่าท่านมาจากไหน พระก็บอกว่ามาจากเมืองสาวัตถี ท่านก็ถามว่ารู้จักท่านมหาเศรษฐีพ่อแม่ท่านไหม แต่ท่านไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ท่าน ถามว่าคุณรู้จักท่านมหาเศรษฐี 2 ตายาย ชื่อนั้นชื่อนี้บ้างไหม พระก็บอกว่า รู้จัก ท่านก็ถามว่าทั้งสองท่านมีความสุขดีรึ พระก็บอกว่าไม่สุขแล้วเวลานี้ ได้ยินข่าวว่าลูกชายออกบวช ข้าทาสชายหญิงในบ้านมันก็ลักมันก็ขโมย แกเป็นคนแก่สองคนหูตาไม่ดี ทรัพย์สินในบ้านก็หมด คนที่กู้หนี้ยืมสินไปก็โกงหมด ไม่มีใครมาชำระหนี้ บ้านช่องถูกเผาหมด เวลานี้เป็นขอทานถือกระเบื้องแตกนั่งอยู่ตามฝาเรือน พระองค์นั้นพอรู้ข่าวว่าพ่อแม่ไม่มีความสุข พรรษานั้นทั้งพรรษาเจริญฌานไม่ได้ อย่าว่าแต่อรหันต์เลย คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ คิดว่าถ้าเราไม่บวชพ่อแม่ก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้ อาศัยมีจิตกังวลท่านเลยไม่มีความสุข ในเมื่อไม่มีความสุข ความกังวลมันเกิดขึ้น สมาธิมันก็ไม่เกิด ปัญญามันก็ไม่เกิด นี่ บรรดา ลูกหลานฟังไว้นะ เวลาเจริญสมาธิ หมายความว่าทำสมถกรรมฐานให้เกิดก็ดี เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี ต้องตัดกังวลเสียให้หมด เวลาที่เราจะใคร่ครวญ ตัดกังวลทุกอย่างเสียให้หมด อะไรที่ยังทำไม่เสร็จทำมันเสียให้เสร็จ อย่าให้มันคั่งค้างไว้ ถ้าคั่งค้าง ถ้าจิตเป็นกังวล ผลมันไม่เกิด วันนี้เล่าเรื่องของท่านต่อไป พอเวลาออกพรรษาท่านก็กลับมา เมื่อกลับมาก็ตั้งใจว่าจะไปหาใครก่อน ไปถึงทาง 3 แพร่ง ทางข้างซ้ายไปหาพระพุทธเจ้า ทางข้างขวาไปหาพ่อแม่ แต่พอคิดว่าเวลานี้เราเป็นพุทธสาวก เราควรจะไปหาพระพุทธเจ้าก่อน
    เมื่อไปถึงสำนักพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเทศน์เรื่องกตัญญูกตเวที เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านคงรู้ ไม่ใช่ท่านไม่รู้ แต่ท่านไม่บอก ท่านก็เทศน์เรื่องกตัญญูกตเวที ว่าบิดามารดาเป็นผู้มีคุณสูง คนเราจะสนองคุณบิดามารดาให้เต็มที่ เอาพ่อมาวางไว้บนบ่าขวา เอาแม่มาวางไว้บนบ่าซ้าย ให้พ่อแม่ขี้บนนั้นเยี่ยวบนนั้น นอนบนนั้น สมมติว่าถ้าจะทำได้นะ สมมติเอาว่าถ้าจะทำได้จนกระทั่งตลอดชีวิต จะชื่อว่าเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ให้ครบถ้วนน่ะ ยังไม่ได้ ยังไม่เท่าความดีที่พ่อแม่มีอยู่ ความดีที่ พ่อแม่มีอยู่นั้นเกินกว่านั้นมาก จะเอาความดีเพียงเท่านั้นไปเทียบกับความดีของพ่อแม่ไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่าบุคคลใดถ้าพ่อแม่มีความทุกข์หาความสุขมาเสนอสนองท่าน ถ้าท่านเป็นมิจฉาทิฐิ

    กลับใจให้เป็นสัมมาทิฐิ ปฏิบัติถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คือมีแดนสวรรค์ มีแดนพรหม มีแดนนิพพานเป็นที่ไป และหากว่าท่านเป็นสัมมาทิฐิอยู่แล้ว เป็นคนใจบุญสุนทร์ทานอยู่แล้ว ก็สนับสนุนบุญทานของท่านให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ท่านเป็นโลกียชน ก็นำท่านให้เป็นโลกุตตระ คือ นำท่านให้เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ถ้าทำได้อย่างนี้ ชื่อว่าความดีที่สนองใกล้เคียงกับความดีของพ่อแม่ นี่ท่านไม่ได้บอกว่าใช้ให้หมดนะ ท่านบอกใช้ได้ใกล้เคียงกับความดีของพ่อแม่ที่มีอยู่ พระองค์นั้นฟังแล้วก็ชื่นใจ เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็ลา บอกว่าจะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต เมื่อไปเห็นพ่อแม่อยู่ในสภาพนั่งขอทานอยู่ก็เข้าไปหา ทีแรกพ่อแม่จำไม่ได้ ก็บอกชื่อบอกเสียง บอกว่าฉันนะเป็นลูกของพ่อแม่ เวลานี้ทราบว่าพ่อแม่ไม่มีความสุข จะมาหาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พ่อแม่ก็บอกว่าเจ้าเป็นพระ จะมาเลี้ยงพ่อแม่ได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าทำได้ กิจที่พึงทำได้ ก็พา พ่อแม่ไป เข้าไปอยู่ในป่าละเมาะใกล้ ๆ บ้าน ปลูกโรงเล็ก ๆ ให้อยู่ เวลาเช้าท่านก็บิณฑบาต เมื่อได้ข้าวมาก็ให้พ่อแม่กินก่อน ถ้าพ่อแม่กินเหลือท่านก็ได้ฉัน ถ้าไม่เหลือท่านก็ไม่ได้ฉัน ได้ผ้าใหม่มาท่านก็ทำลายสีเสีย ทำให้เป็นสีเขียวสีแดงแล้วก็เอาไปให้พ่อแม่นุ่ง เอาผ้าเก่า ๆ ของพ่อแม่มาเย็บมาปะเข้าย้อมฝาดนุ่งเสียเอง ทำอย่างนี้จนอาการซูบผอมลงไปมาก ต่อมาพระสมัยนั้นท่านได้ยินข่าวเข้า

    ท่านก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระองค์นี้ประจบฆราวาส ทำตนไม่สมควรกับความเป็นพระ เอาข้าวมาให้คนกินก่อนตัวกินทีหลัง ได้ผ้าใหม่มาเอาไปให้คนแก่นุ่ง ตัวเองเอาผ้าของคนแก่มานุ่งแทน<o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าเมื่อได้ทรงทราบก็มีรับสั่งให้พระองค์นั้นเข้าเฝ้า เมื่อพระองค์นั้นเข้าเฝ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า ภิกษุ เธอทำอย่างนั้นหรือ ท่านก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าเป็นความจริง ทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ถามว่าตาแก่สองคนตายายนั้นเป็นใคร ท่านก็บอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่พระพุทธเจ้าข้า พ่อแม่ของข้าพระพุทธเจ้าเอง ข้าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ พระพุทธเจ้าบอกว่า แหม เธอทำอย่างนั้นนี่มันทำถูกแล้วนี่ ทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว ยกมือขึ้นท่วมศรีษะพนมมืออย่างเราพนมขึ้นเหนือศรีษะว่า สาธุ สาธุ สาธุ เอาเข้า 3 เที่ยว ดีละ ๆ ๆ สาธุเขาแปลว่าดีละ ที่เธอทำดีอันนี้ ตถาคต ไม่ห้าม ทำได้ อนุญาต เธอมีความกตัญญูรู้คุณคนดีมาก แล้วมีกตเวทีตอบแทนคุณท่านเธอทำอย่างฉันสมัยเป็นพระโพธิสัตว์มีนามว่าสุวรรณ

    แล้วพระพุทธเจ้าก็นำเรื่องของสุวรรณสามมาเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ ไม่เล่านะ ลูกหลานที่รัก ถ้าเล่าเรื่องสุวรรณสามล่ะก็ 3 เดือนไม่จบหรอก ถ้าพูดอย่างหลวงตาแก่นี้ เดี๋ยวเอาอะไรเข้ามาแทรก เป็นเรื่องยาวมาก ไปซื้อทศชาติมาอ่านเอานะ พระเจ้าสิบชาติน่ะ สุวรรณสามมีในนั้นแล้ว ก็เป็นอันว่าปลอดไป ไม่ถูกลงโทษ ได้รับคำสรรเสริญ นี่หลวงพ่อปานท่านบอกว่าเอาเรื่องขึ้นมาโต้กะเขา พอโต้แล้วคนคัดค้านก็ถอยหลังกรูด เท่าที่ท่านประคบประหงมพ่อแม่ของท่านนั้น หาว่าทำผิด ไปซักผ้าขี้ผ้าเยี่ยวผู้หญิง เอาผ้าผู้หญิงไปตากบนขื่อ อุ้มผู้หญิงลุกอุ้มผู้หญิงนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเอง ป้อนข้าวเอง หาว่าทำผิด พระทำผิดประเพณี พอโดนเรื่องนี้เข้าหลวงพ่อปานบอกว่าถอยหลังกรูดยอมแพ้ ยกมือขอขมาท่าน ท่านเลยบอกเรื่องขอขมาท่านไม่ถูกหรอก ธรรมะนี่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เรื่องส่วนตัวของท่านไม่มีหรอก ท่านทำตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า แล้วคนที่คัดค้านนั่นเป็นการค้านธรรมะของพระพุทธเจ้า การขอขมาต้องไปขอขมาต่อพระพุทธรูปในโบสถ์โน่นมันถึงจะพ้น ขอขมากับท่านไม่พ้น อีตานั่นกลัว ลงนรกก็เลยต้องไปขอขมากับพระพุทธรูปในโบสถ์ แล้วพระพุทธรูปจะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
    ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกัน นี่เล่าให้ลูกหลานฟัง แต่ว่าปฏิบัติของท่านน่ะ ท่านมีความกตัญญูกตเวทีจริง ๆ แล้วก็มีความห่วงใยในด้านบุพการีของท่านดีมาก หมายความว่าในฐานะท่านเป็นผู้ใหญ่ เวลาอยู่กับท่านน่ะ เวลาจะฉันข้าว ท่านเดินตรวจกับข้าวก่อน วงไหนถ้าพร่องไปท่านจัดแบ่งให้ครบถ้วน แม้แต่ ลูกเด็กเล็กแดงก็เหมือนกัน นี่ในฐานะท่านเป็นบุพการี คนในวัดทั้งหมด คนงานทั้งหมด ท่านสนใจเป็นพิเศษ คนไข้ทั้งหมด คนที่มารักษาโรคกับท่าน จะมีกินหรือไม่มีกินท่านตรวจหมด ถ้าไม่มีกินให้ข้าวสุกกับข้าวสารไปเลย ถ้าไม่มีใครหุงหาให้เป็นเรื่องเดือดร้อนของพระ พระกับเด็กจะต้องจัดให้ นี่ท่านมีทานบารมีสูง เป็นบุพการีอย่างสูงเป็นสาธารณประโยชน์หายาก แล้วท่านก็บอกว่า ตอนที่ฉันโตขึ้นมาแล้วฉันก็ไปเทศน์ให้แม่ฉันฟังพ่อฉันฟังถึงเรื่องอรหังและพุทโธ ว่าไม่ใช่เรื่องของคนตายจะพูดคนเดียว ต้องพูดกันก่อนตาย ภาวนากันก่อนตาย พ่อแม่ของท่านก็รับฟัง แล้วท่านก็ลงท้ายเรื่อง ท่านบอกว่า ตอนท้ายเมื่อตอนพ่อแม่ฉันตายนะ ฉันดีใจ ไม่ใช่ดีใจเพราะพ่อแม่ตายจะรับทรัพย์มรดก ไม่ใช่ยังงั้น ท่านบอกว่า พ่อแม่ฉันตาย ฉันดีใจมาก ตอนนั้นฉันก็เป็นขั้นลิงเท่านั้น ฉันไม่เข้าใจว่าท่านดีใจอย่างไร ก็เลยถามว่า หลวงพ่อดีใจอย่างไรขอรับ หลวงพ่ออยากจะรับมรดกยังงั้นรึ ท่านหัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่าเจ้าลิงดำมันสงสัยอะไร มีเอ็งคนเดียวเท่านั้นพูดน่ะ ในที่ประชุมนี่น่ะไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ฉันพูดอะไรก็หาคนสงสัยไม่ได้ บางทีเขาสงสัยเขาไม่ถามฉัน แล้วก็ไปวิพากษ์วิจารณ์กันว่าพูดทิ้งไว้แค่นั้นพูดทิ้งไว้แค่นี้ นี่มีเอ็งคนเดียวมันปากอยู่ไม่สุข ไอ้ปากเอ็งน่ะมันมุบมิบ ๆ ไม่ต่างกับปากลิง นั่นไป ๆ มา ๆ ก็นวดเราเข้าอีก เลยบอกว่าหลวงพ่อตั้งให้ผมเป็นลิงนี่ครับ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ตั้ง เอ็งมันเป็นลิงตั้งหลายชาตินี่หว่า แล้วก็มันเป็นลิงของข้าเสียด้วย ไอ้ลิงตัวอื่นไม่เท่าไหร่ เอ็งมันเป็นลิงระยำมาก เผลอเป็นลักของทุกที เผลอไม่ได้ ไม่ว่าอะไรล่ะลักดะ ถ้าของหายเป็นไม่พ้นไอ้ลิงดำละ ข้าไม่เคยบาป ข้าโทษทีไรมันตรงทุกที แล้วก็หัวเราะชอบใจ พูดไปพูดมาก็บอกว่า แม้แต่ชาตินี้ก็เหมือนกันละวะ เอ็งมาบวชนี่ เอ็งขโมยคาถาอาคาของข้าไปกี่บทแล้ว นี่ข้ารู้นาไอ้ลิงดำนา ไม่ใช่ข้าไม่รู้นา เอ็งคนเดียวนาขโมยตำราข้านา พูดแล้วก็ชอบใจ แล้วไม่ว่าอย่างไร ไม่รู้จะตอบท่านอย่างไร ก็เลยยิ้มแหย ๆ ไปอย่างนั้น ท่านก็เลยบอกว่าเอ็งคนเดียวแหละดี เอ็งถามอย่างนี้แหละดี ไม่ถามเสียมันก็ไม่คลายสงสัย มันก็ต้องสงสัยกันเรื่อยไป รายอื่นก็เหมือนกัน ฉันพูดอะไรไปสงสัยก็ควรถาม อย่าไปนิ่งกันไว้จะไปเกรงใจฉันทำไม ไอ้เรื่องที่ฉันพูดนี่นะฉันพูดให้รู้ ไม่ใช่พูดให้สงสัย แล้วท่านก็ว่าไป บอกว่าที่ฉันดีใจน่ะมันยังงี้ คือว่าทั้งพ่อแม่ฉันก่อนที่ท่านจะตายได้ญาณทั้งหมดนะ ท่านทรงญาณละเอียด แล้วก็ได้วิปัสสนาญาณละเอียด แต่ว่าท่านทั้งสองก็ต้องมาเกิดอีกวาระหนึ่ง แล้วฉันต้องเป็นลูกท่านอีกทีหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นไปท่านก็ไม่มีโอกาสจะเกิดอีก นี่ท่านรู้ของท่าน ท่านดีใจตรงนี้ ดีใจว่าพ่อแม่ของท่านมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณละเอียด ลูกหลานก็จำได้ด้วยนะ เข้าใจไหม ไม่เข้าใจก็ฟังตอนหลังนะ นี่เป็นอันว่าเรื่องแม่ของท่านก็เป็นอันว่าพับไปนะ หมดกันไปที เรื่องมันสั้นจึงเอามาแทรกไว้ตรงนี้
     
  16. Golf_Kung

    Golf_Kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +146
    เยี่ยมมากครับ แม้จะดูผิดหลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่ในความรู้สึกผมมันไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดอันใดเลย จะมีแต่ความปลาบปลื้ม และยกย่องในพระรูปนี้ สละถึงตำแหน่งเจ้าอาวาส มาดูแลแม่ โมทนาสาธุครับ (ทำไมสื่อไม่ประโคมข่าวให้ดัง ๆ ทีพวกโป๊ ๆ นี่ดังกันจัง)
     
  17. ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์

    ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +314
    สาธุครับ เรื่องนี้สมัยพุทธกาลก็มีมาแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทรงสรรเสริญในการกระทำในเรื่องนี้อย่างยิ่ง สาธุ สาธุ สาธุ
     
  18. ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์

    ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +314
    (bb-flower [b-wai] [b-wai] [b-wai] สาธุครับ เรื่องนี้สมัยพุทธกาลก็มีมาแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทรงสรรเสริญในการกระทำในเรื่องนี้อย่างยิ่ง สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์

    ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +314
    (bb-flower [b-wai] [b-wai] [b-wai] สาธุครับ เรื่องนี้สมัยพุทธกาลก็มีมาแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทรงสรรเสริญในการกระทำในเรื่องนี้อย่างยิ่ง สาธุ สาธุ สาธุ
     
  20. ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์

    ชุติพนธ์ แจ่มอุลิตรัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +314
    (bb-flower [b-wai] [b-wai] [b-wai] สาธุครับ เรื่องนี้สมัยพุทธกาลก็มีมาแล้ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ทรงสรรเสริญในการกระทำในเรื่องนี้อย่างยิ่ง สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...