พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่ไม่มีอยู่จริงหรือ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 20 มกราคม 2012.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการถกกับพวกที่เข้าใจตนเองว่า เป็นผู้รู้ยิ่งเห็นจริงแล้วว่า
    ของในโลกล้วนเป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่ไม่มีอยู่จริงทั้งสิ้น ถึงกับมีความเชื่อว่า
    แม้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ไม่มีอยู่จริงเช่นกัน....มีเพียงพระนิพพานที่มีอยู่จริงเท่านั้น
    เมื่อมีกลุ่มที่เชื่อว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ไม่มีอยู่จริงเสียแล้ว เอาพระนิพพานมาจากไหน?

    แสดงว่าในจิตใจของคนกลุ่มนั้น ไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้าว่ามีอยู่จริง
    เพราะเชื่อว่า พระพุทธเจ้า เป็นเพียงขันธ์๕ เหมือนกับปุถุชนคนธรรมดาทั่วๆไป
    พระธรรม เป็นเพียงคำสั่งสอนที่ถูกสมมุติ(ติต่าง)ขึ้นมาใช้สื่อสารกัน ไม่มีอยู่จริงเช่นกัน
    พระสงฆ์ เป็นเพียงสมมุติบัญญัติ คนที่โกนหัวห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ที่ไม่มีอยู่จริงเช่นกัน

    ซึ่งตรงข้ามกับพระอริยเจ้าชั้นพระโสดาบันขึ้นไปที่มีปัญญา มีความเห็นชอบ
    และเชื่ออย่างหมดความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(หมดวิจิกิจฉา)
    เพราะท่านเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนหมดหัวใจว่ามีอยู่จริง โดยไม่ลังเลสงสัยอีกเลย.

    เมื่อมีใครไม่เห็นด้วยกับผู้รู้กลุ่มนั้น จะโดนกล่าวหาว่าร้ายเป็นพวกกบฏศาสนา เพราะไม่ในเชื่อตำรา
    โดยเฉพาะคำว่า "กบฏศาสนาธรรมภูต" นั้น นิวรณ์หรือมนุษย์ร้อยชื่อหลานรักผู้ยิ่งหญ่ายๆ ชอบใช้เอามากๆ
    ทั้งที่โดนเตือนไปหลายครั้งก็ยังไม่เลิก กลับใช้คำวิบัติแทนว่า "กาบ๊ดต่างศาสนาธรรมภูต" แทน

    ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า คนที่เห็นด้วยกับพระอริยเจ้าทั้งหลายนั้น เป็นกลุ่มที่ผิดเพราะไม่เชื่อตำรา
    ล้วนเป็นพวกกบฏศาสนาทั้งสิ้น เพราะคนกลุ่มนี้ มีความเชื่อว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริงอยู่ในโลก

    แถมคนกลุ่มนั้น ยังมีการหมิ่นโดยการวิพากษ์วิจารณ์พระปัญญาญาณของพระปัจเจกพุทธเจ้า
    ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเช่นกัน ว่าสร้างสมบารมีมาน้อยนิด บัญญัติคำสอนเองไม่เป็น(โ..)
    สอนใครก็ไม่ได้ บัญญัติคำสอนขึ้นมาสอนก็ไม่เป็น แถมว่าพระองค์ทรงเกียจคร้าน ชอบอยู่เฉยๆ ไม่คิดจะสอนใคร

    เป็นไปได้หรือ? พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ล้วนตรัสรู้เองโดยชอบ ด้วยพระองค์เองเหมือนๆกันหมดทุกๆพระองค์
    ตรัสรู้ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เช่นเดียวกันหมด ต้องผ่านทั้งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ เสมอกันทุกๆพระองค์
    ส่วนของวิบากผล คือบารมีที่แต่ละพระองค์ได้สั่งสม สะสมมานั้น อาจมีแตกต่างกันไปบ้างเป็นธรรมดา
    จึงมีบริวารมากน้อยแตกต่างกันไปตามวิบากผลนั้น ในแต่ละยุคแต่ละสมัยของตน
    หรือพระพุทธเจ้าบางพระองค์อาจไม่มีบริวารเลยในยุคสมัยของพระองค์ เพราะเป็นยุคที่สิ้นคนดี

    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ล้วนสอนคนเป็น เห็นอนาคตได้ทั้งสิ้น หรือว่าไม่จริง?
    ท่านสอนเรื่องอะไร "อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทธานสาสนํ แปลว่า
    การทำให้จิตมีธรรมอันยิ่ง เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย"(รวมทั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย)
    โดยเฉพาะพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านต้องผ่านเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติมาจนชำนาญเป็นวสีแล้วเช่นกัน

    แต่กลับหมิ่นพระพุทธปัญญาของพระองค์ว่าสอนใครไม่ได้ เหตุเพราะตำราที่รจนาในชั้นหลังๆว่าไว้เช่นนั้น
    เป็นไปได้ด้วยหรือ? คนที่อ่านออกเขียนได้จนคล่องแคล่วชำนิชำนาญจนเป็นวสีแล้ว
    กลับสอนใครให้อ่านออกเขียนได้ไม่เป็นเอาเลยสักนิด เพียงแค่ความเชื่อตามๆกันมาตามตำราว่าเป็นอย่างนั้น
    โดยที่ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมทางวจีกรรมเลย ในฐานหมิ่นพระปัญญาญาณของพระพุทธเจ้า

    ซึ่งอาจทำให้การปฏิบัติธรรมกรรมฐานของตนเองไม่ก้าวหน้าไปด้วยดี
    อาจถูกกรรมที่ไปหมิ่นพระปัญญาญาณของพระพุทธองค์ตัดรอนได้ง่ายๆ
    เพียงเพราะเชื่อว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่มีอยู่จริง
    และเชื่อว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าสอนคนไม่เป็น

    ประเด็นก็คือ ท่านเชื่อว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่ไม่มีอยู่ ใช่หรือไม่?
    มีปรมัตถ์เพียงอย่างเดียวคือพระนิพพาน ที่ไม่ได้มาจากเหตุปัจจัยใดๆ ใช่หรือไม่?
    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะไปสอนใครให้เข้าใจได้ ใช่หรือไม่?
    ใครกันแน่ที่เป็น "กบฏศาสนาตัวจริงเสียงจริง"
    กลุ่มที่เห็นว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีอยู่จริง? เป็นกบฏศาสนา
    หรือกลุ่มที่เห็นว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ไม่มีอยู่จริง? เป็นกบฏศาสนา
    มีพระพุทธพจน์ของพระพุทธองค์สอนจริงๆหรือ....ว่า
    มีแต่เพียงการกระทำเท่านั้น ผู้กระทำหามีไม่ คือไม่มีอยู่จริงใช่หรือไม่?

    เอ้ามาว่ากัน คิดเห็นต่างได้ไม่เป็นปัญหา ปัญหามีอยู่ว่า ควรตอบให้อยู่ในประเด็นที่ตั้งไว้
    ใช่เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะอะไร? เชื่อเพราะอะไร? ไม่เชื่อเพราะอะไร? มีจริงกบฏ? ไม่มีจริงกบฏ?
    ใครที่คิดว่า มาเบี่ยงประเด็นด้วยการกล่าวหาเอาไว้ก่อนด้วยคำแสลงต่างๆ เชิญข้างหน้าได้เลย
    สำหรับท่านที่คิดว่า ตอบให้อยู่ในประเด็นไม่ได้ ก็ควรพิจารณาตนเองว่าจะตอบดีหรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ความฝันของผมเลยนะเนี่ย

    ยิ่งกว่าชมไทยไฟล์ มวกถูกคู่จริงๆ

    จิตเที่ยง เจอ จิตเที่ยง ^^
     
  3. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    มันน่าเสียใจตรงที่วิญญาณเป็นจิตที่น่าสนใจนี่แหละ เพราะว่าคนที่เห็นว่าวิญญาณคือสิ่งน่าสนใจนี่แหละเลยตีความหมายไปถึงภพชาติ หรือการเกิดการตาย หรือวิญญาณคือสิ่งลี้ลับ มันเหมือนคนที่ติดอยู่กับเรื่องที่ว่าตายแล้ววิญญาณจะลอยออกจากร่างประมาณนั้น แต่คำว่าวิญญาณในทางพุทธหรือศาสนาพุทธนี่เขาไม่ได้หมายถึงสิ่งนั้นแบบตรงๆร้อยเปอร์ซ็นต์ เขาหมายถึงอย่างอื่นมากกว่า แต่ดูๆไปคนชอบแบบนั้นมากกว่าเพราะมันเข้าใจง่ายกว่า และที่มีคนบอกว่า ตนนั้นตื่นแล้วดูจากอาการแล้วยิ่งเหมือนคนหลับฝันดีๆนี่เอง นามกายกับจิตสังขารว่าไปแล้วมันก็อันเดียวกันก็จริงอยู่แต่ให้บอกว่าเป็นจิตตัวตั้งอยู่ หรือแม้แต่วิญญาณที่ใช้เวียนว่ายก็ไม่น่าจะใช่ เพราะว่ามันไม่ใช่ผลของจิตนั้น จิตสังขารจึงเป็นเพียงระหว่างที่เดิน ใครจะเห็นหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เพราะมันเคลื่อนที่ไวมากๆๆๆๆๆ
    ก็ตามแต่ว่าตื่นจริงหรือตื่นตะหนกกันแน่
    สาธุคับ
     
  4. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ขอตอบตามเชื่อกระทู้

    พระรัตนตรัยเป็นเหตุ ให้ถึงซึ่ง มรรค ผล นิพพาน มิใช่หรือ ?
    จะสงสัยทำไม ?
     
  5. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    เป็นสมมติบัญญัตินั้นจริง แต่ไม่มีอยู่จริงหนะไม่ใช่
     
  6. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    กราบนมัสการค่ะ




    กราบนมัสการยามคํ่าคืน

    เเละโปรดยั้งใจ ดู จิต ไปพลาง พลางก่อน
    เวที นี้ เขามีฮั่วประมูลเป็นเเน่

    (deejai)(deejai)(deejai)(deejai)(deejai)


     
  7. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ละอายก็ต้องหยุดโต้เถียงและสรรหาข้อขัดแย้งมาทำให้คนอื่นลังเลในธรรมด้วย คนเราเมื่อมีศรัทธาดีแล้วก็จงพิสูจน์ศรัทธาของธรรมนั้นว่า จริงหรือที่ศรัทธาอยู่นี่คือทางที่ทำให้พ้นจากความทุกข์ และที่คนเราสามารถโต้เถียงกันได้เพราะหาความเป็นอริยะบุคคลก็หาไม่ เราทั้งหลายต่างก็ตามพิสูจน์สิ่งที่รู้ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่การพิสูจน์หรือเทียบเคียงนั้นการจะแน่ใจอันใดนั้น นอกจากจะอ่านหรือฟังแล้วควรใช้ปัญญาของตัวของตนพิจารณาด้วย จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของอะไรๆ และการที่เที่ยวถามโน่นนี่นั่นมันก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาของเรื่องนี้ซะทีเดียว มันคล้ายกับคนเหยียบเรือสองแคม คือ ไม่มีหลักยึด ว่ารู้เท่านี้ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย และวันหนึ่งก็จะรู้ในสิ่งที่ควรรู้ตามลำดับ การตามความคิดคนอื่นจริงๆมันก็ไม่ได้ยากหรอก แต่การตามความคิดของตนที่เห็นความจริงและความถูกต้องด้วยตนเองนั้นมันยากกว่ามาก ไม่รู้ว่าจะใช่อย่างที่เข้าใจไหม สิ่งที่ไม่ควรถามคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างอย่างไรกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ทำไมไม่ควรถามเพราะอะไร... โตแล้วอย่าทำตัวเหมือนเด็ก ถ้าเด็กถามหรือคิดถามมันดูน่ารัก แต่ถ้าผู้ใหญ่ถาม หรือผู้ที่มีการศึกษาพิจารณามาบ้างก็ตามทีไม่ว่าจะเป็นสากเบืออะไรก็ตาม มันเป็นเรื่องน่าถามหรือไม่ก็พิจารณาเอา
     
  8. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    เข้าทางปืน

    เเบบนี้เเถวบ้านน้อง เขาเรียกว่า เข้าทางปืน เจ๊าค่ะ

    :z6:z6:z6:z6
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมขอเข้ามาตอบ เพราะเป็นสิ่งที่ควรกล่าวมากครับ

    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นมีอยู่จริง เป้นสิ่งที่สัมผัสได้

    พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ไม่ทรงสั่งสอน หาใช่ว่าสั่งสอนไม่ได้

    เพียงแต่ท่านตรัสรู้ในยุคที่มีพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ท่านจึงไม่สั่งสอนใครอีก

    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่ควรบูชาด้วยเศียรเกล้า

    เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น หากไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป

    นิพพานจะไม่เกิดขึ้นเลย เพราะเมื่อไม่มีคูร ไม่มีคำสอน ไม่มีผู้ปฎิบัติ

    นิพพานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ตำราที่มีกล่าวสอนนั้น เป็นเพียงการอธิบาย

    ด้วยความเข้าใจ ในภูมิธรรมของพระอรหันต์ เพื่อชี้นำให้ปฎิบัติธรรม

    แต่ไม่ได้ระบุเจาะจงบ่งชี้ให้ชัดเจน ว่าอาการของจิตเป็นอย่างไร

    เพียงแต่บอกว่า"จิต"มีหลายดวง ผู้ที่ไม่เห็นคุณค่าของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    ผู้นั้นเป้นผู้ที่มืดบอดแล้ว ด้วยความเห็นผิด

    ทดสอบดูได้ง่าย ให้มองชีวิตตนเอง ว่าเป็นสุขดีไหม ในชีวิตประจำวัน

    มีไหมที่ไม่ทะเลาะกับใคร มีไหมที่ไม่มีใครรังเกียจ มีไหมที่ไม่มีปัญหากับคนอื่น

    มีไหมชีวิตที่ไม่มีความทุกข์ มีไหมที่ไม่มีความผิดพลาดใดๆ

    มีไหมที่ไม่รู้สึกโมโหใครเลย มีไหมที่ไม่อยากได้สิ่งใดเลย มีไหมที่ไม่รู้สึกชอบใครเลย

    หากยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่ คุณจะพบความสุขที่เป็นนิรันด์ได้อย่างไร เมื่อยังมีเชื้อแห่งการเกิดอยู่
     
  10. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608

    ถูกของคุณ

    การโต้แย้งก็ควรใช้คำสุภาพได้นะ เหมือน อย่างเราคุยกันตามปกติ(คือมีศีล)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2012
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้าว ถึงเวลา เข้าพรรษา อีกแล้วเหรอเนี่ยะ !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2012
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .................. เข้ามาคุยกันเถอะ คุณ ถึงเวลาแล้วใช่ใหม?:cool:
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ขวัญเอ๋ยขวัญจงมา

    เพราะไม่มีเวลา จึงต้องค้างตอบไว้ก่อน

    คงมีแต่คคห.ที่๖และ๑๑ เท่านั้นที่อยู่ในประเด็น นอกนั้น เฮ้อ!!!

    แน่นอน ไม่มีการฮั้วประมูลใดๆทั้งสิ้น

    ที่ขึ้นกระทู้ เพราะจะดูว่าเข้ายุคหมดศาสนาเพราะตำราหรือการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนากันแน่

    กับต้องการคคห.จริงๆเรื่องกบฏศาสนาตัวจริงเสียงจริง

    คือการปฏิบัติสมาธิกรรมภาวนาตามพระพุทธวจนะ หรือพวกบ้าตำราที่เชื่อตามๆกันมาแน่

    คคห.ยิ่งหลากดหลาย ความเข้าใจของผู้คนยิ่งมากขึ้น

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เพิ่งเห็น แปะ แปะ อ้างว่า

    พวกที่มีปัญญาน้อยเพราะไม่เรียนอภิธรรมปิฎกจริงหรือ? ประเด็นใหม่

    ไปล่ะไม่ว่าง แต่ก็ไม่วุ่น สบายๆ ไม่ง่ายและลัดสั้นจ้า

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  15. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    บุคคลผู้ใดก็แล้วแต่ เมื่อขึ้นพ้นแล้วซึ่งหลุมคูถย่อมสลัดทิ้ง สิ่งที่ฉาบทา

    สิ่งสกปรก สะอาดแล้ว บุคคลที่ยังไม่พ้นหลุมคูถกวักเรียกว่าลงมาใหม่อีก

    จะมีไหมว่าผู้นั้นจะกลับลงไปอีก ตามสบายๆ เถอะ เราไม่ใช่ปลาหลงน้ำ
     
  16. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ถ้าไม่เชื่อในพระรัตนตรัย ก็แสดงว่าไม่เคารพในพระรัตนตรัย
    เมื่อไม่เคารพในพระรัตนตรัย ก็ไม่สามารถตัดสังโยชน์ในข้อ2. วิจิกิจฉา
    เมื่อตัดสังโยชน์ไม่ได้ ก็ไม่มีทางบรรลุมรรคผล
    เมื่อไม่บรรลุมรรคผล ก็ไม่ใช่พระอริยะเจ้า
    เมื่อไม่ใช่พระอริยะเจ้า ก็ไม่มีทางไปถึงพระนิพพาน


    ทัพพีแช่อยู่ในน้ำแกง ย่อมไม่รู้รสแกงนั้น ฉันใด
    ผู้ที่เอาแต่ท่องจำ แต่ไม่นำไปปฏิบัติ ย่อมไม่รู้รสธรรม ฉันนั้น


    เจริญในธรรมครับ
     
  17. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    อุปมาเหมือนเค็กวันเกิด เอามีดตัดครั้งแรกตรงกลางจะแบ่งได้สองส่วน
    พระอภิธรรม ๕๐ % เหลืออีก ๕๐ %ยังต้องถูกแบ่งครึ่งอีก เป็น ๒ ส่วน
    พระวินัย ๒๕ %
    พระสูตร ๒๕ %
    เท่ากับเค็ก ๑ อัน

    พระอภิธรรมมี ๔๒.๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    พระวินัยมี ๒๑.๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    พระสูตรมี ๒๑.๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    เท่ากับพระไตรปิฎก ๘๔.๐๐๐ พระธรรมขันธ์

    ถ้าเราเทียบส่วนแบ่งดูว่าเราหยิบเค็กส่วนไหนไปก็จะได้ส่วนนั้นไปจริงไหม?
    ถ้าเราหยิบพระอภิธรรมไป เราก็จะได้เนื้อเค็กที่มากกว่าเท่ากับ พระวินัย+พระสูตร จริงไหม?
    เมื่อศึกษาพระอภิธรรมแล้วเราต้องน้อมเอาพระสูตรพร้อมทั้งวินัยเข้าไปศึกษาด้วย คือ เรื่องศีล เรื่องสมาธิ จริงไหม?
    เมื่อเราปฏิเสธพระอภิธรรมเสียแล้ว ปัญญาย่อมไม่กว้างขวางเท่าที่ควร และจะไม่เข้าใจเรื่องปรมัตถธรรม ๔ ว่าคืออะไร
    เพราะอภิธรรมสอนเรื่องปรมัตถ์ล้วนๆ เป็นการปฏิเสธสัตว์บุคคล เมื่อเราเข้าใจพระอภิธรรมได้แล้ว พระสูตร พระวินัยเป็นเรื่อง
    ไม่ยากแล้ว เหมือนว่าผู้ที่เคยแบกของหนักมาแล้ว เมื่อมาแบกของที่เบากว่าย่อมแบกได้สบายมาก จริงไหม ?
    เมื่อเราได้ศึกษาพระอภิธรรมแค่พอเข้าใจเท่านั้น ยังไม่ต้องถึงกับความลึกซึ้งมากนัก เราจะรู้ว่าพระพุทธองค์สอนได้อย่างเป็นมหัศจรรย์จริง
    เพียงเรามีเวลา ลองสละไปศึกษาดูสัก ๖ เดือนเท่านั้นพอ ขี้คร้านจะมานึกถึงว่ารู้อย่างนี้มาเสียตั้งนานเสียแล้วก็ดี เป็นธรรมที่ลึกซึ้งจริงๆ
    สามารถใถ่ถอนความคิดเห็นที่ผิดเดิมๆได้จริง ยังไม่ต้องรีบปฏิบัติเพื่อบรรลุในช่วง ๖ เดือน ลองสละเวลาไปศึกษาว่าเป็นจริงได้แค่ไหน
    จะได้เลิกต่อต้านพระอภิธรรมเสียที่ คงบอกได้แค่นี้เท่านั้น และต่อไปนี้ก็คงแล้วแต่บุญแต่วาสนาก็แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2012
  18. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    แบบว่าผมปัญญาน้อยเอาแบบตรงๆเลยได้ไหม ไม่ต้องอุปมาให้เสียเวลา คุณเชื่อเรื่องความชอบของคนไหม คุณเคยเป็นเด็กใช่ไหม แล้วทำไมเวลาตอนที่เป็นเด็กนี่คุณเคยเห็นเด็กในเมืองกับเด็กในชนบทชอบสิ่งเดียวกันไหม เช่น เด็กในเมืองชอบดูหนังกาตูน ชอบคิดชอบจิตนตนาการในแบบต่างๆ นานา ตามแต่ภาวะของเขาเหล่านั้นเกิดมาแล้วพบเห็นได้ โดยส่วนใหญ่เด็กในชนบทถามว่าหากรู้ว่ามีอยู่สิ่งที่เด็กในเมืองเห็นนั้นถามว่าชอบไหมต้องชอบแน่ๆ เพราะเราไม่เคยเห็น แต่เรื่องของเรื่องคือกว่าจะรู้เวลามันกก็เลยผ่านไปจนเมื่อมองย้อนกลับมาพบว่า เด็กในเมืองกับเด็กชนบทไม่ได้ต่างกันตรงที่พอถึงเวลาวัยที่เลยจากวัยที่ชอบนั่นชอบนี่มันจะมายืนที่จุดเดียวกันเลย คือ ต้องทำงานร่วมกันบางทีเด็กชนบทก็เป็นหัวหน้าเด็กในเมืองบางทีเด็กในเมืองก็เป็นหัวหน้าเด็กชนบท มันชี้ให้เห็นถึงว่า ผลรวมหรือหลสรุปไม่ได้อยู่ที่ความเป็นเมืองหรือความเป็นชนบท มันอยู่ที่ความคิดของแต่ละคนที่คิดจะพัฒนาตัวตนจากสิ่งใดต่างหาก และคนบางคนเมื่อคิดได้เขาก็จะไม่คิดดูถูกทั้งคนชนบทและคนในเมืองเพราะถือว่า ทั้งสองส่วนประกอบกันเข้าจนเป็นการอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย หากบางคนเข้าใจว่า คนชนบทชาวนาไมรู้ประสา ฉันสิคนในเมืองรู้ทุกสิ่ง มันก็จะเกิดคำถามที่ชวนหัวเราะในบางครั้งว่า " รู้ทุกสิ่งในบางอย่าง กับรู้บางอย่างในทุกสิ่ง มันต่างกันอย่างไร" เกิดขึ้นและมันก็จะทำให้เรายิ่งจะเซ่อ นิ่ง หนักไปอีก
    ขอยกตัวอย่าง เรื่อง ชาวนาที่แท้จริงให้ฟัง มันดูคล้ายๆเรื่อง ที่อาแปะๆกล่าวอยู่เหมือนกันแต่ต่างตรงความคิดนิดหน่อย ชาวนาก็ก็ทำนาอย่างเหนื่อยยากแต่ก็ไม่เคยเห็นชาวนาบอกว่าเหนื่อยยากเว้นเสียว่าจะมี...บางคนไปทำให้รู้ว่านี่เป็นการเอารัดเอาเปรียบ เพราะหวังดีนะจึงบอก แต่เอาเข้าจริงๆ พอบอกว่าเลิกทำนาสิ จะได้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่เหนื่อยด้วย ที่ดินก็ไม่ต้องขายเก็บเอาไว้ไปทำอย่างอื่นสิ เขาก็บอกว่าแล้วจะเอาข้าวที่ไหนกินกันละทีนี้ เหนื่อยก็ต้องยอม เพราะบรรพบุรุษปลูกฝังมาแบบนี้ให้ทำเพื่อคนอื่น ไม่ใช่คิดแต่จะทำเพื่อตัวเองแม้คนบางคนหรือหลายคนไม่เห็นคุณค่าของการเป็นชาวนาที่ต้องแบบรับภาระต่างๆมากมาย เพราะหลงคิดว่าเพราะฉันมีเงินฉันจึงหาซื้อข้าวที่ไหนก็ได้ หากวันหนึ่งประเทศนี้ต้องพึ่งพาข้าวจากคนอื่น หมายถึงจากต่างประเทศนะ วันนั้นแหละเรียกว่า คนหมดค่า เพราะสิ่งที่ปลูกฝังและเพียรสร้างกันมาก็สูญเปล่า เรื่องนี้ดูๆไป ก็เหมือนหรือคล้ายเรื่องนี้ของอาแปะนะ แต่ต้องพินิจพิจารณานิดหน่อย เพราะคนที่มีพระอภิธรรมเห็นธรรมนี่คิดประมวลผลกับเรื่องเหล่านี้และตีความหมายเทียบเคียงอย่างเห็นจริงได้อยู่แล้ว่า...ทำไปทำไม จริงไหม
    สาธุคั๊บ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มกราคม 2012
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ขัคควิสาณสุตตนิทเทส

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ท่านเว้นแล้วจากความชั่วทั้งปวงในโลกนี้นี่แหละ
    ล่วงพ้นทุกข์ในนรกเสียแล้ว อยู่ด้วยความเพียร มีความเป็นผู้กล้า มีความเพียร

    ท่านกล่าวว่าเป็นวีรชน ผู้คงที่ มีจิตเที่ยง.

    [๗๘๔] พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าละแล้วซึ่งเครื่องกั้นจิต ๕ ประการ
    สลัดเสียแล้วซึ่งกิเลสเครื่องเศร้าหมองจิตทั้งปวง
    อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย ตัดเสียแล้วซึ่งความรักและความชัง พึงเที่ยวไปผู้เดียว

    [๗๙๑]พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ปรารภความเพียร เพื่อถึงปรมัตถประโยชน์
    มีจิตมิได้ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน มีความพยายามมั่นคง
    เข้าถึงด้วยเรี่ยวแรงและกำลัง พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น.

    [๗๙๒] อมตนิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา
    ความคลายกำหนัด ความดับ ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด
    ท่านกล่าวว่าปรมัตถประโยชน์ ในอุเทศว่า อารทฺธวิริโย ปรมตฺถปตฺติยา ดังนี้.

    อีกอย่างหนึ่ง พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า เนื้อและเลือดจงเหือดแห้งไป
    จะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที
    เรายังไม่ได้บรรลุอิฐผลที่การกบุคคลจะพึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยกำลังของบุรุษ
    ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรเลย.
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า

    เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ ตราบเท่าเวลาที่จิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น.
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า
    เราจักไม่กิน จักไม่ดื่ม ไม่ออกจากวิหารและจักไม่เอนข้างลงนอน
    เมื่อยังถอนลูกศรคือตัณหาไม่ได้.

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประคองจิตตั้งจิตไว้ว่า
    เราจะไม่ลุกจากอาสนะนี้ตราบเท่าเวลาที่จิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
    .

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่ามีจิตไม่ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน แม้ด้วยอาการอย่างนี้.

    คำว่า ประพฤติธรรมอันสมควรในธรรมทั้งหลายเป็นนิตย์ ความว่า
    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประพฤติ ปฏิบัติ ดำเนิน เป็นไป รักษา บำรุง เยียวยา
    ในธรรมทั้งหลายตลอดกาลเป็นนิตย์ คือ ติดต่อเนืองๆ ต่อลำดับไม่สับสน

    เนื่องกันกระทบกัน เหมือนละลอกน้ำเป็นคลื่นสืบต่อกระทบเนื่องกันไป
    ในเวลาก่อนอาหาร ในเวลาหลังอาหาร ในยามต้น ในยามกลาง ในยามหลัง
    ในข้างแรม ในข้างขึ้น ในฤดูฝน ในฤดูหนาว ในฤดูร้อน ในตอนวัยต้น ในตอนวัยกลาง ในตอนวัยหลัง
    เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ประพฤติธรรมอันสมควรในธรรมทั้งหลายตลอดกาลเป็นนิตย์.

    [๗๙๘] คำว่า พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย ความว่า พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลายว่า
    สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯลฯ
    สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
    เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าพิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลายพึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด
    ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวว่า

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่ละวิเวกและฌาน ประพฤติธรรมสมควร
    ในธรรมทั้งหลายเป็นนิตย์ พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย
    พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น.

    [๗๙๙]พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่ประมาทไม่โง่เขลา มีสุตะ
    มีสติ มีธรรมอันนับพร้อมแล้ว มีธรรมอันแน่นอน มีความเพียร

    พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรดฉะนั้น.
    ^
    ^
    อรรกถาจารย์(อาจาริยวาท) ท่านรจนาจากพระพุทธวจนะไว้ชัดๆ

    ท่านกล่าว พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเป็นวีรชน ผู้คงที่ มีจิตเที่ยง.55+

    อย่ากล่าวได้กล่าวหาท่านอรรถกถาเป็น"กบฏศาสนา"

    ถึงแม้ที่เป็นพระพุทธวจนะจะไม่มีคำนี้ก็ตาม พระพุทธองค์ใช้คำว่า"เป็นผู้เที่ยง"

    เป็นแน่ชัดแล้วว่า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น มีภูมิธรรมเสมอด้วยพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆเช่นกัน


    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ปรารภความเพียร เพื่อถึงปรมัตถประโยชน์

    มีจิตมิได้ย่อหย่อน มีความประพฤติไม่เกียจคร้าน มีความพยายามมั่นคง

    เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ ตราบเท่าเวลาที่จิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น.

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ประพฤติ ปฏิบัติ ดำเนิน เป็นไป รักษา บำรุง เยียวยา

    ในธรรมทั้งหลายตลอดกาลเป็นนิตย์ คือ ติดต่อเนืองๆ ต่อลำดับไม่สับสน


    พุทะปัญญาของท่าน "ติดต่อเนืองๆ ต่อลำดับไม่สับสน" แบบนี้หรือบัญญัติคำสอนไม่เป็น.

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าไม่ละวิเวกและฌาน ประพฤติธรรมสมควร

    ในธรรมทั้งหลายเป็นนิตย์ พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย


    พระพุทธองค์เห็นโทษในภพทั้งหลาย แล้วไม่คิดจะบอกต่อเลยหรือ?

    พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่ประมาทไม่โง่เขลา มีสุตะ

    มีสติ มีธรรมอันนับพร้อมแล้ว มีธรรมอันแน่นอน มีความเพียร


    อรรถกถาท่านรจนาไวชัด เป็นผู้มีสุตะ ไม่ประมาทไม่โง่เขลา

    แบบนี้ยังจะกล้ายืนยันว่าพระองค์ท่านสอนไม่เป็นอีกหรือ?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2012
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เทศน์อบรมพระสงฆ์ ณ วัดป่าบ้านตาด

    เนื่องในวันอธิษฐานเข้าพรรษา

    เมื่อเย็นวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓

    พระอรหันต์ว่างในจิต

    Luangta.Com - ��ǧ����Һ�� �ҳ����ѹ��
     

แชร์หน้านี้

Loading...