พระคาถาอายุวัฒนะ

ในห้อง 'รวมบทสวดมนต์และคาถา' ตั้งกระทู้โดย paang, 17 มกราคม 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <TABLE id=UcNewsView_dgType1 style="BORDER-RIGHT: white 5px solid; BORDER-TOP: white 5px solid; BORDER-LEFT: white 5px solid; BORDER-BOTTOM: white 5px solid; BORDER-COLLAPSE: collapse; HEIGHT: 0px" borderColor=white cellSpacing=0 rules=all align=left border=5><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle><TABLE style="COLOR: #0000ff; PADDING-TOP: 10px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: justify">[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle><TABLE style="COLOR: #0000ff; PADDING-TOP: 10px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: justify">[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>พระคาถาอายุวัฒนะ

    พระเจ้าปเสนทิโกศลมักจะเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า หลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้วเสมอๆ เวลานั่งเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ มักจะกระสับกระส่ายเพราะความอึดอัด อันมีสาเหตุมาจากเสวยพระกระยาหารมากเกินไป
    <O:p</O:p
    คราวหนึ่งพระองค์เสวยพระกระยาหารเสร็จก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อสนทนาธรรมเช่นเคย แต่วันนั้นพระองค์เสวยพระกระยาหารมากไปหน่อย จึงนั่งเฝ้าด้วยอาการกระสับกระส่ายอึดอัดมากกว่าปกติที่เคยเป็นมา จนพระพุทธเจ้าทรงสังเกตได้ถึงความอึดอัดของพระเจ้าปเสนทิโกศล
    <O:p</O:p
    อาศัยความสนิทสนมที่พระพุทธเจ้าทรงมีต่อพระเจ้าปเสนทิโกศล และความเคารพที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมีต่อพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสสอนวิธีการเสวยพระกระยาหารเพื่อสุขภาพว่า
    <O:p</O:p
    มนุษย์ผู้มีสติทุกเมื่อ รู้จักประมาณในการบริโภคอาหารย่อมมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า อายุยืน
    <O:p</O:p
    พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วชอบใจ จึงมีรับสั่งให้ทหารคนสนิท ชื่อว่า สุทัศนะ ท่องจำพระคาถานี้ไว้ เมื่อจำได้แล้ว ให้ไปยืนอยู่ใกล้ที่เสวยของพระองค์ พอพระองค์เริ่มเสวยพระกระยาหาร ให้นายทหารคนสนิทท่องคาถานี้ทันที พระองค์จะจ่ายเงินให้ถึงวันละ 100 กะหาปนะเพื่อเตือนสติให้พระองค์ได้ระลึกถึงพระคาถาสุขภาพบทนี้<O:p</O:p
    เมื่อทหารคนสนิทของพระองค์ท่องพระคาถานี้จนขึ้นใจแล้ว เวลาที่พระองค์เพลิดเพลินกับการเสวยพระกระยาหาร ทหารคนสนิทก็ท่องพระคาถานี้ทันที ไม่นานนัก พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์ กระปรี้กระเปร่า ปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ ได้เปล่งวาจาสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าว่า
    <O:p</O:p
    พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงสงเคราะห์โลกด้วยประโยชน์ทั้งสอง<O:p</O:p
    คือประโยชน์ในปัจจุบัน และประโยชน์ในภายภาคหน้าอย่างแท้จริง
    <O:p</O:p
    วิธีการที่จะรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ตามพระคาถานี้เริ่มต้นด้วยการมีสติ ก่อนที่จะลงมือรับประทาน สติเข้มแข็งไม่พอ ต้องขอร้องให้ผู้อื่นช่วยเตือนสติ เมื่อใครเตือนสติไม่โกรธ ไม่เคือง แต่ยินดีที่จะปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายและต้องขอบใจหรือตอบแทนคนที่ช่วยเตือนสติด้วย (พระสุตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ 7 โทณปากสูตร หน้า 145-146)
    <O:p</O:p
    เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่ตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ ในขณะที่ยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้เต็มที่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นก่อน ผู้ที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องมีอัธยาศัยอ่อนโยน ไม่ดื้อดึง เพราะเสียงแห่งสติ เป็นเสมือนห้ามล้อไม่ปล่อยพฤติกรรมที่ต้องการจะแก้ไขให้ถลำไปสู่ความเคยชิน รีบกลับมาทันทีที่ได้สติ<O:p
    </O:p
    ตามพระคาถาบอกว่า เมื่อได้สติกลับมา ก็จะเข้าสู่การบริโภคพอประมาณ คำว่าพอประมาณก็คือพอดี ไม่มาก ไม่น้อย ในการรับประทานอาหารพอประมาณสังเกตได้จากความรู้สึกว่า เมื่อรับประทานแล้วความหิวระงับไป แสดงว่า ถึงจุดพอดี
    <O:p</O:p
    ถ้ารับประทานไปมากกว่านั้น ก็เริ่มเข้าสู่สภาพเกินพอดี สิ่งที่จะทะยอยตามมาตามปริมาณอาหารที่บริโภค ได้แก่ ความอึดอัด อุ้ยอ้ายเคลื่อนย้ายด้วยความยากลำบาก นั่นหมายถึง เริ่มต้นรับประทานอาหารด้วยสติที่ระลึกถึงความพอดี แต่ถ้าเลยความพอดีไปแล้ว ก็เป็นการรับประทานอาหารตามความลุ่มหลงในรสอาหาร
    <O:p</O:p
    เมื่อความลุ่มหลงเข้ามาแทนสติ จะเริ่มรับประทานอาหารอย่างไม่มีเป้าหมาย หากใครมาตักเตือน แทนที่ฟังแล้ว จะชะลอหรือห้ามปรามการรับประทานไว้ จะกลายเป็นเสียงแห่งการยั่วโทสะ เมื่อได้ยินเสียงแล้วแทนที่จะหันไปขอบคุณแล้วหยุดตามเสียงที่มาเตือนสติ ก็ตวาดแหวกลับไปแทน จะเกิดทุกขเวทนาทั้งกายและจิต ความอึดอัด จะเกิดขึ้นมาพร้อมกันทั้งกายและจิต แทนที่จะได้รับความสุขจากการรับประทานอาหารกลับกลายเป็นได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจแทนที่ ต่อจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บ จะรุมเร้าเข้ามาทุกทิศ
    <O:p</O:p
    หากหันมาใช้สตินำหน้า ระลึกไว้เสมอทุกคำข้าวว่า ต้องรับประทานแต่พอดี เพียงพอ ขจัดความหิวให้บรรเทาลงไปเท่านั้นไม่มีจุดประสงค์อื่น เมื่อสติครองใจสามารถรับประทานอาหารพอประมาณได้ มีใครมาช่วยให้สติก็ขอบใจเขาไม่โกรธเคือง กายก็เบา ใจก็เบา เพราะเวทนาทางกายก็รำงับ เวทนาทางใจก็รำงับ ความผาสุกก็เกิดขึ้น
    <O:p</O:p
    เมื่อกายได้รับอาหารพอดี ไม่เหลือตกค้างตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพราะอาหารทั้งหมดถูกนำไปหล่อเลี้ยงร่างกายจนหมด เลือดลมเดินสะดวก ไม่มีไขมันหรือน้ำตาลตกค้างในเส้นเลือด โรคต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากไขมันและน้ำตาลก็ไม่มี เป็นการป้องกันโรคที่สาเหตุ ร่างกายปลอดโรค ไม่ทรุดโทรม เปล่งปลั่ง มีน้ำ มีนวลตามธรรมชาติเพราะระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี อายุก็ยืน.


    ทีมา http://www.thaitownusa.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...