ผีป่ากล้วย(copyมาให้อ่านเล่น)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย คุณยายแม้นศรี, 23 สิงหาคม 2008.

  1. คุณยายแม้นศรี

    คุณยายแม้นศรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +7
    <TABLE class=MsoNormalTable style="BORDER-COLLAPSE: collapse; mso-table-layout-alt: fixed; mso-padding-alt: 0cm .5pt 0cm .5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-RIGHT: 0.5pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 0.5pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ece9d8; WIDTH: 405pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent" width=540>พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งพ่อยังหนุ่มๆพ่อทำงานเป็นช่างไม้อยู่ที่โรงเรียนที่เขากำลังสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหลังหนึ่งเพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้นตอนนั้นก็ประมาณปี.. 2508 ได้กระมังฉันอายุประมาณ 8 ขวบและเพิ่งเข้าโรงเรียนได้ไม่นานข้างๆโรงเรียนจะเป็นวัดเอ...พูดไม่ถูกสิข้างๆวัดเป็นโรงเรียนต่างหากเพราะโรงเรียนปลูกอยู่ในที่ของวัดเลยไปก็เป็นโรงเรียนที่สร้างขึ้นใหม่แต่ยังสร้างไม่เสร็จถัดออกไปทางด้านที่ติดกับคลองเลยถนนหลวงเข้าไปหน่อยจะเป็นโรงโกดัง (โรงเก็บศพ) สมัยนั้นเขาเรียกกันอย่างนี้หรือเรียกให้หรูว่าห้องหลังความตายแต่ที่โรงพยาบาลเรียกห้องดับจิตหรือห้องเย็น
    ก่อนที่เขาจะทำการเผาผีต้องไปเอาโลงศพออกมาจากโกดังนี้เขาจะมีชื่อเขียนไว้ข้างโลงสมัยนั้นฉันค่อนข้างจะเป็นเด็กซุกซนเหมือนผู้ชายเคยเข้าไปช่วยเขาเลือกโลงศพตามชื่อที่ญาติจะนำออกมาเผาแต่ก็เคยครั้งเดียวเท่านั้นครั้งเดียวจริงๆ
    ถึงใครจะว่าเด็กกลัวผีถ้าเป็นตอนกลางวันน่ะจะไม่ค่อยกลัวแต่พอกลางคืนเป็นตาขาวทุกทีใครจะใช้ให้ไปหยิบอะไรในที่มืดๆเช่นให้ไปตักน้ำที่โอ่งในครัวหรือให้ไปเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดน้ำที่หกฉันเป็นต้องอิดออดไม่อย่างนั้นก็จะต้องฉวยตะเกียงน้ำมันก๊าดติดมือไปด้วยเลยทำให้คนที่นั่งล้อมวงอยู่ไม่มีตะเกียงก็จะมืดสนิทชั่วคราวจนโดนเอ็ดบ่อยๆว่าไม่มีมารยาทบ้างล่ะซุ่มซ่ามบ้างล่ะกระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลกบ้างล่ะก็ช่างปะไรฉันซะอย่าง
    เรื่องพฤติกรรมความห้าวของฉันก็พ่ออีกนั่นแหละที่เป็นคนเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปช่วยสัปเหร่อขนโลงศพคนตายออกมาจากโกดังซึ่งฉันก็ยังจำได้ดีช่วงนั้นพ่อเลิกงานและไปแวะรับฉันที่โรงเรียนเพื่อจะกลับบ้านพร้อมกันพอเดินผ่านวัดสัปเหร่อที่วัดก็วานให้พ่อช่วยยกโลงออกจากโกดังเพราะคนที่ตายตัวใหญ่มากสัปเหร่อกับเด็กวัดสองคนยกไม่ไหวสมัยหนุ่มๆพ่อยังแข็งแรงและเป็นคนมีน้ำใจด้วยเลยช่วยส่วนฉันเป็นคนดูหลังจากยกโลงศพออกมาแล้วเขาให้รีบปิดโรงโกดังทันทีเหตุผลน่ะหรือเนื่องจากจะมีกลิ่นจากศพที่วางซ้อนๆกันอยู่โชยออกมาและข้างในโรงโกดังเก็บศพก็สกปรกมีทั้งหนูทั้งแมลงสาบวิ่งกันให้พล่านไปหมดไม่เคยมีใครเข้าไปทำความสะอาดเลยและก็กลัวว่าแมวหรือหมาจะแอบเข้าไปตอนเราเผลอเพื่อจับหนูหรือเข้าไปหาอะไรกินแล้วเราไม่รู้ก็จะขังมันไว้ข้างในมันอาจจะตายด้วยความทรมานเพราะในนั้นทั้งร้อนและไม่มีอากาศหายใจเลย
    วันที่พ่อไปช่วยเขายกนั้นเป็นวันศุกร์รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ฉันไม่ต้องไปโรงเรียนไหนๆก็ไหนๆแล้วพ่อก็เลยพาฉันไปช่วยลุงสัปเหร่ออยู่ที่วัดจนมืดค่ำตอนออกมาจากวัดนี่สิบรรยากาศมันทั้งเงียบทั้งมืดเสียจนขนาดเด็กที่ไม่กลัวผีอย่างฉันก็แทบจะทนกับความวิเวกวังเวงไม่ได้
    ขณะที่เดินผ่านโรงโกดังมาตามถนนจะมีป่ากล้วยเป็นแนวยาวขนานไปกับถนนจนติดชายคลองฉันกับพ่อเดินติดกันแสงไฟจากไฟฉายที่ลุงสัปเหร่อให้มาไม่พอแก่การมองเห็นไปไกลๆ
    ทันใด...ก็ได้ยินเสียงเหมือนประตูโรงโกดังเปิด
    พ่อฉายไฟแวบเข้าไปเพื่อตรวจตราหากมีหมาแมวมันไปตะกุยประตูแล้วกลอนหลุดมันอาจจะมุดรอดเข้าไปได้
    แต่.. ไม่มี.. เอาแล้วสิให้ตายเถอะโรบิ้น !
    ฉันเริ่มออกอาการระแวงขึ้นมาเล็กน้อยพ่อกับฉันหยุดเดินกะทันหันเมื่อมีแมวดำวิ่งผ่านหน้าไปและวิ่งหายเข้าไปทางป่ากล้วยเขาว่ากันว่าแมวดำเป็นแมวปีศาจตาฉันคงไม่ฝาดเพราะพ่อก็หยุดเดินเหมือนกัน
     
  2. คุณยายแม้นศรี

    คุณยายแม้นศรี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +7
    (Copyมาให้อ่าน) เด็กวัดรุ่นผมนั้นจะเล่นฟุตบอลเป็นหลัก ส่วนลูกฟุตบอลที่ใช้เตะก็ทำจากหนังแท้ๆ เชียวนะครับ มียางในด้วย พอหนังขาดก็นั่งเย็บซ่อมแซมกันเอง เพราะราคาแพงมาก ที่จะหาซื้อลูกใหม่ มาใช้ ถามว่าหาเงินมาจากที่ไหนจึงซื้อ ลูกฟุตบอลหนังมาเล่นได้ ก็มาจากการ เรี่ยไรกันระหว่างเด็กวัดด้วยกันที่เม้มเงินจากหลวงพี่มาบ้าง แม่ให้เงินมาก็เก็บ เอาไว้บ้าง เพราะการอยู่วัดก็อิ่มหมีพีมัน ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้เงินอะไร ใครที่เคยเล่นฟุตบอลจะรู้ดีว่ามันมันขนาดไหน
    ตกตอนเย็นก็ชวนพรรคพวก กลุ่มใหญ่ไปเตะฟุตบอลกัน สนามที่ผม และเพื่อนฝูงใช้เตะฟุตบอลเล่นกันก็เป็น ป่าช้าที่เกลี่ยหน้าดินจนเรียบเสมอกัน มีกระดูกของคนตายฝังอยู่ข้างใต้จนเกลื่อนสนาม เวลาที่ฝนตกหนักติดกันหลายวัน ก็อดแสดงฝีเท้า เมื่อสนามแห้งดีแล้ว ก็นัดไปเตะฟุตบอลกันตามปกติ
    บางครั้งก็เจอกระดูกคนโผล่ตั้งขึ้นมาจากพื้นดิน เพราะดินถูกน้ำฝนชะ กระดูกจึงโผล่ ต้องช่วยกันแคะ ช่วยกันงัดขึ้นมา แล้วโยนทิ้งไปข้างสนาม เพราะอาจจะตำเท้าเราได้ แล้วก็เล่นฟุตบอลกันต่อปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เป็นกระดูกของคนตาย
    บางทีเตะฟุตบอลแรงไปหน่อย ลูกฟุตบอลไปตกที่ช่องที่เขาก่อไว้เพื่อเก็บศพคนที่ตายใหม่ๆ อยู่ใต้ต้นมะกอกผี ใบร่มครึ้ม อากาศเย็น ก็เกี่ยงกันให้เข้าไปเก็บลูกฟุตบอลมา ตอนเย็นๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ตอนโพล้เพล้ใกล้ๆ จะมืดซิ ขนลุกเชียวครับ บางครั้งเกี่ยงกันให้ไปเอาลูกบอลจนกระทั่งไม่มีใครไปเก็บก็ยังมี
    รอไว้ตอนเช้าถึงไปเก็บก็กลัวนี่ครับ
    บางเวลาที่ญาติมิตรคนตายขุดศพที่ฝังเอาไว้ในป่าช้า จะนำไปเผา เพื่อคนตายจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที พวกเราที่เป็นเด็กๆ เคยตามเข้าไปดู
    โอ้โฮ ด้านล่างของศพมีปลา-ไหลตัวอ้วนๆ เลื้อยกันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด มันขดพันกันจนไม่รู้ว่าหัวเป็นของตัวไหน ตัวเป็นของตัวไหน เหมือนภาพ-ยนตร์เรื่อง “งูเกงกอง” ของเขมรที่เคยมาฉายที่เมืองไทย ก็เพราะว่าปลาไหลนั้นชอบกินของเน่าๆ ยิ่งเป็นศพของคนตายที่มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มอย่างนั้น เป็นอาหารโปรดปรานของปลาไหลเชียว ทำให้ผมไม่กินปลาไหลจนบัดนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่า เนื้อปลาไหลอร่อย ทั้งมัน ทั้งหวานเอาใบข่อยรูดเมือกที่ตัวมันออกแล้วหั่นเป็นแว่นๆ ล้างให้สะอาด เอามาผัดเผ็ดพริกแกงที่ทำเอง แกล้มเหล้าจะอร่อยมาก แต่ผมไม่กล้า เพราะนึกถึงตอนที่มันอยู่ ใต้ศพคนตายแล้วสยองครับ อึ๋ย!!
    บางครั้งญาติคนตายมาขุดศพ ไปเผา ศพเน่าเฟะหมดแล้ว สัปเหร่อก็จะรูดเอาเนื้อของคนตายออกจากกระดูก เหม็นตลบอบอวลไปหมด แค่เนื้อเน่าๆ
    ยังไม่พอ ยังล้างกระดูกให้สะอาดอีกด้วย เห็นแล้วอาเจียนเลยครับ ของเก่าออกมาหมดเลย ก็เหม็นและขยะแขยงครับ ...นี่ก็ถวิลหาอดีตเหมือนกันนะครับ
    ปีที่น้ำท่วมใหญ่อยุธยา ท่วมทั้งวัดและป่าช้า วัดที่ผมอยู่ต้องต่อสะพานไม้เดิน พระต้องพายเรือบิณฑบาต เราเป็นเด็กก็เล่นซุกซนตามประสา วันหนึ่ง ยืนเล่นอยู่บนโคกดินที่สูงพ้นน้ำ มองไปด้านหน้าเห็นพรายน้ำลอยปุดๆ ขึ้นมาตลอดเวลา ก็นึกสงสัย เพราะดินก็แข็ง แน่นออกอย่างนั้น น้ำจะแทรกลงไปได้อย่างไร แต่ที่ตรงนี้มีพรายน้ำผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ก็คิดในใจว่าคงจะต้องมีสมบัติมีค่า ซุกซ่อนอยู่แน่ๆ จำได้ว่า ครูประไพ ที่สอนวิชาประวัติศาสตร์ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นเคยบอกว่า เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียกรุง
    แก่พม่าครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 นั้น ทหารพม่าเข้ามาเข่นฆ่าผู้คนในกรุงศรี-อยุธยาล้มตายจนนับไม่ถ้วน แต่ก่อนที่กรุงจะแตก ผู้คนทั้งที่ยากดีมีจนต่างรู้ว่า กรุงศรีอยุธยาต้องแตกแน่ๆ ก็เอาสมบัติ ที่มีค่าต่างๆ ทั้งแก้วแหวนเงินทอง ฝังดินซุกซ่อนไว้ เผื่อว่าโชคดีรอดตายจะได้มาขุดเอาคืนไปได้
    ดังนั้น เมื่อน้ำแห้งผมจึงชวนพรรคพวกรุ่นราวคราวเดียวกัน เอาจอบเอาเสียมมาขุดสมบัติ ขุดลงไปไม่ลึกเลยครับ ดินที่ถูกน้ำท่วมนิ่มร่วนขุดง่ายมาก แล้วก็เจอจริงๆ ด้วย แต่ไม่ใช่เจอสมบัติ เพราะเมื่อขุดลงไปแล้ว พบเสื้อผ้า จึงค่อยๆ เกลี่ยดินออก คิดว่าเป็นผ้าห่อสมบัติ พอเกลี่ยดินออกเกือบหมด ทีนี้ชัดเลยครับเป็นศพผู้หญิง นอนหงาย
    เห็นหน้าอย่างชัดเจน ตาของศพกำลังจ้องมองหน้าเราเขม็ง น่ากลัวมาก
    ลองนึกภาพดูซิว่า ขุดดินหาสมบัติ ลงไปแล้วเจอศพ จะเป็นอย่างไร ไม่ทันมองดูว่าผู้หญิงที่นอนอยู่นั่นสวยหรือไม่สวย ก็วิ่งหนีกันไปคนละทาง-สองทางแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่เคย เดินไปแถบนั้นอีกหลายเดือน ตอนนี้เมื่อเห็นน้ำในคลองมีพรายน้ำผุดขึ้นมาก็นึกแหยงแล้วขนาดที่กำลังเขียนเรื่องอยู่นี้ ยังได้กลิ่นศพโชยเข้าจมูกเลยครับ...บรื๋อ
    เด็กรุ่นผมนอกจากจะซุกซนแล้ว ยังชอบลักขโมยอีกด้วย แต่ไม่ใช่ไปลักเล็ก-ขโมยน้อยของชาวบ้านนะครับ แต่ชอบขโมยเก็บพุทราที่วังโบราณ ก็แถวๆคุ้มขุนแผนในปัจจุบันนี้ คนรุ่นเก่าๆ จะรู้กันดีว่า พุทราลูกเล็กๆ สีเหลืองอมเขียวของอยุธยานั้น รสหวานอมเปรี้ยว กินอร่อยกว่าพุทราลูกใหญ่ๆ สมัยนี้ มากมายนัก แค่คิดถึงน้ำลายก็สอออกมาแล้ว และพวกเราจะมีความรู้ดีว่า พุทรา
    ที่วังโบราณ ต้นไหนหวาน ต้นไหนฝาด และต้นไหนมีหนอน
    พุทราที่วังโบราณมีเจ้าของที่ได้รับสัมปทานมา จะหวงมาก แค่พวกเราเดินเฉี่ยวๆ ไปที่ใต้ต้นก็ได้ยินเสียงด่ามาไกลๆ แล้ว เจ้าของก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ เป็นแม่ของยายจิ๋ม จรรยา เพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันกับผมนี่แหละ แต่ไม่ค่อยจะถูกกัน เจ้าของจะเก็บพุทรามาใส่ชะลอม ใส่กระจาด แบ่งเป็นพุทราที่สุกกำลังดี สีเหลืองอมเขียว พุทราที่สุกจัดสีแดงคล้ำ นั่งขายคนที่มาเที่ยวอยู่ใต้ต้นพุทรา นั่นแหละครับ เราเป็นเด็กก็อยากกินเพราะมันอร่อย แต่ก็ไม่มีเงินจะซื้อต้องรอจนเย็น เจ้าของกลับบ้าน ทีนี้แหละ ถึงตาพวกเราละ คนหนึ่งปีนขึ้นต้นขย่ม พุทรา ที่แก่จัดก็จะตกลงมา คนที่อยู่ข้างล่างก็จะรีบเก็บ ยิ่งตอนที่พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์จะส่องลงมาจนเห็นลูกพุทราอย่างชัดเจน ลักขโมยเก็บกันเพลิน จึงกลับวัด ขาเดินกลับนี่แหละครับชักจะกลัว เพราะมันมืดและวังเวง เดินมาได้ยินเสียงตุ๊บ ตุ๊บ ขนลุกเกรียว นึกว่าเพื่อนล้อเล่น แต่ก็อดหันไปดูไม่ได้ ทีนี้ขนลุกยิ่งกว่า เพราะไอ้เสียงตุ๊บ ตุ๊บที่ได้ยินนั้น ...มันเป็นหัวคน ใหญ่เท่ากระพ้อม ตาแดงก่ำมองมาที่ผมอย่างถมึงทึง เป็นหัวแต่ตัวไม่มีแล้วกลิ้งหลุนๆ ไปต่อหน้าต่อตา เห็นชัดเจนเลยครับ สาบานได้ ผมเนี่ยยืนตัวแข็ง จะวิ่งหนีก็ไม่รู้ว่าทำไมขาจึงแข็งไปหมด แข็งทื่อจนขยับไม่ได้ หัวเปล่าๆ นั้นกลิ้งไปต่อหน้าต่อตาจนหายไปที่แอ่งน้ำใหญ่ เพิ่งจะรู้ว่าที่เขาว่ากลัวจนขนหัวลุก นั้นมันเป็นอย่างไร ก็ตอนนี้แหละครับ มารู้ภายหลังตอนที่โตแล้ว เพราะได้อ่านพระราชพงศาวดารกรุงศรี-อยุธยา ว่า ที่ตรงที่ผมลักขโมยพุทราแถวๆ คุ้มขุนแผนนั้น เป็น “ตะแลงแกงหลวง” ที่หลังจากเอาคนที่ทำผิดไปตระเวนน้ำตระเวนบกประจานไปในที่ชุมชน ก็เอามาตัดคอตรงนี้ แล้วเอาศพออกไปทางประตูผี ก็แถวๆ ศาลากลางเก่า คิดแล้วสยองจริงๆ ครับเพื่อนผมที่ร่วมขบวนการลักขโมยพุทรานั้น ขณะนี้เป็นใหญ่เป็นโต มีชื่อ-เสียง รู้จักกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เอ่ยชื่อรับรองเป็นต้องร้องอ๋อ กันเชียวครับ พวกเราเคยกลับไปเยี่ยมต้นพุทราที่เคยลักขโมย พบเจ้าของคนเก่า ซึ่งแก่มากแล้ว เพื่อนคนนี้ยังควักเงินให้เป็นพันบาท นัยว่าเป็นการไถ่โทษที่เคย ลักขโมยพุทราแกไป แกก็รับเงินไปแบบงงๆ คงไม่นึกว่ายังมีคนแบบนี้อีก ตัวผมเองก็ได้กลับไปเยี่ยมวัดที่เคยอยู่อีกครั้ง จำแทบไม่ได้ ป่าช้าที่เป็นสนามฟุตบอล เคยใช้วิ่งเล่นกลายเป็นบ้าน จัดสรร ทาวน์เฮาส์ ผู้คนอยู่กันเต็มไปหมด ไม่รู้ว่า เขารู้กันหรือเปล่าว่า ใต้ดินบ้านที่เขาอยู่กันนั้น มีศพนอนลืมตาโพลงอยู่กี่ศพ บรื๋อ......
     
  3. ถือศิลแต่เมาCess

    ถือศิลแต่เมาCess Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +38
    โห้

    ผีดงกล้วยผมเจอบ่อย

    มันจะตัวแห้งๆดำๆ

    เหมือนพวกขี้ยา

    ตามันจะปรือๆ

    จะมีควันขาวๆออกปากเปนระยะๆ

    ละจะมีบล่องไม้ไฝ่เป็นอาวุธคู่ใจ

    แต่บางทีก็เป็นขวดดีโด้

    ผีพวกนั้จะอยู่เปนฝูง3-5ตัวได้

    มันจะชอบหัวเราะแต่บางตัวก็นั่งซึม

    ไม่รู้คนอื่นจะเคยเจอแบบผมรึเปล่า

    555+
     

แชร์หน้านี้

Loading...