ประกาศ !!! เลื่อนภัยพิบัติจากปี ค.ศ.2012 ไปเป็นปี ค.ศ.2017 อย่างเป็นทางการ โลกจะเข้าสู่กลียุค (ยุคนรกบนดิน) ในปี ค.ศ.2011-2017

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Angel_Internet, 28 กรกฎาคม 2009.

  1. Angel_Internet

    Angel_Internet Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +56
    ประกาศ !!! เลื่อนภัยพิบัติจากปี ค.ศ.2012 ไปเป็นปี ค.ศ.2017 อย่างเป็นทางการ โลกจะเข้าสู่กลียุค (ยุคนรกบนดิน) ในปี 2011-2017





    บางคนอาจจะดีใจที่ภัยพิบัติถูกเลื่อนออกไป แต่คุณกำลังคิดผิดแล้ว เพราะตั้งแต่ปี ค.ศ.2012 - 2017 จะไม่มีอีกแล้วซึ่งความสนุกสนานรื่นเริง
    บันเทิงใจ ฯลฯ แต่โลกของเราจะเข้าสู่ยุคที่ไม่ผิดไปจาก "นรกบนดิน" 7 ปี ...เลื่อนเวลาตายออกไป 5 ปี แต่โลกของเราก็ต้องเข้าสู่กลียุค (ยุคนรกบนดิน) 7 ปี ก่อนภัยพิบัติล้างโลกจะมาในปี ค.ศ. 2017 หรือ พ.ศ. 2560 โปรดอ่านหลักฐานด้านล่าง

    ในปี ค.ศ.2012 จะเป็นการย่างเข้าสู่กลียุค คือช่วงระยะเวลาซึ่งเต็มไปด้วยความทุกขเวทนายากลำบาก ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์
    ซึ่งกลียุคใช้เวลา 7 ปี (กลียุค = ค.ศ.2011 - 2017 หรือ พ.ศ. 2554 - 2560) และในปี ค.ศ.2012 (พ.ศ. 2555) จะยังไม่ใช่วันล้างโลกที่แท้จริงหรอก
    แต่จะเป็นการเริ่มเข้าสู่กลียุค 7 ปี ตามพระคำภีร์ไบเบิ้ล

    ไม่ใช่ว่าปี ค.ศ. 2012 จะไม่เกิดอะไรเลย ไม่ใช่อย่างนั้น อย่าลืมนะว่า ชาวมายันกำหนดวันสุดท้ายของปฏิทิน และวันสุดท้ายของโลกไว้คือ
    22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 แสดงว่าในวันนั้น จะต้องเกิดอะไรซักอย่างกับโลกของเรา ชนิดแทบล้างโลกเลยทีเดียว แต่จะไม่รุนแรงถึงขีดสุด
    เมื่อเทียบกับวันพิพากษาปี ค.ศ.2017 หรือ พ.ศ.2560 ...และกว่าจะถึงปี ค.ศ. 2017 มนุษย์คงตายไปกว่าครึ่งโลกแล้ว (คงราวๆ 4,000 ล้านคน)
    จะมีซักกี่คนที่จะมีชีวิตไปถึงปี ค.ศ. 2017






    จุดมุ่งหมายที่นำบทความนี้มาโพสต์ให้ทุกๆท่านได้อ่าน

    ก็เพื่ออยากจะชี้ให้เห็นว่าในปี ค.ศ.2012 อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์วันชำระโลก
    ตามที่ได้มีการทำนายกันก่อนหน้านี้ เพราะได้รับข้อมูลมาจากหลายแหล่ง ก็บ่งชึ้ว่าเหตุการณ์วันชำระโลกได้ถูกเลื่อนออกไป
    เป็นปี ค.ศ.2017 หรือ พ.ศ.2560

    ถ้าเราจะถือเอาพุทธทำนายจากศิลาจารึกเป็นหลัก ก็จะจับใจความสำคัญได้ว่า ปีระกาเมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน ดังนี้จึงมีความ
    เป็นไปได้สูงมาก ที่เหตุการณ์วันชำระโลกนั้นจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ.2017 หรือ พ.ศ.2560 ซึ่งก็ตรงกับปีระกาพอดี

    ถ้าเรามาลองพิจารณาดูจากข้อมูลในคำภีร์ใบเบิ้ล ก็บอกเอาไว้ว่าก่อนจะเกิดเหตุการณ์วันพิพากษาโลกนั้น มนุษย์จะต้องเผชิญกับ
    ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากครั้งยิ่งใหญ่เป็นเวลาถึง 7 ปี (ค.ศ.2011 - 2017) เสียก่อน จึงจะเกิดเหตุการณ์วันพิพากษาโลก หลังจากนั้น
    โลกนี้จะเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่มีสงครามและความทุกข์ยากใดๆ อีกต่อไป

    เมื่อมาลองเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้แล้ว ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก 7 ปีนั้น ก็หมายถึงช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด
    ความอดอยากหิวโหย และ สงครามนิวเคลียร์นั่นเองในปีนี้โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว แต่ยังไม่มีความรุนแรง
    มากนักเพราะเชื้อไวรัสยังมีฤทธิ์อ่อน แต่ถ้ามันกลายพันธ์จนมีฤทธิ์รุนแรงได้เมื่อไหร่ ก็จะเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่กับมวลมนุษยชาติอย่างแน่นอน

    เมื่อเราสามารถกำหนดรู้ปี ที่จะเกิดเหตุการณ์วันพิพากษาโลกได้แล้ว ว่าน่าจะเป็นปี พ.ศ.2560 เมื่อนับถอยหลังมา 7 ปี
    ก็จะได้ปีที่เริ่มต้นของเหตุการณ์ "7 ปี กลียุค" ในคัมภีร์ใบเบิ้ลได้โดยไม่ยาก นั่นก็คือจะเริ่มต้นในปี พ.ศ.2553 นั่นเอง และจากข้อมูลของ
    อาจารย์อาชวิน จีรจินดา ที่สามารถติดต่อพูดคุยกับมนุษย์ต่างดาวได้ ก็ได้ข้อมูลสำคัญมาว่า จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินของประเทศต่างๆ
    ยุบตัวจมลงทะเลในปี พ.ศ.2556 ที่จะทยอยๆ ยุบตัวลงไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี จนกว่ากระบวนการชำระโลกนี้ จะสิ้นสุดลง
    ในปี พ.ศ.2560
    โปรดอ่านเรื่องกลียุค 7 ปี ด้านล่าง


    ขอบคุณข้อมูล พี่เกษม





    คำทำนายภัยพิบัติ พ.ศ.2553 - พ.ศ.2560 (ซึ่งคำทำนายมาตรงกับกลียุค 7 ปี)

    ท่านโหรผู้หนึ่งในจังหวัดนครปฐมได้ให้คำสัมภาษณ์ว่า จะเกิดภัยพิบัติปีหน้า พ.ศ.2553 จะเริ่มก่อตัวจนสิ้นสุดปี พ.ศ.2560
    โหรเมืองหน้าด่านท่านหนึ่งได้เล่าว่า ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีหน้าสงครามในชาติ ข้ามชาติจะรุนแรงทวีคูณ แล้วไม่นานไม่กี่ปีน้ำจะท่วมฟ้าปลาจะกินดาว
    จนสงบลงในปี พ.ศ.2560 มนุษย์ที่มีศีลธรรมขั้นสูงเท่านั้นจึงจะอยู่ได้


    ที่มา
    http://palungjit.org/threads/คำทำนายภัยพิบัติ2553-2560-a.198030/





    โดยภัยพิบัติล้างโลกจะเกิดจริงในปี ค.ศ.2017 (พ.ศ. 2560)

    โดยยึดตามพุทธทำนายจากศิลาจารึกโบราณ
    เพราะปี พ.ศ ที่เราใช้ปัจจุบันเร็วเกินจริงไป 48 ปี ซึ่งปี พ.ศ. ปัจจุบันนี้คือ พ.ศ. 2504 เท่านั้น (2552 - 48 = 2504)

    เรื่องปี พ.ศ. ที่เราใช้ปัจจุบันเร็วเกินจริง มีรายละเอียดมาก โปรดอ่านได้ที่
    http://palungjit.org/threads/อยากถา...จริงๆคือเท่าไร-พี่เกษมช่วยตอบหน่อยค่ะ.198252/

    แต่พอจะสรุปสั้นๆ ว่าทำไม ปี พ.ศ ที่เราใช้ปัจจุบันเร็วเกินจริง

    1. ยึดถือตามเหตุการณสำคัญก่อนคริสศักราช คือพระเจ้าอโศกมหาราชครองราชเป็นระยะเวลา 267 ปี ก่อนคริสกาล
    และระยะเวลาในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช ห่างจากช่วงที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน 218 ปี (267 + 218 = 485)
    เมื่อ ค.ศ. ปัจจุบันคือ ค.ศ. 2009 เมื่อบวกกับ 485 จะได้ปี พ.ศ. ที่แท้จริงคือ พ.ศ. 2494 ไม่ใช่ 2552 เพราะคลาดเคลื่อน
    ไปถึง 58 ปี แต่ในความเป็นจริงก็ไม่แน่ว่าจะใช่ 58 ปี จริงหรือไม่ เพราะพบหลักฐานสำคัญในพุทธทำนายจากศิลาจารึก
    จึงทำให้เชื่อได้ว่า พ.ศ. ที่เราใช้ในปัจจุบันนั้น เร็วเกินจริงไป 48 ปี (สี่สิบแปดปี) อ่านต่อข้อ 2


    2. ทำไม พ.ศ. ปัจจุบันจึงเร็วไป 48 ปี โดยต้องยึดถือเอาพุทธทำนายจากศิลาจารึกเป็นหลัก ที่มีบางตอนได้กล่าวไว้ดังนี้

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้
    - ล่วงได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน
    - ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล
    - ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ

    ในปีนี้เป็นปี พ.ศ. 2552 (ปีฉลู) ถ้าเรานับตามความเป็นจริง คือลดจำนวนปีลงมา 48 ปี ก็จะเป็นปี พ.ศ.2504 (ปีฉลู)
    เมื่อนำมาเทียบกับปี พ.ศ. ในพุทธทำนายก็จะได้ปีนักษัตร ที่ตรงกับปีนักษัตรในพุทธทำนายพอดี

    เช่นในพุทธทำนายได้กล่าวเอาไว้ว่า ปี พ.ศ.2512 (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด 7 วัน 7 คืน เมื่อเราเอาปี พ.ศ.2560
    มาลดจำนวนปีลง 48 ปี ก็จะได้เป็นปี พ.ศ.2512 ซึ่งตรงกับปีระกาในพุทธทำนายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

    โดยเหตุการณ์จะเริ่มก่อตัวในปี ค.ศ.2012 (พ.ศ. 2555 - 48 = 2507) และไปถึงจุดสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017 (พ.ศ. 2560 - 48 = 2512)
    - ล่วงได้ ๒๕๑๒ (ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ ซึ่งจะตรงกับปี ค.ศ.2017 (พ.ศ. 2560) ในปัจจุบัน


    ขอบคุณข้อมูล พี่เกษม
    ดาวโหลด ตารางเหตุการณ์สำคัญก่อนคริสกาล ได้ที่นี่ http://main.dou.us/download/GB405PDF/GB405_ch7edit.pdf
    ที่มา GB 405 ����ѵ���ʵ���оط���ʹ� --����� 7 ����ػ





    กลียุค 7 ปี ช่วงระยะเวลาซึ่งเต็มไปด้วยความทุกขเวทนายากลำบาก (ค.ศ.2011 - 2017)

    พระคัมภีร์ไบเบิ้ลทำนายไว้ว่า ในอนาตคโลกจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกขเวทนายากลำบาก ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์
    ช่วงระยะเวลา 7 ปี ที่เรียกว่า "กลียุค 7 ปี"

    ในครั้งนั้น มีคาเอล เทพผู้พิทักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น และจะมีความยากลำบากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่ครั้งมีประชาชาติ
    จนถึงสมัยนั้น แต่ในครั้งนั้นชนชาติของท่านจะรับการช่วยกู้ คือทุกคนที่มีชื่อไว้ในหนังสือ และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น
    บ้างก็เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บ้างก็เข้าสู่ความอับอายขายหน้านิรันดร์ (ดาเนียล 12:1-2)

    พระคัมภีร์กล่าวว่า ในช่วงนี้ปรปักษ์พระคริสต์จะปรากฎโฉม ชาวโลกจำนวนมากจะมองดูผู้นำคนใหม่อย่างมีความหวัง เขาอาจจะมีส่วนในการนำชาติอิสราเอล
    และอาหรับเข้าหากัน และอนุญาติให้ยิวสร้างวิหารขึ้นใหม่ จะมีการตกลงสันติภาพกับอิสราเอล ต่อจากนั้นสามปีครึ่ง ปรปักษ์พระคริสต์จะฉีกสัญญานั้น
    แล้วเข้าไปนั่งในพระวิหาร และประกาศตัวเองเป็นพระเจ้า

    ใน 7 ปี แห่งกลียุคนี้ จะเป็นเหตุการณ์โหดร้ายทารุณสยดสยอง พรั่นพรึงอย่างน่ากลัวที่สุด จะไม่มีช่วงใดเลยในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน
    ที่จะน่ากลัวและสยองขวัญเท่ากลียุค 7 ปี พระเยซูตรัสว่า จงอธิษฐานขอ เพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้นจะไม่ตกในฤดูหนาว หรือวันสะบาโต ด้วยว่าในคราวนั้น
    จะเกิดความทุกข์ยากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาจนทุกวันนี้และเบื้องหน้า จะไม่มีอีกต่อไป... ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
    จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า (มัทธิว 24:20-22)

    จะเกิดอะไรขึ้นแก่มนุษย์โลกในระหว่างกลียุค 7 ปี พระวิวรณ์กล่าวถึง ตราเจ็ดดวง แตรทั้งเจ็ด ขันทั้งเจ็ด ทั้งหมดนี้หมายถึงหายนะภัยทั้งหลายดังต่อไปนี้

    ความหมายของตราทั้ง 7 (วิวรณ์บทที่ 6-8)

    ตราที่ 1 วิวรณ์ 6:1 หมายถึงปรปักษ์พระคริสต์ ซึ่งจะบันดาลสิ่งสารพัดเลวร้ายให้เกิดขึ้น
    ตราที่ 2 วิวรณ์ 6:3 สันติภาพสูญหายไปจากโลก เกิดสงคราม การรบราฆ่าฟันแผ่ขยายไปทั่วทั้งโลก
    ตราที่ 3 วิวรณ์ 6:5 ความอดอยากมีอยู่ทั่วไป
    ตราที่ 4 วิวรณ์ 6:7 มนุษย์ชาติตาย 1ใน 4 ด้วยคมดาบ โรคระบาด
    ตราที่ 5 วิวรณ์ 6:9 ผู้ที่มีความเชื่อในพระคริสต์ จะถูกสังหารผลาญชีวิต แต่ในที่สุดจะได้ชีวิต
    ตราที่ 6 วิวรณ์ 6:12 เกิดแผ่นดินไหว ดวงอาทิตย์อับแสง พระจันทร์สีเลือด ดาวตกลงบนแผ่นดิน บางคน เชื่อว่าเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เนื่องจากการยิงระเบิดนิวเคลียร์เข้าหากัน
    ตราที่ 7 วิวรณ์ 8:1 ความเงียบเข้าครอบคลุมสวรรค์นานครึ่งชั่งโมง ตราดวงนี้จะขยายให้เห็นแตรอีก 7 อันข้างหน้า

    ความหมายของแตรทั้ง 7 (วิวรณ์บทที่ 8-11)

    แตรที่ 1 ลูกเห็บและไฟตก เกิดความเสียหายมากมาย ต้นไม้ 1 ใน 3 ของโลกไหม้ หญ้าเขียวสดไหม้หมดสิ้น
    แตรที่ 2 ทะเลถูกทำลายลง 1 ใน 3 ของสัตว์น้ำตาย เรือสินค้าทั่วโลกถูกทำลาย 1 ใน 3
    แตรที่ 3 คนจำนวนมากตายเนื่องจากน้ำมีสารพิษเจือปน
    แตรที่ 4 ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ถูกทำลาย 1 ใน 3 เป็นเหตุให้อุณภูมิผันแปรอย่างหนัก
    แตรที่ 5 ซาตานซึ่งจะใช้อำนาจของมัน ทรมานคนที่ไม่มีเครื่องหมายของพระเจ้า หรือคนที่ไม่ได้รับความรอด
    แตรที่ 6 มนุษย์ชาติ 1 ใน 3 จะต้องตายลงอีก ในจำนวนนั้นเป็นทหารถึง 200 ล้านคน
    แตรที่ 7 ราชอาณาจักรในโลกนี้จะกลับเป็นอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์จะครอบครองเป็นนิจนิรันดร์

    ในระหว่างนี้ ปรปักษ์พระคริสต์จะก้าวขึ้นมาแสดงตัวมีบทบาทสำคัญยิ่ง มนุษย์ชาติต่างเกรงกลัวฤทธิ์เดชานุภาพของมัน และยอมตัวเป็นบริวาร
    เป็นทาสรับใช้ มนุษย์ที่เหลือต่างปล่อยตัวมัวเมาในกามกิเลสตัณหา และความชั่วร้าย สุดที่จะพรรณนา จนกระทั่งทูตสวรรค์ต้องนำขันแห่งพระพิโรธ 7 ใบ เทบนโลก

    ความหมายของขันทั้งเจ็ด มีดังนี้ (วิวรณ์บทที่ 16)

    ขันที่ 1 เกิดโรคระบาด เป็นแผลร้ายที่ร้ายกาจเสียยิ่งกว่ามะเร็ง แผลหนองทั่วไป
    ขันที่ 2 สิ่งมีชีวิตในทะเลตายหมด เพราะน้ำทะเลเน่าเหม็นเหมือนเลือดของคนตาย
    ขันที่ 3 น้ำจืดกลายเป็นเลือด และมนุษย์ต้องดื่มเลือดแทนน้ำ
    ขันที่ 4 ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ แผดเผาแผ่นดินโลกจนแห้งกรอบ มนุษย์กลับยิ่งแช่งด่าพระเจ้า
    ขันที่ 5 มนุษย์ได้รับการทรมานอย่างแสนสาหัส ขนาดต้องกัดลิ้นตัวเอง เพราะบาดแผลร้ายทั่วตัวแต่พวกเขาก็ยังไม่สำนึกผิด
    ขันที่ 6 การเตรียมตัวของซาตานมารร้าย เพื่อทำสงครามโลกครั้งสุดท้าย คือสงครามอาร์มาเกดโดน มันจะเข้าหาผู้นำประเทศต่างๆ เพื่อบังคับแกมขอร้องให้เข้าร่วมเป็นพันธมิตร
    ขันที่ 7 เกิดวิบัตินานาชนิด แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยประสบ ลูกเห็บก้อนใหญ่ขนาดก้อนละ 50 กิโลกรัมตกลงมา คนจำนวนมากจะตาย ทรัพย์สินเสียหายเหลือคณานับ เกาะทั้งเกาะจะจมหาย


    ที่มา
    ����ؤ 7 �� ��ǧ��������˹�� ������仴��¤���ء��Ƿ���ҡ�Ӻҡ - Dek-D.com > Board





    ตาชั่งแห่งดุลยภาพ และวันชำระบาปของโลก (ค.ศ.2017)
    โดย Dr.G.G.Junior

    ความเชื่อมโยงของมนุษย์กับจักรวาล เป็นธรรมชาติที่ถูกผูกเชื่อมกันมาตั้งแต่ปฐมกาล แห่งการกำเนิดโลกและจักรวาล มิใช่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น
    ยังรวมสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมด และต้องถือว่าเป็นสรรพชีวิต และยังรวมสิ่งที่ไม่มีชีวิต คือสรรพสิ่งทั้งมวลล้วนเชื่อมโยงกัน เป็นธรรมชาติที่สมดุล
    ตั้งแต่ครั้งนั้นมา ด้วยพลังงานธรรมชาติที่สร้างขึ้น ก่อให้เกิดพลัง แห่งความเคลื่อนไหวหมุนไปพร้อมๆ กับการหมุนของกระแสคลื่นจิต
    ในสิ่งที่มีชีวิต คลื่นความคิด ซึ่งเป็นพลังงานของคลื่นสมอง ไม่ว่าสรรพชีวิตจะกระทำสิ่งใด แม้เพียงหายใจเข้าและออก ก็ส่งผลกระทบถึงตนเอง
    สรรพชีวิตด้วยกัน และสรรพสิ่งอื่นๆ ซึ่งในขณะนั้น ก็ส่งผลการสั่นสะเทือนกระทบไปทุกอณูของโลกและจักรวาลทั้งนั้น มากหรือน้อยตามความรุนแรง
    ของกระแสคลื่นนั้นๆ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต หรือแม้อณูที่เล็กที่สุดของธาตุใดใด ก็ล้วนส่งผลการกระทำ หรือปฏิกิริยาของตน
    ต่อเชื่อมกันไปทั้งจักรวาลทั้งสิ้น ทุกขณะเวลา ดังคำกล่าวที่ว่า “เด็ดใบไม้หนึ่งใบสะเทือนถึงจักรวาล” นั่นเอง

    มนุษย์พึงตระหนักถึงความสำคัญของตนว่าส่งผลยิ่งใหญ่ต่อจักรวาลเพียงใด อย่าคิดเพียงง่ายๆ ว่าลำพังกำลังการกระทำของตนจะทำอะไรได้
    นั่นเป็นความคิดที่ผิด และเป็นโทษภัยอย่างมหันต์ทีเดียว เพราะมนุษย์กระทำสิ่งใดก็ตาม ในช่วงเวลาหนึ่งๆ มนุษย์อื่นก็กำลังกระทำสิ่งอื่น
    ที่ก่อให้เกิดพลังงานด้านมืด (พลังงานลบ) หรือสว่าง (พลังงานด้านบวก) อยู่ด้วยกันพร้อมๆ กันอีกมากมาย การกระทำใดใดก็ตาม
    ย่อมแสดงผลเป็นพลังงาน ซึ่งแบ่งแยกได้เป็นสองด้าน

    ดังนั้นมนุษย์พึงเข้าใจเสียใหม่ว่า เราเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังร่วมสร้างพลังงานด้านใดด้านหนึ่ง ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก ของเราทีเดียว
    พลังงานทั้งสองด้านนั้นหล่อเลี้ยงห่อหุ้มจิตของเราทุกคน และโลกธาตุ ทั้งมวลไว้ แล้วส่งผลสะท้อนย้อนกลับมาหาเรา ด้วยแรงของกรรมคือ
    กฎแห่งธรรมชาติ ที่มนุษย์ และสรรพชีวิตทุกตัวตน มิอาจหลีกพ้นกรรมของตนได้ ธรรมชาติมีการปรับตัว ดังนั้นธรรมชาติแห่งจักรวาล
    จึงมีนาฬิกาของการรักษาสมดุล แห่งจักรวาลที่เรียกว่า “ตาชั่งแห่งดุลยภาพ”

    ตาชั่งแห่งดุลยภาพ คือ สิ่งที่แสดงความเป็นจริง เป็นเครื่องวัดการสะสมของพลังงาน ทั้งสองด้านว่า ด้านใดจะมากกว่าน้อยกว่าหรือสมดุลกันแล้ว
    และส่งรหัสสัญญาณไปยัง ธรรมชาติของจักรวาลให้แสดงผลต่างๆ ตอบสนองไปตามที่ตาชั่งวัดได้ ช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่ตาชั่งแห่งดุลยภาพจะทำงาน
    แล้วส่งรหัสไปยังธรรมชาติทั้งปวงนั้น เรียกว่า หนึ่งช่วง พีริออดิค (Periodic) เปรียบเทียบเวลากับมนุษย์นั้น เท่ากับ 60 ปี 4 เดือน 12 วัน
    คือ 1 รอบพีริออดิค เท่ากับ 22,047 วัน

    เมื่อถึงรอบเวลาพีรีออดิคท้ายสุดที่ผ่านมาคือ ทางจันทรคติ ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 22 เดือนกุมภาพันธ์ 2550 แรม 6 ค่ำ เดือน 2 ซึ่งตรงกับ
    ทางดาราคติ วันพฤหัสที่ 22 ทุติยฤกษ์เดือน พ.ศ. 2550 แรม 5 ค่ำเดือน 2 การกระทำที่แล้วมา ในอดีตของมนุษย์ ส่งผลให้ช่วงพีริออดิคนี้
    ธรรมชาติขาดความสมดุล อย่างรุนแรง จึงนำพาให้ เกิดเหตุสำคัญทางจักรวาล ที่เวียนมาบรรจบ ครบรอบขึ้น 3 ปรากฎการณ์ด้วยกัน
    แต่ถ้าตาชั่งแห่งดุลยภาพมีผลลัพธ์ว่า จักรวาลยังคงสมดุลอยู่ ปรากฎการณ์ทั้ง 3 นี้ก็ไม่เกิดขึ้น เพราะกรรมฝ่ายสว่างจะนำพาให้ดวงดวง
    ในจักรวาล หมุนด้วยความสมดุล และไม่หมุนทำมุมดั่ง 3 ปรากฎการณ์ดังต่อไปนี้

    1. ในรอบปีนี้เป็นปีครบรอบ 7,749 ปี พอดีที่ดาวพฤหัส ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดวงอาทิตย์ มาเรียงตัวทำมุมกันเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่า
    ทำให้แรงดึงดูด และสนามแม่เหล็กของดาวทั้งหมดปรวนแปร เกิดพายุใหญ่ขึ้นทั้งบนบกและมหาสมุทร กระแสไฟฟ้าในบรรยากาศผิดปกติ
    มนุษย์และสรรพชีวิตประสบภัยพิบัติยิ่งใหญ่ อย่างฉับพลันอยู่เนืองๆ

    2. รอบ 12,000 ปี ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทุกดวงของระบบสุริยะจักรวาล เรียงตัวกันเป็นเส้นตรง ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 5,600
    แรงดึงดูดและสนามแม่เหล็ก ปรวนแปร อย่างหนักในช่วงเวลาดังกล่าวประมาณ 3 นาที แต่ก็จะทำให้น้ำท่วมสูงในซีกโลกที่ตรงกับ
    แนวการเรียงตัวของดวงดาวดังกล่าว และเกิดน้ำเหือดหายในซีกโลกด้านตรงข้าม (แนวตั้งฉาก)

    3. รอบ 70,000 ปี แกนกลางดาราจักร HALO ดวงอาทิตย์ และโลกเรียงตัวกัน เป็นแนวตรง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันชำระบาปโลก”
    พลังงานรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ทุกสิ่งที่ประกอบไปด้วยพลังมืดต้องถูกชำระล้างไป คงเหลือแต่พลังงานฝ่ายสว่าง สร้างโลกใหม่ขึ้นเรียกว่า
    “ยุคพลังงานใหม่” นั่นเอง ซึ่งจะครบรอบปีที่ 70,000 ใน ค.ศ.2017
    มนุษย์ที่มีดวงจิตอันสว่างใสด้วยโพธิจิตก็จะรอดชีวิต เพื่อดำเนินภารกิจการอบรม สั่งสอนให้มนุษย์ที่เกิดขึ้นใหม่ ให้มีการพัฒนาจิตให้สว่าง
    มากกว่าการหลงในวัตถุเหมือน มนุษย์ในปัจจุบันนี้ ที่มีดวงจิตอันขุ่นมัวมืดบอดอับแสงเป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถปรับฟื้นจิตได้แล้ว
    จึงจำเป็นต้องล้างโลกกันเสียทีในปี ๒๕๖๐ นี้

    นี่คือเหตุแห่งมหันตภัยของโลกครั้งที่จะถึงนี้ โดยที่มนุษย์เป็นส่วนใหญ่ และสรรพชีวิต ได้ร่วมกันสร้างพลังงานฝ่ายมืด
    คือความเลวร้ายมืดดำทั้งปวง จนหลุมดำไม่สามารถ รับขึ้นไปเก็บไว้ได้อีกแล้ว สุดท้ายมนุษย์นำพาโลก และจักรวาลขึ้นสู่ตาชั่งแห่งดุลยภาพ
    แล้วมีผลลัพธ์สุดท้ายคือ การเกิดมหันตภัยล้างโลกในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ นี่เอง ตั้งแต่ลมหายใจนี้ ไม่คิดพยายามสร้างกรรมฝ่ายสว่างกันบ้างเลยหรือ
    มนุษย์ทั้งหลาย จงตื่น เพื่อร่วมกันสร้าง พลังงานฝ่ายสว่างบนข้อเท็จจริงแห่งธรรมชาติกับข้า "ข้าคือสัญญาธาตุรู้ที่อยู่คู่กับทุกอณูในสรรพสิ่ง"


    ที่มา
    �ҵ������ǹ���������������§㹷ءͳ٢ͧ�ء��þ���㹨ѡ����





    *ภัยพิบัติจะเลื่อน หรือไม่เลื่อน ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี จงมีชีวิตอย่างมีสติ
    เลิกยึดติดในวัตถุ หมั่นเจริญภาวนา รักษาศีล งดกินเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นเสบียง
    บุญต่อไปในสุขคติภพหน้า*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2009
  2. Bkkianmar

    Bkkianmar Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +55
    น่ากลัวจัง
     
  3. Glow-Worm

    Glow-Worm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +1,956
    นี่มันเรื่องจิงเหรอเนี่ย อ้าวดาวนิบิรู จะมาชนปลายปี 2012 นี่นา
     
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
  5. taengmostudio

    taengmostudio สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +17
    เดากันไปเรื่อยๆ แต่ก็ดีกว่าต่างคนต่างเงียบ ไอ้เรื่อง พ.ศ. ไม่ตรงนั้นพวกธรรมกายพากันเริ่มก่อนไม่รู้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือเปล่า... อันไหนที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะ ไปหลงยึดปักมั่นเชื่อฝังหัว มันก็เท่านั้น ตายไปก็จำไม่ได้อยู่ดี พอไปเกิดในร่างใหม่ก็เริ่มหัดอ่านหัดเรียนรู้กันไม่ ไม่จบไม่สิ้น ..... ตายก่อนดีกว่าตายทีหลัง (ในช่วงที่เกิดมีโรคระบาด) แต่คนส่วนมากไม่อยาก..และกลัวการเปลี่ยนร่าง......
     
  6. natspdo

    natspdo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +1,505
    ช่วยให้ความรู้ผมด้วยครับว่า "ถ้าเราจะถือเอาพุทธทำนายจากศิลาจารึกเป็นหลัก" เป็นยุคใดครับเป็นของประเทศอะไรครับ(ที่สังเกตเป็นแบบอ้างอิงกันมาต่อ ๆ กัน)
     
  7. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094
    ยังไงก็ได้อยู่แล้ว
     
  8. TAKTAO

    TAKTAO Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +32
    อ้าวยังไม่ถึง 5000 ปีตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เลยไม่ใช่
    ทำไมถึงจะล้างโลกซะแล้วล่ะค่ะ
     
  9. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
  10. พรปู่

    พรปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +277
    จริงเหรอ ???
     
  11. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    สักแต่ว่าอยากจะตั้ง ชื่อกระทู้ให้มันมีกระแสหวือหวาไปทั่วเลยครับ
     
  12. เสฏฐวุฒิ

    เสฏฐวุฒิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +173
    ที่แน่ๆ พุทธทำนายไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก!
    แล้วพุทธทำนายมาได้ไงเนี่ย?
     
  13. พรปู่

    พรปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +277
    เห็นด้วยอย่างยิ่ง
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    หมกมุ่นกันเกินไปแล้ว เอาเวลาไปพักผ่อน ดูหนัง ท่องเที่ยวธรรมชาติ หรือออกกำลังกายในสถานที่ร่มรื่นบ้างก็ดีนะ

    ทำจิตใจให้สบาย ปลอดโปร่ง แล้วหาเวลาดู มอง สิ่งที่เกิด สิ่งที่ดับ ในใจ ^-^
     
  15. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    ทุกวันนี้ยังไม่นรกบนดินอีกหรือ ผู้คนแก่งแย่งชิงดีกัน เบียดบังเอาประโยชน์ใส่ตน ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเป็นหรือจะตาย มันก็คือนรกบนดินอยู่แล้วไม่ต้องถึงปีนั้นหรอก ปีนี้ก็นรกอยู่แล้ว
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พระพุทธพจน์ทำนาย

    คณะธรรมทูตผู้ไปอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุและพระศรีมหาโพธิ์ที่ประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายจากศิลาจารึก เขตมหาวิหารในสวนมฤคทายวัน แปลได้ดังนี้

    สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตว์โลก ซึ่งเกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ไกล้ถึงพระชนมายุย่างเข้าพระปรินิพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ผู้ศิษย์อันสนิทพากเพียรพยาบาลว่า

    " ดูกรอานนท์ สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติที่หมุนเวียนของโลกโลกหมุนไป ใกล้ความแตกทำลายจนถึงสมัยที่อาตมานิพพานไปแล้วได้ ๕,๐๐๐ ปี

    เมื่อโลกไปไกล้กึ่งจำนวนที่อาตมาทำนายไว้ (๒,๕๐๐ ปี)มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทิศเสียครึ่งหนึ่ง ในระยะ ๓๐ ปี สิ่งที่ศาสนิกชนไม่เคยพบเห็น ยักษ์หิน ถูกสาปให้หลับก็กลับคื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งหนัก เมื่อใกล้กึ่งศาสนาของอาตมา ก็ทวีภัยใหญ่ขึ้นทุกทิพาราตรี และมนุษย์นอกศาสนาก็จะมารบราฆ่าฟัน กันถึงเลือดนองแผ่นดินและแผ่นน้ำ แม้ในอากาศก็มี อำนาจภัยจากฟ้าทุกทิศานุทิศ ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายกันย่อยยับเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นไฟ และตายกันไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกัน ตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งกำเนิดมจากสัตว์ป่าอำมหิต

    ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายในทางบุญ ตามเดิมวัจนะของอาตมา ก็จะสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดที่เคารพสักการะพระศรีมหาโพธิ์และกาสาวพัสตร์ จะได้รับวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติไม่พ้น

    เริ่มแต่ศาสนาอาตมาล่วงมาได้ ๒,๔๘๕ ปี เป็นต้นไป ไฟจะลุกมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เมืองหลวงจะร้อนเป็นไฟ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำสงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง ปราชญ์เปรื่องจะสิ้นสูญ ราชตระกูลอำมาตย์

    ราษฎรทุกคนจะพากันถืออำนาจไม่เป็นธรรม ไม่เคารพหลักธรรม โดยปรวนแปรนิยมเชื่อถือถ้วยคำของคนโกง คนกล่าวคำเท็จ คนประจบสอพลอย่อมได้รับการเชื่อถือในท่ามกลางสังคมสันนิบาต ผู้ดีมีศีลธรรมประพฤติชอบไม่มีเสียง (อธรรมพูดจ้อ แต่ธรรมเป็นใบ้) จะเกิดการจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดแม่ แม่จะพลัดจากลูก โคกจะเป็นน้ำ ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะเข้าไพร เทวดาจะเรียกแมลงบี้เหล็กโกฏิหนึ่ง ผีเสื้อเหล็กแสนหนึ่ง มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๐๗ (ปีมะโรง) คนเปลี่ยนสภาพเดินเป็นคลาน ล่วงได้ ๒๕๐๘ (ปีมะเส็ง) ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล ล่วงได้ ๒๕๑๒(ปีระกา) เมืองมนุษย์จะมืด ๗ วัน ๗ คืน โลกดิ่งสู่ความหายนะ บุคคลเจริญด้วยเมตตา กรุณา ไม่เบียดเบียนข่มเหงอิจฉาพยาบาทและไม่ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม และยึดถือคาถาของอาตมาจะพ้นภัยพิบัติ ให้เจริญภาวนาดังนี้

    " หิตะชิราทัน มันกะโลอังคะ ศิลากะละสา สาสะสะติ โหตะถิ โหคะหะคะเน "

    ให้ท่องบ่นภาวนาเป็นนิจ ให้จดอักษรใส่กระดาษหรือผ้าขาวปิดไว้หน้าบ้าน หัวนอน หรือพันศรีษะไว้ สารพัดภัยพินาศ สันติประสิทธิ์ ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์โลกเป็นล้นพ้นที่มีอายุขัยอยู่ได้ใกล้ยุคกึ่งยุคลลาย

    เมื่อศาสนาของอาตมาล่วงมาได้ ๒๕๑๒ (ปีจอ) พระจันทร์จะเริ่มเปล่งแสงฉายโลก ครั้นล่วงได้ ๒๕๑๕ (ปีชวด) นับพ้นระยะปี ๓๐ ปี พวกอธรรม คือพวกที่ไม่ตั้งอยู่ในศีลในสัตย์ ไร้ซึ่งศีลธรรมนั้นจะหมดสิ้นไปเพราะพวกมิจฉาทิฐิจะดับสูญไปจากโลก อธรรมแพ้ในที่สุด ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนที่จรจะกลับเข้ากรุงบำรุงธรรม ธรรมจะชนะ พระจะอยู่บ้านเมืองต่อไป การงานของมนุษย์จะสำเร็จด้วยอริยศาสตร์ซึ่งไม่ต้องเบียดเบียนแรงผู้ใด ทุกคนจะสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมและชีวิตผาสุก มหากษัตริย์ธรรมิกราชผู้เป็นพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่งจะเกิดภายในความอุปภัมถ์ของพระมหาเถระโพธิสัตว์ทั้งสององค์นั้น จะจัดการบำรุงศาสนาของอาตมาในระยะนี้เป็น "ยุคศิวิไล" พระมหาเถระโพธิสัตว์ จะเกิดในสมัย ของอาตมาล่วงมาแล้ว ๒๔๕๔ ปี

    เมื่อล่วงได้ ๒๔๖๗ ถึง ๒๔๘๖ พระมหากษัตริย์ธรรมิกราชจะมาเกิด ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตอยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ระหว่างปีจอปีกุน เมื่อศักราช ๒๕๑๓ กับ ๒๕๑๔ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์นั้นจะเสด็จเข้าบำรุงศาสนาให้เที่ยงแท้สมณชีพราหมณ์จะเสด็จมา ๘๔,๐๐๐ รูป

    ดูกรอานนท์ อาตมาสงสารสัตว์ เวลานั้นพลโลกยังเหลือน้อยเต็มที คำทำนายของอาตมานี้ยังให้สัตว์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วเชื่อ หรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้กันต่อ ๆ ไปนับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ต่างสิ้นสุดกันตามกาลเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันมีบุญ ให้รักษาศีลห้าประการหนึ่งยำเกรงบิดา มารดา รู้จักบุญคุณท่านผู้มีคุณหนึ่งให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง คาถาว่าดังนี้

    " พุทธิทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นโมสัพพราชา ขัตติโย อิติปารมิตา ตึสา อิติ สัพพัญญุมาคตา อิติ โพธิ มนุปปัตโต อิติปิโส จ เต นโม "

    รู้แล้วอย่าประมาท ให้ท่องบ่นภาวนารักษาศีล

    ที่มา http://www.4floor.com/nextcom/sawasdee3/2000/book1-2.html


    <TABLE class=tborder id=post1295356 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_1295356 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ตอนที่ ๖
    บรรยายโดย อาจารย์เจ้านางฯ ปี ๒๕๔๙

    [​IMG]

    ดินแดนที่ตำนานพระเจ้าเลียบโลกกล่าวถึงอันเป็นที่ตั้งของแหล่งวัฒนธรรมต่างๆ

    เรามาเล่าถึงในผูกที่ ๑๐ ที่พระพุทธองค์ทรงที่พุทธพยากรณ์กับพระอินทร์ ที่พระอินทร์ถามว่าในศาสนาของพระองค์ ใน ๕,๐๐๐ ปีจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราก็ได้เล่ามาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงที่พระพุทธองค์ได้สรุปว่าภัยทั้ง ๑๐ ประการ จะเกิดขึ้นในท่ามกลางกึ่งกลาง ๕,๐๐๐ พรรษา ภัยทั้ง ๑๐ ประการนั้นได้แก่​

    1. ราชภัย ท้าวพระยาจะบังคับเบียดเบียนพลเมือง
    2. โจรภัย จะบังเกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมทั่วไป
    3. อัคคีภัย ไฟจะไหม้บ้านเมืองไม่ขาดสาย
    4. อสุนีบาต ฟ้าจะผ่าสัตว์และคนล้มตายบ่อย ๆ
    5. เมทนีภัย แผ่นดินจะไหวสะท้านและแยกออกจากกัน
    6. วาตภัย จะเกิดลมพายุพัดพาบ้านเมืองพินาศ
    7. อุทกภัย น้ำท่วมบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา
    8. ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร
    9. พยาธิภัย จะเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ล้มตาย
    10. สัตถภัย จะรบราฆ่าฟันกันล้มตายร้ายแรง​

    ดูรา มหาราช (พระอินทร์) นักบวชทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในวินัยธรรมคำสั่งสอน ของตถาคตใจบาปหยาบช้า เป็นจำนวนมาก ๑๐๐ รูป ๑,๐๐๐ รูป จะมีที่ชอบธรรมอยู่สัก ๑-๒ รูป ลางที ไม่มีเลยแม้แต่รูปเดียว แม้ท้าวพระยาเสนาอำมาตย์ตลอดถึงประชาชนหญิงชายทั้งหลาย ก็ไม่ประกอบไปด้วยธรรมเป็นจำนวนมาก ๑,๐๐๐ คน จะมีชอบธรรมสัก ๑-๒ คน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าลางบ้านลางเมืองไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว เหตุว่ามีบาปธรรมอันหนาแน่นยิ่งนัก เทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายก็จะบันดาลให้เป็นโรคระบาดพินาศ ทั้งสัตว์และคนก็จะถึงแก่ความตายเป็นจำนวนมาก ประการหนึ่ง ​

    ยักษ์และเทวดาทั้งหลายจะบันดาลให้หัวใจนักบวชทั้งหลายให้ต่ำช้า ให้มีความโกรธความขึ้งคียด ดูถูกดูแคลนซึ่งกันและกัน องค์ที่มีอายุน้อยก็จะเหยียบย่ำองค์ที่มีอายุมากกว่า องค์ที่มีอายุก็ไม่รักไม่เกรงองค์ที่มีอายุต่ำกว่า ลูกศิษย์ก็ไม่เคารพรักอุปัชฌายาจารย์ อุปัชฌายาจารย์ก็ไม่รักไม่เกรงลูกศิษย์ ใคร่จะสั่งสอนก็ไม่ได้ เท่าแต่จะสะสมบาปเป็นนิรันดร์ เขาทั้งหลายก็จะประสบภัยเหล่านั้น แม้ท้าวพระยามหากษัตริย์เสนาอำมาตย์และทั้งหลาย รวมถึงคนขาย อันเทวดาและยักษ์หากมาบันดาลหัวใจ เขาก็ไม่ยอมอ่อนน้อม ไม่รักไม่ยำเกรงกัน ต่างคนต่างก็จะว่า ตัวเองมีบุญสมภารมาก มีเดช มียศ มีบริวารกล้าหาญมาก มีความฉลาด มากและมีกำลังมาก พระยาเมืองน้อยก็จะดูถูกพระยาเมืองใหญ่ พระยาเมืองใหญ่ก็จะดูถูกพระยาเมืองน้อยลูกน้องไม่เคารพนับถือนาย ลูกชายหญิงไม่รักไม่ยำเกรงพ่อแม่​

    อันนี้ก็จะขอสรุปสักเล็กน้อยว่าพุทธองค์ทรงมีพุทธทำนายว่าคนขาดศีลธรรม ดังนั้นจะบันดาลให้ยักษ์ คนธรร นาค ครุฑ ทั้งหลายมาราวีเบียดเบียนคนและสัตว์ เช่นทำให้เกิดโรคระบาดบ้าง นอกจากนี้แล้วเมื่ออีกภูมิหนึ่งมาเกี่ยวพันทำให้หัวใจนักบวชต่ำช้า และไม่เคารพกัน คนที่อยู่ด้วยกันไม่ยำเกรงกัน ผู้น้อยผู้หนุ่มไม่รักไม่ยำเกรงผู้แก่ผู้เฒ่า ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่จะเบียดเบียนไพร่ฟ้าข้าไทย โทษมีน้อยจะปรับไหมหลาย โทษบ่ควรตายก็จะฆ่า จะบีบบังคับเอาข้าวของ เงินทองให้ถึงความพินาศฉิบหาย จะได้เป็นทาสเป็นข้าของท่านผู้อื่น จะมีเป็นจำนวนมากประการหนึ่ง เทวดาจะมาบันดาลให้ผู้น้อยผิดใจกับผู้ใหญ่ คือแข่งกันใหญ่ มันเป็นความเสื่อมของกุศลจิต​

    เรือนเหนือผิดใจกับเรือนใต้ พ่อแม่พี่น้องมิตรสหาย ก็จะทะเลาะวิวาทกัน หากว่าทะเลาะวิวาทผิดเถียงกันด้วยเรื่องการฆ่าสัตว์การลักทรัพย์ การเล่นชู้ การแย่งชิงเอาทรัพย์สินของไร่นาคามเขต หรือแม้สมบัติสิ่งใดก็ดี ท้าวพระยาเสนาอำมาตย์ก็จะพิจารณาคดีความไม่ชอบธรรม ย่อมจะตัดสินความด้วยฉันทาคติ โทสะคติ โมหะคติ หาอุบายกินของจ้างคือสินซุกสินบน ควรชนะก็ตัดสินให้แพ้ ควรแพ้ก็ตัดสินให้ชนะ บาปกรรมทั้งหลายร้ายแรงยิ่ง ก็จะบันดาลให้วิวาทฟ้องร้องกัน เลยเกิดเป็นโกลาหล จะเกิดศึกใหญ่รบราฆ่าฟันกันตายเป็นอันมาก ​

    เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดในระหว่างกึ่งกลาง ๕,๐๐๐ พรรษา ประการหนึ่ง คนจะตายเพราะเสือกัด เงือกกัด จะตายเพราะตะขาบแมงป่อง คือตายด้วยพิษสัตว์ทั้งหลาย ลางคนเดินอยู่ดี ๆ ก็จะล้มตายจะนั่งตาย นอนตาย ยืนตาย ตายด้วยภัยทั้งหลายต่าง ๆ ในเวลานั้น (สมัยกึ่งพุทธกาล) แดดร้อน ฝนฟ้าจะตกก็ไม่ปกติ เดี๋ยวตกเดี๋ยวไม่ตก ฟ้าก็ร้องไม่ตามปกติ จะผ่าคนและสัตว์ให้ถึงแก่ความตาย แม้น้ำก็ร้ายจักบังเกิดแก่คนและสัตว์ทั้งหลายต่างๆ คนทั้งหลายจะถึงแก่พินาศฉิบหายเป็นอันมาก บ้านก็จะว่างเรือนก็จะเปล่า​

    แม้นทำไร่ทำนาก็ไม่ได้ผล จะแห้งแล้งตายเพราะแดดกล้า พืชทั้งหลายเป็นต้นว่า ตัวหนอนก็จะลงมากินข้าวในนาหนูก็จะเบียดเบียน เมล็ดข้าวก็จะลีบ ควรจะได้ ๑๐๐ สัด จะได้สัก ๑๐ สัดหรือได้ครึ่งหนึ่งลงมา หากทำนาไม่มากก็จะไม่ได้อะไรเลย ทุกขเวทนาทั้งหลายจะบังเกิดแก่คนทั้งหลายในยามนั่นแล ดูรา มหาราช คนและสัตว์ทั้งหลายที่ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ และต้องพินาศตายไปเช่นนั้นมิใช่ว่าจะเป็นไปทั่วบ้านทั่วเมืองหาได้ไม่ ลางแห่งจะอยู่ดีมีสุข ลางแห่งจะเป็นทุกข์เป็นภัยมาก คือที่ดีก็มีมากที่ร้ายก็ร้ายมาก ภัยที่กล่าวมาแล้วจะปรากฎขึ้นในประเทศแดนใด ประเทศแดนนั้นจะฉิบหายพินาศ คน ๒ - ๓ เมืองจะรวมกันได้ ๑ เมือง บ้าน ๒ - ๓ บ้านจะรวมกันเป็น ๑ บ้าน เพื่อแบ่งกันกินแบ่งกันใช้​

    ภัยเหล่านี้จะบังเกิดมีในกลางพรรษาพันที่ ๓ ของ ๕,๐๐๐ พรรษา (ได้แก่ พุทธศักราช ๒,๕๐๐ เป็นต้นไป)

    ดูรา มหาราช ในกาลตอนนั้นศาสนาตถาคตจะหม่นหมองไปเป็นอันมาก ดูรา มหาราช ผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย จงดูแลศาสนาของตถาคตอย่าได้ประมาท จงสั่งให้เทวบุตรองค์ที่ชอบธรรมลงมาเกิดใน ๑,๐๐๐ พรรษานี้เพื่อมาอุ้มชูยกย่องพระพุทธศาสนาใน ๕,๐๐๐ พรรษานี้ให้เจริญ รุ่งเรืองต่อไปเถิด​

    หลังจากที่สมเด็จอินทราธิราชทรงสดับพุทธพยากรณ์ อภิวาทกราบไหว้พระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ แล้วก็เสด็จคืนสู่ชั้นฟ้า ต่อมาก็ได้เสด็จมายังสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์และได้พบฤษีองค์หนึ่งในดินแดนแห่งโยนกนครที่สถิตอยู่บนภูเขา แล้วก็เล่าความให้ฟัง แล้วขอให้พระฤษีอย่าได้ประมาณ ช่วยเล็งดูกาลเวลาว่าจะมีภัยที่จะเกิดขึ้นแก่โลกเมื่อศาสนาล่วงไปได้ ๒,๐๐๐ ปีแล้ว แล้วก็พืชพันธุ์ทั้งหลายที่อยู่ในสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จ พืชพันธุ์ทั้งหลาย เครือเขา เถาวัลย์หญ้าต้นไม้ทั้งหลายที่มีในพื้นดินก็จะมาปิดบังสถานที่อันเป็นมงคล และจะเปิดมีดอกมีผล ​

    เพื่อให้บุคคลทั้งหลายได้ประจักษ์เมื่อพระอินทร์ได้ส่งเทพบุตร เทวดาทั้งหลายมาบูรณะซ่อมแซม และขอให้พระฤษีได้มีนิมิตช่วยกันปลูกดอกไม้ ปลูกเถาวัลย์ปลูกหญ้า เป็นการแสดงบอกเหตุเภทภัย พอเริ่มมีภัยให้ปิดดินแดนแห่งความเป็นมงคลนี้ที่จะบังเกิดมีต่อไปภายหน้า คือนัดแนะกับฤษีว่า เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อผู้น้อยผู้ใหญ่ไม่ปฏิบัติตามธรรม มีใจเป็นบาป ไม่มีความละอาย ยุยงส่งเสริมให้เกิดเป็นศึกเป็นโจรฆ่าฟันล้มตาย โกหก หลอกลวงไม่มีศีลไม่มีสัตย์ สร้างข่าวลือหรือหลอกลวงกันว่าตนนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นพญาธรรมิกราช หลอกลวงว่าเป็นคนที่จะมาช่วยบำรุงศาสนาอะไรต่าง ๆ ให้ปิด (สถานที่) ไว้อย่าให้เปิด เมื่อพระอินทร์ส่งคนลงมาเกิดแล้ว ก็ขอให้สถานที่นี้เปิด เพื่อให้บุคคลเหล่านี้มาซ่อมแซมพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาลนี้ให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อถึง ๕,๐๐๐ ปี​

    ข้าแต่ท่านฤษี เมื่อไรก็ตามเมื่อคนสวมหมวกหลุบหน้า คือมีความหมายว่าเริ่มมีอะไรปิดๆบังๆ ลูบหน้าปะจมูก ทำอะไรก็ไม่จริงไม่จัง ศาสนาเริ่มเสื่อมลง เมื่อนั้นอันตราย เช่น นักปราญช์หรือบันฑิตไม่ทราบทางแห่งความสงบ หรือทางบุญ เริ่มมีอันตรายร้ายมาจากทางอากาศ พ่อค้าหากินกับพวกโจร ข้าราชการไม่รู้สิ่งที่ชอบที่ควร หรือตัดสินความไม่เที่ยงธรรม อันนี้ที่จริงแล้วเป็นภาษาเมืองหมด เช่น “ฝูงเป็นขุนบ่อรู้ตกแต่ง” อันนี้หมายความว่า เป็นข้าราชการแต่ไม่รู้สิ่งที่ชอบที่ควร หรือตัดสินความไม่เที่ยงธรรม “เอาม้าสี่แจ่งแปลงถง” เอาผ้าเช็ดหน้าแทนย่าม “ฝนตกลงบ่ใช่เมื่อ” ฝนตกลงในกาลที่ไม่ควรตก ​

    “ฝูงไม่เบือครองธรรม” คือคนปัญญาอ่อนทั้งหลายไม่เข้าใจความลึกซึ้งแห่งธรรม หรือในรสแห่งธรรมที่จะเกิดจากภาษาลึกซึ้ง หรือเบื่อในรสแห่งวรรณคดี หรือว่าพอไปทำบุญแล้วก็ขับรถเลยเถิดไปเล่นการพนันต่อ “คนบ่ยังนักบวช” คือไม่เคารพยำเกรงนักบวช “คนพาลรวดเป็นอาจารย์” คือนับถือคนพาลเป็นอาจารย์ ผิดโบราณแต่งไว้ ผู้ร้ายเกิดเป็นดี หญิงอายุสิบปีมีชู้ “ผู้รู้คนบ่นับ” คือไม่นับถือคนมีความรู้ความฉลาด “คนมักขับฝูงชีหนีจากที่” ขับไล่พระให้สึกหรือให้หนีออกจากวาส “สายฟ้าเป็นทุง” คือฟ้าแลบยาวเหมือนทุงหรือธงแผ่นผ้าที่แขวนไว้บนค้างสูง คือฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลแต่ว่ามีฟ้าแลบฟ้าร้อง ​

    “นักปราชญ์โบ้ยรู้พลาง” เป็นนักปราชญ์บันฑิตแต่กลับโกหกหลอกลวง “คนเทียวทางยกโทษ” หาโทษแก่คนเดินทางหรือหาเรื่องใส่อคันตุกะ พระเณรไม่เคารพนับถือ คือภิกษุสงฆ์โกหกหลอกลวง หลอกให้คนทั้งหลายทำบุญเพื่อลาภยศ เก็บสะสมเอาไว้เป็นของตนเอง คนชาวบ้านพยายามยึดครองบ้านเมือง ขุนนางเรืองไถ่เอาข้า คือข้าราชการหาเรื่องเบียดเบียนปรับไหมชาวบ้าน หาเรื่องไถ่เอามาเป็นบริวารหรือทาสของตัว อันนี้คือพระอินทร์กำลังเล่าให้ฤษีฟังว่าหากเกิดแบบนี้ คือคนไม่นับถือผู้เฒ่าผู้แก่ พระถือหมวกให้เด็กวัด คือหมายความว่าไม่มีนิ้วก้อยหัวแม่มือแล้ว ​

    “หาบก้าหาเงิน” คือพระเณรแสวงหาเงินด้วยการค้าขาย หรืออยู่ในลักษณะการค้าขายแลกเปลี่ยนกัน เช่นว่าให้ลูกศิษย์คนนี้ขายที่ดินให้ลูกศิษย์คนนี้ แล้วพระก็กินค่านายหน้า เริ่มแสดงว่าศาสนาเริ่มหมองมัวแล้ว แล้วก็มีเหตุที่จะบอกว่าต้นข้าวลีบ แผ่นดินร้อนเป็นไฟ “เสียงอึงมี่บนอากาศ” คือเรียกว่าขวานฟ้าจักฟาดลงมาแผ่นดินหนาไหวหวั่น มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น คนจะพูดแต่เรื่องของตัวเอง คิดหาทางหนีจากที่ตัวเองเคยอยู่ เอาตัวรอด “เจดีย์หวู่เป็นควัน” “แผ่นดินยักและแยก” “สายฟ้าจักแถกคนตาย” คือทั้งฟ้าผ่า แผ่นดินไหวแยกออกมา​

    พุทธองค์ทรงตรัสให้พระอินทร์ส่งเทพบุตรเทวดาลงมา เพื่อร่วมกับชาวเขาชาวป่าที่ให้ละเลิกมิจฉาทิฐิ มาช่วยกันรักษาศีลฟังเทศน์เจริญภาวนา อุปถากพระรัตนตรัย สร้างกุฏิวิหาร ดังนั้นพระอินทร์จึงได้มาสั่งฤษีไว้ว่าตอนนี้ให้ปิดสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จทุกที่ก่อน เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นพระอินทร์จะส่งคนลงมา ส่งเทพบุตรเทวดาทั้งหลายมาช่วยซ่อมกุฏิวิหารทั้งหลาย บูรณะปฏิสังขรใหม่เพื่อให้ภัยทั้งหลายเหล่านี้หมดไป พระอินทร์ได้บอกอย่างนี้ในผูกที่ ๑๐ ในตอนท้าย แล้วก็จะทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยั่งยืนนาน เจริญสืบต่อจนเป็นอันที่ ปริโยสาร แห่งพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ พรรษา

    อันนี้ก็เป็นอันว่าพุทธตำนานผูกที่ ๑๐ ก็จบลง เพราะเมื่อพระอินทราได้ตรัสกับฤษีแล้ว ก็บอกให้พระฤษี ไปรออยู่ที่ยอดเขาคำหลวงในเมืองหริภุญชัยนคร เพื่อที่จะรอเปิด รอที่พระองค์จะส่งเทพบุตรเทวดาในสมัยกึ่งพุทธกาล และให้ฤษีเทวดามาช่วยดลบันดาลให้ทั้งหมดในการสืบพระศาสนาถึง ๕,๐๐๐ ปีที่พระพุทธองค์ทรงฝากไว้ให้สำเร็จทุกประการ
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("1295356")</SCRIPT></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ที่มา http://www.agalico.com/board/showpost.php?p=64988&postcount=6
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2009
  17. มาม่า

    มาม่า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +12
    ชอบอ้างกันจริงๆเลยนะครับคำว่า "ยังไม่ถึง 5000 ปีเลย" อ้างกันมากจริงๆ
    คนที่ชอบอ้างคำนี้ผมถามคุณหน่อยนะครับว่า คุณเคยอ่านเรื่องพุทธทำนายภัยพิบัติ
    หลังกึ่งพุทธกาลหรือเปล่า คุณควรจะศึกษาให้รู้จริงก่อน ไม่ใช่อะไรก็มาอ้างว่า
    "ยังไม่ถึง 5000 ปีเลย" เพราะอ้างโดยที่ยังรู้ไม่จริง มันเหมือนกบในกะลาครับ
     
  18. The Shadow

    The Shadow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +1,732
    เหลือตั้ง8ปี จะไปสนใจอะไรมากมาย ถึงตอนนั้นเดี๋ยวก็มีคนเลื่อนอีก(มั้ง)

    ทำนายผิดก็บอกเลื่อน ไม่มีประโยชน์ หรอกครับ

    เพื่อนผมเคยบอกว่า ถ้ามันเกิด มันก็กิ้กเดียว ตายหมด ที่รอดก็รอดไป

    ตอนนี้ยังไม่เกิด ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินไปก่อน อีก8ปีถ้าเกิดจริง ต้องหาข้าวใส่ท้องอีกเป็นตัน

    อย่าไปร้อนใจในสิ่งที่ยังไม่เกิดเลยครับ ไม่เป็นประโยชน์
     
  19. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094
    ้เอ่อ ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นเนี่ย ใช่ว่าจะตายกันหมดนี่ครับ

    แล้วจะผิดแปลกตรงไหน ถ้ามีชาวพุทธที่รอดสืบทอดพระศาสนาต่อไป

    ส่วนอีกเรื่องคือการที่อ่านข่าวไม่ได้ศัพท์จับไปฆ่าตัวตาย เกี่ยวกับวันสิ้นโลกนี่ก็มีนะครับ

    แต่เป็นคนอินเดียในกรณีการทดลองเซิร์น คนไทยยังไม่ปรากฏ
     
  20. nattapong0925

    nattapong0925 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +165
    ยังมีเวลาอีกหลายปี ถ้ามันจะเกิดจริงๆนะ งั้นช่วงนี้ พวกเรามาทำมาหากินก่อนดีไหม ให้ท้องอิ่มๆไปเลย และเที่ยวดูธรรมชาติให้มากเข้าไว้ พอถึงช่วงนั้น อย่างน้อยตายไปจะได้นึกถึงว่า ก่อนตายเรากินซะท้องอิ่มมากเลย...มีความสุขสุดๆ ดีกว่าพอตายไปแล้วมานึกเสียดายว่าก่อนตายทำไมไม่หาความสุขก่อนเล่า หรือหากไม่ตาย จะได้เล่าให้คนรุ่นหลังต่อไปว่า ธรรมชาติในรุ่นเรามีความสวยงามเพียงไหน ดีป่ะ..
    มนุษย์ขี้เหม็นอย่างพวกเรา จะมีแรงไปสู้อะไรกับธรรมชาติได้เล่า...ปล่อยให้ธรรมชาติลงโทษมั่งก้อดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...