(นิทานก่อนนอน) กำเนิดสิงโตทะเล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย QuaOs, 18 มีนาคม 2012.

  1. QuaOs

    QuaOs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +480
    บันทึกที่สาปสูญฯ ตอน กำเนิดสิงโตทะเล
    โดย Qua'Os
    (5 เม.ย. 2554)


    เด็กน้อยเอย...เจ้าจะเดินหาอะไร จะวิ่งให้เหนื่อยไปทำไม?
    ไม่มีประโยชน์ดอก ไม่มีใครเหลือรอดอยู่ที่นี่แล้ว...


    แต่เด็กชายคนนั้น ไม่ฟัง ยังคงมุ่งไปด้วยอาการเหนื่อยหอบ ล้มลุกคลุกคลานบนผืนทราย เสียงคลื่นน้ำครืนครืนระงมรอบข้างฟังดูน่ากลัวเหลือเกิน

    ไม่มีร่องรอยของอาหารและหินแร่แก้วมณีอันอุดม ไม่มีร่องรอยของงานเลี้ยงสังสรรค์คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ที่เพิ่งเกิดขึ้นและผ่านไปบนชายหาดแห่งนี้

    ในที่สุดเขาก็มาถึงแท่นหินอันหนึ่งตั้งอยู่โดดเด่นกลางซากปรักหักพังคล้ายวิหารที่เคยครอบอยู่ แต่บัดนี้ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ส่วนมากจมอยู่ในทรายที่คลื่นน้ำกำลังซัดท่วม มีเสาสองต้นที่เหมือนเป็นหลักเขตวิหาร แต่ละต้นมีอักขระโบราณจารึกไว้เต็มไปหมด บนยอดบนสุดของเสาแต่ละต้น แกะสลักเป็นรูปสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ ต่ำลงมามีรูปสิงห์สี่ตัวรองรับหันหน้าไปตัวละทิศ

    ที่แท่นหินนั้นมีรอยสลักเด่นชัดด้วยอักขระโบราณอีกเช่นกัน แถวบนมีข้อความว่า
    อิอา เอ็นคี นุดิมมุด

    และอักขระแถวล่างจารึกไว้มีใจความว่า
    อดาปา ผู้กำราบลมพายุแห่งทะเลใต้ เป็นผู้สร้างแท่นบูชานี้ไว้

    เด็กน้อยก้าวเข้าไปด้วยท่าทีอ่อนแรง ฟุบหน้าลงกับพื้นก่อนถึงแท่นบูชา และสวดภาวนาอย่างที่เคยได้รับการสอนสั่ง

    "ข้าแต่พระบิดาผู้สถิตในห้วงสมุทรอันเก่าแก่ พระเมตตาและปัญญาญาณแห่งท่านลึกล้ำสุดหยั่ง
    ขอโปรดได้รับการขอบพระคุณจากปวงข้า ที่พระองค์ได้แสดงให้เห็นสัจธรรม
    พระองค์สั่งสอนเรา ณ ที่นี้ ด้วยพลานุภาพอันยิ่งใหญ่เกินพรรณา เพื่อให้เราถ่อมใจลง มิให้หลงระเริง มิให้อหังการ์
    แต่ให้สู้อดทนในศรัทธาแม้ผ่านคืนวันอันทุกข์ยากและสูญเสีย
    ดังที่ท้องทะเลเป็นทั้งครรภ์กำเนิดสรรพชีวิตจากความเปลือยเปล่า และก็เป็นทั้งสุสานที่สรรพชีวิตทั้งหลายจะต้องกลับไป
    ท้องทะเลได้ให้ทุกอย่างแก่เรา และก็ได้เรียกคืนทุกอย่างไปจากเราทั้งสิ้น!"

    เขานิ่งสงบใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อไป
    "และขอได้โปรดรับดวงวิญญาณของผู้ตาย ณ ที่นี้ไว้ในอ้อมกอดของท่าน
    ได้โปรดปลอบประโลมพวกเขาเหล่านั้นให้ได้พบสันติสุขตลอดไปด้วยเถิด"

    แล้วเมื่อเขาเงยหน้าจากท่าหมอบภาวนา ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นให้เห็นชัดแจ้ง
    จากพื้นวิหารที่น้ำทะเลกำลังจะท่วมอยู่นั้น มีต้นไม้ใหญ่งอกขึ้นปกคลุมไว้เหนือแท่นบูชา แตกกิ่งก้านสาขา ออกผลซึ่งดูสมบูรณ์ด้วยรูปร่าง มีสีสุกสว่างอยู่ทั่วทั้งต้นทั้งสิ้นสิบผล

    และพลันตัวเขาเองก็เจริญวัยเป็นชายหนุ่ม ผู้นั่งมองต้นไม้วิเศษนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยยังไม่อาจจะพูดกล่าวสิ่งใดออกมาได้

    จนกระทั่งเกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้นเบื้องหลัง กระตุกให้เขาหลุดจากห้วงภวังค์และต้องหันกลับไปมอง เมื่อป่าอันรกเรื้อริมหาดพลันถูกหักโค่นลงพร้อมเสียงสนั่นหวั่นไหวจนมองเห็นทัศนียภาพเปิดโล่ง กลุ่มบุคคลจำนวนมาก ทุกคนมีรูปร่างเหมือนๆ กันหมด สวมหน้ากากหรือที่ครอบศีรษะรูปทรงทึบทื่อเหมือนกันหมดจนมองไม่เห็นใบหน้า และแต่งกายในชุดเหมือนๆ กันหมด กำลังก้าวเดินเป็นจังหวะพร้อมเพรียง ดูเป็นระเบียบผิดปกติมนุษย์จนน่าขนลุก

    ตรงกลางขบวนเป็นเครื่องจักรกลขนาดใหญ่มีล้อเคลื่อนมาบนดินและหิน มีธงสีสดแสบตาผูกไว้ตามเสาโลหะที่ยื่นขึ้นมาจากจักรกลนั้นหลายเส้น ฝูงแมลงจำพวกเพลี้ยและตั๊กแตนที่มีร่างกายเป็นโลหะบินออกมาจากเครื่องจักรกล เหมือนกลุ่มหมอกสีดำทะมึน กลุ้มรุมลงแทะกินผืนป่าและไร่นาทั้งสิ้นที่มองเห็น และในชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ก็เหมือนความอุดมสมบูรณ์ทั้งมวลของแผ่นดินโลกถูกดูดซับจนแห้งเหือดไปต่อหน้าต่อตา

    พวกมันบินวนกลับเข้าไปในเครื่องจักรกล สวนกับอีกฝูงหนึ่งที่บินออกมา พลางเครื่องจักรนั้นก็เริ่มพ่นอาหารเป็นก้อนสี่เหลี่ยมสีคล้ำจำนวนมากออกมาเก็บในกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่มันลากไปด้วย คนที่คุมเครื่องจักรก็แจกจ่ายปันส่วนอาหารเหล่านั้นให้กับฝูงชนโดยรอบ

    จากนั้นมีท่อโลหะอันหนึ่งยื่นออกมาจากเครื่องจักรกล ขยับเคลื่อนไหวราวมีชีวิต เหมือนงูหรือหนอนที่มีจงอยปากของนก แล้วพ่นลูกศรไฟขนาดใหญ่ออกไป มันพุ่งแหวกอากาศโดยทิ้งไอควันสีเทาไว้ข้างหลังเป็นทางยาว และปักหัวเข้าใส่รูปเคารพขนาดยักษ์ที่ถูกสลักไว้อย่างประณีตบรรจงที่ริมหน้าผา จนมันแตกระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พร้อมเสียงโห่ร้องยินดีจากกลุ่มชนเบื้องล่าง
    "นั่นแหละ! นั่นแหละดี!" "ก้อนหินไร้ค่า" "ศรัทธามืดบอด!" "ของเล่นของพวกชนชั้นปกครอง จะเอาไว้ทำไม!"

    นักบวชผู้หนึ่งมานั่งประท้วง ปักหลักขวางทางเคลื่อนไปของเครื่องจักรนั้น ท่าทางสงบเด็ดเดี่ยวมั่นคง
    เครื่องจักรกลยืดท่อออกมา แล้วพ่นไฟเผานักบวชผู้นั้นเสียทั้งเป็นเหลือซากไหม้เกรียมที่ยังตั้งอยู่ แล้วล้อหนักของมันก็บดขยี้ต่อมาตามทางทับผ่านซากเถ้าของนักบวชอย่างไม่ไยดี

    มันเคลื่อนผ่านมาจนเข้าใกล้สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ชูยอดสูงขึ้นไป หุ้มด้วยทองคำเปล่งปลั่งอยู่โดยรอบจากฐานถึงยอด
    เครื่องจักรกลยืดท่อออกมา พ่นไฟเผาสิ่งก่อสร้างนั้นจนทองหลอมละลาย แล้วมีท่ออีกอันหนึ่งดูดทองเหล่านั้นเข้ามาในตัวเครื่องด้วยแรงลมจนเกือบหมด

    มันผ่านมาจนถึงกระท่อมน้อยอันหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษ ใกล้ชายหาดเข้ามาทุกขณะ แล้วมันก็ยื่นแขนกลออกมาจับกระท่อมนั้นรื้อทลายลงง่ายดายราวกับเด็ดผักหญ้า ภายในมีคนแก่ที่กำลังตัวสั่นงันงก ในมือกุมหนังสือเล่มเล็กๆ ที่บันทึกคำสอนของบูรพาจารย์
    คราวนี้เป็นพวกหมู่ชนที่เคลื่อนขบวนมากับเครื่องจักรกล ที่พากันกรูเข้าไปรุมทุบตีคนแก่นั้นไม่ยั้ง พลางพากันยื้อเอาหนังสือในมือ และกระชากเอารูปวาดที่ใส่กรอบติดอยู่ข้างฝากระท่อมมาฉีกเป็นริ้วๆ ตามด้วยเหยียบกระทืบให้จมดิน เพียงเวลาไม่นานเสียงร้องโหวกเหวกของคนแก่ก็เงียบไปก่อนเสียงหัวเราะสาแก่ใจของบรรดาผู้ลงมือ แต่พวกนั้นก็ยังไม่หยุด และพากันหิ้วร่างที่ปวกเปียกของคนแก่คนนั้นมายัดใส่ถังเหล็กขนาดใหญ่ ใช้เครื่องจักรเผาร่างจนไหม้เป็นเถ้าถ่านอยู่ข้างในถังนั้น แล้วก็ถีบถังที่ยังร้อนแดงให้กลิ้งลงมาตามเนินทรายจนลอยออกไปในทะเล

    ถึงตรงนั้นชายหนุ่มที่นั่งดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ใต้ต้นไม้วิเศษ ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องร้องตะโกนถามไปว่า
    "พวกเจ้าเป็นใคร?"

    หมู่ชนนั้นหันมา พูดเป็นจังหวะพร้อมกันบ้างก็ผลัดกันพูด เหมือนต่างพูดออกมาจากจิตสำนึกรวมอันเดียวกันแบบฝูงผึ้งหรือมด

    "เราคือมวลมหาประชาชนอันยิ่งใหญ่" "เพราะเราอยู่กันเป็นจำนวนมาก"
    "เจ้าจะถูกกลืนกิน การต้านทานอันใดจักไร้ผล"
    "เจ้าจะถูกกลืนกิน การต้านทานอันใดจักไร้ผล!"

    แล้วความสนใจของหมู่ชนนั้นก็เหมือนจะหันมาจับอยู่ที่ต้นไม้ข้างหลังชายหนุ่มอย่างกะทันหัน
    "ต้นไม้นั่น!" "ไม่น่าเชื่อ มันมีอยู่จริงหรือ?" "ผลของมันเป็นสิ่งที่ผู้คนแสวงหามาทุกยุคทุกสมัย" "ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มาพบที่นี่!"
    แล้วอยู่ๆ เครื่องจักรก็ส่งเสียงคำรามอีกครั้ง ตามด้วยเงื้อง่าแขนกลขนาดยักษ์ ยื่นข้ามหัวชายหนุ่มไปจับยึดส่วนบนของลำต้นไม้อย่างรวดเร็ว และเริ่มออกแรงดึงสะบัดทำท่าจะถอนขึ้นเสียทั้งราก

    ชายหนุ่มมีท่าทีตระหนก ร้องโวยวายขึ้นอีก *"เดี๋ยวก่อน ถ้าพวกเจ้าอยากกินผลไม้นี้ แล้วทำไมถึงคิดจะทำลายต้นไม้ที่ให้ผลอันนี้เล่า!?"*

    "เราไม่จำเป็นต้องใช้ต้นไม้พรรค์นี้!" "ขอแค่จักรกลวิเศษของเรากลืนกินต้นไม้รวมทั้งผลเข้าไป" "ก็จะรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับพืชพันธุ์ชนิดนี้" "และเมื่อมันสูบเอาแร่ธาตุกับเชื้อเพลิงที่อยู่ใต้ผืนทรายขึ้นมาได้" "ก็จะผลิตอาหารที่มีรสและสสารเช่นเดียวกับผลไม้นั้นออกมา" "ให้มวลชนหมู่มากได้กินกันอิ่มหนำอย่างไม่จำกัด!" "ไม่ต้องผ่านใครที่คอยเฝ้าต้นไม้อยู่อย่างพวกเจ้า" "และไม่ต้องปลูกต้นไม้ไว้ให้เกะกะอีกต่อไป!"

    ถึงตรงนี้เขาก็ต้องตะโกนออกมาเสียงลั่นด้วยความคับแค้น
    "พวกแกมันเอาแต่ได้ทั้งนั้น ไม่เคยคิดถึงใจคนอื่นเลย! พวกแกมันโสโครก! อย่าบังอาจมาแตะต้องพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราเป็นอันขาด!"

    เสียงหัวเราะหยุดลงไป พวกคนเหล่านั้นหันมาจ้องมองเขม็งเป็นสายตาเดียว บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
    "แท่นบูชาของเจ้าเล็กน้อยน่าสมเพช!" "ศรัทธาของเจ้าล้าสมัย" "ศรัทธาของเจ้านั้นถ่วงรั้ง"
    "ความซาบซึ้งใจของเจ้าล้วนไร้ค่า" "การบวงสรวงบูชาล้วนไร้ผล"
    "มีสิ่งใดเล่าศักดิ์สิทธิ์?" "มีผู้ใดเล่าล้ำเลิศน่าเทิดทูน?" "ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเท่าเทียมกัน เหมือนๆ กันหมดถึงจะถูก!"
    "อย่ามัวดักดานอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็นอีกเลย" "ในเมื่อสิ่งที่กินได้ จับต้องได้" "มาอยู่ต่อหน้าต่อตาให้เห็นชัดๆแล้ว!"
    "แล้วเจ้าจะรู้ว่า เจตจำนงและพลังแห่งมวลชนเท่านั้นเป็นสิ่งสูงสุด จริงแท้ เพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้!"

    พวกนั้นเริ่มแปรขบวน เหมือนสัตว์อะไรสักอย่างที่ไม่มีรูปร่างแน่นอน ที่ยืดขยายระยางค์ของมันออกมาสองข้าง โอบล้อมเป็นวงใกล้ตัวชายหนุ่มเข้ามา ในลักษณะเหมือนเตรียมจะกลืนกินเข้าไปจริงๆ
    "เพราะความคิดแตกต่าง แตกแถว แตกพวก นั้นเป็นอันตราย!" "จะนำพาให้ถึงความหลงใหลในอภิชนนิยม" "อาจถึงกับนำพาให้กลายเป็นพวกศักดินาอำมาตย์"
    "เราจะปลดปล่อยเจ้าจากความเชื่อที่ผิดๆ เช่นนั้นเอง" "เราจะนำความก้าวหน้า" "เราจะนำพาให้เจ้าตาสว่าง" "นี่คือภารกิจแห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ!"

    "เราอยู่ของเราที่นี่มาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว บรรพชนของเราก็ใช้ความพยายามสั่งสมทุกสิ่งทุกอย่างมาถึงพวกเรา เช่นที่บรรพชนของพวกแกในแผ่นดินใหญ่ก็สร้างอาณาจักรสืบทอดมาถึงพวกแกเหมือนกัน แล้วพวกแกถือสิทธิ์อะไรจะมาบังคับพวกเรา เรียกร้องเอาทุกอย่างจากพวกเรา!?" ชายผู้โดดเดี่ยวอยู่กลางวงล้อมโต้เถียงอีก

    "ถือสิทธิ์อะไรงั้นหรือ!?" น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูแทรกด้วยความโกรธแค้นที่พลุ่งขึ้น "พวกเราแพร่พันธุ์จนมีจำนวนมากหลายได้สำเร็จ" "แต่พวกแกยังคงมีจำนวนน้อยนิด พวกแกไม่เคยสู้ได้" "แต่โลกกลับมอบความอุดมสมบูรณ์ล้นเหลือให้กับพวกแกชาวทะเล!" "และยัดเยียดความแห้งแล้งอดอยากให้กับพวกเรามาตลอด!" "หากไม่ได้จักรกลอันยิ่งใหญ่นี้มา" "พวกเราก็คงตายไปมาก และที่เหลือยังอยู่ในสภาพน่าทุเรศ" "โลกนี้ไม่ยุติธรรม" "โลกนี้ติดหนี้เรา!"
    "พวกแกก็ยิ่งติดหนี้เราด้วย!" "นับตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้ว" "ภายใต้สัญลักษณ์สิงห์ที่มีสีต่างๆ นั้น" "พวกแกหลายคนแทรกซึมเข้ามาบ่อนทำลาย" "และขัดขวางระบบจักรกลแห่งมวลมหาประชาชน" "ไม่ให้ทำงานของมันเพื่อรับใช้ หาเลี้ยงพวกเราได้อย่างที่ควรจะเป็น!" "และพวกของแกนี่แหละที่ได้มีส่วนร่วมสำคัญ" "ในบรรดาพวกที่บุกเข้ามาทำลาย" "ส่วนหัวของจักรกลอันใหม่ล่าสุดของเราไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน!"

    "ก็เพราะพวกแกมันคิดแบบนี้น่ะสิ ถึงได้ถูกสาปแช่งจากพลานุภาพทั้งปวงในโลก! ก็เพราะพวกแกมันทำตัวแบบนี้นี่เอง แล้วใครมันจะยอมงอมืองอเท้าปล่อยให้มาเบียดเบียนข่มเหงเอาตามใจชอบได้เล่า!?"

    พวกนั้นพร้อมใจกันหัวเราะฟังดูเป็นเสียงหึ่งหึ่งด้วยทำนองเย้ยหยัน
    "จงดูรอบตัวแกเสียก่อน!"

    เขาเหลือบดูไปทางซ้ายขวาขณะที่หันหลังให้ท้องทะเล ก็เห็นเสาสิงห์สองต้นนั้น แต่มันดูคลอนแคลนเหมือนจะทรงตัวอยู่ได้อีกไม่นาน น้ำทะเลกำลังสูงขึ้นทุกครั้งที่คลื่นซัด จนใกล้จะท่วมหินแท่นบูชา และพื้นทรายตรงที่เขายืนอยู่ก็ยิ่งทรุดยวบเหมือนอ่อนตัวลง เนื้อที่ของเนินทรายส่วนที่อยู่หลังเสาสองต้นเหมือนยิ่งหดเล็กลงเรื่อยๆ ทุกขณะ

    "ถ้าหากวิถีทางของพวกแกเป็นทางถูกต้องจริงแล้ว" "ทำไมอาณาจักรแห่งท้องทะเลของพวกแกจะต้องพินาศ" "ในขณะที่เรายังคงยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงบนแผ่นดินใหญ่เล่า?" "น่าจะเป็นพวกแกต่างหากที่ถูกสาปแช่ง!" "แล้วบัดนี้เทพเจ้าของพวกแกไปไหนเสียเล่า?" "ถ้าหากมีจริง ศักดิ์สิทธิ์จริง แล้วทำไมไม่มาช่วยพวกแกให้พ้นภัย" "หรือมากระซิบบอกพวกแกให้รู้ชะตากรรมของตัวเองบ้าง??"
    เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

    "เห็นอะไรไหม?" "ถึงที่สุดแล้วพวกแกก็หนีไม่พ้นจะต้องมาขออาศัยพักพิงกับพวกเรา" "เหมือนกับที่พวกแกต้องพึ่งพาธัญญาหารที่พวกเราปลูกได้มากมายกว่าพวกแก" "เหมือนกับที่พวกแกที่ไปอยู่ในเมืองใหญ่ ต้องให้พวกเราขับขี่ยวดยานให้นั่ง" "ไม่อย่างนั้นพวกแกที่มีจำนวนน้อยนิด และเหลือผืนแผ่นดินอยู่แค่นี้" "ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้เองหรอก!"

    อีกฝ่ายหนึ่งนิ่งเงียบ ในแววตาแสดงว่าเริ่มรู้สึกเปล่าประโยชน์ที่จะโต้เถียงต่อไป แต่มือข้างหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเริ่มขยับเหมือนจะควานหาอาวุธโดยสัญชาตญาณ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เหน็บอาวุธอันใดติดตัวมาด้วย

    "จงสำนึกและกลับใจเสียเถอะ!" หมู่ชนนั้นสำทับอีก "จงยอมรับในสัจธรรม" "และกลับมาสู่อ้อมแขนของมวลมหาประชาชน" "จงละทิ้งฝั่งทรายที่กำลังจม" "และก้าวขึ้นมาสู่แผ่นดินที่สูง" "กลับมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา" "เจ้าจะเลือกอะไร? ความพินาศอย่างโดดเดี่ยว" "หรือความสุขความเจริญที่ไม่สิ้นสุดร่วมกับพวกเรา" "มาเถอะ ก่อนจะสายเกินไป!"

    หมู่ชนนั้นประกาศถ้อยคำสรุปปิดท้ายในลัทธิอุดมการณ์ของพวกตนดังอื้ออึง
    "แท้จริงทุกอย่างทุกสิ่งล้วนผลิตผลมวลชนสร้างทำ! เราเป็นเจ้าของสรรพชีวิน! เราเป็นเจ้าของแผ่นดิน! เราเป็นเจ้าของห้วงน้ำ-"

    แต่ถ้อยคำนั้นก็หยุดไปกะทันหัน พร้อมกับที่หมู่ชนนั้นพร้อมใจกันค่อยๆ ร่นขบวนขยับถอย เครื่องจักรกลส่งเสียงคำรามอีกครั้ง หดแขนกลกลับไปทั้งที่ยังถอนต้นไม้มากินไม่สำเร็จ และล้อค่อยๆ หมุนบดขยี้พื้นดินอ่อน ฉุดให้ตัวเครื่องขยับถอยห่างออกไปด้วย
    และพร้อมกับที่ทรายเปียกใต้ฝ่าเท้าทรุดยวบตัวลงอย่างแรงจนสองขาจมลงไปถึงเข่า และเสียงจากคลื่นน้ำดังกระหึ่มมากระทบโสตจากทางด้านหลัง หมู่ชนนั้นก็พากันวิ่งและกระโดดขึ้นเกาะบนเครื่องจักร ซึ่งกำลังห้อตะบึงด้วยความเร็วสูง นำทุกคนออกพ้นจากที่นั่นกลับไปสู่ในแผ่นดินใหญ่เสียสิ้น

    เขาผู้เหลืออยู่เพียงลำพังหันหลังกลับไปและมองเห็นความน่าพรั่นพรึงที่แท้จริง ชะตากรรมที่หลีกไม่พ้นอย่างแท้จริง กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา ยอดของมันเป็นพรายฟองเหมือนผีเสื้อสีขาวนับล้านกำลังเริงระบำอยู่บนกำแพงน้ำที่ม้วนตัวสูงเท่าเนินเขาลูกย่อมๆ
    ในชั่วขณะนั้นถ้อยคำหนึ่งปรากฎขึ้นมาในห้วงความคิดของเขาว่า
    "จงยอมสละแม้แต่ชีวิต เพื่อเป็นพยานพิทักษ์รักษาความชอบธรรม"

    เขาตัดสินใจหลับตากอดต้นไม้นั้นไว้แน่น ในขณะที่คลื่นมหึมาซัดโถม และทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็หมุนคว้าง ร่างของชายหนุ่มไม่ผิดอะไรกับเศษธุลีที่ปลิดปลิวไปตามแรงพิโรธของธรรมชาติ

    จนเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง...
    เขากำลังลอยตัวพาดเกาะต้นไม้ที่ถูกถอนขึ้นมาทั้งราก ทั่วทั้งต้นเปียกชุ่มและผลทั้งหลายก็หลุดออกไปหมดเว้นแต่สองผลที่อยู่ด้านล่างสุดใกล้โคนต้นเท่านั้น
    ฝั่งถอยร่นออกไปไกลลิบเบื้องหน้า และเหมือนฝั่งเดิมจะขาดออกเป็นเกาะใหญ่น้อยหลายเกาะในบริเวณนั้น
    แต่แม้ด้วยนัยน์ตาที่แสบจากน้ำทะเล แม้ในสภาพที่มึนงงและบอบช้ำ ก็ยังมองเห็นธงสีเดียวกับที่ผูกติดไว้ที่เครื่องจักรอันนั้น โบกสะบัดตามลม อยู่ประปรายตามยอดสูงสุดสายตา
    พลันเขาเกิดมีสติ ผงกศีรษะขึ้นมาเขม้นมองภาพเบื้องหน้า และกล่าวถ้อยคำสวดภาวนาอีกครั้ง

    "พระองค์เจ้าข้า โปรดสดับฟังคำของข้า ซึ่งกำลังพูดแทนบรรพชนและเพื่อนพี่น้องเราทั้งหลายเถิด!
    ขอพระองค์โปรดรับรู้ไว้ว่า พวกคนอธรรมเหล่านั้น ผู้ยกย่องเชิดชูจักรกลทรราชที่เหยียบย่ำทำลายโลกและความเป็นมนุษย์
    ได้ปักธงยึดเอายอดเขาและที่สูงในแผ่นดินใหญ่เป็นของตน ได้ครอบงำกลืนกินผู้คนจำนวนมากในแผ่นดินใหญ่ให้เป็นทาส
    ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว ที่คนบนภูเขาสร้างเขื่อนและคันกั้นกักน้ำมากมายมหาศาลไว้ใช้ แต่ผลกรรมตกอยู่กับคนชายฝั่งทะเล
    สมัยหลังมานี้เล่าพวกเขาก็มาบังคับจะสร้างโรงงานใหญ่โต สร้างท่าเรือออกไปขุด กอบเอาขุมทรัพย์มากหลายในทะเลไปเป็นของพวกเขา
    แต่ทำให้หาดทรายและน้ำทะเลเป็นพิษ ทำลายชีวิตลูกหลานของเราที่ชายฝั่ง
    ถึงวันนี้พวกเขายังมาอ้างพันธะเป็นบุญคุณมากมาย และหันมาเยาะเย้ยถากถางเราว่า เราจะไม่มีทางอยู่รอดผ่านมหันตภัยไปได้ หากไม่ยอมค้อมศีรษะลงสยบแก่พวกเขา ไม่ไปขออาศัยแผ่นดินของพวกเขาอยู่
    แต่สำหรับพวกเราชาวทะเลแล้ว หากต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้โซ่ตรวนเช่นนั้น ยอมตายเสียยังดีกว่า!"

    "ขอพระองค์โปรดจำไว้เถิดว่า คนเหล่านั้นได้ผลักไสประชาชาติที่จงรักภักดีต่อพระองค์ และปกครองดูแลโลกตามวิถีทางของพระองค์ ให้ไปตายในท้องทะเล!"

    ว่าแล้วเขายกมือขึ้นชูนิ้วหนึ่งทำสัญญาณใส่หมู่ชนบนแผ่นดินใหญ่ แล้วก็ออกแรงสะบัดขาตีน้ำนำพาขอนไม้ให้หันกลับทิศ จนตัวเขาหันหน้าออกไปเผชิญกับผืนน้ำเวิ้งว้างด้านตรงข้าม ภายใต้ฟ้ามืดมัวที่ยังไม่เห็นว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงจุดไหน

    แล้วชายผู้นั้นล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากในเสื้อ เป็นแผ่นจานดินเผารูปกลมแบน มีเส้นขอบวงกลมจารไว้ข้างใน มีเส้นรูปดาวห้าแฉกอยู่ในวงกลมนั้นอีกทีหนึ่ง นอกวงกลมที่ขอบจานมีอักขระโบราณจารึกถ้อยคำที่กล่าวถึงคุณความดีที่พึงมีของผู้ปกครองทั้งสิบ ในรูปห้าเหลี่ยมใจกลางของดาวห้าแฉกมีรูปโลมาตัวหนึ่งยกศีรษะชูจมูกตั้งขึ้นเหนือน้ำ มีแสงรัศมีเรืองรองออกมาจากปลายจมูกของมัน และโดยรอบภายในวงกลมมีรูปโลมาตัวเล็กอีกสิบสองตัว ในท่าว่ายวนตามเข็มนาฬิกาหกตัวสลับทวนเข็มนาฬิกาหกตัว จารึกอยู่สลับระหว่างแต่ละเส้นแฉกรูปดาวนั้น

    "ดูสิ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือแล้ว เหลือเพียงความฝันที่ชำรุดทรุดโทรม กับเศษเสี้ยวที่เหลืออยู่ของอาณาจักรเราเพียงชิ้นเล็กๆ นี้เท่านั้น
    ไม่ว่ามงกุฏอันรุ่งเรืองเป็นสง่าแห่งประชาชาติเรา ภูมิปัญญาและความรู้ความเข้าใจที่เคยสั่งสมกันมาก็สูญหายไป ความเมตตาของฟ้าสวรรค์ก็เหมือนจะหันหลังหนีจากเราไปแล้ว เดชานุภาพทั้งปวงก็สูญสิ้น แม้ความงาม ชัยชนะ และความรุ่งโรจน์ในครั้งอดีต ก็ไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว"

    "...แต่ใช่ว่าความหวังทั้งปวงจะสูญสลายสิ้นก็หาไม่!
    มาเถิด! มาเถิดจิตวิญญาณแห่งประชาชาติ จิตวิญญาณปู่ย่าตายาย บรรพชนทั้งหลาย และเพื่อนพี่น้องผองข้า!"
    พลันหลังจากที่เขากล่าวคำเรียกเชิญขณะที่ถือแผ่นจานอันนั้นอยู่ในมือ ก็เกิดมีลมพัดกรูเหมือนระดมมาจากทุกทิศ พร้อมด้วยสรรพเสียงเซ็งแซ่มาตามลมราวกับดวงวิญญาณนับหมื่นแสนขานรับตามคำเรียกนั้น ทำเอาขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    "ข้ามองไปไม่เห็นใครอื่นอีกแล้ว ข้าจะนำเอาแผ่นดินของเราชิ้นนี้แหละติดตัวไปด้วย
    แล้วหากอยู่รอดไปได้ หรือเมื่อใดที่มีโอกาสได้กลับมาสู่โลกนี้อีกครั้ง...
    ข้าก็จะขอใช้เศษเสี้ยวของพลังอำนาจในการสรรค์สร้างอันน้อยนิดเพียงใดก็ตามที่คงอยู่กับตัวข้า ร่วมกับพลังอำนาจและภูมิปัญญาของท่านทั้งหลาย ภายใต้การชี้นำทางจากพระบิดาเจ้าสมุทร
    ...จะสร้างอาณาจักรของเราขึ้นมาใหม่ พร้อมด้วยศิลปะวิทยาการและอารยธรรมทั้งปวงให้รุ่งเรืองยิ่งกว่าที่เคยมีให้ได้ ไม่ว่าจะนานเพียงใดก็ตาม
    เพื่อที่พงษ์พันธุ์ของเราจะไม่ต้องพบเจอการเบียดเบียนกดขี่และได้รับความอัปยศจากจักรกลอุบาทว์ชาติชั่ว และจากทรราชผู้มีจำนวนมากเหล่านั้นอีก
    ไปเถิด! ไปด้วยกันกับข้า ไปสู่แผ่นดินใหม่ด้วยกันเถิด..."


    ราตรีกาลผ่านพ้นไป...
    พร้อมกับการขึ้นมาของอรุณรุ่งวันใหม่ ได้มีสตรีผู้หนึ่งผิวสีน้ำตาลแดงคล้ำ ผุดขึ้นมาจากกลางท้องน้ำ
    บนไหล่ขวาของนาง มีสิงโตทะเลตัวเล็กๆ ทอดร่างพาดอยู่ ท่าทางปวกเปียกอ่อนล้าเต็มที จนดูแทบไม่ออกว่าเพียงแค่สลบไสล หรือได้ตายไปเสียแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...