นั้งสมาธิแล้วมันรู้สึกว่าตรงกลางระหว่าคิ้วมันกระตุกคับ

สวัดดีคับพอดีผมเป็นสมาชิกใหม่ของเวบนี้ ผมมีอาการอยากจะทราบจากการนั้งสมาธิอะคับ คือผมพึงฝึกนั้งสมาธิอะคับพอดีมีคนบอกให้ฝึกดู และผมก็รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นคนมีสมาธิสั้นด้วยเลยเริมฝึก ฝึกได้สัก ประมาน 2-3เดือนแล้ว โดยผมใช้การเพ้ง ตรงกลางระหว่าคิ้ว ฝึกอยู่แบบนี้ทุก วัน จนวัน 1 นั้งๆไปก็เริมรู้สึกว่าตรงกลางระหว่างคิ้วที่ผมเพ้ง อะคับ มันกระตุกแถมกระตุกรัวมาก ไม่รู้เพราะอะไร หรือว่าผมจะเพ้งมากไปจนกล้ามมันเกรงเลยกระตุก แต่ผมก็ไม้ได้เกรงอะไรมากนะคับไม่ได้เครียดอะไรด้วย แต่ไม่ได้เป็นบอยนะคับ ทุกวันนี้ก็รู้สึกบ้างไม่รู้สึกบ้างเวลานั้งสมาธิ แต่ตอนที่รู้สึกครั้งแรกนั้นชัดมากเลย อาการแบบนี้มันเพราะอะไร ใครรู้ช้วยบอกให้ผมทราบได้ใหมคับ

 

ผมก็เป็นครับผมเคยอ่านมา มันเป็นจักระไรนี่แหละวิธีแก้ง่ายๆ ไปเอาถ่าน (ถ่ายไฟฉายหรือใส่รีโมต) มาแตะไว้แค่นั้นอะครับจะหายเอง แล้วปฎิบัติต่อไปครับสาธุครับ

 

เอาก้นถ่านนะครับไปแตะ จะได้
และต่อไปอย่าไปรวมหรือเอาความรู้สึกไปไว้ที่ตรงนั้น
อย่าพยายามสนใจครับ

 

ผมว่าจะมีผลต่อระบบประสาทนะครับเพ่งตรงระหว่างคิ้ว เพราะตรงนั้นเป็นจุดรวมเส้นประสาทมากมาย ผมใคร่ขอแน่ะนำให้เพ่งตรงกลางระหว่างลูกตาทั้งสองข้างจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ได้มีโอกาสบรรลุธรรมขั้นชั้นพระอรหันต์เลยนะครับ ถ้าเพียรเพ่งอยู่เช่นนั้นไม่เชื่อลองทำดูได้ อย่าเพิ่งเชื่อผม หรือ ปฏิเสธผม แต่ให้ลองปฏิบัติดูก่อน ซึ่งจะเห็นผลการปฏิบัติได้ก็ต่อเมื่อสมาธิของคุณเข้าขั้นแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หรือ สภาวะของฌานสี่ แล้วเพ่งตรงกลางระหว่างดวงตาทั้งสอง ยกอารมณ์ขึ้นเพ่งอรูปฌานขึ้นไป จนถึงฌาน 9 แต่ระหว่างเพ่งไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นฌานอะไรหรอกครับ ทำให้มาก เพราะการเพ่งเป็นการรวบรวมกำลังของสติให้มีมาก เพ่งจี้ดับการปรุงแต่งของสังขารความคิด ตรงกลางระหว่างน้ยต์ตาทั้งสอง ไม่ต้องไปอยากรู้ว่าเป็นฌานอะไร เพราะขณะเพ่งอยู่เราจะยังไม่รู้ว่าเป็นฌานอะไร แต่ถ้าเราทำได้ไปถึงฌานที่9 และสภาวะของฌานที่ 9 คลายออก แล้วทรงสภาวะไว้ไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป นั่นแหละครับ ท่านจะรู้เองเลยว่าหมดหน้าที่จะไปถามใครอีกแล้วเป็นปัจจัตตัง แล้วท่านกลับมาย้อนดู ก็จะรู้ว่าตอนไหนเป็นฌานอะไร แต่จะทำแบบนั้นได้ก็ต้องเมื่อท่านทำถึงแล้ว ถ้าท่านทำตามวิธีนี้พระพุทธองค์ ทรงตรัสรับรองว่า อย่างเร็วไม่เกิน 7วัน อย่างกลางไม่เกิน 7 เดือน อย่างช้า ไม่เกิน 7 ปี

 

ขอบพระคุณมากคับที่ให้คำแนะนำ

 

กระตุกถ้ามันไม่ปวดทรมานก็ทำต่อได้นี่ครับไม่เป็นไร แต่ถ้าปวดก็ย้ายจุดได้ครับ

 

ผมลองมาเพ่ง ตรงกลางระหว่างด้วงตามันก็กระตุก เมือนกันคับ ย้ายจาก ระหว่างคิ้วมา แต่มันให้ความรู้สึกว่า เหมืนกับมีแมลง ไต่ลงมาอะคับ แถมยังรู้สึกเหมือนมันไต่ ขึ้นไต่ลง จาก ระหว่างคิ้วลงมาระหว่าง ดวงตา ด้วยไม่รู้ทำไม่หรือว่าผม คิดไปเองก็ไม่รู้ ผมไปอ่านกระ ทู้อื่นๆ มาเข้าว่า เราสามารถย้าย ความรู้สึก แบบนี้ไปตามส่วนต่างๆ ได้ด้วยใช้ไหมคับ จริงหรือ ปล่าว หรือ ว่าไอ้ความรู้สึกที่ว่ามัน เหมือนมี แมลงไต่ ขึ้นไต่ลง จะเกิด จากการที่จิตเราไม่ สะหบ อะคับ และอีก อย่างก่อนที่ผมจะรู้สึก ถึงการกระตุก ผมมักรู้สึก หวิวๆมึนๆ ก่อนทุกครังแต่รู้สึกแค่แปบเดียว แล้วหลังจากนั้นผมจะรู้สึกถึงการกระตุกและอาการหวิวๆที่ว่าก็จะหายไปอะคับ เป็นแบบนี้เกือบ จะทุกครั้ง

 

แค่กระตุกยังไม่เท่าไหร่นะครับท่าน มีผู้ทีทำถึงขนาดเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่หัวกระบาล จากการเพ่งตรงระหว่างนัยย์ตาทั้งสอง แต่ถ้าทำต่อไปไม่หยุดความเพียร อาการเหล่านี้จะละเอียดลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นสภาวะที่เขาเกิดจากการรวบรวมสติไว้ที่จุดมโนทวาร ก็คือจุดระหว่างนัยต์ตาทั้งสองข้าง แรกอานุภาพจะแรง เพราะเรายังไม่เคยรวบรวมไว้ที่จุดนี้แต่ถ้าทำไปเรื่อยๆไม่หยุด สภาวะจะเบาบางลงเหลือแค่ อาการที่มันวูบวาบ เหมือนมันดับนิโรธแบบยังไม่ถึงขั้น ขาดสันตติความสืบต่อของความคิดสังขารปรุงแต่ง เท่านัั้นเอง ทำไปเรื่อยๆเถอะครับ เมื่อสำเร็จแล้วท่านจะพบสิ่งที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น ที่ไม่เคยรู้ก็จะได้รู้
ที่บอกว่าไม่เคยเห็นจะได้เห็น คือเห็นด้วยญาณอันสุขุมคำภีรภาพ ที่ไม่เคยรู้ก็จะได้รู้คือรู้แจงแทงตลอดใน กิจ3 ญาณ 4 ปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิจจสมุปบาท ครับผม ขอยืนยันว่าจุดนี้จุดเดียวเท่านั้น ทำจุดอื่นไม่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เท่าจุดที่จะตัดสังขารความคิดปรุงแต่งให้เป็นสมุทเฉทปหาน เพราะมีผู้ทำถึงแล้ว และออกเผยแพร่สั่งสอนธรรม จนมีผู้บรรลุตามได้จริง แต่ท่านมรณภาพไปแล้ว เหลือแต่คำสั่งสอนทิ้งไว้ ตามแนวของพระพุทธเจ้าสมณโคดมโดยแท้ คือหลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล คนละคนกับหลวงปู่เทพโลกอุดรที่เป็นตำนานเล่าขาน ครับ แต่ที่ผมกล่าวถึงท่านเพราะผมเลื่อมใสในข้อวัตรปฏิบัติและคำสั่งสอนของท่านที่พิสูจน์ได้จริง และเห็นผลจริง สมกับเป็นพุทธโอรสของพระตถาคตโดยแท้...

 

ขอบพระคุณคับที่เข้ามาให้คำแนะน้ำ

 

เป็นคล้ายๆกันเลย ของผมแค่กำหนดรวมจิต แป๊ปเดียวก็เหมือนมีเม็ดเล็กๆไหลขึ้นลง แต่จะไหลขึ้นลงช่วงขมับครับ บางทีก็ซ่านลงมาจากตา เหมือนมีรูรั่วเย็นๆที่ตา ถ้าส่งจิตออกนอกจะไม่เป็นครับ ถ้าปล่อยตัวสบายๆรวมจิต นี่แรงดันมันจะมาอยู่ที่บริเวณกลางหน้าผากอัตโนมัติเลย

 

ขันธ์ ห้า มันทำงาน อย่าไปใส่ใจอะไรมาก ให้ดู อานาปานสติ ครับ
รู้ลมหายใจ ดีที่สุดครับ
สาธุครับ

 

อุบายการทำให้ถึงสมาธิขั้นฌานที่ 4 ที่เป็นจิตแน่วแนวตั้งมั่นมากนั้น ทำได้หลายวิธี อานาปาณสติก็เป็นพื้นฐานที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน แล้วแต่ทุกท่านถ้าทำแล้วเป็นสมาธิได้เร็วก็ทำเถิด เพื่อจะได้ต่อยอดไปสู่การเพ่งอารมณ์ตรงดั้งจมูกหักขึ้นไป ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ถึงมรรคผลนิพพานได้ เพราะมีจุดแห่งการเกิดและดับของสังขารความคิดที่จุดนี้ แล้วจะตัดให้ขาดได้ซึ่งสันตติความสืบต่อของสังขารความคิดก็ตรงจุดนี้ เป็นปัตจัตตัง ทำดูแล้วจึงเชื่อ อย่าเพิ่งปฏิเสธก่อนลงมือทำ แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่ก็นั้นแหละครับ ดั้งพุทธพจน์ที่ว่า ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม ผู้เห็นทุกข์จึงจะเห็นธรรม เป็นปริศนาธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้....

 

บางคนมองว่าเรื่องฌานเป็นเรื่องต่ำ แต่เรื่องฌานนั้นเป็นเรื่อง สำหรับคนที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกข์จริงๆ ฌานสมาบัติ 8 นั้นไม่อาจจะทำให้พ้นทุกข์ได้ ถ้ายังไม่ถึงฌานที่ 9 สัญญาเวทยิตนิโรธ คนที่ปฏิบัติได้ถึงแค่ฌานที่ 8 จึงถอดใจ คิดว่าเป็นเพียงแค่ฌานโลกีย์ ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร เพราะเขายังทำไม่ถึง ฌานที่ 9 เป็นฌานสูงสุดในพระพุทธศาสนา และอีกประการหนึ่งอาจจะเป็นไปด้วยว่าติดอยู่ที่ฌาน 8 เพราะปฏิบัติไม่ถูกต้องถูกวิธีจึงหาทางขึ้นสู่ฌานที่ 9 ได้ยาก จนนึกว่าเป็นทางตันเสียเเล้ว อันนี้ก็เป็นข้อสังเกตุอีกประการหนึ่ง

 

เวลานั้งแล้วร้างกายรู้สึก โยกโครง ก่อนเกิดอาการกระตุก มันเป็น เพราะอะไรเหลอคับ

แล้วมีอยู่ครัง 1 ที่ ผมนั้งแล้วรู้สึกเหมือน มีคนมานั้งขางๆดูเราอยู่ ที่รู้สึกนี้เพราะ ตอนผมนั้งผมนั้งเปิดพัดลม แล้ว จู่ๆก็รู้สึกมีมวลอากาศอุ่นๆ มาอยู่ข้างๆอะคับ ในมโนจิต รู้สึกเหมือนมีคนมานั้งดูผมอยู่แถมดู้เหมือนจะในระดับประชิดเลยด้วยรู้สึกเหมือนเข้ากำลังเป่าลมมาที่หูของผม

 

อาการคล้ายของผมเลย แต่ของผมเป็นเสียงคล้ายผึ้งบินมาเฉี่ยวหู ครั้งเดียว แล้วก็หายไปครับ...

เอาง่ายๆ..อย่าไปสนใจ..ปล่อยวางมันซะ อย่าพยายามไปสร้างความสงสัย เดี๋ยวตัวสงสัยจะเกิด..ทำให้คิดไปต่างๆ นานา เกิดการปรุงแต่งทางจิตไปกันใหญ่ครับ...

 

การเพ่ง.แบบวิธีที่คุณทำเป็น การสร้างทิพย์จักขุวิธีการหนึ่ง.หรือเป็นช่องทางในการมองเห็น
รูปแบบหนึ่ง..มาถึงวันนี้ถ้ารูสึกแค่หน่วง.แสดงว่ากำลังสมาธิสะสม
เริ่มมีมากขั้น.
ต่อไปอาจจะเหมือนหมุนๆได้หน่อย.คล้ายๆว่าจิตไปอยู่ตรง
นั้น..ถ้าอารมย์สมาธิคุณ ลึกขึ้น ตำแหน่งที่เพ่งจะขยายวงกว้างออกมานิด
หน่อยแต่ว่าจะไม่รู้สึกตึงอะไร.หรือบางครั้งอาจคล้ายๆว่า.ตำแหน่งนี้จะเยื้อง
ไปทางด้านขวานิดหน่อยครับ..
.ส่วนเรื่องสายฟ้าฝ่าแบบแป๊บๆ หรือคล้ายๆแมลงเป็นตัวๆอาจตัวเดียวหรือสามตัวที่เราหามิติของ
แมลงไม่ได้.. และต่อไปจะอาจจะเป็นสายฟ้าฝ่าแบบดังหูแทบแตก
หรือมีเสียงคนมาเรียก.แต่สังเกตุดีๆแล้วกันครับ เสียงพวกนี้จะกำเนิดภายในกระโหลก
พวกนี้ เป็นการทดสอบทางสมาธิทั้งนั้น และก็ไม่ใช่ระดับธรรมๆที่มาทดสอบ
ที่มาทดสอบเพื่อดูว่าเรา จะกลัว จะท้อ จะสงสัย จะเลิกไหม เพราะเรากำลังไปได้ด้วยดี..
เดี๋ยวอนาคตหน้า คุณจะสามารถมองเห็นอะไรๆได้ ผ่านตรงระหว่างคิ้ว.จะเหมือนๆว่าคิ้วเราเป็นโปรเจ็กเตอร์ฉายแสงออกไป
ปรากฏภาพ
ต่างๆให้เราเห็น..และถ้าคุณทำได้จะรู้สึกคันจุดนั้นอีกประมาณ ๒ - ๓ วันอาการก็จะปกติ
ได้ครับ..และต่อไปก็ใช้หลักการนี้ในการฝึกความาสามารถพิเศษต่อไปได้ในอนาคต​

 

ใช้ครับ หลังจาก ที่รู้ สึก ผมก็ไม่ให้ ความสนใจ ผมกลับมาเพ่งเหมือน เดิม คิด ว่าถ้าอะไรมันจะเกิดก็ปล่อบมันไป แล้วสักพัก ความรู้สึกที่ว่ามีคนมานั้งข้างๆก็หายไป ที่จริงผมก็เป็นคนกลัวผี นะ แต่อีกใจ 1 ก็กยากรู้อยากเห็น

เคยมีคนที่ สามารถเห็นผีมาที่บ้านผมครัง 1 เข้าว่า บ้านผม ผีเยอะมาก มี 6-7 ตนแหนะ 555 ผมก็ว่าอยู่ ทำไม ช่วงดึกๆ ถึงได้ยินเสียง คนเดินในบ้าน เหมือนเดินอยู่หลายคน ผมก็สงใสเหมือนกัน พอมีคนบอกแบบนั้นเลยกระจ่างเลย แต่ในเมื่อเขาไม่ ยุงกับเรา ผมก็เลยไม่ กลัวเท่าไหร ถ้าเข้า จะหลอก ป่านี้ คงโดนไปนานแล้ว และที่ผมฝึก สมาธิก็เพื่ออยากจะเห็นพวก เขาเพราะ 1 ในวินยาญพวกนันมี ยา ผมอยู่ด้วย เพราะคนที่เข้าเห็นผีเข้าว่ามีคนที่หน้าเหมือนในรูปถ่ายที่บ้านผม ซึ้งรูปนั้นก็คือรูป ยา ผมเอง

 

ถ้าคุณอยากเห็น ย่า ของคุณๆ คุณอุทิศส่วนกุศลแบบในใจแล้วส่งบุญให้ท่าน
และบอกว่าบุญนี้ ให้ให้เป็นกระแสเชื่อมเพื่อให้คุณย่าคุณปรากฏให้เห็นในนิมิตร
หรือในฝันก็ได้..หรือจะให้มาบอกว่าเป็นย่า คุณจริงๆหรือเปล่าก็ได้ครับ..เพราะ
ระดับวิญญานบรรพบรุษ
ปกติไม่ค่อยจะคุยเท่าไรครับ.เนื่องจากกำลังจิตยังไม่ค่อย
สูงเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร..ย้ำว่าแค่อยากเห็นหรือพูดคุยนะครับ.
แต่เป็นการแนะนำที่ไม่เหมาะสมเท่าไรครับ บอกไว้ก่อน.
สู้เรามาฝึกของเราไปเรื่อยๆ หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศล ไปเรือยๆจะดีกว่า จะทำให้สามารถเห็นในระดับที่สูงๆได้ยิ่งขึ้น​

 

ขอบคุณที่แนะนำครับ

 

ข้อสังเกตุนะครับ บางครั้งอาจจะเป็นด้วยอภิญญาเจตสิกโลกีย์ของบุคคลนั้นๆ ที่มันทศนิยมออกมาเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกครับ ถ้าเราไม่สนใจมันเสียใจจดจ่อกับกัมมัฏฐานของเราเท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะหายไปเองครับ