*ทิพยนิยาย*

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    “ไม่ต้องตายก็ไปสวรรค์ได้”

    จิตตัง ทิ้งสังขารให้รออยู่ในที่สงัดอันควร ก้าวเหยียบอากาศไปเพียงสามก้าว “น้อมจิตรำลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ” ก็ผ่านพ้นความหยาบกระด้างของบรรยากาศแห่งโลกียภพออกมาได้ พลันดวงจิตก็อุบัติเข้าในกายโปร่งใสซึ่งเขาได้อธิษฐานขอนิมิตให้ปรากฏอยู่ในลักษณะรูปมนุษย์เดิมที่กำลังนั่งรออยู่ในที่สงัดนั้น

    จิตกับรูปรวมกันเข้าเป็นกายใหม่ลักษณะเหมือนสังขารเดิมทุกประการแต่ปราศจากสรีระภายในทั้งสิ้น
    “เทพจิตตัง....เป็นนามทิพย์ของท่าน”

    เสียงทุ้มไพเราะกังวานแผ่วก้องขึ้นมาเองเป็นการจารึกรับจากอาณาจักรสวรรค์
    เทพจิตตังภายใต้พัสตราภรณ์สีขาวล้วน มิปรารถนาเครื่องถนิมอาภรณ์แต่ประการใด ลอยกายเหยียบหยุ่นบนพื้นนุ่มปานปุยสำลีรองรับอยู่เบื้องล่าง เบื้องบนฟากฟ้าเหนือหัวปรากฏมิสูงมิต่ำคละเคล้าเลื่อมพรายด้วยประกายรัศมีรุ้งแต่งแต้มระคนผสมผสานเรืองรองเปล่งรังสีบนภาคพื้นบรรยากาศแผ่ละอองละเอียดเย็นชื่นอยู่ทั่วไป จิตสัมผัสนึกถึงพันธุ์พฤกษ์ พลันไม้พุ่มใหญ่ใบละเอียดปรากฏ เป็นต้น เป็นพุ่ม เป็นแมกไม้รายเรียง เป็นหย่อม เป็นแนว งดงามแปลกตา สีสันของใบและดอกระคนแต้มแต่งด้วยสีรุ้งทั้งเจ็ดอันเป็นบรรยากาศแห่งฟากฟ้าสวรรค์ ไม้บางต้นมีผลกลมเท่ากันเป็นสีเงิน สีทอง โปร่งใสชูก้านเป็นรัศมีไปรอบพุ่มต้น มิได้ห้อยย้อยลงเบื้องล่างแต่ทิศเดียวเหมือนในโลกภพ

    “ลองสัมผัสทิพยรสผลไม้สวรรค์ตามปรารถนาเถิด” กระแสเสียงแผ่วเบาแต่ก้องกังวานปรากฏทันทีเมื่อเทพจิตตังเผลอคิดอยากลิ้มลอง

    ผลกลมสีทองใสจากต้นหนึ่งหลุดลอยเข้ามาแผ่ซ่านละลายหายไปในปากโดยมิต้องเคี้ยว รสชาติหวานหอมละมุนโอชายิ่งนัก ผลสีเงินจากอีกต้นหนึ่งหลุดลอยตามมาละลายหายเข้าไปอีก หอมหวานละมุนโอชาไปอีกแบบหนึ่ง ล้วนเป็นความอร่อยที่โปร่งใสเบาบางรู้สึกอิ่มเอมอยู่ที่อารมณ์เป็นจุดรับสัมผัส “อื..ม อาหารทิพย์เป็นอย่างนี้เอง” เทพอาคันตุกะรำพึง ปรารถนาจะชมสวนต่อไป กายของเขาก็ก้าวลอยไปเองช้าๆ ที่เบื้องหน้ามีสระบัวโบกขรณีอุบัติขึ้นมา บัวผัน บัวเผื่อน บัวแดง บัวขาว ม่วง เหลือง คราม ชมพู ลอยชูดอกดาษดื่นเหนือน้ำใสดารดาษเต็มไปทั่วสระใหญ่ เหมือนบัวแก้วสีสันเรื่อเรืองเป็นประกายออกมาเอง กลิ่นกรุ่นหอมเย็นจากยอดทิพยเกสรขจรอ่อนๆ ชื่นนาสิกให้หฤหรรษ์มิรู้เบื่อ ในสระนั้นมีแต่น้ำใสสะอาด และบัวดอกบานสะพรั่งเสมอกัน ไร้ใบและบัวโรยเพราะเป็นบัวอุบัติมิได้เกิดจากโคลนตม

    เขารำลึกพิจารณาเตือนความรู้สึก เท้าก้าวลอยไปช้าๆ ตามที่จิตประสงค์เป็นอัตโนมัติ รูปกายที่ไร้น้ำหนักในอาณาจักรที่ประณีตเหนือความหยาบไกลแรงดึงดูดของโลกมนุษย์เช่นนี้ การเหาะเหินเดินลอยจึงเป็นธรรมชาติธรรมดาของผู้สถิต เขาใคร่ครวญจากหลักความจริงในสภาวะแห่งความเป็นเทพการปรากฏในกายทิพย์ของเขาขณะนี้มาได้ด้วยอานุภาพของการเข้าสมาธิถอดจิตพึ่งบารมีแห่งพุทธคุณเป็นที่ตั้ง ชายหนุ่มจึงตระหนักในปัญญาได้แจ่มชัด ณ ที่นี้ว่า คนเราเมื่อรู้ตายก่อนจิตวิญญาณดวงสุดท้ายแตก ถ้าจิตนั้นมีสมาธิรู้อธิษฐานพุทธคุณเป็นที่ตั้งในขณะนั้นก็จะมาโอปปาติกะที่นี่ได้ตามประสงค์ “ผู้ไม่ประมาทพึงระลึกถึงพุทธคุณทุกขณะจิตเถิด”

    “ขอน้อมจิตอาศัยพุทธบารมีเป็นที่พึ่ง เพื่อขอพบ ขอรู้ ขอเห็น และสัมผัสสวรรค์ ณ เบื้องนี้ให้ชัด ให้ทั่ว ให้กว้าง เป็นการโน้มจิตประเทืองปัญญาข้าพเจ้าที่จะมุ่งมั่นไปสู่นิพพานในกาลต่อไปด้วยเถิด” นมัสการอธิษฐานจบ ปรากฏเสียงกังวานก้องมาทางเบื้องซ้าย “จงก้าวมาทางเบื้องซ้ายเพื่อจะเวียนรอบไปทางเบื้องขวา” กระต่ายสีทองตนหนึ่งปรากฏตัวยืนสองขาแหงนหน้ากล่าวเชื้อเชิญอยู่ที่ด้านข้าง จิตตังจำได้ว่าเป็นเจ้ากระต่ายน้อยสีน้ำตาลทองที่เขาเคยเลี้ยงไว้ด้วยความเมตตา และมันได้ตายมาหลายปีแล้ว “เจ้ากระต่ายน้อย เจ้ามาอยู่บนสวรรค์นี่เองหรือ” ก้มลงไปจะจับอุ้มด้วยความดีใจ แต่เจ้ากระต่ายน้อยนั้นลอยขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาเอง มันซุกไซ้หน้ากับแผ่นอกของเขาอย่างอบอุ่นและดีใจเหมือนสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ในมนุษยโลก สักครู่หนึ่งกระต่ายน้อยก็ลอยลงไปอยู่กับพื้นแล้วกลายรูปเป็นเทพหนุ่มในกายทิพย์ มีเครื่องประดับถนิมอาภรณ์งดงามเรืองรองประกายสุกใส

    “เราทิ้งสังขารจากกระต่ายคราวนั้นก็มาอุบัติเป็นเทพอยู่เบื้องนี้” เทพผู้งดงามในถนิมอาภรณ์สีทองแนะนำตน “เราดีใจเหลือเกินในความเป็นเทพของท่าน ขอให้ท่านจงเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป” จิตตังอวยพรด้วยปิติ “กุศลแห่งความเมตตาจงสนองตอบท่านเช่นกันเถิด” เทพบุตรกล่าวตอบด้วยปิติเสมอกัน “โปรดเรียกเราว่า “เทพมันตา” เทพบุตรแนะนำชื่อและค้อมคำนับพลางผายมือเชื้อเชิญให้ล่องลอยไปทางเบื้องหน้า เทพมันตาย่างเยื้องลอยล้ำหน้าเขาไปเล็กน้อยในทางด้านซ้าย “โปรดตามเรามายังวิมานทองสถานสถิตของเรา” พลันปรากฏประตูแก้วแกมทองแวววับอร่ามตาเบื้องหน้า จิตตังลอยตามผู้เป็นเจ้าของวิมานผ่านเข้าไปภายใน อาณาบริเวณมีเฉพาะซุ้มประตูยอดแหลมงดงาม บ่งบอกเขตกั้นเท่านั้น หามีกำแพงรั้วรอบไม่ พ้นผ่านประตูไปแล้วเป็นทางเดินถนนกว้างปูลาดแผ่นทองคำเรียบเสมอกันตรงดิ่งไปสู่วิมานปราสาทใหญ่ เห็นอยู่ในสายตามิใกล้มิไกล เท้าทั้งสองของเทพทั้งคู่สัมผัสผิวพื้นแผ่นทองคำ เขารู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยนมิกระด้างสักนิดเลย มัคคุเทศก์เทวดาผายมือชี้ชมไปทางเบื้องซ้าย “นั่นเป็นสวนพฤกษชาติในกุศลนิมิตของเรา” มีพันธุ์ไม้พฤกษชาตินานาชนิด ดอก ใบ ผลพวงโปร่งแสงโปร่งใสสุดสวยเป็นประกายทองตระการตา เป็นอาณาบริเวณกว้างไกลสุด ยังความเพลิดเพลินจำเริญใจแก่ผู้สัมผัสมิเปลี่ยนแปลง

    เบื้องขวามือจากขอบทางไปสุดฟากสวรรค์เป็นสระธารทิพย์กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตดั่งห้วงมหาสมุทรปริ่มน้ำเสมอพื้น สีน้ำมันก๊าดกระจ่างใสสะอาดราบเรียบราวแผ่นกระจก วิมานทองคำจึงตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ระหว่างกลางสวนพฤกษชาติที่เบื้องซ้าย และทะเลทิพย์ที่เบื้องขวาสันโดษรื่นรมย์เปล่งประกายรัศมีสีทองที่ปลายยอดนับร้อยนับพันยอดพุ่งเป็นเส้นสายทแยงตัดกันสว่างไสวขึ้นเบื้องบนดุจรัศมีอุษาโยคยามเช้า “นี่เอง...ความหฤหรรษ์แห่งสรวงสวรรค์” เทพจิตตัง รำพึงจารึกเพื่อจดจำ

    “เทพแดนนี้จะเสวยสุขมิเปลี่ยนแปลงในนิมิตประกายทองตามแรงกุศลมากน้อยยิ่งหย่อนกันด้วยผลบุญจนกว่าจะสิ้นกุศล....เชิญเถิด เชิญเข้ามาเสวยสุขชั่วคราวในวิมานทองของเราเถิด” เจ้าของอาณาจักรอธิบายและเชิญชวนอีกคำรบหนึ่ง.....



    ขึ้นสวรรค์ทิพยสถานมหาราชิกา หน้า 9 - 13
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=rMZWXtpiSig]เพลงบรรเลงจาตุมหาราชิกา Chatumaharajika relaxing music - YouTube[/ame]

    ภายในวิมานทองคำสวรรค์ เรืองรองเลื่อมพรายคล้ายแสงตะวันยามรุ่ง โผฏฐัพพากาศบริสุทธิ์เย็นชื่นเหมือนอากาศหลังฝนใหญ่ บุษบกทิพยอาสน์เป็นวิมานน้อยรองรับอาคันตุกะผู้มาเยือนภายในห้องโถงทองคำที่กว้างใหญ่ดั่งท้องพระโรงจอมราชา เพียงจิตสัมผัสรับทราบว่าเป็นอาสนะรับรอง กายละเอียดของเขาก็ลอยเลื่อนเข้าไปนั่งสถิตอยู่บนบุษบกนั้นตรงข้ามบุษบกแห่งผู้เป็นเจ้าของวิมานที่เบื้องหน้า

    “ก็คล้ายๆ ห้องรับแขกใหญ่ในคฤหาสน์แห่งมหาเศรษฐี” จิตตังคิดอยู่ในใจ ซึ่งนั่นเปรียบเสมือนคำพูดจากปากแห่งมนุษยโลก

    “อันที่จริงที่ปรากฏแก่จิตสัมผัสของท่านในยามนี้เป็นเพียงนิมิตที่ติดมาจากภาคพื้นโลกในลักษณาการอันละม้ายกัน แต่เทพสถิตเป็นนิจศีลประจำบนสวรรค์ ตัดโลกมาแล้ว หาจำเป็นต้องนิมิตบุษบกเป็นเครื่องรองรับแต่อย่างใดไม่” เทพมันตากถาธิบายเมื่อผู้มาเยือนเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในอารมณ์ จิตตังค้อมศีรษะน้อมรับ

    “ที่ปรากฏเห็นเป็นปราสาทวิมานและอาณาจักรอันงดงามตระการตาเป็นนิมิตทั้งสิ้นอย่างนั้นหรือ?” เขาถามออกไปด้วยจิตซึ่งเริ่มสว่างด้วยปัญญา “เป็นกุศลนิมิตของเทพทั้งสิ้น...พวกเราปรากฏอยู่ด้วยจิตนิมิตเป็นที่ตั้ง”

    “ เป็นเหมือนความฝันกระนั้นหรือ ” “ นิมิตแห่งสวรรค์มิใช่ความฝัน แต่เป็นความจริงมากกว่าในโลกมนุษย์” เทพมันตาอธิบาย จิตตังผู้มาเยือนจำต้องทบทวนความรู้สึกกลับยังงงๆ อยู่ “ ในโลกมนุษย์เป็นเพียงสิ่งสมมุติชั่วแวบเดียว ไม่เกินร้อยปีสำหรับชีวิตคนแล้วก็สลายไป แต่บนสวรรค์นี้ นิมิตให้อยู่ได้เป็นแสนเป็นล้านปี จึงเป็นความจริงที่ยิ่งกว่ามาก....” เทพมันตากล่าวช้าๆ แต่หนักแน่น

    “จริงสินะ” จิตตังยอมรับและเห็นจริง “แต่สวรรค์ก็มิใช่ความจริงอันแท้” เทพมันตาวิสัชนาต่อไป “สวรรค์ที่ประณีตยิ่งกว่า เป็นความจริงมากกว่า ส่วนความจริงที่แน่แท้ที่สุดอยู่เหนือสวรรค์ เหนือพรหม......นิพพาน เป็นความจริงอมตะ....นิพพานไม่มีวันสลาย....เป็นความจริงแน่แท้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...”

    จิตตังเพิ่งจะระลึกได้ เขารู้สึกว่าเหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่เดิมเขาไม่เคยคิดได้เช่นนี้เลย เขาคิดว่าในโลกมนุษย์ที่เขาอยู่เป็นของจริง มีตัวตนจริง เห็นด้วยตาจริงๆ จับต้องสัมผัสได้จริงๆ ทั้งสิ้น ส่วนคำว่า สวรรค์ นิพพาน ที่กล่าวกันแล้วกล่าวกันอีกในหมู่มนุษย์โลกเป็นเพียงความรู้สึก ความเชื่อถือ เปรียบเสมือนความฝันอันอาจไม่มีจริงก็ได้ เขาเคยคิดเช่นนั้น แต่มาบัดนี้ ขณะนี้ คำอธิบายของเทพมันตาเพียงสองสามประโยคเขาก็บรรลุเห็นจริงขึ้นมาทันทีว่า “ความจริง จริงๆ คือนิพพานอย่างเดียวนั่นเอง เพราะภาษามนุษย์มีความหมายไว้ชัดแจ้งแล้วว่า ความจริงคือความแน่แท้ไม่เปลี่ยนแปลง....ก็อะไรเล่าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ก็นิพพานเท่านั้นที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอีก” จิตตังยกมือพนมระหว่างอก....”อนุโมทนาสาธุ....ขอบพระคุณท่าน เราเข้าใจแล้ว”

    เขาเกิดปิติเพิ่มขึ้นมาอีก ดีใจและพอใจเหมือนผู้ประพฤติธรรมเกิดกระแสเข้าใจธรรมขึ้นอย่างแท้จริงได้ “ทำไมหนอ...มนุษย์ส่วนใหญ่จึงยังไม่เข้าใจถึงความจริงดังกล่าวนี้” รำพึงปรารภเชิงปุจฉาต่อ

    “คนอยู่ในโลกย่อมไม่รู้จักโลก มนุษย์ถ้าไม่ส่องกระจกย่อมไม่เห็นและรู้จักตนเอง” เทพมันตาเปรยวิสัชนาต่อไป ประโยคสั้นๆ ธรรมดาๆ ของเทพฟังแล้วเข้าใจกระจ่างแจ้งยิ่งนัก.... “ธรรมะ เป็นกระจกส่องโลก ผู้รู้จักธรรมะเป็นผู้รู้จักโลก” จิตตังจึงนิมิตประโยคความหมายออกมาจากความรู้สึกและรำพึง

    “ผองพวกมนุษย์เอย....โลกเราต่างหากที่เปรียบเสมือนความฝัน สรรพสิ่งทั้งมวลล้วนเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น เห็นอยู่เดี๋ยวเดียวก็สลายตายจากกันไป กาลเวลาร้อยปีในมนุษย์กับล้านๆ ปีในสวรรค์เปรียบเสมือนแฟลชไลท์จากกล้องถ่ายรูปที่สว่างพรึ่บขึ้นแวบเดียวแล้วก็ดับไป ชีวิตมนุษย์ช่างสั้นจริงๆ สั้นจนคนส่วนใหญ่ยังตั้งตัวไม่ได้ที่จะคิดถึงความจริงข้อนี้”

    “พระพุทธเจ้าหลายพระองค์จึงหวังช่วยให้มนุษย์เห็นความจริงดังกล่าว” เทพมันตาผู้สมบูรณ์ปัญญาเสริม
    “เหตุใดเล่า...ท่านผู้มีบุญจึงต้องไปเกิดเป็นกระต่ายในโลกมนุษย์ในครั้งก่อน” จิตตัง ถามความสงสัยที่ค้างอยู่ “ชาติก่อนโน้นเราเคยล่ากระต่ายด้วยความคึกคะนอง บางชาติเราเคยประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด เมื่อถึงวาระแห่งอกุศลกรรมตามทันเราจึงใช้กรรม เมื่อใช้กรรมคราวนั้นหมดจึงได้เสวยกุศลกรรม มันเป็นกฎแห่งกรรม ผู้ยังไม่หมดกรรมยังเวียนว่ายอยู่ในวงจรเช่นนี้ ถ้าหมดกรรมสิ้นอาสวกิเลสเมื่อไร ทั้งเราและท่านก็จะไปสถิตอยู่ในภาวะที่ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อนั้นเราจึงจะถึงความจริง”

    “ในวิมานนี้ ท่านสถิตแต่ผู้เดียวหรือ”
    “ตราบเมื่อเราประสงค์อยู่แต่ผู้เดียวเราก็อยู่แต่ผู้เดียว ตราบใดเราประสงค์มีเพื่อนเราก็จะมีเพื่อน ตราบใดเราประสงค์ญาติทิพย์เราก็มีญาติ ตราบใดเราประสงค์พวกพ้องบริวารเราก็จะมีบริวารตามที่เราประสงค์
    “อ้อ....เทวดามีความเป็นอยู่อย่างนี้เอง” จิตตังจารึกเพื่อจดจำ ในห้องโถงพระโรงทองคำที่เคยปรากฏเขาและเทพเจ้าของอยู่เพียงสองเท่านั้น...บัดนี้ ปรากฏบุษบกขึ้นที่ด้านซ้ายเทพมันตา รูปนิมิตที่สถิตอยู่บนทิพยอาสน์ เป็นเทพธิดาภายใต้เครื่องประดับถนิมอาภรณ์งดงามเกินพรรณนา ประกายถนิมอาภรณ์สร้อยสายเป็นรัศมีสีทองอ่อนแทรกประกายเงินในบางส่วน เทพธิดาแย้มยิ้มต้อนรับเขา เธอยิ้มด้วยปาก ยิ้มด้วยตา แต่ที่แน่ๆ ด้วยจิตต่างหาก กระแสจิตอันเป็นต้นรากแห่งรอยยิ้มปรากฏออกมาในความรู้สึกที่เป็นทิพย์

    “นี่คือเทพธิดา ผู้มีจิตปฏิพัทธ์แห่งเรา” เทพมันตาแนะนำ
    “คงหมายถึงภริยา” จิตตังพิจารณาในใจ
    “เรียกว่าเทพปฏิพัทธ์ หรือคู่ปฏิพัทธ์ จะเหมาะสม” เทพมันตาเสริมความหมายแล้วแจงต่อไป
    “เราทราบความข้องใจของท่านดี ที่จริงภพสวรรค์เป็นเพียงภพหนึ่งที่ยังอยู่ในวัฏสงสาร ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ยังอยู่ในวงจรกามภพเช่นเดียวกับโลกภพ เป็นแต่เพียงเป็นภพที่ละเอียดประณีตมั่นอยู่ในกุศลธรรมมากกว่า ภาวะแห่งจิตยังติดกิเลส แต่เบาบาง ภาวะแห่งกายแตกต่างกันไปที่เรียกกายทิพย์และกายหยาบ กายทิพย์ของเทพเทวดาไม่มีสรีระที่เป็นรูปธรรมสมมุติ แต่จิตของเทพสมบูรณ์ด้วยความรู้สึกคล้ายคลึงกัน เทพยังมีคู่ครอง ยังมีองค์ปฏิพัทธ์ ร่วมปิติในจิตกันและกัน เราได้ความสุขจากความรักด้วยจิตปฏิพัทธ์โดยไร้โผฏฐัพพะแห่งสรีระร่างกายเฉกมนุษย์ การร่วมคู่ครองของเทพจึงเปิดเผยไม่มีอุลามกสกปรกอนาจารที่จะต้องปกปิดการปฏิพัทธ์ คู่ครองของเทพไม่ใช่การสืบพันธุ์ก่อให้เกิดชีวิต กายทิพย์ที่นี่อุบัติขึ้นด้วยผลบุญเฉพาะตน ความผูกพันแห่งกุศลกรรมแต่ชาติปางก่อนในอดีตเป็นสายสัมพันธ์เชื่อมโยงให้มาเกี่ยวข้องเป็นคู่ เป็นญาติ เป็นเพื่อน เป็นพวกพ้อง บริวารกันได้โดยกฎกุศล เทพชั้นเรายังยึดมั่นติดมั่น มีเรา มีเขา มีพวก มีญาติ ในชั้นที่ละเอียดมากขึ้นไปจะลดสิ่งเหล่านี้ตามลำดับ จนถึงโลกแห่งความจริงจึงไม่มีเรามีเขา มีแต่สภาวะหลุดพ้นเช่นกันเหมือนกันหมดทั้งสิ้น...”

    “สาธุ....เราเข้าใจแล้ว” จิตตังพนมมือระหว่างอกอีก ปิติเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าใจล้ำลึกขึ้นมา
    “ถึงจะติดก็ติดสุข ติดรื่นรมย์...ติดสวรรค์เป็นอย่างนี้นี่เอง” เขาจารึกไว้ในใจ
    เทพธิดาเมื่อเสร็จกิจแนะนำตน เธอน้อมกายประนมไหว้แล้วลาลับหายไป

    ทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองนั้นเป็นความปรารถนาของมนุษย์ปุถุชน เพราะคิดว่านั่นคือทรัพย์สมบัติ คือความสุข...ส่วนเทพเทวดาทั้งหลายที่มุ่งอริยะปรารถนาเพียง “ผลบุญ” เป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าเพียงอย่างเดียว...



    ขึ้นสวรรค์ทิพยสถานมหาราชิกา หน้า 15 - 20
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    “การเสวยทิพยสุขของเทพบนสรวงสวรรค์นี้นานนับเป็นแสนเป็นล้านปี จะไม่มีวันเบื่อหน่ายบ้างเลยหรือ?” ผู้มาชั่วคราวยังติดใจไถ่ถาม เทพผู้สถิตยิ้มน้อยๆ “ที่นี่ไม่มีการเบื่อหน่าย มีแต่จะติด คือติดสุข เทพผู้ไม่เพียรหลุดพ้นจะติดสุข ติดรื่นรมย์ แม้จะนับแสนนับล้านนับโกฏิปี ก็ยังปรารถนาติดยึดมั่นที่จะสถิตอยู่ แต่ความสิ้นสุดกุศลกรรมต่างหากเป็นกรรมจุติแห่งเทพ”

    “เทวดาเป็นผู้ไม่มีทุกข์เลยหรือ?” จึงถามต่อไปอีก
    “เทวดายึดมั่นในหิริโอตตัปปะเป็นกมลวิสัย จึงเป็นผู้ห่างไกลความชั่ว ความทุกข์ในขณะเสวยสุขอยู่บนสวรรค์จะเป็นผู้ไม่มีทุกข์เลย....เว้นแต่....” เทพมันตาชะงักคำพูดหยุดอยู่ขณะหนึ่ง เหมือนไม่อยากจะเอ่ยถึงคำที่จะกล่าวต่อไปเมื่อตั้งจิตมั่นและเข้าอุเบกขา จึงกล่าวต่อ “.....เว้นแต่เมื่อถึงกาลหมดบุญ เทวดาจะเป็นทุกข์ใหญ่เมื่อถึงกาลสิ้นกุศล”

    “หิริโอตตัปปะฝังลึกอยู่ในกมลวิสัยของเทวดาจริงๆ
    จิตตังย้อนรำลึกถึงมนุษย์ชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง
    “ทำไมหนอ? มนุษย์จึงชอบเก็บความทุกข์ไว้ในจิต เก็บความชั่วช้าสามานย์ไว้ในใจ เก็บเจตนารมณ์ที่เป็นอกุศลไว้ในความรู้สึกนึกคิด สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งเป็นพิษแก่อารมณ์ตนเองทั้งสิ้น ในร่างกายเสียอีกถ้ากินของบูดของเสียเข้าไป ท้องจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบแสดงอาการขับไล่ออกมาเองเช่น อาเจียน ปวดมวน และขับถ่ายไล่มวลพิษร้ายออกจากร่างโดยเร็ว แต่ในจิตมนุษย์ทั้งๆ ที่ ง่ายเหลือเกินในการขับถ่ายความรู้สึกอกุศลออกไปเสีย แต่มนุษย์ส่วนมากกลับไม่ยอมสลัดปลดปล่อยมันไปง่ายๆ หนำซ้ำยังชอบที่จะเก็บ ที่จะยึด ที่จะยังความรู้สึกเหล่านั้นให้ติดแน่นอยู่ในอารมณ์ มันเป็นกรรมของมนุษย์เสียจริงๆ ทั้งๆ ที่มนุษย์ก็มีสิทธิ์เต็มที่เท่าเทียมกันกับเทวดาที่จะสลัดความทุกข์ความเศร้าหมอง ออกจากจิตตนได้โดยเสรี แต่มนุษย์กลับไม่ทำ...”

    เทพมันตาหัวเราะน้อยๆ เป็นการขบขัน กล่าวสอดแทรกความคิดคำนึงของจิตตังขึ้นมาในขณะนี้ “อารมณ์รำพึงของท่านในจุดนี้ มักจะเป็นบทสนทนาในภาวะขำขันเวทนา ประการหนึ่งของเทพอันมีกระแสความรู้สึกต่อปวงมนุษย์ทั้งหลาย เป็นความขบขัน ความแปลกใจ และความน่าสงสารของมนุษย์ที่มีกรรมเป็นเครื่องบดบังในประการนี้ เทพเล็งทราบได้แต่สงสารนิดหนึ่งในจิตแล้วก็อุเบกขาเสีย”

    ครู่หนึ่งต่อมา บุษบกทั้งคู่และท้องพระโรงอันตรธานหายไป เปลี่ยนสภาพเป็นศาลาใหญ่มีเรือนยอดมณฑปตั้งอยู่ตรงกลางพื้นชานภายใต้หลังคาสี่เหลี่ยมอันแวววาวไปด้วยทองและแก้วประกาย มีพานทองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางรองรับลูกแก้วกลมกระจ่างใสโปร่งแสงลอยอยู่เหนือพานเล็กน้อย บริเวณโดยรอบเรือนมณฑปเป็นชานกว้างทั้งสี่ด้าน บนพื้นชานทองคำที่กว้างขวางปรากฏเหล่าเทพบุตร เทพธิดานั่งล้อมวงกันอยู่เป็นหมู่ๆ ทั่วไป เหมือนกำลังล้อมวงเล่นหรือคุยกันเป็นที่สนุกสนานรื่นเริงทุกหมู่เหล่า

    “ผู้ใดใคร่สนทนาก็จับกลุ่มสนทนากัน ศาลานี้เปรียบเสมือนเป็นระเบียงเฉลียงภายในบ้านใหญ่ เทพเทวดาในวิมานของเราเพลิดเพลินกับการสนทนากัน มีดวงแก้วประเทืองปัญญาลอยอยู่เหนือพานทอง เมื่อตั้งจิตอธิษฐานไต่ถามก็จะทราบคำตอบตามสมควร เปรียบเสมือนตู้หนังสือใหญ่สำหรับห้องสมุดในเมืองมนุษย์ เป็นที่ให้ความรู้ที่เหนือยิ่งขึ้นไปตามกุศล”

    จิตตังจึงเห็นพวกพ้องของเทพมันตามีมากมายสุดคณานับ มิได้เปล่าเปลี่ยวเดียวดายเหมือนแต่แรก ทุกผู้ยิ้มแย้มแจ่มใสดูมีความสุขสำราญตลอดเวลา การสนทนาเป็นการเสวยสุขเพลิดเพลินอีกอย่างหนึ่งตามที่เทพมันตาอธิบายเมื่อกี้

    “เทพพึงใจที่จะสนทนาสิ่งใดกันหรือ?”
    “ทุกเรื่องในทางดีงาม”
    “ไม่มีทางชั่วบ้างเลยหรือ?”
    “ไม่มีเลย ในทางชั่วที่เป็นบาป”
    “คงราบเรียบ เรียบร้อยเหมือนฟังเทศน์กัน ไม่มีความสนุกตื่นเต้นบางเลยหรือ?”
    “สนุกเพลิดเพลินมากกว่าความสนุกตื่นเต้นของมนุษย์มากมาย ผู้ใดมีบทสนทนาที่ล้ำลึกละเอียดอ่อนประณีตเข้าไปในกุศลธรรมมากเพียงใด ผู้นั้นจะได้รับความสนใจจากผู้ร่วมสนทนาอย่างเต็มที่ นอกจากความสนุกสนานเพลิดเพลินที่จะได้รับแล้วยังได้ผลบุญอีกส่วนหนึ่งด้วย”
    “เป็นแสนปีล้านปีไม่สนทนาซ้ำซากอยู่กับเรื่องเก่าๆ เล่าแล้วเล่าอีก”
    “ทุกวันที่นี่เปลี่ยนแปลงเหมือนโลกภพ แต่เปลี่ยนแปลงในทางกุศลกรรม มีกุศลใหม่ๆ ให้เล่ากันได้ทุกวันและเป็นเรื่องแปลกน่าพึงฟังทุกวัน...ไม่มีวันจบ นอกจากถึงกาลนิพพานเมื่อไรนั้นแหละ”

    จิตตังพิจารณา “จริงสินะ ความเพลิดเพลินในกุศลเป็นความเพลิดเพลินที่มีความสุขมากกว่าอกุศลมากนัก สวรรค์เปลี่ยนแปลงไปในทางกุศลทุกขณะ ความเพลิดเพลินใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกเวลา ย่อมทำให้เทพปิติและติดสุขติดดีอยู่ด้วยเหตุนี้” เขายกมือขึ้นประนมระหว่างอก “สาธุ....เราเข้าใจแล้ว”

    สัมผัสเท้าแผ่วผิวเลื่อนลอยใกล้วงสนทนาวงหนึ่ง เทพบุตร เทพธิดาในวงนั้นประณตไหว้ให้คารวะ เทพมันตาและจิตตังไหว้ตอบ ทั้งสองหยุดอยู่ใกล้วงสนทนานั้น
    “เชิญเทพผู้ปล่อยสังขารมนุษย์หยุดไขปัญหาให้พวกเราก่อน โปรดตอบคำถามแก่เราสักประการหนึ่ง เรากำลังสนทนากันถึงโลกภพที่นานแล้วพวกเราไม่ได้สัมผัส” เทพธิดาองค์หนึ่งดีใจได้โอกาสขอไถ่ถาม เทพจิตตังค้อมคำนับเป็นการรับ
    “เราจะตอบได้เพียงเท่าที่ทราบ จงถามปัญหาที่เราพอจะทราบเถิด”
    “เป็นเพราะเหตุใดฤา เมื่อไม่นานมานี้พระสมณโคดมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งได้ทิ้งสังขารสิ้นกรรมทั้งหมด พ้นแล้วซึ่งอาสวกิเลสทั้งสิ้น แปรสภาพจิตเข้าสู่ฉัพพรรณรังสีเป็นภาวปรินิพพานอันเป็นความจริงเที่ยงแท้และเป็นยอดแห่งกุศลกรรมสูงสุดที่ประเสริฐยิ่ง พวกเราชาวสวรรค์พากันปลื้มปิติยินดีแซ่ซ้องสรรเสริญกันทั่วไป แต่มนุษย์ที่ใกล้ชิดพระพุทธองค์คราวนั้นกลับโศกเศร้าเสียใจก่นร้องไห้ระงมไปทั่วเล่า...”

    เทพจิตตัง ชะงักงันนิดหนึ่ง วิเคราะห์ใคร่ครวญคิดชั่วครู่
    “พุทธบริษัทแห่งองค์พระสมณโคดม สมเด็จอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังติดห่วงแห่งความรักและอาลัยเป็นสมมุติอยู่เหนือสัจจะความจริงแห่งธรรมะ เพราะรักและห่วงหารูปนามที่ปรากฏให้เห็นในสังขารแห่งพระองค์ท่าน ระลึกว่าเมื่อสิ้นสังขารที่เป็นยอดบูชาไปแล้วยากนักที่จะเห็นพระองค์ท่านอีก จึงเกิดความอาลัยเทวษเทวี พากันก่นร้องไห้ให้ระงมอยู่ทั่วไปในกาลนั้น”
    “สาธุ...เรากระจ่างในคำตอบของท่านแล้ว ขอเทพจิตตังท่านจงเจริญ” เทพบุตร เทพธิดา พร้อมกันสาธุการ ประณตไหว้คารวะแล้วสนทนากันต่อไป เ

    เทพมันตามีประกายปิติในกระแสรู้สึก
    “คำตอบของท่านเป็นกุศล คำตอบที่เทพทั้งหลายกระทำสาธุการแล้ว ชื่นชมเห็นชอบจะถูกจารึกไว้ในดวงแก้วเหนือพานทองนั้น เป็นสัจวิสัชนาที่ได้เตือนทิพยจิตแห่งทวยเทพให้ระลึกได้ว่ามนุษย์ยังตกอยู่ในกาลเวลาแห่งความหลงความติดเหมือนเช่นเดิม ชอบที่เหล่าทวยเทพจะเผื่อแผ่ให้ความเมตตาสงสาร หาวิธีช่วยดับความหลงความติดเฉกเช่นพระพุทธองค์ที่ทรงเสียสละมาหลายชาติเพื่อหาวิธีดับทุกข์ให้มนุษยชาติได้บางส่วนแล้วนั้น”

    จิตตังปรารภขึ้นในใจ “เราเองก็อยากจะถามปัญหาแก่เทพสักปัญหาหนึ่งเหมือนกัน”
    ทันใดเทพบุตรองค์หนึ่งในวงสนทนานั้นค้อมคำนับให้ และกล่าวว่า
    “เชิญท่านถามปัญหามาเถิด ถ้าเราเองตอบไม่ได้ พวกเราอื่นที่ตอบได้ก็จะตอบแทน”
    จิตตัง จึงถามปัญหาที่ค้างอยู่ในใจมานานแล้ว
    “มนุษย์ในภพเราซึ่งกระทำกิจอยู่ทุกวันเพราะปรารถนาทรัพย์สมบัติในลักษณะทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองเป็นที่ตั้ง เทพเทวดามีทรัพย์สมบัติเช่นดังกล่าวอยู่พร้อมมูลจนมิปรารถนาว่าเป็นของมีค่าแล้วอะไรเล่าที่เทพเทวดาปฏิบัติกิจกุศลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันปรารถนาเป็นทรัพย์สมบัติมีค่าแห่งตน”

    “ทรัพย์สมบัติอันมีค่าของเทวดามีอยู่อย่างเดียว คือผลบุญ”
    จิตตังกระจ่างแจ้งแน่แท้ขึ้นมาทันที เทวดาปรารถนาผลบุญไม่มีสิ้นสุด ผลบุญมากขึ้นเท่าใดความปีติในภพสวรรค์ที่สถิตอยู่ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น เทวดาปรารถนาภพสวรรค์ที่ละเอียดประณีตกว่าขึ้นไปอีก สุขในสวรรค์ซึ่งเกิดจากปีติแห่งกุศลเป็นเรื่องที่เทวดามักจะติด มักจะปรารถนา มักจะหลงใหล และโลภโมโทสันเพิ่มพูนขึ้นไป เหมือนความโลภของมนุษย์ที่โลภโมโทสันในทรัพย์สมบัติอันเป็นตัวสมมุติให้เป็นของมีค่า
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพการุณย์

    ความโลภ แม้จะโลภกุศลทรัพย์อันเป็นของมีค่าของเทวดาก็ถือเป็นกิเลสในโอฆสงสาร พระพุทธองค์เคยทรงเทศนาวิสัชนาแก่เทวดาว่า “เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ จึงข้ามโอฆะได้”

    จิตตังรำพึงในกระแสความรู้สึกมิได้ปรารถนาบอกกล่าวแก่ผู้ใดเลย แต่เทวดาทั้งหมดที่นั่งสนทนากันอยู่ทุกวงบนศาลาสนทนาธรรมนั้นได้ยินกระแสเสียงจากดวงแก้วประเทืองปัญญาเหนือพานทอง ดวงแก้วเปล่งประกายโปร่งใสกว่าปกติ แล้วกระแสความนึกคิดอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจากความรู้สึกของจิตตังก็วิ่งเข้าไปในดวงแก้วกระจายออกมาเหมือนเครื่องขยายเสียง

    “เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ จึงข้ามโอฆะได้”
    “สาธุ...สาธุ...สาธุ”
    เทพทั้งมวลหันไปประณตไหว้ดวงแก้วภายใต้ยอดมณฑปด้วยคารวะสูงสุด และสงบนิ่งอยู่ในลักษณาการเช่นนั้นนานชั่วครู่ใหญ่ ขณะที่ปวงเทพยืนประณตสงบนิ่งอยู่ช่วงหนึ่งนั้น เสียงทิพยสังคีตประโคมก้องไปทั่วบริเวณ ประกายรัศมีทองจากยอดปราสาทวิมานทั้งหมดและจากยอดมณฑปทั้งสิ้นก็เปล่งสว่างไสวเรืองรองวูบวาบขึ้นกว่าปกติ กลีบดอกไม้ทิพย์ปลิวว่อนไปในบรรยากาศเป็นสีแสงเรืองรองต่างๆ กัน ทำให้ท้องฟ้าสวรรค์เบื้องนั้นระยิบระยับตระการตายิ่งนัก เทวดาทั้งมวลพึงใจทั่วกัน

    เทพมันตาดูรู้สึกปีติยิ่งขึ้น เมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ปกติเช่นเดิมทั้งเทพมันตาและเทพบุตร เทพธิดา ก็หันมาทางเทพจิตตังเป็นทางเดียวกัน
    “สาธุ...ขอกุศลจงเพิ่มขึ้นแก่ท่านผู้เจริญ นานๆ จึงจะปรากฏผู้ถึงบุญหยิบยกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นมากล่าวบนสวรรค์ได้”
    จิตตังจึงระลึกได้ว่าเพราะคำกล่าวสัจธรรมของพระพุทธองค์ที่เขาปรารภขึ้นในใจนั่นเอง ชาวสวรรค์ถือเป็นสิ่งมีค่าสูงสุดอันพากันพึงใจ ปรากฏการณ์พึงใจแห่งสวรรค์จึงปรากฏขึ้นชั่วครู่แสดงความยินดีรับความพึงใจ และเป็นการบูชารำลึกถึงพุทธคุณอันสูงสุด

    “เป็นมหากุศลอย่างยิ่งที่ท่านได้ปรารภคำสอนของพระพุทธองค์อันมวลพุทธเทพทั้งหมดปรารถนา...” เทพมันตาอธิบาย
    “แม้จะทราบสัจธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่มากด้วยทิพยจิตแห่งเทพในพระพุทธศาสนาก็เป็นเพียงกุศลตามธรรมชาติ ธรรมดาของเทพเท่านั้นที่พึงได้รับอยู่ แต่ถ้าปรากฏผู้ถึงบุญใดนำมากล่าวย้ำชัดแจ้งจะทำให้ทวยเทพผู้พึงได้ยินเพิ่มมหากุศลขึ้นอีกมากนัก เมื่อท่านกล่าวโดยพวกเขามิได้ถามจึงถือเป็นการโปรดสัตว์เหมือนที่พระพุทธองค์ได้เคยโปรดเวไนยสัตว์ในโลกมนุษย์ การปรารภจากจิตของท่านเองครั้งนี้เป็นการเตือนสติเทวดาให้ระลึกขึ้นได้....อย่าติดโอฆะ อย่าติดโอฆะ จงปรารถนาข้ามโอฆะไปเถิด”

    เทพจิตตังกระจ่างปัญญาขึ้นมาอีก เขายกมือขึ้นประนมระหว่างอก
    “ขอมหากุศลที่เราได้รับอีกครั้งหนึ่งนี้จงแผ่ส่วนกุศลได้แด่ท่านด้วยกันทุกรูปนิมิตเถิด”
    “สาธุ....”
    ทั้งเทพมันตาและเทพอื่นๆ รับส่วนกุศลดีใจ เจริญใจทั่วไปในอาณาจักรแห่งเทพมันตา
    “จริงสินะ เหมือนมนุษย์ส่วนมากรู้ศีลห้ากันแทบทุกคน แต่จะปีติถึงบุญมากขึ้นก็ต่อเมื่อพระสงฆ์เจ้าท่านกล่าวให้รับศีลจึงจะรู้สึกได้บุญมากขึ้น”
    เทพมันตาเชิญชวนเทพจิตตังเลื่อนลอยไปรอบๆ ธรรมศาลา ผ่านไปทางหมู่สนทนาใด เทพทุกองค์ก็คารวะอย่างชื่นชม ทุกองค์รู้จักจิตตังยิ่งขึ้นในฐานะผู้ถึงบุญถึงพุทธคุณ จึงให้การคารวะยิ่งขึ้น

    ขณะหนึ่งที่เทพมันตาหยุดยืนอยู่ริมศาลาบนแผ่นพื้นทองคำอันอ่อนนุ่ม พลันปรากฏแสงเรืองรองประกายอ่อนๆ เป็นวงกลมขนาดสองคนโอบขึ้นบนพื้นศาลาใกล้เท้าเบื้องขวาแห่งเทพมันตาผู้เป็นใหญ่ในวิมาน แสงทองอ่อนวูบวาบเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่งก็อันตรธานหายไปแล้ว ปรากฏเรือนกายทิพย์เทพบุตรหนุ่มน้อยนั่งคุกเข่าประนมมือประณตไหว้เทพมันตาอยู่เบื้องนั้น

    เทพมันตาหยุดยืนนิ่งชั่วครู่ประนมมือไหว้ตอบ พลางกล่าวแผ่วเบาแต่ชัดเจน “เทพการุณย์ เป็นนามของท่าน....เรายินดีรับไว้เป็นพวกพ้อง ร่วมปฏิบัติกิจกุศลในอาณาจักรวิมานของเราต่อไป” เทพปรากฏใหม่ประณตไหว้จบศีรษะและค้อมกายลงกราบแทบเท้าผู้เป็นเจ้าของวิมานแล้วยืนขึ้นไหว้จิตตังอย่างนอบน้อม
    “เราขอคารวะท่านจิตตัง ท่านขึ้นมานานแล้วหรือ?” ถามทักเหมือนเคยรู้จักมาก่อน จิตตังยังสงสัย
    พลันกายทิพย์เทพหนุ่มน้อยผู้งดงามก็ปรากฏร่างเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นชายชราที่เขารู้จักดี
    “ลุงตรง”
    จิตตังอุทานเบาๆ แล้วร่างนั้นก็อุบัติเป็นเทพเช่นเดิม
    “ลุงตรงของท่านตายจากมนุษย์มาอุบัติเป็นเทพอยู่ร่วมกับเราบัดนี้” เทพมันตาช่วยอธิบาย เทพปรากฏใหม่ยิ้มน้อยๆ
    “ลุงตรงตายแล้ว”
    จิตตังอดที่จะอุทานต่อไปไม่ได้ แล้วก็ระลึกระงับความรู้สึกเสีย
    “ลุงตรงผู้มีจิตใจเมตตากรุณาต่อคนทั่วไปและสัตว์ เราจำได้ครั้งที่เราเป็นกระต่ายอยู่ในบ้านเทพจิตตังคราวนั้น ลุงตรงอยู่บ้านติดกัน เมื่อออกไปใส่บาตรพระยามเช้าหน้าบ้านแล้วมักจะก้มเด็ดยอดหญ้าอ่อนๆ ข้างทางมาฝากเราอยู่เสมอ” เทพมันตาย้อนรำลึกนิดหนึ่งแล้วหยุดอุเบกขาเสีย จิตตังมองเทพการุณย์อีกครั้งเหมือนจะจารึกไว้ในความทรงจำ ถนิมอาภรณ์แม้จะมีประกายอ่อนแสงแต่ก็สดสวยกว่าเพชรนิลจินดาในโลกภพมากนัก

    “ผลบุญปรากฏที่ถนิมอาภรณ์ประดับกายทิพย์ของเทพแต่ละองค์....อุบัติเทพปรากฏเช่นนี้เอง” รำพึงพิจารณาแล้วก็กระจ่างขึ้นมาอีกในปรากฏการณ์แห่งโลกสวรรค์

    เขากำลังนึกอะไรขึ้นได้อีกอย่างหนึ่ง เพราะอีกไม่นานนักคงจะต้องแยกจิตออกจากกายทิพย์เพื่อกลับเข้าสู่สังขารที่นั่งสงบรออยู่ริมป่าช้าวัดเมือง เขาเข้าสมาธิถอดจิตมาตั้งแต่ 5 ทุ่ม และกำหนดกลับเข้าสังขารเดิมไม่เกินตี 4 ขณะนี้จิตของเขาบอกเวลาเกือบตี 3 แล้ว

    “เราแด่เทพมันตา เรายินดียิ่งในความเป็นเทพที่สูงกุศลแห่งท่าน เป็นกุศลแห่งเราที่ได้มาสัมผัสด้วยพุทธคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเดี๋ยวเราจะต้องอำลาท่านไป เราทราบอยู่บ้างว่าการอุบัติเป็นเทพบนสวรรค์ สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคืออุเบกขา เทพต้องอุเบกขาวางเฉยในห่วงผูกพันที่มีในโลกภพ แต่เราจะขออนุญาตท่านสักประการหนึ่งในกรณีของเทพการุณย์หรือลุงตรง เพื่อนบ้านที่แสนดีของเรา เมื่อเราเข้าสู่สังขารเราจะพบญาติพี่น้องลุงตรงกำลังจัดงานศพอยู่ เพื่อเป็นการโน้มจิตมนุษยชาติที่ยังมีชีวิตอาจเห็นความจริงในสัจธรรมความเป็นไปของกามภพว่าสวรรค์มีจริงดังที่เราประสบ เราจะขออนุญาตบอกกล่าวลูกหลานลุงตรงว่าเราได้พบลุงตรงที่นี่แล้วให้เขาเข้าจิตรำลึกพุทธคุณอธิษฐานให้ฝันถึงที่นี่โดยที่เราจะไม่บอกอะไรก่อนเลย ขอให้ท่านเทพมันตาได้โปรดให้นิมิตในความฝันของลูกหลานลุงตรง ตรงกับที่เราได้ประสบนี้ด้วยเถิด”

    เทพมันตายิ้มน้อยๆ “กระแสประสงค์ของท่านเป็นกุศล มิได้ขอเพื่อแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ล่อใจมนุษยชาติแต่อย่างใด แต่เป็นการขอเพื่อโน้มจิตมนุษยชาติบางท่านที่อาจละทิฏฐิมานะลงแล้วเห็นสัจธรรมขึ้นได้ กุศลกรรมที่ท่านปรารถนาดังนี้ท่านย่อมกระทำได้ตามประสงค์ เราขอรับรอง” จิตตังยินดียิ่งนัก ยกมือประนม

    “สาธุ....ขอท่านจงเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป”
    เมื่อถึงกาลเวลาที่กำหนด จิตตังกำหนดจิตอำลาทวยเทพแห่งอาณาจักรเทพมันตาเข้าสู่ร่างที่นั่งทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในศาลาพักศพริมป่าช้าเป็นเวลาตี 4 พอดี เขาออกจากสมาธิแล้วแผ่กุศลครบถ้วนก่อนที่จะลุกขึ้นเดินสงบจงกรมออกจากป่าช้าวัดสู่บ้านเมื่อเวลาตี 5 กว่าๆ

    บ้านลุงตรงอยู่ติดกับบ้านของเขา ยังเปิดไฟสว่างอยู่ มีผู้คนพลุกพล่านตามสมควร ลูกหลานและญาติมิตรเพื่อนบ้านในละแวกนั้นตื่นขึ้นมาช่วยปลอบใจและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนเมื่อมีคนตายเกิดขึ้น จิตตังหรือจิต แวะขึ้นไปบนบ้านลุงตรง เข้าไปกราบที่ศพซึ่งยังนอนสงบอยู่ที่ระเบียง

    “พ่อสิ้นใจเมื่อเวลาตีสองสี่สิบห้านาที หยุดหายใจไปเฉยๆ หมอบอกว่าหัวใจวาย” ลูกสาวคนเล็กของลุงตรงเล่าให้ฟังขณะร้องไห้สะอึกสะอื้น
    “พ่อหนูไปสบายแล้วอย่าเสียใจไปเลย...เมื่อหมอมาตรวจและออกใบแพทย์ให้แล้วพรุ่งนี้ให้ใครก็ได้ไปแจ้งอำเภอตามระเบียบเสีย เอาศพไปวัด รดน้ำในตอนเย็นแล้วจะสวดกี่คืน จะเก็บหรือจะเผาก็ตามแต่ลูกหลานญาติพี่น้องจะตกลงกัน...อาขอบอกอีกครั้งหนึ่งว่าพ่อของหนูไปดีแล้ว ไปสู่สุคติภพ”

    หลังจากรดน้ำศพและสวดในคืนแรกเรียบร้อยตามพิธี จิต หนุ่มใหญ่ได้มอบซองจดหมายสีขาวปิดผนึกให้ลูกสาวลุงตรงไว้พร้อมทั้งเซ็นชื่อกำกับรอยที่ปิดผนึกไว้หลายรอยและกำชับว่า “ถ้าอยากทราบว่าพ่อของหนูไปสถิตอยู่ที่ใด คืนนี้ก่อนนอนให้รำลึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สวดมนต์และอธิษฐานขอให้ฝันถึงภพที่พ่อหนูไปสถิตอยู่ ณ ที่ใด กับใคร ตามแต่จะอธิษฐานเพื่อทราบความจริง และอย่าเปิดซองที่อาได้เขียนบันทึกไว้ให้จนกว่าจะพรุ่งนี้เช้า เมื่อหนูฝันแล้วนำมาเปรียบเทียบในบันทึกนี้เพื่อหนูจะได้เชื่อมั่นว่าพ่อของหนูไปอยู่ในสุคติภพแน่นอนแล้ว อย่าโศกเศร้าเสียใจให้เกินไป แล้วพยายามทำบุญทานให้ท่านและสร้างกรรมดีสำหรับหนูเอง เพราะ สุคติภพมีจริง”

    เช้ารุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งยังไม่ทันตี 4 ลูกสาวลุงตรงรีบมาเคาะประตูบ้านเรียกครูสมจิตอย่างเร่งร้อนซึ่งเขาตื่นขึ้นแต่งตัวเตรียมรับอยู่แล้ว
    “หนูฝันเห็นพ่อแล้ว!!! ชั้ดชัด พ่อเป็นเทพบุตรชื่อการุณย์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ขององค์เทพมีนามว่ามันตา เทพมันตาและพ่อยังบอกหนูว่าพยายามสร้างกุศลให้มากๆ มีอะไรให้ปรึกษาอาจิต อาจะช่วยหนูและคนทั่วๆ ไปให้เข้าถึงสวรรค์ได้ องค์เทพบอกด้วยว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นจงไปเคาะประตูเรียกและเล่าความฝันให้อาฟัง อากำลังนั่งรออยู่แล้ว”
    “ตรงกับบันทึกที่อาเขียนไว้ในจดหมายปิดผนึกรึเปล่าล่ะ” เขาย้อนถาม เด็กสาวนึกขึ้นได้จึงรีบกลับไปหยิบซองจดหมายกลับมาเปิดผนึกต่อหน้าผู้บันทึก โดยแสดงให้ดูว่ายังไม่ได้เปิดออกอ่านจริงๆ

    แน่นอนในบันทึกนั้นตรงกับที่ลูกสาวลุงตรงฝันทุกอย่าง เมื่ออ่านจบเธอก้มลงกราบชายหนุ่มในชุดสีขาวล้วน 3 ครั้ง เหมือนกราบพระ แล้วคฤหัสถ์ผู้รักษาศีลก็กล่าวขึ้นหนักแน่นว่า
    “สวรรค์มีจริงๆ นะหนู”



    ขึ้นสวรรค์ทิพยสถานมหาราชิกา หน้า 30 - 36
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    แดนสวรรค์ที่แสงอาทิตย์ส่องเพียงปลายแสง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=jbGokfb5oTE]เพลงบรรเลง ; สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ - YouTube[/ame]

    ทิพยสถานแห่งนี้ ลำแสงสุริยะทั้งหลายส่องสาดมาถึงเพียงปลายแสง ใช่ว่าจะอยู่ห่างไกลโดยระยะทางจนแสงส่องมาเกือบจะไม่ถึง เพียงเท่านั้นก็หามิใช่ แต่เป็นภูมิภพที่ละเอียดประณีตลึกล้ำเข้ามาเหนือความหยาบแทบจะไม่มีละอองอณูใดๆ เป็นสื่อกลางรับสัมผัสลำแสงให้ปรากฏได้อีกด้วยต่างหาก ความสว่างเยือกเย็นปรากฏเพียงแดดอ่อนผีตากผ้าอ้อมใกล้อัสดงคต คล้ายเคียงดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนถิ่นขั้วโลก คลุกเคล้าด้วยรัศมีสีทองเปล่งปลั่ง และประกายแก้วรัตนระยิบระยับแห่ภพภูมิแต่งแต้มอาณาเขตทิพยสถานดูวาววับเรืองรองอยู่ทั่วไป ที่นี่คือภพภูมิสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ละเอียดประณีตล้ำลึกขึ้นมายิ่งกว่ามหาราชิกาจตุราชเจ้าในแดนแรกมากนัก
    สังขารแห่งกายหยาบของฆราวาสจากโลกภพ มิอาจก้าวล่วงขึ้นมาถึงที่นี่ได้ นอกจากดวงจิตอันสำรวมแล้วจากจิตนับพันดวงในกายเนื้อ รวมเข้าสู่ความเป็นหนึ่งแห่งจิตดวงเดียวอย่างมั่นแม่น ทรงเป็นดวงสมาธิสัณฐานเท่าลูกมะขามป้อม หยุดอยู่ที่ความสงบ เพ่งเข้าสู่ความละเอียดภายในด้วยกำลังฌาน นิ่งสนิท ปรับแปรอย่างบรรจงให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น กำหนดจุดละเอียดที่จิตเพ่งนั้นให้เล็กลง เล็กลง จนไม่มีละอองธุลีแห่งความละเอียดเหลืออยู่เลย

    ณ เบื้องหน้าในจิตสมาธิ เป็นความว่างเปล่าโปร่งใส ความว่างเปล่าค่อยๆ ขยายขึ้น แผ่เป็นปริมณฑลรอบกาย รอบอาณาเขต ขยายกว้างไกลเป็นมหาปริมณฑลครอบคลุมความหยาบกระด้างของโลกภพจนหมดสิ้น เป็นมิติโปร่งใสเบาบางไร้ขอบเขต อธิษฐานโน้มจิตสมาธิดวงเดียว สถิตที่ศูนย์กลางกระหม่อมเป็นฐานมั่น แล้วบรรจงเคลื่อนเข้าสู่รูปกายทิพย์อันซ้อนอยู่ในกายหยาบ ยกกายทิพย์ประกอบด้วยจิตสมาธิออกมาจากกายหยาบเสีย พร้อมกับนำสายใยแห่งผัสสะหรือโผฏฐัพพะ คือเครื่องรับความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ติดขึ้นมาด้วย เพื่อบันทึกจารึกจำหลักทิพยสถานแห่งนี้ นำกลับลงไปเล่าขานสู่กันฟังในโลกภูมิบ้าง ก็จะเป็นประโยชน์และสนุกเพลิดเพลินเจริญใจตามควรแก่กุศลต่อไป
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สักกเทวราช

    นโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”

    ธรรม น้อมจิตรำลึกบูชาพุทธคุณพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมพระองค์นี้ พระองค์ผู้ซึ่งในอดีตกาลครั้งหนึ่งเคยบังเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช จอมเทพผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์สวรรค์เคยนำทวยเทพเทวดาทั้งหลายเข้าเฝ้าถวายบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์ซึ่งมีพระนามว่า พระธัมมาทัสสีพุทธเจ้า เมื่อหลายกัปกัลป์มาแล้วนั้น

    คำว่า “ท้าวสักกเทวราช” เป็นเพียงชื่อตำแหน่งเทวะผู้ครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันครอบคลุมลงไปถึงชั้นจาตุมหาราชด้วย ส่วนสมัยใดเทพองค์ใดที่จะอุปปาติกะเป็นท้าวสักกะ ก็เป็นไปตามมหากุศลของเทพผู้ถึงบุญอันควรแก่ตำแหน่งแต่ละยุคผลัดเปลี่ยนไปตามกุศลกรรมเป็นที่ตั้ง

    ปัจจุบันกาล ท้าวสักกะซึ่งเคยเข้าเฝ้าบูชาพุทธคุณพระธัมมทัสสีพุทธเจ้าดังได้กล่าว ได้ตรัสรู้เป็นพระสมณโคดมพุทธเจ้า เสด็จสู่ปรินิพพานเสวยสุขเป็นนิรันดรเหนือวงโคจรแห่งโลกธาตุไปแล้ว “สักกเทวราช” ผู้ครองดาวดึงส์ปัจจุบันสมัยเป็นเทพองค์ใหม่ผู้ถึงบุญมาแต่ใดเล่า...

    ชายหนุ่มผู้ใฝ่สัมผัสทิพยสถาน ตั้งจิตโน้มสัมผัสบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ นมัสการฉัพพรรณรังสีแห่งแห่งพระพุทธโคดม ดวงธรรมอันสถิตอยู่ในวิสุทธิภูมิ พลางอธิษฐานขอให้บังเกิดความกระจ่างรู้แจ้งเห็นจริงในวิปัสสนาญาณ สัมผัสความเป็นมาขององค์ท้าวสักกะ เทพองค์ปัจจุบันเฉพาะจักรวาล เพื่อความกระจ่างรู้แจ้งในสวรรค์แดนดาวดึงส์ให้ถ่องแท้ต่อไปเทอญ...


    แดนดาวดึงส์ หน้า 16 - 17
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ปราสาทไพชยันต์แห่งเทพนคร

    กายทิพย์โปร่งใสแต่ไร้แสงในลักษณะรูปกายเดิมของธรรม บำรุงศีล ล่องลอยเข้าสู่ปริมณฑลทิพยสถานมหาเทพนครอันมีปราสาทไพชยันต์งดงามตระหง่านง้ำยิ่งกว่าขุนเขา แวดล้อมด้วยสุธรรมาเทวสภาที่ลดหลั่นลงไป เคียงข้างด้วยต้นมหาปาริฉัตตกะที่ร่มรื่น มีแท่นปัณฑุกัมพลอยู่เบื้องล่างสวนทิพย์ที่เบื้องซ้ายขวาหน้าหลัง ปรากฏอยู่ในที่อันควรมีสวนนันทน์ สวนจิตรลดา สวนมิสสกะ และสวนปารุสก์

    เทพท้าวสักกะสถิตเสวยสุขอยู่ในมหาปราสาทนั้น เทพบุตรผู้เป็นใหญ่อีก 33 องค์ สถิตในปราสาทแห่งเดียวกัน พร้อมด้วยเทพธิดา บริจาริกา เทพบริวาร และเทพยนารีผู้มีทิพย์ในเชิงฟ้อน และดนตรีเป็นจำนวนมากมาย

    ธรรม บำรุงศีล ยังมิได้เข้าไปสัมผัสใกล้ชิด เนื่องจากรำลึกถึงปัญหาที่ค้างติดอยู่ในใจว่าจอมเทพและบริวารทั้งหลายเหล่านี้ได้บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งกุศลกรรมประการใด
    พลันเทพนครเบื้องหน้าก็อันตรธานไปสิ้น กายทิพย์ของเขาล่องลอยอยู่กับที่แต่มิติแห่งภพภูมิเบื้องหน้านั้นเปลี่ยนแปลงไป บรรยากาศที่เบาบางรู้สึกกระด้างและมีน้ำหนักขึ้น ความหยาบแห่งวัตถุธาตุต่างๆ รวมตัวกันมากเข้า อุณหภูมิอุ่นจนรู้สึกร้อนผะผ่าว ณ บัดนี้กายทิพย์ที่เคยเบาก็เกิดน้ำหนักลงมายืนเหยียบอยู่บนแผ่นดิน สายตามองเห็นภาพภูเขา ท้องฟ้า ต้นไม้ และทุ่งหญ้า มันเป็นภพภูมิ บนพื้นโลกนี่เอง ธรรมได้กลับมาสู่ความหยาบกระด้างในโลกภพอีกครั้งหนึ่ง
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    โลกภพก่อนพระศาสนา

    ณ สถานที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านชื่อ มจละ อยู่ในแคว้นมคธ ชมพูทวีป กาลเวลาย้อนไปก่อนที่พระสมณโคดมเกิดนานนัก ในขณะนั้นนัยว่า โลกภพกำลังอยู่ในระหว่างแผ่นดินว่างพระศาสนา

    ในหมู่บ้านมจละ มีผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าบ้าน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตั้งตนเป็นใหญ่เป็นหัวหน้าลูกบ้านด้วยอำนาจ มีมิจฉาหากินด้วยขูดรีดเบียดเบียนลูกบ้านเป็นต้นว่า เมื่อผู้ใดเข้าป่าล่าสัตว์มาได้ก็ต้องเอาเนื้อมาแบ่งส่วนหนึ่ง ใครทำมาค้าขายได้ทรัพย์สินก็ต้องเอามาเสียภาษีอาชญาบัตร ผู้ใดจะได้สิ่งใดก็แล้วแต่จะต้องนำมาแบ่งปันผู้ใหญ่บ้าน เป็นการเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอมา

    มาฆะ หนุ่มน้อยชาวบ้านผู้หนึ่งซึ่งรักความเป็นธรรมและมีจิตใจใฝ่อยู่ในศีลธรรม เป็นผู้มีจิตใจอารีอารอบเผื่อแผ่แก่เพื่อนบ้านจนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน มีเพื่อนรักใคร่นับถือกันเป็นจำนวนมาก เพื่อนหนุ่มหลายคนก็เหมือนคนหนุ่มทั่วๆ ไป ที่คึกคะนองดื่มเหล้าเที่ยวเตร่ และมีอาชีพล่าสัตว์บ้าง ฆ่าสัตว์ขายบ้าง แน่นอนเมื่อได้ทรัพย์สินแลกเปลี่ยนมาก็ต้องแบ่งส่วนหนึ่งนำไปให้ผู้ใหญ่บ้านซึ่งจ้องเก็บส่วยอยู่เป็นเนืองนิจ

    มาฆะ หนุ่มรูปงามผู้มีคุณธรรมประจำใจ เป็นผู้ที่รำลึกถึงธรรมฝ่ายกุศล เชื่อถือในบุญและความดี แม้ในโลกยุคนั้นจะไม่มีพระบรมศาสดาองค์ใดเป็นสรณะให้ยึดถือก็ตาม “การทำให้ผู้อื่นเป็นสุข น่าจะเป็นกุศลอย่างหนึ่ง”

    เขาเชื่อมั่นในตนเองเช่นนั้น ที่กลางหมู่บ้านอันเป็นชุมชนซึ่งผู้คนสัญจรไปมากันเป็นประจำ หนุ่มมาฆะสังเกตเห็นบริเวณนั้นเกะกะรกสกปรกรุงรังไปด้วยกองขยะมูลฝอย กองดินที่เรี่ยราดและสิ่งปฏิกูลต่างๆ ที่คนมักง่ายชอบเอามาโยนทิ้งเป็นที่เน่าเหม็นโสโครกน่าอุจาดตา เมื่อมีเวลาว่างในเช้าวันหนึ่ง หนุ่มน้อยแต่ผู้เดียวได้กระวีกระวาดเอาไม้กวาดไปกวาดกองขยะมูลฝอยเก็บกองปฏิกูลและเผาทิ้งจนบริเวณนั้นสะอาดสะอ้าน กลายเป็นที่รื่นรมย์น่านั่งน่ายืนน่าเดินตรงกันข้ามแต่เก่าก่อน ผู้คนก็พากันเข้ามานั่งยืนเดินด้วยความเป็นสุข ไม่ต้องเอามืออุดจมูก ไม่ต้องรีบสาวเท้าก้าวหนีไปให้พ้นๆ หรือไม่เข้ามาใกล้บริเวณสกปรกนั้นเหมือนที่แล้วๆ มา เห็นผู้คนเป็นสุขเช่นนั้น หนุ่มมาฆะก็เกิดปีติอยู่ในหัวใจ

    “เมื่อคนอื่นเป็นสุข เราก็เป็นสุขไปด้วย” รำพึงด้วยความยินดี และเป็นสุข พอย่างเข้าเขตหน้าหนาว เขตคามละแวกนั้นหนาวเหน็บยิ่งนัก ทั้งหนุ่มสาวเด็กเล็กคนเฒ่าคนแก่ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจนไม่ค่อยมีเครื่องนุ่งห่มกันหนาวเพียงพอ ต่างก็ได้แต่นั่งสั่นจับเจ่าด้วยความความหนาวเหน็บเจ็บแสบรอแสงตะวันซึ่งรู้สึกว่าจะขึ้นมาเยือนโลกนี้ช้าเหลือเกิน

    มาฆะหนุ่มเห็นเข้าก็เกิดความสงสารผู้คน จึงไปขนทรายมาเกลี่ยลงที่พื้นกลางหมู่บ้านเป็นบริเวณราบเรียบพอประมาณ แล้วขนกองฟืนมาก่อเป็นกองไฟให้ชาวบ้านนั่งผิวแก้หนาวยามย่างเข้าฤดูหนาวเป็นประจำ เมื่อชาวบ้านค่อยคลายหนาวเขาก็รู้สึกอบอุ่นใจตามไปด้วย

    วันหนึ่ง มาฆะได้เข้าไปในเมืองอันเป็นที่ประทับของพระราชาและข้าราชการผู้ใหญ่ พระราชาและอำมาตย์ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้คนให้ความเคารพเชื่อถือกันทั่วไป ขณะที่หนุ่มชาวบ้านนอกผ่านเข้ามาทางพระราชวังของราชา พระราชากำลังดำรัสอบรมสั่งสอนประชาชนอยู่ พระองค์อบรมให้ประชาชนทำดีประพฤติดีเป็นที่ตั้ง เมื่อตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรเหมือนเทพบุตรจันทร์ที่สถิตอยู่ในดวงจันทร์ และเทพบุตรสูรย์ที่สถิตอยู่ในดวงอาทิตย์ ฉะนั้น

    แวบหนึ่งที่เขาผ่านไปได้ยินคำอบรมสั่งสอนของพระราชามาฆะจดจำคำดำรัสของพระองค์อันเปรียบเสมือนศาสดาที่กล่าวถึงคำว่า “เทพบุตร” ในขณะเดินทางกลับมายังบ้านที่นอกเมืองก็เฝ้าแต่ครุ่นคิดมาตลอดทางว่า “เทพบุตรเหล่านั้นทำอะไรหนอ เมื่อตายไปจึงได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในดวงเดือน และดวงตะวัน

    ชายหนุ่มคิดไปพลางเดินไปผ่านทางสี่แยกอันเป็นที่มีคนมานัดพบปะกัน แต่ผู้คนเหล่านั้นต่างต้องยืนคุยกันอยู่กลางแดดอันร้อนระอุ ไม่มีที่นั่ง ไม่มีที่กันแดด ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสารผู้คนที่ตากแดดอันมีเปลวระยิบระยับอยู่

    “ผู้ที่จะไปบังเกิดเป็นเทพบุตรได้จะต้องเป็นผู้ที่ทำดีทำบุญเท่านั้น...ทำดีทำบุญอย่างไรเล่าจึงจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์” มาฆะครุ่นคิดต่อไป


    แดนดาวดึงส์ หน้า 18 - 21
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ทางไปสวรรค์

    เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มาฆะตื่นนอนแต่เช้าเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือเดินตรงไปยังสี่แยกนัดพบที่เขาผ่านมาเมื่อวานนี้ มาณพปรับพื้นที่บริเวณนั้นให้ราบเรียบเสมอดีแล้วจึงสร้างศาลาที่พักขึ้นตรงมุมแยกข้างหนึ่งขนาดตามสมควรแล้วขุดสระบัวทำสะพานตกแต่งบริเวณนั้นจนสวยงามและร่มรื่นยิ่งนัก เขาทำอยู่คนเดียวตลอดวันจนเสร็จเรียบร้อย ตะวันตกดินย่างเข้ามืดค่ำพอดีจึงเลิกงานกลับบ้านด้วยความปีติสำราญใจ
    ไม่หยุดยั้งลงเพียงเท่านั้น ผู้มีจิตศรัทธาถึงบุญมักจะไม่หยุดหย่อนในการทำบุญ เมื่อสร้างศาลาที่พักคนสัญจรตรงทางสี่แยกแห่งนั้นแล้ว ต่อมาไม่ว่าจะเห็นสถานที่ตรงไหนน่าจะสร้างศาลาอาคารให้เป็นที่พักที่รื่นรมย์ร่มเย็นเพื่อประโยชน์สุขของคนทั่วไปได้ มาณพมาฆะก็จะกระวีกระวาดทำทันทีตั้งแต่เช้ามืดจนเย็นค่ำเพื่อทำให้งานเสร็จภายในวันเดียวเป็นประจำจนเพื่อนบ้านสงสัยพากันสอบถามว่า
    “นี่แน่ะ...เพื่อนมาฆะ เห็นท่านออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าตกเย็นจึงกลับเข้าบ้านบ่อยๆ ท่านไปทำงานอะไรมาหรือ”
    “เราออกไปแผ้วถางทางไปสวรรค์ เราออกไปทำบุญทำที่พักที่พำนักให้ผู้อื่นที่สัญจรไปมามีที่หลบแดดหลบฝน เราทำให้คนอื่นได้รับความสะดวกความสุข เราเชื่อว่าเป็นการทำดีทำบุญ เราทำเช่นนั้นเป็นอานิสงส์จะทำให้ได้ไปสวรรค์”
    เพื่อนผู้กังขาได้ฟังก็มีความรู้สึกในกุศลธรรม เกิดศรัทธาอยากจะทำบ้าง
    “การทำบุญเพื่อนำสู่สวรรค์นี้เหมาะแก่ท่านแต่ผู้เดียวหรือผู้อื่นจะทำได้บ้าง” เพื่อนผู้ยังไม่พบพระศาสนาเช่นกันสอบถามด้วยความสงสัย
    “เราเชื่อว่าขึ้นชื่อว่าบุญ คือการทำดีนี้ไม่เป็นสมบัติเฉพาะตัวของใครหรอก ใครๆ ก็ทำได้ไม่สงวนไม่กีดกัน ใครๆ เราเชื่อมั่นเช่นนั้น ถ้าท่านอยากจะทำบ้างก็เชิญท่านทำได้ตามใจศรัทธาเถิด”
    “ถ้าเช่นนั้นคราวต่อไปเมื่อท่านจะออกไปสร้างศาลาที่พักที่ใดจงบอกเราด้วย พวกเราปรารถนาจะทำบุญเช่นกัน เราจะไปช่วยท่าน ช่วยกันทำทางไปสวรรค์”
    เพื่อนผู้มีจิตศรัทธาได้บอกเล่ากันต่อๆ ไปให้เพื่อนที่เอาเวลาไปเที่ยวเตร่ ดื่มเหล้า ฆ่าสัตว์โดยเปล่าประโยชน์นั้นมาร่วมมือกับเพื่อนมาฆะอันเป็นปิยมิตรไปสร้างกุศลกันดีกว่า นับจากนั้นก็มีชายหนุ่มฉกรรจ์ในหมู่บ้านซึ่งเป็นเพื่อนของมาฆะเข้าสมัครเป็นทีมเวิร์กในการทำกิจกรรมด้วยความเต็มใจอีก 33 คน เพื่อแสวงหาที่อันสมควรสร้างศาลาที่พัก ขุดสระบัว และสร้างสะพานให้เป็นที่รื่นรมย์เป็นสาธารณกุศล โดยกำหนดกันไว้ว่างานแต่ละแห่งจะต้องช่วยกันสร้างให้เสร็จภายในวันเดียวเท่านั้น
    เมื่อกลุ่มหนุ่มฉกรรจ์ส่วนใหญ่ในหมู่บ้านร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อสาธารณกุศลเป็นที่ตั้ง พวกเขาเหล่านั้นจึงพากันเลิกอบายมุขทั้งหลาย เลิกดื่มเหล้า เลิกฆ่าสัตว์ เลิกเที่ยวเตร่และเลิกประกอบอาชีพที่หารายได้ง่ายๆ โดยการเบียดเบียนผู้อื่นทั้งสิ้น
    ร้อนถึงผู้ใหญ่บ้านกังฉิน ผู้เคยได้เก็บส่วยจากผู้ประพฤติมิจฉาชีพมาเป็นประจำนมนาน เมื่อหนุ่มพวกนี้หันหน้าเข้าทำบุญกันไม่มีรายได้จากมิจฉาที่จะนำมาแบ่งปันผู้ใหญ่บ้านก็ขาดรายได้ลง เขาจึงวางแผนที่จะทำลายทีมเวิร์กนักบุญของมาฆะมาณพเสีย
    ผู้ใหญ่บ้านกังฉินเข้าเฝ้าพระราชาปั้นเรื่องใส่ความทีมนักบุญเหล่านั้นว่า
    “ข้าแต่พระราชา ข้าพระพุทธเจ้าได้พบกองโจรที่วางแผนจะประทุษร้ายต่อพระองค์พระเจ้าข้า”
    พระราชาตรัสถามว่า “มันเป็นโจรพวกไหนกันเล่า”
    “พวกชาวบ้านในหมู่บ้านที่ข้าพระพุทธเจ้าดูแลอยู่พระเจ้าข้า”
    พระราชาทรงเชื่อ ไม่คิดว่าผู้ใหญ่บ้านจะกล้าปั้นเรื่องขึ้นกราบทูล จึงสั่งให้กองกำลังไปกับผู้ใหญ่บ้านผู้นั้น จับโจรมาให้ได้เพื่อนำมาลงโทษฐานที่คิดเป็นขบถ
    เย็นวันนั้นหลังจากที่ทีมนักบุญทั้ง 34 คน กลับจากกิจสาธารณกุศลประจำวันแล้วมารวมนั่งรับประทานอาหารเย็นอยู่ที่บ้าน ผู้ร่วมกิจผู้หนึ่งกลางหมู่บ้าน และกำลังปรึกษากันว่าพรุ่งนี้จะทำกิจอันเป็นสาธารณกุศลเช่นนี้ที่ไหนกันดี ขณะนั้นผู้ใหญ่บ้านก็นำกองกำลังเข้าล้อมไว้พลางตะโกนสำทับ
    “นี่เป็นกองกำลังจากพระราชา พวกเจ้าทั้งหมดอย่าขยับเขยื้อนและต่อสู้เป็นอันขาด พระราชาสั่งให้มาจับพวกเจ้าทั้งหมด จงยอมจำนนเสียดีๆ ฐานที่พวกเจ้าเป็นโจรขบถต่อพระราชา”
    ทีมนักบำเพ็ญบุญซึ่งมีมาฆะหนุ่มเป็นหัวหน้างงเป็นไก่ตาแตก ทั้งหมดคงอยู่ในอาการสงบเมื่อเหลือบมาเห็นผู้ใหญ่บ้านของเขานั่นเองเป็นผู้นำกองกำลังของพระราชามาจับ เขาก็พอจะเข้าใจพฤติการณ์ของหัวหน้าหมู่บ้านกังฉินได้ เมื่อเป็นคำสั่งพระราชาทุกคนก็จำนนยอมให้จับแต่โดยดี ทั้งหมดถูกมัดแล้วถูกลากจูงนำไปให้พระราชา
    พวกชาวบ้านร้านค้าในละแวกนั้น ทั้งภรรยาของทีมนักบุญทั้งหลายเมื่อได้ฟังหมายจับของพระราชาแจ้งว่าบรรดาสามีของตนเป็นโจรคบคิดกันขบถก็พากันสมน้ำหน้า
    “สามีของเราทั้งหมดที่แท้ก็เป็นโจรขบถต่อพระราชานี่เอง พวกเราเห็นพฤติการณ์มานานแล้ว วันๆ หนึ่งมีแต่พูดว่าออกไปทำบุญแล้วก็พากันไปมั่วสุมคบคิดวางแผนจะทำร้ายพระราชาตั้งแต่เช้ามืดกลับเข้าบ้านมืดค่ำทุกวัน งานการในบ้านจะช่วยเหลือเจือจุนสักนิดก็ไม่มี เราเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าผัวเราเป็นคนร้ายคิดกำเริบเสิบสานมักใหญ่ใฝ่สูง ดีแล้ว ถูกจับไปเสียให้หมดก็ดี”
    แทนที่จะสอบถามและเป็นห่วงผัวตนตามวิสัย กลับพากันซ้ำเติมสมน้ำหน้าเสียอีก นี่แหล่ะมนุษย์ผู้เต็มไปด้วยอวิชชาครอบงำ แต่ในที่นั้นภรรยาของมาฆะผู้เป็นหัวหน้ามิได้ร่วมอยู่ด้วย
    กลุ่มหนุ่มฉกรรจ์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นขบถทั้งหมดถูกนำไปมอบให้พระราชา พระราชายังไม่ทันได้สอบสวนความจริงด้วยทรงเชื่อมั่นตามคำของผู้ใหญ่บ้าน และด้วยโมหะโทสะจึงตรัสสั่งให้ลงโทษโจรทั้งหมดทันที
    “เอาช้างมาเหยียบให้มันตายทั้งหมด” พระราชาตรัสสั่ง
    มาฆะผู้เป็นหัวหน้าได้บอกกล่าวกับเพื่อนทั้งหมดว่า
    “เพื่อนเราทุกคน จงทำใจไว้ให้ถึงพร้อมและรับปากกับเราอีกสักครั้งได้ไหมที่จะทำตามคำที่เราแนะนำต่อไปนี้”
    “ก็เพราะทำตามเพื่อนน่ะสิพวกเราถึงจะต้องตายกันทั้งหมดอยู่เดี๋ยวนี้...แต่ไม่เป็นไร พวกเราจะทำตามเพื่อนอีกสักครั้ง บอกมาเถิดเพื่อนจะให้พวกเราทำอย่างไรกัน”
    เพื่อนๆ เหล่านั้นตัดพ้อแต่ก็ยังศรัทธาและรับปากที่จะขอปฏิบัติตาม
    “เพื่อนเอ๋ย...เหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้มันเป็นแผนการชั่วของผู้ที่หลงอยู่ในวัฏฏะ เพื่อนลองตอบเราสักคำซิว่า เพื่อนๆ ทั้งหมดนี่เป็นโจรอย่างที่เขาว่าหรือ”
    “พวกเราไม่ใช่โจร”
    ทุกคนตอบแข็งขันพร้อมเพรียงกัน
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สัจจกิริยา

    “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะยึดสัจจะเป็นคาถา เราจงพร้อมใจกันกระทำสัจจะให้เป็นที่พึ่งแก่โลกและแก่พวกเราในขณะนี้...โดยตั้งจิตเป็นสมาธิอธิษฐานด้วยสัจจะว่า ถ้าพวกเราทั้งหมดเป็นโจรขอให้ช้างจงเหยียบเถิด ถ้าพวกเราไม่ใช่โจรขอช้างจงอย่าได้ทำอันตรายพวกเราเลย”

    ยามแผ่นดินว่างพระศาสนาหาที่พึ่งเป็นสรณะมิได้ เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในความอับจนก็มิรู้ว่าจะภาวนาพึ่งพิงอะไรในจิต
    “นี่ถ้าหากว่าเป็นมนุษย์ในสมัยนี้ ในสมัยที่มีพระศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าเป็นสรณะยึดมั่น ผู้ที่ตกอยู่ในภยันตรายเช่นนั้นจะต้องภาวนาขอให้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ช่วยสงเคราะห์”

    ธรรม บำรุงศีล ในกายทิพย์ที่เฝ้าพิจารณาเหตุการณ์อยู่อย่างใกล้ชิดรำพึงและเห็นใจนักบุญผู้ถูกกลั่นแกล้งเหล่านั้น เขานึกชมเชยความมีสติปัญญาของมาฆะผู้เป็นหัวหน้าที่ให้พวกเพื่อนๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยอาศัย “สัจจะ” หลักแห่งความจริงตามธรรมชาติเป็นบทคาถาภาวนาให้พ้นภัยพาล ธรรมพิจารณาต่อไปถึงหลักแห่งสัจธรรมที่กล่าวว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” ก็รู้สึกเบาใจและเอาใจช่วยกลุ่มนักบุญทั้งหมดอยู่เงียบๆ

    กลุ่มนักบุญผู้ละเลิกอบายมุขหันมาบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นสาธารณกุศลจนบรรดาเมียๆ ที่ไม่เข้าใจพากันเอือมระอา ต่างก็ตั้งจิตเป็นสมาธิกระทำสัจจะเป็นที่พึ่งครั้งสุดท้ายพร้อมกันดังที่มาฆะผู้เป็นหัวหน้าแนะนำ

    บัดดล ช้างตกมันที่ควาญกำลังขับควบวิ่งเข้ามาเพื่อจะเหยียบกระทืบ 34 บุรุษที่ถูกมัดรวมกลุ่มกันอยู่กลางลานให้แหลกลาญคาตีนก็เกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันด้วยพลานุภาพแห่งสัจจะ กอปรกับกุศลกรรมที่พวกเขาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์อย่างจริงใจกลายเป็นคาถาอันศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้ช้างเมามันเชือกนั้นมองเห็นกองบุรุษทั้งหมดเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวของมัน มันเกิดความตกใจกลัวร้องเสียงแปร๋นแล้ววิ่งวกกลับหนีไปดื้อๆ ควาญช้างจะเอาเหล็กแหลม หอก และขอสับสักเท่าไรก็รั้งไว้ไม่อยู่ ช้างทุกตัวมีอาการเป็นเหมือนกันหมดไม่มีตัวใดกล้าวิ่งเข้ามาใกล้เลย

    “พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะขับช้างเข้าใกล้พวกมันได้เลยพะย่ะค่ะ” ควาญช้างทุกคนกราบทูลพระราชา
    พระราชาผู้ทรงพระสติปัญญาตรัสแนะนำว่า
    “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าจงเอาเสื่อลำแพนคลุมปิดพวกกองโจรไว้ อย่าให้ช้างมองเห็นแล้วไสช้างขึ้นเหยียบบนเสื่อลำแพนนั้นให้ทั่ว”
    ควาญช้างทั้งหลายก็ปฏิบัติตามแต่ช้างทุกเชือกก็ได้แต่ส่งเสียงร้องดังขึ้นเป็นสองเท่าแล้วพากันวิ่งหลีกหนีไปหมดจนปัญญาที่จะให้ช้างเหยียบ
    พระราชาทรงรำลึกแปลกพระทัย ทรงคิดทบทวนเหตุการณ์เป็นอัศจรรย์ น่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังจึงมีรับสั่งให้เรียกตัวการคือผู้ใหญ่บ้านเข้ามาตรัสถาม
    “เจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองดูแลพวกโจรเหล่านั้นอยู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าไอ้โจรพวกนั้นมีอะไรดีช้างจึงไม่กล้าทำอันตรายแก่มัน”
    “ทราบด้วยเกล้า ขอเดชะ เจ้าตัวมาฆะซึ่งเป็นหัวหน้ามันเป็นผู้มีมนต์วิเศษพระเจ้าข้า ที่ช้างตกใจกลัวเป็นเพราะอานุภาพแห่งมนต์ของมันแท้เทียวพระเจ้าข้า”
    ผู้ใหญ่บ้านกราบทูลใส่ความต่อ พระราชาจึงมีรับสั่งแก้มัดมาฆะออกให้เข้าเฝ้า
    “แกมีมนต์วิเศษดีหรือช้างถึงไม่กล้าเข้าใกล้พวกแก” พระราชาตรัสถามมาฆะหนุ่ม
    “ขอเดชะข้าพระพุทธเจ้าไม่มีมนต์อย่างใดเลยพระเจ้าข้า แต่พวกข้าพระพุทธเจ้าได้กระทำสัจจกิริยาไว้ว่า ถ้าพวกเราเป็นโจรที่คิดคดต่อพระราชา ขอให้ช้างเหยียบพวกเราให้ตายเสียให้หมดเถิด ถ้าพวกเราไม่ใช่โจรดังกล่าวแล้ว ขอช้างอย่าเข้าใกล้พวกเราเลย คงจะเป็นด้วยอำนาจแห่งสัจจกิริยาที่พวกเราได้อธิษฐานไว้พระเจ้าข้า”
    มาฆะกราบทูลตามความเป็นจริง สร้างความสนพระทัยให้แก่พระราชายิ่งขึ้น
    “พวกเจ้าทำการทำงานอะไรกัน”
    “พวกข้าพระพุทธเจ้าปราบทางที่ขรุขระให้เรียบ สร้างศาลาที่พักตามทางแยกให้ผู้คนที่สัญจรได้หลบพัก ขุดสระบัวให้ร่มรื่น สร้างสะพานให้สะดวกแก่ผู้คนที่เดินไปมา พวกข้าพระพุทธเจ้ารวมกลุ่มกันสร้างสาธารณสถานเป็นกุศลเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นประจำวัน ซึ่งพวกข้าพระพุทธเจ้าเชื่อมั่นว่าเป็นบุญกุศลพระเจ้าข้า”
    “พวกเจ้ามั่วสุมกันวางแผนประทุษร้ายคิดขบถต่อเราดังที่ถูกกล่าวหาหรือ”
    “มิได้พระเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้ามิได้เป็นโจรคิดขบถดังที่ถูกกล่าวหาเลย พวกข้าพระพุทธเจ้ารวมกลุ่มกันสร้างงานเพื่อกุศลและวางแผนกันที่จะทำต่อๆ ไปในวันรุ่งขึ้นพระเจ้าข้า”
    “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าผู้ใหญ่บ้านผู้กล่าวหาได้ปั้นเรื่องเพื่อให้ร้ายป้ายสีพวกเจ้า ผู้ใหญ่บ้านทำเช่นนั้นเพื่อประสงค์สิ่งใด”
    พระราชาทรงซักถามเข้าจุด มาฆะนิ่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงกราบทูลข้อสันนิษฐาน
    “ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจว่า เนื่องจากเมื่อก่อนหน้านี้ก่อนที่พวกข้าพระพุทธเจ้าจะหันมาบำเพ็ญกุศลสาธารณะประโยชน์เหล่านี้ พวกหนุ่มฉกรรจ์เพื่อนๆ ทั้งหลายต่างก็เป็นนักเลงสุราบ้าง เป็นพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตดำรงชีพบ้าง บางคนประกอบอาชีพในทางที่ไม่เป็นบุญบ้าง มีรายได้มาง่ายๆ แล้วนำไปแบ่งปันเป็นส่วยแก่ผู้ใหญ่บ้านผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเป็นประจำ ครั้นต่อมาเมื่อเพื่อนๆ ข้าพระพุทธเจ้าละเลิกอบายมุขทั้งหลายเหล่านั้นเสียหันมาร่วมมือกับข้าพระพุทธเจ้าทำบุญอันเป็นกุศลเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวมเป็นใหญ่จึงไม่มีรายได้อะไรที่จะไปแบ่งปันให้ผู้ใหญ่บ้านผู้นี้ จึงทำให้เขาขาดรายได้ที่เคยได้รับและคิดทำลายพวกข้าพระพุทธเจ้าเสียดังนี้พระพุทธเจ้าข้า”

    พระราชาทรงพิจารณาวิเคราะห์โดยเหตุผลตามสมควรแล้วก็เห็นว่าเป็นไปตามที่มาณพผู้นี้เบิกความทุกประการจึงทรงพระราชวินิจฉัยเป็นประกาศิตว่า
    “พ่อ ช้างเหล่านี้เป็นดิรัจฉานมันยังรู้ความจริงรู้คุณพวกพ่อ ข้าเองเป็นมนุษย์แต่ก็ยังไม่รู้ความจริงมาก่อน บัดนี้ข้ารู้ถ่องแท้แล้ว ข้าพิจารณาวิเคราะห์ถี่ถ้วนแล้ว มันเป็นความจริงอย่างที่พ่อกล่าวทุกอย่าง เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของพวกพ่อ สมกับที่ข้าเคยอบรมสั่งสอนประชาชนให้กระทำความดีเป็นที่ตั้ง ข้าจึงขอยกหมู่บ้านที่อยู่ของพวกพ่อเป็นหมู่บ้านปลอดภาษีที่ใครๆ จะมาเก็บไม่ได้ พร้อมกันนี้ข้าขอมอบช้างเหล่านี้ให้เป็นสมบัติของพวกพ่อด้วย พร้อมด้วยทรัพย์อีกส่วนหนึ่งที่ข้ามอบให้พวกพ่อ ส่วนเจ้าผู้ใหญ่บ้านตัวการยุแหย่ ข้าขอปลดออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านเสียเดี๋ยวนี้ และขอมอบให้เป็นทาสรับใช้พวกพ่อทั้งหลาย ตั้งแต่นี้ต่อไปขอให้พวกพ่อจงทำบุญเพื่อข้าบ้างนะ ขอพวกพ่อทั้งหมดจงมีความสุขความเจริญและประสบผลบุญจากการทำดีทำบุญต่อไปภายภาคหน้าด้วยเถิด”

    เมื่อพระราชทานทรัพย์แล้วก็ทรงปล่อยไปทั้งหมด”
    “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”
    สัจจกิริยาอันเป็นบทคาถาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นในโลกภพเมื่อคราวแผ่นดินว่างพระศาสนา จึงเป็นสัจธรรมสืบทอดมาถึงปัจจุบันและเป็นบทคาถาทรงความศักดิ์สิทธิ์มิเสื่อมคลาย
    ธรรม ในกายทิพย์ผู้ล่วงย้อนอยู่ในอดีตกาลอนุโมทนาสาธุ ปีติดีใจในผลแห่งบุญที่ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติพึงได้รับทันตาเห็นมาแต่ปางบรรพ์ เขาพอจะมองเห็นคำตอบขึ้นมารางๆ แล้วในข้อปัญหาที่ค้างอยู่ในใจว่า จอมเทพสักกะพร้อมกับเทพเทวดาผู้เป็นใหญ่อี 33 องค์นั้นสร้างกุศลกรรมใดมาแต่อดีต

    จิตสมาธิจากกาลปัจจุบันของชายหนุ่มซึ่งประกอบอยู่ในรูปกายทิพย์ยังคงย้อนท่องเที่ยวอยู่ในอดีตในหมู่บ้านมจละเพื่อติดตามความเป็นมาของท้าวสักกเทวราช จอมเทพแห่งดาวดึงส์องค์ปัจจุบันอย่างใกล้ชิดต่อไป
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ศาลาริมทางสู่มหาปราสาทดาวดึงส์

    มาฆะหนุ่มรูปงามหัวหน้ากลุ่มผู้บำเพ็ญสาธารณกุศลอิสระพร้อมด้วยเพื่อนผู้ร่วมศรัทธาอีก 33 คน รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระราชายิ่งนัก เมื่อเหตุร้ายกลายเป็นดีหลังจากที่ได้รับพระราชทานพระราชทรัพย์แล้วก็กราบบังคมทูลลากลับยังหมู่บ้านป่าด้วยความอิ่มเอมใจ

    ขากลับต่างก็ผลัดกันขึ้นช้างที่ได้รับพระราชทานเป็นพาหนะบ้าง เดินตามขบวนมาบ้าง ทุกคนมีทรัพย์ที่ได้รับพระราชทานเป็นทุนเพิ่มขึ้น ต่างก็ปรึกษากันเกี่ยวกับสาธารณกุศลที่จะทำกันต่อไป
    มาฆะปรารภเป็นคติขึ้น

    “เพื่อนเอ๋ย ธรรมดาว่าบุญกรรม คนทั่วไปคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์แห่งภพในอนาคต แต่บัดนี้พวกเราประจักษ์แล้วว่าบุญที่ทำสามารถสนองผลให้เกิดทันตาเห็นได้ ดังที่พวกเราได้ประสบอยู่ จึงตระหนักได้ชัดแจ้งว่าผลแห่งบุญจะบังเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อพวกเราประจักษ์ชัดเช่นนี้แล้ว พวกเราจงร่วมใจกันคิดที่จะสร้างบุญอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นมหากุศลให้ยิ่งขึ้นไปเถิด”

    เพื่อนทุกคนมีความเห็นพ้องต้องกันและต่างก็มีความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น
    “ขณะนี้พวกเราต่างก็ได้รับพระราชทานทรัพย์จากพระราชามาเป็นจำนวนไม่น้อย ถ้าพวกเราเอาราชทรัพย์เหล่านี้มารวมกันเป็นทุนกองใหญ่เป็นทุนช่วยกันสร้างศาลาที่พักริมทางให้ถาวรเพื่อเป็นที่พักของมหาชนทั่วไปให้อยู่คงทนยืนนานก็จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง”
    ในที่สุดกลุ่มนักบุญทั้งหมดก็ออกเสียงเป็นเอกฉันท์ที่จะสร้างศาลาถาวรให้ยิ่งใหญ่ในทางสี่แยกที่สำคัญเพื่ออำนวยประโยชน์สุขของมหาชนให้ยาวนานสืบไป

    “แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง” เพื่อนคนหนึ่งกล่าวขึ้น
    “ข้อแม้อะไรหรือ” อีกคนหนึ่งถาม
    “แม่พวกผู้หญิงเมียๆ ทั้งหลายที่พากันสมน้ำหน้าตอนพวกเราถูกจับ แทนที่จะเป็นห่วง แม่พวกผู้หญิงเหล่านั้น พวกเราจะไม่ยอมให้มามีส่วนร่วมในการสร้างกุศลครั้งนี้ด้วยเลย”
    เพื่อนผู้มีความเจ็บช้ำน้ำใจในตัวภรรยาของเขาทั้งหลายตั้งข้อแม้ขึ้น และในที่สุดทุกคนก็เห็นพ้องด้วยว่าพวกเมียๆ ที่มีพฤติการณ์เอาใจออกห่างผัวเมื่อตอนถูกจับวันนั้นจะไม่ให้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในงานมหากุศลครั้งนี้

    หนุ่มมาฆะผู้โชคดีมีภรรยาอยู่ในเรือนสี่คน คือ นางสุชาดา นางสุธรรมา นางสุจิตรา และนางสุนันทา แม่นางทั้งสี่มิได้ร่วมอยู่ในขบวนการซ้ำเติมผัวเมื่อตอนที่พวกเขาถูกล้อมจับ ภรรยาของเขาจึงมิได้ถูกกฎเกณฑ์ข้อแม้นั้นมาบังคับด้วย
    เมื่อกลับเข้าถึงหมู่บ้านในเย็นวันนั้น ทั้งหมดก็หาที่ชุมนุมกันใหม่ให้พ้นหน้าพ้นตานางเมียทั้งหลายที่พากันสมน้ำหน้าซ้ำเติมให้พวกเขาได้รับโทษถึงตาย ที่ประชุมก็วางแผนที่จะสร้างศาลาถาวรในเช้าวันรุ่งขึ้นในสี่แยกที่สมควรที่สุดของหมู่บ้าน

    พวกชาวบ้านร้านค้าและนังเมียตัวดีเหล่านั้นเห็นสามีตนยังไม่ตายและกลับมาได้พร้อมทั้งได้ช้างได้ทรัพย์สมบัติมีค่ามาด้วยทุกคน ฝ่ายผู้มีจิตใจเป็นอกุศลก็โจษจันกันไปต่างๆ นานา
    “สงสัยพวกโจรเหล่านี้จะไปทำร้ายพระราชาและปล้นราชบัลลังก์ ปล้นช้างปล้นทรัพย์สินมีค่าของพระราชามาหรอกกระมัง ดูสิมันกลับเข้ามาในหมู่บ้านแล้วหลบหลีกไปหาที่ซ่องสุมแหล่งใหม่”
    แม่ปากมากหลายคนออกความเห็น

    “เอ...ถ้าจะจริง ดูอาผู้ใหญ่บ้านสิ เป็นผู้นำกำลังของพระราชามาจับโจร ตอนนี้โจรมันคงชนะแล้วจึงกดผู้ใหญ่บ้านลงเป็นเหมือนทาสรับใช้จริงๆ ด้วย
    พวกปากเหม็นคนอื่นๆ ก็คล้อยตามกันเพราะเหตุผลมันช่างคล้องจองกับพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเสียจริงๆ
    มิไยที่พวกเขาจะส่งคนไปสอดแนมล้วงถามความจริง พวกโจรที่เขายังเข้าใจอยู่เช่นนั้นก็ไม่ยอมให้ความกระจ่างอย่างใด ครั้นไปสอบถามตาผู้ใหญ่บ้านซึ่งกลายเป็นข้าผู้รับใช้คอยหุงข้าวต้มผักให้เจ้านายทั้ง 34 หน่ออยู่ ตาผู้ใหญ่ผู้เคยพูดจาเสียงดังฟังชัดเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในหมู่บ้านก็กลับพูดจาอ้อมแอ้มไม่กล้าบอกความจริง

    “ไอ้พวกโจรมันคงขู่บังคับไว้ มันคงชนะกองกำลังของพระราชามาแล้วแน่ๆ”
    ต่างคนก็พากันสรุปไปในทางชั่วร้ายแล้วก็พากันเกรงกลัวขนพองสยองเกล้า
    “นี่แหล่ะความทุกข์ของผู้มีจิตเป็นอกุศลให้ร้ายผู้อื่น”
    กายทิพย์ธรรม ซึ่งเฝ้าตามสังเกตการณ์อยู่รู้สึกสมน้ำหน้าและขำขันมนุษย์พวกผู้มีจิตใจเป็นมิจฉาเหล่านั้นและนึกเวทนา

    คืนนั้นทั้งคืนพวกที่มีจิตเป็นอกุศลต่อกลุ่มนักบุญทั้ง 34 ต่างก็กระวนกระวายเกรงกลัวไม่เป็นอันนอนอันหลับได้แต่พะวงเกรงว่าไอ้โจรทั้ง 34 มันจะกลับมาแก้แค้นทำร้ายและปล้นสะดมเอา ตรงกันข้ามกับผู้มีจิตเป็นกุศลที่เข้าใจรู้ใจและเห็นความจริงในการประกอบสาธารณสุขกุศลของกลุ่มหนุ่มมาเสมอต้นเสมอปลายก็พากันอนุโมทนาสาธุที่เห็นพวกเขารอดกลับมาเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ผู้ประพฤติดี

    “พ่อเจ้าประคู้นเอ๊ย...ความดีคุ้มครองพวกท่านเถิด นี่แหละที่กล่าวกันว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ พวกเราดีใจเหลือเกินที่พวกท่านไม่เป็นอันตราย”
    กลุ่มคนดีก็พากันนอนหลับสบายเพราะดีใจที่เห็นพวกซึ่งมีคุณงามความดีประจำหมู่บ้านรอดพ้นภัยพาลกลับมาเพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้หมู่บ้านต่อไป
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ผู้ร่วมกุศลกิจ

    รุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่โดยไม่ชักช้า มาฆะและพวกซึ่งได้วางแผนงานที่จะทำกันไว้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนมาแล้วต่างพร้อมใจกระวีกระวาดขมีขมันเข้าป่าตัดไม้เพื่อจะนำมาสร้างศาลาถาวรให้อยู่คงทนยืนนาน ช้างพระราชทานซึ่งพวกเขาได้รับจากพระราชามาก็มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้างมหาสาธารณประโยชน์ในครั้งนี้ด้วย เมื่อพวกที่ตัดไม้ได้ตัดไม้ลงแล้วอีกพวกหนึ่งก็ช่วยกันจัดการให้ช้างชักลากออกจากป่านำมากองไว้ในหมู่บ้านที่ซึ่งกำหนดไว้ที่จะสร้างศาลที่พักริมทางตรงสี่แยกสำคัญนั้น ต่างคนต่างช่วยกันทำงานอย่างมีระเบียบแบบแผน งานก็ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว

    งานนี้เป็นงานใหญ่ งานฝีมือ งานที่ต้องทำอย่างประณีตบรรจงและต้องให้แข็งแรงทนทานตามประสงค์ จึงมิได้เจาะจงกำหนดให้เสร็จภายในวันเดียวเหมือนคราวอื่นๆ ที่เคยทำแล้วๆ มา แต่ทุกคนก็ตั้งใจที่จะทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งให้ดีให้สวยงามและมีคุณภาพด้วย เพียงเวลาไม่เท่าไรโครงสร้างศาลาถาวรก็ปรากฏขึ้นมาดังเนรมิต

    แน่นอนพวกนังเมียและชาวบ้านร้านตลาดฝ่ายอกุศลย่อมไม่สนใจไยดีหรือมีจิตน้อมรำลึกในทางดีงามเห็นด้วยกับกลุ่มสามีที่ร่วมใจกันสร้างสาธารณประโยชน์เพื่อส่วนรวมเช่นนั้น คนเหล่านั้นกลับมองไปในทางลบและติฉินนินทากันว่า หนุ่มพวกนี้ทำอะไรกันบ้าๆ บอๆ ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรกับครอบครัวของตนเลย จึงไม่นำพาที่จะร่วมสาธารณกรรมและเป็นความตั้งใจของหนุ่มนักบำเพ็ญประโยชน์อยู่แล้วที่จะไม่ให้บุคคลเหล่านั้นเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

    ส่วนภรรยาของมาฆะหนุ่มซึ่งมีอยู่ 4 คน คือ นางสุชาดา นางสุธรรมา นางสุจิตรา และนางสุนันทา นั้นพร้อมกับชาวบ้านฝ่ายกุศลเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมของสามีและทีมหนุ่มนักบุญด้วยก็พากันสนใจและชื่นชมยินดีเมื่อเห็นกลุ่มหนุ่มเริ่มงานใหญ่เพื่อส่วนรวม ร่วมกันใหม่อีกวาระหนึ่ง หลายคนพากันเข้าไปใกล้ๆ เฝ้าดูอยู่ว่าหนุ่มพวกนี้จะทำอะไรกัน และส่งเสริมให้กำลังใจ ทั้งร่วมช่วยงานด้วยเท่าที่จะช่วยได้เพราะรำลึกได้ว่าการทำงานเพื่อส่วนรวมถือเป็นการทำดีมีประโยชน์

    นางสุธรรมา มีจิตศรัทธาได้ร่วมออกเงินสร้างช่อฟ้าศาลาถาวรนั้น
    นางสุจิตรา มีจิตศรัทธาร่วมลงมือลงแรงปลูกพุ่มไม้ดอกประดับประดารอบๆ ศาลา
    นางสุนันทา มีจิตศรัทธาร่วมลงมือลงแรงขุดสระปลูกบัวสีสันต่างๆ ที่ข้างศาลาเพื่อช่วยให้เกิดความร่มรื่นเย็นใจ

    เมื่อสร้างศาลาเสร็จ มาฆะมานพได้นำต้นทองหลางมาปลูกไว้เพื่อให้ร่มเงาที่ข้างหนึ่งของศาลา แล้วนำหินลาดขนาดใหญ่แผ่นหนึ่งมาตั้งไว้ที่โคนต้นทองหลางเพื่อเป็นที่นั่งพักได้ ส่วนบนยอดศาลาก็เอาธงทิวปักไว้ให้สวยงาม
    ชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมากก็กุลีกุจอช่วยกันตกแต่งบริเวณนั้นให้เป็นสวนร่มรื่นกันคนละไม้ละมือด้วยจิตศรัทธาเป็นที่ยิ่ง

    ส่วนทางสุชาดา เมียเอกของมาฆะแม้มิได้รังเกียจ แต่มิได้ช่วยอะไรเลย คงนั่งส่องกระจกแต่งหน้าแต่ตัวอยู่แต่ในบ้านมิสนใจที่จะออกมาช่วยในกิจสาธารณกุศลกรรมคราวนั้นแต่อย่างใด
    “นี่แหน่ะ...แม่น้องหญิงสุชาดา ทุกคนเขาก็มีส่วนร่วมสร้างศาลานี้ด้วยกันทั้งหมดแล้ว คือ แม่สุธรรมาเขาก็สร้างช่อฟ้า แม่สุจิตราเขาก็สร้างสวนไม้ดอกไม้พุ่มประดับประดา แม่สุนันทาเขาก็สร้างสระปลูกบัวเพื่อความร่มเย็น ส่วนน้องหญิงได้แต่นั่งแต่งตัวส่องกระจกอยู่ไม่คิดจะร่วมทำบุญสักอย่างในกิจกรรมนี้หรืออย่างไร”

    มาฆะติงเตือนภรรยาเอกของตนด้วยความเป็นห่วง แต่เธอก็มิได้สนใจนำพา หนำซ้ำกลับกล่าวย้อนเล่นลิ้นว่า
    “ไม่เป็นไรหรอกพี่มาฆะ ที่พี่ได้ลงมือลงแรงทำอยู่นั้นก็เป็นการทำเพื่อน้องอยู่แล้วมิใช่หรือ”
    แล้วก็นั่งส่องกระจกแต่งตัวอยู่ต่อไป
    ธรรม กายทิพย์เห็นเช่นนั้นก็สังเวชสลดใจ อยากจะกล่าวเตือนตามคำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ถึงการทำบุญ
    “ผู้ที่ทำด้วยจิตศรัทธาของตนเท่านั้นจึงจะได้ ผู้อื่นหาทำแทนให้ได้ไม่”
    แต่อวิชชาของแม่สุชาดาบดบังไว้เสีย สัจธรรมของพระพุทธองค์จึงมิอาจแผ่ซ่านเข้าไปถึงความรู้สึกของเธอได้

    “มันเป็นกรรมของเธอจริงๆ ที่เธอยังไม่เข้าใจถึงคำว่าศรัทธา”
    กายทิพย์ได้แต่รำพึงและก็หวนย้อนกลับมานึกถึงโลกภพในปัจจุบันร่วมสมัย

    “แม้มนุษย์ในวันนี้ที่พบพระพุทธศาสนาอยู่ล้อมรอบตัวทุกหนทุกแห่งแล้ว ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมากมายเหลือเกินที่ยังไม่เข้าใจถึงการทำบุญและศรัทธาเช่นเดียวกับแม่สุชาดาในยุคแผ่นดินไร้สรณะไร้ที่พึ่ง”
    กายทิพย์ของ ธรรม บำรุงศีล จึงหลีกเร้นไปจากที่นั้นเสีย
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทวราชองค์ใหม่

    เมื่อถึงกาลอันสมควร มนุษย์ยุคนั้นก็สิ้นไปตามอายุขัย มาฆะหนุ่มมาบังเกิดเป็นท้าวสักกะจอมเทวราชในดาวดึงส์สืบต่อจากท้าวสักกะเทวราชองค์ก่อน หนุ่มทีมเวิร์กบำเพ็ญบุญร่วมกันทั้ง 33 คน มาบังเกิดเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ในสำนักท้าวสักกะทั้ง 33 องค์ อานิสงส์แห่งการสร้างศาลาริมทางด้วยจิตอันเป็นกุศลส่งผลมาเป็นทิพยสมบัติคือปราสาทไพชยันต์ผุดสูงตั้ง 700 โยชน์ ธงทิวผุดสูงตั้ง 300 โยชน์ ไม้ทองหลางอันให้ร่มเงาและดอกสดสวยเกิดเป็นต้นปาริฉัตตกะมีปริมลฑลโดยรอบ 300 โยชน์ ลำต้นกว้าง 14 โยชน์ แผ่นหินลาดที่นั่งพักโคนต้นเป็นแท่นทองอ่อนนุ่มดังขนสัตว์เหลืองอร่าม 60 โยชน์ที่โคนปาริชาติทิพย์

    อานิสงส์แห่งการร่วมสร้างช่อฟ้าศาลาของนางสุธรรมา นางจึงมาบังเกิดเป็นเทพธิดาผู้เป็นใหญ่ในเทวสภาชื่อสุธรรมา 300 โยชน์ ผลแห่งการสร้างสระบัวของนางสุนันทา จึงมาบังเกิดเป็นเทพธิดาผู้เป็นใหญ่มีสระโบกขรณีนันทา 50 โยชน์ ผลแห่งการสร้างสวนไม้พุ่มพฤกษ์ประดับของนางสุจิตรา นำมาบังเกิดเป็นเทพธิดาผู้เป็นใหญ่พร้อมด้วยอุทยานสวนจิตลดาวัน 60 โยชน์

    ชาวบ้านชายหญิงฝ่ายกุศลที่ร่วมกันช่วยสร้างศาลามหากุศลคราวนั้นมาบังเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดาแวดล้อมองค์ท้าวสักกะและเทพบุตรผู้เป็นใหญ่กันถ้วนทั่ว
    บุพพสมัยบนดาวดึงส์สวรรค์วารแรกแห่งมาฆสักกะขณะหนึ่งเมื่อท้าวสักกะจอมราชาเทพประทับนั่งบนบัลลังก์ทองโยชน์หนึ่งในสุธรรมาเทวสภา มีเศวตฉัตรสามโยชน์กางกั้น แวดล้อมไปด้วยเทพผู้เป็นใหญ่ทั้ง 33 องค์ เทพธิดาผู้เป็นใหญ่ สุธรรมา สุนันทา สุจิตรา เทพเทวดาทั้งหลายพร้อมทั้งเทพธิดานางฟ้อนอีก 25 โกฏิ พระองค์ทรงตรวจดูมหาสมบัติและทวยเทพในเทวโลกทั้งสองชั้น

    บัดดลนั้น ทิพยเนตรแห่งองค์ท้าวสักกะก็ทอดมายังรูปกายทิพย์ที่โปร่งใสแต่ไร้แสงของ ธรรม บำรุงศีล ซึ่งอยู่ในลักษณะเท่ากายมนุษย์ตามเดิมอันมีกายกระจ้อยร่อยเพียงเท่ามดไรในอัตราส่วนเทียบกายทิพย์อันเปล่งแสงของทวยเทพ รูปกายทิพย์ของธรรม ปรากฏอยู่ที่ขอบสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เบื้องนั้น

    “ดูก่อน ท่านอาคันตุกะจากโลกภพ ขอเชิญท่านโน้มจิตนิมิตกายใกล้เข้ามาเถิดเทพนครและมหาปราสาทไพชยันต์ยินดีต้อนรับ ขอเชิญท่านสัมผัสแดนดาวดึงส์ด้วยอัธยาศัย”
    ธรรม บำรุงศีล น้อมกายนิมิตใหญ่ขึ้นเคลื่อนเข้าใกล้ตามสมควร ถวายนมัสการจอมเทพด้วยคารวะ
    “ขอพระองค์จอมเทพจงเจริญด้วยกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด”
    ธรรมอนุโมทนาในผลกุศลที่จอมเทพพึงได้รับด้วยความยินดียิ่ง
    “ข้าแด่จอมเทพ ข้าพเจ้าใคร่ขอถามปัญหาเกี่ยวกับบุพพกรรมอันใกล้เบื้องนี้ว่า นางสุชาดา ผู้มิไยดีในการร่วมสร้างกุศลด้วยครั้งนั้นบัดนี้นางแต่ผู้เดียวไปบังเกิดในภพใดเล่า”
    ท้าวสักกะ จอมเทพผู้มีประกายเปล่งแสงออกเขียวอมน้ำเงินโปร่งใสกระจ่างยิ่งกว่าเทพองค์ใดทรงตรวจดู ไม่พบนางในเทวโลกทั้งสองนี้ จึงตรวจออกไปในภพหยาบแห่งโลกภพ
    “เราตรวจพบแล้ว นางบังเกิดอยู่ในโลกภพนั่นเอง เชิญท่านโน้มจิตสัมผัสไปด้วยกับเราเถิด เราปรารถนาจะแผ่กุศลให้เธอรำลึกสร้างกุศล เพื่อสักกาลหนึ่งเบื้องหน้าเธออาจถึงบุญเข้าสัมผัสในภพภูมิเบื้องนี้ได้”

    กายทิพย์ และกายเทพได้ล่องลอยเข้าสัมผัสโลกภพสู่บึงน้ำใหญ่ที่ชายเขาสูงที่ซอกเขาอันมีน้ำตื้นชายทุ่ง นกยางขาวตัวหนึ่งกำลังเดินท่องน้ำอย่างเชื่องช้าก้มส่องกระจกด้วยเงาในน้ำเพ่งมองปลาเป็นที่อุบซ่อนเพื่อจะจิกกินเป็นอาหาร
    “นางสุชาดาผู้พิสมัยอยู่แต่การประแป้งแต่งกายอยู่หน้ากระจก บัดนี้นางได้มาเกิดเป็นนางนกยางโดดเดี่ยวเดินย่องท่องน้ำคอยแต่จะจ้องจิกปลาที่เผลอไผล นานๆ จะได้ปลากินเป็นอาหารสักครั้งหนึ่งด้วยความยกลำบากยิ่งนัก”

    ท้าวสักกะรำพึงบอกเล่าด้วยเวทนาและปรากฏนิมิตให้นกยางเห็นให้รำลึกรู้
    เมื่อนางนกยางเห็นและรู้อดีตจึงก้มหน้าด้วยความเศร้าเสียใจมองดูอยู่แต่ในน้ำ
    “นี่แม่นางสุชาดา ไยไม่ยกหัวขึ้นเล่า เจ้าไม่ทำตามคำที่เราติงเตือนมัวแต่แต่งตัวไม่นึกถึงการทำบุญ ดูแต่แม่นางสุธรรมา สุนันทา สุจิตรา เขารำลึกทำบุญกุศล บัดนี้ได้รับผลบุญไปบังเกิดเป็นเทพธิดาสำคัญอยู่ในแดนเรา อยู่ในวิมานทองมีเทวสภา สระโบกขรณี และอุทยานอันร่มรื่น เป็นนิมิตกุศลกันทุกคน แม้แต่บรรดาเพื่อนบ้านที่ช่วยกันสร้างสรรค์สาธารณกุศลก็พากันไปบังเกิดเป็นเทพบุตรนางฟ้านางสวรรค์กันมากมายเหลือแต่เจ้าคนเดียวที่ยังดีกว่าพวกฝ่ายอกุศลซึ่งพากันสมน้ำหน้าและเหยียบย่ำกิจกรรมกุศลของเราได้พากันไปเกิดในอบายภูมิเบื้องต่ำ เจ้ามิได้ทำบุญแต่ก็มิได้สร้างบาปเหมือนคนพวกนั้นจึงมาบังเกิดเป็นนางนกยางในชาตินี้ ถ้าแม่นางพึงระลึกได้และเห็นจริงดังที่เราวิสัชนาให้พึงรำลึกว่าบาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์มีจริงเจ้าจะทำตามคำที่เราจะแนะนำต่อไปสักอย่างไหม”

    นางนกยางร้องไห้รำลึกได้และเริ่มมีศรัทธาเลื่อมใสในคำบอกกล่าวเกี่ยวกับบาปบุญด้วยความตั้งใจ
    “ดิฉันจะทำตามพระเจ้าค่ะ”
    “ต่อไปนี้เจ้าจงรักษาศีลห้าอย่าได้ขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจงอย่าฆ่าชีวิตอื่นแม้จะต้องนำมากินเป็นอาหาร
    “พระเจ้าค่ะ ดิฉันจะกระทำตาม”
    สามวันล่วงไป ท้าวสักกะจึงจำแลงแปลงกายเป็นปลาหงายท้องลอยมาตามน้ำเบื้องหน้า นางนกยางซึ่งกำลังหิวเพราะรักษาศีลไม่กินปลาเป็นมาหลายวัน นางนกจึงจิกปลาที่คิดว่าตายแล้วนั้นหวังจะกินเป็นอาหารประทังความหิว เมื่อจิกถูกตัวปลานั้นก็กลับกระดิกหางให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ นางนกยางเห็นปลายังไม่ตายแม้จะหิวเท่าไหร่ก็ไม่ผิดสัจจะจึงปล่อยปลาตัวนั้นไป

    “สาธุ สาธุ เจ้ารักษาสิกขาบทได้แล้ว จงรักษาต่อไปเถิด อีกไม่นานหรอกเราจะช่วยเสริมกุศลให้เจ้าสร้างกุศลมากขึ้น แล้วเมื่อนั้นเจ้าจะได้ไปบังเกิดเป็นเทพธิดา”
    ต่อมาไม่กี่วัน นางนกยางผู้รู้รำลึกสัจจะแห่งสวรรค์มิได้จิกปลาเป็นกินเป็นอาหารเลย นานนักจึงจะพบปลาตายสักครั้งหนึ่ง นางซูบผอมลงเพราะขาดอาหารแต่ไม่ยอมขาดศีลจึงตายลง เมื่อตายจากนกยางแล้วไปบังเกิดเป็นมนุษย์ธิดาช่างปั้นหม้อในเมืองเมืองหนึ่ง

    สัจจะแห่งการรักษาศีลที่รับกับท้าวสักกะจอมเทพไว้ในชาติที่เป็นนางนกยางยังติดจารึกความทรงจำได้ เด็กน้อยลูกสาวช่างปั้นหม้อแต่ผู้เดียวในหมู่บ้านเมืองนั้นที่เป็นผู้รำลึกรู้ถึงคำว่า “ศีล” ส่วนคนอื่นไม่มีใครรู้จักคำว่าศีล หรือการรักษาศีลเป็นอย่างไร ลูกสาวช่างปั้นหม้อรักษาศีล 5 ตลอดชีวิตเมื่อตายไปบังเกิดเป็นธิดาราชาอสูรในภูมิหยาบส่วนหนึ่งของแดนมหาราชิกาสวรรค์ นางยังคงมั่นคงอยู่ในศีลเสมอมา เมื่อถึงกาลเวลาอีกวาระหนึ่งจึงได้มาบังเกิดเป็นเทพธิดาบนแดนดาวดึงส์ด้วยอานิสงส์แห่งการชักจูงของเทวราชสักกะเป็นสำคัญ

    แต่ด้วยผลบุญที่ด้อยกว่านางจึงมิได้เสวยตำแหน่งเทพธิดาผู้เป็นใหญ่เหมือนเทพธิดาสุธรรมา สุนันทา สุจิตรา
    เทพธิดาสุชาดาเป็นเพียงได้รับตำแหน่งหัวหน้าหัวหน้าเทพธิดานางฟ้อน 25 โกฏินี้เท่านั้น ด้วยกุศลกรรมของเธอในดาวดึงส์ปัจจุบันสมัยนี้
    ธรรม บำรุงศีล มโนนมัสการจอมเทพอีกวาระหนึ่งที่นิมิตความกระจ่างแต่หนเดิมมาให้ปรากฏ
    “ขอพระองค์จงเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด”
    “ท่านปรารถนาสัมผัสแดนดาวดึงส์เพื่อจารึกนำไปเล่าขานแก่เผ่าพงศ์มนุษยชาติจงสถิตพิจารณาย้อนอดีตอันไกลอันใกล้สู่ปัจจุบันแห่งปัจจุบันของเรา ในขณะนี้จวบจนถึงปัจจุบันของท่านต่อไปภายภาคหน้าตามความประสงค์จงทุกประการ”

    จอมเทพสักกะหยั่งรู้ด้วยญาณในเจตนประสงค์ของอาคันตุกะจากโลกิยภพ พระองค์เห็นเป็นมหากุศลอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดนิมิตสวรรค์อันเป็นเครื่องโน้มจิตมนุษย์ให้รำลึกถึงบาปบุญคุณโทษได้บ้าง จึงมีความยินดีสนับสนุนความประสงค์ของกายทิพย์จากโลกภพ
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพกิจในวิมาน

    ในวาระอันสมควรคราวหนึ่ง กายทิพย์ธรรมเฝ้าสัมผัสท้าวสักกะในส่วนพระองค์ ณ วิมานทองประดับรัตนะภายในอันตระการตาเห็นเป็นการสมควรที่จะทราบจึงกล่าวถามด้วยคารวะว่า
    “เทพเทวดาในแดนดาวดึงส์ยังมีเทพบุตร เทพธิดา มีจิตปฏิพัทธ์ในความสวยความงาม มีความพึงใจความเสน่หาต่อกัน ข้าแด่พระองค์ประสงค์ทราบเพื่อสดับสติปัญญาว่าเทพในชั้นนี้ยังประสงค์คู่ครองอยู่หรือประการใด”

    ท้าวสักกะแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ตรัสแผ่วเบาแต่กังวานแจ่มใสด้วยเสียงราบเรียบเสมอกันฟังแล้วเพราะพริ้งประดุจเสียงดนตรีทิพย์
    “ท่านธรรมบุรุษ ดาวดึงส์ที่เราสถิตปกครองในวาระนี้ยังอยู่ใกล้ชิดติดพันกับโลกภพมาก ความผูกพันในจิตหยาบยังใกล้เคียงจิตมนุษย์ อันที่จริงเทพที่นี่ก็คือมนุษย์ที่ละเอียดล้ำลึกขึ้นมาด้วยความเคร่งครัดในหลักหิริโอตตัปปะสูงส่งกว่าเทพชั้นจาตุมหาราช ความละอายและเกรงกลัวต่อการทำบาปทุกประการสร้างสมให้มนุษย์มาบังเกิดเป็นเทพ พวกเราพ้นอบายภูมิในกาลนี้เพราะใฝ่ดีใฝ่กุศลเมื่อพวกเราทำบุญทำดีในโลกภพดังที่ท่านเคยประสบ เราปรารถนาถึงเทพถึงสวรรค์ จะเห็นว่าจิตพวกเรายังติดอยู่ในความดีงาม ยังติดบุญติดกุศล ติดสวรรค์ ติดวิมาน จิตเทพยังติดอยู่ในฉกามาพจรทั้งสิ้น เทพเทวดายังมีเทพบุตรเทพธิดา ยังรักสวยรักงาม ปรารถนาความสุขแห่งจิตซึ่งกันและกัน ธรรมชาติของเทพจึงยังมีคู่ครองเป็นคู่ปฏิพัทธ์ซึ่งกันและกันอยู่”

    “คู่ครองแห่งเทพ นิมิตผูกพันกันด้วยประการใด”
    “ผูกพันกันด้วยกุศลกรรมแต่อดีตอันใกล้อันไกล ตามจังหวะระยะเวลาแห่งวิบากกรรมเฉพาะองค์ องค์เทพธิดาคู่ปฏิพัทธ์ของเราที่บังเกิดบางองค์เพิ่งโอปปาติกาทั้งๆ ที่เคยผูกพันกันเมื่อหลายภพหลายชาติ เพราะองค์เธอเพิ่งรำลึกกุศลได้เมื่อไม่นานมา บางองค์ก็บังเกิดร่วมสมัยด้วยกุศลกรรมที่ร่วมกันเมื่อชาติที่แล้ว ดังที่ท่านทราบแล้ว เช่น เทพธิดาสุธรรมา สุนันทา สุจิตรา แม้กระทั่งเทพธิดาสุชาดาผู้รำลึกกุศลได้ภายหลัง คู่ครองแห่งเทพผูกพันกันด้วยกุศลกรรมร่วมกันด้วยประการฉะนี้”

    “ธรรมชาติวิสัยแห่งเทพ เทพธิดาองค์ใดที่จะปรากฏนิมิตเป็นคู่ครองของพระองค์ดังได้ตรัส เทพธิดาองค์นั้นจะปรากฏนิมิตประการใดฤา”
    จอมสักกะรำลึกย้อนอดีตขณะหนึ่ง
    “เชิญจิตสัมผัสของท่านประสบนิมิตด้วยตนเองเถิด”

    พลันบรรยากาศภายในวิมานไพชยันต์ก็เปลี่ยนย้อนกลับไปในสมัยที่เทพสักกะเพิ่งจะโอปปาติกาแทนเทพองค์ก่อนใหม่ๆ บนแท่นทองที่บรรทมประจำองค์ว่างเปล่าด้วยยังมิมีเทพธิดาใดผู้ถึงบุญมาเกิด วาระต่อมาเมื่อนางสุธรรมาสิ้นอายุขัยจากโลกภพ บนแท่นบรรทมทิพย์ก็บังเกิดเทพธิดาสุธรรมาในกายทิพย์เปล่งแสงสุดใสสดสวยเกินเทพธิดาองค์อื่นๆ ที่เบื้องซ้ายบนแท่นบรรทมนั้น

    “นั่นคือเทพธิดาสุธรรมาซึ่งท่านรู้จักแล้ว เทพธิดาซึ่งเป็นบาทบริจาแห่งเราคือเทพคู่ครองแห่งเทพจะโอปปาติกะบนที่นอนในวิมานของเทพผู้เป็นใหญ่ในวิมาน”

    “ข้าแต่จอมเทพ ปัญหาที่ข้าพเจ้าจะถามต่อไปจะเป็นการบังควรหรือมิบังควรซึ่งพระองค์จะทรงแจ้งหรือมิแจ้งตามแต่พระองค์จะเห็นสมควร และถ้าเป็นการมิบังควรก็จงโปรดประทานอภัยทานให้ข้าพเจ้าด้วย...ปัญหาที่ว่า เทพบุตรและเทพธิดาบาทบริจาริกาแสดงความเสน่หากันโดยประการใด”

    เทพผู้เป็นใหญ่ฉายความเมตตาด้วยทิพยเนตร แย้มพระโอษฐ์น้อยๆ
    “เทพปฏิพัทธ์กันด้วยจิตปีติยินดีในจิตซึ่งกันและกัน เทพเบื้องบนสวรรค์เสวยความปีติยินดีเป็นภักษาหาร อาหารในรูปแบบต่างๆ ในโลกภพที่ผู้มีบุญแผ่เผื่อมาถึงสวรรค์จะแปรเป็นกระแสทิพย์เข้าสู่เป็นความปีติในจิตของเทพผู้ได้รับเช่นเดียวกับความเสน่หาแห่งเทพก็จะแปรเป็นกระแสทิพย์เข้าสู่จิต ทำให้เกิดความอิ่มเอมอันเป็นทิพย์เช่นนั้น”

    “ข้าแต่จอมเทพ ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว”
    ธรรม บำรุงศีล พนมมือขึ้นนมัสการ กาลเวลาเบื้องบนสวรรค์มีระยะยาวนานมากมายนัก จึงมิมีความรีบเร่งร้อนรนในกิจกุศลทุกชนิด การกริ่งเกรงใจว่าจะเป็นการรบกวนเวลาแห่งการปุจฉาวิสัชนาอันเป็นธรรมกุศลจึงมิต้องบังเกิด จอมเทพสักกะแผ่ทิพยจิตเมตตาที่จะตอบปัญหาอันควรต่อไปโดยความยินดี ธรรมจึงปุจฉาต่อไปเพื่อจารึก

    “นอกจากเทพบาทบริจาริกาแล้ว เทพซึ่งมีภาวะเป็นบุตรธิดาแห่งเทพบังเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้ามีเทพเหล่านั้นจะบังเกิดโดยประการใด”

    “เทพผู้บังเกิดในภาวะเป็นบุตรธิดาย่อมมีในสวรรค์ตามกรรมผูกพันแต่ปางอดีต พวกลูกหญิงและลูกชายย่อมโอปปาติกะบนตักของเทพ เทพทุกองค์โอปปาติกะแล้วโตทันที เทพซึ่งร่วมบุญกุศลจะโอปปาติกะมาช่วยกิจการงานเทพองค์ใด เช่นไวยาวัจกรช่วยกิจการงานของวัดย่อมโอปปาติกะรอบๆ ที่นอนภายในวิมาน ส่วนเทพบริวารซึ่งบังเกิดในเขตคาบเกี่ยวระหว่างวิมาน ถ้ามิอาจตกลงกันได้ว่าเป็นเทพในวิมานใด เราในฐานะท้าวสักกะผู้เป็นพระราชาแห่งเทพจะพิจารณาว่าเทพองค์นั้นบังเกิดใกล้วิมานใดมากกว่าก็จะเป็นเทพในวิมานนั้น ถ้าเทพที่บังเกิดในระยะเท่ากัน ขณะบังเกิดเทพมองไปทางวิมานไหนก็เป็นเทพในวิมานนั้น ถ้ามิได้มองไปทางวิมานใดเลยก็จะถือว่าเป็นเทพบริวารของท้าวสักกะผู้เป็นราชาโดยธรรม”

    ธรรมบุรุษจารึกการบังเกิดของเทพในภาวะต่างๆ ไว้ในกระแสสมาธิ การเกิดซึ่งเรียกว่าโอปปาติกะ คืออุบัติขึ้นในลักษณะที่โตเต็มที่ในพริบตานั้น นั่นเป็นการเกิดของเทพเทวดาทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มีนาคม 2014
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สวรรค์เดียวกัน

    “ข้าแต่จอมเทพท้าวสักกะ ข้าพเจ้าขอถามปัญหาแก่จอมเทพว่า นอกจากการทำดีทำบุญอย่างที่มาฆะมาณพเคยปฏิบัติแล้ว มนุษย์จักทำบุญเช่นไรอีกจึงจักได้มาโอปปาติกะในแดนดาวดึงส์สวรรค์นี้”
    “การรักษาปัญจศีลอีกประการหนึ่ง อย่างน้อยจะทำให้มนุษย์ที่ไม่มีวิบากกรรมอื่นตามมา มนุษย์นั้นเมื่อสิ้นอายุขัยจะมาบังเกิดในดาวดึงส์ และถ้ามนุษย์ผู้ใดรักษาศีลห้าได้อย่างบริสุทธิ์ มนุษย์ผู้นั้นสามารถอธิษฐานเลือกเกิดได้ในเทวโลกนี้ทั้งหกชั้น”

    ธรรม เพ่งพินิจความงดงามในส่วนหนึ่งของมหาปราสาทสีทองอันสุกปลั่ง เพ่งพินิจเลยไปยังสวนสวรรค์เบื้องนอกไกลออกไปยังแผ่นพื้นแมกเมฆปุยทองคำฟูอ่อนนุ่ม อาณาจักรสวรรค์ล้วนประกอบด้วยทิพยสุวรรณและรัตนหลากสีสดสวยเกินพรรณนาน่าสัมผัส น่าสถิตอยู่ชั่วนิจนิรันดร ทำให้เขารำลึกถึงมนุษยชาติร่วมสมัยผู้เกิดมาเมื่อมีพระศาสนาของพระพุทธโคดมเป็นสรณะยึดมั่นแล้ว เขาจึงรำพึงอยู่ในดวงจิตอย่างปีติว่า

    “การรักษาศีลห้า เป็นเพียงคำสั่งสอนเบื้องต้นของพระพุทธองค์ซึ่งสมณสงฆ์ผู้สืบทอดพระศาสนาเพียรกล่าวย้ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้ญาติโยมพึงรักษา ปาณา อทินนา มุสา กาเม สุรา ให้ได้เป็นกิจวัตร มนุษย์ผู้ใดพึงระลึกได้และรู้เท่าทันเพียงปฏิบัติเท่านั้นก็จะมาสถิตในทิพยสถานแดนดาวดึงส์อันน่ารื่นรมย์ได้ไม่ยาก”

    “จริงแท้ดังจอมเทพพยากรณ์ มนุษย์ร่วมสมัยกับข้าพเจ้าเพียงแต่เปิดตำราอ่านแล้วปฏิบัติตนตามนั้นด้วยจิตศรัทธาย่อมถึงสวรรค์ได้แล้ว ผิดกับสมัยที่พระองค์เกิดเป็นมาฆะในโลกที่ยังว่างพระศาสนาจะหันหน้าไปถามไถ่ผู้ใดว่าศีลคืออะไร ก็ไม่มีใครทราบใครรู้จัก เทพท้าวสักกะท่านเพียรสร้างกุศลกรรมถูกทางด้วยเหตุผลธรรมชาติในการให้ความสุขแก่ผู้อื่น อานิสงส์แห่งความเพียรโดยไม่มีผู้ใดคอยสั่งสอนเช่นนั้นนั่นเอง พระองค์ท่านจึงบังเกิดในตำแหน่งจอมเทพผู้เป็นใหญ่ทีเดียว”

    ธรรม วิสัชนา เมื่อได้พิจารณาอย่างล้ำลึก
    “จริงแท้ดังที่ท่านวิสัชนา อานิสงส์อย่างยิ่งยอดมักจะเกิดขึ้นด้วยความเพียรเป็นที่สุด”
    เทวราชเสริมส่งเป็นสัจเทพอันปรากฏในญาณ
    “ในสมัยของข้าพเจ้า มีพระภิกษุสงฆ์บำเพ็ญศีลเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าใคร่จะทราบด้วยทิพยญาณของพระองค์อีกว่า พระภิกษุสงฆ์ที่บำเพ็ญศีลบริสุทธิ์สมควรที่จะขึ้นมาบังเกิดในชั้นใด”

    เทวราชสักกะส่งกระแสทิพยเนตรขึ้นสู่เบื้องบนนิดหนึ่ง
    “เราเพียงแต่พยากรณ์ด้วยวิถีธรรมตามหลักแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่ปรากฏอยู่ ฤาษีก็ดี ชฎิลก็ดี ผู้บำเพ็ญตบะรักษาศีลแห่งตน แม้กระทั่งพระสมณะในพระศาสนาของพระโคดมก็ดีที่จะบังเกิดต่อไป ถือเป็นผู้รักษาพรหมจรรย์แห่งตนและบุคคลอื่น พระภิกษุสงฆ์ผู้บริสุทธิ์เช่นนั้นมีพระบารมีเหนือเทพในเทวโลกทั้งหกชั้นมากมายนักน่าที่จะบังเกิดในภพที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไปเช่นในพรหมโลกหรือบางองค์ไม่ปรารถนาการเกิดก็จะกระทำนิพพานกิริยาหลุดพ้นวงจรเสด็จตามพระพุทธองค์อันเป็นภาวะวิสุทธิภูมิในที่สุดฉะนั้น”

    “ต่อไปในโลกภพจะบังเกิดพระศาสนาต่างๆ เป็นจำนวนมาก ข้าแด่จอมเทพ ท่านจะพยากรณ์ได้เพียงใดว่า พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็ดี นักบวชในศาสนาอื่นๆ ก็ดี พึงจะเข้าถึงการบังเกิดในพรหมโลกเช่นเดียวกันทั้งหมดหรือไม่”

    “เราจะไม่พึงพยากรณ์เช่นนั้น เราจะพึงพยากรณ์จากบุญที่เราเคยประสบมาแล้วด้วยตนเองในสมัยที่เราเป็นมาฆะมาณพ ผู้ที่ทำดี ทำบุญ ไม่ฆ่า ไม่โกงลักขโมย ไม่โกหก ไม่ผิดลูกเมียเขา ละเว้นการดื่มสุราเสีย เข้าลักษณะปัญจศีลแล้วสร้างสมความดีงามทำกิจการให้ส่วนรวมเป็นสุข บุคคลเช่นนั้นเป็นผู้ทำดีทำบุญย่อมถึงสวรรค์ ส่วนนักบวช นักพรต ฤาษี แม้สมณะผู้ประพฤติพรหมจรรย์โดยเคร่งครัดหรือผู้ใดที่ประพฤติเช่นนี้ได้ทำจิตเข้าถึงฌานแล้ว ผู้นั้นเข้าถึงพรหมโลก แต่ถ้านักบวช นักพรต ฤาษี สมณะใดมิได้ปฏิบัติถึงฌานขึ้นชื่อเป็นพระเพียงเท่านั้นก็หาถึงพรหมโลกได้ไม่”

    “ย่อมหมายความว่า เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ผู้ที่จะมาบังเกิดไม่จำกัดเชื้อชาติศาสนา ทุกชีวิตคนและสัตว์ถ้าประพฤติถึงบุญด้วยจิตก็จะบังเกิดได้ในสวรรค์ และถ้าบำเพ็ญได้ถึงฌานก็จะบังเกิดได้ในพรหม”
    ธรรม จำกัดความอย่างกว้างไกล
    “ถูกต้องเช่นนั้นอาคันตุกะ”
    จอมเทพรับรองเป็นสัจเทพอีกครั้งหนึ่ง
    กายทิพย์ธรรมบุรุษ ผู้กำลังท่องเที่ยวย้อนอดีตจึงจารึกแด่มนุษยชาติที่ยังสับสนอยู่ในสมัยนี้ ในความเข้าใจของคนอีกส่วนมากว่า

    “ที่เข้าใจกันว่าคนที่เชื่อถือในลัทธิศาสนาใด ย่อมมีสวรรค์เฉพาะศาสนานั้นแตกต่างกันไป ไม่เป็นความจริง ความจริงสวรรค์ พรหม เป็นสมบัติกลางเป็นธรรมชาติทั่วไป ผู้ใดในโลกภพกละโลกธาตุประพฤติถึงด้วยจิต ผู้นั้นย่อมถึงสวรรค์ ถึงพรหมในมิติเช่นเดียวกัน

    เทวโลก พรหมโลก เป็นสมบัติกลางของธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในหมื่นโลกธาตุและอนันตจักรวาล สำหรับวิสุทธิภูมิ คือนิพพานนั้นมีปรากฏสถานเดียวเป็นโลกุตระประณีตโปร่งใสบริสุทธิ์บริบูรณ์เหนือภาวะอันประณีตแห่งหมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาลทั้งสิ้นทั้งปวง”
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทวดาโกลาหล

    ธรรม บำรุงศีล ลุล่วงเข้ามาในกาลอดีต เทวราชสักกะคงปกครองแดนดาวดึงส์ครอบคลุมจาตุมหาราชิกาถึงโลกภพด้วยความสงบสุขตามกุศลของสัตว์ทั้งหลายอันจะพึงได้รับ กาลล่วงมาอีกวาระหนึ่ง เทวดาทั่วทั้งฉกามาพจร ได้รับแจ้งบอกเหตุจากเทวดา คณะ “โลกพยูหะ” ซึ่งเป็นเทวดาเหล่าตรวจตราโลกภพโลกธาตุ โลกพยูหะแจ้งว่ามีลางบอกเหตุถึงกัปปโกลาหล คือนับจากนี้ต่อไปอีกเป็นแสนๆ ปี โลกภพจักถึงคราวพินาศเสื่อมบุญ ความร้อนแรงแห่งกิเลสโลกีย์จะเผาผลาญเหมือนแม่น้ำในมหาสมุทรจักเหือดแห้ง มหาปฐพีและขุนเขาสิเนรุจักมอดไหม้ความเสื่อมพินาศอันรุนแรงจะลุกลามขึ้นมาถึงเทวโลกและพรหมโลกทีเดียว เทพเทวามหาพรหมก็จะได้รับผลกระทบในความเสื่อมอันจักปรากฏมาแต่โลกภพเมื่อถึงวาระนั้น เมื่อนั้นอายุขัยของมนุษย์จะหดเหลือเพียง 10 ปี

    “ความพินาศเสื่อมถอยจะบังเกิดเพราะมนุษย์สัตว์เสื่อมกุศลไม่รู้จักความดีความชั่วอันเป็นสัจจะ ไม่รู้จักเคารพบำรุงมารดาบิดา ไม่ยำเกรงญาติผู้ใหญ่ในตระกูล ท่านผู้รู้พึงสดับแล้วจงหมั่นเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จงบำรุงมารดาบิดา จงยำเกรงในท่านผู้ใหญ่ในตระกูลให้มั่นคงเถิดจึงจะอยู่เหนือพ้นความพินาศได้”

    โลกพยูหเทวะป่าวประกาศก้องไปทั่วสวรรค์อันเป็นการประกาศถึง “กัปปโกลาหล” เป็นการสำคัญในครั้งแรก ท้าวสักกะจอมเทพทรงจารึกไว้ในดาวดึงส์และทรงเตือนเทพให้ถึงระมัดระวังตั้งมั่นในกุศลกรรมอันเป็นทางแก้ไว้อย่าได้ประมาท

    ล่วงใกล้เข้าแห่งกาลเวลานับพันปีก่อนพระพุทธโคดมจะบังเกิดเทวดาฝ่ายโลกบาลอีกคณะหนึ่งได้ป่าวประกาศเป็นโกลาหลด้วยความปีติทั่วสวรรค์ว่า
    “ล่วงจากนี้ไปอีกพันปี จักเกิดพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้าขึ้นในโลกเพื่อจะช่วยสงเคราะห์นำทางให้มนุษย์และสัตว์ตลอดถึงเทวโลก พรหมโลกให้ข้ามโอฆะห้วงเหวแห่งกิเลสตัณหาได้”

    หมู่เทพเทวดาทั้งสวรรค์พากันปีติยินดีเป็นโกลาหลที่จักได้มีพระพุทธเจ้าบังเกิดเป็นที่พึ่ง ท้าวสักกะจึงทรงจารึกไว้ในดาวดึงส์เป็นการจารึกสำคัญชื่อว่า “พุทธโกลาหล”

    อดีตกาลล่วงใกล้เข้ามาอีกถึงช่วงร้อยปีก่อนเกิดพระโคดม เทวะคณะหนึ่งด้วยความปีติยินดีเป็นที่ยิ่งที่ทราบว่ากาลใกล้กำหนดพระจักรพรรดิราชเจ้าจะเกิดมาช่วยโลกช่วยสวรรค์แล้วจึงพากันป่าวประกาศก้อง

    “จากนี้ไปอีกร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิราชจะเกิดขึ้นเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว”
    เทพเทวดาทั้งหลายทั้งปวงดีใจกันเป็นโกลาหลเป็นวาระที่สาม
    ท้าวสักกะทรงจารึกไว้เป็นสำคัญในดาวดึงส์เรียกว่า “จักกวัตติโกลาหล”

    ล่วงใกล้ร้อยปีเข้ามาจากปรากฏการณ์จักกวัตติโกลาหลคราวนั้นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญยิ่งก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เบื้องบนสวรรค์เทพเทวาทั้งหมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาลที่มีปรากฏเบื้องบนได้มารวมอยู่ในสวรรค์สภาแห่งเดียวกันเพื่อประชุมใหญ่
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สภาสวรรค์

    สภาสวรรค์อันทรงยศ มีท้าวมหาพรหมองค์อาวุโสเป็นองค์ประธาน ประกอบด้วยท้าววสวัตตีผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ท้าวสุนิมมิตะแห่งสวรรค์ชั้นนิมานรดี ท้าวสันตุสิตะแห่งสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวสุยามะแห่งสวรรค์ชั้นยามา ท้าวสักกะแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และท้าวมหาราชทั้งสี่แห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาทั้งหลายทุกจักรวาลเป็นเทพมนตรีในที่ประชุม ทวยเทพเทวดาทั้งพรหมโลกเทวโลกเป็นองค์ประชุมเพื่อสรรหาองค์เทพผู้ถึงพร้อมด้วยพุทธสมบัติที่จะทรงจุติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

    ในที่สุดที่ประชุมใหญ่ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ พิจารณาแล้วเห็นว่าพระมหาโพธิสัตว์องค์เทพซึ่งมีชื่อว่า “ท้าวสันดุสิต” ผู้สถิตในภพดุสิตแห่งจักรวาลนี้ แต่พระองค์เดียวเป็นผู้ถึงพร้อมพร้อมด้วยพุทธสมบัติดังกล่าวคือ

    “พระมหาโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมี 10 ทัศ ครบถ้วนทุกประการเป็นการบำเพ็ญคุณความดีอย่างยิ่งยวดมาหลายภพหลายชาติ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา มุ่งบรรลุจุดหมายอันสูงส่งมิใช่ปรารถนาสมบัติท้าวสักกะ มิใช่ปรารถนาสมบัติมาร มิใช่ปรารถนาสมบัติพรหม มิใช่ปรารถนาสมบัติจักรพรรดิ แต่พระองค์ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพื่อช่วยขนสัตว์ข้ามโอฆสงสาร”

    เทวดาทั้งหมื่นโลกธาตุจึงทูลถวายพร้อมกัน
    “ข้าแต่พระมหาวีระ นี้เป็นกาลสมควรสำหรับพระองค์ ขอพระองค์โปรดอุบัติในครรภ์พระมารดาเพื่อจะทรงช่วยมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสาร โปรดจงตรัสรู้อมตบทเถิด”

    ท้าวสันดุสิตโพธิสัตว์ ได้รับแจ้งทูลวอนขอโดยสภาสวรรค์เช่นนั้น ยังมิได้ประทานปฏิญญารับคำโดยทันที พระองค์ทรงตรวจดู “มหาวิโลกนะ 5” ตามหลักพุทธปฏิปทาซึ่งพระพุทธองค์แต่กาลก่อนพึงปฏิบัติ คือตรวจดูด้วยทิพยญาณในสิ่งสำคัญอันยิ่งใหญ่ 5 ประการ เป็นปัญจมหาวิโลกนะ มีการตรวจดู “กาลอันสมควร” “ทวีปอันสมควร” “ประเทศอันสมควร” “ตระกูลอันสมควร” “พระชนนีอันสมควร” พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาถึงกาลอันเหมาะสมเป็นประการแรก

    “ในกาลนี้ อายุขัยของมนุษย์โลกภพโดยทั่วไปสั้นยาวเป็นประการใด เพราะถ้าในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยสูงกว่าแสนปีขึ้นไปยังไม่ชื่อว่าเป็นกาลอันสมควร เนื่องจากมนุษย์มีอายุยืนยาวมากจนไม่คำนึงเห็นชาติ ชรา มรณะ เป็นสำคัญ เนื่องจากอยู่ในกาลเวลาอันยาวนานจนมิอาจพิจารณาได้ถึงความทุกข์อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสังขารเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันเป็นสัจธรรมที่พระพุทธองค์จะทรงสั่งสอนให้มนุษย์พึงสังวรเข้าใจได้นั้นจึงเป็นการพ้นวิสัยที่มนุษย์ในยุคเช่นนั้นจะพึงเข้าใจได้

    และถ้ามนุษย์อยู่ในยุคอายุขัยต่ำกว่าร้อยปีลงมา ก็ถือเป็นกาลไม่สมควรเช่นกัน เพราะมนุษย์ที่เข้าสู่อายุขัยอันสั้นเกินไปเช่นนั้นจะเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสตัณหาหนาแน่นเข้าใกล้กลียุค มนุษย์ที่มีจิตใจพอกพูนด้วยอาสวกิเลสเช่นนั้นก็จะไม่สามารถเข้าใจในหลักธรรมได้ จึงไม่อยู่ในฐานะที่ควรรับฟังพระพุทธโอวาท ก็ถือเป็นกาลไม่สมควร

    กาลอันสมควรของมนุษยชาติที่จะพึงมีพระพุทธเจ้าลงไปอนุเคราะห์เพื่อข้ามพ้นโอฆสงสาร คือยุคระหว่างที่มนุษย์มีอายุขัยตั้งแต่แสนปีลงมา และร้อยปีขึ้นไป บัดนี้อยู่ในระหว่างกาลเวลาที่มนุษย์ทั้งหลายมีอายุขัยร้อยปี จึงเห็นว่าเป็นกาลสมควรที่จะบังเกิด”
    พระโพธิสัตว์พิจารณามหาวิโลกนะได้ในประการที่ 1

    ในประการต่อไปจึงพิจารณาถึงทวีป
    “พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมบังเกิดในชมพูทวีปเท่านั้น คือในภพหยาบของมนุษยโลกมิใช่กึ่งหยาบกึ่งละเอียดเช่นอุตตรกุรุทวีปหรืออมรโคยานทวีป หรือปุพพเทหทวีป เมื่อได้รับคำทูลวอนให้ไปบังเกิดในชมพูทวีป ก็เห็นเป็นทวีปอันสมควร”
    พระโพธิสัตว์พิจารณามหาวิโลกนะได้ในประการที่ 2

    ในประการต่อไปทรงพิจารณาตรวจดูประเทศ
    “พึงพิจารณาพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะบังเกิดในมัชฌิมประเทศ ประเทศในกลุ่มแถบตอนกลางของโลก ในบัดนี้พึงพิจารณาที่จะเกิดในอินเดียประเทศ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ถือเป็นประเทศที่สมควร”
    พระโพธิสัตว์พิจารณามหาวิโลกนะได้ในประการที่ 3

    ต่อไปทรงพิจารณาถึงตระกูล
    “เรากำหนดที่จะไปบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ อันเป็นตระกูลที่พระพุทธเจ้าเคยเกิด กษัตริย์ที่เราจะไปบังเกิดในตระกูลคือ พระเจ้าสุทโธทนะจักเป็นพระชนกของเรา”
    พระโพธิสัตว์พิจารณามหาวิโลกนะได้ในประการที่ 4

    และในประการสุดท้ายทรงตรวจดูพระชนนี
    “พระนางเจ้ามหามายามเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนะเป็นสตรีมีศีล 5 ไม่ขาด สมควรที่จะเป็นพระชนนีของเรา ทั้งทรงเห็นว่าพระนางจะทรงมีพระชนมายุอยู่อีกเพียง 7 วัน หลับครบทศมาสแล้ว จึงเห็นเป็นการสมควรที่จะเป็นพุทธมารดาได้”
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ปฏิญญาพระโพธิสัตว์

    พิจารณาปัญจมหาวิโลกนะได้ครบถ้วนเห็นเป็นการสมควรครบถ้วนทุกประการ ท้าวสันดุสิตโพธิสัตว์จึงประทานปฏิญญาแก่เทวดาทั้งหลายต่อสภาสวรรค์

    เราตรวจดู ปัญจมหาวิโลกนะครบถ้วน เป็นการสมควรแห่งกาลเป็นพระพุทธเจ้าของเราแล้ว เราพร้อมที่จะไปอุบัติในครรภ์พระมารดาเพื่อช่วยมนุษยโลกและเทวโลกให้ข้ามโอฆสงสาร ณ บัดนี้

    พลันกายทิพย์แห่งท้าวสันดุสิตโพธิสัตว์ซึ่งแวดล้อมอยู่ด้วยทวยเทพทั้งมวลที่กำลังอวยชัยมงคลก็จุติไปถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางมหามายาเทวี โดยดาวนักขัตอุตตาสาธทั่วหมื่นโลกธาตุก็สะท้านไหวพร้อมกันในคราวเดียว บุพนิมิต 32 ประการ ก็ปรากฏทั้งโลกธาตุและโลกภพ

    บุพนิมิตในเบื้องแรกทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุไหวหวั่นสะเทือนทั่วถึงกัน เป็นนิมิตหมายแห่งการจะบรรลุได้พระสัพพัญญุตญาณของพระองค์ในวาระต่อไป
    การที่ทวยเทพเทวดาทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันในจักรวาลเดียวเป็นนิมิตหมายแห่งการประชุมพร้อมเพรียงกันเพื่อรับธรรมในกาลที่พระองค์จะทรงแสดงพระธรรมจักร

    ขณะพระโพธิสัตว์เสด็จปฏิสนธิในครรภ์ เทวดาทั้งหลายรับก่อนเป็นนิมิตหมายแห่งการได้รูปาวจรฌาน 4 มนุษย์รับต่อมาในภายหลัง เป็นนิมิตหมายแห่งการได้อรูปวจรฌาน 4

    กลองทั้งหลายประโคมได้เองโดยมิมีใครมาตีประโคม เป็นนิมิตหมายถึงมหาชนที่จะได้ยินเสียงกลองแห่งธรรมะ เพลงพิณบรรเลงได้เองโดยมิมีผู้บรรเลง เป็นนิมิตหมายแห่งการได้อนุบุพวิหารสมาบัติ
    โซ่ตรวนเครื่องพันธนาการทุกแห่งในโลกภพที่รัดรึงผู้คนอยู่ก็ขาดหลุดออกได้เอง เป็นนิมิตหมายแห่งการตัดอัสมิมานะ
    มนุษย์ใดที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บอยู่ก็หายเจ็บป่วยโดยพลันเป็นนิมิตหมายแห่งการได้ผลแห่งสัจจะ 4
    คนตาบอดมาแต่กำเนิดก็กลับเห็นขึ้นมาในบัดนี้ เป็นนิมิตหมายแห่งการได้ทิพยจักษุ
    คนหูหนวกก็กลับกลายเป็นหูดี เป็นนิมิตหมายแห่งการได้ทิพยโสตธาตุ
    คนใบ้แต่กำเนิดก็กลับพูดได้ เป็นนิมิตหมายแห่งการได้สติปัฏฐาน 4
    คนขาพิการก็กลับเดินได้ เป็นนิมิตหมายแห่งการได้อิทธิบาท 4
    การกลับมาสู่ท่าเรือได้เองของเรือที่เดินทางไปต่างประเทศอย่างรวดเร็วก่อนกำหนดเป็นนิมิตหมายแห่งการบรรลุปฏิสัมภิทา 4
    รัตนะทั้งหลายในโลกหล้าก็เรืองแสงได้เองไปโดยรอบเป็นนิมิตหมายแห่งการได้แสงสว่างในธรรมะ
    ไฟร้ายในนรกก็ดับลงทั้ง 11 กอง เป็นนิมิตหมายแห่งการดับไฟในกิเลสคน
    แม่น้ำทั้งหลายซึ่งเคยไหลก็หยุดนิ่งสนิท เป็นนิมิตหมายแห่งการได้จตุเวสารัชญาณ
    แสงสว่างโชติช่วงบังเกิดขึ้นในโลกันตริกนรกอันมืดมิดเป็นนิมิตหมายแห่งการกำจัดความมืดคืออวิชชา
    น้ำอันเคยเค็มในทะเลและมหาสมุทรกลับมีรสจืดสนิทดื่มได้อร่อยเป็นนิมิตหมายถึงธรรมวินัยมีรสเดียวกัน คือรสพระนิพพาน
    มหาพายุลมแรงอันร้ายกาจก็หยุดพัดนิ่งสนิทในบัดดล เป็นนิมิตหมายแห่งการทำลายทิฐิ 62
    ไม้ดอกทั้งหลายก็พากันบานสะพรั่งนอกฤดูกาล เป็นนิมิตหมายแห่งธรรมวินัยที่เบ่งบาน
    พระจันทร์เจ้าแจ่มแสงจรัสจ้าผิดปกติ เป็นนิมิตหมายแห่งพระองค์จะเป็นที่รักใคร่นับถือบูชาของมหาชนทั้งหลาย
    ดวงอาทิตย์สว่างสุกใสขึ้นกว่าที่เคยปรากฏแต่หามีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นไม่ เป็นนิมิตหมายแห่งความสุขกายสบายใจของมวลมนุษยชาติ
    ฝูงนกพากันโผบินลงจากฟากฟ้าและยอดไม้สู่พื้นแผ่นดินทั้งสิ้น เป็นนิมิตหมายถึงมหาชนที่ฟังพระโอวาทแล้วถึงสรณะด้วยชีวิต
    ฝนทั้งสี่ทวีปพากันหลั่งชโลมตกลงมาพร้อมกันเป็นห่าใหญ่ เป็นนิมิตหมายถึงธรรมทิพย์ที่จะชโลมสู่จิตมนุษย์ให้เยือกเย็นโดยทั่วไป
    เทพเทวดาแต่ละภพทิพย์พากันปีติรื่นเริงบันเทิงใจ เป็นนิมิตหมายถึงการที่พระพุทธองค์จะทรงบรรลุตรัสรู้แล้วทรงเปล่งพระอุทานด้วยปีติ
    ประตูบานเล็กบานใหญ่ที่ลงกลอนลั่นดาลกลับเปิดปิดได้เองเป็นอัศจรรย์ เป็นนิมิตหมายแห่งการเปิดประตูมรรคองค์ 8
    ความหิวกระหายของมนุษย์พลันสลายหายไปสิ้นขณะนี้ เป็นนิมิตหมายแห่งการได้อมตะด้วยกายคตาสติ และมีความสุขในวิมุตติ
    เหล่าสัตว์ซึ่งเคยจองเวรซึ่งกันและกันก็กลับมีเมตตาจิตกัน เป็นนิมิตหมายแห่งการได้พรหมวิหาร 4
    รอบๆ หมื่นโลกธาตุก็เกลื่อนด้วยจุรณจันทน์หอมกรุ่นอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้ทิพย์ หญ้าฝรั่นและธูป มีมาลัยเป็นธงใหญ่งดงามโบกพลิ้วอยู่ทั่วไป เป็นนิมิตหมายถึงพระศาสนาของพระพุทธองค์จะนำความเจริญอริยะมาสู่มวลมนุษยชาติและเทวชาติโดยทั่วไป

    ท้าวสักกะเทวราชแห่งดาวดึงส์ เทพมนตรีพระองค์หนึ่งในสภาสวรรค์ ประสบนิมิตอัศจรรย์เป็นมหามงคล ทรงรำลึกถึงธรรมบุรุษในกายทิพย์ผู้มาจากพระศาสนาของพระโคดมผู้ทรงฤทธิ์ซึ่งเพิ่งจะเริ่มบังเกิดปฏิสนธิในครรภ์มารดาพระองค์ทรงทึ่งในพระทัยและปีติยิ่งนักที่จะได้พบพระศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่จะบังเกิดขึ้นอนุเคราะห์โลกภพโลกธาตุอีกวาระหนึ่ง

    พระอินทร์ หรือท้าวสักกะเทวราช ทรงตั้งสัจปณิธานปวารณาพระองค์เพื่ออำนวยความสะดวกด้วยประการทั้งหลายทั้งปวงที่จะเสริมพระบารมีสนับสนุนพระโคดมในการบำเพ็ญเพียรเพื่อทรงบรรลุอมตธรรมในกาลครั้งนี้

    “เป็นหน้าที่โดยประเพณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งเทวราชสักกะผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์อันอยู่ใกล้กับโลกภพที่จะต้องพิทักษ์อารักขาป้องกันอุปัทวเหตุทั้งหลายทั้งปวง ป้องกันหมู่มารเทวปุตมารที่จะคอยจ้องทำลายทำร้ายพระมหาโพธิสัตว์เจ้าในการบำเพ็ญเพียรเพื่อมหากุศลอันยิ่งใหญ่”
    เทวราชตรัสกล่าวเล่าบอกธรรมบุรุษในกายทิพย์ที่ยังสถิตสนทนาในขณะนี้

    ธรรมบุรุษ ผู้มั่นอยู่ในศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนามิเคยทราบมาก่อนถึงเหตุแห่งเทพเทวดาทั้งหลายที่พากันปรากฏสงเคราะห์การบำเพ็ญเพียรของพระพุทธองค์ตามพุทธประวัติที่ศึกษามาก็เพิ่งทราบ ณ บัดนี้ว่า


    แดนดาวดึงส์
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    “เนื่องจากเทพเทวดาทั้งหลายทั้งปวงนี่เองเป็นผู้อ้อนวอนกราบทูลเพื่อให้พระโพธิสัตว์จุติลงไปบังเกิดในโลกภพ เพื่อยังช่วยมนุษย์และเทวะให้ข้ามโอฆสงสาร เมื่อพระโพธิสัตว์ผู้ถึงพุทธสมบัติทรงรับปฏิญญาลงไปบังเกิดเพื่อการณ์ดังกล่าวแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของเทพเทวดาทั้งหลายทั้งปวงที่จะคอยดูแลสอดส่องเพื่อให้กุศลกรณีสำเร็จลุล่วงไปดังจุดประสงค์ เทพเทวดาทุกองค์จึงพึงมีส่วนร่วมในกุศลกรณียกิจด้วยเหตุดังนี้นี่เอง” กายทิพย์ธรรมรำพึงในใจ

    วาระนี้ ท้าวสักกะเทวราชมีเทวบัญชาให้เทวบุตร 4 องค์ ถือพระขรรค์ ทำหน้าที่อารักขาป้องกันอุปัทวเหตุแก่พระโพธิสัตว์ผู้ถือปฏิสนธิ และพระชนนีของพระองค์ให้ปลอดภัยอย่าได้บกพร่องและคอยนิมิตอำนวยทิพยกรณีให้แก่พระองค์และพระชนนีตลอดระยะเวลาต่อไป
    เทวบุตรทั้ง 4 จึงมีหน้าที่ดังกล่าวตามเทวบัญชานับเนื่องจากบัดนี้เป็นต้นไป

    นับแต่พระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จปฏิสนธิในพระครรภ์ พระนางมหามายาเทวี โลกิยกามอันเคยมีเป็นวิสัยมนุษย์ในโลกภพของพระนางก็มิได้เกิดในพระอารมณ์อีกต่อไป คือราคะจิตที่อันจะพึงมีในพระสวามีก็ดี หรือบุรุษก็สิ้นไปด้วยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ให้ทรงตัดอาสวกิเลสลง ด้วยมิใช่เป็นพระนางมนุษย์เหมือนเช่นเดิมต่อไปอีกแล้ว แต่พระนางเป็นพระมารดาของพระโพธิสัตว์ซึ่งถึงพร้อมด้วยพุทธสมบัติที่จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในไม่ช้า พระชนนีจึงได้แต่ประสบลาภยศอันเลิศ มีสุขทุกเมื่อ พระวรกายมิลำบาก แม้จะต้องอุ้มอุทรอันมีครรภ์

    ยามใดที่พระนางเหลือบลงมองพระอุทรอันกลมมน พระนางมองเห็นเข้าในภายในโปร่งแสง มีประกายเรืองรองเป็นแก้วมณีใสบริสุทธิ์สถิตอยู่ในช่องพระครรภ์อันดวงแก้วมณีประดิษฐ์อยู่ตรงกลางนั้นเป็นเสมือนห้องพระเจดีย์ที่สถิตของเทพเบื้องสูงสุดแต่พระองค์เดียวเท่านั้น และไม่เป็นการสมควรที่จะเป็นสถานสถิตของผู้ใดอื่นอีกต่อไป

    “ด้วยเหตุเช่นนี้ฤา พระมารดาของพระโคดมจึงต้องถึงกาลทิวงคต ทำกาละไปบังเกิดในสรวงสวรรค์เสียเมื่อพระโพธิสัตว์เกิดได้ 7 วัน”
    ธรรมบุรุษรำพึงถาม
    “เป็นเช่นเหตุดังเข้าใจแล้วนั้น ท่านธรรมบุรุษ”
    จอมเทพเสริมยืนยัน
    “พระมารดาของพระโพธิสัตว์เมื่อจะถึงคราวกาละแล้วพระนางจะไปบังเกิดสถานใด”
    “ดุสิตสวรรค์ เตรียมวิมานอันงดงามยิ่งไว้ต้อนรับพระนางแล้ว” ท้าวสักกะพยากรณ์เช่นนั้น
    ลุล่วงจากวาระที่พระโพธิสัตว์เสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระมารดา 10 เดือนเต็ม เป็นเวลาเพียงอึดใจเดียวบนสวรรค์ พระโพธิสัตว์ก็ถึงกำหนดประสูติกาล

    วาระอันสำคัญนี้พระนางมหามายา ซึ่งมีพระครรภ์บริบูรณ์ได้บังคมทูลลาพระเจ้าสุทโธทนะ ทูลกระหม่อมไปยังเทวทหนคร เมืองมาตุภูมิ พระนางประทับนั่งในวอทองใหม่เอี่ยมที่เตรียมไว้พร้อมด้วยราชบริพารกลุ่มใหญ่เดินทางผ่านแนวแมกไม้อันร่มรื่นมาถึงยังสวนลุมพินีวัน ครานั้นเทพท้าวสักกะแสดงนิมิตแด่หมู่เทพแห่งดาวดึงส์ให้พึงทราบถึงวันอันเป็นมหามงคล พร้อมกับเทวบัญชาหมู่เทพจำนวนหนึ่งลงไปแสดงนิมิตเสริมพระบารมีพระโพธิสัตว์เจ้าให้พันธุ์ไม้ดอกสาละออกดอกบานกลีบสีชมพูอิฐแกมเหลืองเขียวห้อยย้อยระย้าตามช่อกิ่งซึ่งยาวเป็นงวงพระยาคชสารออกมาจากลำต้นบานสะพรั่งตั้งแต่โคนจนถึงยอดหมู่แมลงผึ้งและผีเสื้อแสนสวยจำนวนมากบินตอมลิ้มน้ำหวานจากเกสรกระหึ่มอยู่เป็นทัศนวิสัยที่น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เสมือนสวนนันทวันแดนสำราญแห่งเทพ พระนางสิริมหามายาทรงมองลอดพระม่านผ่านไปเห็นเข้าก็นึกปีติยินดีที่จะหยุดพัก ณ ที่นั้น เพื่อจะชมเชยช่อดอกสาละอันบานดกดื่นผิดปกติอย่างไม่เคยประสบมาแต่ก่อน

    “เราไม่เคยเห็นดอกสาละที่เบ่งบานสวยงามและดกดื่นตั้งแต่โคนต้นไปถึงยอดมาก่อนเช่นนี้เลย จงหยุดขบวนให้เราลงไปชมสักครู่หนึ่งก่อนเถิด”
    พระนางมีพระราชเสาวนีย์ เหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพารจึงหยุดขบวน พระนางเสด็จไปยังสาละต้นหนึ่งที่เทพจากดาวดึงส์มาเสริมนิมิต ขณะที่ท้าวเธอเอื้อมพระกรจะจับกิ่งซึ่งอยู่สูงขึ้นไป พลันกิ่งสาละกิ่งนั้นก็โน้มลงมาเองสู่พระกรพุทธมารดาที่กำลังเอื้อมขึ้นเพียงเล็กน้อยเป็นอัศจรรย์เห็นกันทั่วไปในเหล่าราชบริพารที่ห้อมแหน ขณะที่พระกรข้างขวาโน้มกิ่งสาละและช่อดอกอันเป็นใจโน้มลงมาเองเหมือนมีชีวิต ในทันทีนั้นเอง ลมกัมมัชวาตภายในครรภ์ของพระนางก็ไหวเตือน

    “เรารู้สึกว่ากำลังเริ่มเจ็บท้องแผ่วเบาขึ้นแล้ว”
    ข้าราชบริพารได้ยินเข้าก็พากันสับสนอลหม่านด้วยทราบว่าประสูติกาลกำลังมาถึง พวกหนึ่งที่มีสติปัญญาก็รีบนำผ้าม่านมากางกั้นเป็นกำแพงบัง แล้วให้พวกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหลีกพ้นไปทางอื่นคงเหลือแต่หมอหลวงและผู้ช่วยที่จำเป็นที่จะทำประสูติกาล มิทันที่หมอหลวงจะเปิดล่วมยาหยิบเครื่องมือจำเป็นออกมา พระโพธิสัตว์ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระนางเสียแล้วโดยง่ายดายในขณะยืนจับกิ่งสาละอยู่

    “ดูก่อนอาคันตุกะ พระบรมศาสดาของท่านประสูติแล้ว จงโน้มกระแสทิพยญาณสัมผัสถวายชัยมงคลกันเถิด”
    ท้าวสักกะกระทำนมัสการอยู่ ณ เบื้องดาวดึงส์ พลางกล่าวบอกธรรมบุรุษซึ่งติดตามใกล้ชิดและโน้มกระแสสัมผัสมายังโลกภพ
    ธรรมบุรุษ เห็นมหาพรหม 4 พระองค์ กำลังถือชายข่ายทองคำตาละเอียดเหมือนผ้าบางอันอ่อนนุ่มสีเหลืองเลื่อมพรายเข้ารองรับพระโพธิสัตว์ในสังขารพระราชกุมารนั้นไว้แล้วตรัสกระแสเป็นนิมิตว่า
    “ดูก่อนพระเทวี ขอจงทรงดีพระหฤทัยเถิด พระโอรสของพระองค์มีศักดิ์มากสมภพแล้ว”
    พระนางสิริมหามายา ทรงได้ยินสำเนียงกังวานแผ่วเบาเห็นนิมิตท้าวมหาพรหมในสังขารขาวบริสุทธิ์ทั้ง 4 องค์ แวบหนึ่งแล้วอันตรธาน
    ขณะประสูติพระโพธิสัตว์ในสังขารพระราชกุมารทรงเหยียดพระบาทและพระหัตถ์ทั้งสองออกมาจากพระครรภ์ยืนอยู่ พระวรกายแห่งกุมารมิเปรอะเปื้อนด้วยน้ำคาวเหมือนทารกอื่นๆ กลับมีวรรณะหมดจดสดใสรุ่งเรืองเหมือนมณีรัตนะที่ส่องประกายแสง ถึงกระนั้นก็ดี เทพจากดาวดึงส์ซึ่งได้รับเทวบัญชาให้มาเฝ้าปรนนิบัติก็เนรมิตน้ำทิพย์เป็นสายฝนตกลงมาจากอากาศราดรดเฉพาะพระทารกและพระชนนีเป็นสองท่อ โสรจสรงพระองค์ทั้งสองจนสะอาดหมดจด ณ เบื้องนั้น
    มหาราชทั้งสี่จากมหาราชิกาสวรรค์อันมีท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสวัณ ก็ทรงปรากฏ ณ ที่นี้ ถือชายผ้าขนสัตว์เนื้อนุ่มรองรับต่อจากท้าวมหาพรหม ลำดับต่อมาจึงถึงพระนางพี่เลี้ยงราชบริพารยกเบาะขึ้นรองรับอีกทอดหนึ่ง โดยหารู้ไม่ว่ามหาพรหมและจาตุมหาราชรองรับมาแล้วถึงสองทอด
    พระราชกุมารครั้นพระพี่เลี้ยงรับลงสู่เบาะแล้วพระองค์ก็ทรงเคลื่อนลงจากเบาะประทับยืนบนพื้นพสุธาหันพระองค์มองไปทางบูรพาทิศ เทพเทวดาและผู้คนในที่นั้นระคนปนกันอยู่แวดล้อมต่างบูชาด้วยดอกไม้มาลัยของหอม
    ผู้คนเห็นเป็นอัศจรรย์อีกที่พระองค์ทรงยืนได้ ส่วนเทพเทวดาพากันถวายชัยพระราชกุมารทรงหมุนพระกายไปรอบๆ แล้วกลับมาตั้งตรงอยู่ทางทิศเหนือทรงดำเนินไปเบื้องหน้าถึง 7 ก้าวบนพื้นดิน แต่ผู้คนอีกหลายคนกลับกลายเห็นเป็นพระราชกุมารดำเนินลอยไปบนอากาศฉะนั้น ในกาลประสูติวาระเดียวกันแต่ต่างสถานที่กัน พระเทวีมารดาพระราหุล อานันทะ ฉันนะ กาฬุทายีอำมาตย์ พระยาม้ากัณฐกะ ต้นมหาโพธิ์พฤกษ์ และหม้อขุมทรัพย์ทั้ง 4 ก็เกิดในคราวเดียวเป็นสหชาติ 7
     
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ดาบสผู้ทำนาย

    ณ แดนดาวดึงส์เบื้องนี้เหล่าทวยเทพเทวาพากันยินดีปีติร่าเริงบันเทิงใจเป็นที่ยิ่งอยู่ทั่วสวรรค์พากันจับกลุ่มเริงเล่นสะบัดโบกผ้าทิพย์หลากสีสัน เริงระบำทำฟ้อน ประโคมทิพยดนตรีและโปรยปรายดอกไม้ทิพย์พร้อมด้วยจุรณจันทน์ของหอมทุกอาณาจักรทิพยสถานวิมานทอง

    กาฬเทวลดาบส ฤาษีผู้ได้สมาบัติ 8 สิทธาประจำตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนะ กำลังทำสมาบัติบำเพ็ญฌานถอดกายทิพย์ท่องเที่ยวอยู่ในดาวดึงส์แดนสวรรค์ได้มาพบธรรมบุรุษกายทิพย์ผู้สถิตอยู่ก่อนจึงทักทายไถ่ถาม

    “อ้อ ท่านผู้ถึงฌาน ท่านท่องเที่ยวมาจากโลกภพเช่นเดียวกัน เรากาฬเทวละเพิ่งขึ้นมาพักหลังอาหารเพล ได้พบว่าเหล่าทวยเทพทั่วไปในดาวดึงส์ต่างรื่นเริงบันเทิงใจแห่โหมประโคมมโหรีจับระบำรำฟ้อนเหมือนงานมหกรรมอย่างใหญ่หลวง เราผู้มาใหม่ใคร่ถามว่าเทพทั้งหลายปีติยินดีกันด้วยสาเหตุประการใด”

    “ขอคารวะท่านผู้อาวุโส ข้าพเจ้าผู้เกิดในกาลหลังชื่อ ธรรม บำรุงศีล ทราบว่าเหล่าทวยเทพทั่วดาวดึงส์และทั้งหมื่นโลกธาตุทีเดียวพากันร่าเริงบันเทิงใจเนื่องด้วยบัดนี้พระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะประสูติกาลแล้ว ณ เบื้องต้นสาละในอุทยานลุมพินีวันระหว่างทางกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ โอรสพระองค์นั้น จอมเทพท้าวสักกะและทวยเทพทั้งหลายเป็นผู้อ้อนวอนทูลเชิญเสด็จปฏิสนธิและประสูติในโลกภพเพื่ออนุเคราะห์โลกภพโลกธาตุ โอรสพระองค์นั้น จักประทับนั่งที่โพธิมัณฑสถานเป็นพระพุทธเจ้าประกาศพระธรรมจักรอันเป็นอมตธรรมเพื่อยังมนุษย์และเทวะให้ข้ามพ้นโอฆสงสารต่อไป ด้วยเหตุนี้มหกรรมบันเทิงเริงร่าของชาวสวรรค์ทั้งหมื่นโลกธาตุจึงบังเกิด”

    “อ้อ...พระนางมหามายาประสูติพระโอรสแล้ว ระหว่างทางเสด็จไปกรุงเทวทหะ”

    “ขณะนี้มหาอำมาตย์ข้าราชบริพารและชาวนครทั้งสองกำลังแห่แหนพระโอรสและพระมารดากลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์แล้ว ขอท่านผู้อาวุโสฤาษีประจำตระกูลของพระองค์ได้อธิษฐานนิมิตเข้าสู่กายหยาบในพระอาศรมเถิด พระราชากำลังมีพระราชประสงค์จะพบท่าน”

    กาฬเทวลดาบสกล่าวขอบใจผู้ถึงฌานแล้วก็ลงจากเทวโลกเบื้องดาวดึงส์อันสว่างไสวด้วยรัตนะเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ของจอมกษัตริย์เข้านั่งเหนืออาสนะที่พระราชาให้จัดไว้เพราะมีพระราชประสงค์พบพระฤาษีโดยด่วนดังที่ธรรมบุรุษกล่าวบอกเมื่อตะกี้

    “ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระโอรสของพระมหาบพิตรสมภพแล้ว ขออาตมาภาพได้ชมบุญบารมีด้วยเถิด”
    พระเจ้าสุทโธทนะให้นำพระโอรสที่ตกแต่งพระองค์แล้วออกมานำเข้าใกล้ชิดพระสิทธาตบะสูงหวังจะให้พระโอรสไหว้เทวลดาบสเพื่อถือเป็นสิริมงคลแห่งพระราชกุมาร
    เหตุอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นในบัดนั้น
    ปรากฏชัดในพระเนตรแห่งพระราชบิดาและอีกหลายสายตาของผู้ที่อยู่แวดล้อมเห็นองค์พระกุมารเหมือนล่องลอยขึ้นไปประดิษฐานอยู่เหนือชฎาพระดาบสชั่วครู่แล้วจึงลอยลงเบื้องหน้าตามเดิม ทุกผู้พากันตกใจเกรงพระดาบสจะกล่าวว่าทารกล่วงเกิน แต่ในขณะเดียวกันพระดาบสตบะสูงกลับลุกลงจากอาสนะประนมมือไหว้พระกุมารเสียเอง ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดของบรรดาผู้ที่รู้ไม่เท่าทัน
    “ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในโอกาสต่อไป”
    พระดาบสประคองอัญชลีอยู่เช่นนั้นขณะพยากรณ์ดัวยน้ำเสียงปลื้มปีติ
    เมื่อเห็นพระฤาษีที่เคารพสักการะประจำตระกูลประนมมือไหว้พระโอรสอยู่อย่างนอบน้อม พระราชาเห็นเป็นอัศจรรย์จึงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นไหว้พระโอรสของพระองค์เองบ้าง แล้วทุกคนที่อยู่เบื้องหน้าก็พากันกราบไหว้ทารกน้อยกันถ้วนทั่ว
    กาฬเทวลดาบสหลังจากที่ได้ไหว้พระทารกอยู่เป็นเวลานานแล้วจึงทบทวนด้วยอนาคตตังสญาณพิจารณาถึงตนซึ่งมีอายุมากแล้ว
    “เราจะได้เห็นท่านผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่หนอ”
    พิจารณาด้วยญานแล้วก็ทราบว่าตนไม่มีโอกาสจะอยู่ถึงพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าเป็นแน่ ตนจะต้องถึงกาลอายุขัยลงเสียก่อนแล้วไปบังเกิดในอรูปภพ ดินแดนที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่เสด็จไปโปรด เป็นโอกาสที่จักต้องพรากจากการได้พบพระพุทธเจ้าในครั้งนี้จึงรู้สึกเสียใจเป็นที่ยิ่งถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วร้องไห้
    พระราชาแปลกพระทัยยิ่งขึ้น
    “พระดาบสที่เราเคารพ เมื่อกี้พระดาบสหัวเราะอยู่ ปีติอยู่เหตุไฉนบัดนี้จึงกลับมาร้องไห้ อันตรายใดๆ จักเกิดขึ้นกับพระลูกของเราหรือ”
    “มหาบพิตร อันตรายใดๆ ไม่มีแก่พระลูกของพระองค์หรอก พระลูกเจ้าจักเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ที่อาตมาร้องไห้ก็เพราะเกิดความเศร้าใจในตัวเองที่อาตมาภาพจักไม่มีโอกาสได้เห็นพระลูกยาเธอเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราเสียใจจึงร้องไห้”

    ธรรมบุรุษผู้สัมผัสทิพยสถานแดนดาวดึงส์ยังย้อนอดีตกาลอยู่ เมื่อสมัย 2615 ปี แห่งโลกภพที่ล่วงมาแล้ว เทพบนดาวดึงส์และจาตุมหาราชิกาสวรรค์ดูเหมือนจะมีบทบาทใกล้ชิดกับโลกภพมากกว่าเทวะในแดนอื่น องค์ท้าวสักกะเหมือนองค์เทพที่มีบทสำคัญในกิจกรรมที่จะตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แดนดาวดึงส์สวรรค์จึงตกอยู่ภายใต้ภาวะที่จะต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในกุศลกรณียกิจแห่งพระพุทธองค์ในกาลมหามงคลนี้

    ธรรมสัมผัสทราบเช่นนี้แล้วจึงไม่มีความสงสัยอันใดเหลืออยู่เลยในจิตสำนึกที่เคยเคลือบแคลงอยู่
    “ทำไมจอมเทพท้าวสักกะจึงปรากฏในพุทธประวัติบ่อยนัก”
    ความเคลือบแคลงอย่างหนึ่งที่ธรรมเคยใคร่คิด
    “ทำไมเทวดาบนสวรรค์จึงเข้าไปมีบทเกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์มากมายเหลือเกิน”
    ความเคลือบแคลงใจของผู้สัมผัสพระพุทธศาสนาแต่เพียงผิวเผิน
    “สวรรค์มีจริงหรือ เทวดามีจริงหรือ”
    มนุษยชาติทุกยุคทุกสมัยเคลือบแคลงสงสัยเช่นนี้ตลอดมา
    “เมื่ออยากรู้อยากทราบแล้วทำไมจึงไม่เพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามอมตบทซึ่งพระพุทธองค์ทรงจารึกไว้ให้แล้วอย่างจริงจังเล่า”
    ธรรมรำพึงฝากมาถึงมนุษย์จากแดนดาวดึงส์
    “ถ้าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทำไมจึงมีจอมเทพท้าวสักกะเล่า ถ้าเทพท้าวสักกะไม่ใช่พระองค์จริงๆ แล้วทำไมจึงมีมหาปราสาทไพชยันต์เล่า เราพบเราเห็น เราสัมผัสที่นี่ด้วยกระแสฌาน ด้วยสมาธิ ด้วยวิปัสสนากรรมฐานที่พากเพียรมานาน สิ่งที่เรากำลังพบเห็น สิ่งที่เทวดากล่าวกับเราทุกอย่างตรงกันในโลกภพที่ปรากฏมีอยู่เราจึงเชื่อมั่น แต่มนุษย์บางท่านในโลกภพไม่เห็นสวรรค์เพราะมิได้ปฏิบัติให้ตนมาถึงสวรรค์แล้ว ไม่เชื่อว่ามีสวรรค์ จะไม่เป็นการไม่ยุติธรรมแก่ตนเองไปหน่อยหรือ”
    ธรรมบุรุษรำพึงเช่นนั้นเนื่องจากต้องการให้มนุษย์ปรารถนาไขปัญหาสวรรค์ได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองแล้วก็จะหายเคลือบแคลงดังที่ตัวเขาเองกำลังเข้าใจแจ้งขึ้น


    แดนดาวดึงส์
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...