ทำบุญอุทิศกุศลไปให้ยังไง ผีจึงจะได้รับ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ป้อง, 15 พฤศจิกายน 2012.

  1. ป้อง

    ป้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +182
    (one-eye)เมื่อคืนดูรายการทีวีรายการหนึ่ง มีผีมาเข้าคนเพื่อขอให้ทำบุญไปให้ แต่พอทำไปให้เขาก็รับได้บ้างไม่ได้บ้าง ยังคงทนทุกข์ทรมานน่าสงสารมาก เลยลองตัดเอาคำตอบบางส่วนจากหนังสือ "ตอบโจทย์เรื่องผี ชี้ทางวิญญาณ" มาให้อ่านดูกันว่า เราจะทำบุญยังไง แผ่ไปให้แบบไหน ผีจึงจะได้รับบุญนั้น
    :boo:
    เหตุปัจจัยที่จะทำให้การทำบุญอุทิศกุศลไปให้กับดวงวิญญาณของผู้ตายมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น มีอยู่ ๓ ประการได้แก่
    ๑. บุญที่ทำไปให้ – ยิ่งบุญที่ทำไปให้มีกำลังมากเท่าใด ผีทั้งหลายก็ย่อมมีโอกาสรับและอนุโมทนาบุญกุศลเหล่านั้นได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่ง คำว่า “บุญ” มาจากภาษาบาลีว่า “ปุญญะ” แปลว่า “เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์” ดังนั้นการวัดว่าการกระทำใดเป็น “บุญ” มากน้อยเพียงใด จึงไม่ได้วัดที่เงินทองของบริจาค แต่วัดกันที่การกระทำนั้นว่าช่วยชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ได้เพียงใด ในเมื่อการทำบุญหมายถึงการชำระจิตให้บริสุทธิ์ ดังนั้นการกระทำใดที่ช่วยชำระล้างกิเลสออกจากจิตใจ ทำ ให้จิตเกิดความบริสุทธิ์สว่างไสวมากยิ่งขึ้นก็ถือเป็นการทำบุญทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องทำบุญด้วยการให้ทานตักบาตรถวายสังฆทานเพียงอย่างเดียว โดยตามหลัก “บุญกิริยาวัตถุ ๑o” นั้น เราสามารถทำบุญได้ถึง ๑o รูปแบบด้วยกันได้แก่
    ๑.๑. ทานมัย – บุญที่สำเร็จด้วยการบริจาคทาน ซึ่งช่วยชำระกิเลสความโลภออกจากจิตใจเช่น ใส่บาตร ถวายสังฆทาน ให้เงินขอทาน บริจาคโลหิต ฯลฯ
    ๑.๒. สีลมัย – บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล ซึ่งช่วยชำระจิตใจไม่ให้คิดสร้างบาปกรรมชั่วทั้งหลายได้แก่การรักษา ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑o ศีล ๒๒๗
    ๑.๓. ภาวนามัย – บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา ซึ่งช่วยให้จิตใจสะอาดสว่างสงบผ่องใสไกลกิเลสเช่น สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ เดินจงกรม นั่งพิจารณาธรรม ฯลฯ
    ๑.๔. อปจายนมัย – บุญที่สำเร็จด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพในผู้มีพระคุณ ซึ่งช่วยให้เป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณอยู่ในจิตใจเช่น การกราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ รู้สำนึกในคุณความดีของท่าน และนำคุณความดีของท่านมาปฏิบัติตาม
    ๑.๕. ไวยยาวัจจมัย – บุญที่สำเร็จด้วยการขวนขวายช่วยเหลือในกิจการที่ชอบ ซึ่งช่วยชำระล้างความความเห็นแก่ตัวออกจากจิตใจ และเปลี่ยนเป็นเห็นแก่ประโยชน์และบุญกุศลแทนเช่น ช่วยพ่อแม่ทำงาน ช่วยครูถือของ ก่ออิฐสร้างโรงเรียน ออกค่ายปลูกป่า ชวนคนมาช่วยงานสาธารณกุศลต่างๆ ชวนคนมาไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติธรรม ฯลฯ
    ๑.๖. ปัตติทานมัย – บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญแผ่ส่วนกุศล ซึ่งช่วยชำระล้างความโกรธ เพิ่มกระแสความเมตตาให้เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าใครที่ตายจากไปแล้ว ก็ตั้งจิตอุทิศบุญกุศลแผ่ไปให้ด้วยจิตเมตตา ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
    ๑.๗. ปัตตานุโมทนามัย – บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาบุญ ซึ่งช่วยชำระล้างความอิจฉาริษายาออกจากใจ เห็นใครได้ดี ใครทำดี ใครสร้างบุญกุศล จะเป็นคนที่เรารักหรือคนที่เราเกลียด ก็อนุโมทนายินดีกับเขาทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อเราอนุโมทนายินดีกับบุญใด อานิสงส์แห่งบุญนั้นก็จะสว่างไสวเกิดขึ้นกับเราด้วย
    ๑.๘. ธัมมสวนมัย – บุญที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม ซึ่งช่วยสร้างปัญญาความสว่างห่างกิเลสให้เกิดขิ้นในจิตใจ จะฟังพระเทศน์โดยตรง ซื้อเทปธรรมะมาฟัง อ่านหนังสือธรรมะ หรือแม้แต่ฟังเสียงคนคุยกันแล้วเอามาพิจารณาให้เห็นธรรมก็ได้ทั้งสิ้น
    ๑.๙. ธัมมเทสนามัย – บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงธรรม ซึ่งถือเป็นทานใหญ่คือธรรมทาน นอกจากสร้างปัญญาให้เกิดแก่ตนเองแล้ว ยังไม่ตระหนี่ความรู้ มอบปัญญานั้นให้แก่ผู้อื่นด้วยเช่น สอนธรรมะ เขียนหนังสือธรรมะ พิมพ์หนังสือธรรมะแจก ทำซีดีธรรมะแจก ฯลฯ
    ๑.๑o. ทิฏฐุชุกรรม – บุญที่สำเร็จด้วยการทำความรู้ความเห็นของตนให้ตรงกับความจริงเช่น เชื่อว่า บาปบุญมี นรกสวรรค์มี ชาตินี้ชาติหน้ามี เชื่อหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เป็นต้น ซึ่งถือเป็นบุญตัวสำคัญที่สุด เพราะถ้าเราไม่เห็นตรงกับความเป็นจริง เราก็ไม่เชื่อบุญบาป การทำบุญทั้งหลายในข้ออื่นๆก็คงไม่คิดจะทำ แต่ถ้าความเห็นเราถูกต้องแล้ว แม้ไม่ต้องสอนสั่ง เขาก็มีปกติในการทำบุญทุกข้ออย่างครบถ้วน เพราะเขารู้ดีว่า ทำบุญดี เราก็ดี มีความสุขและสวรรค์เป็นที่ไป ทำกรรมชั่ว เราก็ชั่ว มีความทุกข์และนรกเป็นที่ไป แล้วจะทำชั่วไปทำไม
    :cool:
    จะเห็นได้ว่า “บุญ” นั้นทำได้หลายรูปแบบ ทำได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบุญจากการสวดมนต์ไหว้พระเจริญภาวนา ซึ่งเป็นบุญที่ทำให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แค่เราหมั่นสวดมนต์ในบทที่เราชอบใจเช่น อิติปิโส คาถาชินบัญชร คาถาจักรพรรดิ ฯลฯ หรือจะเป็นบทภาวนาสั้นๆเช่น พุทโธ สัมมาอะระหัง ฯลฯ หรือแม้แต่การกำหนดรู้ลมหายใจ กำหนดสติรู้อิริยาบถต่างๆ ก็ถือเป็นการภาวนาทั้งสิ้น ซึ่งการภาวนาเหล่านี้เราทำในใจ ดังนั้นเราจึงทำได้ตลอดเวลา กินข้าวก็ภาวนาได้ นอนก็ภาวนาได้ เข้าห้องน้ำก็ภาวนาได้ ขึ้นรถเมล์ก็ภาวนาได้ เป็นบุญที่ทำได้ตลอดเวลา ได้บุญตลอดเวลา แถมยังได้อานิสงส์สูงมากด้วยเพราะการภาวนาเป็นการชำระจิตให้สะอาดสว่างสงบสว่างไสวมีกำลังมาก จิตสะอาดสว่างสงบเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นก็เกิดเป็นบุญกุศลอยู่ทุกขณะจิต และเมื่อจิตสว่างไสวมีกำลังมาก เวลาไปทำบุญอย่างอื่นเช่น ให้ทาน รักษาศีล ช่วยเหลือผุ้อื่น การทำบุญเหล่านั้นก็มีกำลังเพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะทำไปด้วยจิตที่สว่างไสวมีกำลังมาก นอกจากนี้กำลังจิตที่มีมากขึ้นจากการภาวนา ยังมีส่วนช่วยในการตั้งจิตแผ่บุญอุทิศกุศลไปให้กับผีทั้งหลายได้อย่างสว่างไสวกว้างไกลมากขึ้น เปรียบได้กับแสงไฟที่ยิ่งแสงไฟสว่างเท่าใด ผู้อยู่รอบข้างก็มีโอกาสได้รับแสงสว่างได้มากขึ้นและง่ายขึ้นเท่านั้น ยิ่งจิตสว่างไสวมีกำลังมากเท่าใด ผีทั้งหลายก็มีโอกาสได้รับและได้อนุโมทนาบุญกุศลมากขึ้นและง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าวันๆเอาแต่ภาวนาอย่างเดียวแล้วไม่ทำบุญอย่างอื่น เพราะบุญแต่ละอย่างก็ล้วนเป็นสิ่งดีมีมีประโยชน์เกื้อกูลต่อกัน ถ้าไม่รักษาศีล จะภาวนายังไงจิตก็ไม่มีทางสงบสว่างไสวได้ ถ้าไม่ให้ทาน เราอาจจะมีปัญญาดี แต่อดอยากไม่มีเพื่อนฝูงบริวารช่วยเหลือ จิตก็คงยากจะเป็นสมาธิได้ เป็นต้น ถ้าคนภาวนาเป็นจริงๆเค้าจะไม่ทิ้งบุญอย่างอื่นเลย เพราะเขาจะเห็นชัดด้วยตาในหรือตาทิพย์ของเขาว่า บุญแต่ละอย่างล้วนทำแล้วเกิดความสว่างไสว ทำแล้วมีอานิสงส์ที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและภพภูมิทั้งหลายด้วยกันทั้งสิ้น
    :boo:
    ๒. วิธีการแผ่บุญอุทิศกุศล – เมื่อเราทำบุญเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ต้องนำบุญที่ทำมานั้นแผ่บุญอุทิศกุศลให้กับผีและดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปแล้วทั้งหลาย แต่ “บุญ” ไม่เหมือนกับเงินทองหรือสิ่งของทั่วไปที่เราสามารถมอบให้ใครต่อไปก็ได้ เพราะใครทำดีก็ได้ดี ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว ใครทำใครได้ บุญบาปทั้งหลายไม่มีใครทำแทนใครได้ มิเช่นนั้นพระพุทธเจ้าท่านคงทรงมอบบุญที่ท่านทำมาอย่างมากมายมหาศาลให้กับทุกคนจนบรรลุนิพพานกับไปได้หมดแล้ว ไม่ต้องมาเสียเวลาเทศนาสั่งสอนให้ทุกคนละชั่วทำดีทำจิตให้บริสุทธิ์อยู่ถึง ๔๕ ปีเป็นแน่ ดังนั้นการทำบุญอุทิศกุศลให้ผีจึงไม่ใช่ว่าเราตั้งใจมอบให้บุญให้ผี แล้วผีจะได้บุญนั้นจากเรา หากผีอยากได้บุญกุศลเหล่านั้น ผีก็ต้องสร้างบุญด้วยตนเองด้วยการทำ “ปัตตานุโมทนามัย” หรือที่เรียกกันทั่วๆไปว่า “อนุโมทนาบุญ” นั่นเอง
    นั่นคือเมื่อเราทำบุญอุทิศกุศลไปให้ผีตนใดก็ตาม หากผีรับรู้ถึงบุญที่เราทำไปให้ ผีก็ต้องตั้งจิตอนุโมทนาในบุญกุศลที่เราทำในครั้งนั้น ผีตนนั้นจึงจะได้บุญไป ซึ่งไม่ใช่มาดึงเอาบุญจากเราไป แต่เป็นบุญในส่วนที่ผีทำเองโดยการ “อนุโมทนาบุญ” กับ “บุญ” ที่เราทำต่างหาก ดังนั้นที่ชอบมีคนกลัวว่าหากแผ่บุญอุทิศกุศลไปบ่อยๆแล้วบุญของตัวเองจะหมดลงจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะบุญเราก็ยังอยู่เท่าเดิม แถมยังได้บุญมากขึ้นด้วยเพราะเราได้ทำ “ปัตติทานมัย” คือมีจิตเมตตาแผ่บุญกุศลไปให้กับภพภูมิทั้งหลายเพิ่มเข้าไปอีก ส่วนผีทั้งหลายที่มารับบุญจากเรา เขาก็ได้บุญจากการที่เขาทำ “ปัตตานุโมทนามัย” คืออนุโมทนาบุญกับเรา ไม่ได้มาแย่งมาดึงบุญจากเราไป อธิบายง่ายๆเหมือนการต่อเทียน เราจุดเทียนขึ้น ๑ เล่ม (ทำบุญ) พอเราจะต่อเทียนไปให้ผู้อื่น (แผ่บุญไปให้ผี) เมื่อเขายื่นเทียนมารับ (ผีตั้งจิตอนุโมทนาบุญกับเรา)เทียนของเขาก็สว่างขึ้น (ผีได้บุญจากการตั้งจิตอนุโมทนาบุญ) แต่เทียนของเราก็ยังสว่างเท่าเดิม ไม่ได้มีใครมาดึงไฟหรือแสงสว่างจากเราไปไหนได้ นอกจากเทียนเราจะไม่ดับแล้ว ความสว่างของห้องนั้นยังมากขึ้นเพราะมีเทียนสว่างเพิ่มขึ้นเป็น ๒ เล่ม แล้วถ้าเราต่อเทียนไปเรื่อยๆ ห้องก็ยิ่งสว่างไสวมากขึ้นไปอีก ยิ่งแผ่บุญอุทิศกุศลไปบ่อยๆ ภพภูมิทั้งหลายก็จะสว่างสดใสมีความสุขมากขึ้น โลกนี้ก็ย่อมมีแต่ความสุขความเจริญสว่างไสวเพิ่มขึ้น ดังนั้นก็ไม่ต้องกลัวเลยครับว่าแผ่บุญไปแล้วบุญจะหมด มีแต่ยิ่งแผ่บุญไป บุญก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี
    :boo:
    ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การทำบุญแผ่กุศลไปให้แก่ผีทั้งหลายมีประสิทธิภาพสูงสุด บุญไปถึงผีจริง ผีได้บุญจริง ก็คือเราต้องให้เขา “ตั้งจิตอนุโมทนา” ใน “บุญ” ที่เราแผ่ไปให้ได้ ไม่งั้นแม้เราจะทำบุญแผ่กุศลไปให้มากมายเพียงใด แต่ถ้าเขาไม่รับรู้ ไม่อนุโมทนาในบุญกุศลนั้น เขาก็ไม่มีทางได้รับบุญแต่อย่างใด เหมือนเทียนที่วางไว้ แม้เราจะจุดเทียนเราให้สว่างไสวแค่ไหน ถ้าเขาไม่ยอมยกเทียนขึ้นมาต่อ เทียนเขาก็ไม่มีวันสว่างไสวได้เลย ดังนั้นเวลาที่เราทำบุญแผ่กุศลไปให้ผีครั้งใด เราต้องตั้งจิตบอกเขาด้วยทุกครั้งว่า “ขอให้มาอนุโมทนาในบุญที่เราได้ทำในครั้งนี้” เพราะผีบางตน ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยทำบุญสร้างกุศล ตายไปก็ไม่รู้ว่าบุญกุศลเป็นยังไง จะรับบุญกุศลเหล่านั้นยังไง พอมีคนทำบุญไปให้ เขาอาจจะเห็นแค่มีแสงสว่างของบุญเกิดขึ้น เขาก็รีบวิ่งไปไขว่คว้าจะเอาแสงสว่างนั้น แต่คว้ายังไงก็เอามาไม่ได้ ก็นั่งร้องไห้เศร้าเสียใจหิวโหยทุกข์ทรมานกันต่อไป เพราะอนุโมทนาบุญไม่เป็น หรือผีบางตนอาจแย่กว่านั้น พอมีคนทำบุญไปให้ ผีทั้งหลายที่รับบุญเป็นก็กรูกันเข้าไปอนุโมทนาบุญนั้นแล้วหายแว๊บไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่าทันที พอตัวเองเห็นอย่างนั้น แทนที่จะทำตามดันวิ่งหนีเพราะนึกว่าใครโดนแสงนั้นจะต้องดับสูญสลายหายไปทันทีก็มี ดังนั้นการทำบุญทุกครั้งต้องบอกให้ผีเขามาอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ไม่งั้นไปเจอผีมึนไม่รู้เรื่องรู้ราวเข้า เราทำบุญให้ทุกวันทุกเวลามากแค่ไหน เขาก็รับบุญกุศลอะไรไม่ได้เลย
    :boo:
    ส่วนวิธีการการแผ่บุญอุทิศกุศลนั้น จะกรวดน้ำหรือไม่กรวดก็ได้ครับ เพราะบุญเกิดขึ้นที่จิต (ของเรา) แผ่ไปด้วยจิต ถึงที่จิต (ของผี) ไม่ได้อยู่ที่น้ำ ส่วนประเพณีการกรวดน้ำนั้นเกิดขึ้นเพราะพระจ้าพิมพิสารทรงกรวดน้ำอุทิศกุศลให้พระญาติของพระองค์ ซึ่งสมัยนั้นพระองค์ยังนับถือศาสนาพราหมณ์อยู่ ซึ่งเชื่อกันว่าการเทน้ำหมายถึงการมอบให้ พอท่านจะมอบบุญกุศลให้ผี ท่านเลยเทน้ำเป็นสัญลักษณ์ในการมอบบุญให้ พระพุทธองค์ท่านก็ไม่ขัดอะไรเพราะถือเป็นประเพณีความเชื่อของแต่ละคน ถ้าทำแล้วสบายใจ ทำแล้วมั่นใจก็จะทำให้จิตสบายแผ่บุญกุศลได้ง่ายและมีกำลังมากขึ้น แต่จริงๆแล้วการแผ่บุญกุศลนั้น แค่ตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลไป บุญกุศลนั้นก็จะถูกแผ่ออกไปในทันที พระที่ท่านมีกำลังจิตสูง แค่ท่านมองไปเห็นผี บุญก็ส่งไปถึงผีได้ในทันที ไม่ต้องมองหาน้ำมากรวดให้เสียเวลาแต่อย่างใด เพราะการเสียเวลาในการแผ่บุญไปเพียงวินาทีเดียวก็อาจส่งผลให้ผีไม่ได้รับบุญกุศลได้เช่นกัน
    :boo:
    ดังเรื่องที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยเจอสมัยบวชใหม่ๆ ซึ่งท่านเจอผีมายืนขอส่วนบุญ ท่านก็เลยตั้งท่าสวดบทกรวดน้ำอิมินาฯ แผ่บุญไปให้ผีตนนั้น แต่สวดยังไม่ทันถึงครึ่ง ก็มีคนเอาโซ่มาคล้องคอลากผีตัวนั้นไปเลย พอตอนเช้าหลวงพ่อปานเลยถามท่านว่า “ไงพ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง สวดอย่างนั้นผีจะได้กินเหรอ”แล้วหลวงพ่อปานก็ให้ท่านแปลบทกรวดน้ำ “อิมินา” ว่าแปลว่าอะไร (แปลรวมๆว่าขออุทิศบุญกุศลให้พ่อแม่ครูบาอาจารย์เทพพรหมทั้งหลาย) แล้วก็กล่าวต่อว่า “อุปัชฌาย์ก็ยังไม่ตาย คู่สวดคือท่านก็ยังไม่ตายมาให้ท่านทำไม ผีที่อยู่ข้างหน้าทำไมไม่ให้ ทีหลังผีมาละก็ ผีมันอยู่นานไม่ได้ บางทีก็หลบหน้าเขามานิดหนึ่ง ถ้ามานั่งใกล้เรา ทุกขเวทนาอย่างเปรตนี่ ไฟไหม้ทั้งตัว หอกดาบฟัน เวลาที่เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ บุญของเรานี่สามารถจะช่วยให้เขามีความสุขได้ เพราะถ้ามานั่งข้างหน้าใกล้ๆเรานี่ ไฟจะดับ หอกดาบจะหลุดไป แต่ว่าจะอยู่นานไม่ได้ ต้องพูดให้เร็วเพราะเขาจะต้องไปรับโทษ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้ว่าเป็นภาษาไทยชัดๆ และให้สั้นที่สุด” ท่านสอนให้บอกไปเลยว่า “บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผลบุญทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาผลบุญนั้นและรับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” พอมาวันหลังหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเจอผีมาหาอีก ผีตัวนี้ผอมก๋องเอาทนายมาด้วย ยืนอยู่ข้างหลังเป็นเทวดาใหญ่มากบอกว่า “ท่านนั่งอยู่นี่ไงล่ะ จะให้ท่านช่วยอะไรก็บอกท่านสิ” แต่ผีผอมก๋องพูดไม่ออกเพราะกรรมมันปิดปาก หลวงพ่อฤาษีท่านนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าขืนให้อยู่นานเดี๋ยวโดนโซ่คล้องคอลากไปอีก จึงอุทิศส่วนกุศลให้ตามที่หลวงพ่อปานสอน ท่านจึงบอกว่า “ตั้งใจโมทนาตาม ทีหลังมา ข้าไม่ให้พูดแล้ว ข้าให้เลย” พอท่านว่าจบ ผีผอมก๋องก็ก้มลงกราบ กราบไปครั้งแรกลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม กราบครั้งที่สองลุกขึ้นมาก็ผอมตามเดิม พอกราบครั้งที่สามลุกขึ้นมา คราวนี้ชฎาแพรวพราวเช้งวับไปเลย
    จากเรื่องของหลวงพ่อฤาษีลิงดำจะเห็นได้ว่า ผีบางตนนั้นก้ไม่ใช่จะมานั่งรอเอ้อระเหยลอยชายคอยรับส่วนบุญส่วนกุศลเมื่อใดก็ได้ ผีบางตนก็แอบหลบเขามา ผีบางตนก็มีเวลาก่อนไปรับกรรมเพียงไม่มีกี่วินาที ถ้ามัวมานั่งสวดแผ่เมตตายาวๆ มานั่งหาที่กรวดน้ำกัน อาจจะไม่ทันเวลา ดังนั้นจึงควรหมั่นทำบุญสะสมไว้ในใจอยู่เสมอ ไม่ต้องกลัวบุญจะบูดเน่า บุญยิ่งทำยิ่งเพิ่ม บุญยิ่งให้ยิ่งได้ บุญที่สะสมไว้ในจิตจะได้มีกำลังมาก เวลามีใครมาขอส่วนบุญ หรือต้องการทำบุญให้ผู้ใดก็สามารถตั้งจิตแผ่ไปให้ได้ทันท่วงที ไม่ต้องมานั่งรอทำบุญครบรอบวันตาย ๕o วัน ๑oo วัน แล้วค่อยกรวดน้ำอุทิศกุศลไปให้มันจะไม่ทันการณ์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าการสวดอิมินาและการกรวดน้ำไม่ดีนะครับ เพราะการมีบทสวดและน้ำซึ่งเป็นของที่มีรูปธรรมจับต้องได้มารองรับ มันทำให้จิตเรามั่นใจได้มากขึ้น นึกถึงบุญกุศลได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องโดนใครค่อนแคะให้เสียกำลังใจว่า ไม่เห็นเคยทำบุญกรวดน้ำไปให้พ่อแม่ตัวเองเลย ถ้ายังไม่มั่นใจก็กรวดน้ำไปด้วยก็ดีครับ แต่ก็ขอให้พยายามฝึกการแผ่บุญกุศลด้วยจิตควบคู่ไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งไม่ได้มีอะไรยากเลย แค่ตั้งจิตอธิษฐานแบบที่หลวงพ่อปานสอนว่า “บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผลบุญทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาผลบุญนั้นและรับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” ก็ใช้ได้แล้ว
    :boo:
    นอกจากนี้หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านยังได้แนะนำเทคนิควิธีในการแผ่บุญกุศลไปให้แก่ผู้ตายไว้อีกว่า เวลาตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลไปให้ดวงวิญญาณของผู้ตายนั้น ถ้าเป็นในกรณีที่อยู่ในช่วงรอการตัดสินจากพระยายม ซึ่งเขายังมีสภาพคล้ายสัมภเวสีซึ่งยังสามารถรับและอนุโมทนาบุญได้ หรือในกรณีที่เป็นดวงวิญญาณที่มีกรรมหนาๆหน่อย ให้เราถวายสังฆทานให้จะดีที่สุด เพราะมีอานิสงส์สูงมาก (ไม่จำเป็นต้องไปถวายถังสังฆทานก็ได้ เพราะสังฆทานหมายถึงการทำทานกับคณะสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป แค่เรายืนใส่บาตรหน้าบ้านโดยไม่เฉพาะเจาะจงพระที่รับบาตร หรือหยอดเงินใส่ตู้ทำบุญค่าน้ำค่าไฟโดยตั้งจิตถวายเป็นสังฆทานก็ใช้ได้ เพราะพระสงฆ์ทุกรูปในวัดก็ใช้น้ำใช้ไฟด้วยกันทั้งนั้น หรือจะหยอดตู้ร่วมสร้างโบสถ์ซ่อมแซมวิหารบูรณะศาลาก็ยิ่งได้เป็นวิหารทานซึ่งมีอานิสงส์สูงกว่าสังฆทานขึ้นไปอีก เพียงแต่ก่อนหยอดต้องตั้งจิตอธิษฐานให้ดีเท่านั้น) และถ้าเรานึกชื่อเขาออก ก็ให้ออกชื่อเขาไปโดยเฉพาะเจาะจงด้วย เพราะการแผ่บุญที่ออกชื่อเจาะจงนั้น จะช่วยให้เขาได้รับบุญโดยตรงทันที ถ้าเขามีกรรมอะไรมาบังอยู่ ก็จะช่วยเขาได้รับง่ายขึ้นกว่าการแผ่แบบรวมๆ เหมือนการฉีดน้ำสายยางที่ยิ่งเราบีบปลายสายให้แคบลงเท่าไหร่ น้ำที่พุ่งออกไปก็จะแรงและมีอำนาจทะลุทะลวงไปเฉพาะจุดมากขึ้นเท่านั้น
    :boo:
    แต่อย่างไรก็ดี การมานั่งนึกชื่อญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทุกคนเวลาทำบุญแผ่กุศลนั้น ก็คงไม่มีใครสามารถจดจำได้หมด แถมยังเสียเวลามาก หลวงพ่อท่านจึงสอนต่อไปอีกว่า ถ้านึกชื่อไม่ออก หรือเห็นว่าเสียเวลามาก ให้นึกรวมๆไปเลยว่า “ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี” เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่าเวลาเราทำบุญนั้น จะมีสัมภเวสีและเปรตมายืนรอรับบุญกุศลด้วยความหิวโหยทุกข์ทรมานมากมาย ถ้าเราแผ่บุญไปให้แค่ญาติพี่น้องของเรา ผีที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องเราเหล่านั้น เขาก็จะเข้ามารับบุญกุศลกับเราไม่ได้ ก็ได้แต่ร้องไห้เดินคอตกกลับไป เราจึงไม่ควรใจแคบเกินไป ในเมื่อบุญแผ่ไปได้โดยไม่มีวันหมดอยู่แล้ว เราจึงควรแผ่ไปให้ทั่วถึงทั้งที่เป็นญาติและไม่ใช่ญาติ นอกจากเป็นในกรณีเร่งด่วนเช่น ผีตนนั้นหนีมาขอส่วนบุญได้ชั่วคราว หรือผีตนนั้นอยู่ระหว่างรอการตัดสินของพระยายม หรือผีตนนั้นมีกรรมค่อนข้างมาก เป็นต้น ก็ต้องใช้การทำบุญอุทิศกุศลให้โดยเฉพาะเจาะจงจึงจะช่วยได้
    :boo:
    ๓. ผีที่รับบุญกุศล - แม้บุญที่ทำให้จะมีมากเพียงใด และผู้ที่ทำให้ก็รู้วิธีทำบุญแผ่กุศลเป็นอย่างดี แต่ถ้าผีซึ่งเป็นผู้รับบุญกุศลนั้น รับบุญไม่เป็น หรือไม่สามารถรับบุญได้ การทำบุญแผ่กุศลนั้นก็ไม่สามารถไปถึงผีเหล่านั้นได้เลย โดยสาเหตุที่ผีจะรับบุญกุศลไม่ได้นั้นมีอยู่ ๒ กรณีด้วยกันคือ

    ๓.๑. ผีรับไม่เป็น – ผีบางตนสมัยมีชีวิตไม่เคยทำบุญสร้างกุศล ตายไปแล้วก็ไม่รู้ว่าบุญคืออะไร ไม่รู้จะรับบุญจะอนุโมทนาบุญนั้นยังไง แถมบางทีเห็นแสงบุญที่คนแผ่ไปให้ยังกลัววิ่งหนีไปซะอีก ซึ่งกรณีแบบนี้แก้ไม่ยากครับ แค่เวลาทำบุญแผ่กุศลไปให้นั้น ให้ตั้งจิตบอกกล่าวกับผีทุกครั้งด้วยว่า “ขอให้มาอนุโมทนาในบุญที่ทำให้ในครั้งนี้” หรือถ้าผีบางตนที่เป็นมิจฉาทิฐิ มีแต่ความเคียดแค้นดุร้ายไม่ยอมรับบุญกุศล ก็อาจต้องตั้งจิตอาราธนาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นประธาน ขอบารมีท่านช่วยเทศน์โปรด นึกภาพพระไปซ้อนกับผี แล้วให้ท่านเทศน์โปรดและแผ่บุญกุศลไปให้ก็อาจจะพอช่วยได้ (เทคนิคการขอบารมีพระเพื่อช่วยเทศน์โปรดผีร้ายเหล่านี้ อ่านเพิ่มเติมได้ในหัวข้อสุดท้าย “การใช้พระคาถามหาจักรพรรดิในการจัดการผี”)
    ๓.๒. ผีอยู่ในภพภูมิที่รับบุญไม่ได้ – เมื่อตายไปแล้ว ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับก็ย่อมจะไปเกิดตามภพภูมิต่างๆตามบุญกรรมที่ตนได้ทำมา ซึ่งบางภพภูมิก็ไม่สามารถรับบุญกุศลได้คือ พวกที่มีกรรมหนักเกินกว่าจะรับบุญได้คือ สัตว์นรกที่ต้องทุกข์ทรมานรับกรรมในนรกอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีโอกาสจะลุกขึ้นมารับบุญกุศลใดๆได้ และเปรตอสุรกายบางจำพวกที่ยังต้องใช้เศษกรรมหนักอยู่ หรือพวกที่ไม่สามารถรับรู้การทำบุญอุทิศกุศลมาให้คือ มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน พกวนี้มาเกิดในรูปกายหยาบแล้ว ไม่สามารถรับรู้มองเห็นแสงบุญใดๆได้ว่ามีใครแผ่บุญกุศลมาให้ เมื่อไม่รู้ก็ไม่สามารถอนุโมทนาบุญกุศลได้ นอกจากจะมีใครมาบอกว่าทำบุญไปให้ หรือฝึกจิตจนสามารถมองเห็นแสงบุญที่มีคนแผ่มาให้ จึงจะสามารถอนุโมทนาในบุญกุศลนั้นได้ ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์ก็อาจยังพอฝึกกันได้บอกกันได้ แต่ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานก็คงยากจะบอกจะสอนวิธีอนุโมทนาบุญกุศลให้ได้ พวกที่จะรับบุญกุศลได้นั้น มีแต่ สัมภเวสี เทวดา และพรหม เท่านั้น ที่จะสามารถมาอนุโมทนาในบุญที่เราได้แผ่อุทิศไปให้ได้
    :cool:
    ดังนั้นหากเหตุปัจจัยครบถ้วนทั้ง ๓ ประการได้แก่ บุญที่ทำให้เป็นบุญที่มีกำลังสว่างไสวจริง ผู้ที่ทำบุญรู้วิธีแผ่บุญอุทิศกุศลที่ถูกต้อง และผีที่รับบุญอยู่ในภพภูมิที่สามารถรับบุญได้ การทำบุญอุทิศกุศลเหล่านั้นก็จะมีผลสูงสุดไปถึงดวงวิญญาณของผู้ตายอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี ใน ๓ เหตุปัจจัยนี้ มีปัจจัยตัวเดียวที่เราควบคุมไม่ได้คือ เรายากจะรู้ได้ว่าผีตนนั้นอยู่ภพภูมิที่รับบุญกุศลได้หรือไม่ และไม่มีใครสามารถไปฝืนกฏแห่งกรรมให้ผู้อยู่ในภพภูมิที่รับบุญกุศลไม่ได้ ให้สามารถมารับบุญกุศลได้ ดังนั้นในเมื่อเรารู้ไม่ได้และควบคุมไม่ได้ เราก็ไม่ควรจะไปเป็นกังวลกลุ้มใจว่า ผีตนนั้นจะรับบุญกุศลได้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้จิตเกิดความกังวลและตั้งจิตอุทิศบุญกุศลได้ไม่เต็มที่ไปเสียเปล่าๆ เราจึงมีหน้าที่แค่ทำเหตุปัจจัย ๒ ข้อแรกให้สมบูรณ์ที่สุดคือ หมั่นทำบุญสร้างกุศลสะสมไว้ให้มากที่สุดทุกคืนวัน และศึกษาทำความเข้าใจวิธีการแผ่บุญอุทิศกุศลให้ถูกต้อง หมั่นทำบุญอยู่เสมอ หมั่นแผ่กุศลอยู่ทุกวัน ไปให้ญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี ทั่วสามแดนโลกธาตุอยู่ทุกคืนวัน หากดวงวิญญาณของผู้ตายเขาอยู่ในภพภูมิที่รับบุญได้ เขาย่อมรับบุญนั้นได้อย่างแน่นอน หรือแม้เขาไม่อาจรับบุญได้ บุญที่ทำนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังอยู่และสะสมไว้ในดวงจิตดวงใจของเรา และแผ่ไปให้แก่ภพภูมิทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุให้ได้มีความสุขความเจริญกันโดยถ้วนหน้า ขอเพียงเราทุกคนหมั่นจุดเทียนของตนเองให้สว่างไสว และหมั่นต่อเทียนของตนไปให้กับผู้อื่นต่อไปไม่หยุดยั้ง โลกเราก็จะมีแต่ความสว่างไสวสดชื่นเพิ่มขึ้นทุกคืนวัน และช่วยบรรเทาความมืดมัวทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นกับโลกเราอยู่ทุกวันนี้ให้เบาบางลงไปได้ในที่สุดดูเพิ่มเติม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • FINAL1.jpg
      FINAL1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      799.7 KB
      เปิดดู:
      904
  2. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    โมทนาครับ สำคัญตรงผีนี่แหละ เวลายังไม่ตายไม่รู้จักสร้างกุศล ตายไปก็รับบุญไม่เป็น เวลาเขาแผ่ส่วนกุศลให้ก็ไม่ได้ เหมือนคนอ่านหนังสือไม่ออกแต่มีคนเขียนจดหมายไปถึงมั้ง ต้องมีคนเอาไปส่งให้ มีคนอ่านให้ฟังถึงจะรู้ว่าเขียนมาว่าอย่างไร กรรมเวร
     

แชร์หน้านี้

Loading...