จากศิลปินนักร้องวง Knock The Knock สู่การเป็น “ โหรเจ้าพิธี ” ภาค 1 ตอนที่3/4 ( กลัวผี! ตอนบวชพระ )

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย lemongig, 14 มิถุนายน 2018.

  1. lemongig

    lemongig สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +16
    หลังจากบวชหน้าไฟให้แฟนเก่าคราวนั้น ผมขอที่บ้านบวชอีกรอบ ผมได้คิวบวชที่วัดบวรครับ เป็นเดือนกุมภาพันธ์ ระหว่างบวชในเดือนมีนาคม จะเป็นเดือนเกิดคุณแม่พอดี ก็บวชตอบแทนคุณให้คุณพ่อคุณแม่ไปเลย ดีใจมากครับ ผมเตรียมความพร้อมก่อนล่วงหน้า3เดือนเลย ผมถือศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ ศึกษาธรรมะ ทำบุญ ผมเริ่มเห็นว่าชีวิตประจำวันของผมเริ่มเปลี่ยนไปมาก ไปเฮฮาปาร์ตี้ก็ไม่สนุกเท่าที่ควร แต่งเพลงก็ไม่ค่อยสนุก ยิ่งทำงานบันเทิงก็ยิ่งเห็นกิเลส คุยธรรมะกับเพื่อนก็แทบจะหาใครคุยด้วยได้ยาก ตอนนั้นอยากจะบวชอย่างเดียวเลยหละ
    ก่อนไปบวชผมก็เอาธูปแพเทียนแพ ไปกราบผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่าน แล้วค้างวัดก่อน1คืน วันนั้นเป็นวันมาฆบูชา มีเทศน์โต้รุ่ง ผมก็อยู่ยันเช้าเลยครับ วันบวชญาติมิตรมากันมากมาย แต่คนที่ชื่นใจที่สุดน่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ ผมบวชอยู่วัดบวร คณะตำหนัก ผมมีนามว่า “สุปปิโย” แปลว่า ผู้เป็นที่รัก เหมือนกับชื่อจริงผม ที่ชื่อ “กานต์” แปลว่า ผู้เป็นที่รัก ผมบวชเรียนอยู่เป็นเวลา15วัน ตามแบบที่วัดวางเอาไว้ขั้นต่ำ ผมสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ได้เรียนรู้มากมาย แต่ประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือ ผมได้เป็นพระใหม่ที่ได้ไปเฝ้าเวรยาม ให้ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช” ที่โรงพยาบาลจุฬา ซึ่งท่านประชวรอยู่ มีอยู่คืนนึงผมเข้าไปนั่งอยู่ในห้องกับท่านเพียงลำพัง ท่านนอนนิ่งๆอยู่บนเตียง ทุกอย่างเงียบสงบ ผมนั่งสมาธิ ผมบอกได้เลยว่าเป็นครั้งแรกที่ผมนั่งได้นิ่งยาวนานกว่าที่เคย และยังสัมผัสถึงความสุขในความนิ่งที่มากกว่าความปิติ หลักธรรมบางข้อวิ่งเข้ามาในหัวเอง ให้ผมได้พิจารณาอยู่เป็นช่วงๆ สั้นๆสลับกันไป หลังจากออกสมาธิ ผมคิดในใจว่าที่เราฝึกมา4เดือนต่อเนื่อง น่าจะก้าวหน้าบ้างละนะ และที่สำคัญผมเชื่อว่าเป็นบารมีของ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช”ที่ผมได้อยู่ใกล้ๆ เพียงลำพังในคืนนั้น
    การบวชยังไม่จบลง ขออยู่ต่ออีกหน่อย ผมขอไปเที่ยวนอกวัดบ้าง ผมติดตามพระอาจารย์ไฉน(พระพี่เลี้ยง) ไปจังหวัดเพชรบูรณ์ อยู่สำนักสงฆ์ที่”เขาค้อ” ตอนไปมีพระอยู่แค่ 3-4 รูป พระที่นั่นสวดมนต์กันเร็วมาก สำเนียงจังหวะก็ไม่คุ้นเคย แต่ก็เปลี่ยนบรรยากาศดี อีกอย่างที่นี่เป็นหุบเขา ต้นไม้มากมาย แบบแหงนหน้าไปก็เป็นกิ่งไม้ใบไม้เต็มไปหมด สงบและใกล้ชิดธรรมชาติดี ผมหายใจได้สดชื่นมากๆ กลางวันอากาศร้อนครับแต่ก็ไม่มาก ส่วนกลางคืนหนาวจัดๆเลย หนาวแบบชื้นๆด้วย ตกกลางคืน นอนไม่ได้เลย ไอเย็นจะแทรกรอดผ่านร่องพื้นไม้เข้ามากระทบหลัง เสียวไปถึงกระดูกสันหลังเลย กุฎิแต่ละกุกิอยู่ไกลกันมาก ไฟฟ้าก็ไม่มีครับ ดับเทียนนี่คือมืดเหมือนหลับตาเลย ความหวาดกลัวของผมก็เริ่มมี “ผมกลัวผีอีกแล้วครับ 555” ที่นี่เรื่องอย่างว่าไม่ต้องพูดถึง โดนขู่ไว้ตั้งแต่ตอนมาแล้ว สมัยก่อนที่นี่เป็นหุบเขาที่กบดานของคอมมิวนิสต์ มีคนถูกยิงหมู่ที่ๆผมจำวัดนี้เลยหละ แน่นอนกลางคืนจะมีเสียงคนเดินไปเดินมารอบๆกุฏิชัดเจน ตอนนั้นเป็นพระจิตใจก็เข้มแข็งอยู่บ้าง เปิดประตูดู เอาไฟฉายส่องให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ก็ไม่พบอะไรนะ ตอนนั้นนึกยังไงไม่รู้ อยากฝึกตัวเองเลยลงไปเดินจงกรม คือมันหนาวและมืดสนิทเลย แนวดินสำหรับเดินจงกรมจะอยู่ข้างกุฏิ มีเทียนเล่มใหญ่ๆ แบบเทียนพรรษาอยู่ตรงปลายทางเดินทั้ง2ข้าง ไว้จุดให้มองเห็นทางเดิน พอเดินถึงเทียนที่เป้นต้นกำเนิดแสง ก็กลับตัวเดินไปสู่เทียนอีกเล่มหนึ่ง เดินกลับไปกลับมา จิตมันเริ่มสงบ ดีมากๆเลย ความกลัวก็หายไป พอกลับมานอนเสียงคนเดินก็มาอีก คุ้นๆเข้าก็ไม่กลัว ลุกขึ้นมานั่งสมาธิแล้วแผ่เมตตาให้อีก จิตเริ่มผ่อนคลายแล้วลงนอนหลับไป
    ตื่นมาตอนเช้า ผมก็ทำวัตรเช้า ออกเดินบิณฑบาต ปกติก็ถอดรองเท้าเดินนะ แต่ที่นี่ดูสภาพไม่น่าจะไหว กิ่งไผ่,ใบไผ่เต็มพื้นเลย ไหนจะเม็ดกรวดแข็งๆแหลมๆ เต็มไปหมด มันแทงเท้า เดินไปก็เจ็บเท้ามาก หลวงพ่อที่เดินนำท่านไม่ได้หันมามองนะ แต่ท่านรู้ว่าเราเดินไม่ไหว ท่านแค่พูดว่า “เลือกเดินเอา”ผมมีสติขึ้นมา เริ่มประณีตมากขึ้น มองใบไม้ กิ่งไม้ ก้อนกรวด อย่างละเอียด ผมเริ่มเดินเบี่ยงเท้าหลบสิ่งที่จะทำให้เท้าผมเจ็บ โดยที่ยังคงเดินตามหลวงพ่ออยู่ ผมเริ่มเห็นว่าในทางที่มีอุปสรรคที่ผมเดิน ก็มีทางราบเรียบและไม่ทำให้เจ็บอยู่ในนั้น ผมเห็นธรรมขึ้นมาทันที การใช้ชีวิตถ้าเรา ”ไม่มีสติ ปล่อยปะละเลย”เราก็อาจจะพบทางเดินชีวิตที่เจ็บปวด เหมือนเดินเหยียบกิ่งไม้ ก้อนกรวด นี่แหละ “เลือกเดินเอา!”
    ขอเล่าบรรยากาศนิดหน่อย ชาวบ้านที่นั่นยากจนครับ ของที่นำมาใส่บาตรมันแตกต่างจากที่วัดบวรโดยสิ้นเชิง ที่วัดบวรมีอาหารมากมาย อุดมสมบูรณ์ ทั้งผลไม้ ของคาว ของหวาน เครื่องดื่ม และแต่ละอย่างก็ชั้นดีทั้งนั้น แต่มาอยู่ที่นี่ เค้าใส่บาตรข้าวเหนียวบ้านละ1กำมือ มีปลาแห้งตัวเล็กๆ ถั่วลิสง ถั่วต้ม มันเผือกต้ม ปลาหมึกแห้งตัวเล็กๆเค็มๆเหม็นๆ น้ำพริก ผักต้มนิดหน่อย ขนมก็เหมือนขนมปังปี๊บอย่างงี้ เหม็นหืนนิดๆ ข้าวต้มมัดและกล้วยนี่ถือว่าหรูมากๆ เอาจริงๆเลย ผมบอกตัวเองว่า ”เคี้ยวๆแล้วก็กลืน เอาแค่ให้มีชีวิตรอด” ผมก็อยู่ได้นะ แต่สิ่งนึงที่ผมซาบซึ้งคือ ชาวบ้านเค้าไม่ได้มีเงินอะไร แต่ก็ยังใส่บาตรทุกเช้า อาหารที่ฉันอร่อยขึ้นมาเลย เพราะศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวบ้าน เพราะน้ำจิตน้ำใจที่ดีงามนี่แหละ
    อีกความตั้งใจนึงคือผมจะกลับไปที่จังหวัดมหาสารคาม อยากกลับไปจำวัดป่าที่เดิม ผมขออนุญาตพระอาจารย์และได้เดินทางไปสมใจ แต่หลายๆอย่างเปลี่ยนไป ผมได้ที่พักใหม่ เป็นกุฏิอยู่ที่ท้องนาห่างไกลจากตัววัดพอสมควร เดินอย่างเร็วใช้เวลา30นาทีได้ ไม่มีไฟฟ้าครับ เรื่องลี้ลับในตอนจบกำลังจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ครับ ฝากติดตามต่อๆ
     
  2. lemongig

    lemongig สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +16

แชร์หน้านี้

Loading...