คู่มือพ้นทุกข์

ในห้อง 'รวมบทสวดมนต์และคาถา' ตั้งกระทู้โดย dangcarry, 1 พฤศจิกายน 2007.

  1. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    คู่มือพ้นทุกข์
    ในสมัยพุทธกาลบรรดาอริยบุคคลผู้บรรลุธรรม ก่อนที่จะบรรลุ มักจะต้องประสบทุกข์ที่เกิดจากการยึดถือตัวตน ฉันเห็น ฉันได้ยิน ฉันได้กลิ่น ฉันลิ้มรส ฉันสัมผัส ฉันคิดนึก ทุกข์จากการไม่แจ้งในไตรลักษณ์ ปรุงแต่งในสิ่งที่ยึดถือจากประสบการณ์เก่าๆ หรือเหตุปัจจัยที่จบสิ้นไปแล้วอย่างสิ้นเชิงในสัจธรรมจนเกิดทุกข์ คือ พลัดพรากอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า คาดหวังแล้วไม่สมปรารถนาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่ไม่ชอบใจมากระทบอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า มันหนักมากจนต้องปล่อยวาง เนื่องจากเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบังคับบัญชาไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวเราของเรา ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองของมัน โดยปราศจากความเป็นตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิง แม้จิตไม่เข้าไปข้อง ชีวิตก็ยังต้องดำเนินไปตามครรลองของมันตามกฏเกณฑ์ธรรมชาติ(พลังงาน)[/font]
    [FONT='Tahoma','sans-serif']

    ชีวิตเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ปราศจากความเป็นตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิงยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆในการเกิดของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น กรณีของฟ้าผ่า เมื่อเหตุและปัจจัยพร้อม คืออุณหภูมิ กระแสไฟฟ้าในอากาศ ปรากฏการณ์นี้ก็จะเกิดขึ้น และสืบต่อ เกิดดับไปตามเหตุปัจจัย ไปแต่ละขณะ แต่ละขณะ เกิดและดับไปอย่างสิ้นเชิงแต่ละขณะ จากจุดนี้จึงบอกได้ว่า ในสัจธรรมแล้ว อดีตไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นและดับไปแล้วเฉพาะตนในขณะนั้นๆ และเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็เป็นความบริสุทธิ์ของพลังงานตามเหตุและปัจจัยที่มากระทบและดับไปอย่างบริสุทธิ์ในแต่ละขณะ เป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนหมดเหตุและปัจจัย ปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นก็จะจบลงอย่างสิ้นเชิง นี้คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ
    ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่าชีวิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ชีวิตจึงเกิดขึ้น และสืบต่อและเกิดดับไปตามเหตุปัจจัย ไปแต่ละขณะ แต่ละขณะ ไปตามครรลองของเหตุปัจจัยของมันเองโดยปราศจากความเป็นตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิง แม้จิตจะเข้าไปข้องหรือไม่ข้องในการเกิดดับมันก็ต้องเป็นไปตามครรลองของมัน เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติจึงบอกได้ว่า ในสัจธรรมแล้ว อดีตจึงไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นและดับไปแล้วเฉพาะตนในขณะนั้นๆ และเหตุปัจจัยที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันในสัจธรรมก็เป็นเพียงความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยในแต่ละขณะเท่านั้น เช่น ในกลุ่มรูปธรรมที่มีความปรารถนาในธาตุ 4 คือ มีความปรารถนาที่จะ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส คิดนึก
    คนกลุ่มนี้เมื่อเห็นของสิ่งหนึ่ง คนหนึ่งเห็นแล้วบอกว่าสิ่งนั้น อีกคนบอกว่าเป็นสิ่งนี้ อีกคนบอกว่าไม่รู้ว่าคืออะไร บางคนบอกว่าเป็นสุข บางคนบอกว่าเป็นทุกข์ บางคนบอกว่าเฉยๆ แต่ในสัจธรรมของกลุ่มรูปธรรมนี้ คือทั้งหมดเห็นเป็นธาตุ 4 และในรูปธรรมอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะเห็นเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เขาจะสัมผัสได้ ในของนี้ก็คือเป็นเพียงพลังงานแสงเท่านั้น และในรูปธรรมอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะได้ยินเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เขาจะสัมผัสได้จากสิ่งนี้ ก็คือเป็นเพียงพลังงานเสียงเท่านั้น ดังนั้นจึงให้สมมติฐานได้ว่าสิ่งที่มาปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนั้น ในสัจธรรมแล้ว ไม่ใช่สิ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งนี้ ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ เป็นเพียงพลังงานบริสุทธิ์ที่มากระทบตามเหตุและปัจจัยเท่านั้น โดยปราศจากตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิง มันเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติล้วนๆ แต่ละขณะ
    แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่าชีวิต นั้นมีความแตกต่างจากปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยทั่วไปก็คือ เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ด้วยความไม่รู้ในความเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ โดยปราศจากตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้เกิดการยึดถือ ในตัวเราของเรา เป็น เราเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น เราลิ้มรส เราสัมผัส เราคิดนึก และจากนั้น ด้วยความไม่แจ้งในความเป็นไปตามครรลองของพลังงาน(ไตรลักษณ์) คือทุกขณะเกิดและดับไปเป็นเฉพาะแต่ละขณะขณะเท่านั้น และเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ก่อให้เกิดการปรุงแต่งความบริสุทธิ์ที่เข้ามากระทบ ในสิ่งที่ยึดถือ ว่าเราเห็น เราได้ยิน เรารู้กลิ่น เราลิ้มรส เราคิดนึก ว่าเป็นสิ่งนั้น ว่าเป็นสิ่งนี้ ทั้งที่ในสัจธรรมนั้นเป็นเพียงความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย โดยปราศจากตัวเราของเราทั้งสิ้น จากนั้นจึงก่อให้เกิดความปรารถนา และไม่ปรารถนา ในสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้นรส สัมผัส คิดนึก และทั้งหมดนี้ อาจจะตอบคำถามได้ว่า

    ทำไมจึงมีเราขึ้นมา? (ก็เพราะเรายึดถือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นไปตามครรลองของมันเองว่าเป็นเรา ทั้งทีในสัจธรรมไม่ใช่) ทำไมจึงมีโลก? (ก็เพราะเรามีความปรารถนา ในการเห็นการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส การคิดนึก โลกนี้จึงมีขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มรูปธรรมที่มีความปรารถนาเช่นเดียวกัน) หากแจ้งในสัจธรรมแล้ว แม้การเกิดก็ไม่ได้เป็นทุกข์ เพราะการเกิดก็เป็นธรรมชาติหนึ่งเท่านั้น เป็นไปตามครรลองของมัน ปราศจากตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิง แล้วจะเอาอะไรมาทุกข์ มีเพียง ธรรมชาติที่เกิดดับไปแต่ละขณะอย่างบริสุทธิ์ โดยปราศจากตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิง ด้วยสติที่เป็นธรรมชาติ ที่สัมผัสสัมพันธ์กับทุกสรรพสิ่งโดยปราศจากความรู้ และความเป็นตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิง และเข้าใจในความเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติโดยปราศจากตัวเราของเรา
    ลักษณะผู้ที่จะปฏิบัติตัวเพื่อเข้าถึงสัจธรรม คือ ไม่ยึดว่า ว่าเราเห็น เราได้ยิน เรารู้กลิ่น เราลิ้มรส เราสัมผัส เราคิดนึก ด้วยสัจธรรมที่ว่า ชีวิตเป็นปรากฏการธรรมชาติชนิดหนึ่ง และเป็นไปตามครรลองตามเหตุและปัจจัยของมันเอง ไม่มีตัวเราของเรา เกิดและดับไปแต่ละขณะอย่างสิ้นเชิง ในสัจธรรมไม่มีอดีตที่จะมาเทียบที่ก่อให้เกิดการปรุงแต่ง สุขทุกข์สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงเป็นการเกิดดับด้วยความบริสุทธิ์ของพลังงานตามเหตุปัจจัย ในแต่ละขณะนั้นๆเท่านั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องให้สิ่งเหล่านี้ให้แจ้งในจิตจนเป็นธรรมชาติ เมื่อจิตกลับคืนสู่ธรรมชาติ ชีวิตนี้ ก็จบสิ้นไปเมื่อเหตุและปัจจัยหมดอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับปรากฏการณ์ธรรมชาติทั่วไปดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น หลุดพ้นจากการมีตัวตน เป็นธรรมชาติล้วนๆ บริสุทธิ์ล้วนๆ โดยปราศจาก…………..

    ชีวิตเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ปราศจากตัวเราของเราอย่างสิ้นเชิง เป็นไปตามครรลองธรรมชาติ เกิดดับไปตามเหตุปัจจัยแต่ละขณะ


    สีมากระทบ ฉันเห็น
    เสียงมากระทบ ฉันได้ยิน
    กลิ่นมากระทบ ฉันได้กลิ่น
    รสมากระทบ ฉันลิ้มรส
    ผัสสะมากระทบ ฉันลิ้มรส
    ความคิดมากระทบ ฉันนึกคิด
    ฉันปรุงแต่งว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ จากประสบการณ์ที่ดับไปแล้วในสัจธรรม
    ฉันมีความปรารถนา และไม่ปรารถนา
    ใน สี ที่ฉันเห็น และปรุงแต่งให้เป็นสิ่งนั้น และต้องการ หรือไม่ต้องการที่จะเป็นสิ่งนั้น

    ทั้งหมดนี้หากนำตัวฉันของฉันออกไป มันก็เป็นเพียงการกระทบของพลังงานที่บริสุทธ์ตามครรลองของมันเท่านั้น ไม่มี สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส สิ่งที่ปรุงแต่ง สิ่งที่ชอบ หรือไม่ชอบ เป็นการเกิดดับของพลังงานตามครรลองของมันอย่างบริสุทธ์โดยปราศจากความรู้ใดๆ มีเพียงสติที่เป็นธรรมชาติ ปราศจาก………………….

    ถ้าไม่รู้ในสิ่งที่เห็นจะตายไหม ไม่ตาย
    ถ้าไม่รู้ในสิ่งที่ได้ยินจะตายไหม ไม่ตาย
    ถ้าไม่รู้ในสิ่งที่ได้กลิ่นจะตายไหม ไม่ตาย
    ถ้าไม่รู้ในสิ่งที่ลิ้มรสจะตายไหม ไม่ตาย
    ถ้าไม่รู้ในสิ่งที่สัมผัสจะตายไหม ไม่ตาย
    ถ้าไม่รู้ในสิ่งที่คิดนึกจะตายไหม ไม่ตาย
    แต่หากทำได้จะเป็นสุข เป็นสุขจากความสงบของจิต
    จากความแปรปรวนไม่คงที่ คือทุกข์ที่เกิดจากไตรลักษณ์
    สิ่งที่แปรปรวนไม่คงที่ ไม่ว่าจะปรุงแต่งว่าเป็นสุข หรือทุกข์
    ในสัจธรรมแล้ว คือทุกข์
    และเป็นการดับทุกข์(ดับตัวตน)ในการเกิด อันเป็นทุกข์อัน
    แสนสาหัสของสัตว์โลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2008
  2. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    ลืมบอก....จำเขามา
     
  3. kwantrakul

    kwantrakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,403
    ค่าพลัง:
    +1,327
    สรุปว่าทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจเรากำหนด จริง ๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...