คุยกับคุณสุทธิ อัชฌาศัย และคุณประสาร มฤคพิทักษ์

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย pornchokchai, 15 ตุลาคม 2010.

  1. pornchokchai

    pornchokchai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +13
    คุยกับคุณสุทธิ อัชฌาศัย และคุณประสาร มฤคพิทักษ์
    ดร.โสภณ พรโชคชัย (thaiapraisal@gmail.com)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ผมได้เขียนบทความ “10 ประเด็นที่ขาดเหตุผลในการชุมนุมปิดมาบตาพุดที่ไม่ชอบธรรม” <1> และติงให้ฟังมติมหาชนชาวมาบตาพุดแทนไปฟังผู้ชุมนุม” <2> และได้รับจดหมายเปิดผนึกจากคุณสุทธิ อัชฌาศัย <3> เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พร้อมกับบทความของคุณประสาร มฤคพิทักษ์ <4> ผมจึงขออนุญาตแลกเปลี่ยนดังนี้:

    ต่อความเห็นของคุณสุทธิ
    คุณสุทธิได้กรุณาคุยกับผมในหลายประเด็นดังนี้:
    1.
    คุณสุทธิบอกถึงการช่วยเหลือชาวมาบตาพุดและชาวระยอง ข้อนี้คุณสุทธิมีเจตนาที่ดี แต่ชาวมาบตาพุดส่วนใหญ่ต้องการอุตสาหกรรม จึงอาจไม่ต้องการให้ช่วย ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบ รัฐต้องชดใช้ให้ตามความเหมาะสม การเวนคืนเป็นสิ่งจำเป็น โปรดอ่านรวมเรียงความชนะเลิศชิงโล่พระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ เรื่องประเมินค่าทรัพย์สินให้เป็นธรรมก่อนการเวนคืนเพื่อพัฒนาชาติที่ผมจัดประกวดขึ้น <5>
    2.
    คุณสุทธิบอกว่าผมไม่เคยเอ่ยคำพูดที่มีผลกระทบในทางลบกับตัวท่านเลยนะครับและบอกว่าผมชักสงสัยว่า ท่านทำแบบนี้ทำไมครับ?’” ข้อนี้ผม (โสภณ) ขออภัยหากทำให้เข้าใจผิด ที่ผมเห็นต่างเรื่องมาบตาพุดนั้น อาจมองคนละจุด แต่เราต่างเห็นแก่ชาวบ้านและประเทศชาติ เราไม่เคยรู้จักกันเป็นส่วนตัว และไม่มีอะไรกันเป็นส่วนตัว
    3.
    ที่ผมตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเงินนั้น นับเป็นเรื่องดีที่คุณสุทธิยืนยันว่าไม่ได้รับเงินจากใคร ผมจึงขอเสนอแนะเพื่อความสบายใจของคุณเองว่า คุณควรแจงที่มาของเงินต่าง ๆ ในการเคลื่อนไหว แจงบัญชีรายรับรายจ่ายของเครือข่ายของคุณรายเดือนและทุกการเคลื่อนไหว สังคมจะได้ไม่เข้าใจผิด และถ้าเป็นไปได้ ควรให้สังคมได้รับรู้ว่ากลุ่มของคุณมีสมาชิกกี่คน บ้านอยู่แถวไหน มีรายชื่ออ้างอิงหรือไม่
    4.
    ที่ผมเขียนว่าถ้าจะช่วยชาวบ้านจริงต้องคอยติดตามต่อเนื่อง ไม่ใช่แบบจุดพลุอย่างเช่น มลพิษก็มีคนแอบปล่อยเป็นระยะๆ ถ้าเรารักชาวบ้านจริง ควรคอยสังเกตการณ์ใครปล่อยเมื่อไหร่ ซึ่งปกติชาวบ้านชาวช่องก็รู้ เราก็ควรพาเจ้าหน้าที่ นักข่าว หรือตัวแทนองค์การอิสระไปแฉหรือจับเลย ถ้าทำแบบนี้มาตลอดคงไม่มีปัญหาถึงวันนี้ เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่กล้าปล่อยปละ การทำเป็นวูบๆ วาบๆ จะทำให้เห็นเป็นว่าทำตามคำสั่งเป็นครั้งคราว หรือเคลื่อนไหวแบบมีจุดประสงค์แอบแฝงได้ข้อนี้ผมขอขอบพระคุณที่เราเห็นด้วยกันครับ
    5.
    ที่ผมเขียนว่าคุณอ้างงานวิจัยนับ 1,000 ชิ้น แต่ควรเปิดเผยให้ประชาชนตระหนัก ถ้าเป็นของจริง ไม่ใช่แค่การกล่าวหา สังคมคงเชื่อถือมากกว่าการอ้างจำนวนงานวิจัยคุณสุทธิตอบว่าพร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด ผม (โสภณ) ขอเรียนอีกครั้งว่า คุณควรเปิดเผยต่อเนื่องเพื่อให้สังคมได้วินิจฉัย อย่างไรก็ตามผลสำรวจล่าสุดของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง ก็ระบุว่า กลุ่มเป้าหมายและกลุ่มเสี่ยงจำนวน 10,000 คน ไม่มีโรคประจำตัวร้อยละ 72.6 มีโรคประจำตัวร้อยละ 27.4 โรคประจำตัวที่พบส่วนใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 9 รองลงมาโรคภูมิแพ้ร้อยละ 5.5 โรคเบาหวานร้อยละ 3.8 โรคหอบหืดร้อยละ 2.1 ตามลำดับ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังไม่พอใจ
    6.
    เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 67 นั้น ข้อนี้เห็นชัดแจ้งอยู่แล้วว่ามาตราดังกล่าวไม่เหมาะสม เพราะในการแต่งตั้งองค์การอิสระนั้น ระบุให้แต่งตั้งเฉพาะผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ปัญหามลพิษนี้เป็นปัญหาระดับชาติ จำเป็นต้องมีผู้รู้หลายด้าน คุณสุทธิก็บอกเองว่าควรพิจารณาจากมุมมองของ ทั้งนักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ นักสิ่งแวดล้อม นักสิทธิมนุษยชน นักสังคมสงเคราะห์ ภาคประชาชน นักเศรษฐศาสตร์ นักสาธารณสุข นักลงทุน. . .
    7.
    เรื่องคณะกรรมการ 4 ฝ่าย คุณสุทธิบอกว่า ถึงแม้เขา (ผู้นำชุมชน) ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ 4 ฝ่าย แต่เขาก็มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมเสนอความคิดเห็น . . . ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการกรณีนี้ผม (โสภณ) เห็นว่า ไม่ชอบธรรมครับ ปัญหาของชาวมาบตาพุดแท้ ๆ แต่พวกเขากลับไม่ได้เป็นกรรมการ แสดงว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับชาวบ้านจริง
    คุณสุทธิยังว่าท่านอานันท์ ปันยารชุนให้โอกาสชาวบ้านทำงานร่วมกัน แต่ความจริงก็คือ คณะกรรมการก็ไม่เคยตระหนักว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการให้อุตสาหกรรมขยายตัวต่อไป ไม่เคยทำประชามติ ไม่เคยสำรวจความเห็นของชาวบ้านอย่างเป็นระบบ คุณสุทธิว่าให้ผมไปถามนายกรัฐมนตรีว่าทำไมแต่งตั้งกรรมการ 4 ฝ่าย โดยที่ไม่มีชาวมาบตาพุด ผมเคยทำหนังสือเรียนท่านแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2552 <6> คุณสุทธิยังแนะนำให้ผมไปฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนตัวแทนภาคประชาชนในกรรมการ 4 ฝ่าย ข้อนี้ผมคงไม่ถนัดค้าความครับ
    8.
    เรื่องเอ็นจีโอนั้น คุณสุทธิก็บอกเองว่าเคยเป็น ผมก็ได้อ้างอิงเว็บต่าง ๆ เช่นเว็บแนะนำเกี่ยวกับตัวท่านในเว็บของพรรคการเมืองใหม่ <7> หรือจากแหล่งอื่น สังคมอาจเข้าใจไขว้เขวเพราะเร็ว ๆ นี้คุณยังไปร่วมประชุมกับกลุ่มเอ็นจีโอกรีนพีชจนถูกตำรวจอินโดนีเซียจับกุมและได้โทรศัพท์ติดต่อคนใกล้ชิดนายกฯ ประสานให้ปล่อยตัว <8> คุณสุทธิควรบอกให้สังคมทราบว่าประกอบอาชีพอะไร มีรายได้ทางไหน เพื่อให้สังคมไม่เข้าใจเป็นอื่นครับ
    เรื่องที่คุณเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ ผมก็ไม่เคยเขียนในลักษณะให้ร้าย ผมก็รู้จักกรรมการ-สมาชิกพรรคนี้ แต่ความจริงที่คุณเขียนไว้เองก็คือคุณเคยเป็นกรรมาการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และลาออก เนื่องจากลาอุปสมบทเดือนเมษายน 2553 ข้อนี้แสดงว่าเมื่อคุณรับตำแหน่งตัวแทนภาคประชาชนในคณะกรรมการ 4 ฝ่าย คุณยังเป็นกรรมการบริหารพรรค
    9.
    เรื่องปิดการจราจร ผมเขียนชัดครับว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดการจราจร 1 ช่องทางตามข่าว ซึ่งอาจหมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย เพราะเคยมีการปิดการจราจรโดยพราหมณ์ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2553 จนศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญาไปแล้ว รวมทั้งเคยมีการจำคุกชาวนาที่ปิดการจราจรด้วย <9> ส่วนกลุ่มเอ็นจีโอกรีนพีช ก็ปิดทางเข้าออกสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจริงตามภาพข่าวอยู่แล้วครับ
    10. คุณบอกว่า ทุกวันนี้ขอทำงานในนาม ภาคประชาชนดีกว่า. . . ไม่ต้องการตำแหน่ง, ไม่ต้องการลาภยศ ชื่อเสียงหรือสิ่งอื่นใด. . .ผม (โสภณ) ก็ขออนุโมทนาด้วยครับ และคุณต้องใจเย็นให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวคุณเอง คุณสุทธิยังว่าผมขอเดินบนดินจนสิ้นลมในนามประชาชน ต่อสู้เพื่อคนทุกข์ คนยาก (พร้อมบทกวีของคุณสุวิทย์ วัดหนู) ผม (โสภณ) ขอสนับสนุนด้วยใจจริงครับ ถ้าคุณสุวิทย์ ยังมีชีวิตอยู่ ผมเชื่อว่าเขาคงช่วยอธิบายเกี่ยวกับตัวผมให้คุณสบายใจได้เช่นกันครับ และในแผ่นดินนี้ยังมีคนทุกข์ยากที่อื่นต้องการคุณมากกว่าชาวมาบตาพุดนะครับ คุณสุทธิยังบอกว่า ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ใช่ศัตรูของท่าน. . . ผมคิดว่าท่านคือมิตร. . . ” ผม (โสภณ) ขอขอบพระคุณครับ

    ต่อความเห็นของคุณประสาร
    คุณประสารเป็นผู้มีพระคุณของผมเองครับ ท่านเป็นที่ปรึกษาของบริษัทผมมาตั้งแต่แรกตั้ง ศรีภรรยาท่านก็เป็นครูผมอยู่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ แต่เรื่องมาบตาพุด เราคงมองต่างมุมกันตามประสาญาติมิตรครับ
    1.
    เรื่องมลพิษ แม้ศาลมีคำสั่งประกาศให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่นี่มีอันตรายหนัก ที่คุณประสารอ้างว่าระยองเป็นจังหวัดที่เป็นมะเร็งสูงสุดนั้น ท่านควรมีอ้างอิง อย่างไรก็ตาม Link ที่คุณประสารอ้างนั้น ผมเปิดไปไม่พบข้อมูลครับ ในทางตรงกันข้าม หลักฐานของทางราชการกลับระบุว่าการตายของชาวระยองเกิดจากสาเหตุภายนอก (อุบัติเหตุ ฆ่าตัวตาย ถูกฆ่าตาย) เป็นสำคัญการตายด้วยโรคมะเร็ง. . . มีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ต่ำกว่าระดับประเทศ ยกเว้นปี 2548 สูงกว่าระดับประเทศ. . . ไม่อาจบ่งชี้ได้ว่าสาเหตุของการเกิดมะเร็ง (ในระยอง) เป็นผลเนื่องมาจากมลภาวะ. . .” <10>
    2.
    ในอีกแง่หนึ่งหากมีมลพิษมากจริง ก็ควรที่จะย้ายชุมชนออกเพื่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ยิ่งหากรัฐบาลซื้อหรือเวนคืนที่ดินตามราคาตลาดรวมค่ารื้อถอน ประชาชนคงยินดี อย่างไรก็ตามผลสำรวจพบว่า มีประชาชนเพียงส่วนน้อยที่คิดย้ายออก ซึ่งการนี้อาจแสดงถึงความมั่นใจต่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัยในระดับหนึ่ง โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งส่วนมากเป็นบริษัทมหาชนย่อมมีความปลอดภัยในระดับสูงกว่าโรงงานในพื้นที่อื่นทั่วประเทศ ไม่เช่นนั้น กลุ่มคนงานก็คงไม่กล้าทำงาน และคงรับรู้และหนีไปก่อนชาวบ้านทั่วไปเสียอีก
    3.
    ผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงได้รับค่าเวนคืนและได้ย้ายไปตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ การขยายตัวของอุตสาหกรรมมีความจำเป็นเพราะในประเทศไทยมีที่นี่เพียงแห่งเดียวที่กำหนดให้เป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สร้างความ โชติช่วงชัชวาลให้กับประเทศไทย ไม่ใช่เขตอุตสาหกรรมสีเขียวหรืออุตสาหกรรมเบา การถมทะเล การสร้างท่าเรือ-โรงไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม ล้วนมีความจำเป็นทั้งสิ้น และเกิดขึ้นในทุกประเทศเพื่อนบ้านของเรา แต่เกิดขึ้นได้ยากเหลือเกินในประเทศไทย และนี่จึงเป็นข้อกังขาของสังคมว่ามีขบวนการรับจ้างมากีดขวางความเจริญของประเทศ เอาประโยชน์สุขของประชาชนส่วนรวมมาต่อรองเพื่อประโยชน์เฉพาะตัวหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าคงไม่ใช่คุณสุทธิ

    เราคนไทยด้วยกันครับ
    ท่าน เปลว สีเงินลงบทความของผม ยังถูกต่อว่าโดย หลายท่านเขียนมาตอบโต้บ้าง ชี้แจงบ้าง ให้ข้อมูลบ้าง ตัดพ้อบ้าง ด่าทอบ้าง ทำนองว่า เสียแรงที่เคยนับถือ รับจ้างบริษัทในมาบตาพุดมาเขียน. . .ผมเศร้าใจว่า การเห็นต่างกันทำไมต้องถูกมองในแง่ร้ายถึงเพียงนี้ ยิ่งผมในฐานะคนเขียนคงถูกอาฆาตมาดร้ายเป็นอย่างยิ่ง ผมไม่ได้กลัว แต่ขอความเมตตาคุณสุทธิโปรดช่วยชี้แจงให้ทางกลุ่มเข้าใจ พวกเขาเองจะได้สบายใจกันขึ้นครับ
    ผมเรียนด้วยความสัตย์ว่าผมไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่ผมเกรงว่าเราอาจกำลังอ้างและตัดสินใจแทนประชาชนจนกระทั่งบิดเบือนหลักการโดยไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ผมหวั่นเกรงการทำลายล้างเศรษฐกิจไทยด้วยความเข้าใจที่สับสนด้านสิ่งแวดล้อม
    เราคนไทยด้วยกันต้องมีความเพียรที่จะคุยกันฉันมิตร สร้างสังคมอุดมปัญญามากกว่ามาประท้วงริมถนนครับ

    อ้างอิง
    <1>
    โปรดอ่านได้ที่ โสภณ พรโชคชัย - จดหมายถึงนายกรัฐมนตรี - 10 ประเด็นที่ขาดเหตุผลในการชุมนุมปิดมาบตาพุดที่ไม่<o:p></o:p>
    <2> โปรดอ่านได้ที่
     

แชร์หน้านี้

Loading...