คำถามเปลี่ยนชีวิต...?

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย นารภัทร, 10 ตุลาคม 2011.

  1. นารภัทร

    นารภัทร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2011
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +6
    มีปริศนาที่อยากให้ช่วยกันเฉลยหน่อย
    "ทำไมนกกระยางจึงยืนขาเดียวเวลาหลับ"

    ขอบอกว่านี่เป็นปริศนาประลองเชาว์ ไม่เกี่ยวกับความรู้รอบตัว

    ถ้าผ่านไป 5 นาทีแล้วคุณยังคิดไม่ออก
    (หรือยังตอบได้ไม่ถูกใจทั้งคนถามและคนฟัง)
    นั่นเพราะคุณมัวแต่จะถามตัวเองใช่ไหมว่า...
    ทำไมมันยืนขาเดียว ทำไมมันไม่ยืนสองขา

    ลองเปลี่ยนมาถามตัวเองใหม่สิว่า...
    ทำไมมันหดขาข้างเดียว ทำไมมันไม่หดขาสองข้าง

    เท่านี้แหละ คำตอบก็จะออกมาทันทีว่า
    "ถ้ามันหดสองขา มันก็ล้มนะสิ"

    ปริศนาข้อนี้ตอบได้ง่ายหากเราเปลี่ยนมุมมอง
    หรือตั้งคำถามเสียใหม่ นกกระยางยืนขาเดียว
    กับนกกระยางหดขาเดียว ที่จริงก็คือสิ่งเดียวกัน
    แต่เป็นภาพอันเกิดจากมุมมองที่ต่างกัน
    และสามารถชักนำความคิด ของเราไปคนละทิศละทางได้

    การเปลี่ยนคำถามหรือมุมมอง
    ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ช่วยให้เรา รอดพ้นจากอาการหน้าแตก
    เวลาถูกจู่โจมด้วยปริศนาแบบนี้
    (ซึ่งบางคนเรียกอย่างเจ็บแค้นว่า ปริศนาปัญญาอ่อน)
    ที่จริงมันมีประโยชน์มากกว่านั้น
    เชื่อหรือไม่ว่า มันอาจจะมีผลถึงกับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณได้

    คงมีหลายครั้งที่คุณรู้สึก เศร้าสร้อยน้อยใจ
    เฝ้าบ่นน้อยใจว่า "ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย" ไม่ว่าเขา(หรือเธอ)
    คนนั้นเป็นเพื่อนหรือคู่รักของคุณก็ตาม
    การตอกย้ำกับตัวเองด้วยความคิดอย่างนี้
    บางทีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว
    ยังอาจหมางเมินเขามากขึ้น ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอีก

    ลองเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามใหม่สิว่า...
    "แล้วเราล่ะ เข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า"
    การถามแบบนี้อาจช่วยให้เราพบสาเหตุ ที่แท้จริงของปัญหาก็ได้
    เพราะอันที่จริง เราเองก็คงไม่ได้เข้าใจเหมือนกัน

    สัมพันธภาพของผู้คนมักมีปัญหา
    ก็เพราะทุกคนคิดแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง
    แต่ไม่พยายามหรือแม้กระทั่งคิด ที่จะเข้าใจผู้อื่น
    ถึงตรงนี้คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า "ทำไมเขา ไม่เข้าใจเรา"
    แต่อยู่ที่ว่า "ทำไม เราถึงไม่เข้าใจเขา" และ "ทำอย่างไร
    เราถึงจะเข้าใจเขาได้"

    ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบบ่นในใจว่า "ทำไมฉันถึงซวยอย่างนี้"
    หากเปลี่ยนมาถามตัวเองว่า "ทำไมฉันชอบบ่นอย่างนี้"
    เขาอาจได้คิดและลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ทดท้อหรืองอมืองอเท้าเหมือนเก่า

    รู้จักตั้งคำถามเป็นศิลปะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต
    ทุกวันนี้เราถูกสอนให้สนใจคำตอบ จนลืมว่าคำถามนั้นสำคัญกว่าคำตอบมาก
    คำถามนั้นเป็นตัวกำหนดคำตอบ พูดอีกอย่างก็คือ
    คำถามเป็นตัวกำหนดความคิด และการกระทำของเรา
    ถ้าตั้งคำถามผิดก็พาความคิดของเราเข้ารกเข้าพง ซ้ำอาจพาชีวิตหลงทางไปด้วย

    เด็ก(และผู้ใหญ่)หลายคน
    ชอบถามในใจเวลามีงานมากองอยู่ข้างหน้าว่า "ฉันจะทำได้หรือ"
    คำถามอย่างนี้ชวนให้ ท้อ แต่ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไป
    หากเขาถามตัวเองใหม่ว่า "ทำไมฉันจะทำไม่ได้"

    อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งอุปสรรคไม่ได้อยู่ที่ว่าทำได้หรือไม่ได้
    หากอยู่ที่แรงจูงใจ

    มีคำถามหนึ่งซึ่งคุณหมอประเวศ วะสี บอกว่า...
    เป็นคำถามที่น่าเกลียดที่สุด
    แต่เป็นคำถามที่กำลังระบาดไปทั่วสังคมไทย นั่นก็คือ
    คำถามว่า "ทำแล้วฉันจะได้อะไร"
    คำถามอย่างนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น
    ทำให้จิตใจแคบลง และหาความสุขได้ยาก

    จะไม่ดีกว่าหรือ หากเราถามใหม่ว่า
    "ทำแล้วส่วนรวม(หรือสังคม) จะได้อะไร"
    การคำนึงถึงส่วนรวมโดยเริ่มต้นจากคำถามแบบนี้
    จะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น
    และคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวม ก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามของญาติมิตรว่า
    "ทำแล้ว เธอได้อะไร" หรือถูกตั้งข้อสงสัยว่า "ได้ไปเท่าไร"

    การถามว่า ใคร กับ ทำไม ก็มีผลแตกต่างกันมาก
    เวลาเกิดเหตุร้ายขึ้นมา คนส่วนใหญ่มักสนใจว่า ใครทำ
    แต่ไม่ค่อยถามว่า ทำไมเขาจึงทำ
    คำถามแรกนั้น เพียงแต่สนองความอยากรู้อยากเห็น
    แต่คำถามหลัง ช่วยให้เห็นสาเหตุของปัญหา
    และอาจนำมาเป็นบทเรียนแก่ตนเองได้


    คุณโสภณ สุภาพงษ์ เล่าว่า ตอนที่ไปบริหารโรงกลั่นน้ำมันบางจากใหม่ๆ
    โรงกลั่นอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นประจำ ขาดทุนมหาศาล
    ขณะที่ขวัญของพนักงานก็ไม่ดี เพราะมีปัญหาสืบเนื่องจากเจ้าของเดิม
    คุณโสภณ เล่าว่าเวลาเกิดอุบัติเหตุในโรงกลั่น
    จะไม่ถามพนักงานว่า "ใครทำ" แต่จะถามว่า "ทำไมถึงเกิดขึ้น"

    วิธีการดังกล่าวมีผลคือ
    ทำให้พนักงานช่วยกันหาสาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไข
    แทนที่จะซัดทอดหรือกล่าวโทษกัน
    ซึ่งมีแต่จะทำให้แตกความสามัคคีกันมากขึ้น
    ในเวลาไม่นานโรงกลั่นก็แทบไม่มีอุบัติเหตุเลย
    กำไรก็เพิ่มมากขึ้น จนมีสถานะที่มั่นคง
    ส่วนพนักงานก็ทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม
    คงไม่มีคำถามใดสำคัญเท่ากับคำถามเกี่ยวกับชีวิตจิตใจของเราเอง
    ถ้าเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อน กับการถามตัวเองไม่รู้จบว่า
    "เมื่อไรฉันถึง จะรวยเสียที" ลองเปลี่ยนมาเป็นคำถามว่า
    "เมื่อไรฉันถึงจะพอใจกับความรวย ของฉันเสียที"
    ลองเหลียวดูรอบตัวเถิด ตอนนี้คุณอาจร่ำรวยอยู่แล้วก็ได้
    แต่ยังไม่พอใจเสียที เพราะเอาแต่ชะเง้อมองคนอื่นที่รวยกว่า

    แต่ถึงแม้คุณจะยังไม่รวย พยายามบ่มความพอใจในสิ่งที่ตนมี
    แล้วคุณจะพบกับความรวย ชนิดที่ไม่มีใครมาแย่งชิงได้
    แม้จะอิจฉาตาร้อนจนลุกเป็นไฟก็ตาม

    ปริมาณของ"ความสุข" ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของ "สิ่งดีๆ" ที่เราได้รับ แต่อยู่ที่ "มุมมอง" ของเราที่มีต่อ "สิ่งเหล่านั้น"

    เมื่อไม่ได้พัฒนาที่จิตใจ จะพัฒนาด้านใดๆก็ไร้ผล
    การพัฒนาจึงต้องเริ่มที่ใจคน เพื่อเกิดผลพัฒนาที่ถาวร


    *ขออนุญาตินำบทความนี้มาเผยแพร่*


     

แชร์หน้านี้

Loading...