เรื่องเด่น กติกาของการไปนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 26 มกราคม 2017.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    16114706_224516931290304_7522772312664901723_n.jpg


    กติกาของการไปนิพพาน

    ถาม : อย่างมีเทคนิคหรือว่าเคล็ดลับจริง ๆ นี่ระหว่างทาน ศีล กับภาวนา ตัวไหนคะที่เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ?
    ตอบ : ๓ อย่างต้องรวมกัน ถ้าหากว่าจะนับจริง ๆ ก็คือตัวภาวนา ๆ จะทำให้เข้านิพพานได้ แต่ว่ามันจะต้องมีกำลังของทานกับศีลมาหนุนเสริมอยู่ เขาเปรียบอานิสงส์เอาไว้ว่า ทานนั้นเกิดมาจะรวย ศีลนั้นเกิดมาจะรูปสวย มีจิตใจดีงาม ภาวนาเกิดมาจะมีปัญญาฉลาด คนฉลาดแต่จนมันก็แย่ใช่มั้ย ? ส่วนคนรวยไม่มีปัญญา รักษาทรัพย์ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นมันต้องทำเหมือน ๆ กันทำในลักษณะที่ว่าทำให้มันเสมอ ๆ กัน ในเมื่อทำสม่ำเสมอกันต่อไปอานิสงส์ที่มันควรได้มันก็ได้ด้วยกันทั้งหมด ประเภทที่ว่ากันเอาไว้ก่อนเผื่อต้องเกิดใหม่ก็คือเกิดให้มันสมบูรณ์ไป ถ้ามันไม่ต้องเกิดใหม่อาศัยกำลังตัวนี้ส่งเราเข้านิพพาน

    ถาม : ถ้ายังไม่สามารถฝึกปฏิบัติให้เห็นพระนิพพานได้แต่ตั้งใจไว้สามารถ....?
    ตอบ : สามารถไปนิพพานได้เหมือนกัน กติกาของการไปนิพพานก็คือ
    ๑. เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นจริงจังไม่ปรามาสทั้งต่อหน้าและลับหลัง
    ๒. รักษาศีลอย่างน้อย ๕ ข้อให้บริสุทธิ์
    ๓. ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน มีข้อไหนบอกว่าต้องได้ฤทธิ์ได้อภิญญา ต้องเห็นนรกเห็นสวรรค์บ้างมั้ย ? ไม่มีนะ สิ่งที่เห็นสำหรับคนขี้สงสัยจะได้แก้สงสัยว่ามีจริงหรือเปล่า ? แล้วถ้าหากว่ามัวแต่แก้สงสัยมัวแต่ไปทำอยู่ ตายตอนนั้นผลประโยชน์ที่ควรจะได้เต็มที่ก็พาลไม่ได้ไปด้วย ก็ได้แค่ตามสมควรเท่านั้น ดังนั้นว่าถ้าหากว่าเรามีความเชื่อถือที่มั่นคงจริงจังแล้วพระพุทธเจ้าสอนถูกตั้งหน้าตั้งตาทำ เมื่อถึงวาระนั้นอารมณ์ของพระนิพพานจะเข้ามาเต็มในใจของเราเอง แล้วเราจะรู้ว่าสภาพของนิพพานแท้จริงเป็นยังไงไม่ต้องเห็นก็ได้

    เพราะฉะนั้นถึงว่าบุคคลที่เป็นสุขวิปัสสโก ทำไมถึงมั่นใจคุณของพระรัตนตรัย ทำไมถึงมั่นใจว่ามีพระนิพพานทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เห็น เพราะว่าอารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเต็มในใจของท่านเอง เมื่อเข้าถึงแล้วรับรู้ได้แล้วถึงไม่เห็นก็มั่นใจ

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นเป็นแค่ของแถม ถ้าหากว่าเห็นแล้วใช้ผิดอย่างปัจจุบันนี้ก็ยิ่งน่าเวทนาหนักเข้าไปอีก มโนมยิทธิจริง ๆ แล้วเป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด เพราะว่ากิเลสโดยเฉพาะรัก โลภ โกรธ หลงเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าใจไม่อยู่คอยปรุงคอยแต่งแล้วมันไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ มโนมยิทธิเป็นการถอดใจออกไป มันโกรธขึ้นมาอาศัยความชำนาญวิ่งไปอยู่บนพระนิพพาน มันเกิดราคะขึ้นมาอาศัยความชำนาญโดดขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน
    ในเมื่อไม่มีใครมาปรุงมาแต่งมันก็เหมือนกับอาหาร ไม่ได้ใส่เกลือไม่ได้ใส่น้ำตาลไม่ได้ใส่น้ำส้มน้ำปลาอะไร รสชาดมันไม่เอาอ่าว มันจืดชืด ไม่นานมันก็เลิกของมันไปเองพอทำบ่อย ๆ การตัดกิเลสอัตโนมัติโดยเฉพาะไปนิพพานได้ รู้จักพระนิพพานจิตมันเกาะอยู่เป็นประจำ กิเลสมันหมดเข้านิพพานได้ง่าย ๆ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด ๆ ตรงที่ว่ายังไง...ไประลึกชาติใช่มั้ย ? คนนั้นก็เป็นญาติเรา คนนั้นเป็นพ่อคนโน้นเป็นแม่ ไอ้นั่นผัวไอ้นี่เมีย นั่นลูก ฟื้นความสัมพันธ์ไม่พอ ไปผูกความสัมพันธ์ฟื้นขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง แทนที่จะละก็กลายเป็นยึดก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น

    ถ้าหากว่าตายในขณะที่จิตใจของตนเองผ่องใส พื้นฐานมโนมยิทธิคือ กำลังของฌานก็ได้แค่พรหมเท่านั้นใช่มั้ย ? ถ้าตายตอนจิตใจเศร้าหมองไปดูไอ้ชาตินั้นไม่น่าเลย ไปทะเลาะกับเขาอย่างนี้กำลังใจกำลังขุ่นมัวอยู่ก็เป็นอันว่าลงอบายภูมิไป ขาดทุนย่อยยับ เพราะฉะนั้นว่าการรู้นี่ไม่แน่เหมือนกันว่าจะดี ถ้ารู้แล้วขาดสติขาดการไตร่ตรองก็ทำให้เราพลาดจากผลประโยชน์ที่ควรได้ มโนมยิทธิของหลวงพ่อราคาเป็นล้านนะ เราเอามาใช้ไม่ถึงสลึงแล้วยังใช้ผิดอีกต่างหาก จริง ๆ แล้วท่านต้องการให้เราเอากำลังใจเกาะนิพพานเอาไว้ เกาะให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

    ถ้าใครที่อยู่รุ่นเก่า ๆ จะจำได้ว่ามีอยู่สมัยนั้นที่หลวงพ่อกล่าวถึงพระอรหันต์ทั้ง ๗ องค์ที่บรรลุพร้อมกันที่อยู่ทางเหนือ บอกว่ามีอยู่ ๓ องค์ที่ฝึกมโนมยิทธิมา ส่วนอีก ๒ องค์ก็ได้รับเค้าจากอีก ๓ องค์ ของท่านท่านบอกท่านไม่ได้ทำอะไรมากหรอก วัน ๆ หนึ่งก็เอาจิตเกาะนิพพานไว้ เกาะนิพพานอยู่ ๆ กิเลสมันหมดเอง นั่นแหละคือจุดที่หลวงพ่อต้องการมากที่สุด มโนมยิทธิในด้านอื่น ๆ เมื่อเรารู้แล้ว รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้ใจคนอื่น รู้ว่าสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วไปไหน ระลึกชาติได้ รู้ว่าทำกรรมดี กรรมชั่วแล้วผลจะเป็นอย่างไรเหล่านี้ ท่านให้รู้เพื่อเราจะได้เข็ดจะได้ละ

    แต่ละชาติที่เราเกิดมาชาติไหนที่มันไม่ทุกข์มั่ง....มีมั้ย ? มันทุกข์ทุกชาติใช่มั้ย ? ชาตินี้เกิดอยู่ก็ทุกข์อีกนะ เพราะฉะนั้นอดีตทุกชาติทุกข์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก เป็นอันว่า ๓ ข้อเก็บใส่กระเป๋าได้เชื่อมั่นว่าทุกข์แน่ ๆ ไม่ต้องใช้แล้ว รู้ใจคนอื่นประโยชน์มันน้อย มันต้องดูใจตัวเองดูว่าความดีมีมั้ย ? ถ้าไม่มีก็สร้างมันขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป มันมีความชั่วมั้ย ? ถ้ามีไล่มันออกไปแล้วระวังไว้อย่าให้มันเข้ามานะ

    เจโตปริยญาณ ถ้าดูใจตัวเองลักษณะนั้นก็จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล ถ้าดูผิดมัวแต่ไปดูคนอื่น คนนั้นใจเป็นอย่างนี้คนนี้ใจเป็นอย่างนี้ แทนที่จะดูที่ตัวแก้ที่ตัวก็เสียประโยชน์ไป บุพเพสันนิวาสนุสติญาณ ระลึกชาติได้นั้น มีชาติไหนบ้างที่ไม่ทุกข์บ้างถามหน่อยเถอะ จุตูปปาตญาณ คนเกิดก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีเราย่อมไปสู่สุขคติ ถ้าเราทำชั่วก็ลงอบายภูมิ ถ้างั้นก็เก็บเอาไว้อีกอย่างหนึ่งได้แล้ว ไม่ต้องไปฝึกยถากรรมมุตาญาณ นี่ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะว่ารู้ว่ากรรมแต่ละอย่างทำให้คนและสัตว์เป็นยังไง เราเชื่อกรรมดีกรรมชั่วก็เก็บใส่กระเป๋าไปเลย

    ตกลงว่ามโนมยิทธิไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ถ้าหากว่าเรามั่นคงในพระรัตนตรัย เชื่อถือพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้วคนที่มียิ่งชัดก็ยิ่งโดนหลอกง่ายใช่มั้ย ? ประสบการณ์โดนหลอกนี่มันเจ็บปวดจริง ๆ เลย ส่วนใหญ่แล้วโดนมาทั้งนั้นนะ โดนแบบไม่รู้ตัวด้วย ในเมื่อตัวเองเห็นก็มักจะไปเถียงคนอื่น ก็ตัวเองเห็นแล้วมันจะผิดได้ยังไง หารู้ไม่ว่าเขาหลอก เราเห็นเขาไล่ยิง ไล่ฟัน ไล่แทงมา ตกอกตกใจวิ่งเข้าไปช่วย ปรากฏว่าเขากำลังถ่ายหนังอยู่ โดนเขาตีกะบาลเอาน่ะซิ เราเห็นจริง ๆ รึเปล่า ? เห็นใช่มั้ย แต่เรื่องนั้นเรื่องจริงรึเปล่า ? ไม่ใช่...เป็นเรื่องที่เขาปรุงแต่งขึ้นมา

    เพราะฉะนั้นเรื่องของการรู้เห็นด้วยทิพจักขุญาณหรือว่าเห็นด้วยมโนมยิทธิ ยิ่งรู้เห็นชัดเจนการทดสอบยิ่งแรง ถ้าสอบตกก็เจ็บหนักหน่อย ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า วิ่งหาอารมณ์พระโสดาบันเอาไว้ ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้าไป มโนมยิทธิจัดเป็นอภิญญาใช่มั้ย ? อภิ คือ ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ มันไม่มีอะไรรู้ไปยิ่งกว่าการตัดกิเลสหรอก ไม่ได้ยุให้พวกเราเลิกทำนะ ใครทำได้ให้เปลี่ยนไปเกาะพระนิพพานแทน เกาะได้นานเท่าไหร่ดีเท่านั้น

    ภพอื่นภูมิอื่นเราก็ดูอยู่แล้วรู้อยู่แล้ว ว่ามันไม่มีที่ไหนดีไปกว่านิพพาน เรื่องอื่น ๆ นั่นกองไว้ได้ถ้าตายตอนนั้นแย่เลย มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นหลวงพ่อท่านเทศน์ที่สายลม ท่านบอกว่าคนที่ทรงกรรมฐาน ๔๐ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือวิชชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น กั้นแบบนี้ไม่ใช่กั้นอย่างนี้ แล้วของเราเองแค่มโนมยิทธินี่มันคงจะห่างซักแค่นี้ ....ตายแหง ๆ เลย เพราะฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาคว้าอารมณ์พระอริยะเจ้าไว้ก่อน ประกันความเสี่ยงไว้ก่อนปิดอบายภูมิไว้ก่อน อย่างน้อย ๆ ตายก็อย่าให้มันขาดทุน

    บางส่วนจาก…
    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    --------------------------------------------------------------




    เครดิต

     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,667
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,216
    สาธุครับ
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    เรื่อง "อารมณ์พระนิพพาน"..
    .. พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเนี่ย ท่านบอกว่ามีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย แต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไรดูง่ายๆ
    ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์ หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคำนึงนึกถึงว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ดีตัวนี้ก็คือ "ดีไม่ต้องการเกิด"
    ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ป่วยไม่มี ตายไม่มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่มี ใช่ไหม? ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ว่า "ตายคราวนี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว" ไม่ไปไหน ไม่ว่าเขาจะถามว่า แกจะไปได้ไม่ได้ ก็บอกว่าได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ข้าจะไป ใช่ไหม? มึงจะไปหรือไม่ไปก็ช่างมึง แต่กูจะไป ก็หมดเรื่อง มันเรื่องของกูไม่ใช่เรื่องของมึงใช่ไหม?

    คราวนี้จะไปได้ไหมล่ะ? ถ้าจิตเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเรา เมื่อละจากอัตภาพนี้แล้วเราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน

    แล้วเราก็มานั่งนึกหาความจริง ว่าไอ้คนที่เค้าจะตายนี่ เค้าไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเค้าเอาอะไรไปหึลูก? เอาตัวไปหรือเปล่า? ไอ้ที่ไปเนี่ยคือ "ใจ" ใช่ไหม? ใช่ ตอนนี้ถ้าใจของเราเวลานี้น่ะ เรายึดหัวหาด คืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด แล้วอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงพระนิพพานไง

    จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน นี้ก็รู้แล้วว่าเวลาไปจริงๆนั้นจิตมันไป นี้เวลาตายจริงๆมันก็ไปนิพพานเลย ไม่ยาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    "มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ" ใช่ไหม?
    ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วมันจะไปไหน? ก็ไปพระนิพพาน มีเยอะแยะไปที่เค้าทำกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวมันจะต้องเป็นพระอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้เพื่อพระนิพพานนี่แหล่ะมันเป็น "อารมณ์พระอรหันต์"

    นี้อารมณ์ของพระโสดาบันเนี่ยเราก็ "ยันนรก" ไว้ต่างหาก แต่ว่ายามปกติเนี่ยเราคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา แล้วร่างกายเราก็ไม่มี ในเมื่อร่างกายเราไม่มีมันมีผัวมีเมียได้ไหม? นี่ตัวตัดจริงๆมันอยู่ตรงนี้นะ เบาๆ ไม่ยาก ใช่ไหม? ..

    หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  5. ฟำี่ิอกาี

    ฟำี่ิอกาี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +20
    อย่างน้อยขอให้ทำได้ตามนั้นก่อน เดียวดีเอง พูดได้เเค่นี้จริงๆอยากพูดมากกว่านี้
     
  6. e20aoa

    e20aoa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +364
     
  7. e20aoa

    e20aoa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +364
    ขั้นแรก ต้องทราบก่อนว่า"นิพพานคืออะไร"
    เหมือนกับการเดินทางที่ต้องทราบที่จะไป
    จึงมาหาวิธีไป ซึ่งวิธีการเดินทางไปนั้นก็คือไปที่สถานี ซื้อตั๋ว บอกที่หมายปลายทาง ขึ้นยาน
    ก่อนหน้าก็ต้องเตรียมตัว จัดกระเป๋า ฯลฯ
    ในวัฎฎะสงสาร เป็นการเกิด เกิดที่ไหน เป็นอะไร ก็เป็นผลมาจาก บุญ และ ทาน ที่ได้สร้างไว้ก่อนหน้า หรือชาติก่อนนั่นเอง
    ก่อนหน้าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมานั้น ก็มีคนพยายามหาวิธีที่จะเกิดและมีความสุขตลอดกาล แต่ไม่มีใครพบ แม้ความเป็นอมตะก็เช่นกัน ทุกชีวิตต้องเกิดซ้ำๆในภพต่างๆ สถานะต่างๆ นับไม่ถ้วน
    ในการเกิดแต่ละครั้งก็มีความเจ็บ ความสุข ความทุกข์ฯลฯ ไม่จบสิ้น ไม่เคยอยู่ในภาวะนิ่งๆได้ ที่เรามักพูดว่า เกิด แก่ เจ็บ แล้วตาย นั่นแหละ
    คนที่เข้าใจ และต้องการหลุดพ้นก็พยายามหาทางหลุดพ้น ออกจากวัฏฏะสงสารวัฏนี้
    เทวดาเองก็ยังอยู่ในวงจรนี้เช่นกัน
    พรหมก็เช่นกัน (มาทราบเมื่อพรรษาที่๗)
    ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากวัฏฏะได้คือการไปที่นิพพาน(ไม่เกิดอีก)
    การจะเดินทางไปนิพพานก็คือการหลุดออกจากวัฏฏะ(สมบูรณ์)
    วิธีการนั้นมีสอนในศาสนาพุทธเท่านั้น ไม่มีในศาสนาอื่นๆ(ในอนาคตคงจะมีการเพิ่มบางสิ่ง แต่ก็ไม่สมบูรณ์_จึงอาจไปได้สูงขึ้น แต่ก็ไม่ถึงพระนิพพาน)
    การเตรียมตัวก็สำคัญพอๆกัน
    วันนี้ตอบเบาๆก่อน ถ้ามีผู้สนใจก็จะมาว่าต่อแต่ถ้าไม่มีคนติดตามก็จบแค่นี้ สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2017
  8. ฟำี่ิอกาี

    ฟำี่ิอกาี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +20
    ปัจจุบันคนทำหาทางเป็น อมตะ คือร่างกายไม่ตาย สวนทางกับความจริงของนิพพาน เเละตอนนี้คนเรากำลังหาของที่สะดวกมาใช้ทำให้จิตอ่อนกำลังติดสบาย ยิ่งไปกันใหญ่ บางคนต้องโดบยาเพื่อให้เเข็ง นิพพพานก็ต้องทำยังไงไม่ให้อยากเเข็งอีก เเหม่ๆๆน่าสงสาร คนโลกจริงๆ สักวันๆๆๆ ของเป็นวันของพวกเขา ทำใจๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...