จิตจักรวาล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 3 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    การหุงปรอทไม่ได้เล่นแร่แปรธาตุแบบชาวบ้านเขาเพื่อทำเป็นของวิเศษ แต่หุงปรอทเพื่อทดสอบกำลังจิต หรือกำลังฌาณ เมื่อเข้าสู่อรูปแตะวิญญาณัญจายตนะแล้วถอยจิตลงสู่รูปฌาณ ไฟที่ร้อนกลับเย็นลง ช่วงนั้นเป็นช่วงดำรงฌาณ เอานิ้วลงคนในชามปรอท.....ปรอทก็แข็งตัวสามารถปั้นเป็นก้อนได้

    หลังจากที่หุงปรอทครั้งแรกได้จนแข็งตัวหยิบขึ้นมาปั้นเป็นก้อนได้....ก็มาหุงต่อหน้าพระอาจารย์ ก็เอาปรอทเทใส่ชามดื้อๆ ไม่มีน้ำมะนาว ไม่ได้เข้าธาตุใดๆ ใช้จิตล้วนๆในการหุง...ปรอทก็แข็งตัว แต่ปั้นเป็นก้อนทรงตัวไม่ได้....

    พอมาหุงครั้งที่ 3 ในบ้าน งวดนี้ปรอทแปรสภาพเป็นปรอทดำ คุณสมบัติกินทองคำอยู่เหมือนเดิม....ปรอทไม่แปรสภาพมาเป็นสีเงินวาวอีก...และไม่สามารถปั้นได้

    ก็เป็นการทดสอบวัดกำลังจิตและการทรงฌาณ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอกล่าวอีกครั้ง ธรรมที่ผมเรียนรู้อาจไม่เหมือนที่พวกท่านเรียนรู้มา แนวทางก็อาจจะแตกต่างไป ท่านต้องพิจาณาด้วยตัวเองเลือกใช้แต่สิ่งที่ถูกต้องเมื่อถึงจุดหนึ่งท่านจะรู้ด้วยตัวเอง ว่าเราไม่ควรยึดมั่นในธรรมใดจนเกินไป
    ผมเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องส่งมอบทุกอย่างคืนสู่ธรรมชาติแต่เส้นทางการบำเพ็ญล้วนเกี่ยวข้องกับธรรมชาติก็ลองพิจารณา กันดูครับ
     
  3. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    เห็นเขาว่า การฉีดไฮโดรเจนเหลวใส่ปรอท ก็จะทำให้ปรอทแข็งตัวได้
    แต่ไม่ทราบว่า ปรอทจะแข็งตัวตลอดไปหรือเป็นแค่การแข็งตัวชั่วคราว
    เพราะหนังสือเขาไม่ได้บอก

    โดยส่วนตัวไม่เคยเจอปรอทสำเร็จ เคยเห็นแต่ปรอทวิทยาศาสตร์
    ซึ่งกินทองไม่ได้

    เคยนำลูกสะกดปรอทมาอมไว้ในปากแล้วกลืนน้ำลายลงไป(เพราะใบฝอยวิธีใช้
    บอกว่าถ้าอมไว้แล้วจะไม่รู้สึกกระหายน้ำ) สักพักรู้สึกเจ็บแปล๊บในลำไส้
    หรือในกระเพาะอาหาร แล้วก็ถ่ายท้อง โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก
    นับแต่นั้นมาก็ไม่กล้าอมปรอทอีกเลย

    เคยนำลูกสะกดปรอทไปลนด้วยไฟเทียนพอร้อนๆ ปรากฏว่าลูกสะกดปรอท
    เกิดประกายสดใสสวยงาม แต่หลังจากลนไฟไปได้สักระยะก็ปล่อยไว้ให้เย็น
    ปรากฏว่า ผิวของลูกสะกดปรอทที่เคยขาวใสเป็นประกาย กลับกลายเป็นผิว
    สีขาวซีด ขาวแบบด้านๆ คล้ายผิวหม้ออลูมิเนียม(เข้าใจว่าเกิดจากการลนไฟ
    ทำให้ปรอทบริเวณผิวระเหยออกไปหมด)
    ดังนั้น จึงได้นำลูกสะกดปรอทมาสวดมนตร์ แล้วนึกอธิษฐานถึงครูบาอาจารย์เจ้าของลูกสะกดปรอท ว่าขอให้ลูกสะกดปรอท
    กลับมามีผิวเงางามเหมือนเก่า
    อธิษฐานอยู่หลายวัน แต่ปรอทก็ไม่เงาขึ้น
    ผมเลยตัดสินใจ เอาลูกสะกดปรอทคาดเอว ให้โดนผิวหนังบ้าง
    เวลาอาบน้ำก็ให้โดนน้ำ ปรากฏว่า ผ่านไป ๑๕ วัน
    ลูกสะกดปรอทก็กลับมามีผิวสีขาวเงางามเหมือนเดิม
    (เข้าใจว่าคงเป็นเพราะน้ำปรอที่อยู่ด้านในได้ซึมออกมาเคลือบผิวที่อยู่ด้านนอก
    จึงทำให้ลูกสะกดปรอทกลับมาเงางามเหมือนเดิม)

    ในด้านการทดสอบ ตามใบฝอยบอกว่า ลูกสะกดปรอทใช้ห้ามเลือด
    กับแก้พิษแมลงป่อง หรือพิษปลาดุกได้ แต่ไม่เคยทดลอง(ไม่อยากจะเจ็บตัวฟรี)
    ที่เคยทำคือ นำลูกสะกดปรอทไปไว้บริเวณที่จิ้งจกชอบมาประจำ
    ปรากฏว่า จิ้งจกไม่กล้าเข้าใกล้ลูกสะดปรอท
    ลองเอาทองคำเปลวให้กิน ปรากฏว่าปรอทไม่กิน แต่ถูกับซองบุหรี่จะร้อน

    แม้แต่ปรอทที่ยังเป็นน้ำ เมื่อทดลองเอาทองคำเปลวให้กิน
    ก็ปรากฏว่าปรอทไม่กิน(ทองคำเปลวแท้ ไม่ใช่ทองวิทยาศาสตร์)
    ก็เลยคิดว่า ปรอทที่กินทอง คงต้องเป็นปรอทสำเร็จอย่างเดียวถึงจะกินทองได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2016
  4. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    อย่างไรก็ดี โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองก็อยากได้ปรอทสำเร็จที่มีจิตวิญญาณเหมือนกัน
    เพราะเท่าที่ผ่านมา เจอแต่ปรอทแข็งธรรมดา แถมยังไม่กินทองอีกด้วย
    ปรอทสำเร็จที่อยากได้คือ ระดับที่ พอเอาทองคำเปลวไปวางใกล้ๆ ทองคำเปลว
    ต้องหายวับไปกับตา(เคยอ่านในหนังสือ ของกายสิทธิ์ ที่ทาง สนพ.โลกทิพย์พิมพ์จำหน่าย
    เขาบอกไว้แบบนั้น คือเขาว่า ปรอทสำเร็จต้องกินทอง)
     
  5. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    ก็พอสื่อได้บ้างค่ะ เขามาสอนธรรม มีการโต้ตอบทางจิต บางอย่างก็เป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน...ตัวอย่างเรื่องวัฎฎะสงสาร ระหว่างนั่งว่างๆก็รู้สึกเบื่อหน่ายไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด จู่ๆก็มีเสียงมาบอกในจิตว่า...มันก็มีวิธีที่จะหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารได้...เราก็ถามว่ามีจริงหรือ...ปรอทก็บอกว่าก็ไม่ตายสิ ก็จะไม่มีการเกิด....ก็คือในเรื่องของความเป็นอมตะ...

    เขายังบอกว่าตัวปรอทเองนั่นเกิดมาพร้อมกับโลกใบนี้ อยู่มานานจนกระทั่งมีวิญญาณธาตุ หรืธาตุรู้ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรเขาสามารถที่จะบอกได้....

    ส่วนตัวยังกลัวปรอทครอบงำทางความคิด...ก็เลยเอาขึ้นไปเก็บไว้บนห้องพระไม่ได้สนใจร่วมปี...ต่อมาไปนั่งสมาธิในห้องพระครูบาอาจารย์ก็มาสอนให้นั่งสมาธิแบบมัชฌิมา คืออณุโลม ปฏิโลมแล้วเดินธาตุภายใน....ก็มีพลังงานบางอย่างไหลเวียนอยู่ในกาย...

    ต่อมาก็สอนให้เดินธาตุแบบเกิดดับคือแยกธาตุลม-ธาตุไฟ-ธาตุน้ำ-ธาตุดิน...คือการดับขันธ์ตัวเอง แบบแยกกายสังขาร คือแยกกายและจิตออกจากกัน เหลือเพียงธาตุรู้....ต่อมาก็ตั้งธาตุใหม่คือตั้งธาตุดิน-เอาน้ำใส่-เติมธาตุไฟ-แล้วก็ใส่ธาตุลมก็เกิดมีสังขารใหม่ขึ้นมา

    ถึงตอนนี้เดินธาตุย้อนกลับ...ก็มีปฏิกริยาของร่างกาย...ครูบาอาจารย์ในสมาธิเรียกว่าการหุงธาตุ....หรือการฟอกกายเราให้เป็นทิพย์....คือฟอกกายเราจริงๆนะ ที่รู้คือป่วยค่ะเพราะธาตุไม่สมดุลย์...ทำๆเลิกๆอยู่ตอนนี้...

    แต่ตอนนี้คือไอความร้อนจะกรุ่นตัวเราตลอดเวลา...ที่ปรากฏคือผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น รอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นแทบจะไม่มี...ผิวพรรณผ่องมาก..

    ตอนนีก้ลองศึกษาดูไปเรื่อยๆค่ะ
     
  6. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    หุงปรอทครั้งที่ 4 รอเซทตัวอยู่ค่ะ....หุงครั้งนี้ไม่ได้แต่ที่วิญญาณัญจายตนะ.....ขาดเงื่อนไข ไฟไม่เย็น...แต่ปรอทก็แข็งตัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    ตอนนี้เขาเริ่มแวววาวเปล่งประกายออกมา...ยังกินทองอยู่ค่ะ..คงต้องฝึกสมาธิจนกว่าปรอทเม็ดนี้จะกลายเป็นแก้วจักรพรรดิมั้ง....แค่คิดๆเท่านั้นค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ผมคิดว่า ที่ปรอทพูดถึงเรื่องความเป็นอมตะนั้น น่าจะหมายถึงการทำชีวิตให้ยืนยาว
    เช่น ยืดอายุออกไปอีกสักหลายร้อยปี ไม่น่าจะใช่การเป็นอมตะที่หมายถึงมีชีวิตอยู่ตลอดไป
    เพราะถึงอย่างไร โดยสภาพของร่างกายมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้
    มนุษย์ต่อให้มีชีวิตยืนยาวเช่นไร ก็ไม่อาจจะเปรียบกับเทพเทวดาได้
    อย่างมากก็คงทำให้มีอายุยืนยาวขึ้นเท่านั้นเอง
    เคยเห็นรูปพระพม่า ที่ว่าสำเร็จปรอทจนมีอายุถึงสองร้อยปี(อ่านจากเว็บนี้)
    ดูสภาพภายนอก ผิวขาวซีดเหมือนหุ่นที่ปั้นจากขี้ผึ้ง
    ตลอดตัวต้องคลุมผ้าทั้งหมด โผล่แต่หน้าอย่างเดียว คล้ายแพ้แสงแดด
    ถ้าดูจากประวัติพระที่อายุยืนยาว อย่างมากก็อายุเพียงร้อยกว่าปี
    แต่สุดท้ายก็มรณะภาพ และร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย
    ไม่ทราบว่าทำได้อย่างไร หรือกินยาอะไรเข้าไป จึงทำให้มีอายุเกินร้อยปี
    และเมื่อมรณะภาพแล้วร่างจึงไม่เน่า ??
     
  9. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    การปฏิบัติ ถ้าได้ถึงอรูปฌาน ตายไปต้องเกิดเป็นอรูปพรหมที่มีอายุเป็นหมื่นๆมหากัปป์
    หากจะเปรียบกับอายุของมนุษย์แล้ว ก็เรียกว่าเป็นอมตะได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยทีเดียว
     
  10. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    ตรงนี้ไงคะ ที่ตัวเองยังงงันอยู่ ตราบใดที่ยังกิน นอนอยู่ยังไงๆก็ยังไม่ใช่ผู้วิเศษ...แต่ก็สนใจศึกษาเกี่ยวกับอำนาจของจิต แต่เดิมทีศึกษาแค่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไฉนมาแล้วเข้าสายฤๅษีได้ก็ไม่รู้ค่ะ
     
  11. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ตรงนี้ ต้องระวังครับ สายจิตจักรวาล ในระดับสูงอาจเข้าถึงระดับ วิญญาณัญจายตนะ แต่ไม่ได้หมายถึง การเสวยอารมณ์หรือเข้าฌาณ แต่หมายถึงระดับสมาธิจิตที่เสริมในการเข้าถึง สัจธรรม หรือการหยั่งรู้สัจธรรม เป็นหลัก คำว่า เข้าถึงจิตจักรวาล เข้าถึงจักรวาล เข้าถึงจิตธรรมชาติ เข้าถึงธรรมชาติ ไม่ได้หมายถึง เข้าถึงพระเจ้า พระจิต หรือจิตอื่นได้ แต่หมายถึง จิตเรานั่นแหละเข้าถึง หยั่งถึง จนเห็นสัจธรรม จนประพฤติ ปฏิบัติตน ทั้งกาย วาจา และใจ เป็นไปตามครรลองแห่งธรรม หรือครรลองของจักรวาล การเห็นสัจธรรม นั้น ย่อมไม่อาจทำอารมณ์เหนือสัจธรรมได้ ความจริงด้วยคนที่หยั่งถึง สัจธรรมทุกระดับ ย่อมมีปัญญาแก่การเกิดอัปปมัญญาธรรม ธรรมไร้ประมาณอยู่แล้ว เป็นรากบารมีในการถึงสัพพัญญูนั้นเอง

    การติดอมตะ ติดฌาณ ติดสวรรค์ ติดภพพรหม จะน้อยลง หรือไม่มีในที่สุด ส่วนความเป็นอมตะ อมฤตธรรม ย่อมเป็นไปตามธรรมนั้นเอง ๆ พระโพธิสัตว์ที่เข้าถึงธรรมระดับสูง จึงเรียกว่า นิตยโพธิสัตว์ เพราะเข้าถึงธรรมระดับเที่ยงแท้อย่างหนึ่งแล้ว ความไร้ตัวตนนั้นมีอยู่ การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีอยู่ แต่ธรรมที่สะสมได้นี้ กลับไม่หายไม่ตายไป บารมีธรรมจึงเป็นอมตะ
     
  12. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    ขอบคุณมากค่ะคุณณฉัตรที่ช่วยชี้แนะค่ะ....ปรกติไม่เคยรู้เรื่องปรอท ไม่เคยอ่านหรือศึกษาเกี่ยวกับปรอทเลยค่ะ...จู่ๆก็มีเสียงมาสั่งให้ไปหุงปรอทก็ได้มาอย่างที่เห็นค่ะ

    ส่วนเรื่องการแตะชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านนำไปให้รู้รสแห่งฌาณ....ส่วนตัวเองยังไม่มีความสามารถที่จะไปได้เองค่ะ ยังกระดึ๊บๆอยู่ค่ะ.....เพียงแต่ว่าพอได้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ได้ลองลิ้มรสรูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 4 ก็จะมีสัญญาความทรงจำ จำได้ถึงรสชาติ ไม่หลงทางแน่นอนค่ะ....อีกอย่างคือจะทำอย่างไรให้กำลังฌาณเราเข้มแข็งขึ้น....ส่วนเรื่องถอยจิตลงมาชั้นวิญญาณัญจายตนะก็เพื่อศึกษาในเรื่องของวิญญาณธาตุต่างๆในจักรวาล

    ส่วนตัวตอนนี้สิ้นสงสัยในสภาวะธรรม..ที่เข้ามาเพียงแค่ต้องการหาเพื่อนคุยว่ามีใครเป็นแบบนี้บ้างไหมค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2016
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรงนี้ถูกต้อง

    +++ ไม่จำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับจักรราศี เพียงแค่ "เดินธาตุอย่างไร ให้ผลอย่างไร" หากตรงนี้ละเอียดถี่ถ้วนดีพอ จะแตกฉานมากกว่าจักราศีเสียอีก

    +++ คำศัพท์ที่ตรงกับอาการที่สุดคือ "ระดับอนุภาคของอณู"

    +++ คำศัพท์ "หุงธาตุ" เป็นภาษาเฉพาะกลุ่ม ดังนั้นควรระบุ Specification ออกมาด้วยว่า "อย่างไร" เรียกว่า หุงธาตุ (ตรงนี้ควร ระบุ หรือ ทำวงเล็บเอาไว้ ตั้งแต่ต้น)(คำศัพท์ "หุงธาตุ" มีอยู่ในช่วงตอนท้ายของการ คุย กันในโพสท์นี้แล้ว)

    +++ วิญญาณัญจายตนะ ตามการปฏิบัติของ มหาสติปัฏฐาน 4 มี Specification ดังนี้

    1. เริ่มจาก สติ ทรงตัวเป็นสมาธิ ทั้งร่าง (รู้สึกตัวทั่วถึง) เริ่มกลั่นตัวเป็น สัมปชัญญะ ครบทั้ง 4 ประการคือ 1 สาตกสัมปชัญญะ = รู้การกำหนดของจิต 2 โคจรสัมปชัญญะ = รู้ในปัจจุบันแห่งขณะจิต 3 สัมปายสัมปชัญญะ = ไม่มีทุกข์สามารถอยู่เช่นนั้น ก็อยู่ได้ 4 สัมโมหสัมปชัญญะ = รู้วาระจิตที่ผ่านมาแล้ว และสามารถดึงกลับมา (ระลึก-ตรึง-ปรากฏ) เพื่อ ธัมมะวิจัยยะ ได้)

    2. เมื่อเป็น สัมปชัญญะ แล้ว ณ ขณะนั้น ๆ "รู้" ย่อมหยั่งรากลงมาครอบคลุม "การทำงานของจิตทั้งหมด" ตรงนี้เป็น Specification ของ "จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน"

    3. เมื่อเป็น Specification ของ "จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" แล้ว "อายตนะ-ผัสสะ-Sense" ยังอยู่ในระดับ "จิตตน" เท่านั้น จนกว่าจะ "รู้ตนและสิ่งรอบข้าง" ทั้งหมดในขณเดียวกับ เรียกว่า "รู้รอบทั้ง ภายใน-ภายนอก" ตรงนี้ "ความเป็นกาย" จะไม่ปรากฏ (ความเป็นกาย ในระดับนี้ เป็นคนละอาการกับ ความเป็นตน) ผู้ที่ทำได้เท่านั้น จึงชัดเจนในข้อนี้ และตรงนี้เป็น Specification ของ "อรูป"

    4. จาก Specification ดังที่กล่าวมา อาการ "รู้ตนและสิ่งรอบข้าง" นั้น "ความเป็นตน (อัตตาจิต)" จะเริ่ม map เข้ากับสิ่งรอบข้าง และ เริ่ม "ผนึกเป็นเนื้อเดียวกัน" อาการนี้ ผมใช้ภาษาว่า "เป็น" มันไม่ใช่เพียงแค่ "เห็น"

    5. เมื่อความ "เป็น" เริ่มละเอียดจน เท่ากับเนื้ออวกาศ ตรงนี้ "ความเป็นตน" นั่นแหละจะกลาย "เป็นอวกาศ" ด้วยตนเอง

    +++ ที่กล่าวมาอย่างหยาบ ๆ คร่าว ๆ นี้ หาก Specification ของคุณ พรหมณี กับ Specification ของผมตรงกัน ก็สามารถกล่าวได้ว่า เราพูดกันตาม Spec ซึ่งสามรถ "ตัดการสื่อที่ไม่ตรงกัน" ออกไปได้เลย และการคุยกันนั้นจะมี compatibilities สูงมาก เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีอาการ "เครื่องแฮ้งค์" กลางทาง

    +++ ตรงนี้ "ปรอท" บอกผิด Specification ปรอทของคุณคือ "มีจิตบางดวง อาศัยปรอท เป็นกาย" การบอกนั้น เป็นการบอกของ "จิต" ที่อาศัยปรอท ดวงนั้น (ภูมิความรู้ ยังจำกัดอยู่มาก) ยังไม่พ้น "สักกายะฐิติ" ดังนั้น ความรู้ของจิตดวงนั้นจึงยังไม่เกี่ยวข้องกับ มรรค-ผล อย่างมากก็ได้เพียงแค่ "ภาควิชาประวัติศาสตร์" เท่านั้น เพราะ "อยู่มานาน" ตรงนี้เป็น Specification ของจิตดวงนั้น หากจิตดวงนั้น "รู้จริง" ก็ควรทำการ "อยู่-ย้าย" ออกจาก "กายปรอท" ไปเป็น กายอื่นในภูมิอื่น ที่เป็น "สุคติ" ไปแล้ว

    +++ เรื่อง "ภูมิความรู้-เข้าใจ ทางโลก" นั้น ทั้งจิตฝ่าย ธรรมะและอธรรม สามารถมีได้ทัดเทียมกัน ตรงนี้ เป็นไปตามสภาวะของ "ความเป็นจิต"

    +++ "ภาควิชาประวัติศาสตร์" OK แต่อย่างอื่น ควรยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน

    +++ ตรงนี้เป็นอาการ "เห็น" หรือเป็นอาการที่ "อัตตาของคุณ เป็น" ต้องจำแนกให้ชัดเจน การเดินธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และ ธาตุอื่น ๆ นั้น Specification ของผมคือ "การเป็น การครองธาตุนั้น ๆ แล้วยึดเป็นตน (ใช้ สักกายะทิฐิ ลงไปทำ ธรรมะวิจัย)" ในสภาวะที่เป็น "อรูป" ทั้งหมดเป็น "นามกาย" ไม่ใช่ รูปกาย ตรงนี้จะทำให้รู้จักอาการของ "จุติจิต" อันเป็นภาคของ วิชชา 3

    +++ OK Specification ของคำว่า "การหุงธาตุ" ของคุณ เป็นที่พอเข้าใจได้ในส่วนนี้

    +++ ให้ "ทดสอบ" โดยการทำ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" จนความรู้สึก ปรากฏขึ้นเต็มตัว แล้วลอง "ปรับเปลี่ยนความรู้สึกนั้น" ให้แปรสภาพมาเป็น ไหลสะพัด (อาการน้ำไหล) โบกสะบัด (อาการลมพัด) ต่าง ๆ ดู แล้ว map กับคำศัพท์ที่เรียกว่า "การหุงธาตุ" นั้นว่าเป็น Spec เดียวกันหรือไม่ ตรงนี้ เป็นส่วนของ เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน (กาย เวทนากาย จิต เวทนาจิต)(กาย รู้สึกกาย จิต รู้สึกจิต)

    +++ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" เป็นจุดเริ่มต้น และ เป็นแก่นกลางของ สมถะวิปัสสนา กรรม-ฐาน ทั้งหมด เริ่มต้นอยู่ใน "อาการเดียว" นี้เท่านั้น

    +++ ต่างกันตรง "สติ" ไม่ตั้งมั่นจนเป็น "สมาธิ" นั่นเอง

    +++ หมายเหตุ คุณ ลอง "ลงไปข้างใน" ปรอทดำของคุณดู (ใช้สักกายะฐิติ) แล้ว ทำผัสสะให้ดี ๆ ให้ชัดเจน ว่า เนื้อของตัวปรอทดำนั้น เป็น "สุคติ หรือ ทุคติ" นี่เป็นเรื่องของการ "กำหนดภูมิ"

    +++ เนื้อของตัว ปรอทดำ อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว (เพื่อลดอัตราเสี่ยงลง) แต่ยังพอมีเงื่อนงำร่องรอยให้สืบค้นได้อยู่บ้าง หากจะทำ "ธรรมะวิจัย" ก็อย่าให้เกิน 3 วัน โดยวันนี้นับ 1 นะครับ

    +++ ในระยะนี้ผมจะว่างเป็น บางโอกาส เท่านั้น บางวันอาจไม่ได้เข้ามาตอบเลย บางวันก็ได้แค่ ตอบสั้น ๆ เท่านั้น นะครับ
     
  14. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    ขอบคุณมากค่ะคุณธรรม-ชาติ...ต้องขอออกตัวว่าจริงๆแล้วตัวเองไม่ค่อยจะรู้อะไรมากนักค่ะ...สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นปรากฏการณ์ที่สถานการณ์บางอย่างนำพาไปทำให้ปรากฏเรื่องราวต่างๆที่อาจแตกต่างจากคนอื่นค่ะ

    ส่วนปรอทดำนั้นศึกษาดูประมาณเดือนนึงไม่เห็นสาระอะไรเลยโยนทิ้งถังขยะไปค่ะ ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นการทดสอบวาระแห่งจิต ตัวปรอทที่หุงออกมาดำนั้นคาดว่าเป็นการสะท้อนมุมมืดของจิตเราถึงออกมาเป็นเช่นนั้นค่ะ....ตอนที่หุงปรอทดำบอกตรงๆว่าว่าไม่ได้มีความตั้งใจในการหุง เพราะวันนั้นว่างมีเสียงมาบอกตอนบ่าย ก็เลยลุกขึ้นไปหุงบนห้องพระ กระทั่งธูปเทียนก็ไม่ได้จุด ชุดขาวก็ไม่ได้แต่ง..สวดมนต์ก็ไม่ได้สวด...สมาธิก็ไม่ได้นั่ง....นุ่งกางเกงยีนส์หุงค่ะ....ผลก็คืออาจจะสะท้อนมุมด้านมืดของกายในเราออกมาเช่นนั้น...

    ส่วรการ specification ต่างๆในการฝึกสติปัฏฐาน 4 ยังไม่สามารถ map กับจิตสังขารได้ชัดเจนนักค่ะ.....เพียงแต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นทุกวันนี้มันเป็น nature ของตัวเราค่ะ...ตัวอย่างคือทุกวันนี้แม้นไม่ได้นั่งหลับตาเข้าฌาณ แต่ระดับจิตที่ว่างสว่างจ้าเหมือนดำรงฌาณ....หรือแม้กระทั่งการหุงธาตุก็ไม่ต้องตั้งท่าหุง...แต่มันหุงอยู่ตลอดเวลาค่ะ....

    ตรงนี้คงต้องขอคำชี้แนะจากท่านธรรม-ชาติเพื่อเป็นครูช่วยชี้นำ บางครั้งมันไปต่อไม่ถูกค่ะ
     
  15. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    Originally Posted by พรหมณี View Post
    ส่วนตัวยังกลัวปรอทครอบงำทางความคิด...ก็เลยเอาขึ้นไปเก็บไว้บนห้องพระไม่ได้สนใจร่วมปี...ต่อมาไปนั่งสมาธิในห้องพระครูบาอาจารย์ก็มาสอนให้นั่งสมาธิแบบมัชฌิมา คืออณุโลม ปฏิโลมแล้วเดินธาตุภายใน....ก็มีพลังงานบางอย่างไหลเวียนอยู่ในกาย...

    ต่อมาก็สอนให้เดินธาตุแบบเกิดดับคือแยกธาตุลม-ธาตุไฟ-ธาตุน้ำ-ธาตุดิน...คือการดับขันธ์ตัวเอง แบบแยกกายสังขาร คือแยกกายและจิตออกจากกัน เหลือเพียงธาตุรู้....ต่อมาก็ตั้งธาตุใหม่คือตั้งธาตุดิน-เอาน้ำใส่-เติมธาตุไฟ-แล้วก็ใส่ธาตุลมก็เกิดมีสังขารใหม่ขึ้นมา
    +++ ตรงนี้เป็นอาการ "เห็น" หรือเป็นอาการที่ "อัตตาของคุณ เป็น" ต้องจำแนกให้ชัดเจน การเดินธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และ ธาตุอื่น ๆ นั้น Specification ของผมคือ "การเป็น การครองธาตุนั้น ๆ แล้วยึดเป็นตน (ใช้ สักกายะทิฐิ ลงไปทำ ธรรมะวิจัย)" ในสภาวะที่เป็น "อรูป" ทั้งหมดเป็น "นามกาย" ไม่ใช่ รูปกาย ตรงนี้จะทำให้รู้จักอาการของ "จุติจิต" อันเป็นภาคของ วิชชา 3

    ......................................................................................................

    ตรงนี้ยังแยกไม่ชัดเจนค่ะ ครั้งแรกเพียงมองเห็น...ต่อมาเหมือนเป็นอัตตาตน...ที่เห็นชัดคืออัตตาตนนั้นกายร้อนดั่งไฟเผา....เหมือนมีไฟมาสุมร่างกายเราจริง....เหงื่อกาฬไหลดั่งท่อประปาแตก(เมื่ออกจากสมาธิเสื้อผ้าเปียกชุ่ม โดยเฉพาะเสื้อเหมือนกับตักน้ำราดตัว เปียกขนาดนั่นค่ะ)....ณ.ภาวะช่วงนั้น ใจเรากลับเยือกเย็นแล้วถอนจิตหรือผัสสะแยกออกมาจากกาย...เพียงเฝ้าดูอยู่ว่ามันร้อนจริง แต่กลับไม่ทรมาน.....แต่ธาตุลมยังไม่ปรากฏ...มันขาดท่อนไปค่ะช่วงนี้....สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือเปิดทวารทั้งกายเพื่อระบายความร้อน โดยแผ่เอาไอร้อนแผ่ออกมาทางฝ่ามือ และเปิดรูขุมขนเพื่อให้ต่อมเหงื่อขับไอร้อนออกมาทางผิวกาย

    ที่ไปต่อไม่ได้คือยังไม่ปรากฏธาตุลมและธาตุดิน สังขารขันธ์เลยไม่สมดุลย์....ก็ป่วย แต่พอหายก็เริ่มมาฝึกใหม่แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหนค่ะ ก็เลยไม่ทราบว่าเป็นนามกายหรือเป็นอรูปในความหมาย
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ในกาลต่อไปในอนาคตอีกไม่นานนี้ คำศัพท์ว่า "หุงธาตุ" จะเริ่มล้าสมัย และ คนรุ่นหลังจะมองว่าเป็น Low Tech เหมือนกับการ "ใช้ฟืนหุงข้าว" ผู้ที่เพ้อเจ้อมากหน่อย จะมองว่า "สร้างมลภาวะ" โดยเฉพาะพวก Clean Energy ดังนั้น "ควรหันมาใช้ ภาษาสากล" จะเหมาะที่สุด เพียงแต่ "ใช้ภาษาให้ตรงกับ อาการของความเป็นจริงเท่านั้น" สิ่งที่ไม่ควรในเรื่อง กรรม-ฐาน คือ "ใช้ภาษาสมมุติ เพื่อให้เห็นภาพ ยกเว้นกรณีจำเป็นเท่านั้น"

    +++ ภาษาตรงนี้ ที่เป็นภาษาในปัจจุบันขณะ ที่ไม่เกินความเข้าใจของ "บุคคลที่มีสติปัญญา ในระดับปกติถึงสูงกว่า" ก็สามารถใช้คำว่า "Ionization การแตกประจุมวลธาตุ สภาวะที่เนื้อธาตุกำลังแปรไปเป็นพลังงาน" ต่าง ๆ เหล่านี้ "คนยุคปัจจุบัน" จะเข้าใจได้เป็นวงกว้าง มากกว่าเดิม

    +++ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น บ่งระบุชี้ว่า "รากฐานในการปฏิบัติ ยังไม่แน่นมากพอที่จะรองรับการต่อยอดขึ้นไปสูง ๆ ได้ หากฝืนต่อยอดขึ้นไป ปรากฏการณ์ ฐานถล่ม จะเกิดขึ้นได้" ผมเคยเห็นอาการ ฐานถล่ม มาแล้ว ส่วนใหญ่จะเกิดจาก ความไม่เข้าใจ ความไม่ชำนาญในการ "อยู่-ย้าย" หรือการ "เปลี่ยนสลับฐาน ไป-มา" ถ้าเป็นภาษาเก่า ๆ หน่อย ก็จะกล่าวว่า "เลือกวิหารธรรม" นั่นเอง

    +++ สำหรับคุณ พรหมณี ผมมี "ของเล่น" ให้คุณแบบง่าย ๆ (สำหรับคุณน่าจะพอทำได้ แต่ สำหรับคนอื่นก็ คงจะไม่ทุกคนที่ทำได้) โดยมี "วิธีเล่น" ดังนี้

    1. นั่ง "แกล้งหลับ" (อย่าอยู่ในอิริยาบทนอน เพราะมันจะหลับจริง) ให้สังเกตุอาการ "ซึม ๆ" ที่เข้ามาจากการ "แกล้งหลับ" ตรงนี้ (ถ้าจะใช้ภาษาแบบ เจ้าเข้าทรง ก็พูดได้ว่า "ทำพิธีอัญเชิญ ถีนมิทธะ" ให้เข้าประทับร่าง อะไรทำนองนั้น) (อาการ "ซึมเข้า" จะทำให้เราเข้าใจชัดเจนถึงภาษาแบบ ตำหนักทรง ตรงคำว่า "อาการเข้าประทับ" ชัดเจน)

    2. เมื่ออาการ "ซึม-หน่วง-ง่วง" (ถีนมิทธะ)(ผมให้คุณเริ่มที่ นิวรณ์ตัวสุดท้าย เพราะระดับนี้ น่าจะเริ่มที่ตรงนี้ได้เลย) เริ่ม "เข้าประทับ" (ภาษาตำหนักทรง) ให้คุณทำการ "ถอนจิต ทันที" แล้วเริ่ม "อัญเชิญ ถีนมิทธะ" ใหม่ (แกล้งง่วง) จนกว่าจะชำนาญ ตรงนี้แหละ จะทำให้คุณทราบชัดในการ "ปรากฏการณ์ของ ธาตุ-ไอธาตุ-ละอองธาตุ-อณูธาตุ ต่าง ๆ" หากละเอียดจริง ๆ ก็จะชัดเจนว่า "คุณนั่นเอง เป็นผู้เรียก ประชุมธาตุ ไม่ใช่เทพเจ้าที่ไหนเลย" รวมทั้ง สภาวะธาตุที่เริ่มปรากฏตัวขึ้นมาด้วย

    3. เมื่อ "กลุ่ม-สภาพ-ก้อน ตัวตนของสิ่งที่เรียกว่า ถีนมิทธะ" เริ่มปรากฏจนเต็มตัวแล้ว ก็ให้ "ปล่อยให้มันเข้า ครอบคลุมตัว โดยที่เราไม่มีการแทรกแซงปรากฏการณ์นี้" ตรงนี้แหละเป็นปรากฏการณ์ของ "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ในขั้น Basic New comer ที่สุด ยังไม่ถึงขั้น Novice ด้วยซ้ำ

    4. เมื่อ "กลุ่มละอองธาตุ ถีนมิทธะ" เริ่มเข้าปกคลุมตัวแล้ว ให้สังเกตุให้ดี ๆ ว่า "ความรู้สึกตัว ทั่วถึง" ก็ปรากฏขึ้นมาด้วย "จากถีนมิทธะ" นั่นเอง ตรงนี้ ผมเรียกมันว่า "ใช้ถีนมิทธะให้เป็นประโยชน์" ตรงนี้ หากเป็นพวก "คิดมาก ใช้ตรรกะมาก เหตุผลแยะจนกลายเป็น เพ้อเจ้อ" จะไม่มีขีดความสามารถในการทำตรงนี้ได้เลย

    5. ให้คุณ "เล่น" กับ "ความซึมง่วง สลับกลับไป-มากับ ความรู้สึกตัวทั่วถึง" แล้วคุณจะตระหนักชัดได้เองว่า "ในสภาวะการณ์อย่างเดียวกัน คุณสามารถเลือก เนื้อธรรมได้" (เป็นง่วง กับ เป็นรู้สึกทั้งตัว) ตรงนี้จะทำให้คุณเริ่มตระหนักชัดในคำว่า "เป็น" ได้ดีขึ้น

    6. เมื่อเริ่มชัดเจนกับสภาวะของ "รู้สึก VS ซึม" แล้ว คุณก็จะเริมชัดเจนอีกประการหนึ่งว่า "ไม่ว่าคุณจะ "เดินจิต" สลับไป-มา" อย่างไรก็ตาม คุณก็ยัง "รู้อยู่ดี" นั่นเอง ณ ตรงนี้ ให้เริ่มทำความรู้จักกับ อาการของ "การเดินจิต" ให้ดี โดยการอยู่กับอาการ "รู้อยู่ดี" ตรงนี้ (อย่าเพิ่งเอาไปเทียบกับ "อยู่กับรู้" ของหลวงปู่ดูลย์นะ ตรงนี้เป็นแค่ Novice ยังอีกไกลกว่าจะถึง Professor ที่รู้แจ้ง สิ้นสงสัยในสภาวะธรรมทั้งหมด)

    7. ให้ "สำเหนียก" ถึง "การเดินจิต" จนกว่าจะชัดเจนว่า "กำหนดอย่างใด ย่อมได้อย่างนั้น ย่อมอยู่ในนั้น และ ย่อมเป็นในนั้น" โดยการอยู่กับ "รู้อยู่ดี" ตรงนี้ ภาษาแบบ ภพภูมิ เรียกว่า "การกำหนดภูมิ" ภาษาแบบ "วิชชา 3" เรียกว่า "วิบากที่นำไปสู่ จุติจิต" ทั้งหมดนี้เป็นเรื่อง "กฏแห่งกรรม" หรือ "กฏแห่งการเดินจิต" ก็ได้

    8. ในการ "เล่น" มาถึงข้อที่ 7 ก็ให้ "สังเกตุ-สำเหนียก" ในสภาวะที่ "ตนเป็น" อยู่นั้นว่า "ความเป็นกาย" มีอยู่หรือไม่ รวมทั้ง "ความเป็นตน" มีอยู่หรือไม่ ตรงนี้จะทำให้ "แยกแยะได้ชัดเจน" ว่า ความเป็นกาย แตกต่างจาก ความเป็นตน อย่างไร

    9. ให้สังเกตุด้วยว่า ในขณะนั้น "รู้สภาพรอบข้าง" ด้วยหรือไม่ และในยามที่ "รู้สภาพรอบข้างทั้งหมด โดยไม่มีขอบเขต" นั้น "ตน" มีเป็นสภาวะ "รู้ท่ามกลาง สภาวะถูกรู้ ทั้งหมด" หรือไม่ รวมทั้ง "สภาวะถูกรู้ทั้งหมด" ไม่มีอะไรเป็นตนหรือไม่

    10. ท้ายสุดในจุดนี้ ตรงกับอาการที่เรียกว่า "รู้โดยไม่มีประมาณ" หรือไม่ "พ้นแล้วจาก นิวรณ์ทั้ง 5" หรือไม่ "ความเป็นกาย ไม่ปรากฏ" หรือไม่ และ ตรงกับ "วิญญาณัญจายตนะ" หรือไม่ และแตกต่างไปจาก วิญญาณัญจายตนะ ของคุณ มาก-น้อย เพียงใด รวมทั้งในขณะนั้น ๆ "สติ" ตั้งตัว "โดดเด่นเป็นเอก" ใช่หรือไม่

    11. ตรงนี้เป็นเพียงแค่ "ขั้นก้าวแรกเดิน" ในมหาสติปัฏฐาน 4 ก่อนที่จะเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึง "การม้างตน จนเข้ากับ เนื้ออวกาศ" ซึ่งมันจะปรากฏขึ้นมาเองโดย สัมประยุตตาธรรมา นั่นแหละ

    12. ที่กล่าวมา "อย่างคร่าว ๆ" นี้ หากคุณทำได้ คุณจะเข้าใจถึงสิ่งที่ผมเคยพูดว่า "สติครองฌาน สติครองอรูปฌาน" เป็นสภาวะอย่างไร และขอให้ทราบไว้ว่า "ตรงนี้หลักใหญ่ ๆ 97% ยังเป็นแค่ สมถะกรรมฐาน เท่านั้น" อย่าเพิ่งไปทึกทักเอาว่าเป็น วิปัสสนากรรมฐาน ก็แล้วกัน ยังมีอีกมาก วันนี้แค่นี้ก่อน นะครับ
     
  17. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,864
    ขอบคุณค่ะท่านธรรม-ชาติมากๆค่ะ คำสอนของท่านนับเป็นการเปิดกระโหลกกะลาของตนเองเลยค่ะ....แต่ชอบใจคำว่า ionization จริงๆค่ะ อารมณ์ประมาณนั้นจริงๆค่ะ....

    ส่วนวิธีการเล่นน่าสนใจมากค่ะ เดี๋ยวจะทดลองทำดูค่ะ

    เดี๋ยวจะ print ออกมานั่งอ่านโดยละเอียด
     
  18. loongken

    loongken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +29
    เมื่อก่อนเดินทางเที่ยวทั่วไทยด้วยแผนที่ของessoฉบับพับถือมือ70บาท
    วันนึงยืมรถเพื่อนขับ ติดGARMINนำทาง
    ฟังมันพูด"กลับรถ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ"เกือบตลอดทาง
     
  19. loongken

    loongken Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +29
    มาสรุปแนวคิดแบบเพ้อเจ้อ
    ....................................................

    ดูข่าวการค้นพบคลื่นความโน้มถ่วงแล้วนั่น เรา"ปิ๊งง"ทันทีที่ได้เห็นภาพหลุมดำสองหลุมที่กำลังจะชนกัน
    ดูปั้บก็เห็นเป็นภาพสองรูจมูกที่เราใช้หายใจ สองรูที่เราใช้ในการ"อาณาปานสติภาวนา"แล้วได้เดินทางไปเป็นคล้าย
    ดาวดวงหนึ่งในทางช้างเผือก
    ถ้าสองหลุมดำมีกระจกเงาระนาบคั่นกลาง แล้วจินตนาการว่าหลุมดำหนึ่งเป็นภาพเสมือนของอีกหลุมดำหนึ่ง
    เมื่อหลุมดำเคลื่อนเข้าหากระจกเงา จนชนกระจก ไม่ทะลุกระจก แต่ละลายหายไปเป็นเนื้อเดียวกับกระจก
    จินตนาการต่อว่าเนื้อกระจกนี้สมานเป็นเนื้อเดียวกันแบบลูกปิงปอง ที่เราเห็นตอนนี้ก็แค่"ลูกปิงปอง"ลูกหนึ่ง
    ในลูกปิงปอง ไม่มีอะไร นอกจากอากาศหรือที่ว่างๆ ตีความเสียว่าถ้าทะลุผิวปิงปองเข้าไป เราก็เข้าไปในศูนย์กลางที่"ไม่มีอะไร"
    แล้วถ้าเราอยู่ข้างในที่ไม่มีอะไรของลูกปิงปอง ถ้าเราอยากจะออกมาข้างนอก มันก็มีรอบทิศทางเลยที่จะออกมาจากที่นั่น
    โดยย้อนกลับจากขาเข้า ขาออกเราอาจทะลุไปแกเลคซี่ไหนๆก็ได้ เช่นกัน
    วกมาที่ อาณาปานสติ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นเลิศในกรรมฐานทั้งหลาย จากการดูลมหายใจเข้าออกสองรูจมูก
    เมื่อรวมเป็นหนึ่งเป็น"สมาธิ" เราก็ได้ลูกปิงปองมา และจากการใช้"วิปัสสนา" เราก็ทะลุผิวปิงปองเข้าไปข้างในซึ่ง"ไม่มีอะไร"
    จากใจกลางที่ไม่มีอะไร ถ้าเรามีอิสระที่จะเลือก เราอาจเลือกอยู่เฉยๆ ไม่ไปไหนอีกแล้ว หรืออาจเลือกออกมาอีกก็ได้
    แต่"กฏแห่งกรรม"เป็นอะไรที่ จำกัดอิสรภาพของเรา ในการออกมาหรือจะเข้าไป เราอาจหลงอาจหาทางเข้าไม่เจอ
    อาจไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร
    ทางที่จะเข้าไปในปิงปองคือ"มรรค8"
    "สัมมาสมาธิ"เป็นหนึ่งใน มรรค8
    "อาณาปานสติ"เป็นหนึ่งใน สัมมาสมาธิ
    ภาพจักรวาลในมโนของนักวิทยาศาสตร์ เป็นอย่างเดียวกับ ภาพจักรวาลจากอาณาปานสติ
    ภาพหนึ่งเห็นได้เมื่อมีชีวิตอยู่ อีกภาพหนึ่งสัมผัสได้เมื่อหมดลมหายใจ
    สมการของ ไอน์สไตน์ E = MCC
    สมการของ พระพุทธเจ้า 0 ไม่มากกว่า ไม่เท่ากับ ไม่น้อยกว่า 0
    จากไม่มีอะไรเกิดbig bangจนมีอะไรต่อมิอะไร
    อะไรต่อมิอะไร หดตัวเข้าสู่ใจกลาง ที่ไม่มีอะไร
     
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เป็นธรรมฝ่ายบิดา
    เรื่องธาตุ เป็นธรรมฝ่ายมารดา (หยิน)


    ผมไม่ถนัดเรื่องธาตุเท่าไรนะครับ
    แต่เชิญสนทนากันได้ตามปกติครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...