แบบนี้บาปไหมครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย pental41, 15 ธันวาคม 2015.

  1. pental41

    pental41 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4
    1. เวลาตักบาตรพระนอกจากใส่ข้าว น้ำ กับข้าว ถ้าใส่เงินไปด้วยบาปไหมครับ (คนที่จับเงินจากบาตรเป็นเด็กวัด พระไม่ได้จับเงิน) (ปรกติผมไม่ใส่เงิน แต่ถ้าวันไหน พ่อมาตักบาตรด้วยจะใส่เงินไป 20 บาท เกือบทุกครั้ง)

    2. มีวันหนึ่ง พระท่านหยิบนมในย่ามขณะท่านบิณฑบาต ยื่นมาให้เรากิน เรารับมากิน เราบาปไหมครับ

    3. มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตักบาตร แม่จะเอาเงินใส่ 20 บาท เราห้ามแม่ไว้ไม่ให้ใส่เงิน (เราคิดว่าไม่เหมาะ) บอกจะเอาไปทำบุญที่วัดให้ อย่างงี้บาปไม่ครับ (แต่วันนั้นเราก็เอา 20 ไปหยอดตู้กับวัดใกล้บ้านแล้ว)

    ขอบคุณครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    1.เราทำบุญ ได้บุญกุศลเราไม่บาปครับ สมัยนี้ชอบมีบางสำนักอ้างว่า ถวายเงินให้พระบาป ก็ระวังไว้ละกัน ปล่อยไปตามกรรม

    2.พระเป็นคนให้เรากิน เราไม่ได้ไปเอามาลักมากินเอง เราไม่บาปครับ แต่เป็นกรรมของพระรูปนั้นเองครับ

    3.ห้ามคนทำบุญ ขวางการสร้างบุญกุศลของผู้อื่น แม่ก็ไม่ได้สร้างบุญกุศลครับ ส่วนตัวคนห้าม ก็รับกรรมขวางการสร้างบุญกุศลไปครับ บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ เอาเงินไปทำบุญก็เป็นส่วนของบุญกุศลที่ได้ทำ

    ในพระไตรปิฏกไม่เคยมีพระพุทธเจ้าเทศน์สอนว่า ญาติโยมที่ถวาย เงิน ทอง ให้พระ คนถวาย ทอง เงิน ได้บาป แล้วต้องตกนรก ใดๆ ทั้งสิ้น ครับ

    ฉนั้นก็พิจารณาดูก็แล้วกันครับ
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2015
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    อานิสงส์ทำบูญด้วยทองคำ ถวายพระพุทธศาสนา

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป[/FONT]​

    ...นัยว่า พระเจ้ามหารถราช เสวยสมบัติ ในสักกราชาวดีนคร ท้าวท่านเป็นสัมมาทิฎฐิบุคคล คือมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับ พระเจ้าปัญจาลราช กษัตริย์กรุงปัญจาลราชนครเป็นมิจฉาทิฎฐิบุคคล คือไม่นับถือพระพุทธศาสนา กษัตริย์ทั้งสองเป็นสหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย

    ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปัญจาลราชได้ ส่งผ้ารัตนกัมพลผืนหนึ่งไปถวายพระเจ้ามหารถราช พระเจ้ามหารถราชทอดพระเนตรเห็นผ้ารัตนกัมพล แล้วจึงตรัสว่าสหายเราส่งผ้าอันมีค่ามากมาให้เรา เราก็ควรจัดส่งแก้วอันประเสริฐไปให้ตอบแทนพระสหาย ดังนี้ พระเจ้ามหารถจึงคิดว่า เราจะส่งแก้วสิ่งใดหนอซึ่งมีค่ามากเหนือสิ่งอื่นใด พิจารณาแล้วเห็นว่า แก้วใดๆ จะประเสริฐกว่าพุทธรัตนะย่อมไม่มี จึงตกลงใจจะส่งพุทธรัตนะไปถวาย จึงสั่งให้ช่างนำแผ่นทองคำตีเป็นแผ่นบางแล้วให้เขียนรูปพระพุทธเจ้าลงไปในแผ่นทองคำด้วยชาตหรคุณ มีขนาดองค์ประมาณ ๑ ศอก แล้วสั่งให้อำมาตย์เชิญพระพุทธรูปทองนั้นลงสู่สำเภาเพื่อนำไปถวายพระเจ้าปัญจาลราช ก่อนที่จะส่งราชทูตไป

    พระองค์ยกมือขึ้นประณมถวายนมัสการ โดยทรงระลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า...

    "ข้า แต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์มีความประสงค์จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ในประเทศใดๆ ขอพระองค์ทรงเสด็จไปยังประเทศนั้นๆ แล้วยังประโยชน์ให้เกิด แก่สัตว์จำพวกนั้นเถิด พระเจ้าปัญจาลราชสหายของหม่อมฉันเป็นมิจฉาทิฎฐิ มีความเห็นผิดจากทำนองครองธรรม มิได้มีความเชื่อความเลื่อนใสในพระองค์ ถ้าพระองค์เสด็จไปยังพระนครนั้นแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดแสดงปาฎิหาริย์ทรมานพระเจ้าปัณจาลราชให้ละซึ่งมิจฉาทิฎฐิ ด้วยเถิด"

    อธิษฐานเสร็จแล้วเสด็จลงน้ำประมาณพระศอ (พระพุทธเจ้าอยู่บนเรือท่านจึงลงไปในน้ำซึ่งต่ำกว่า) เพื่อส่งรูปพระพุทธเจ้านั้นไปยังเมืองปัญจาลนคร
    ใน ขณะนั้น บรรดาแก้วอันเกิดในมหาสมุทรมีสีต่างๆ ก็ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทรลอยอยู่เหนือน้ำเพื่อบูชาพระพุทธรูปนั้น พื้นน้ำงามวิจิตรด้วยแก้ว ๗ ประการประหนึ่งพื้นแห่งภาชนะทอง ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดขึ้นเหนือพื้นน้ำ พญานาคทั้งหลายก็ได้พานาคบริษัทออกจากนาคพิภพขึ้นมาสักการบูชาด้วยสุคันธ มาลา เทวดาทั้งหลายก็เรี่ยราย ดอกไม้ทิพย์ลงมาจากอากาศ

    เมื่อ ราชทูตไปถึงกรุงปัญจาลนครแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าปัญจาล แล้วกราบทูลเหตุอัศจรรย์ ให้ทราบโดยตลอด ท้าวเธอทรงโสมนัสปรีดาในเครื่องบรรณาการเป็นยิ่งนัก ได้เสด็จออกพร้อมจตุรงคเสนารับสั่งให้ชาวเมืองประโคมแตรสังข์ กังสดาล เสด็จไปยังท่าน้ำ ถวายนมัสการสักการบูชา แล้วเสด็จลงไปในน้ำประมาณพระศอทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปแล้ว ทรงยินดีทรงแสดงตนเป็นพุทธมามกะ

    แล้วด้วยอำนาจความศัทธาของพระเจ้าปัญจาลราช และ ด้วยอำนาจอธิษฐานของพระเจ้ามหารถราช พระ พุทธรูปนั้นก็ลอยขึ้นไปบนอากาศเปล่งรัศมี ๖ ประการ จับพื้นปฐพีตลอดจนถึงพรหมโลก กลบแสงแห่งอาทิตย์ กลบแสงรัศมีเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ณ กาลนั้นในคราวนั้นพระอินทร์ ได้เสด็จลงมาถวายนมัสการพร้อมด้วยเทพบริษัท มนุษย์ก็เห็นเทวดา เทวดาก็เห็นหมู่มนุษย์พระเจ้าปัญจาลราชเห็นปาฎิหาริย์เช่นนั้น ทรงโสมนัสยินดียิ่งนักได้นำพระพุทธรูปไปประดิษฐานในพระมนเทียรแล้วบูชาด้วย ประทีปธูปเทียนชวาลา ทรงแสดงองค์เป็นอุบาสก

    ใน เวลาต่อมาพระองค์ได้ให้ช่างแกะรูปพระพุทธเจ้าด้วยแก่นจันทน์แล้วประดิษฐาน ไว้ในศาลาไม้บุณนาค แล้วรับสั่งให้ชาวเมืองพากันมาปิดทองพระพุทธรูป

    ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นคนเข็ญใจในเมืองนั้น เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาดังกล่าวแล้วตัดสินใจ อำลาลูกอำลาเมียเพื่อไปขายตัวให้เป็นทาส แล้วจะได้เงินมาซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่ด้วยความเห็นใจของภรรยา ภรรยาจึงยอมขายตนและลูกเป็นค่าทอง พระโพธิสัตว์นำลูกเมียไปขายในตระกูลที่มั่งคั่งแล้วนำไปซื้อทองปิดพระพุทธรูป

    เมื่อทองไม่พอจึงรำพึง "ใครหนอจักทำเนื้อมนุษย์ ให้เป็นทองได้ เราจักบริจาคตน" ในครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมายืนอยู่ตรงหน้าแสดงตนเป็นช่างทอง ต่อพระโพธิสัตว์ เมื่อทราบว่าช่างทองนั้นสามารถทำเนื้อให้เป็นทองได้จึงประกาศแก่เทพเทวดาขอ อาวุธเชือดเลือดเนื้อตกลงมา เมื่อได้ ศัสตราวุธแล้วพระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อของตนจนตราบเท่าปิดทองสำเร็จ เกิดความยินดีโสมนัส สลบลงแทบเท้าพระพุทธรูป พระอินทร์ได้เยียวยาให้หายเป็นปรกติ แล้วเป็นผู้มีกายดุจสีทอง พระอินทร์ตรัสพยากรณ์ "ท่านจัดได้เป็นพระศรีสรรเพชญ์ในอนาคต" แล้วพระอินทร์ก็กลับสู่วิมาน พระเจ้าปัญจาลราชพร้อมชาวเมือง ได้ทำการสักการบูชาแก่พระโพธิสัตว์ และแบ่งสมบัติให้พระโพธิสัตว์เป็นอันมาก ครั้นดับขันธ์แล้วพระโพธิสัตว์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเสวยสมบัติอัน มโหฬาร


    ********************************************************


    --------------------------------------------------


    ... ฯลฯ ตระกูลนางวิสาขาจริงๆ เริ่มต้นมาจากคนที่ยากจนเข็ญใจ ต้นตระกูลนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเมณฑกเศรษฐี นี้ ท่านเมณฑกเศรษฐีเป็นปู่ของนางวิสาขา ในชาติก่อนโน้นท่านเป็นคนยากจนเข็ญใจมาก เรียกว่าเป็นคนแก่ ๒ คน ไม่มีลูก ลูกหญิงไม่มี ลูกชายไม่มี แล้วก็หาเช้ากินค่ำ หรือว่าหาค่ำกินเช้าไม่ได้เกิดพร้อมท่าน ไม่รู้ ใช่ไหม…เป็นอันว่า หากันไม่ค่อยจะพอกิน บ้านอยู่ใกล้วัด ไม่มีโอกาสจะทำบุญ ถึงแม้วันพระที่เขาตั้งใจทำบุญกัน เวลาจะทำบุญก็ไม่มี ถ้าขืนมาทำบุญไม่ได้ทำงานก็ไม่มีกิน มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ศรัทธาน่ะ มีอยู่ แต่ทรัพย์ไม่มีมาคราวหนึ่งปรากฏว่า ที่วัดเขาสร้างส้วม เมื่อเขาสร้างส้วมเสร็จ แล้วเขาก็ขุดหลุมส้วมเสร็จ ตอนกลางคืนสองคนตายายก็คิดในใจว่าชาตินี้ทั้งชาติเรา มันจนแสนจน ไม่มีเงินจะทำบุญ ไม่มีข้าวจะใส่บาตร เวลานี้เขาสร้างส้วมเสร็จ เรามีทองคำอยู่ชิ้นหนึ่งเท่าปีกริ้น นั่นก็คือ "ทองคำเปลว" เราเอาไปบูชาพระรัตนตรัยดีกว่า ฉะนั้นเวลากลางคืนมันว่างงาน สองคนตายายย่องเอาทองคำมาปูตรงที่ก้นหลุมส้วม ตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย ฟังแล้วก็จำไว้ให้ดีนะ นี่สำคัญมากหลังจากนั้นสองคนตายายก็นั่งคิดนอนคิดถึง บุญที่ทำแล้ว ก่อนจะหลับก็ดีใจว่าชาตินี้เราได้ทำบุญด้วยทองคำ ตื่นขึ้นมาก็ดีใจว่าเราได้ทำบุญด้วยทองคำ ปลื้มใจทุกวัน จนกว่าจะถึงวันตาย


    เมื่อตายจากความเป็นคนอาศัยอานิสงส์ที่ถวายทองคำเท่า ปีกริ้นหรือทองคำเปลว ไปบูชาพระรัตนตรัยไว้ที่ก้นหลุม ทั้งสองก็ไปเกิดเป็นเทวดาและนางฟ้าด้วยอานิสงส์อย่างยิ่ง ที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยทองคำ ก็เป็นเหตุให้มาเกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐี..ฯลฯ


    -----------------------------------


    วันหนึ่ง หลวงพ่อเข้านิโรธสมาบัติ ตอนนั้นท่านป่วยมาก อาตมาไปนอนเฝ้ากับพระประทีป ตอนตีสองท่านตื่นขึ้นมา จะประคองท่านเข้าห้องน้ำ ท่านก็บอกว่า วันนี้ไม่ได้นอนเลย พระพุทธเจ้ามาบอกให้เข้านิโรธสมาบัติตั้งแต่ค่ำ ต่อไปจะสร้างปราสาททองคำไว้เก็บพระพุทธเจ้านะ ก็ถามว่า หลวงพ่อสร้างไว้ตรงไหนครับ "โรงอิฐ"


    ต่อจากนั้นท่านก็มาสายลมอีก ๒ เที่ยว ก็ไม่เห็นท่านพูดเรื่องนี้ เราก็นึกเอ..ท่านจะสร้างจริงหรือเปล่าหนอ ปราสาทนี่คงจะแพงนะ ก้เลยมาเล่าให้พระสุจริตฟัง พระสุจริตก็บอกว่าจริง ท่านเคยมาตรวจงานแล้วก็ชี้ไปที่ "โรงอิฐ" บอกว่า จะสร้างที่เก็บพระพุทธรูป


    ตอนนี้ก็ไม่คิดว่าจะทำหรอก เพราะมันหนัก แต่พอไปพูดกับผู้ใหญ่ ก็มีหลายคนบอกว่าต้องทำๆ เขาบอกแล้วก็ไป แต่ทุกข์มันอยู่ที่เรา ไอ้เราก็แบกซิ ไอ้นี่ไม่เสร็จ ไอ้นั่นไม่เสร็จทุกข์จังเลย ก็ขอเก็บไว้ก่อน เอาไว้ท้ายๆ ถึงจะทำ พูดไปก็จะทำให้คนแบกภาระไปด้วย


    อย่างหลวงพ่อสร้าง วิหาร ๑๐๐ เมตร พระก็บอกทำทีละหน่อยๆ มันก้ไม่หนัก ก็มีงานขึ้นใหญ่ๆ อยู่ ๒ ชิ้น คือ "ปราสาททอง" กับ "โบสถ์ทองคำ" โบสถ์ทองคำ คือ ปิดทองคำเปลว เรื่องนี้เคยพูดกับหลวงพ่อเหมือนกัน


    "หลวงพ่อครับ ใช้โมเสทสีทองซิครับ ทนครับ ฝนตกก็ไม่ลอก" เรานึกว่าดี


    หลวงพ่อบอก "ฉันรู้ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ยอม อานิสงส์ไม่เหมือนกันคุณ อานิสงส์บูชาด้วยทองคำ เกิดกี่ชาติก็ไม่มีความยากจนเข็ญใจ"


    ดูตัวอย่างท่าน เมณทกเศรษฐี เอา ทองคำเปลว ไปปิดที่ฐานส้วมแล้วอธิษฐาน เกิดมาชาติหนึ่งมีความร่ำรวยมาก นั่น แผ่นเดียวนะ นี่เราปิดเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน แล้วก็ปิดที่ โบสถ์ เป็นที่เกิดของพระ จะเป็นพระได้ต้องบวชในโบสถ์ ไปบวชกลางทุ่งนาไม่ได้ ฉะนั้นจึงมีอานิสงส์มาก สังเกตุหลวงพ่อพระพุทธรูปท่านปิดทองทุกองค์


    (คัดลอกบางตอนจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๔๕ หน้า ๗๔ มีนาคม ๒๕๓๖)

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]อานิสงส์ทำบุญด้วยทองคำ[/FONT]​

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๑. เมื่อเกิดไปในภพใดชาติใด สมบัติใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเลิศที่สุดเท่าที่มนุษย์พึงมีในยุคนั้นเราจะเป็นผู้ครอบครองสมบัตินั้น เพราะได้ทำบุญด้วยทองคำซึ่งขึ้นชื่อว่า เป็นธาตุที่เลิศที่สุด[/FONT]​

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๒. สามารถเข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐี ที่ถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติอันมากมาย เพราะได้บริจาคทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนา และเนื้อนาบุญอันเลิศ[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๓. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติอันงดงาม ตั้งแต่เกิดจนสิ้นอายุขัย เพราะทำบุญด้วยทองคำ ซึ่งเป็นธาตุที่งามอยู่ในตัวเองตั้งแต่เริ่ม และมีความงามเป็นอมตะ ไม่หมองคล้ำ ผุกร่อน แม้กาลเวลาจะผ่านไปเป็นพัน ๆ ปี[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๔. เกิดในตระกูลสูง เข้าถึงฐานะอันสูงส่ง เป็นที่เคารพนับถือเกรงใจของเหล่ามนุษย์และเทวา เพราะขึ้นชื่อว่าบูชาบุคคลที่ควรบูชา ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุด[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๕. เป็นผู้มีบุตร บริวาร ให้ความเคารพกตัญญู อยู่ในโอวาท เพราะได้ทำทานด้วยความเคารพ ความกตัญญูที่มีต่อ มหาปูชนียาจารย์[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๖. เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ เพราะได้ทำทานที่ประกอบไปด้วยปัญญา บูชาผู้ที่ปัญญาถึงพร้อมด้วยวิชชา และ จรณะ[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๗. ขึ้นชื่อว่าสายบุญเชื่อมกับมหาปูชนียาจารย์ และธรรมใดที่ท่านบรรลุ ก็จะสามารถบรรลุตามอย่างท่านได้โดยง่าย สามารถเข้าถึงนิพพานและที่สุดแห่งธรรมได้โดยง่าย[/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๘. เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ เกิดในปฎิรูปเทส ในดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่อง เพราะได้สร้างเหตุแห่งความเจริญไว้ในพระพุทธศาสนา[/FONT]


    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]๙. หลังจากละโลกแล้ว ได้ไปเสวยทิพยสมบัติอันเป็นเลิศ ถึงพร้อมด้วยลาภ ยศ สรรญเสริญ สุข ในทิพยวิมาน ฯลฯ[/FONT]

    [FONT=trebuchet ms,sans-serif]ที่มาจากหนังสือ: คำน้อย ยอดคนกตัญญู หัวใจทองคำ[/FONT]​



    อานิสงส์พิเศษในการถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
    <hr style="COLOR: #998049; BACKGROUND-COLOR: #998049" size="1"> <!-- / icon and title --><!-- message --> ถาม : อย่างเราถวายของในบาตรเป็นพุทธบูชาเลยใช่ไหมคะ ? (บาตรบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ)
    ตอบ : จ้ะ โดยเฉพาะถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ท่านพระยายมราชเคยบอกไว้ว่า

    บุคคลที่เคยถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าไม่ทำอนันตริยกรรมทั้งห้า คือ ไม่ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน

    ไม่ว่าอย่างไร ก็จะพยายามดลใจให้นึกถึงความดีให้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ให้ไปรับกรรมดีก่อน

    แต่ถ้าหากว่าเราไปทำอนันตริยกรรมห้าอย่างนี้เข้า ถึงท่านอยากจะช่วยก็คงช่วยไม่ไหว

    ต้องดูอย่างท่านเมณฑกเศรษฐี ถวายทองคำเท่าปีกริ้นบูชาพระรัตนตรัย พอเกิดมาชาติใหม่รวยจนนับไม่ได้เลย แก้ว แหวน เงิน ทอง นับไม่ได้อย่างคนอื่นเขา ต้องใช้ตวงเอาเป็นเกวียน ๆ ว่ามีกี่เกวียน ประเภทกี่บาท กี่สตางค์ ไม่ต้องไปนับเลย

    คราวนี้ของเรา เราถวายบูชาพระพุทธเจ้าโดยตรง อานิสงส์ใหญ่มาก ถึงเวลาท่านให้พรไว้อย่างนั้น ก็กลายเป็นว่าท่านจะพยายามช่วยให้เราไปรับความดีก่อน

    พอถึงเวลาที่เราไปรับความดี กุศลเดิมทั้งหมดที่เคยทำมาจะเป็นตัวส่งผลให้เราอยู่ที่นั่น ในระยะเวลาที่ยาวนาน ช่วงนั้นถ้าไม่รู้จักต่อความดีก็สมควรลงใหม่ ...(หัวเราะ)... ส่วนใหญ่ไม่มีใครเขาอยู่กันเฉย ๆ หรอก พอขึ้นไปได้แล้วก็หนีกันสุดชีวิต..!

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


    พระวินัยปิฎก

    39 อานิสงส์ปิดทองพระพุทธรูป

    ...... นัยว่าพระเจ้ามหารถราช เสวยสมบัติ ในสักกราชาวดีนคร ท้าวท่านเป็นสัมมาทิฎฐิบุคคล
    คือมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกับ พระเจ้าปัญจาลราช กษัตริย์กรุงปัญจาลราชนคร
    เป็นมิจฉาทิฎฐิบุคคล คือไม่นับถือพระพุทธศาสนา กษัตริย์ทั้งสองเป็นสหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย

    ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปัญจาลราชได้ส่งผ้ารัตนกัมพลผืนหนึ่งไปถวายพระเจ้ามหารถราช
    พระเจ้ามหารถราช ทอดพระเนตรเห็นผ้ารัตนกัมพล แล้วจึงตรัสว่าสหายเราส่งผ้าอันมีค่ามากมาให้เรา
    เราก็ควรจัดส่งแก้วอันประเสริฐไปให้ตอบแทนพระสหาย ดังนี้ พระเจ้ามหารถจึงคิดว่า เราจะส่งแก้วสิ่ง
    ใดหนอซึ่งมีค่ามากเหนือสิ่งอื่นใด พิจารณาแล้วเห็นว่า แก้วใดๆจะประเสริฐกว่าพุทธรัตนะย่อมไม่มี
    จึงตกลงใจจะส่งพุทธรัตนะไปถวาย จึงสั่งให้ช่างนำแผ่นทองคำตีเป็นแผ่นบางแล้วให้เขียนรูปพระพุทธเจ้า
    ลงไปในแผ่นทองคำด้วยชาตหรคุณมีขนาดองค์ประมาณ 1 ศอก
    แล้วสั่งให้อำมาตย์เชิญพระพุทธรูปทองนั้นลงสู่สำเภาเพื่อนำไปถวายพระเจ้าปัญจาลราช ก่อนที่จะส่งราชทูตไป

    พระองค์ยกมือขึ้นประณมถวายนมัสการ โดยทรงระลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์มีความประสงค์จะสั่งสอนเวไนยสัตว์ในประเทศใดๆ
    ขอพระองค์ทรงเสด็จไปยังประเทศนั้นๆ แล้วยังประโยชน์ให้เกิด แก่สัตว์จำพวกนั้นเถิด
    พระเจ้าปัญจาลราชสหายของหม่อมฉันเป็นมิจฉาทิฎฐิ มีความเห็นผิดจากทำนองครองธรรม
    มิได้มีความเชื่อความเลื่อนใสในพระองค์ ถ้าพระองค์เสด็จไปยังพระนครนั้นแล้ว
    ขอพระองค์ได้โปรดแสดงปาฎิหาริย์ทรมานพระเจ้าปัณจาลราชให้ละซึ่งมิจฉาทิฎฐิด้วยเถิด"

    อธิษฐานเสร็จแล้วเสด็จลงน้ำประมาณพระศอ(พระพุทธเจ้าอยู่บนเรือ
    ท่านจึงลงไปในน้ำซึ่งต่ำกว่า) เพื่อส่งรูปพระพุทธเจ้านั้นไปยังเมืองปัญจาลนคร
    ในขณะนั้น บรรดาแก้วอันเกิดในมหาสมุทรมีสีต่างๆก็ผุดขึ้นจากท้องมหาสมุทรลอยอยู่เหนือน้ำเพื่อบูชา
    พระพุทธรูปนั้น พื้นน้ำงามวิจิตรด้วยแก้ว 7 ประการประหนึ่งพื้นแห่งภาชนะทอง ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดขึ้น
    เหนือพื้นน้ำพญานาคทั้งหลายก็ได้พานาคบริษัทออกจากนาคพิภพขึ้นมาสักการบูชาด้วยสุคันธมาลา เทวดาทั้งหลายก็เรี่ยราย ดอกไม้ทิพย์ลงมาจากอากาศ
    เมื่อราชทูตไปถึงกรุงปัญจาลนครแล้ว จึงเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าปัญจาล แล้วกราบทูลเหตุอัศจรรย์ ให้
    ทราบโดยตลอด ท้าวเธอทรงโสมนัสปรีดาในเครื่องบรรณาการเป็นยิ่งนัก ได้เสด็จออกพร้อมจตุรงคเสนารับสั่ง
    ให้ชาวเมืองประโคมแตรสังข์ กังสดาล เสด็จไปยังท่าน้ำ ถวายนมัสการสักการบูชา แล้วเสด็จลงไปในน้ำประมาณพระศอ
    ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปแล้วทรงยินดีทรงแสดงตนเป็นพุทธมามกะ


    แล้วด้วยอำนาจความศัทธาของพระเจ้าปัญจาลราช และด้วยอำนาจอธิษฐานของพระเจ้ามหารถราช
    พระพุทธรูปนั้นก็ลอยขึ้นไปบนอากาศเปล่งรัศมี 6 ประการ
    จับพื้นปฐพีตลอดจนถึงพรหมโลก กลบแสงแห่งอาทิคย์ กลบแสงรัศมีเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ณ กาลนั้น
    ในคราวนั้นพระอินทร์ ได้เสด็จลงมาถวายนมัสการพร้อมด้วยเทพบริษัท มนุษย์ก็เห็นเทวดา เทวดาก็เห็นหมู่มนุษย์
    พระเจ้าปัญจาลราชเห็นปาฎิหาริย์เช่นนั้น ทรงโสมนัสยินดียิ่งนักได้นำพระพุทธรูปไปประดิษฐานในพระมนเทียร
    แล้วบูชาด้วยประทีปธูปเทียนชวาลา ทรงแสดงองค์เป็นอุบาสก

    ในเวลาต่อมาพระองค์ได้ให้ช่างแกะรูปพระพุทธเจ้าด้วยแก่นจันทน์แล้วประดิษฐานไว้ในศาลาไม้บุณนาค
    แล้วรับสั่งให้ชาวเมืองพากันมาปิดทองพระพุทธรูป ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นคนเข็ญใจในเมืองนั้น
    เมื่อได้ยินเสียงโฆษณาดังกล่าวแล้วตัดสินใจ อำลาลูกอำลาเมียเพื่อไปขายตัวให้เป็นทาส
    แล้วจะได้เงินมาซื้อทองปิดพระพุทธรูป แต่ด้วยความเห็นใจของภรรยา ภรรยาจึงยอมขายตนและลูกเป็นค่าทอง
    พระโพธิสัตว์นำลูกเมียไปขายในตระกูลที่มั่งคั่งแล้วนำไปซื้อทอง
    ปิดพระพุทธรูป

    เมื่อทองไม่พอจึงรำพึง "ใครหนอจักทำเนื้อมนุษย์ ให้เป็นทองได้ เราจักบริจาคตน "
    ในครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมายืนอยู่ตรงหน้าแสดงตนเป็นช่างทอง ต่อพระโพธิสัตว์
    เมื่อทราบว่าช่างทองนั้นสามารถทำเนื้อให้เป็นทองได้จึงประกาศแก่เทพเทวดาขออาวุธเชือดเลือดเนื้อตกลงมา
    เมื่อได้ ศัสตราวุธแล้วพระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อของตนจนตราบเท่าปิดทองสำเร็จ
    เกิดความยินดีโสมนัส สลบลงแทบเท้าพระพุทธรูป
    พระอินทร์ได้เยียวยาให้หายเป็นปรกติ แล้วเป็นผู้มีกายดุจสีทอง พระอินทร์ตรัสพยากร "

    ท่านจัดได้เป็นพระศรีสรรเพชญ์
    ในอนาคต " แล้วพระอินทร์ก็กลับสู่วิมาน
    พระเจ้าปัญจาลราชพร้อมชาวเมือง ได้ทำการสักการบูชาแก่พระโพธิสัตว์ และแบ่งสมบัติให้พระโพธิสัตว์
    เป็นอันมาก ครั้นดับขันธ์แล้วพระโพธิสัตว์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเสวยสมบัติอันมโหฬาร

    อานิสงส์การสร้างพระเจดีย์สูง ๑ โยชน์ ด้วยอิฐทองคำถวายบูชาพระพุทธศาสนา
    ---ครั้นสมเด็จพระพุทธกัสสปะ ได้ปรินิพพานไป คนทั้งหลายได้พากันสร้างพระเจดีย์สูง ๑ โยชน์ ด้วยอิฐทองคำ ในขณะที่กำลังสร้างอยู่นั้น ธิดาเศรษฐีจึงคิดว่า เราถูกสามีส่งกลับถึง ๗ ครั้งแล้ว เราจะต้องการอะไรด้วยชีวิต จึงให้คนทำลายเครื่องประดับของตน แล้วให้ปั้นเป็นอิฐทองคำนำไปสู่ที่เขาสร้างพระเจดีย์

    ---ในขณะนั้น อิฐขาดอยู่ก้อนหนึ่งพอดี นางจึงก่ออิฐของตนให้ติดกันเป็นอันเดียว แล้ววางดอกบัว ๘ กำไว้ในเบื้องบน กราบไหว้พระเจดีย์แล้วตั้งความปรารถนาว่า"ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเกิดในที่ใด ๆ ขอให้กลิ่นกายของข้าพเจ้าหอมดังกลิ่นจันทน์ และขอให้กลิ่นปากของข้าพเจ้าหอมดังกลิ่นดอกบัว"

    [​IMG]
    ---ต่อมา บุตรเศรษฐีก็ได้ให้ คนใช้ไปตามนางกลับมา ปรากฏว่ามีกลิ่นจันทน์และกลิ่นดอกบัวหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน ครั้นสอบถามว่า เธอได้ทำสิ่งใดไว้, ธิดาเศรษฐีก็เล่าสิ่งที่ตนกระทำไว้ บุตรเศรษฐีก็มีความเลื่อมใส จึงได้นำผ้ากัมพลไปบูชา พระสุวรรณเจดีย์ อันสูงได้ ๑ โยชน์นั้น แล้วก็ประดับพระเจดีย์ด้วยดอกปทุมทองอันใหญ่เท่ากงเกวียน


    ---ครั้นธิดาเศรษฐี ตายจากชาตินั้นแล้ว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ จุติจากสวรรค์ ก็ได้ลงมาเกิดเป็นราชธิดาในเมืองพาราณสี ส่วนบุตรเศรษฐีก็ได้จุติจากเทวโลกลงมาเกิดในตระกูลอำมาตย์ ต่อมาก็ได้เป็นพระราชาทรงพระนามว่า "พระเจ้านันทราช" แล้วได้อภิเษกกับราชธิดานั้น

    ---บุคคลทั้งสอง จึงได้ทรงปรึกษากันว่า การที่ได้เสวยราชสมบัติอันยิ่งใหญ่นั้น เป็นเพราะผลบุญแต่ชาติปางก่อน ที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต บัดนี้ เรายังไม่ได้ทำกุศลไว้เป็นปัจจัยแห่งอนาคตเลย จึงได้ทรงถวายทานพร้อมทั้งสร้างบรรณศาลา ๕๐๐ หลัง ในพระราชอุทยาน ให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ อันมีพระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้า เป็นประธาน


    ---เมื่อได้ทรงอุปถัมภ์ บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าดีแล้ว พระราชาก็ได้เสด็จไปชายแดน ในขณะที่ยังไม่เสด็จกลับมา อายุสังขารของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็สิ้นไป ท่านได้เข้าฌานอยู่ตลอดราตรี พอเวลารุ่งขึ้นก็ยืนพิงพนักปรินิพพานไป


    ---ในเวลาตอนเช้า พระราชเทวีได้จัดที่นั่งของพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ แล้วก็ประทับนั่งรอการมาของท่าน เมื่อไม่เห็นก็ใช้ให้บุรุษหนึ่งไปตาม จึงทรงทราบว่า ท่านยืนพิงพนักปรินิพพานไปหมดแล้ว พระนางก็ทรงกรรแสงคร่ำครวญ จึงพร้อมกับประชาชนทั้งหลาย เสด็จออกไปสักการะบูชาจัดการถวายพระเพลิง แล้วเก็บพระบรมธาตุไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์


    ---ครั้นพระราชาเสด็จกลับมา จากชายแดนแล้ว จึงได้ทรงทราบเรื่องราวจากพระราชเทวี ผู้เสด็จออกไป ต้อนรับ จึงทรงดำริว่า "บัณฑิตเห็นปานนั้นก็ยังตาย เราจักพ้นความตายได้อย่างไร" จึงไม่เสด็จเข้าพระนคร ได้เสด็จเข้าไปสู่พระราชอุทยาน ตรัสสั่งให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ไปเฝ้า แล้วทรงมอบราชสมบัติให้ พร้อมทั้งทรงสั่งสอนพอสมควร แล้วก็ทรงบรรพชา


    ---ฝ่ายพระราชเทวีก็ทรง ดำริว่า " เมื่อพระราชาบรรพชาแล้ว เราจักทำอะไร" แล้วก็ทรงบรรพชา อยู่ในพระราชอุทยานแห่งเดียวกัน ทั้งสองพระองค์นั้น ก็ได้ทำฌานสมาบัติให้เกิดขึ้น เวลาจุติจากชาตินั้นแล้ว ก็ได้ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก ดังนี้
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กรรมของผู้ที่ชอบขวางคนทำบุญ ขัดขวางบุญของผู้อื่น
     
  5. pental41

    pental41 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอบคุณครับคุณ Saber

    อย่างงี้ถ้าชวนแม่เข้าวัดทำบุญบ่อยๆ พอจะบรรเทากรรมตรงนี้ได้ไหมครับ
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กรรมส่วนกรรม บุญส่วนบุญครับ

    ทาน ศีล ภาวนา สร้างกุศลกรรม ครับ
     
  7. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    คิดมากน่า...
    บุญอยู่ที่เจตนา
    บุญอยู่ที่ศรัทธาของคนทำ
    ใส่เงินก็ดี ไม่ใส่ก็ดี หรือจะเอาไปใส่ตู้ก็ดี ได้บุญทั้งนั้นแหล่ะ เพียงแต่อย่าไปมัวคิดว่าดีไหม ไม่ดีไหม บาปไหม ไม่บาปไหม ความคิดเช่นนี้แหล่ะที่ทำให้ไม่ได้บุญ เป็นความคิดที่ขวางกั้นบุญกุศล

    เรื่องใส่เงิน อยู่ที่พระท่านจะรับหรือไม่รับ ส่วนมากรับหมด ยกเว้นพระธุดงค์ที่เคร่งและปฏิบัติจริงจัง เพราะรับแล้วท่านก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เพราะฉัน(กิน)ไม่ได้ นอกจากจะเอาไปทิ้งเสียเปล่าๆ เพราะท่านไม่เก็บไว้

    ส่วนที่ท่านรับ เพราะจำเป็นต้องใช้ หรือเมื่อท่านรับแล้ว ก็อาจเอาไปทำอย่างอื่น

    ผมเองก็เคยเอาเงินใส่บาตรให้พระธุดงธ์ ที่เข้ามาบิณฑบาตรในกรุงเทพฯ บ่อยๆ และท่านก็รับศรัทธาผม
     
  8. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    พระรับเงินได้หรือไม่ในปัจจุบัน



    คราวหน้าไม่ควรรับในลักษณะนี้อีกนะครับ...

    พระแจกอาหาร


    จขกท.ทำถูกแล้ว เพราะการให้เงินพระเป็นเรื่องช่วยพระให้ผิดวินัย...โดยมีโยมสนับสนุน.... มีผลนำเกิดในนรกและเป็นการทำบุญที่ขาดปัญญา เป็นการช่วยกันทำลายพระพุทธสาสนาเพราะพระไม่ปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติที่พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดไว้....

    การสดับศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นทางเดียวที่จะทราบความจริงว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร....การคิดสุ่มเดาเองตามทิฏฐิที่ผิดพลาดของตนย่อมเป็นไปเพื่อความไม่สวัสดี และทำแต่เรื่องที่ไม่ถูกตรงเสมอนะครับ...

    การไม่ใส่ใจไม่เห็นความสำคัญของ
    พระวินัยบัญญัติที่พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดไว้....ย่อมมีโทษตามมากล่าวคือ เพราะตนมีทิฏฐิวิบัติ ย่อมไม่อาจได้พบพระพุทธศาสนาได้อีก...ในเมื่อคำสอน ของพระบรมศาสดายังดำรงอยู่ก็ไม่เอาสาระเสียแล้ว แม้จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้น ก็ย่อมมีใจคัดค้านสิ่งที่ทรงตรัสสอนไว้อีก ด้วยอุปนิสสัยคัดค้านมาจนชำนาญ จึงท่านจขกท.พึงระมัดระวัง ใช้ปัญญาไตร่ตรองให้ดีว่า พระพุทธเจ้ามีพระสัพพัญญุตตญานที่รู้ทุกสิ่ง เราควรเชื่อพระองค์หรือควรเชื่อคนอื่น...

    พึงทราบว่า พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบัญญัติสิ่งไร้สาระใดๆทั้งสิ้นเพราะทรงละมิจฉาวาจาทั้งปวงได้หมดแล้ว..
     
  9. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ดีแล้วครับ ปรับที่ฝั่งตัวเรา
    แต่แค่อย่าไปตำหนิพระท่านอื่นๆ ที่รับเงินหรืออะไรก็แล้วแต่
    เพราะแทนที่จะได้บุญ อาจจะได้บาปไม่คุ้มกัน
     
  10. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    เรื่องพระวินัย ท่าน pental41 คงจะได้ศึกษามาแล้วจึงได้ทำเช่นนั้น
    ที่รู้สึกลังเลกับตัวเองเพราะอาจจะดูเป็นคนส่วนน้อย แต่การทำตามที่พระศาสดาตรัส
    ก็จะย่อมมีผลเกื้อกูลที่กว้างขวางกว่า การกระทำตามพระศาสดาตรัสเป็นอย่างไร
    ก็ย้อนกลับไปอ่าน ข้อความ ท่าน ddman อีกรอบครับ เพื่อความหนักแน่น 555
    การทำบุญที่ฉลาดด้วยพระวินัย คงไม่ส่งผลร้ายๆอะไรกับเราหรอกครับ
     
  11. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ถ้ามาทางวินัยเคร่ง ควรจะทราบอีกว่า
    1) ไม่ควรถวายอาหารแห้ง เพราะพระท่านไม่สามารถปรุงอาหารเอง
    หรือถ้าให้คนอื่นก็เป็นภาระ
    2) ไม่ควรถวายผลไม้มีเมล็ด ที่สามารถเพาะงอกได้ ..หากพระฉันจะเป็นอาบัติ
    3) ควรถอดรองเท้า ถุงเท้า เพื่อไม่ยืนสูงกว่าพระ
    4) ไม่ควรรับพร .. เพราะถ้าพระท่านยืนให้พร จะไม่เหมาะสม และเป็นอาบัติ
     
  12. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    ...ตรงข้ามกับผลร้าย..มีแต่จะ"ส่วนดีเท่านั้น" นะครับท่าน pongsanun....

    ข้อดีแรกคือพระที่ไม่ได้บวชเพราะเห็นภัยในวัฏฏะ มีแต่เพ่งลาภจะถูกกำจัดออกไปจากพระศาสนา..

    พระที่ดีเท่านั้นย่อมอยู่ในศาสนานี้ได้ เรียกว่า มีแต่พระแท้อันเป็นนาบุญที่จะยังอานิสงค์มากให้เกิดแก่ญาติโยมผู้มีศรัทธา....

    พระแท้ย่อมไม่มีเวลาทำกิจเยี่ยงฆราวาส มีการไปซื้อขายจ่ายทรัพย์อะไรๆในที่ใหนอย่างที่ชาวบ้านเขาทำกัน มีแต่เวลาเพื่อการศึกษาพระธรรมและเจริญสมาธิวิปัสสนาเพื่อความพ้นทุกข์โดยส่วนเดียว...

    แต่เวลานี้เราจะหาพระแท้ยากขึ้นทุกที เพราะญาติโยมมีแต่ศรัทธาที่ไม่มีปัญญาประกอบ..จึงช่วยกันทำลายพระศาสนาด้วยอย่างน่าสงสาร...จะโทษใครที่ใหนได้เล่า..

    ผู้ใดมีใจนิยมเห็นด้วยกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรัสสอนไว้ ไม่มีความคิดคัดค้านหรือต่อต้าน มีแต่จะเจริญสวัสดีโดยส่วนเดียว...เพราะบุคคลผู้ชี้ประโยชน์ไพบูลย์แก่สรรพสัตว์ที่ยิ่งกว่า
    พระพุทธเจ้านั้น ไม่มีเลย....
     
  13. Pattarakorn2010

    Pattarakorn2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,731
    เดี๋ยวนี้ ทั้งค่าน้ำค่าไฟ ค่ายารักษาโรค หาหมอ ต้องใช้เงินทั้งนั้น พระไม่ได้ใช้บริการฟรี เวลาผมเดินทางเข้าจังหวัดนั่งรถโดยสาร เจอพระเดินทางไปด้วยกันท่านว่าไปหาหมอตามนัด ค่าเดินทาง ค่ารักษาก็ต้องจ่าย อาจได้ส่วนลดบ้าง แต่ไม่ฟรีแล้ว ค่าไฟค่าน้ำก็ช่วยกันประหยัดเอา ถ้าไม่มีเงินบริจาคมาเลยก็ลำบากอยู่
     
  14. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ผมเห็นด้วยกับพระวินัย
    แต่ถ้าเอาเรื่องพระวินัย มาพูดกันจริงๆ ในเรื่องข้อปลีกย่อย ในเรื่องเสขิยวัตรต่างๆ รวมทั้งอภิสมาจาร ก็จะดู...... เหมือนกับกระดิกหรือทำอะไรไม่ได้

    สมาชิกที่เป็นพระภิกษุ ย่อมรู้ดี หรือผู้ที่เคยบวชเรียนมาแล้วย่อมรู้ดี
    ผมเองก็เคยบวชมาแล้ว บวชในกรุงเทพฯ (มหานิกาย) และถือได้ว่าเป็นพระที่เคร่งครัดในพระวินัยรูปหนึ่ง เคร่งจนรู้สึกเครียด จนหมู่เพื่อนพระภิกษุมองเราเหมือนแกะดำ เหมือนตัวประหลาด ไม่อยากให้เข้าร่วมกลุ่ม เข้าพูดคุย ตอนบิณฑบาตรก็เคยปฏิเสธรับเงินของญาติโยม ทำให้ญาติโยมเสียกำลังศรัทธา จิตตก

    หลักจากได้ศึกษามากๆเข้า ได้ปฏิบัติมากๆเข้า ได้ฟังธรรม ได้ฟังข้อแนะนำ จากครูบาอาจารย์ต่างๆ มาประสมประสานกันเข้า ทำให้เราปรับเข้ากับยุคสมัย รักษาศีลปกติ โดยไม่เคร่งเครียด คือ เป็นปกติด้วยศีล เป็นกลางๆ เบาๆ สบายๆ เมื่อใจเป็นศีลเสียแล้ว กาย วาจา ก็ย่อมเป็นศีลโดยอัตโนมัติ โดยมีสติกำกับ เงินทองได้มาไม่ยึดติด ได้มาออกๆ สละๆ ไม่เก็บ บิณฑบาตร ข้าวของ ที่ได้มา ก็แจกๆ จ่ายๆ ให้ผู้ยากไร้ ผู้ขาดแคลน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2015
  15. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941


    นำเงินใส่บาตรพระหรือให้เงินทำบุญกับพระได้ไหม พระผิดอาบัติไหม ?

    ผู้ที่ใส่บาตรด้วยเงิน และพระภิกษุที่รับเงิน ชื่อว่าไม่เคารพในวินัย ไม่เคารพในผู้บัญญัติวินัยด้วย
    พระ ภิกษุในพระพุทธศาสนารับเงินทองไม่ได้ ถึงจะใช้ให้ผู้อื่น คือไวยาวัจกรรับแทนก็ไม่ได้ โดยที่สุดยินดีเงินทองที่คนอื่น คือไวยาวัจกรเก็บเอาไว้ให้ หรือที่เขาถวายวางไว้ใกล้ ๆ ก็ไม่ได้ หรือยินดีเงินทองที่อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธานำเงินทองมาถวายโดยฝากธนาคารไว้ให้ แต่มีชื่อพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของบัญชีอยู่ก็ไม่ได้ เป็นอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ทั้งหมด (สำหรับสามเณร ก็ไม่ควรเหมือนกัน เพราะผิดสิกขาบทข้อที่ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ซึ่งเป็นผู้ควรแก่การทัณฑกรรมตามที่กล่าวไว้แล้วในมหาขันธกะ) (วิ.มหา. ๔/๒๘๕)
    การ รับเงินทองของพระภิกษุในปัจจุบันนี้เป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขทั้ง ฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ผู้ได้นามว่า พุทธบริษัท ดูเหมือนว่า การรับเงินทองเป็นเรื่องที่ดี เป็นสิ่งที่น่ากระทำได้ เหมาะสมแก่กาลสมัยนิยม ถึงเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีเรื่องปรากฏในพระวินัยปิฎกว่า “ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ วัดเวฬุวันวิหาร ใกล้เมือง ราชคฤห์ พระอุปนันทศากยบุตรเป็นภิกษุเข้าไปฉันเป็นประจำในตระกูลหนึ่ง ซึ่งตระกูลนั้นจะแบ่งอาหารไว้ถวายท่านส่วนหนึ่งเสมอ วันหนึ่งเขาได้เนื้อมา ก็แบ่งไว้ถวายแก่ท่าน ส่วนที่เหลือจากการแบ่งนั้นก็ได้ทำอาหารกินกัน เมื่อได้อรุณแล้วก็ตื่นขึ้นมาทำอาหารไว้ถวายท่าน บังเอิญเช้านั้นเด็กในบ้านตื่นขึ้นมาแต่เช้าร้องอ้อนวอนอยากกินอาหารนั้น จึงให้เด็กกินเสีย
    เมื่อ ได้เวลาท่านอุปนันทะ ก็เข้าไปฉันในตระกูลนั้น เขาก็นิมนต์ให้ท่านนั่งแล้วก็ได้เล่าเรื่องที่ตนเก็บเนื้อไว้ถวายนั้น ให้ท่านฟัง พร้อมทั้งบอกต่อไปอีกว่า ถึงแม้ว่าไม่ได้ถวายเนื้อนั้นแต่ก็เก็บมูลค่าของเนื้อนั้นไว้มีมูลค่า ๑ กหาปณะ พระคุณเจ้าจะให้กระผมจัดหาวัตถุอะไร มาถวายขอรับ ส่วนท่านอุปนันทะรู้อย่างนั้นแล้ว บอกให้ถวายเงินทันที หลังจากท่านกลับไปแล้วเขาก็ได้ติเตียนโดยประการต่าง ๆ ว่า พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรทำไมจึงรับเงินเหมือนอย่างพวกเราหนอ
    เมื่อ พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง ทรงติเตียนพระอุปนันทะอย่างรุนแรงว่า “ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สมควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้รับเงินและทองเล่า การกระทำของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว”
    พระ พุทธองค์จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามไว้ว่า “อนึ่งภิกษุใด รับเองก็ดี ให้คนอื่นรับไว้ให้ก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและเงินที่เขาเก็บไว้ให้ ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์”
    (วิ.มหาวิ. ๒/๙๔๐)
    สิกขาบท เกี่ยวกับการห้ามพระภิกษุสามเณร รับเงินและทองนี้ เป็นพุทธบัญญัติที่สาธารณะแก่พระภิกษุทุกรูป ไม่ว่าจะอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ก็ยังเป็นสิกขาบทที่บัญญัติไว้ให้สาวกของพระองค์ได้ประพฤติปฏิบัติอย่าง เคร่งครัดอยู่เสมอ
    ปัจจุบัน มีพระภิกษุสามเณรจำนวนมากเข้าใจว่า ธนบัตรไม่ใช่เงิน เป็นกระดาษ ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายกัน เพราะฉะนั้น จึงรับได้ ไม่เป็นอาบัติแต่อย่างใด ส่วนเวลาโยมถวายเงินก็ใส่ซอง เพื่อไม่ให้ประเจิดประเจ้อ ไม่ให้คนอื่นเห็น ทั้งไม่ให้พระเณรเห็นจำนวนเงิน เดี๋ยวท่านจะคิดมาก ให้ท่านไปลุ้นกันเองที่วัด พระภิกษุบางรูปท่านก็ใช้ย่ามรับ บางรูปใช้มือรับ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละท่าน บางรูปท่านก็รับอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาแบบซื่อ ๆ บางรูปท่านก็รับแบบปกปิด ซ่อนเร้น รับเหมือนไม่อยากได้ คือ ให้เด็กวัดเก็บเอาไว้ก่อน พอไปถึงวัดค่อยแจกกัน แลดูไม่น่าเกลียด จัดหน้าฉากให้ดูดีไว้ก่อน หลังฉากแล้วแต่กรณี เรียกว่า “จัดฉากรับ”
    กรณีการ ใช้จ่ายเงินของพระภิกษุสามเณรบางรูปในปัจจุบันนี้ เมื่อคราวขึ้นรถ ลงเรือไปเหนือล่องใต้ จะใช้ในรูปแบบตั๋วแลกเงิน ซึ่งจะมีราคาใบละ ๕ บาท ๑๐ บาท เป็นต้น สามารถนำไปแลกเงินจากที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศได้ พระเณรก็เอาตั๋วแลกเงินนี้ให้เป็นค่ารถ ดูแล้วก็ไม่ได้ต่างกับธนบัตรเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการเท่านั้น
    ใน สิกขาบทนี้ ไม่ใช่แร่เงิน แร่ทอง เงินรูปพรรณ ทองรูปพรรณ กหาปณะ และมาสกเท่านั้น แต่ยังรวมเอาวัตถุต่าง ๆ ที่ชาวโลกใช้เป็นมาตรา สามารถให้สำเร็จการซื้อขายได้ จะเป็นโลหะ ดิน ครั่ง ยาง กระดูก เปลือกหอย หนัง เมล็ดผลไม้ ไม้แก่น ข้อไม้ไผ่ ใบตาล แม้แต่กระดาษที่พิมพ์เป็นธนบัตรใช้กันทุกวันนี้ โลหะ กิน และครั่ง เป็นต้นที่กล่าวมาทั้งหมด จัดว่าเป็นรูปิยะ เป็นอกัปปิยวัตถุ เป็นวัตถุแห่งนิสสัคคีย์ พระภิกษุรับวัตถุเหล่านั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์
    ดัง ตัวอย่าง ที่ท่านแสดงไว้ในกรรถกถาว่า “กหาปณะที่เขาทำด้วยทองก็ดี ทำด้วยเงินก็ดี กหาปณะธรรมดาก็ดี ชื่อว่ากหาปณะ มาสกที่ทำด้วยแร่ทองแดง เป็นต้น ชื่อว่า โลหะมาสก มาสกที่ทำด้วยไม้แก่นก็ดี ด้วยข้อไม้ไผ่ก็ดี โดยที่สุด แม้มาสกที่เขาทำด้วยใบตาลสลักเป็นรูป ก็ชื่อว่า มาสกไม้ มาสกที่เขาทำด้วยครั่งก็ดี ด้วยยางก็ดี ดุนให้เกิดรูปขึ้น ชื่อว่า มาสกยาง ท่านสงเคราะห์เอามาสกทั้งหมด ที่ใช้เป็นมาตราซื้อขายในชนบทโดยที่สุด ทำด้วยกระดูกบ้าง ทำด้วยหนังบ้าง ทำด้วยเมล็ดผลไม้บ้าง ดุนให้เป็นรูปขึ้นบ้าง มิได้ดุนให้เป็นรูปบ้าง วัตถุ ๔ อย่าง คือ เงิน ทองทั้งหมด มาสกทอง มาสกเงิน มีประเภทดังกล่าวมาทั้งหมด จัดเป็นวัตถุนิสสัคคีย์”
    (วิ.มหาวิ.อฏ. ๒/๙๔๕)
    “จริงอยู่ วัตถุ ๔ อย่าง เหล่านี้คือ ทอง เงิน กหาปณะ และมาสก จัดเป็นวัตถุนิสสัคคีย์” (กงฺขา. ๑๒๔)
    จาก หลักฐานที่ยกมานี้แน่นอนที่สุด เงินกระดาษที่ใช้กันทุกวันนี้ พระภิกษุรับไม่ได้แน่นอน ถึงให้คนอื่นรับแทนก็ไม่ได้ แม้ยินดีที่เขาเก็บไว้ให้ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เป็นอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ เลย เมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมพระภิกษุและสามเณรยังรับเงิน ไม่กลัวผิดวินัยหรือ


    โทษที่เกิดจากเงิน
    เมื่อ พระมีเงินมาก ความคิดแบบอย่างสมณะวิสัยก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ความคิดความอ่านเหมือนอย่างโยมก็เข้ามาแทนที่ อยากจะได้อะไรก็ซื้อ เห็นโยมมีอะไรก็อยากจะมีเหมือนกับโยม เห็นโยมสร้างบ้านสวย ๆ พระเห็นแล้วอยากได้ก็สร้างกุฏิสวย ๆ ด้วย บ้านโยมติดแอร์ กุฏิก็ติดแอร์ด้วย โยมมีรถเบนซ์คันหรูขับ พระก็มีรถเบนซ์คันหรูขับด้วย โยมมีมือถือยี่ห้อไหนรุ่นไหน พระก็มีมือถือยี่ห้อนั้นรุ่นนั้นบ้าง โยมมีโทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น พระก็มีเหมือนโยมหมด ไม่ยอมน้อยหน้า โยมมีเงินฝากธนาคาร พระก็มีเงินฝากธนาคาร โยมเรียนจบปริญญาตรี โท เอก พระก็เรียนจบปริญญาตรี โท เอก โยมมียศฐาบรรดาศักดิ์ ทำงานราชการ มีเงินเดือน พระก็มียศฐาบรรดาศักดิ์ ทำงานราชการ มีเงินเดือน เหมือนกับโยมทุกอย่าง บางอย่างอาจจะดีกว่าโยมเสียด้วยซ้ำ เพราะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากกว่า ตรงที่ใคร ๆ ก็ต้องเคารพกราบไหว้บูชา โยมรับราชการเพียง ๖๐ ปีเกษียณ ส่วนพระ ๘๐ ปีจึงเกษียณ หรืออาจจะต่อได้อีก บางตำแหน่งไม่มีเกษียณ คือมรณภาพจึงเกษียณ
    เมื่อ พระมีเงินมาก จึงพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว แบบก้าวกระโดด ใช้เวลาไม่กี่ปี ก็ขึ้นมาเทียบชั้นกับโยมได้อย่างน่าทึ่ง คิดว่าต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้พระจะแซงหน้าโยมทุก ๆ ด้าน เมื่อถึงเวลานั้น โยมต้องมาเรียนรู้กับพระ ยกเว้นด้านธรรมวินัยอย่างเดียวเท่านั้น เพราะพระเดี๋ยวนี้ไม่เรียนไม่ศึกษาธรรมวินัย ไม่เห็นประโยชน์ของธรรมวินัย เห็นธรรมวินัยเป็นเรื่องโบราณ เป็นประวัติศาสตร์
    สาเหตุ ที่ความคิดความอ่านและความประพฤติของพระเปลี่ยนไปในทางเสื่อม เพราะเงินตัวเดียวแท้ ๆ พระรับเงิน พระยินดีในเงิน เงินทำให้พระเสียมามากต่อมาก
    เมื่อ สตางค์มี สตรีก็มา สังเกตว่า พระภิกษุในปัจจุบันจะมีเรื่องอื้อฉาวกับสีกาบ่อยครั้ง จนเป็นข่าวเรื่องราวใหญ่โต ตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องเสื่อมเสียทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับคณะสงฆ์อยู่เป็นประจำนี้ ส่วนมากมีสาเหตุมาจากพระมีเงิน ยินดีในเงินทอง
    เมื่อ พระภิกษุไม่มีเงิน คงไม่เป็นเช่นนี้ คงไม่ห้าวหาญ ไม่คึกคักอย่างนี้ เงินทองนี้มีโทษมากมาย แต่ทำไมท่านเหล่านั้นจึงมองไม่เห็นโทษ ไม่ว่าจะรับเงินทองไว้ เพื่อประโยชน์อะไร ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ผิดทั้งหมด ทำให้ต้องอาบัติทั้งสิ้น
    พระ พุทธองค์ทรงตำหนิติเตียน พระภิกษะผู้รับเงินทอง ยินดีในเงินทองอย่างรุนแรงถึงขั้นว่า ไม่ใช่สมณะเชื้อสายศากยบุตรเลยทีเดียว ดังพระพุทธองค์ตรัสกับนายบ้านชื่อมณีจูฬกะว่า “ดูก่อนนายบ้าน ทองเงินไม่เหมาะไม่ควรแก่สมณะเชื้อสายศากยบุตร สมณะเชื้อสายศากยบุตรไม่ยินดีทองเงิน ไม่รับทองและเงิน วางแก้วมณีและทองทิ้งเสียแล้ว เป็นผู้ปราศจากทองและเงิน ทองและเงินสมควรแก่ผู้ใด แม้กามคุณทั้ง ๕ ก็สมควรแก่ผู้นั้น กามคุณทั้ง ๕ สมควรแก่ผู้ใด เธอพึงจำผู้นั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า “มีปกติไม่ใช่เชื้อสายพระศากยบุตร” เราจะกล่าวอย่างนี้ว่า “ผู้ต้องการหญ้า พึงแสวงหาหญ้า ผู้ต้องการไม้ พึงแสวงหาไม้ ผู้ต้องการเกวียน พึงแสวงหาเกวียน ผู้ต้องการบุรุษ พึงแสวงหาบุรุษ” แต่เราไม่กล่าวโดยปริยายไร ๆ ว่า “สมณะพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินเลย” (วิ.จุล. ๗/๕๓๖)
    มี เงินทองอย่างเดียวก็เหมือนมีทุกอย่าง เพราะเงินทองสามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้ พระภิกษุยินดีเงินทอง ก็เท่ากับว่ายินดีในกามคุณ ๕ (เครื่องผูกคือกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) เงินทองเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้พระภิกษุในศาสนานี้เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส
    พระ พุทธองค์ทรงแสดงโทษของเงินและทองไว้มาก พระภิกษุผู้รับเงินทองยินดีในเงินทอง จะไม่สง่างาม ไม่ผ่องใส มีแต่จะเศร้าหมอง เป็นทาสของกิเลสตัณหา ดุจเนื้อถูกความมืดปกคลุมไว้ ฉะนั้น บวชมาแล้วควรประพฤติวัตร ปฏิบัติธรรม แต่กลับต้องมาติดข้องอยู่กับเงินทองเหล่านี้ อันเป็นเหตุทำให้ภพชาติยืดยาวต่อไป อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
    สิ่ง ที่มีโทษมาก ถ้ารู้จักใช้ คือใช้เป็น ใช้ถูกวิธีก็มีคุณมาก เรียกว่า โทษมหันต์ คุณอนันต์ เช่น เงินทองนี้ก็ดุจเดียวกัน มีโทษมาก แต่ถ้ารู้จักวิธีใช้แล้ว ก็มีคุณมาก มีประโยชน์มาก
    พระพุทธองค์ทรงอนุญาต ให้พระภิกษุใช้กัปปิยวัตถุที่เกิดจากเงินทองโดยผ่านไวยาวัจกร หรือกัปปิยการก
    ถ้า ญาติโยมเกิดศรัทธาเลื่อมใส เอาเงินทองมามอบไว้กับไวยาวัจกรแล้วสั่งว่า “คุณช่วยเอาเงินทองนี้ จัดหาสิ่งของที่สมควรถวายแก่พระคุณเจ้าด้วยนะ” พระยินดีสิ่งของที่สมควร อันเกิดจากเงินทองนั้นได้ ไม่มีโทษ ไม่ต้องอาบัติ หรือพระต้องการอะไรก็ให้ไวยาวัจกรจัดหามาให้ ก็ไม่มีโทษ ไม่ต้องอาบัติ
    พระ พุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ที่ชาวบ้านมีศรัทธาเลื่อมใสมอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการกสั่งว่า ‘พวกท่านจงจัดหาของที่สมควรมาถวายแก่พระคุณเจ้าด้วยเงินทองนี้’ ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีสิ่งของที่เป็นกัปปิยะจากเงินทองนั้น แต่เรามิได้กล่าวไว้เลยว่า ‘ภิกษุพึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไร ๆ ’ ” (วิ.มหาวิ. ๒/๑๔๙, วิ.มหาวิ.อฏ. ๒/๘๖๒)
    ถ้าพระไม่รับเอง ไม่ให้ผู้อื่นรับเงินทองแทน และไม่ยินดีเงินทองที่ผู้อื่นเก็บไว้ให้หรือวางไว้ใกล้ ๆ เพียงแต่ยินดีในปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยารักษาโรค ตลอดสมณบริขารที่สมควร เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องอาบัติ โดยให้ไวยาวัจกรไปจัดหาสิ่งของที่เป็นกัปปิยะมาให้ ตามที่ต้องการ ก็ไม่มีโทษอะไร


    โยมต้องการเอาเงินมาทำบุญควรทำอย่างไร
    เมื่อโยมมีศรัทธาต้องการเอาเงินมาทำบุญกับพระภิกษุควรทำให้ถูกต้องตามพระวินัย วิธีที่ถูกต้องนั้น มี ๒ วิธี คือ
    ๑. โยมเขียนใบปวารณาเสร็จแล้ว นำเงินเหล่านั้นไปมอบไว้กับไวยาวัจกรพร้อมสั่งว่า “คุณช่วยจัดหาสิ่งของที่สมควรถวายแก่พระคุณเจ้า เท่ากับจำนวนเงินนั้น” แล้วนำเอาใบปวารณามาถวายพระ ให้ท่านรับรู้รับทราบเฉพาะในใบปวารณาเท่านั้น
    วิธี ที่หนึ่งนี้มีวิธีปฏิบัติเหมือน ในเมณฑกสิกขาบทคือ ทายกเป็นผู้ระบุชื่อไวยาวัจกรเอง เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้ไม่ยินดีมูลค่า (เงิน) ยินดีแต่กัปปิยภัณฑ์ (สิ่งของที่สมควร) จะขอกี่ครั้งก็ได้ ไม่มีกำหนด แม้ตั้งพันครั้งก็ควร
    ๒. โยมนำเงินเหล่านั้นมาแล้ว พระถามว่า “ที่วัดนี้มีไวยาวัจกรไหมครับ” หรือพูดว่า “ใครเป็นไวยาวัจกรเก็บรักษาเงินเหล่านี้” ถ้าไวยาวัจกรอยู่ต่อหน้า ท่านจะตอบว่า “คนนี้เป็นไวยาวัจกร” ถ้าไวยาวัจกรไม่ได้อยู่ต่อหน้า ท่านก็จะตอบว่า “คนชื่อนี้อยู่บ้านโน้นเป็นไวยาวัจกร” ถ้าโยมไม่ถามก่อน ท่านจะบอกอ้างไวยาวัจกรว่า “เอาไปไว้กับคนนั้น คนนั้นเป็นไวยาวัจกร” อย่างนี้ไม่ได้ ไม่พ้นจากอาบัติ ท่านได้แต่พูดปฏิเสธว่า “อาตมาไม่รับเงิน หรือพระรับเงินไม่ได้ต้องอาบัติ”
    เมื่อ โยมเอาเงินเหล่านั้นไปมอบมห้ไวยาวัจกร และสั่งเขาให้เข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปหาพระบอกว่า “โยมได้บอกไวยาวัจกรให้เข้าใจแล้ว ท่านต้องการสิ่งของที่สมควร ขอจงบอกนะครับ” วิธีที่สองนี้ มีวิธีปฏิบัติเหมือนในราชสิกขาบท คือ พระภิกษุเป็นผู้ระบุชื่อไวยาวัจกร มีกำหนดขอได้ ๓ ครั้ง แต่ไม่เกิน ๖ ครั้ง (ขอได้ ๓ ครั้ง ยืนได้ ๖ ครั้ง ถ้าจะขออย่างเดียวขอได้ไม่เกิน ๖ ครั้ง)


    source :

    http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=134
     
  16. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    หลวงปู่แตงอ่อน กัลยาณธัมโม วัดกัลยาณธัมโม อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร



    https://th-th.facebook.com/PhraHlwngTaTaengon/posts/783253045073815
     
  17. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ผมเคยบิณฑบาตร ในตลาดสด ที่มีพวกพ่อค้า แม่ค้า ทั้งหลาย
    คือ คนทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนมุ่งยุ่งอยู่กับกิจการ การค้าการขาย
    พวกเขาทั้งหลายส่วนมากจะไม่มีเวลาตระเตรียมข้าวปลาอาหาร
    เมื่อพวกเขาเห็นพระบิณฑบาตร แล้วเกิดความเลื่อมใส จึงควักเงินใส่บาตร
    ร้านโน้นที ร้านนั้นที ต่างล้วงควักเงินใส่บาตร
    ฝ่ายพระ (ตัวเรา) มีสติรู้ ว่าเป็นเงิน แต่จิตเมตตามีกำลังสูงกว่า แถมใจก็ยังเป็นศีลอยู่ ก็รับและให้พรไปตามเรื่องตามราว ตามเหตุตามปัจจัย
    เงินที่ได้มานะหรือ หยอดตู้บำรุงวัด ใส่ซองช่วยงานบุญ เวลามีเพื่อนพระมาบอกบุญ รวมทั้งต้องช่วยวัดโดยจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้วัดเป็นรายเดือน
     

แชร์หน้านี้

Loading...