เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    สวัสดีครับ ท่าน tjs

    วันนี้ผมมีเรื่องจะรบกวนท่าน tjs ให้ดูอนาคตของหน้าที่การงาน,การเงิน และอนาคตของหน้าที่ทางพระพุทธศาสนาช่วยเหลือคน และอนาคตที่เกี่ยวข้องสำคัญในโชคชะตาชีวิตของผมภายใน 1-2 ปีหรือมากกว่านั้นถ้าสำคัญ หลังจากที่ผมออกจากที่ทำงานเก่านี้ด้วยครับ เพื่อเป็นแนวทางให้ผมได้รับรู้ไว้ก่อน อนุโมทนาและขอบคุณครับ.
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    พระพุทธเจ้า พระสมณะโคดม ท่านเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ท่านมีปัญญามาก

    การสร้างบารมีของท่านจึงต้อง สั่งสมด้านสติปัญญาเอาไว้มาก เมื่อท่านมาประสูติ ในพระชาติสุดท้ายที่สำเร็จอนุตรธรรม ท่านเริ่มโต ท่านใช้สติปัญญาของท่าน พิจารณาเหตุปัจจัยทุกอย่าง ความเป็นผู้ทรงพรหมวิหารธรรม ความเป็นผู้มีความเพียรและขันติเป็นเลิศ ความเป็นผู้มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ไม่แบ่งแยกไม่มีประมาณ ความเป็นผู้ให้ ทั้งอาหาร ทรัพย์ สิ่งของมีค่า แม้ที่สุดคือ ให้ได้กระทั่งกายใจของท่าน สภาพความเป็นอยู่ในสมัยพุทธกาล ถือว่าเป็นเวลาที่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ สังคมแตกแยก มีการรบราฆ่าฟัน ล่าดินแดน ผู้คนเดือดร้อนเป็นทุกข์ ทุกหย่อมหญ้า พระพุทธองค์ ต้องประสพกับภัยมากมายนานประการ ต้องต่อสู้กับพยามารและจารีตประเพณีที่ไร้ความเป็นธรรม ขาดสันติภาพและมนุษยธรรม

    ด้วยพระปัญญาบารมี พระองค์ทรงเอาชนะทุกอย่างได้ พระองค์เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ยังต้องทำงานหนัก หนักมากในการเผยแผ่พระศาสนา การสร้างและสืบทอดรักษาพระศาสนาให้ขยายแผ่ออกไปและมั่นคงสถาพร จึงเป็นงานหนักอย่างยิ่ง เพราะสมัยพุทธกาลถือได้ว่าเป็นกลียุค ที่บ้านเมืองมีการรบราฆ่าฟันแบ่งแยกแข่งขัน แต่ด้วยความวิริยะ ด้วยขันติบารมี ของพระองค์ ก็ทรงวางรากฐานต่างๆไว้อย่างดีเยี่ยม

    ว่าไปแล้ว พระสมณะโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเดียว ที่ผ่านความยากลำบากมากมายนัก เพื่อช่วยสรรพสัตว์ ให้พ้นทุกข์

    แต่ทว่า ทุกอย่างก็เป็นไปตามกรรม ชะตากรรมของโลกมนุษย์ที่ถูกกำหนด กรรมที่หมุนเวียนไหลวนให้ผลตามวิบากกรรม บัดนี้ เลยกึ่งพุทธกาลล่วงมาแล้ว กลียุคจะเกิดดับทวีความรุนแรง มนุษย์ไร้คุณธรรม ไร้ศาสนา แม้ผู้ที่มีศาสนากลับไม่ปฏิบัติประพฤติตนเยี่ยงผู้ไร้ศาสนา ความวิบัติความเดือดร้อนจะเกิดขึ้น โลกบางพื้นที่จะลุกเป็นไฟ กลียุควิกฤตกาล ย่อมเกิดกระจายเกิดดับเกิดดับไปทัวปฐพี

    พระโพธิสัตว์ พระอริยะสงฆ์สาวก นักบุญ เทพพรหม เทพอารักษ์ เทพเทวดาทุกชั้นภพ ขอทุกท่านอย่าท้อถอย ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น จะเลวร้ายสักปานใด กลียุคจะสร้างภัยแก่มนุษย์มากน้อยเพียงใด ขอให้ท่านอย่าท้อถอย ท้อแท้ ยอมแพ้ แต่ขอจงอดทนหยัดยืน ต่อสู้ ให้น้อมระลึกถึงพระสมณะโคดม เป็นเยี่ยงอย่างที่ประเสริฐสุด ขอให้ทุกท่านได้ทำหน้าที่ของตนให้ดีให้สมบูรณ์ที่สุด เพราะโลกใบนี้ เป็นสถานที่เดียวที่จะมีส่วฯช่วยให้ท่านได้สร้างบารมีหลุดพ้นทุกข์และช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นทุกข์ได้ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2015
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ว่าด้วยระดับปัญญาบารมีของพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นแบบวิริยาธิกะ ก็ดี ศรัทธาธิกะก็ดี หรือปัญญาธิกะก็ดี
    ปัญญาของพระพุทธเจ้าทั้งสามประเภทไม่ได้แตกต่างกัน มีเสมอกัน เพียงแต่ ประเภทปัญญาธิกะ จะต้องเจออุปสรรคปัญหามากกว่า ท่านจึงต้องนำเอาปัญญาแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆมากกว่านั่นเอง
    ส่วน ใครที่เข้าใจว่าแบบอื่นมีปัญญาน้อยกว่านั้นไม่จริง เพราะทั้งสามแบบต้องผ่านปรมัตถบารมี นั่นคือต้องสั่งสมปัญญาบารมีขั้นปรมัตถ์ ซึ่งต้องมีปัญญามาก ต้องสอบผ่านด่านในข้อนี้ ต้องรอบรู้เป็นสัพพัญญุู เป็นกูรู พหูสูตร อย่าไปปรามาสเข้าใจผิดไปอย่างนั้น
    เนื้อแท้แล้วความเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนไม่ต่างกัน
    แต่ที่ต่างกันคือความยากง่ายในการตรัสรู้และเผยแผ่พระศาสนา
    มีบารมีที่สร้าสงมาเป็นเครื่องอำนวยผล ถ้าทำมามาก ใช้เวลามาก
    เวลามาตรัสรู้ก็มีคนดีมีพระอริยะมีเทพพหรมมาช่วยมาก ถ้าสร้างมาน้อยพอประมาณก็มีคนช่วยน้อย กรรมดีก็มาหนุนนำช้วยเหลือน้อย
    ในการตรัสรู้จึงมีอุปสรรคปัญหาพอสมควรกว่าจะตรัสรู้ได้ต้องเหนื่อยมากและพอประกาศพระศาสนาก็ต้องเหนื่อยยากอีกเช่นกัน แต่เพราะด้วยพระบารมีที่สั่งสมมาเต็มบารมีแล้วในปัญญาธิกะ จึงสามารถทำทุกอย่างสำเร็จสมปราถนานั่นเองครับ สาธุ
    ที่ต้องกล่าวเช่นนี้เพราะปราถนาให้ทุกท่านเข้าใจในสิ่งที่ดีงามถูกต้องไม่ปราถนาให้เกิดการปรามาสในพระพุทธเจ้านั่นเองครับ สาธุ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ส่วนที่เล็กที่สุดของธาตุคือ อะตอม ในอะตอม คือการไหลเวียนของอนุภาคเล็กๆ การไหลเวียนของอนุภาคเล็กๆคือพลังงาน ในพลังงานที่ไหลเวียน มีพลังชีวิตสัมปยุตร่วมอยู่
    พลังงานชีวิต ก็คือพลังจิต
    พลังจิต จึงผสานแผ่ไปทั่วทุกอนูของกายธาตุ
    การจะได้พลังจิตที่ทรงพลังคืนกลับมา จึงต้องอาศัยกำลังของสมาธิเป็นตัวดึงมันออกมาจากทุกอนูทุกอะตอมของกายธาตุ เมื่อใดที่สมาธิท่านตัดกายตัดเวทนาได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อนั้นท่านจะรวมเอาพลังจิตจากทั่งอนูทั่วกายมารวมอยู่ที่จุดเดียวกันได้ เมื่อนั้นพลังจิตจะทรงพลังใช้ประโยชน์ได้ ตามสมควรแก่กำลัง
    เมื่อใดพลังจิตที่รวมลงในจุดหนึ่งมั่นคงมากพอและมีกำลังมาก เอคตาจิต พลังที่รวมเป็นหนึ่งนี้ หากรู้วิธี ย่อมหลุดออกจากกายไปสู่นามธรรมภายนอกหรือโลกทิพย์ได้ย่อมสื่อจิต สื่อสัมผัสกับโลกทิพย์กายทิพย์อื่นๆได้ จะว่าเรียกถอดจิตก็ได้ หรือจะใช้แบบส่งกระแสแบ่งจิตไปแบบมโนมยิทธิก็ได้ แล้วแต่วิธีที่ท่านเลือกใช้ ว่ามีประโยชน์เพื่ออะไร
    พลังจิตหรือพลังชีวิตสัมปยุตร่วมอยู่กระจายแผ่ขยายไปทั่วกายธาตุทุกอนูได้อย่างไร เมื่อไหร่ คำตอบคือ พลังจิตหรือจิต ได้เกิดสัมปยุต เพราะอาศัยการปฏิสนธิ จิตและตกภวังค์ถือกำเนิด เปลี่ยนอัตถาพ มาสู่กายเนื้อเกิดในครรภ์แห่งมารดาในเวลานั้นนั้นเอง เมื่อไข่อละอสุจิพร้อมด้วยจิต สัมปยุตถือกำเนิด ก่อเกิดกายเนื้อกายใจ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จวบจนปัจจุบัน และเมื่อกายแตกดับหรือตายลง พลังชีวิตหรือพลังจิต จะเปลี่ยนอัตภาพกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่อาศัยพลังบาปและบุญเป็นเครื่องหนุนส่ง จิตว่าจะลับคืนไปสู่นามจิตในแบบไหนนั่นเอง ครับ
    ดังนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ถ้าทำได้แล้ว ย่อมเข้าใจและรู้ก็เป็นของง่าย กล่าวได้ว่า ของที่ยากหากทำได้แล้วย่อมเป็นของง่าย ของที่ว่าง่ายหากยังไม่เคยหรือทำไม่ได้ย่อมเป็นของยากสำหรับผู้ที่ยังทำไม่ได้
    ดังนั้นมันจึงไม่ใช่การท่องจำแต่นั่นหมายถึงการปฏิบัติจริงของท่าน เมื่อท่านปฏิบัติจริงย่อมเห็นจริงและได้รับผลจริง ครับสาธุ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    ฉนั้นเรื่องอภิญญาอิทธิฤทธิ์ จึงเป็นเรื่องของพระอนาคามี พระอรหันต์ขึ้นไปที่เป็นของง่ายที่ท่านทำได้เพราะสมาธิของท่านตัดขาดแล้วจากกายจากเวทนาทางกาย จากกายธาตุ กายรูปอย่างสิ้นเชิงครับ สาธุ
     
  6. อภิญญา ๘

    อภิญญา ๘ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    สวัสดีครับ

    ผมกำลังได้รับทุกขเวทนาจากการเจ็บป่วยทางกายมานาน จะมีโอกาสหายไหมครับ

    เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ผมได้รับทุกขเวทนาอยู่ตอนนี้ มีวิธีไหนที่จะทำให้ท่านเหล่านั้นให้อภัยผมบ้างไหมครับ

    ขอบพระคุณครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เก็บตกภาพ งานทอดกฐินครับ วัดน้ำซับสังฆารามครับ
    ขอขอบคุณสหายธรรม ญาติธรรมทุกท่านที่ได้ร่วมบุญทอดกฐินและผ้าป่า ผมและสหายได้ร่วมถวายปัจจัย ถวายผ้าตรัย ถวายจตุปัจจัยอื่นๆ พร้อมกันที่วัดเมื่อวาน วันที่8 พย 2558 ครับ ขออนุโมทนาบุญร่วมกันนะครับ

    และร่วมอนุโมทนาบุญ กันครับ มีไปถวายปัจจัยแด่ท่านพระอาจารย์อลงกต และบริจาคของช่วยเหลือคนป่วยโรคเอดส์ ที่วัดพระบาทน้ำพุ ลพบุรี ครับ

    ต้องขออภัยสหายธรรมหลายๆท่านด้วยครับที่ไม่ได้เรี่ยไรหรือบอกบุญตั้งแต่เริ่มต้นเพราะเกรงใจทุกท่านครับ เทศกาลทุกท่านก็มีภาระกันเยอะ แต่ก็ร่วมอนุโมทนาบุญร่วมกันได้ครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. หญิงท้วม

    หญิงท้วม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2013
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +37
    มีเรื่องรบกวนอีกแล้วค่ะ
    1.หนูโดนกุมารทองที่มาอยู่ด้วยปิดตาค่ะ ทำให้สถานการณ์ทางการเรียนแย่
    ลง เขาต้องการให้หนูบวชชีพราหมณ์ให้ห้าวัน แต่หนูไม่มั่นใจว่ารักษาศีลแปดได้ในวันปกติเพราะจิตวิปริต ตอนนี้จะเรียนต้องนั่งฟังซะส่วนมากเพราะโดนปิดตา พอต่อรองว่าเอาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ รักษาเก็บไปจนครบห้าวันก็ไม่เอา ขอรบกวนให้ช่วยด้วยค่ะ
    2.ได้รับความเดือดร้อนจากกุมารทองเพราะทำท่าทางเด็กๆอย่างเอาเอานิ้วแหย่ปากค่ะ ใช้ร่างโดยไม่ขอก่อน พูดยังไงก็ไม่เลิกเสียที ขอให้ช่วยด้วยค่ะ
    3.น้องเขาดื้อ ใช้ร่างเราตีคนอื่นหรือตีหนูเพราะไม่พอใจค่ะ พอเราเริ่มโกรธเขาก็ทำให้ป่วยขอหนทางแก้ไขด้วย
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    ให้ไหว้พระสวดมนต์แล้วถือศีล5ก็พอ ทำให้ดี แล้วระลึกเสมอว่า เรายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะสูงสุด และให้หยุดเรื่องนี้ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องกุมารหรือจิตอื่นๆที่ไปกังวลหรือไปโทษเขา ให้เลิกโทษสิ่งต่างๆรอบตัว
    แต่ให้พิจารณาที่ตนเอง ทุกอย่างมันอยู่ที่กายใจของเราเองทั้งนั้น ทำตัวเองให้ดี มีความตั้งมั่น ในสิ่งดีงาม มีความเพียรและขยันอดทน หมั่นรักษาศีล ทำบุญทาน และสวดมนต์ แล้วชีวิตของคุณจะดีขึ้นครับ

    ถ้าไม่อย่างนั้น คุณจะแย่ลงแย่ลงไปอีกมาก อาการทางจิตของคุณจะหนักขึ้นจนแยกไม่ออกยากแก่การรักษา
    ขอให้เน้นการชำระจิต คือการทำสมาธิ ภาวนา ตรวจดูถึงความดีงามของกายใจ การไม่ทำบาป การตั้งอยู่บนสัมมาทิฏฐิ
    สิ่งที่ผ่านมา คิดเห็น มองแบบมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น ขอให้รู้ทันและปรับเปลี่ยนเสียใหม่ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะเท่านั้น ทำตรงนี้ให้ดีให้ได้ก่อน แล้วอนาคตค่อยมาเสริมเพิ่มเติมกันใหม่ครับ สาธุ
     
  10. น้ำเกลี้ยง

    น้ำเกลี้ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +505
    โมทนาสาธุครับ พี่ก้อง ไว้ มีโอกาศจะร่วมบุญกันใหม่ครับ

    ปล ถึงน้องท้วมๆ แนะนำทำตามพี่ก้องพูดนะครับ เป็นห่วงแทน ฝึกสติเยอะๆ สู้ๆ ถ้าเราไม่นใจซะอย่างจิตเราใครก็มาทำไรไม่ได้คัฟ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เพราะอายุไขคนเราปัจจุบันเต็มที่ก็100ปี 80ปี หรือ60ปี ไม่แน่นอน
    ความจริงแล้วชีวิตนี้นั้นสั้นนัก จงอย่าหลงตนหลงเวลาหลงโลกแห่งมายาให้มากจนลืมกำพืชแห่งความเป็นมนุษย์คือสัตว์ผู้ประเสริฐ

    จงใช้ชีวิตให้มีความสุขบนครรลองแห่งธรรม

    จงร่ำรวยความสุขให้มาก คือร่ำรวยความดี

    เพราะความดีเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง

    เพราะความดีเท่านั้นคือเครื่องชำระกรรมเก่าให้เบาลงและสร้างความสุขที่มั่นคงให้กับชีวิตที่เหลืออยู่

    เพราะความดีเท่านั้นที่จะทำให้ความตายเป็นเรื่องไม่น่ากลัวนั่นเพราะท่านได้เตรียมพร้อมก่อนตายไว้ดีแล้ว

    เพราะ ความดีเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องนำส่งชีวิตหลังความตายไปสู่ภพภูมิใหม่ที่ดี

    เพราะ ความดีเท่านั้นจะเป็นทิพยสมบัติตามติดเราไปทุกหนแห่งทุกที่ ที่จิตดำเนินไป

    เพราะความดีนี่เองที่เป็นรากฐานของการชำระจิตให้ขาวสะอาดและบริสุทธิ์อันนำไปสู่ความหลุดพ้นทุกข์คือพระนิพพานในท้ายที่สุดนั่นเองครับ สาธุ

    ความดีที่ผมพูดถึงนี้ หมายรวมถึงสามสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้คือ การไม่ทำบาป ถือว่าเป็นความดีเบื้องต้น การทำแต่ความดีคือกุศลกรรมทำแล้วเกิดประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่นไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ถือว่าเป็นความดีขั้นกลาง และสุดท้ายคือการสวดมนต์ภาวนาชำระจิตให้บริสุทธิ์ถือว่าเป็นความดีขั้นสูงหรือปรมัตถะ นั่นเอง ครับ สาธุ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    อายุก็ยังไม่มาก แต่วิบากกรรมก็ให้ผลแก่เราโดยไม่มีข้อยกเว้น เมื่อเราสร้างกรรมที่ไม่ดีเบียดเบียนทำร้ายเขาไว้มาก ผลกรรมย่อมตกแก่เราหนักหน่วงเช่นกัน

    การที่เราทำให้เขาพอใจก็ส่วนหนึ่ง แต่วิบากกรรมนั้นย่อมให้ผลของมันอย่างตรงไปตรงมา

    ผมขออธิบายว่า เราแก้ไขวิบากกรรมให้ตัดขาดลงไปไม่ได้ แต่เราสร้างกุศลเพื่อบรรเทาและหนุนส่งไกลห่างกรรม เลื่อนเวลาต่อไปอีกได้

    ส่วนเจ้ากรรมนายเวร เราแก้ไขได้สำหรับบางท่าน บางกรณี ซึ่งกรณีนี้ ต้องแก้ไขด้วยการทำบุญปล่อยปลา9ตัว ทำบุญปล่อยโคกระบือหรือสัตว์ต่างๆ การที่สุขภาพไม่ดีเนื่องจากเราไปเบียดเบียนทำร้ายร่างกายเขาเอาไว้ ทำให้แขนขา และสุขภาพกายของเขาได้รับทุกขเวทนามาก จึงส่งผลต่อร่างกายของคุณในชาตินี้

    นอกจากนี้ต้องทำบุญด้วยการถือศีล สวดมนต์ภาวนา ประกอบเสมอ
    ทอดกฐินที่ผ่านมาทำบุญสิ่งใดไว้ก็อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรให้เขาทั้งหมด

    ปีใหม่ควรไปทำบุญถวายพระพุทธรูป และไปปิดทององค์พระและขอพรพระ พร้อมทำบุญตักบาตร หรือถวายสังฆทาน แล้วจะผ่านพ้นเคราะห์ไปได้ครับ

    เพื่อให้สามารถดูได้ละเอียดมากว่านี้ ควรส่ง วดป เกิด เข้ามาในpmเดี่ยวจะตอบรายละเอียดให้ครับ
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ความว่าง ในสมาธิเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นสภาวะที่จิตสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ความว่างจะเกิดได้ เพราะอาศัย ความสงบในสมาธิ

    ความสงบในสมาธิเป็นบ่อเกิดของสิ่งดีงามทั้งปวง เป็นบ่อเกิดหรือรากฐานของสมาธิทุกระดับ ทั้งฌาณ ญาณ อภิญญาและวิปัสสนา ปัญญาและพระนิพพาน ครับ

    ความสงบนำไปสู่มหาสติ
    ความสงบคืออาศัย การหยุดนิ่งเป็นพื้นฐาน คือต้องหยุดนิ่ง แล้วจึงสงบ เมื่อสงบแล้วด้วยกำลังของสติในสมาธิ จึงเห็นการเคลื่อนไหวของกาย เวทนา จิต ธรรม

    ความสงบให้ผลคือเกิดเป็นสมาธิตั้งแต่ขั้นต้นและสูงสุดคือว่างในพระนิพพาน

    ความสงบนั้นส่วนหนึ่งให้ผลคือข่มกิเลส และความสงบส่วนหนึ่งก็ให้ปัญญาเข้าไปดับกิเลส

    การหยุดนิ่งคือไม่ใช่กายที่หยุดนิ่ง แต่หมายถึงการรักษาจิตของตนให้หยุดนิ่ง ไม่ไหลวิ่งไปตามอำนาจกิเลสเครื่องปรุงแต่งหรือความรู้สึกนึกคิดใดๆ

    ความสงบก่อให้เกิดปัญญา และสามารถดับกิเลสได้เพราะอาศัยปัญญาจากความสงบ เมื่อปัญญาเกิด ดับเครื่องปรุงแต่งเมื่อนั้น ความว่างในนิพพานก็ปรากฏ

    ส่วนปฏิเวธหรือผลที่เกิดปรากฏก็มีความสงบปรากฏร่วมด้วยเสมอ ก่อนจะมีความว่างปรากฏ หรือกล่าวสั้นๆว่า สงบแล้วจึงว่าง นั่นเองครับ

    ดังนั้น ทุกขณะจิตให้พยายามรักษาความว่างของจิตให้ เกิด เบื้องต้น ต้องสร้างให้เกิดขณะที่เราสวดมนต์และฝึกภาวนา เมื่อเราทำตรงนี้ได้ การดำรงชีวิตประจำวันก็ค่อยๆฝึกต่อไปให้สม่ำเสมอต่อเนื่องให้ได้มากที่สุดครับ เมื่อทำได้ย่อมห่างไกลทุกข์ มีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2015
  14. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    สวัสดีครับ. ท่านก้อง. กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันดับไม่ได้ครับ มันมีของมันตามธรรมชาติครับ. ผมเคยยกอุปมาแล้ว ดังน้ำฝนหนึ่งแก้วเดิมๆมันใสสะอาด เราเอากาแฟใส่ไป แล้วข้นๆน้ำฝนมันกลายเป็นกาแฟไปแล้ว มีสีกาแฟ กลิ่นกาแฟ อ้าวน้ำฝนหายไปไหนละครับ มันไม่ได้หายไปแต่มันกลายเป็นกาแฟไป กาแฟก็อยุ่ น้ำฝนก็อยุ่ มันไม่ได้หายไป ทีนี้เราจะแยกน้ำฝนกับกาแฟได้ไหมครับ ? คำตอบคือไม่ได้ แล้วเราจะทำยังไงละ ? เราจึงต้องมีน้ำที่ใหญ่นั้นคือน้ำบ่อ ที่มีน้ำฝนใสๆเต็มบ่อ. ทีนี้เรามีน้ำบ่อแล้ว เราเอาน้ำกาแฟแก้วนั้นไปเทใส่บ่อ. ถามว่ากาแฟหนึ่งแก้วสามารถทำน้ำในบ่อให้เป็นกาแฟได้ไหม? คำตอบคือไม่ได้ มันไม่มีผลอะไรกับน้ำฝนในบ่อเลยให้ข้นยังไงน้ำบ่อก็ใสเหมือนเดิม แต่ถามว่าอ้าวแล้วกาแฟหนึ่งแก้วมันไปไหนละ มันก็อยุ่ในบ่อนั้นแหละไม่ไปไหน. แล้วกาแฟมีไหม? มีแต่มันหมดฤทธิ์ที่จะทำอันตรายแก่น้ำในบ่อได้แล้ว
    น้ำในแก้วคือใจ แต่ใจที่ยังมิได้มีสติปัญญาในการพิจารณา. กาแฟก็คือกิเลสตัณหา ที่ย้อมใจให้ไหลตามมัน. ส่วนน้ำในบ่อคือจิต ที่มีสติปัญญาที่รุ้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ไม่หลงในสมมุติ และเข้าใจความจริงในสมมุติ ทุกสรรสิ่งมีเหตุปัจจัยคือสมมุติ ดับสมมุติคือวิมุตติ สมมุติคืออวิชชา อวิชชาคือที่มาของอาการแห่งเหตุทั้งปวง. ....
    โลภ. โกรธ หลง. ตัณหา ล้วนมีของมันตามธรรมชาติ ไม่มีใครดับมันได้ คำว่าดับที่บรูพาจารณ์ทั้งหลายใช้กันนั้น ท่านสื่อถึงสิ่งนี้คือมันมีแต่ทำอะไรไม่ได้เสมือนไฟ ถ้าเราเอาฟืนที่เตรียมใส่เข้าไป นั้นไปทิ้ง ไฟมันจะดับรึ ถ้าเราดับไฟ. ไฟมันจะเผาเราทันทีเราต้องเอาเชื้อไฟนั้นออกมาทีละอันจนหมด มันก็หมดไฟเพราะหมดเชื้อในการเผา แล้วฟืนที่ติดไฟอยุ่มันก็ยังร้อนตามธรรมชาติ จริงใหมครับ. แต่ความร้อนนั้นไม่สามารถทำร้ายเราได้แล้วจนกว่าขันธ์จะดับ นั้นคือจบทุกสิ่งตามกาล
    หวังว่าท่านจะเข้าใจนะครับ ....
    ป.ล.ผมแค่ชี้นะครับ. ท่านต้องพิจารณาเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2015
  15. kingooo

    kingooo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +3
    อนุโมทนา สาธุ เพิ่มศัทธา เติมใจ ให้ มีแรงต่อ
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =================

    สาธุครับ ท่านเข้าใจได้ถูกต้องแล้วครับ ปัญหาของเราเราแก้ปมออกหมดแล้ว เราทำลายเชื้อไฟลงได้หมดแล้ว มันดับลงแล้ว เราย่อมรู้แจ้งของเราเฉพาะตน สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นกระจ่างชัด ถูกต้องแล้วครับ

    ปัญหาของคนอื่นก็คือเรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องข้างนอก มันนอกกายนอกใจ มันเป็นธรรมดา ไม่มีสิ่งใดให้เรายึดมั่นทั้งภายนอกภายใน มันเป็นความไม่เที่ยง เป็นธรรมดาเช่นนี้เสมอครับ

    เมตตาและพรหมวิหารธรรมที่เรามีจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสงเคราะห์ผู้อื่นตามกำลัง

    กำลังในที่นี้คือกำลังของเราและกำลังของเขา คือวาสนาบารมีของเราและของเรา สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้หรือไม่ มีบุญสัมพันธ์สืบเนื่องกัน อย่างไร ขอให้เราทบทวนสิ่งต่างๆให้รอบคอบและขอให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงดีงามครับ สาธุ
     
  17. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ท่านครับ ธรรมดาของโลกมันเป็นของมันยังนี้ เรายอมรับใหม
    ธรรมดาของโลกมันไม่มีอะไรได้ดังจิตเราทุกอย่าง เรายอมรับใหม
    ธรรมดาของทุกสรรสัตว์ มันเป็นของมันอย่างนี้ เรายอมรับไหม
    ธรรมดาของจิตทุกดวงจิตมันไวมาก มันมีทิฏฐิมานะ อัตตา เรายอมรับไหม
    ท่านครับ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติของมัน
    ผมทำหน้าที่แค่ทดแทนคุณแผ่นดิน คุณพระพุทธชินสีห์เจ้าเท่าที่กำลังมีเพื่อส่งมอบสู่รุ่นต่อๆไปก็แค่นั้นครับ
    ผมหายไป บังเอิญบุญวาสนาส่ง จึงได้พบผู้ทรงคุณ พระคุณเจ้าชี้ทางจนผมหายสงสัยแล้ว ที่นี้ก็เหลือแต่กำลังสติและปัญญาจะไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น เราต้องจากกัน แน่นอน แต่ในขณะที่ยังอยุ่ด้วยกันแสดงว่ามีสัญญาต่อกันก็หมั่นทำดีต่อกันเข้าใว้ เวลาจากจะได้ไม่เสียดายว่าไม่เคยทำดีต่อกันเลย จริงไหมครับ5555
    ผมไม่มีอะไร มีแต่ปัญญาวิมุติ ผมมาไกลได้ขนาดนี้ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ครับ
    ผมเป็นลูกที่ตามเสด็จพ่อ และผมมีแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติหน้าไม่มีผมอีกแล้ว อาจจะมีใครก็ไม่รุ้แต่ไม่ใช่ผมแน่ เฉกเช่นชาติที่แล้ว ผมคนนี้เป็นใครก็ไม่รุ้ เมื่อผมมาถึงจุดนี้ได้ ก็แค่ใช้ปัญญาอึกนิดเดียวก็จบกิจแล้ว พระคุณเจ้ายังไม่บอกท่านรอให้ถึงเวลาก่อน อาจจะให้อินทรีย์แก่กล้าขึ้นอีกก็ได้ครับ ที่ผมกล้าแสดงธรรมนั้น คือธรรมที่ออกจากจิต มิต้องอ้างอิงใดๆ มันไหลออกมาเองตามครรลองของมัน ผมกล้าประกาศแผ่สุรเสียงทั่วทั้งภิภพจบแดน นี่คือธรรม ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาชี้ให้เหล่ามนุษย์และเทวดาปฏิบัติตาม. ผมพบแล้ว มันลึกและกว้างอย่างพิศดาร. ผมจะพยายามถ่ายทอดเท่าที่จะชี้ได้ ให้คนได้ใช้สติปัญญาพิจารณาเอาเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2015
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    อรหันตบุคคล หรืออริยะบุคคล เขาล้วนมีสติปัญญาแยกแยะเสมอ เขาไม่มัวไปยึดติดกับสิ่งต่างๆที่ปรุงแต่งจิตให้เสียเวลา เหมือนที่เคยเป็นมาหลายภพชาตินับไม่ถ้วน

    เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราเรียนรู้จดจำความเป็นไป สัจจธรรมต่างๆ เราเห็นความไม่เที่ยง ธรรมดา เราเห็นความเป็นอนัตตา เราเห็นความไม่มีในเราในเขา
    เมื่อไม่มีในเราในเขา ก็ไม่มีอะไรให้ยึดให้จับ มันก็ไม่มีทุกข์หรือสุขให้ยึดให้จับ เป็นของเราหรือของใคร

    เมื่อเป็นเช่นนี้มันก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรให้ปรากฏว่ามีหรือไม่มี ก็เท่านั้น โลกธรรมแปด ก็ทำร้ายเราไม่ได้ อะไรก็ทำร้ายปรุงแต่งเราไม่ได้

    เมื่อสติปัญญาเรามั่นคงซื่อตรง รู้เท่าทันทุกขณะจิต นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องฝึกฝนชำระอยู่เสมอ มารไม่มีบารมีไม่เกิดย่อมเป็นเช่นนั้นจริง ที่จริงคือเพราะเราได้พิสูจน์จิตของตนที่เป็นไปว่ามีสภาวะเป็นอย่างไร ถ้ายัง โลภ ยังโกรธ ยังหลง ยังมีอัตตา ยังมีความยึดมั่นถือมั่น ยังไหลปรุงแต่งไป ย่อมแสดงว่าเรายังฝึกมาไม่ดีพอ แต่ถ้าเราสอบผ่าน เราย่อมสงบนิ่งว่างเปล่าปล่อยวางได้ทันทุกขณะจิต อย่างนี้ถือว่าทำมาถูกต้องแล้ว

    ไม่มีใครมาสอนเราได้ดี เท่าที่เราจะต้องสอน อบรมตนเอง ด้วยตัวเราเองด้วยสติปัญญาของเราเอง ขอทุกท่านพึงไม่ประมาทในการอบรมชำระจิตของตนให้ขาวโดยรอบสะอาดบริสุทธิ์ครับ สาธุ
     
  19. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ยอมรับความจริง ทั้งหมดนี้คือสมมุติ นำตนให้เข้าใจ นั้นคือการออกจากสมมุติ
    แต่มันจะเจ็บปวดจากการออก. เสมือนหยิบฟืนออกจากกองไฟ เราตัองทนพิษร้อนแห่งไฟที่แผดเผา เราทนได้รึไม่? การทิ้งลุก.-เมียอันเป็นที่รักยิ่ง การทิ้งทุกสรรสิ่ง เราทนได้ไหม สุดท้ายเราจะไปเพียงลำพัง.ไปอย่างมิหวลคืนมาสุ่ที่เดิมอีกตลอดกาล
    ยอมรับมัน กาย. เวทนา จิต. ธรรม. ต่างก็ทำหน้าที่ของมันตามธรรมดา มันไม่ขึ้นตรงต่อกันและกัน และไม่ขึ้นตรงต่อใคร.
    เมื่อเข้าใจมันก็สว่าง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงรวมเป็นหนึ่งเดียว สิ่งที่เห็น สิ่งที่รุ้ มันเห็นมันรุ้จริง แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่จริง. ท่านมีปัญญาที่พร้อมแล้วลองพิจารณานะครับ แล้วจะหายสงสัย หมดการยึดต่างๆ จึงหมดภพ หมดชาติ แม้แต่ความจริงที่ประจักษ์ก็คือความจริงในสมมุติ ส่วนความจริงที่แจ้งนั้นคือธรรมดา. ธรรมดาที่แค่ดู ไม่เกี่ยวไม่ข้องปล่อยให้มันเป็นไปตามวาระ ตามครรลองของมัน ตามวิบากของมัน
    มีผุ้รุ้ เราแค่ผู้ดุเท่านั้นดุมันรุ้ ดุมันไปอย่ายึดว่าเรารุ้ แค่นั้น ปกติจะจบที่รุ้ แต่ความจริงยังมีผุ้ดุอีก ดูมันรุ้ มันจะรุ้ทุกอย่างจนหลงในตัวตนของมัน ต้องถอยออกมาเป็นผุ้ดุ มิใช่รุ้วางมันไม่วางหรอกมันยึดตลอดเวลาที่รุ้มันยึดว่ามันวาง แต่ผุ้ดุมันแค่ดุผุ้รุ้ทีนี้มันจึงรุ้ว่าจริงๆแล้วไอ้รุ้นี่แหละคืออัตตาที่ซ่อนทับซ้อนตัวมันเองจากหยาบๆไปจนละเอียด มันแสดงทั้งหมดตามที่มันรุ้ ผมเองเพิ่งค้นพบมันหลังจากที่พระคุณเจ้าบอกจึงเข้าใจทั้งหมดครบรอบของมัน
    ผมมีนิทานมาเล่าครับ. ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ผมรักมันมาก ผมทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ ผมปรนเปรอมันอย่างชนิดทุ่มสุดความสามารถ ผมคบมันมานานมาก ไม่รุ้ว่าตั้งแต่เมื่อไร จนวันหนึ่ง ผมถึงเข้าใจมัน มันหลอกผม มันหลอกผมมาตลอดเวลา แล้วท่านคิดว่าผมรุ้ว่ามันหลอกผม ผมจะกลับไปคบมันอีกไหมครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2015
  20. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ผมเล่านิทานให้ฟังนะครับ
    นาย ก ถาม ธรรมมะมันอยุ่ที่ไหนครับ
    พ.อ.จ. ตอบ ธรรมมะมันก็อยุ่ที่จิตนั้นแหละ
    นาย ก ไม่จริงครับผมตามหาธรรมมะมาตลอดชีวิตไม่เคยเจอเลย. แล้วมันมาอยุ่ที่ใจตั้งแต่เมื่อไรครับ
    พอจ แล้วเคยหาที่ใจรึยังละ ต้นไม้นี่มีไหม?
    นาย ก มีครับ ก็ตาเห็นอยุ่ว่านี่ต้นไม้
    พอจ แล้วลองเอาลุกตาออกสิมันไม่เห็นแล้วต้นไม้ยังมีใหม?
    นายก มีสิครับคนตาบอดก็ใช้มือคลำๆก็รุ้ว่าเป็นต้นไม้
    พอจ ตกลงตาเห็นต้นไม้ แต่กายไม่มีตาแล้วมันจะเห็นต้นไม้ได้ไง มันใช้คลำๆก็รุ้ว่าต้นไม้ แล้วตกลง เป็นตาที่เห็นรึกายที่คลำรุ้ แล้วคนตายละมันเห็นรึคลำต้นไม้ได้ไหม?
    นายก คนตายมันไม่มีจิต รึนาม มันไม่สามารถทำอะไรได้ครับ
    พอจ ตกลงจิตนี่เห็นรึตารึกายเห็น ?
    นายก จิตเห็นครับ
    พอจ ...ยังไม่ถุก จิตก็ไม่เห็นอยุ่ดี
    นายก. มันยังไงกันแน่ งง เป็นไก่ตาแตก. พอจช่วยชี้ทีครับ
    พอจ ความจริงต้นไม้มันไม่มี ที่มีคือตาไปเห็นและจิตไปยึดว่านี่ต้นไม้ รึกายไปคลำแล้วจิตก็ไปยึดว่านี่คือต้นไม้ ต้นไม้มันเลยมี จิตมันอาศัยอายตนะเป็นทางเชื่อมให้มัน และอาศัยรุป มันจึงเป็นที่ประชุมกัน.ให้มีต้นไม้ จิตจึงยึดว่านี่ต้นไม้ หากไม่มีอายตนะแล้ว ต้นไม้มันไม่มีมันเป็นอากาศ เมื่อกายแตกดับ สัญญามันจะจำแค่ที่จิตมันยึดเท่านั้น ที่นี้กาลหนึ่งมันเป็นเมือง เหล่าอากาศวิญญาณที่กายแตกในกาลนั้นมันก็คือเมือง มันไม่ใช่ป่าไม้เช่นปัจจุบัน ต้นไม้จึงไม่มีสำหรับเค้า สำหรับเค้าที่นี้มีแต่เมือง ส่วนเราเมืองไม่มี มีแต่ต้นไม้เพราะมันอยุ่ในกาลนี้ มันจึงแตกต่างกัน จิตก็จะยึดว่านี่ต้นไม้ เมื่อกายเราแตก ณ เวลานี้ที่นี้ก็จะเป็นป่าต่อไปอีก100ปีที่นี้เป็นเมืองใหม่แล้วจิตมันก็ยังยึดว่าป่าอยุ่ดีเพราะจิตมันไม่มีรุปที่มีอายตนะในการผัสสะ มันจึงยึดเท่าที่สัญญามันเคยมี เท่านั้น
    นายก ตกลงต้นไม้มันมี รึไม่มี คับอาจารณ์
    พอจ. ต้นไม้มันมีมันก็ยึด มันไม่มี มันก็ยึด. ธรรมที่อยุ่ในจิตที่แจ้งธรรมนั้น
    มันมีก็วางไม่ยึด มันไม่มีก็วางไม่ยึด มันจึง มีก็มี ไม่มีก็ไม่มี มันมีเพราะมีเหตุมีปัจจัย ให้มันมี มันไม่มีเพราะเหตุปัจจัยให้มันไม่มี นี่คือธรรมที่แจ้งแทงตลอดที่จิต เข้าใจรึยัง
    นายก. งงๆๆๆๆ ตกลงต้นไม้มันมีรึไม่มี แล้วท่านละท่านว่าต้นไม้มันมีรึไม่มี ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...