กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    พูดย่อๆพอเข้าใจ

    การฝึกสมาธิ ที่ใช้วัตถุภายนอกช่วย (กสิณ แปลว่า วัตถุอันจูงใจ) เริ่มต้นจะต้องมีวัตถุนั้นๆก่อน คุณจะฝึกสมาธิโดยใช้กสิณน้ำ (อาโปกสิณ) คุณก็ต้องเอาน้ำใส่ภาชนะมา (ไม่ใช่ไปน้่งนึกอย่างนั้น นั่นแหละสาเหตุตึงที่หน้าผาก และกับจะอ้วก) แล้วก็บริกรรมภาวนา แล้วก็ลิมตาเบาๆมองน้ำในภาชนะนั้น พร้อมบริกรรมภาวนาในใจว่า "อาโปกสิณังๆๆๆๆๆๆๆๆ"

    ถ้าเป็นวงกสิณที่ทำด้วยดิน ก็บริกรรมภาวนาในใจว่า "ปฐวีกสิณังๆๆๆๆๆๆๆ" ไปร้อยหน พันหน หมื่นๆหน จนภาพกสิณติดตาติดใจ หลับตาก็เห็น ก็เลิกใช้วัตถุนั้นหันมาเพ่งภาพที่ติดใจนั้นแทน พร้อมบริกรรมไปด้วย ฯลฯ
     
  2. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    คือผมอาจจะพิมพ์ไม่ครบครับ ผมก็ใส่ภาชนะโดยใส่ถ้วยแก้วใส่ แล้วไอ้ที่คุณอธิบายมามันเหมือนกับกางตำรา บลาๆๆๆ มองแล้วภาวนา ฯลฯ ใครๆมันก็รู้แหละ ผมเลยเจาะจงถามคุณนพไงครับ .... ผมว่าพี่นพเขาปฏิบัติได้จริง ทำได้จริง

    ปล.ถ้าคุณของจริง ลองทำให้ผมเชื่อสิครับ เอาแบบทำให้รู้ได้ เพราะผมก็มือใหม่...จะเชื่อในสิ่งที่เห็นสัมผัส หรือ เชื่อในการอธิบายทำที่เข้าใจ ผมไม่ค่อยเชื่อแบบคุณครับ

    ขอโทษครับ ผมมันคนแรงๆ เพิ่งเข้าสายธรรมไม่นาน แต่คนปฏิบัติธรรมระดับคุณคงไม่ถือสาอะนะ
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    แนะๆของเขาแรงจริงๆ คิกๆๆ

    [​IMG]




    คุณดูตรงไหนว่าคุณนพเขาปฏิบัติได้ และทำได้ ขอตัวอย่างตรงนั้นมาสิขอรับผม :d
     
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493


    ข้อความที่อ้างอิง ผมว่า คำแนะนำของคุณนพผิด คุณ VaLentine เชื่อผมไหมขอรับ :d
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    เด่วจะเล่าอะไรให้ฟังนะครับ ถ้าใครสงสัยอะไรก็ให้ลองก๊อบลิงค์ มาจากดิน
    ที่อยู่ใต้คำตอบ คนนี้ดูครับ
    แล้วเข้าไปดูเวปที่เค้าดูแลอยู่ดูนะครับ พวกนี้ประหลาดอย่างหนึ่ง คิดประมาณว่า
    การปฏิบัติเนี่ยจะมาอ่านมากางตำราสอนคนอื่นๆได้..พวกนี้ชอบพูดแต่การปฏิบัติ
    ระดับที่สูงๆนะครับ ใครก็ตามนะครับ ที่เคยโทรมาคุยกับผม ที่ผมเคยปั่นพลังงาน
    กสิณให้สัมผัสบนมือนะครับ หรือใครก็ตามที่ผมเคยพาฝึกเชื่อมกระแสพลังงาน
    กับพระพุทธรูปหรือครูบาร์อาจารย์ที่ท่านนับถือนะครับ..ลองเชื่อมกระแสจิต
    เจ้า มาจากดิน ดูนะครับ จะพบว่า ตรงหน้าอกมันจะมีกระแสวิ่งวนขวา
    อยู่ภายในร่างกายแบบแน่นๆบ่งบอกได้ว่าเป็นคนขี้อิจฉาริษฉาคนอื่นๆ...
    ขนาดจิตไม่มีความเป็นทิพย์ และฝึกกสิณไม่เคยได้ซักกองไม่รู้จักพลังงาน
    กสิณซักกอง

    เจ้านี่มันยังโชว์ความไม่ฉลาด เอากิริยาทางจิตแบบที่
    คนฝึกกสิณเค้าใช้เวลาวินาที สองวินาที เค้าทำได้ เอาไปพูด เอาไปโชว์
    ในกระทู้ห้องอภิญญาสมาธิ เหมือนกับว่า ไอ้คนนั้นมันสูงส่ง เพราะเจ้านั้น
    มันพูดคุยกันในเวป ของเจ้านี่ คือพยายามจะโม้ว่า เจ้านั้นเก่งโคตรๆ
    ผมเลยประกาศท้าไปเลยว่า ให้หาคนแบบเจ้านั้นมาอีกซัก ๑๐ คนก็ได้
    ให้มาเจอกันเลย แล้วมาวัดกันเลยเรื่องพลังงานกสิณกองต่างๆ มันเงียบกริ๊บ
    หลายๆคนที่ผมเคยพอสัมผัสคง พอเข้าใจนะครับว่า กสิณดิน กับกสิณไฟ
    ที่เรียกขึ้นมาให้ท่านสัมผัสบนมือได้ มันมีความรู้สึกอย่างไร...
    ให้ท่านคิดดูว่า ถ้าย้ายพลังงานกสิณกองพวกนี้ให้ไปขึ้นที่
    ส่วนอื่นๆในร่างกายแทน เช่น เส้นเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงสมอง
    เส้นเลือดที่บริเวณหน้าฝาก ผลจะเป็นอย่างไร ก็คิดๆเอาเองนะครับ..
    ส่วนตัวจึงบอกเสมอว่า กว่าจะใช้งานแบบแค่พอยอมให้ใช้
    กว่าจะผ่านการทดสอบการใช้งานจากทางภพภูมิ
    ประมาณ ๒๐ กว่าครั้ง คิดว่าคงพอจำที่พูดกันได้..
    และพลังงานในกระโหลกศรีษะ มาจากดิน
    คนนี้จะมีพลังงานวิ่งวนอยู่ใต้กระโหลกศรีษะส่วนบนแต่ไม่คุมลงไปท้ายทอย
    และมีกระแสพลังงานหน่วงๆตรงกลางระหว่างคิ้วไปรวมกับพลังงานใต้
    กระโหลกตรงนี้ร่วมด้วยครับ

    บ่งบอกได้ว่า เป็นพวกที่พยายามจะเข้าถึงเรื่องพิเศษต่างๆ ทางจิตด้วยการใช้
    การคิด การวิเคราะห์ การใช้ตำรา...
    ซึ่งถ้าให้คนอย่างนี้มาสอนมาแนะนำใคร ฝึกชาตินี้พวกคุณ
    คงไม่มีทางสำเร็จ จะสามารถฝึกสำเร็จได้แต่ว่าคงอีกหลายสิบชาติครับ...
    แต่ถ้าใครที่กระแสอย่างนี้แล้วไปฝึกกสิณต่อ และไม่ปรับเปลี่ยน
    ระบบหายใจใหม่ อย่างที่เจ้านี่พยายามจะมาดิสเครดิสผม
    อยู่ใน #Rep ล่าสุดนะครับ ส่วนตัวประกันได้เลยว่าสมองจะพัง
    และถ้ายังฝืนฝึกต่อไป โดยไม่ปรับระบบหายใจใหม่
    ร้อยละร้อยประกันได้เลยว่า จะเพี้ยน เสียสติ และวิปลาสแน่นอนครับ..


    เพราะตัวเจ้า มาจากดิน เนี่ยในสภาวะอารมย์ครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือสภาวะความเป็นทิพย์
    หรือสภาวะที่คนเค้าเห็น นามธรรมได้เนี่ย
    ในระดับที่คนไม่ต้องฝึกสมาธิเค้าก็สัมผัสได้ คนที่มาทางสายวิชาพิเศษที่สอนโดย
    หลวงพ่อมีชื่อ ที่เป็นมูลเหตุก่อตั้งเวปพลังจิตนี้ขึ้นมา เค้าจะสัมผัสได้เป็นปกติ
    ส่วนตัวเคยไปพยายามอธิบายแล้ว อธิบายอีก หลายบทความมาก
    (คือไอ้นี่มันเป็นแนวๆแกล้งหลอกถามแบบคนไม่จริงใจ มันถามไม่อยากรู้หรอกครับ
    มันถามเพื่อที่มันจะแทรกตำราที่มันรู้เพื่อมาถับถมคนอื่นๆเค้า กมลสันดาน
    เจ้ามาจากดินมันจะประมาณนี้ ถ้าไม่เชื่อ ไปย้อนอ่านข้อความที่มันถามคนอื่นๆ
    ในห้องอภิญญาสมาธิดูได้ครับถ้าว่างนะครับ)และเค้าก็ บอกว่าเป็นอย่างนี้เอง
    แต่เชื่อผมได้ ว่า มาจากดิน ก็ยังไม่รู้เรื่องและสัมผัสได้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ครับ..


    มูลเหตุอีกอย่างนะครับไอ้พวกต่างเวปนะครับ
    ที่มันเข้ามาให้ห้อง อภิญญาสมาธินะครับ ไอ้พวกนี้มันไม่ได้นับถือ
    ลพ.มีชื่อทางวิชาพิเศษนะครับ..สังเกตุได้ถ้าเราบอกให้มันไปอ่าน
    เรื่องกรรมฐานพิเศษต่างๆ ที่อยู่ทางขวามือของพวกเราในห้อง
    อภิญญาสมาธิ มันจะทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็นครับ..เพราะอะไรนั่นหรือครับเพราะ
    ไอ้พวกนี้มันจะไปตั้งเวปศาสนาของมันขึ้นมาเองมันพยายามจะหาสาวก
    และเวลามันเขียนบทความแต่ละอย่างเนี่ย
    มันเอามาจากตำราล้วนๆทั้งนั้นหละครับ


    บางกลุ่มก็เข้าเวปนี้แล้ว อุปโลกตัวเองว่าบรรลุระดับโน้น ระดับนี้
    แรกๆโสดาฯก่อน พอโดนจับได้ ไปสกิทาฯ แล้วไปอนาคาฯ
    แล้วมันก็จะหายไปพักใหญ่ สุดท้ายก็มา บ่นพร่ำเพ้อประมาณ
    ว่าตัวเองบรรลุโน้นนี่ พอโดนคนเค้าแย้งที่มันเคยอุปโลกตัวเอง
    พวกนี้ก็จะไม่ยอมรับครับ ทั้งๆที่ตัวเองเขียนไว้เองกับมือตัวเอง
    พวกท่านทั้งหลายว่า พฤติกรรมพวกนี้มันแปลกๆไหมหละครับ ๕๕๕๕

    และชอบเอาตำรามาแบบตัดทอน มันคงเข้าใจว่าคนที่ปฏิบัติเค้าต้องอ่าน
    ตำราอย่างเดียว มันคงคิดว่าคงต้องจบ ดร.ทางตำราถึงจะบรรลุ ถึงจะมาถูกทาง
    อย่างที่พวกมันเข้าใจครับ..คงคิดว่าสภาวะความเป็นทิพย์จากการปฏิบัติ
    คงหาเปิดจากตำราได้ ๕๕๕๕ .มันก็เลยมามุขแบบที่พยายามจะอัพเดทตัวเอง
    ให้ดูเหมือนกับว่า ตัวข้านี่หละเจ๋งโคตร ตัวข้านี่หละภูมิธรรมสูงส่ง..
    และพยายามดิสเครดิสคนอื่นๆ มันดิสก็เพื่อที่จะยกตัวเองทั้งนั้นหละครับ....
    และมันก็จะไปพยายามไปตั้งกระทู้แสดงธรรมมะต่างๆ สังเกตุได้ระดับพื้นๆเนี่ย
    มันจะไม่พูดหรอกครับ มันจะเอาแต่ธรรมระดับสูง เพื่อให้คนที่เข้ามาอ่านใหม่ๆ
    เข้าใจว่า มันคงผู้บรรลุธรรมขั้นสูง อะไรประมาณนี้....
    แต่มันคงลืมไปว่า คนที่เค้าเข้ามาอ่าน ว่าใครเป็นอย่างไร
    คนอ่านเค้าดูกันออก ใครปฏิบัติได้จริง
    ขนาดในกระทู้นี้ เค้าบอกว่า มันกางตำรามาสอน
    เพราะเค้าอ่านข้อความที่มันเขียนเค้าก็รู้แล้ว...
    มันยังไม่ยอมรับเลยครับ ทั้งๆที่มันไม่มีความสามารถทำได้...
    และก็ยังพยายามมาดิสเครดิสคนที่แนะนำอีกต่างหาก หลายๆท่านและ
    ท่านผู้ชมทั้งหลาย คงคิดไม่ถึงว่า คนอย่างนี้จะมีอยู่จริงๆใช่ไหมครับ ๕๕๕๕

    และเรื่องอย่างนี้เค้าไม่มาโม้ มาพูดกันหรอกครับว่าทำได้หรือไม่ได้
    เค้าดูที่การอธิบาย การสอน เค้าก็ดูออกแล้วครับ..
    ส่วนการที่จะแสดงให้ใครรับรู้ได้ มันแล้วแต่วาระ
    ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากอะไร หลายๆคนที่โทรมาคุย
    เค้าก็รับรู้ได้ สัมผัสได้ แต่ส่วนใหญ่เค้าจะไม่เอามาคุย
    เอามาขี้โม้ เพราะเค้าไม่ใช่คนหลงตัวเองครับ..
    มีแต่พวกมันหละครับที่ดูไม่ออก เพราะอะไรนะหรือครับท่านผู้ชมเพราะว่ามัน
    มัวแต่ไปค้นตำรา ไปหาในกูเกิลอยู่นั่นหละครับ
    เลยเป็นที่มาการสอนของวลีเด็ด"พูดย่อๆพอเข้าใจ''
    เพราะพูดมากกว่านี้ไม่ได้เพราะว่ามันคิดไม่ออก
    ว่าจะพูดอะไรนั่นหละครับ ๕๕๕ เพราะตัวเองไม่ผ่านการปฏิบัติมา
    ยังไม่ถึงระดับที่ใช้งานได้ แต่ว่าอยากจะโชว์หล่อ
    โชว์เท่ห์นั่นหละครับท่านผู้ชมทั้งหลาย.. ๕๕๕๕๕๕๕๕

    ปล.ประมาณนี้หละครับ ขำๆ
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    รอคำตอบอยู่นะครับ


    ข้อความที่อ้างอิง ผมว่า คำแนะนำของคุณนพผิด คุณ VaLentine เชื่อผมไหมขอรับ

    ปล.ที่ว่า "ผิด" คือ ผิดจากหลักของพระพุทธศาสนานะ ผมจะยึดพุทธศาสนาเป็นหลัก
     
  7. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    สอบถามครับ

    ตามปรกติเวลาสวดมนต์ไหวพระจะเห็นดวงแสงเล็กๆ เหมือนดาวบนฟ้าดวงเล็กๆมากๆ ผุดขึ้นมากลางอากาศให้เราเห็นเองได้ประมาณ 1 วินาที ก็ค่อยๆจางลงและกลับเป็นจุดดำๆตรงบริเวณที่มีแสงเล็กๆนั้นเกิดขึ้นมาอีก 1 วินาที แล้วก็จางหายไป แสงที่ผุดขึ้นมาเองจะเห็นสองสีคือ สีเหลืองอมขาวสว่างจ้าคล้ายดวงดาวดวงเล็กๆมากๆ และสีน้ำเงินเข้มเหมือนพลอยเด่นชัดแต่ไม่มีประกาย แว๊บขึ้นมาให้เห็นบ่อยครั้งเวลาสวดมนต์บูชาพระ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้คิดจะรู้จะเห็นอะไร แต่ถ้าผุดขึ้นมาให้เห็นแล้วถ้าเราหันสายตาไปมองตรงๆจะดับแสงทันที เราก็ทำแบบไม่รู้ไม่ชี้ก็จะสว่างจ้าให้เห็น 1 วินาที แล้วก็ค่อยดับแสงลงอย่างที่บอก

    แสงแปลกๆพวกนี้ที่ผุดขึ้นมาเองนี้คือแสงอะไร มาให้เห็นเพื่ออะไร มีประโยชน์อะไรกับการปฏิบัติธรรมของเราบ้างครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    แสงขนาดเท่าหัวหมุดที่คุณ เกาะนิพพานเห็นนั้น มันมีเอกลักษณ์
    ตรงที่มีความสว่างในตัวเองครับ เป็นวงกลม เวลาที่เราหันไปมองนั้นมันก็จะหายไป
    และสามารถเห็นได้ทั้งตอนลืมตาและก็หลับตาครับ
    การที่ใครก็ตามสามารถที่จะเห็นแสงลักษณะนี้ได้ โดยนัยยะก็คือ
    ตัวจิตเรามันสามารถทำงานได้ ด้วยแสงนำทางครับ ตัวจิตปกติมันจะทำ
    งานได้ในทางความเป็นทิพย์ จะมี ๒ อย่างคือ แสงนำทางและก็เส้นสายนำทาง
    ซึ่งก็แล้วแต่นักปฏิบัติครับ บางคนก็เห็นได้ทั้งสองอย่าง หรือบางคนก็เห็นได้อย่างใด
    อย่างหนึ่ง...
    และแสงพวกนี้ก็คือ ดวงจิตนั่นหละครับ ถ้าสังเกตุต่อไป บางทีจะขนาดเท่ากับหัว
    ไม้ขีดไฟ แต่เอกลักษณะก็ยังเหมือนกัน คือ ถ้าหันไปมองแล้วจะหายครับ
    อารมย์สมาธิในระดับนี้ เราเรียกว่า สมาธิเล็กน้อยครับ ถ้าจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ
    แสงที่เราเห็นนี้จะปรากฏได้นานขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยหาย แต่ถ้าจิตเราเข้าถึง
    ระดับปฐมฌานได้นะครับ แสงพวกนี้ถึงจะอยู่คงค้างได้นาน
    ย้ำว่า เป็นลักษณะที่จิตทำงานได้เมื่อเห็นแสงครับ และก็จะเห็นได้ใน
    ระดับอารมย์ไม่มาก หรือในสภาวะลืมตาปกติทั่วไปครับ
    ถ้าลองได้ไปวัดในวันสำคัญๆแล้วเราไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลดูนะครับ
    ยิ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ บางที่เราจะเห็นแสงอย่างนี้ได้จนมืดฟ้ามัวดินก็มีครับ..
    และสีที่เราเห็นบ่งบอกถึง การสะสมบารมีทางจิตมาทางด้านนั้นๆ เช่นสีขาวเป็น
    สีที่บอกว่า ดวงจิตนั้นสะสมหรือเด่นทางด้านปัญญา สีน้ำเงินมาทางสมาธิ สีม่วงมา
    ทางกำลังจิต สีเขียวมาทางรักษาโรคและป้องกันตัว สีทองมาทางพลังงานภายนอก
    อะไรประมาณนี้ครับ...
    แต่แสงพวกนี้เราไม่ต้องสนใจนะครับ เพราะว่าพวกนี้เป็นเพียงกิริยาเริ่มต้นเท่านั้นครับ
    ประโยชน์ก็คือ ใช้ตรวจสอบระดับสมาธิเราได้ และถ้าเราไม่สนใจต่อไปเราจะเห็น
    ได้อีกหลายสี รวมทั้งพัฒนาเห็นดวงจิตได้ขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆได้ของมันเอง
    วาระที่มันมีประโยชน์ประมาณที่เล่าให้ฟังครับ ต่อไปแสงแบบนี้ หลับตาแค่วินาที
    ก็จะมองเห็นได้เป็นปกติครับ

    ประมาณนี้ครับ
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    แสงสีระยิบระยับ...ดังว่า มันเป็นเครื่องหมาย (= นิมิต - โอภาส) บอกให้รู้ว่า สภาพจิตผู้ถามเริ่มมีสมาธิบ้างแล้ว (สมาธิ ซึ่งเกิดจากการสวดมนต์นั่นแหละ)


    นี่เป็นธรรมดาของมัน อยากได้ จะไม่ได้ อยากเห็นจะไม่เห็น หมดอยากก็ได้ก็เห็น (เห็นแล้วก็ไม่ควรยึดติดถือมั่น รู้ว่ามันเป็นยังงั้นแล้ว จบข่าว)
     
  10. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    พอจะมีวิธีพิสูจน์ทราบไหมครับว่า จิตเรามีของเก่าพวกกสินต่างๆ อภิญญาต่างๆ ญานต่างๆ ที่สั่งสมมาบ้างหรือเปล่าครับ หรือว่าจิตเราไม่มีทิพย์พิเศษอะไรติดตัวมาเลยเหมาะสำหรับด้านสุขวิปัสโกล้วนๆอย่างเดียวครับ

    วิธีทดสอบตัวเองว่าดวงจิตเราเหมาะแก่การปฏิบัติไปตามสายไหนที่สุด สุวิปัสโก เตวิชโช ฉลภิญโญ แบบง่ายที่สุดทำอย่างไรครับ

    และอย่างผมนี่ชาตินี้พอจะถอดจิตไปสวรรค์นิพพานได้กับเขาไหม คือผมได้อ่านเรื่องราวของคนที่ทำมโนมยิทธิได้แล้วถอดจิตไปนิพพานได้ผมละอิจฉาเขาจริงๆ พอตนเองจะมาทำบ้างก็วาสนาไม่พออีกละเพราะเสือกมาเกิดภาคเหนือตอนบนซะงั้น ที่ใกล้ๆวัดท่าซุงกับไม่ได้เกิด ลำพังจะหาครูสอนวิชาสายหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงที่ไหนก็ไม่มีเลยแหละแถวนี้ ส่วนใหญ่แถวบ้านจะเป็นวัดบ้านที่ไม่ปฏิบัติกรรมฐานอะไรกันเลย ถามใครก็คงจะไม่ได้คำตอบอะไร ครั้นจะไปเรียนวิชาถึงวัดท่าซุงก็เห็นคงจะไม่ไหว เงินทองไม่อำนวยอวยพรเลย พอจะมาปฏิบัติเองก็อย่างว่า งมเข็มในจักรวาลชาตินี้ทั้งชาติก็คงจะได้แต่งมเรื่อยไป ผมจะทำอย่างไรดีให้สามารถถอดจิตถอดไปไหนต่อไหนได้เหมือนลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีที่เขาทำได้เป็นแสนๆล้านๆบ้างครับ
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มิถุนายน 2015
  11. THE_NOP

    THE_NOP Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +33
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เกาะนิพพาน อ่านข้อความ
    สอบถามครับ

    ตามปรกติเวลาสวดมนต์ไหวพระจะเห็นดวงแสงเล็กๆ เหมือนดาวบนฟ้าดวงเล็กๆมากๆ ผุดขึ้นมากลางอากาศให้เราเห็นเองได้ประมาณ 1 วินาที ก็ค่อยๆจางลงและกลับเป็นจุดดำๆตรงบริเวณที่มีแสงเล็กๆนั้นเกิดขึ้นมาอีก 1 วินาที แล้วก็จางหายไป แสงที่ผุดขึ้นมาเองจะเห็นสองสีคือ สีเหลืองอมขาวสว่างจ้าคล้ายดวงดาวดวงเล็กๆมากๆ และสีน้ำเงินเข้มเหมือนพลอยเด่นชัดแต่ไม่มีประกาย แว๊บขึ้นมาให้เห็นบ่อยครั้งเวลาสวดมนต์บูชาพระ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้คิดจะรู้จะเห็นอะไร แต่ถ้าผุดขึ้นมาให้เห็นแล้วถ้าเราหันสายตาไปมองตรงๆจะดับแสงทันที เราก็ทำแบบไม่รู้ไม่ชี้ก็จะสว่างจ้าให้เห็น 1 วินาที แล้วก็ค่อยดับแสงลงอย่างที่บอก

    แสงแปลกๆพวกนี้ที่ผุดขึ้นมาเองนี้คือแสงอะไร มาให้เห็นเพื่ออะไร มีประโยชน์อะไรกับการปฏิบัติธรรมของเราบ้างครับ


    อันนี้คุณก็บอกว่าเริ่มมีสมาธิ
    มาจากดิน
    สมาชิก


    มาจากดิน's Avatar

    วันที่สมัคร: Apr 2008
    ข้อความ: 2,752
    Groans: 27
    Groaned at 53 Times in 35 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 33
    ได้รับอนุโมทนา 3,343 ครั้ง ใน 1,195 โพส
    พลังการให้คะแนน: 460
    มาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant futureมาจากดิน has a brilliant future
    permalink
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ THE_NOP อ่านข้อความ


    1 ผมก็นั่งกรรมฐานจนตัวหาย ลมหายใจไม่มีเหมือน จขกท ครับแต่คำภาวนายังอยู่ ทำไมไม่เหมือนกับ จขกท ล่ะครับ (ผมภาวนากรรมฐาน 5 ครับ)

    2 เมื่อผมทำกรรมฐานมันก็จะเข้าไปตรงนี้ตลอด (ตัวหาย) บ่อยๆเข้า ตอนแรกมันจะเป็นความรู้สึกก่อนว่ามีก้อนกลมๆลอย อยู่กลางตัวเรา (ทั้งๆที่ไม่รู้สึกถึงตัวเราแล้ว) ต่อมามันเห็นเป็นดวงกลมๆ ลอยอยู่ สภาวะนี้คืออะไรครับ

    แต่ทุกวันนี้ทำไม่ได้แล้วครับเพราะขาดความเพียรทำบาง
    ไม่ทำบาง ก็อยากจะรู้ว่าคืออะไรขอบคุณล่วงหน้าครับ


    สภาวธรรม มีหลากหลาย คงไม่เหมือนกันเปะๆ หรอกครับ

    ตามที่เล่าข้อ 2 เป็นนิมิต (เครื่องหมาย) ที่บ่งว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิ (ขั้นเริ่ม) แล้ว

    คุณ NOP เดินทาง (ทางจิต) ถึงตรงนั้นแล้วหยุดภาวนา จิตก็ลดคุณภาพลง

    แต่ถ้าวันใดคุณเริ่มปฏิบัติอย่างเคยปฏิบัติอีก มันก็เดินทางถึงตรงที่ติดนั้นอีก ไม่เชื่อลองภาวนาติดต่อกันดูสักสองอาทิตย์สิครับ



    ตกลงอันไหนขั้นเริ่มกันแน่ครับ??????
    ผมว่าสภาวะข้อ2นี่คุณไม่รู้จักแน่ๆถึงตอบแบบนั้น
    อ้างอิงโพสเก่าทำไม่เป็นเลยต้องcopy-pasteแทน55
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2015
  12. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    พอจิตมันเริ่มนิ่งๆเป้นสมาธิเนี่ยมันสารพัด คือ ทั้งเห็น ได้ยิน คิกๆๆๆ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    2 ยูสเซอร์นี้

    คนๆเดียวกันหรือคนละคนกันครับ
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    คุณ VaLentine ออกตัวแรง แต่แผ่วปลาย ไม่พูดไม่จาเลยทีนี้ :cool:
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    มโนมยิทธิ แปลว่า สำเร็จด้วยใจ สำเร็จแต่ใจ คือว่า อยากไปไหนก็วาดมโนภาพนั่นนี่เอา

    ไปฝึกสมาธิบนสวรรค์กับหลวงปู่ - สภาวะ, สภาวธรรม - กรรมฐาน - Wunjun Group
     
  16. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    ขนาดผมทำมโนมยิทธิไม่เป็น แค่อ่านคำที่เขาเขียนขึ้นมานี้ ก็รู้เลยว่าคนๆนี้
    ไม่รู้จักวิชามโนมยิทธิจริงๆเลย คงไม่ต้องไปพูดถึงว่าเขาจะทำได้หรือเปล่าละน๊ะ!:boo:
     
  17. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    คำถามที่อยากทราบ
    คำตอบที่ได้(eek)

    "ท่านผู้รู้คนอื่นๆพอจะมีคำตอบอื่น ที่มีสาระและประโยชน์มากพอกว่าคำตอบนี้ไหมครับ ขอบคุณครับ"
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    คุณ เกาะนิพพาน ถ้าอยากทราบในรายละเอียด
    เรื่องแสงวงกลมที่เคยเห็นมาเพิ่มเติมถ้าว่างก็ให้
    ไปอ่านรายละเอียดตามชื่อกระชื่อข้างล่างนี้
    ตัวสีน้ำเงินนะะครับ เขียนไว้แรกๆน่าจะ ๓ ปีมาแล้วครับ

    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86-%E0%B8%82%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.347787/

    ที่นี้มาประเด็นวิธีตรวจสอบตัวเอง ว่าเราเคยมีของเก่า หรือกรรมฐานเก่าๆอะไรบ้าง
    ตลอดจนเรามีฌานอะไรมาบ้าง หรือมีความสามารถพิเศษทางด้านไหนมาบ้างในอดีต
    ในที่นี้ก็คือ ในอดีตชาติ หรืออีกภาษาหนึ่งก็คือ สัญญาเดิมที่เคยอยู่ในจิตเราดวงนี้
    มาก่อนที่มันจะมาอยู่กับร่างกายเรานั่นเองครับ....
    ประเด็นแรกโดยทั่วไปให้เราเปรียบว่าเราไม่รู้อะไรเลยนะครับ ให้เราลองไปอ่านเรื่องเกี่ยวกับกรรมฐานพิเศษ
    กองต่างๆดู ลองดูทางด้านขวาบนของห้องอภิญญาสมาธิดูได้ครับ ว่าเราอ่านกรรมฐาน
    อะไรแล้วรู้สึกว่า ทำไมเราถึงได้รู้สึกชอบจังเลย หรือมีความรู้สึกว่าผูกพันธ์เป็นพิเศษครับ
    เอาแค่ตรงนี้นะครับ ส่วนประเด็นที่เรารู้สึกว่ายากหรือไม่ยาก ทำได้หรือไม่ได้เป็นคน
    ละส่วนมันเป็นที่วิธีการในการเข้าถึงได้ บางคนมีของเก่าทางด้านนั้นๆ แต่ขาดหลักการ
    หรือวิธีการในการเข้าถึงก็เลยเข้าใจว่าตนเองไม่มีของเก่าทางด้านนั้นๆแต่ความจริง
    ไม่ใช่ครับ..เช่น บางคนขาดหลักการเริ่มต้น เช่น วางอารมย์เบื้องต้นไม่ถูกหลัก
    ตัวอย่าง มีความอยากมากเกินไป ใจร้อนรีบให้เห็นผลมากเกินไป หวังผลสำเร็จ
    มากเกินไป หวังผลเพื่อตัวเองมากเกินไป ฯลฯ

    บางคนสภาพแวดล้อมยังไม่เอื้ออำนวย เช่น อยู่ในชุมชมที่ไม่ค่อยมีความสงบ
    อยู่ในสภาพแวดล้อมไปด้วยบุคคลไม่สนใจปฏิบัติ ฯลฯ
    บางคนยังติดภาระทางสมมุติต่างๆอยู่ เช่น ยังเป็นห่วงเรื่องการดำรงชีพ
    ยังห่วงเรื่องการดูและบุคคลใกล้ชิด ไม่ว่าบิดามารดา ลูกหลาน
    หรือแม้เรื่องของตนเองที่เป็นส่วนตัวยังไม่เรียบร้อย ฯลฯ
    บางคนก็ยังติดวิบากต่างๆอยู่คือติดพวกความ
    คิดอกุศลต่างๆหรือความคิดฝ่ายร้อนใจ เช่น จิตใจแยกแยะ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
    ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนนับถือ โดยขาดความเคารพในฝ่ายต่างๆ ยกตัวยกตน
    ว่าตนนะดีกว่าเค้า คิดว่าวิธีการตนเองดีที่สุด และลามปามนอกจากไม่ให้
    ความเคารพในฝ่ายอื่นๆยังกล่าวตู่ พูดจาเท็จ กล่าวปรามาสในมุมต่างๆ
    ที่ตนเองไม่มีความสามารถเข้าถึง มีความอิจฉา จิตใจอ่อนเรื่องเมตตา
    และที่สำคัญก็คือ อยากได้รับการยอมรับจากสังคม ไม่ว่าตนเองจะไปอยู่
    ในสังคมใดๆก็ตาม โดยหมายมั่นปั่นมือเอาเอง ว่าวิธีการของตนเอง
    นั่นดีที่สุด ใช่ที่สุด บางคนที่พอมีสัมผัส มีความสามารถพิเศษบ้างก็หมาย
    มั่นปั่นมือว่า ตนเองไปอยู่ในสังคมไหนๆก็ตาม เค้าจะต้องให้การ
    ยอมรับตนเอง และที่สำคัญที่แย่ที่สุดก็คือ การชอบกล่าวอ้างคำสอนครู
    บาร์อาจารย์ต่างๆ กล่างอ้างระดับผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพเพื่อมาเสริมใน
    มุมความคิดของตนเอง เพื่อมาเสริมข้อความที่ตนเองได้ไปอ่านมา
    แต่ไม่ได้ปฏิบัติ เพื่อเอามายกตนข่มท่าน เพื่อที่จะเอาชนะผู้อื่นๆ
    โดยปราศจากการยอมรับฟังความเห็นต่างๆ แม้ว่าเหตุผลอื่นๆ
    จะดีกว่า แต่ก็จะยืนกรานความคิดตนเองแต่ฝ่ายเดียว
    เป็นเหตุให้ต้อง อุปโลกน์ตัวเองมาเสริม สร้างเรื่องสร้างราว
    จนกลายเป็นว่า เรื่องที่ตนเคยอุปโลกน์ไว้ย้อนมาทำรายทำลาย
    ตัวเองในอนาคตได้ภายหลังนั่นเองครับ..
    .

    ที่เล่าๆมาพวกนี้ล้วนเป็นตัวขวางการเข้าถึงผลสำเร็จทั้งนั้น
    ครับ ซึ่งผลของการขวางก็มีแตกต่างกันไป ตัวแต่ทำให้เข้า
    ถึงได้ช้า จนเข้าถึงไม่ได้ในชาตินี้และชาติต่อๆไปตาม
    แต่เหตุที่ได้เล่าให้ฟังมาครับ
    #Rep นี้เอาแบบภาพรวมๆและทั่วไปก่อน
    ปล.เด่วมีต่อ ในสัมผัสที่หลายคนมีแต่อาจคาดไม่ถึง
    เกี่ยวกับ เรื่องพิเศษต่างๆ ไม่ว่า ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิต ฯลฯ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    ลำดับต่อมาการสังเกตุตัวเองว่า ตัวจิตเรามันเคยมีความสามารถพิเศษ
    ทางด้านไหนมาบ้างแบบง่ายๆ แยกเป็นตัวจิตที่มีความสามารถพิเศษ
    แบบภายในหรืออภิญญาจิตภายในหรืออภิญญาภายในบ้าน
    พูดง่ายๆก็คือ การรับรู้ สัมผัสต่างๆที่ รับรู้ได้ด้วยจิตตัวเอง
    แม้ว่าจะเป็นเรื่องอื่นๆที่เป็นเรื่องภายนอก แต่ก็ยังรับรู้ได้ด้วยจิตตัวเอง
    แต่บุคคลอื่นๆไม่สามารถรับรู้ได้เหมือนตนเองเช่น...
    บุคคลที่เกิดมาแล้วสามารถเห็นนามธรรมแบบต่างๆได้
    ไม่ว่าจะแว๊บๆ หรือแบบเป็นตัวๆ บุคคลที่ชอบคิดๆเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้
    แล้วมักจะเกิดขึ้นแบบนั้นเสมอโดยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
    กรณีนี้รวมทั้งบุคคลที่ฝันแม่นเกี่ยวกับตัวเลขด้วยครับ
    แม้พยายามจะคิดว่าไม่ใช่ มันก็จะเกิดอย่างที่ตนคิดได้ครั้งแรก
    บุคคลที่เห็นสภาพของคนหรือสัตว์ในปัจจุบันและก็คิดได้ว่าคงเป็น
    เพราะมันไปทำโน้นทำนี่มา บุคคลที่เห็นสัตว์หยอกล้อ เอาร่างกาย
    เสียดสีกันที่ไม่ใช่การสืบพันธ์แล้วเหมือนจะรู้ว่ามันกำลังพูดคุยอะไรกัน
    บุคคลที่ได้ยินเรื่องราวของบุคคลอื่นๆรวมทั้งภพภูมิต่างในอดีตและก็รู้ว่าตอนนี้เค้า
    เป็นอยู่อย่างไร ที่เล่ามาพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพื้นฐานของสัมผัสภายใน
    มาแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ยังไม่ใช่ระดับใช้งานได้คล่อง เรียกว่า พอมีเชื้อ...
    มาต่อในสำหรับบุคคลที่พอมีเชื้อสำหรับเรื่องพิเศษอื่นๆ เช่น การที่เราเห็นวงกลมเล็กๆ
    มีแสงสว่างในตัวไม่ว่าหลับตาหรือลืมตาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ขนาดเท่าหัวเข็มหมุด หัวไม้ขีดไฟ หรือใหญ่กว่า บางคนก็มอง
    เห็นอากาศบางส่วนเป็นคล้ายๆสายน้ำ คือลักษณะเหมือนแผ่นน้ำไม่เรียบลอย
    อยู่ในอากาศเป็นแผ่นด้วยตาเปล่า ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    บางคนเห็นนิมิตรกรรมฐานต่างๆในนิมิตร หรือ ในฝัน ไม่ว่าจะเห็นแม่น้ำเป็นผืน
    แต่มองไม่เห็นขอบน้ำ เห็นพระพุทธรูปลอยมา เห็นเปลวเทียนลอยเข้าหาตัวเอง เห็นกระดูกย่อยสลายจนหมด
    เห็นเป็นแผ่นลมเป็นแผ่นสีเหลี่ยมแยกต่างหากในอากาศ บางคนเห็นควันลอยมา
    จากทั้ง ๒ ข้างของตนเอง บางคนเห็นควันพุ้งออกจากตัวเอง ฯลฯ

    และก็อีกกลุ่มที่มีเชื้อด้านอื่นๆเช่น บางคนเดินไปยังสถานที่ต่างๆแล้วสามารถรับรู้
    เกี่ยวกับพลังงานต่างๆที่ส่งผลกระทบกับร่างกายได้
    เช่น เดินเข้าไปหรืออยู่ใกล้วัตถุต่างๆ โบราณสถานต่างๆ บุคคลต่างๆ
    แล้วรู้สึกเย็นๆ รู้สึกร้อนๆ รู้สึกแน่นๆ รู้สึกหนักๆ รู้สึกไม่ไว้ใจ รู้สึกไม่ปลอดภัย
    รู้สึกถึงพลังงานลมต่างๆ ที่มาสัมผัสที่กายตัวเองได้ ไม่ว่ามีลมหมุนๆ เหมือนขนลุก
    เหมือนมีเข็มทิ่มๆขึ้นมาจากตัว เหมือนตึงๆที่ผิวบริเวณนั้น อย่างใดอย่างหนึ่ง
    พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกิริยาที่พอจะบอกให้เราทราบได้ว่าเราพอมีกรรมฐานอะไรมาบ้าง
    ถ้าเป็นอย่างกลุ่มแรกๆ ก็พอบอกได้ว่าเรามาทางวิชา ๓ เป็นอย่างน้อย และก็ค่อยๆ
    ไล่ลำดับต่อมาสูงขึ้นกว่านี้ขึ้นมาเรื่อยๆให้เทียบเคียงและลองสังเกตุ
    ตัวเองได้ครับ....
    อย่างคุณ เกาะนิพพาน ให้ลองพิจารณาดูว่า ยังมีอะไรตอนนี้ที่มันเป็นตัวขวางอยู่
    อย่างที่เล่าให้ฟังมาครับ เช่น อยากมากไปไหม ไปวังผลสำเร็จมากเกินไป
    แต่ถ้าจะให้แนะนำก็คือ ให้ฝึกเมตตาเพิ่มขึ้นให้เป็นเมตตาแบบที่ออกจากภายใน
    ไปภายนอก โดยไม่มีการเลือกข้าง แบ่งแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และเป็นเมตตา
    ที่ต้องรู้จักการอุเบกขา หมั่นอุทิศส่วนกุศลให้ภพภูมิเป็นประจำ เพื่อดึงให้กระแส
    จิตที่มันขึ้นจากจิต ณ ปัจจุบันนี้มันมีความต่อเนื่องออกไปภายนอก
    เนื่องจากต้นทุนมันมี แต่มันไปแยกส่วนกันเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรก
    มันดึงตรงสัมผัสที่ท้องผูกไว้กับเรื่องเมตตาที่หน้าอก ส่วนที่สองมันมีเรื่อง
    การเห็นนามธรรมต่างๆได้แต่มันมาหยุดที่คางหรือถึงที่ต้นคอ..
    เพราะฉนั้นถ้าฝึกเพิ่มเมตตาเพิ่มบุญจากการอุทิศส่วนกุศลได้
    เมื่อกระแสภายในตัวที่ออกจากจิตเรามันตรง คุณถึงจะเริ่ม
    สัมผัสนามธรรมต่างๆได้ดีขึ้น รวมทั้งพลังงานภายนอกต่างๆ
    ที่จะเริ่มสัมผัสได้ ก็คือ เกี่ยวกับลมต่างๆที่จะเป็นตัวหนุนให้เรา
    เข้าถึงพลังงานร้อนและพลังงานเย็นต่างๆได้ ในเบื้องต้นครับ
    พอสัมผัสพลังงานเกี่ยวกับลมได้แล้ว ให้ไปต่อด้วยด้วยกสิณน้ำ
    เพราะกระแสจิตพลังงานทั้งกสิณน้ำและกสิณลมมันสัมพันธ์และ
    เข้ากันได้ดี ไปกันด้วยดีนั่นเองครับ..
    ที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมด ยังถือว่าหยาบๆอยู่นะครับ
    ยังไม่ได้ลงรายละเอียด เป็นการเล่าแบบภาพรวมๆนะครับ
    ปล.ส่วนสุดท้ายเป็นเฉพาะบุคคลนะครับ ให้ฝึกพื้นฐาน
    และปรับระบบหายใจให้ละเอียดเป็นทุนเอาไว้ก่อน เพราะเป็น
    รากฐานที่สำคัญของการฝึกกรรมฐานกองต่างๆ เพื่อที่จะได้
    เข้าถึงได้เร็วและไม่เสียเวลาในอนาคตครับ
    ตามที่เคยได้เล่าให้คนอื่นๆฟังก่อนหน้าด้วยครับ..
     
  20. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +369
    จากที่ลองอ่านเรื่องกรรม40 ตามที่คุณแนะนำไว้ รู้สึกว่าจะมีความรู้สึกชอบในใจลึกๆกับกรรมฐานเหล่านี้เป็นพิเศษครับ

    กสิณ 10
    เตโชกสิณ เหตุเพราะส่วนตัวเวลาที่ผมไปทำบุญที่วัดในวันศีลเวลาผมจ้องมองดูแสงเทียนที่เขาจุดบูชาพระประธานเวลาสวดมนต์บูชาพระแล้วจะรู้สึกว่า จิตนิ่งสงบเร็วอบอุ่นและเป็นสุขใจมากครับ มองได้นานๆโดยไม่แสบตาและไม่เบื่อด้วย จิตไม่วอกแวกไปไหนด้วยครับ

    นีลกสิณ เหตุเพราะส่วนตัวผมเป็นคนชอบสีเขียวของใบไม้ใบหญ้ามาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ชอบแบบธรรมชาติที่สงบๆร่มเย็นด้วยต้นไม้ใบไม้สีเขียวๆมองเห็นแล้วสบายตาสบายใจมากๆครับ

    อากาสกสิณ เหตุเพราะตั้งแต่เด็กแล้วนะครับผมจะมีอาการแปลกๆอยู่อย่างคือ ถ้าเวลาผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าหรือนึกถึงอากาศความเวิ้งว้างต่างๆ จิตใจผมจะรู้สึกเหม่อๆขึ้นมาเองครับ และขณะที่กำลังเหม่อๆแบบใจไม่เกาะกับอะไรสักอย่างอยู่นั้น ภายในใจก็จะรู้สึกอิ่มเอมชุ่มชื่นหวานชื่นสุขสมในใจแบบบรรยายเป็นภาษาคนไม่ถูกเลยครับ มันเป็นสุขใจที่ละเอียดสุดยอดมากๆครับ ถ้าคนอื่นมาเห็นตอนที่ผมมองฟ้าเหม่อๆอยู่นั้นเขาคงจะคิดว่า ไอ้หมอนี้มันท่าจะบ้า และจากที่ผมสังเกตุดูพฤติกรรมขณะเวลาเหม่ออย่างมีความสุขนั้น จริยาก็คล้ายคนหลุดโลกไปแล้วเหมือนกันครับ บ้ากับไม่บ้าเวลาเหม่อแล้วมันไม่ต่างกันเลยแฮะ 55

    ส่วนอสุภกรรมฐาน 10
    อัฏฐิกอสุภ คือซากศพที่มีแต่กระดูก เหตุเพราะส่วนตัวผมรู้สึกว่าจะกำหนดนิมิตร่างโครงกระดูกของคนให้เห็นขึ้นมาในจิตง่ายที่สุดครับ นึกปุ๊บเห็นปับง่ายดีครับอันนี้ กระดูกขาวโพลนมาเชียว ไม่รู้ว่าติดตาติดใจมาจากไหนเหมือนกัน

    ส่วนอนุสสติ ๑๐
    ชอบพุทธานุสสติ ครับ ภาวนาแล้วจิตเป็นสุขดี
    และที่ชอบสุดๆคือ อุปสมานุสสติ ครับ ที่เดียวเท่านั้นที่ปรารถนาจะไปและต้องไปให้ได้

    วิเคราะห์ความรู้สึกชอบกรรมฐานกองต่างของตนเองได้คร่าวๆแบบนี้แล้ว ไปไงต่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...