++ร่วมแชร์เรื่องราว++หลวงปู่ครูบาวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ดุจเพชร, 22 พฤศจิกายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/DSC06172.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/DSC06172.jpg" border="0" alt=" photo DSC06172.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/DSC06183.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/DSC06183.jpg" border="0" alt=" photo DSC06183.jpg"/></a>
     
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/wannachaiamulets/DSC06169.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/wannachaiamulets/DSC06169.jpg" border="0" alt=" photo DSC06169.jpg"/></a>
     
  3. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    สวยงามครับพี่วรรณชัย และขอขอบคุณที่นำพระของครูบาวงศ์ให้ทุกๆท่านได้ชมกันด้วยครับ
     
  4. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]หลวงปู่ชัยยะ วงศาพัฒนา (๓)
    (พระครูพัฒนากิจจานุรักษ์)
    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน
    คัดลอกมาจาก http://www.konmeungbua.com/saha/chaiwangsa.html
    [​IMG]

    ผู้เฒ่าผู้รู้เหตุการณ์
    ในระยะแรกที่หลวงพ่อมาที่วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม ผู้เฒ่าคนหนึ่งในหมู่บ้านนาเลี่ยงได้พูดกับชาวบ้านในละแวกนั้นว่า
    "ต่อไปบริเวณเด่นยางมูล (คือหมู่บ้านห้วยต้มในปัจจุบัน) จะมี ชาวกะเหรี่ยงอพยพติดตามครูบาวงศ์มาอยู่ที่นี่จนเป็นหมู่บ้านใหญ่ในอนาคต ในครั้งนี้จะใหญ่กว่า หมู่บ้านกะเหรี่ยง ๔ ยุคที่เคยอพยพมาอยู่ที่นี่ในสมัยก่อนหน้านี้"
    คำพูดอันนี้ในสมัยนั้นชาวบ้านนาเลี่ยงฟังแล้ว ไม่ค่อยเชื่อถือกันนัก แต่ในเวลาต่อมาไม่นานคำพูดอันนี้ก็เป็นความจริงทุกประการ
    หลวงพ่อได้เล่าให้คณะศิษย์ฟังเพิ่มเติมว่า คนเฒ่าผู้นี้เป็นผู้รู้เหตุการณ์ในอนาคต และมักจะพูดได้ถูกต้องเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ท่านได้สร้างวิหารที่วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม เป็นรูปร่างขึ้นแล้ว ผู้เฒ่าคนนี้ในสมัยก่อน เคยเห็นคำทำนายโบราณของวัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้มมาก่อน ได้มาพูดกับท่านว่า
    "ท่านครูบา จะสร้างให้ใหญ่เท่าไหร่ก็สร้างได้ แต่จะสร้างใหญ่จริงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ต่อไปจะมีคนๆ หนึ่งมาช่วย ถ้าคนนี้มาแล้วจะสำเร็จได้"
    ชาวเขาอพยพตามมา
    เมื่อท่านอยู่ที่วัดห้วย (ข้าว) ต้ม ได้ไม่นาน คำพูดของผู้เฒ่าคนนี้ก็เป็นความจริง เพราะชาวเขาจากที่ต่างๆ ที่ท่านได้อบรมสั่งสอนมาก็ได้อพยพย้ายถิ่นฐานติดตามมาอยู่กับท่านเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันเพื่อมาขอพึ่งใบบุญและปฏิบัติธรรมะกับท่าน
    ในระยะแรกๆ นั้นท่านได้ตั้งกฎให้กับพวกกะเหรี่ยงที่มาอยู่กับท่านว่า พวกเขาจะต้องนำมีดไม้ที่เคยฆ่าสัตว์มาถวายวัด และให้สาบานกับท่านว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและจะกินมังสวิรัติตลอดไป ท่านได้เมตตาให้เหตุผลว่า ท่านต้องการให้เขาเป็นคนดี ลดการเบียดเบียน มีศีลธรรม หมู่บ้านห้วยต้มจะได้มีแต่ความสงบสุขทั้งทางโลกและทางธรรม และจะได้ไม่เป็นปัญหาของประเทศชาติต่อไป ดังที่เราจะเห็นได้จากการที่ชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านห้วย (ข้าว) ต้มนี้ มีความเป็นอยู่ที่เป็นระเบียบและมีความสงบสุข ตามที่ท่านได้เมตตาอบรมสั่งสอนมา ทั้งที่ในหมู่บ้านนี้มีกะเหรี่ยงอยู่หลายพันคน
    แต่ในสมัยนี้ กฎและระเบียบที่ชาวกะเหรี่ยงที่จะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านห้วยต้ม ที่จะต้องนำมีดไม้ ที่เคยฆ่าสัตว์มาสาบานกับหลวงพ่อนั้นได้ยกเลิกไปโดยปริยาย เพราะหลวงพ่อเห็นว่าทางราชการ ได้ส่งหน่วยงานต่างๆ เข้ามาจัดการดูแลช่วยเหลือและให้การศึกษาแก่พวกเขา คงจะช่วยพวกเขาให้มีการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น และมีความสงบสุขเป็นระเบียบเหมือนที่ท่านเคยอบรมสั่งสอนมา
     
  5. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    บูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
    <table id="table2" border="0" align="right"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
    เมื่อหลวงปู่ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ท่านได้บุกเบิกปฏิสังขรณ์และก่อสร้างถาวรวัตถุหลายอย่าง เช่น วิหารครอบรอยพระพุทธบาท พระเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ ภายในทำเป็นชั้นสูง ๑๖ ชั้น พระบาทกบ โดยเฉพาะวิหารครอบรอยพระพุทธบาท ท่านก่อสร้างมาเป็นเวลา ๓๔ ปี ทั้งนี้เนื่องจากท่านมีภารกิจในการก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย ไม่ได้ทำเฉพาะวัดของท่านเท่านั้น ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๒๙ ท่านได้สร้างประธานถวายวัดต่าง ๆ ที่ขอมา เมื่อท่านพิจารณาเห็นสมควรจะให้ประมาณ ๒๐ องค์ ขนาดองค์หน้าตักตั้งแต่ ๘๙ นิ้ว ถึง ๓๐ นิ้ว
    เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๔ พวกกะเหรี่ยงได้อพยพจากป่าเขามาพึ่งใบบุญอยู่กับหลวงปู่เป็นจำนวนมาก ก่อนที่พวกเหล่านี้จะมาอยู่หมู่บ้านห้วยต้ม หลวงปู่เคยไปโปรดเมตตาสงเคราะห์เป็นครั้งคราว สาเหตุที่โยกย้ายกันมาเนื่องจากการไปมาติดต่อลำบาก จะทำบุญกับหลวงปู่ต่อสักครั้งหนึ่งก็สิ้นเปลืองเงินทองและเสียเวลามาก บางพวกทางราชการได้มาสร้างเขื่อนภูมิพล ที่จังหวัดตากขึ้นทำให้มีที่ทำกิน การอพยพมาอยู่ในระยะแรกมีความลำบากมากเพราะพื้นที่บางส่วนเป็นหินศิลาแลงและแห้งแล้ง
    อีกประการหนึ่งกะเหรี่ยงเหล่านี้ส่วนใหญ่เคยสูบฝิ่นกินเนื้อสัตว์มาก่อน ผู้ที่จะมาอยู่หลวงปู่ท่านให้ตั้งสัตย์ว่าต้องเลิกสูบฝิ่นและเลิกกินเนื้อสัตว์ทุกคน เพราะสถานที่แห่งนี่ตามตำนานในอดีต พระพุทธเจ้าเคยเสร็จมาโปรด พระพุทธองค์ไม่ทรงเสวยเนื้อสัตว์ และทรงโปรดประทับรอยพระพุทธบาทไว้ด้วย จึงถือเป็นประเพณีตั้งแต่นั้นสืบมา ผู้ที่ไม่เชื่อฟังมักอยู่อย่างไม่มีความสุข มีเรื่องทุกข์ร้อนใจและเจ็บป่วยอยู่เสมอ
    กะเหรี่ยงบางคนไม่สามารถทนได้อยู่ได้ต้องอพยพกลับไปอยู่ถิ่นเดิม พวกที่ทนอยู่ได้ก็ตั้งหน้าทำความดี ทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนา มีความขยันขันแข็งต่อสู่อุปสรรคอันแห้งแล้งของธรรมชาติ มีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ ไปวันหนึ่งๆ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่าก่อนที่พวกกะเหรี่ยงจะมาอยู่ พวกอื่นจะเข้ามาอยู่ทำไร่ทำไถนาไม่ได้ต้องมีอันเป็นไปเกือบทุกราย น้ำที่เคยแห้งแล้งก็มีเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคุณธรรมความดีที่พวกเขาได้พยายามสร้างสรรค์นั่นเอง
     
  6. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    ถึงแม้กะเหรี่ยงพวกนี้ทำไร่นาได้น้อยจนแทบจะไม่พอกินก็ตาม เมื่อเขาได้ผลิตผลซึ่งหามาได้ ผู้ที่พวกเขานำมาถวายให้เป็นอันดับแรกก็คือหลวงปู่ เพื่อให้ได้รับผลบุญกุศลไว้กินไว้ใช้ภายภาคหน้าและประโยชน์สุขในปัจจุบันเสียก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือมากินเพื่อเลี้ยงตนครอบครัว และขายต่อไป อาชีพอย่างหนึ่งก็คือการขุดศิลาแลงขาย นับว่าต้องให้ความอุตสาหะพยายามมาก เพราะเครื่องมือที่ใช้มีแต่เพียงมีดสำหรับขุดเพียงอย่างเดียว และต้องตบแต่งศิลาแลงที่เป็นแผ่นใหญ่ให้ได้ตามขนาดต้องการ ผู้ที่มีความขยันจริง ๆ จะขุดหินศิลาแลงได้โดยเฉลี่ยวันละประมาณ ๓๐ บาทต่อวัน (๑๐ ก้อน) คือต้องทำงานตั้งแต่เช้าจนกระทั่งค่ำ สำหรับศิลาแลงที่จะขายให้วัดก็ลดให้อีกราคาหนึ่ง โดยแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือกินส่วนหนึ่ง ทำบุญส่วนหนึ่ง และเป็นค่าภาษีอีกหนึ่งส่วน
    <table id="table3" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
    ทุกเช้ากะเหรี่ยงเกือบทุกหลังคาเรือนจะนำอาหารมาถวายที่วัดเป็นประจำ การใส่บาตรที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เนื่องจากพระภิกษุจะออกรับบิณฑบาตในวัด โดยนั่งเป็นแถวเรียงยาวนับตั้งแต่ผู้อาวุโสสูงสุดคือหลวงปู่และไล่ลงมาตามลำดับ การใส่บาตรจะให้ผู้ชายใส่ก่อนแล้วตามด้วยผู้หญิง อาหารที่จะใส่บาตรมีเพียงข้าวเหนียวอย่างเดียว สำหรับเข้าเจ้าและกับข้าวจะใส่แยกไว้ถวายต่างหากภายหลัง นอกจากนั้นยังมีการถวายน้ำซึ่งนำมาจากบ้านใส่ลงคนโทที่ตั้งเรียงไว้ แล้วนำน้ำนี้ไปถวายเพื่อให้พระภิกษุที่ออกบิณฑบาตกรวดน้ำอีกครั้งหนึ่ง
    ทุกวันในตอนเย็นพวกกะเหรี่ยงบางส่วนจะมาฟังพระสวดมนต์ทำวัตรเย็น และกราบไหว้บูชาพระธาตุเจดีย์เสมอ การถือศีลนั้นพวกเขาถือเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว ส่วนการภาวนาจะกระทำทุกเช้าก่อนออกไปทำงานและตอนเย็นก่อนนอน โดยใช้วิธีตกลูกประคำ นึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ และพิจารณายอดของวิปัสสนา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ก่อนวันพระ ๑ วัน ก่อนสวดมนต์ทำวัตรเย็น พวกกะเหรี่ยงจะพากันมารับศีล ๕ ที่วัดกับพระภิกษุแล้วพากันไปสวดมนต์ที่วิหารครอบรอยพระพุทธบาท สำหรับในวันพระจะมีคนมาทำบุญกันมากเป็นพิเศษ เพราะวันนี้พวกกะเหรี่ยงถือว่าเป็นวันสำคัญ ต้องหยุดทำงานมาช่วยบำเพ็ญประโยชน์ให้กับวัด เช่น กวาดถูลานวัดพื้นวัด ขนหินดินทรายถมที่ให้วัด หลังจากฉันเพลจะมีการทำบุญอีกครั้งหนึ่ง แล้วพวกกะเหรี่ยงจะนำขันน้ำส้มป่อยไปประพรมสถานที่สำคัญเช่น รอยพระพุทธบาท พระธาตุเจดีย์ พระบาทกบ แม้แต่ห้องน้ำของหลวงพ่อปู่ เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ตน ส่วนในตอนกลางคืนจะมีการฟังเทศน์ตั้งแต่เวลาประมาณสองทุ่มครึ่งถึงประมาณ ๕ ทุ่ม สำหรับการเทศน์เป็นภาษาลานนา ผู้ฟังส่วนใหญ่ฟังกันไม่รู้เรื่อง แต่ถือว่าเป็นการฟังเพื่อเอาบุญพวกเขาก็ยินดีกระทำกัน
     
  7. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    ความหมาย
    วันมาฆบูชาหมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์

    ความสำคัญ
    วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูปมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส

    ประวัติความเป็นมา
    ๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า
    หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน ๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ คือ
    ๑. วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
    ๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมาย
    ๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖
    ๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจาก พระพุทธเจ้า
    เพราะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่าว จึงมีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต และในโอกาสนี้พระพุทธเจ้า ได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประกาศหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา
     
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2015/DSC_0034_2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2015/DSC_0034_2.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0034_2.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2015/DSC_0033.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2015/DSC_0033.jpg" border="0" alt=" photo DSC_0033.jpg"/></a>

    สวัสดีครับคุณหมื่นลี้ :) :) :)

    เข้ามาอ่านประวัติและเรื่องราวต่างๆของหลวงปู่วงศ์ครับ
    :cool::cool::cool:
     
  9. Dhanainan

    Dhanainan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,174
    มาตามอ่านครับ
    ขอบคุณที่นำเรื่องราวมาบอกเล่าให้ได้รับรู้เรื่องราวของพระดี ...
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC02384.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC02384.jpg" border="0" alt=" photo DSC02384.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC02383.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC02383.jpg" border="0" alt=" photo DSC02383.jpg"/></a>
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2014/WP_20140428_025.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2014/WP_20140428_025.jpg" border="0" alt=" photo WP_20140428_025.jpg"/></a>
     
  12. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    สวัสดีครับพี่วรรณชัย ขอบคุณภาพวัตถุมงคลที่ทรงคุณค่าด้วยนะครับ
     
  13. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    ขอบคุณครับ หลวงปู่เป็นพระสุปฎิปันโนองค์สำคัญที่น่ากราบมากๆอีกองค์หนึ่งเลยครับ
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/CLP/1238215_643412705691828_491665563_n.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/CLP/1238215_643412705691828_491665563_n.jpg" border="0" alt=" photo 1238215_643412705691828_491665563_n.jpg"/></a>
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,806
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2014/WP_20140428_025.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2014/WP_20140428_025.jpg" border="0" alt=" photo WP_20140428_025.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2014/WP_20140428_033.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2014/WP_20140428_033.jpg" border="0" alt=" photo WP_20140428_033.jpg"/></a>
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Amulets2014/WP_20140428_042.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Amulets2014/WP_20140428_042.jpg" border="0" alt=" photo WP_20140428_042.jpg"/></a>
     
  16. pong-sit

    pong-sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,626
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,781
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    พระปิดตามหาลาภสวยงามครับพี่วรรณชัย ขอบคุณที่นำมาให้ชมกันครับ
     
  18. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    กราบหลวงปู่บุดดา กราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ กราบครูบาวงศ์ครับ
     
  19. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    พระกริ่งขวานฟ้าโลกอุดร โดย อ.เล็ก พลูโต

    [​IMG]

    ขวานฟ้า โบราณว่า เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์ในตัว เป็นของทนสิทธิ์ ที่ตกลงมาพร้อมๆ กับฟ้าผ่า โดยต้องหาบริเวณที่มีฟ้าผ่าลง เอากะลาครอบไว้ แล้วขุดหาในบริเวณนั้นจึงจะเจอ ใช้ทำน้ำมนต์ดีมาก แก้อัปมงคลได้ทุกอย่าง หรือใส่โอ่งน้ำดื่มจะดีมาก เช่น หลวงปู่อุ้น วัดตาลกง เพชรบุรี จะนำหินชนิดนี้มาจารอักขระ และนำไปไว้ในบาตรน้ำมนต์ตลอด ท่านว่าเข้มขลังนักแล

    หลวงปู่หลุย จันทสาโร ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้กล่าวถึงเรื่องขวานฟ้าไว้ว่า

    "ขวานฟ้า" นั้นเป็นชื่อของแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์อยู่ในตัว หากเหล็กไหลจะเป็นของกันมีด กันปืน กันภัยได้จริง ขวานฟ้าก็กันมีด กันปืน กันภัยได้เช่นกัน

    เหล็กไหลมักพบในถ้ำลึก แต่ขวานฟ้าฟ้า จะพบบนภูเขาสูง หรือไม่ก็แผ่นดินที่สูงๆ อันคนไม่ค่อยจะเข้าไปรุ่มร่ามวุ่นวาย วิธีการเสาะหาก็แสนง่าย

    หลวงปู่หลุยเล่าว่า ต้องสังเกตฟ้าผ่า หากผ่าลงกับพื้นดินตรงไหน ท่านก็จะเดินไปดู (ขอแทรกว่าขณะนั้นท่านกำลังธุดงค์) เมื่อเดินไปถึงก็จะสำรวจจุดที่ฟ้าลง ซึ่งก็ดูไม่ยากเพราะหลุมค่อนข้างลึก และที่ก้นหลุมนั่นเอง จะปรากฏแร่ชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับขวาน และนั่นคือที่มาของคำว่า “ขวานฟ้า”

    นี่เป็นคำบอกเล่าของพระผู้หลุดพ้น

    ดังนั้นใครที่เชื่อว่า ขวานฟ้า เป็นหินโบราณ ที่มนุษย์ยุคหินใช้สำหรับทำอาวุธ เพื่อล่าสัตว์นั้น น่าจะผิดความจริง แต่ก็นั่นแหละ ลักษณะของแร่ธาตุที่ไม่มีในโลกนี้ บางก้อนอาจจะมีความแกร่งเป็นโลหะ หรือบางก้อนอาจจะมีความแกร่งน้อยกว่า มีลักษณะคล้ายหินก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ นำมาหลอมละลายผสมกับเนื้อโลหะอื่นได้ และบางก้อนก็สามารถขูดเป็นผงได้เช่นกัน

    แต่นิทานของชาวบ้านชาวไร่ ผู้ไม่หลุดพ้น ยืนยันว่าเป็นเรื่องของเทวดานาม "รามสูร" ซึ่งโมหาโกรธากับแสงแก้วมณีที่แลบแปล๊บๆ อยู่ไม่หยุดหย่อนของเทพธิดา "เมขลา" ก็เพราะรามสูรไม่รู้จักแว่นเรย์แบนกระมัง เรื่องมันจึงเกิด ผู้ชายที่เป็นยักษ์จึงรังแกผู้หญิงที่เป็นเทวดา ด้วยการขว้างขวานใส่ แบบไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีว่ารังแกสตรีเพศ ขว้างทีฟ้าก็ลั่นที พอขว้างผิด ขวานก็เลยหล่นลงมา พร้อมกับสายฟ้าแลบเปรี้ยงๆ เขาว่าไปดูเถอะ รับรองว่าตรงนั้นเป็นต้องเจอขวานรามสูร ไม่ใช่ขวานรามซิงค์เป็นแน่แท้

    ขวานฟ้า คือ ขวานของรามสูร ที่ขว้างขวานใส่เมขลา แล้วตกลงมายังโลกมนุษย์ ขวานที่ตกลงมา ถ้าไม่แตก หรือชำรุด ขวานจะกลับขึ้นไป ถ้าแตก หรือชำรุด ขวานจะอยู่ คนที่จะพบจะได้ ครอบครองต้องมีบุญมีบารมีที่จะได้ ไม่ใช่ใครอยากได้ก็ได้นะครับ ส่วนมากผู้ที่ได้ไว้ครอบครอง มักจะเป็นพระธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพร ที่ท่านเก็บรักษาไว้ในขณะออกธุดงค์ และต่อมานำมาสร้างวัตถุมงคลให้ลูกศิษย์เท่าที่ทราบ อาทิ เช่น หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย, หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต หนองคาย, หลวงปู่ศรีจันทร์ วัดเลยหลง จ.เลย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.อุบลราชธานี ซึ่งแต่ละท่านที่กล่าวมา ล้วนเป็นศิษย์กรรมฐาน หรือพระป่าสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่นำเอามาสร้างเหรียญ ส่วนทางเหนือก็มี หลวงปู่ชัยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ลำพูน ศิษย์ท่านครูบาศรีวิชัย ท่านเอามาสร้างเป็นพระกริ่ง

    กริ่งขวานฟ้าโลกอุดร สร้างจากชนวนขวานฟ้าเนื้อโลหะ, แผ่นจาร (ที่ได้รับมอบมาสร้างพระ) ลงอักขระโดย หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงปู่นิล จังหวัดนครราชสีมา หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท และชนวนอื่นๆ (ที่ได้รับมอบสร้างพระ)

    แผ่นอักขระ ที่ผ่านการอธิษฐานจิตโดย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์วัน อุตตโม หลวงพ่อเกษม เขมโก หลวงปู่เทพโลกอุดร วัดถ้ำวัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่หล้า หลวงปู่ครูบาดวงดี สุภัทโท หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี แผ่นยันต์ชินบัญชร–แผ่นยันต์ ๑๒๑ พระคาถาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แผ่นยันต์มหาลาภ หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร ข้าวตอกพระร่วง เหล็กน้ำพี้ ขี้เหล็กไหล ตะปูสังขวานร จากวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เงินโบราณ จากกรุสุพรรณบุรี

    ก้นอุดด้วยผงพุทธคุณ ผงหลวงปู่เทพโลกอุดร เพชรน้ำค้าง จากถ้ำศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดชัยภูมิ แร่วิเศษ จากจังหวัดเลย แร่วิเศษ จากภูเขาควาย ขี้เหล็กไหลจากถ้ำศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดชัยภูมิ เพชรหน้าทั่ง ผงอิทธิเจ จากถ้ำพระอรหันต์ ๘ ศอก หรือ พระอรหันต์ ๑,๐๐๐ ปี จังหวัดชัยภูมิ

    น้ำพุทธมนต์ที่แช่พระกริ่ง ได้จากน้ำพุทธมนต์ที่ได้จาก พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลครูบาศรีวิชัย วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และน้ำทิพย์จากบ่อน้ำทิพย์ (บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม)

    จำนวนการสร้างทั้งหมด ๑,๕๐๐ องค์ มีเนื้อโลหะแบบเดียวซึ่งมีด้วยกัน ๓ แบบ คือ

    ๑.แช่น้ำมนต์ อุดผงขวานฟ้า ผงหลวงปู่เทพโลกอุดร ผงพระธาตุ ๕๐๐ อรหันต์ พระธาตุพระสีวลี แช่น้ำมนต์ในพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลครูบาศรีวิชัย วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน และน้ำทิพย์จากบ่อน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม. ๒.ไม่แช่น้ำมนต์ อุดผงขวานฟ้า หลวงปู่เทพโลกอุดร พระธาตุข้าว ๓.อุดกริ่ง

    เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ได้นำไปให้พระเกจิอาจารย์ชื่อดังยุคนั้น ทำการอธิษฐานจิต คือ หลวงปู่ครูบาน้อย วัดบ้านปง เชียงใหม่, หลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง เชียงใหม่, หลวงปู่ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๘

    จากนั้น หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ได้ทำการอธิษฐานจิตเดี่ยว โดยใช้คาถาชินบัญชรล้านนา เป็นเวลา ๕ วัน ๕ คืน ในระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๘ เท่านั้นยังไม่พอ ยังนำไปให้ หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์ อธิษฐานจิต เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๘ แล้วจึงนำไปให้ หลวงปู่ดาบส อาศรมเวฬุวัน เชียงราย อธิษฐานจิต เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๘

    สำหรับหลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา หรือเรียกสั้นๆ ว่า หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์นั้น ผมเคยนำประวัติของท่านมาลงไว้เป็นปีแล้ว แต่ในช่วงนั้น ผมหาพระเครื่องรางของขลังที่ท่านปลุกเสกไว้ไม่ได้เลยสักองค์ เพราะคนท้องถิ่นหวงแหน เก็บกันหมด ถ้าผมจะบอกว่า ก้อนสำลีที่ท่านนำมาทำเป็นเต่าชุบเทียน เลี่ยมพลาสติกให้ลูกศิษย์บูชานั้น ขณะนี้หากอยู่ในสภาพเดิมๆ สวยๆ ไม่ผ่านการใช้ เขาเล่นหากันในราคาองค์ละหมื่นบาทขึ้นไป ท่านอาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่า อะไร ก้อนสำลีอะไร ทำไมแพงที่สุดในโลก จะต้องมีดีแน่ๆ คนเขาถึงแสวงหากัน เพราะของพวกนี้ มีไม่มากนัก ไม่ตกมาถึงสนามส่วนกลาง หรือคนถิ่นอื่นง่ายๆ ถ้าจะได้ ก็จะต้องไปบุกเอาถึงท้องถิ่น ซึ่งค่อนข้างลำบากมาก และใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ต้องมีบุญวาสนาจริงๆ เอาไว้ในคราวหน้า ผมจะนำเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องรางของท่าน ว่ามีอะไรบ้าง มานำเสนอให้ทราบ และหนึ่งในเครื่องรางที่แพงที่สุดของท่าน ก็เห็นจะเป็น "เต่าคำ" หรือ "เต่ามหาลาภ" ที่ทำมาจากก้อนสำลี (ทั้งชุบเทียน และไม่ชุบเทียน) นี่แหละครับ

    มาย้อนเรื่องราวของหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ กันพอสังเขป ว่าท่านเป็นใคร ทำไม? วัตถุมงคลของท่านที่สร้างออกมามากมายหลายแบบ ถึงหาไม่ค่อยได้ ตามแผงพระเครื่องไม่ค่อยพบเห็นกันเลยก็ว่าได้ แสดงว่า ท่านต้องมีดีแน่ๆ ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๕๖ ที่บ้านก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน ในครอบครัวชาวไร่ ชาวนาที่ยากจนมากๆ เพราะมีพีน้องท้องเดียวกันถึง ๙ คน ท่านบวชเณรตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี ที่วัดพระธาตุแก่งสร้อย อ.สามเงา จ.ตาก และได้มีโอกาสถวายตัวเป็นศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยที่วัดแห่งนี้ ตั้งแต่เป็นเณร ติดตามปรนนิบัติรับใช้ครูบาศรีวิชัยจนกระทั่งครูบาศรีวิชัยมรณภาพ เรียกว่า เป็นศิษย์ก้นกุฏิ ก็คงไม่ผิดความจริงนัก

    นอกจากท่านจะเป็นศิษย์ครูบาศรีวิชัยแล้ว ท่านยังเป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดของ ครูบาชัยลังกา ที่บวชเณรให้ และครูบาขาวปี ศิษย์มือขวาของครูบาศรีวิชัยอีกด้วย เรียกว่า ได้อาจารย์ดีเจ๋งสุดยอดถึง ๓ ท่านเลยทีเดียว ท่านเป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อชีวิตสัตว์มาตั้งแต่ยังไม่ได้บวชเณร ท่านได้ช่วยชีวิตสัตว์ที่นายพรานดักเอาไว้หลายครั้ง ด้วยการปล่อยมันไปก่อนที่นายพรานจะมาถึง แล้วนั่งรอเพื่อที่จะชดใช้เป็นสิ่งของที่ท่านหามาได้ หรือไม่ก็ทำงานชดใช้ ซึ่งในบางคราวนายพรานก็ไม่ถือสาหาความกับท่าน จนกระทั่งท่านพบเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำไม่อยากจะกินเนื้อสัตว์นั้นเลยนับแต่นั้นมา เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี (ก่อนบวชเณร) กล่าวคือ มีครั้งหนึ่งท่านได้เห็นพญากวางใหญ่ถูกนายพรานยิง แทนที่พญากวางตัวนั้นจะร้องเป็นเสียงสัตว์ มันกลับร้องโอยๆๆๆ เหมือนเสียงคนร้อง แล้วสิ้นใจตายในที่สุด และเมื่อท่านไปอยู่กับครูบาชัยลังก๋าซึ่งไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านจึงงดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นมา

    ท่านบวชพระเมื่ออายุ ๒๐ ปี โดยมี หลวงปู่ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า เป็นพระอุปัชฌาย์ เท่ากับท่านได้พระอาจารย์ที่บรรลุธรรมชั้นสูง เป็นพระอรหันต์ เพิ่มขึ้นอีก ๑ องค์ หลังจากอยู่ปรนนิบัติรับใช้อุปัชฌาย์ได้ระยะหนึ่ง ท่านก็ขออนุญาตออกธุดงค์ แสวงหาความวิเวก โปรดชาวเขา ชาวดอย ชาวกระเหรี่ยง ตามลำพัง จนกระทั่งอายุ ๒๒ ปี ท่านได้เข้าร่วมกับครูบาศรีวิชัย สร้างทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ โดยมีกระเหรี่ยง ศิษย์ของท่านจำนวนมาก อาสามาเป็นแรงงานสำคัญ และก็ถึงช่วงสำคัญที่ได้มีการจดบันทึก และเล่าขานกันมาไม่รู้จบก็คือ ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ครั้งแรกต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ด้วยการผลักหินก้อนใหญ่ที่ขวางทางสร้างถนน ตรงบริเวณโค้งหักศอกที่เรียกว่า "โค้งขุนกัน" ท่านไม่ได้โอ้อวดอยากแสดงเอง แต่ครูบาศรีวิชัยได้บอกให้ศิษย์ที่มาบอกท่านเรื่องนี้ ให้ไปนิมนต์พระชัยวงศ์ เป็นผู้จัดการ

    เหตุที่ท่านสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่คนนับร้อยทำไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ด้วยการใช้มือข้างเดียวผลักหินลงไปได้โดยง่าย มันเป็นเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งท่านสะสมมาแต่อดีตชาติ ที่ท่านได้เกิดเป็นฤาษีวาสุเทพ บำเพ็ญตบะที่ดอยสุเทพนี้มาก่อนนั่นเอง นอกจากนั้น ท่านยังได้รับการอาราธนาจากเทวดาอารักษ์ รุกขเทวดาที่รักษาสถานที่ ให้ท่านประทับรอยเท้าไว้บนแผ่นหิน ซึ่งท่านก็รับอาราธนา ประทับรอยเท้าของท่านไว้บนแผ่นหิน ลึกลงไปในหินประมาณ ๑ ซ.ม. ข้างน้ำตกห้วยแก้ว (ช่วงตอนกลางๆ ของทางขึ้นดอยสุเทพ เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ท่านได้มาช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทาง) ซึ่งรอยเท้าของท่าน ยังปรากฏให้เห็นจนทุกวันนี้

    เรื่องการประทับรอยเท้าในสมัยที่ท่านอายุ ๒๒ ปี หลายท่านอาจจะไม่เชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อเมื่อครั้งหลังสุด ท่านได้ประทับรอยเท้าต่อหน้าสานุศิษย์ มีการบันทึกภาพถ่ายเอาไว้อีกด้วยที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มของท่านนั่นเอง หากใครอยากเห็นรอยบาทแห่งพระโพธิสัตว์ ในยุคปัจจุบันที่แสดงปาฏิหาริย์ได้จริง ก็ขอเชิญชมกันได้ทั้งสองแห่ง เพื่อเปรียบเทียบกันดูว่าเป็นรอยเท้าเดียวกันหรือไม่ สิบปากว่า ไม่เท่าสองตาเห็นครับ
     
  20. ปู ท่าพระ

    ปู ท่าพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    5,822
    ค่าพลัง:
    +60,326
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]



    พระกริ่งขวานฟ้าโลกอุดร สุดยอดพระกริ่งองค์หนึ่งแห่งยุค เยี่ยมยอดด้วยชนวนมวลสารและการนำเสกโดยสุดยอดครูบาอาจารย์ชั้นมือวางอันดับหนึ่งผู้ทรงวิมุติและวิชชาแห่งยุค โดยเฉพาะหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาเจ้า ได้อธิษฐานจิตด้วยชินบัญชรคาถาถึง 5วัน น่าจะเรียกได้ว่าเป็นพระกริ่งไจยะเบงชรของครูบาวงศ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...