อั๊ยยหย่ะ...จี้เพชรพญานาคสีชมพูกับรัยหล่ะ สีชมพูอีกชิ้นนึงอ่ะ ก็ร่วมบุญจากวัดนี้ค่ะ..วัดถ้ำน้ำทิพย์ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี
พญานาคที่นี่ใช้มณีนาคาและเพชรประดับ สังวาลย์ที่คอ ( ๕ ซม.) , ดวงตา (๓ ซม.) สังวาลย์กลางตัว , สังวาลย์ตรงหาง มาจากวัดนี้แหล่ะค่ะ
ทำไมผมต้องมาที่นี่ด้วย (ที่นี่หมาดุยิ่งกว่าผีอีกแนะ ลุงตอบว่า เราน่ะถูกเรียกมา (อ้าวใครเรียก?) แกบอกว่าเมื่อชาติก่อนเป็นทหารตามมาอารักขาและตายที่นี่ ด้วยโรคติดต่อ มีทหารตายเกือบสามร้อยคนที่บนเขานี้ (......?) ปัญหาคาใจ..ว่า ทำไม ต้องมาที่นี่ แต่เหมือนมาใช้กรรมอะไรบางอย่างที่ติดค้างอยู่ อยู่ที่นี่เจ็ดวัน หลวงปู่ไม่ได้สอนอะไร มอบหนังสือให้เล่มหนึ่ง ให้คนวัดพาไปที่กุฎิท้ายสุด ช่วงนั้นอยู่คนเดียวจริงๆ ไม่มีเพื่อนเลยสักคน ทำงานจนมือแตก (เอ๊ะ ทำงานทำไม ไม่มีใครใช้ให้ทำเลย) กวาดใบไม้กิ่งไม้ ตักดินถมโคลนต้นไม้ทุกวัน รู้สึกว่ามันต้องทำ อยากทำ ที่นั่นกลางวันเสียงดังอยู่ แต่กลางคืนมาเงียบสงัด ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมพัด ไปวันแรก มีคนบอกว่า กลางคืนน่ะ ถ้ามีใครมาเรียกอย่าออกไปนะ อ้าว นั่น สงสัยติดหนี้บางอย่างที่นี่ วันสุดท้ายโดนทวงหนี้จนได้ แต่ดีมีเพื่อนมะหมาเป็นเพื่อนสองตัวคอยอารักขาตลอดเวลา ที่นั่นมีหมาหลายกลุ่ม แต่แบ่งกลุ่มใหญ่ๆ ได้สองกลุ่ม เราเรียกว่าฝ่ายธรรมะและ อธรรม พวกอธรรมนี่ดุมาก กัดรุม หมาหมู่จริงๆ ไม่เล่าเรื่องหมาดุดีกว่า เดี๋ยวใครมาอ่านจะไม่อยากไปทำบุญ ....หมาฝ่ายธรรมมะ มีสามตัวอ่ะ คอยเฝ้าอารักขาเราสองตัว มันเปลี่ยนเวรกันด้วยแฮะ ......แต่ได้ฝึกปฏิบัติจริงๆ ก็คืนสุดท้าย เล่นเอาเกือบตาย เพราะที่นั่นฝึกแบบให้รู้ถึงทุกข์ และให้ดับทุกข์ด้วยตนเอง โดยการนั่งขัดเพชรสองชั่วโมง นั่งเทพี สองชั่วโมง ยืนอีกสองชั่วโมง ท่ายืนสู้ได้สบาย เพราะถนัดนัก เคยยืนนิ่งๆ ได้ถึงห้าชั่วโมง แต่นั่งนิ่งๆ นี่ไม่ไหว
มาแบ่งปัน เรื่องเล่า ของเราต่อ เล่าให้ย่อ ต่อไม่ยาว สาวไม่ไหว เป็นนิทาน เผื่ออ่าน คิดตามไป ว่าสิ่งไหน มีเหตุผล ไม่ควรเชื่อหรือเชื่อตาม...อ่ะนะ พึ่งสังเกตภาพถ่ายว่าผ่านมาแค่สองปีกว่าเอง แต่ดูเหมือนนานกว่านั้น บังเอิญไปไหมว่าคนที่ไม่เคยเดินทางไปที่แห่งนี้มาก่อน จะเดินทางจากต่างจังหวัดมาได้โดยไม่หลงทางเลย คือจากเชียงรายขึ้นรถทัวร์สายเชียงราย – นครราชสีมา เพราะไม่ได้ผ่านอุทัย เพียงแต่ทราบไปอุทัยต้องไปลงปากทางที่นครสวรรค์ รถทัวร์เที่ยวนั้นมีผู้โดยสารแค่ครึ่งคันเอง นึกในใจว่า โหวงเหวงเหลือเกินนี่จะได้กำไรไหมนิบริษัททัวร์ มีชายคนหนึ่งนั่งจากเชียงรายมาด้วยข้างๆ แต่ไม่ได้ทักทายกันเลย จนถึงพิษณุโลกได้ เขาก็ทักเราว่าไปที่ไหน อ้าวพอดีเลยลงที่เดียวกัน แอบดีใจลึกลึก โชคดีแฮะ ได้คนบอกทางลงละ ไปถึงปากทางที่นครสวรรค์ประมาณตีสอง มึดตึ้บเลย ตรงนั้นไม่มีบ้านผู้คนเลย นี่ถ้าไม่มีคนอุทัยนั่งมาด้วยคงแย่ ต้องรอถึงหกโมงเช้าจะมีรถโดยสารเข้าตัวจังหวัดอุทัย เขาชวนขึ้นรถกระบะเข้าเมืองอุทัยญาติมารับที่ปากทาง ก็เลยได้นั่งไปด้วย พอไปถึงอุทัยรอต่อรถไป อ.ลานสัก เจอพี่ชายคนหนึ่งอัธยาศัยดีมาก เข้ามาทักทายและจะไป อ.ลานสัก ด้วยกันพอดี เขาคอยดูและบอกเส้นทางให้ตลอด เลยลงถูกที่ แต่ก็ถึงเช้าอยู่ดี ไม่มีรถเข้าไป เลยเดินเท้าเปล่าแบกเป้ไปอีกประมาณสามกิโล ผ่านไร่มัน ป่า เขา ไปจนถึง แม่ชีที่อยู่ที่นั่นทักว่า มาได้ยังไงเนี่ย ไม่หลงเลย แสดงว่าต้องมีอะไรกับที่นี่มาก่อน เพราะคนจะเข้ามาที่นี่ได้ส่วนใหญ่จะหลงทางหรือหาทางเข้ามายากกว่าจะเข้ามาได้น่ะ คือเหมือนมีใครวางแผนการเดินทางให้เลยน่ะ ตั้งแต่ขึ้นรถ การเดินทางไม่มีอุปสรรค
ไปถึงครั้งแรกก็เดินแบกเป้เข้าไปตรงเข้าไปผ่านกลุ่มหมาฝ่ายอธรรม มันก็เห่าๆ หลวงพ่อท่านหนึ่งเดินมาทักมา มาทำอะไรโยม อย่าเข้ามาทางนี้หมาดุ มันจะกัดเอา แต่ตอนนั้นไม่กลัวเลย เพราะชีวิตนี้ไม่เคยถูกหมากัดน่ะสิ อิอิ มาหาหลวงปู่ครับ หลวงปู่อยู่ที่โรงครัว เลยเข้าไปกราบแต่ไม่ค่อยได้ได้พูดอะไรมากมาย เพราะถูกหมาฝ่ายธรรมะ เจ้าดำมันปล้ำเอา มันเหมือนกับว่าไม่ได้เจอเพื่อนที่คุ้นเคยกันมานานแสนนาน มันดีใจกระโดดใส่ทั้งตะปบ ทั้งถีบ ทั้งเลีย สารพัด เสื้อขาวที่ใส่ไป ไม่เหลือ เท้าหมาเต็มเลย 555 หลวงปู่ห้ามมันก็ไม่ฟัง อยู่ที่นั่นกินมื้อเดียว หลวงปู่ให้ลุงแกพาไปพักที่กุฎิท้ายสุด พอเปิดเข้าไปโอ้ว แม่เจ้า ยังกะร้างมาหลายปี เอาเป็นไงเป็นกันทำความสะอาดไปครึ่งวัน คืนแรกด้วยสถานที่เงียบวังเวงแต่ตัวคนเดียว เรื่องผีย่อมกลัวเป็นธรรมดา ไฟในกุฎิดันเสียอีก เหอๆ คืนนั่นสวดมนต์ สวดๆ ข่มความกลัว สองชั่วโมงได้ หนังสือสวดมนต์ทั้งเล่มเตรียมไปอยู่น่ะ ที่นี่มีหมาเยอะมากประมาณสามสิบกว่าตัว แต่จะแบ่งเป็นกลุ่มๆ ประมาณสามกลุ่ม ล้ำเขตกันเป็นเรื่องกัดกันตลอด จากนั้นเองเราก็ได้บอดี้การ์ดสองตัวซึ่งมาจากกลุ่มธรรมะ คอยเป็นบอดี้การ์ดรับส่งตลอด ชุดขาวเตรียมไปสี่ชุดไม่เหลือเปื้อนเท้าหมา ทุกวัน แถมยังนั่งนอนเฝ้าหน้ากุฎิตัวหนึ่ง มาที่นี่ไม่ค่อยได้คุยกับใครนอกจากหมา เอ๊ะ คุ้นกับหมามากกว่าคนอีกนะ กลางวันหาเสร็จภาระกิจกวาดทำความสะอาดสถานที่ก็มานั่งในกุฎิเปิดตำราปฏิบัติเอง เป็นอย่างนี้ห้าวันได้ จนวันสุดท้ายต้องกลับ แม่ชีบอกให้ไปลาศีลแปดกับหลวงปู่ ก็เตรียมดอกไม้ธูปเทียนขึ้นไปที่โรงฉัน คราวนี้ได้เรื่องเพราะมันต้องผ่านกลุ่มพวกเหล่าอธรรม ที่เฝ้าหน้าบันไดประมาณเจ็ดตัว ยิ่งมันเห็นเราใส่ชุดแปลกด้วยแล้ว เอาเรื่องเลย เจ้าตัวที่ว่าดุที่สุด เข้ามาก่อน แล้วพวกสมุนก็ตามมาล้อม หลวงพี่อยู่ด้านบนได้ยินเสียงดัง รีบมาห้ามไล่ แต่สายไปแล้วอ่ะ เจ้าตัวที่ดุยังกะเสือน่ะ มางับที่น่องแล้ว ตกใจเฮ้ย เอาจริง กางเกงยีนวุ้ย จังหวะนั้นหลวงพี่ไล่ทัน พวกนั้นเลยหลบๆไปก่อน แต่มิวายฝังคมเขี้ยวไว้ที่น่องเราแล้ว ถลกกางเกงเลือดซิบ หลวงปู่ถามเป็นไรไหม ไม่เป็นไร ไม่เข้า (แต่ใจหล่นใจหายไปหมด) เหงื่อแตก ลาศีลไม่เป็นเรื่องเลย แต่ขณะลงมาก็เจอพวกหมาหมู่ที่รุมเราตะกี้เฝ้าอยู่เหมือนเดิม แต่มันน่าแปลกใจนักที่ว่าทำไมพวกมันไม่เห่า ไม่สนใจเราเลยว่ะ มันหมอบนอนนิ่งกันหมด นี่จะเดินเหยียบหางเจ้าตัวที่ดุที่สุดแล้ว มันหมอบไม่สนใจเราเลย เลยเดินออกมาอย่างฉงน มาคิดตอนหลังว่าว่ามันสะใจที่ได้กัดเราแล้ว เลิกแล้วต่อกันรึป่าว มันรอเวลานี้มานานรึป่าวนะ ใครให้คำตอบเรื่องนี้ได้บ้างเอ่ย พวกหมาที่เคยดุร้ายทุกวัน แต่พอมันได้กัดเราแล้ว มันเชื่องหมอบยังกะแมวทุกตัว เพราะอะไร? แต่ตอนนั้นน่ะ โกรธ จะไม่กลับมาที่นั่นอีก กลับไปได้ลากปืนไปยิ่งเจ้านั่นไส้แตกเชียว (แน่ะ ไอ้ที่ปฏิบัติมาไม่ได้ช่วยอะไรเลยตอนนั้น) ตอนนี้อโหสิกรรมนะ เลิกแล้วต่อกัน ถือว่าเราไปชดใช้กรรมให้เขา เขาอาจรอคอยเรา อดีตเราอาจเคยไปทุบหัวเขาไว้ก็ได้เนาะ
...แดนหนึ่ง ถิ่นแห่งความงาม ช่างเลอล้ำ นามสมญา ว่าเมืองอุทัย ฯ มีเขาสูง สะแกกรัง ตั้งกลางใจ.... ร้องเพลง " อ้อมอกอุทัย " ให้ฟังยามเช้า..อิอิ ต้องขอชื่นชมปนสนเท่ห์ คุณพวินมากค่ะ อุทัยธานี เป็นเมืองเล็กๆ สงบ ถ้าใครไม่ตั้งใจไปจริงๆ รับรองไม่มีโอกาสได้ไปเมืองอุทัยธานี แล้วคุณพวิน เดินทางไปถึงวัดได้โดยสะดวกขนาดนั้น นับว่าไม่ธรรมดาค่ะ..คนอุทัยธานีรู้จักวัดนี้ มีไม่กี่คน นายแน่มากกกกก... ปล.ไม่เชื่อ...ถามมิกกี้จิ นั่นนั่งรถมาจากพัทลุงตั้งใจมาอุทัยธานี..อิอิ
.....พรุ่งนี้จะจับสลากแล้วค่ะ.. รายชื่อผู้ร่วมกิจกรรม..ต้อนรับวันวาเลนไทน์ (จับสลาก ๙ ก.พ.๕๘) ๑. คุณ Fangkie ๒. คุณ sachee ๓. คุณ tanin2507 ๔. คุณ nite ๕. คุณ huten ๖. คุณ aries ๗. คุณกะปิหวาน ๘. คุณ น้องใหม่ 2008 ๙.คุณพวิน ปล.ก็อยากเห็นคนมีความสุขและรักกัน..อิอิ :z11
หญิงบอบบาง ลากกระเป๋าขึ้นรถทัวร์ เดินทางจากพัทลุงมุ่งสู่ กรุงเทพ 13 ชม แวะต่อรถเพื่อขึ้นสู่เมืองอุทัยอีก 3 ชม โดยไม่แวะพักเหนื่อย ถึงที่หมาย..รอคนมารับ ซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน..แล้วเดินทางต่อ สู่วัดแจ้ง เมื่อพบใครบางคนที่นั่น (เพื่อร่วมพิธีเททองหล่อองค์พ่อตาก) แล้วก็เดินทางต่อไปยังสถานที่เป้าหมาย..เป็นเช่นนี้มาหลายครั้ง หลายครา มีคนถามมากมาย เราไม่กลัวรึ? เดินทางคนเดียว? สู่เมืองที่มิเคยไปมาก่อน? เพียงเพื่อพบใครบางคนที่นั่น ที่ไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้ากันมาก่อน..อิอิ เราบอกมิเคยกลัว (เอ่อ..ทำไมไม่กลัวหว่า).. และเคยเดินทางจากบึงกาฬ สู่กทมเพื่อเปลี่ยนรถ ต่อเนื่องสู่พัทลุงโดยไม่แวะพัก 20 กว่า ชม..อ่าอ่า
เป็นผมร้องไห้กลับบ้านตั้งแต่เจอฝูงหมาละ กลัวที่สุดในโลกเลย ไม่ค่อยจะถูกกันเลย เห็นหน้าเราทีไร ชอบแซวแล้ววิ่งกรูเข้ามาหา บรื๋อออ..
เราเคยไปวัดนี้เหมือนกัน แล้วก็มีโอกาสได้กราบ หลวงพ่อฯ ด้วย แต่มีเหตุให้ต้องวิ่งแจ้น กลับอีกวัดเป็นการด่วน เลยยังมิมีโอกาสปีนเขา ขึ้นถ้ำฯ อ่ะนะ