หลวงพ่อฤๅษี สนทนาธรรมกับ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ถึงหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 5 พฤศจิกายน 2014.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]


    เมื่อเจอกัน หลวงปู่สิมได้นิมนต์ให้หลวงพ่อฤๅษีฯ ขึ้นนั่งบน อาสนะที่วางอยู่บนยกพื้นสูงขึ้นไป ส่วนหลวงปู่สิม คงนั่งอยู่บนอาสนะ ที่พื้นล่าง แต่หลวงพ่อฤๅษีฯได้ปฏิเสธ ขอนั่งบนพื้นล่างเสมอกับ หลวงปู่ สิม

    ในคำสนทนาตอนหนึ่ง หลวงพ่อฤๅษีท่านได้ปรารภว่า “หลวงปู่ ตื้อไปเสียแล้ว เสียดายจริงครับ”

    หลวงปู่สิมท่านพึงพอใจที่กล่าวถึงครูบาอาจารย์ของท่าน ที่ท่านเคารพ จึงได้ถามว่า “ท่านเคยไปเยี่ยมหลวงปู่หรือ?”

    “เจอกันครับ ทะเลาะกัน” หลวงพ่อฤๅษี ตอบยิ้มๆ ท่านหมาย ความว่าได้โต้ตอบโอวาทธรรมกันไม่ใช่ทะเลาะกัน

    “หลวงปู่ตื้อ ปฏิภาณโวหารมาก” หลวงปู่สิมพูดยิ้มๆ

    “หลวงปู่ตื้อดีมากครับ ปฏิภาณเก่งจริงๆ ยอดจริงๆ นี่ได้ตัวยอด ปัญญาจริงๆ หายาก เสียดาย” หลวงพ่อฤๅษีฯ กล่าวต่อ

    หลวงปู่สิม ท่านก็กล่าวเสริมขึ้นว่า “เคยถามหลวงปู่ตื้อสมัยท่าน มีชีวิตว่า เอ…พระที่มีปฏิภาณโวหารนี้มีอยู่หรือในประเทศไทย หลวงปู่ ตื้อตอบว่าไม่มี แต่ไอ้ปฏิภาณโวหารมันมี แต่ว่าเพื่อนมักจะขัดคอ”

    “ธรรมดาหลวงปู่เก่งจริงๆ ตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างคาดไม่ถึง…เสียดายหลวงปู่ตื้อ ถึงหลวงปู่ตื้อไม่มีรูป แต่ยังมีพิษนะครับ ฤทธิ์เดชมีมาก” หลวงพ่อฤๅษีฯ กล่าวต่อ

    “บางทีหลวงปู่ตื้อ จะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ หลวงปู่สิมพูดยิ้มๆ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ โพล่งออกมาทันทีว่า “ฮึ หลวงปู่ตื้อมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมา ท่านมานานแล้ว ไม่จะหรอกครับ ท่านเป็นพระที่น่ารักมาก”

    “ครับ” หลวงปู่สิมตอบยิ้มละมัย

    “ชอบในปฏิปทาของหลวงปู่ตื้อ คือไม่อั้นใครทั้งนั้น เรื่องตอบเลี่ยงคน ไม่มี ตรงไปตรงมา หายาก” หลวงพ่อฤๅษีฯ กล่าวต่อไป

    “ครับ” หลวงปู่สิมตอบรับ

    “นี่ ธรรมแท้ ถ้าทำขึ้น ทำ ละพังเลย ขืนตั้งกำแพงเมื่อไร ชนพังเมื่อนั้น ดีจริง หายาก หาไม่ได้ แต่ก็ยังมีอยู่ที่นี่ก็ยังมีรูปหนึ่ง หลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า

    “ใครครับหลวงพ่อ” ลูกศิษย์ท่านหนึ่งเรียนถาม

    “นี่…อยู่ตามถ้ำนี้แล้วไม่ช้าหรอกไม่ช้าก็เป็นหลวงปู่ตื้อ รูปที่สอง”

    ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ตอบอย่างนั้น ท่านหมายถึงหลวงปู่สิม จะเป็น พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเหมือนหลวงปู่ตื้อ

    หลวงปู่สิม หัวเราะน้อยๆ ไม่กล่าวอะไร

    ต่อมาหลวงพ่อฤๅษีฯ ได้เล่าให้ลูกศิษย์ทั้งหลายฟังถึงเรื่องนี้ ในภายหลังว่า หลวงปู่ตื้อมาถ้ำผาปล่องนานแล้ว ท่านนั่งอยู่บนอาสนะที่ยกพื้นนั้น

    ฉะนั้น ตอนที่หลวงปู่สิมนิมนต์ให้หลวงพ่อฤๅษีฯ นั่งบนยกพื้น ท่านจึงไม่ยอมนั่ง เพราะจะเป็นการขึ้นไปนั่งเทียบเสมอหลวงปู่ตื้อ ซึ่งไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อฤๅษีฯ จึงขอนั่งเสมอหลวงปู่สิม

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นพระอรหันต์ทรงคุณธรรมพิเศษ ยอดยิ่ง ได้ปฏิสัมภิทาญาณ คือ มีความรู้พร้อมในหัวข้อธรรมวินัยอย่างยอดเยี่ยมเป็นเลิศ อันเป็นคุณวิเศษที่เรียกว่า เหนืออัจฉริยะ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน


    http://larndham.org/index.php?/topi...าธรรมกั/page__pid__809472__st__0&#entry809472

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ สนทนาธรรมกับ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ถึงหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม - ลานธรรมเสว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2015
  2. moonoiija

    moonoiija เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2014
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +198
  3. Phanuwatt

    Phanuwatt Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +100
    สาธุครับ
     
  4. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     
  5. BADDOGGG

    BADDOGGG สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +12
    ตรวจสอบด้วยครับ

    ถ้าหลวงปู่ตื้อท่านบรรลุอรหันต์ ท่านจะมาได้ไงครับ เพราะเมื่อท่านมรณะภาพจิตของท่านไม่มาเกิดแล้วครับ
     
  6. Saksurat

    Saksurat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +529
    ในนี้น่าจะมีอะไรให้ชวนคิดครับลองอ่านดูหน่ะครับ

    ในวันที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
    บรรลุธรรมขั้นสูงสุด

    ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้เขียนบรรยายตามที่ท่านได้ฟังมาจากหลวงปู่มั่น โดยตรง ดังนี้

    ในเวลาไม่นานนักนับแต่ท่าน (หลวงปู่มั่น) ออกรีบเร่งตักตวงความเพียรด้านมหาสติมหาปัญญา ซึ่งเป็นสติปัญญาธรรมจักรหมุนรอบตัว และรอบสิ่งที่เกี่ยวข้องไม่มีประมาณตลอดเวลา ในคืนวันหนึ่งเวลาดึกสงัด ท่านนั่งสมาธิภาวนาอยู่ชายภูเขาที่มีหินพลาญกว้างขวางและเตียนโล่ง อากาศก็ปลอดโปร่งดี ท่านว่าท่านนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงต้นเดียว มีใบดกหนาร่มเย็นดี ซึ่งในตอนกลางวันท่านก็เคยอาศัยนั่งภาวนาที่นั้นบ้างในบางวัน

    นับแต่ตอนเย็นไปตลอดจนถึงยามดึกสงัดของคืนวันนั้น ท่านว่าใจมีความสำผัสรับรู้กับปัจจยาการคือ อวิชชาปัจจยาสังขาร เป็นต้นเพียงอย่างเดียว ทั้งเวลานั่งเข้าที่ภาวนาจึงทำให้ท่านสนใจจุดนั้น โดยมิได้สนใจกับธรรมหมวดอื่นใด ตั้งหน้าพิจารณาอวิชชาอย่างเดียวแต่แรกเริ่มนั่งสมาธิภาวนา โดยอนุโลมกลับไปกลับมาอยู่ภายใน อันเป็นที่รวมแห่งภพชาติ กิเลสตัณหา มีอวิชชาเป็นตัวการ

    เริ่มแต่สองทุ่มที่ออกจากทางจงกรมแล้วเป็นต้นไป ตอนนี้เป็นตอนสำคัญมากในการรบของท่าน ระหว่างมหาสติมหาปัญญาอันเป็นอาวุธคมกล้าทันสมัย กับอวิชชาซึ่งเป็นข้าศึกที่เคยทรงความฉลาดในเชิงหลบหลีกอาวุธอย่างว่องไว แล้วกลับยิงโต้ตอบให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับพ่ายแพ้ยับเยินไม่เป็นท่า และครองตำแหน่งกษัตริย์วัฏฏจักรบนหัวใจสัตว์โลกต่อไปตลอดอนันตกาล ไม่มีใครต่อสู้ฝีมือได้ แต่ขณะที่ยุทธศาสตร์สงครามกับท่านพระอาจารย์มั่นในคืนนั้น ประมาณราวตี ๓ ผลปรากฏว่า ฝ่ายกษัตริย์วัฏฏจักรถูกสังหารทำลายบังลังก์ลงอย่างพินาศขาดสูญ ปราศจากการต่อสู้และหลบหลีกใดๆ ทั้งสิ้น กลายเป็นผู้สิ้นฤทธิ์สิ้นอำนาจ สิ้นความฉลาดทั้งมวลที่จะครองอำนาจอยู่ต่อไป

    ขณะกษัตริย์อวิชชาดับชาติขาดภพลงไปแล้ว เพราะอาวุธสายฟ้าอันสง่าแหลมคมของท่านสังหาร ท่านว่าขณะนั้นเหมือนโลกธาตุหวั่นไหว เสียงเทวบุตรเทวธิดาทั่วโลกธาตุประกาศก้องสาธุการ เสียงสะเทือนสะท้านไปทั่วพิภพ ว่าศิษย์พระตถาคตปรากฏขึ้นในโลกอีกหนึ่งองค์แล้ว พวกเราทั้งหลายมีความยินดีและเป็นสุขใจกับท่านมาก แต่ชาวมนุษย์คงไม่มีโอกาสทราบ อาจมัวเพลิดเพลินหาความสุขทางโลกเกินขอบเขต ไม่มีใครสนใจทราบว่าธรรมประเสริฐในดวงใจเกิดขึ้นในแดนมนุษย์เมื่อสักครู่นี้

    พอขณะอัศจรรย์กระเทือนโลกธาตุผ่านไป เหลือแต่วิสุทธิธรรมภายในใจอันเป็นธรรมชาติแท้ ซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ร่างกายและจิตใจ แผ่กระจายไปทั่วโลกธาตุในเวลานั้นทำให้เกิดความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ตัวเองมากมาย จนไม่สามารถจะบอกกับใครได้ ที่เคยมีเมตตาต่อโลกและสนใจจะอบรมสั่งสอนหมู่คณะ และประชาชนมาดั้งเดิมเลยกลับหายสูญไปหมด เพราะความเห็นธรรมภายในใจว่าเป็นธรรมละเอียดและอัศจรรย์จนสุดวิสัยของมนุษย์จะรู้เห็นตามได้ และเกิดความท้อใจจนกลายเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ไม่คิดจะสั่งสอนใครต่อใครต่อไปในขณะนั้น คิดจะเสวยธรรมอัศจรรย์ในท่ามกลางโลกสมมติแต่ผู้เดียว ใจหนักไปทางรำพึงรำพันถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูผู้รู้จริงเห็นแจ้ง และสั่งสอนเวไนยสัตว์เพื่อวิมุติหลุดพ้นจริงๆ ไม่มีคำโกหกหลอกลวงแฝงอยู่ในพระโอวาทแม้บทเดียวเลย แล้วกราบไหว้บูชาพระคุณท่านไม่มีเวลาอิ่มพอตลอดคืน

    จากนั้นก็มีเมตตาสงสารหมู่ชนเป็นกำลัง ที่เห็นว่าสุดวิสัยจะสั่งสอนได้ โดยถือเอาความบริสุทธิ์และอัศจรรย์ภายในใจมาเป็นอุปสรรค ว่าธรรมนี้ไม่ใช่ธรรมของคนมีกิเลสจะครองได้ ถ้าสั่งสอนใครก็เกรงจะถูกหาว่าบ้า ว่าไปหาเรื่องอะไรมาสอนกัน คนดีๆ มีสติสตังอยู่บ้างเขาจะไม่นำเรื่องทำนองนี้มาสอนดังนี้กันทั่วโลก จะมีใครอาจรู้เห็นตามได้ พอเป็นพยานให้เกิดกำลังใจในการสอน นอกจากจะอยู่ไปคนเดียวอย่างนี้ พอถึงวันตายเท่านั้นก็พอแล้วกับความหวังที่อุตส่าห์เสาะแสวงหาเป็นเวลานาน อย่าหาเรื่องร้ายใส่ตัวเองเลย จะกลายเป็นว่าทำคุณกลับได้โทษ โปรดสัตว์กลับได้บาปไปเปล่าๆ

    นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกับท่านขณะที่ค้นพบธรรมอัศจรรย์ใหม่ๆ ยังมิได้คิดอะไรให้กว้างขวางออกไป พอมีความเชื่อมโยงถึงการอบรมสั่งสอนตามแนวศาสนธรรมที่พระศาสดาพาดำเนินมา ในวาระต่อมาค่อยมีโอกาสทบทวนธรรมที่รู้เห็น และปฏิปทาเครื่องดำเนินตลอดตัวท่านเองที่รู้ธรรมอยู่ขณะนั้นว่า ก็เป็นมนุษย์เดินดินกินผัก กินหญ้า เหมือนโลกทั่วๆ ไปไม่มีอะไรพิเศษแตกต่างกัน พอจะเป็นบุคคลพิเศษสามารถรู้เฉพาะผู้เดียว แต่ประทานไว้เพื่อโลกทั้งมวลทั้งก่อนและหลังการเสด็จปรินิพพานผู้ตรัสรู้มรรคผลนิพพานตามพระองค์ ด้วยปฏิปทาที่ประทานไว้มีจำนวนมหาศาลเหลือที่จะนับประมาณมิได้ มิได้มีเฉพาะเราคนเดียวที่กำลังมองข้ามโลกว่าไร้สมรรถภาพอยู่เวลานี้

    พอพิจารณาทั้งเหตุและผล ทั้งต้นและปลายแห่งพระโอวาท ที่ประทานปฎิปทาทางดำเนินเพื่อมรรคผลว่า เป็นธรรมสมบูรณ์สุดส่วนแก่สัตว์โลกทั่วไป ไม่ลำเอียงต่อผู้หนึ่งผู้ใดที่ปฏิบัติชอบอยู่ จึงทำให้เกิดความหวังที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นขึ้นมา มีความพอใจที่จะอบรมสั่งสอนแก่ผู้มาเกี่ยวข้องอาศัย เท่าที่สามารถทั้งสองฝ่าย

    หลังจากหลวงปู่มั่นท่านเดินถึงทางวิมุติแล้ว คืนต่อๆ มามีพระพุทธเจ้าพร้อมสาวกจำนวนมาก เสด็จมาอนุโมทนาวิมุติธรรมกับท่าน คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับสาวกเป็นจำนวนหมื่นเสด็จมาเยี่ยม

    อีกคืนพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีพระสาวกจำนวนเท่านั้นเสด็จมาเยี่ยมอนุโมทนา จำนวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละองค์นั้นมีจำนวนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ท่านว่าขึ้นอยู่กับวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไม่เหมือนกัน

    ที่พระสาวกตามเสด็จมาด้วยแต่ละพระองค์นั้น มิได้เสด็จตามมาทั้งหมดในบรรดาพระสาวกของแต่ละพระองค์ที่มีอยู่ แต่ที่ตามเสด็จมากน้อยต่างกันนั้นพอแสดงให้เห็นภูมิวาสนาบารมีของแต่ละพระองค์นั้นต่างกันเท่านั้น

    บรรดาพระสาวกจำนวนมากของแต่ละพระองค์ที่ตามเสด็จมานั้น มีสามเณรติดตามมาด้วยแต่ละครั้งไม่น้อยเลย หลวงปู่สงสัยจึงพิจารณาก็ทราบว่า คำว่าพระอรหันต์ในนามธรรมนั้น มิได้หมายเฉพาะพระ แต่สามเณรที่มีจิตบริสุทธิ์หมดจดก็นับเข้าใจในจำนวนสาวกอรหันต์ด้วย ฉะนั้นที่สามเณรติดตามมาด้วยจึงไม่ขัดกัน

    ในพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประทานอนุโมทนาแก่หลวงปู่มั่นนั้น พอประมวลโดยรวม มีสาระส่วนใหญ่ดังนี้

    เราตถาคตทราบว่าเธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแหล่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก และมีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมา ว่าเป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่างๆ ก็เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น

    ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโลกกิเลสตัณหาภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อไร สิ่งตายตัวคือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมจะไม่มีวันหาย ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล

    ธรรมแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรม ธรรมก็อยู่แบบธรรมสัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้นสุดทุกข์ลงได้เมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเองโดยยึดธรรมมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงไรผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทที่คอยรับยาอยู่เท่านั้น

    ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอยู่อย่างเดียวกันคือ สอนให้ละชั่วทำดีทั้งนั้น ไม่มีธรรมพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่กิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลกที่พิเศษเหนือธรรมที่ประกาศสอนไว้ เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้ว เป็นธรรมที่ควรรื้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผู้รับฟังและปฎิบัติตามจะยอมแพ้ต่อกิเลสตัณหาของตัวเองเสียเอง แล้วธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น

    ที่นี่เธอเห็นตถาคตจริงแล้วมิใช่หรือ พระตถาคตแท้คืออะไรคือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล ที่พระตถาคตมาในร่างนี้มาในร่างแห่งสมมติต่างหาก เพราะตถาคตและพระอรหันต์อันที่จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้ นี่เป็นเพียงเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมติเท่านั้น

    หลวงปู่ได้กราบทูลถามว่า ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยคือพระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพาน ไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่เลย แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร ?

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์กายใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมติอยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมติตอบรับ คือต้องมาในร่างสมมติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพานด้วยกัน แล้วไม่มีส่วนสมมติอยู่ ตถาคตก็ไม่มีอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก ฉะนั้นการมาในร่างสมมตินี้เพื่อสมมติเท่านั้น ถ้าไม่มีสมมติอย่างเดียวก็หมดปัญหา

    พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีต อนาคตก็ทรงถือเอานิมิตคือสมมติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้นๆ มาเป็นเครื่องหมายให้ทราบเช่น ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไรเป็นต้น ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ และพระอาการนั้นๆ เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมติของสิ่งนั้นๆ เป็นเครื่องหมายก็ไม่มีทางทราบได้ในสมมติเพราะวิมุติล้วนๆ ไม่มีทางแสดงได้

    ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัย หรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน ?

    หลวงปู่ท่านกราบทูล ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมติและวิมุติของพระพุทธองค์ทั้งหลาย แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพียงเพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมตินั้น แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ ก็มิได้สงสัยว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มิใช่อื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมติในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่เราตถาคตถามเธอมิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย แต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น

    บรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์ และแต่ละครั้งนั้นมิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับหลวงปู่เลย มีพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียว ส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่งฟังอยู่อย่างสงบ น่าเคารพน่าเลื่อมใสมากเท่านั้น

    จากประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ
    โดยพระอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
     

แชร์หน้านี้

Loading...