กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505


    พอกระตุกแล้วคล้ายๆว่าสัปหงกและก็เผลอลืมตาทุกครั้งไป
    และพอนั่งใหม่ก็กลับเข้าสมาธิแบบเดิมได้ยากร่วมด้วย...


    แหม..เหมือนรู้เลยนะท่าน ว่าเราสงสัยมาหลายวันแล้ว
    ว่าอาการแบบนั้น มันคืออะไร บังเอิญล่ะมั้ง นะ ๕๕๕

    ต้องนั่งสมาธิซักพัก เข้าที่ซะก่อน เราถึงจะเจออาการแบบนั้นครับ
    แต่คล้ายเป็นการโยก หรือกระตุกน้อยๆ เท่านั้น เหมือนเครื่องสะดุดมากกว่านะ
    แต่เป็นแค่ครั้งเดียว สะดุดแล้วก็ไปต่อได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ
    โชคดีจัง ไม่ต้องถาม ท่านนพก็พาคำตอบมาให้ซะแล้ววว ขอบคุณคนถามด้วยครับ

    แต่หลังสะดุดแล้ว รู้สึกว่าจิตนิ่งยาวเลยแฮะ ลึกลงไปได้อีกระดับนึงเลยนะ
    สำรวจดูทั้งจิต สแกนดูทั้งกาย แล้วก็รู้สึกแปลกๆ ทำไมมันเงียบสงบจังน๊า
    ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยครับ ก่อนและหลังเครื่องสะดุดนั่นน่ะ

    ก็เพิ่งจะแน่ใจ ว่าคงเป็นการไต่ระดับของฌาน ก็สงสัยไว้แบบนั้นเหมือนกัน
    เพราะอาการทางจิต มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าสงบระงับ ลึกซึ้งดื่มด่ำ
    อาณาเขตภายในขยายออกไปอย่างมากมาย โล่งเชียว
    แล้วจิตก็ทำงานที่รอบสูงๆ แต่เครื่องเดินเงียบกริบ พลังงานคงที่ มิหวั่นไหวใดๆ

    ขอบคุณครับ ที่ยืนยันข้อมูล การไต่ระดับขึ้นสู่ชั้นสตราโตสเฟียร์ ๕๕๕

    แหม..พอพิมพ์ถึงตรงนี้ ชักสงสัยไอ้สตราโตสเฟียร์นี่มันอะไรวะ ไม่แน่ใจ
    เลยถามอากู๋ดู ตามระเบียบ คำตอบก็ชัดเจน ถูกต้อง ๕๕๕

    บรรยากาศชั้นนี้ไม่แปรปรวน มีเสถียรภาพมากและทัศนวิสัยที่ เหมาะสมสำหรับ สำหรับการบิน

    แปะที่อ่านเจอมาให้ชมซักนิดละกัน แหม..เหมาะสมดีนะครับ
    ก็นับว่าเป็นการยกตัวอย่างที่ดีนะ ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ท่านนพว่าไม๊

    (ครั้งต่อไป จะลองมองหานางนวลโจนาทานด้วยอ่ะ ไม่รู้มาบินแถวนี้บ้างป่าว ๕๕๕ คิดถึงจัง)

    คิดว่าคงเป็นเพราะเครื่องของเราติดเทอร์โบพลังลมปราณไว้ซะล่ะมั้ง
    น่าจะเป็นทวินเทอร์โบซะด้วย ๕๕๕ พลังเลยแยะ ไปต่อได้ ไม่มีสิ้นสุด
    ที่สะดุด ก็เพราะระบบเทอร์โบชาร์จทำงานนั่นเอง ต้องใช่แน่เลย เนอะ ท่านนพ

    อ้อ.รบกวนท่านช่วยตอบปัญหาเรื่องวิญญานกสิณ ในทู้โน้นให้ด้วยสิครับ
    ถามไปเมื่อวาน ไม่มีใครตอบให้โดนใจได้เลย ๕๕๕ รบกวนหน่อยนะครับ


    กระต่ายป่า ข้างวัด / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  2. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ .. ดิฉันกลับมาฝึกต่อแล้วนะคะ กำลังใจเริ่มกลับมาบ้างแล้ว พลังงานก็เริ่มสัมผัสได้บ้างแล้วหลังจากที่หายไปสักพัก ดิฉันจะส่งการบ้านเป็นบางช่วงนะคะ

    ส่วนอาการของจิต ดิฉันก็รู้สึกว่าดีขึ้นบ้างแล้ว อันนี้ขอบลาๆๆ ไว้ก่อนนะคะ ... .... ฮึ่มๆๆๆ
    ตอนนี้ขอลงชื่อลงทะเบียนเทอฌที่ 2 ไว้ก่อน


    ตอนนี้ถ้าคุณนพจะแนะนำอะไรบ้าง ดิฉันก็ยินดีรับคำชี้แนะเพิ่มเติมค่ะ
    :cool::cool::cool:

     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ช่วงนี้ให้จิตมีความคุ้นเคย สม่ำเสมอกับการเชื่อมข้างบนให้เป็นปกติธรรมดาไปก่อนครับ
    แต่อย่าลืมว่ามันจะควบคู่กับกะแสเมตตาที่ออกไปภายนอกด้วย กะแสเมตตานี้มันจะดึงพวก
    กะแสความคิดในสมองเราลงให้ลงมาเชื่อมกะแสเมตตาที่หน้าอก ถ้าเมื่อก่อนกะแสความคิด
    มันจะหมุนวนในกะโหลก แต่ตอนนี้มันตรงมาเชื่อมที่ช่วงหน้าอกหรือลิ้นปี่แล้ว และก็ไหลขึ้นตรงไปยัง
    กะโหลกส่วนหน้าและออกไปเชื่อมกะแสครูบาร์อาจารย์ข้างบนคับ
    ช่วงนี้ให้ฝึกขยายวงสมาธิด้วยการอุทิศส่วนกุศลแบบรวมบารมีพระและบารมีเราไว้ให้มาก
    กะแสที่ว่านี้ต่อไปก็จะเป็นกะแสจิตปกติของเราได้เองคับ.
    เอาว่าต่อไปคือมีกะแสจากจิตวิ่งผ่านกะโหลกส่วนหน้าได้ทุกครั้ง ทุกเวลานั้นหละคับ
    ปล.มีที่พึ่งเริ่มเป็นแบบคุณได้ ๒ ถึง ๓ คนอยู่คับตอนนี้

    ลองอ่านๆเรื่องเมตตาบารมีดูไว้ร่วมด้วยก็ดีคับ
     
  4. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    เรียน คุณ nopphakan กระผมขอลงทะเบียนเรียนด้วยนะขอรับ
    กระผมพอจะทราบแล้วขอรับว่า กระผมชอบที่จะบินเดี่ยว...
    ขอท่าน nopphakan ได้โปรดเมตตา:boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ธันวาคม 2014
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ตอบกระทู้ไม่ได้ หลุดหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไร ... รับทราบค่ะคุณนพ
     
  6. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    ช่วงนี้รู้สึกเหมือนเดินถอยหลัง ทั้งๆที่ปฏิบัติไปตามปกติมิได้ขาด มีคำแนะนำมั๊ยครับ เผื่อว่าผมพลาดหรืออ่อนตรงใหนไป ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
     
  7. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ อะไรเป็นตัวบ่งบอกว่ากำลัง หรือวงสมาธิ หรือกระแสที่เราส่งแผ่ออกไปนั้นได้ขยายไปแล้วคะ สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ เพราะถ้าเรายังไม่สามารถ "เห็น" เราจะสังเกตุจากตรงไหนได้บ้างคะ

    การที่เราเริ่มฝึกทางนี้ ทำไมต้องโดนพวกที่มีฤทธิ์แซะด้วยคะ เราไปขวางทางใครหรือ หรือเขาหมั่นไส้อะไรเรา (อันนี้แค่สงสัยค่ะ)

    การจะตรวจสอบว่าเกราะป้องกันเรายังอยู่ดีเหมือนเดิม หรือ อ่อนกำลังลงไปแล้ว เราสามารถสังเกตุได้จากไหนคะ

     
  8. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    อนุโมทนาบุญกับคุณนพที่กลับมาให้ความรู้ต่อ
     
  9. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    เกี่ยวกับประเด็นนี้ มีข้อสงสัยเช่นกันคือ เคยอ่านพบจากหลายโพสหลายกระทู้ว่า จะมีบางท่านที่ชอบต่อยอดวิชา ฯ ด้วยการไป ฉวยวิชารึบุญกุศล จากคนอื่นๆ ไม่ว่าจะมีตัวตนรึไม่มีตัวตน ตรงจุดนี้ทำให้สงสัยว่า ในเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น จะไม่ส่งผลต่อดวงจิตที่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นบ้างรึคะ ? เคยได้ยินแต่ประโยคที่ว่า กฎแห่งกรรมนั้นเที่ยงตรงเสมอ แล้วกรณีนี้บทสรุปจะเป็นเช่นใด
    ประการที่สอง ; ในช่วงของการอุทิศบุญกุศล ในครั้งนึง เกิดอาการคล้ายมีอะไรบางอย่างดันเข้ามาจากด้านหลัง ความรู้สึกเริ่มจากศรีษะ กดทับลงมา ทำให้เกิดอาการคล้าย สติลดต่ำลง เหมือนถูกกดวูบจากศรีษะลงสู่ต้นคอ แต่เรารั้งไว้เสียก่อน คือ หยุดอุทิศและยึดสติไว้ เลยสงกะสัยว่า แบบนี้รึเปล่าที่เรียกว่าฉวยโอกาส..?
    ปล.แต่คิดอีกทีอาจมโนไปเอง.
     
  10. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    ท่านไปทำความสงบให้เกิดขึ้นแก่ใจท่านเองให้ดี สมาธิหรือวิปัสสนาใดๆก็ตาม ล้วนใช้ความสงบเป็นพื้นฐาน
    ถ้าท่านทำใจสงบให้เกิดขึ้นทุกครั้งได้ สมาธิและวิปัสสนาท่านก็ไม่ตกลง อริยะมรรค ก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวท่านเองได้ง่าย

    ไม่ว่าใจจะสงบหรือไม่สงบ อาการใดๆหรือการเห็นใดๆที่ปรากฏขึ้นมา โดยผู้ปฏิบัติไม่ได้กำหนดขึ้น อาการและการเห็นนั้นๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติสมาธิ และสิ่งเหล่านี้ทำให้สมาธิตกลง หากไปสนใจ สัตว์โลก ทำสมาธิแล้วไม่ไปไหนก็เพราะหลง ติดสิ่งเหล่านี้

    แม้จะตอบท่านเพียงคนเดียว แต่คำสอนเรานี้สอนทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ล่ะ และคำสอนนี้ให้ถือเป็นที่สุด
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    แนวกระแสจิตแบบคุณคงพลาดยากครับ..ตัวจิตคุณมันเป็นตัวจิตที่เป็น
    ลักษณะกระแส ๒ สายคือ ตัวหนึ่งเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์ข้างบน
    อีกตัวหนึ่งก็ยังสามารถเชื่อมกับระบบพลังงานได้
    ความจริงอยากจะบอกตั้งแต่วันแรกที่ถามแล้วหละครับ..
    แต่ยังไม่เหมาะที่จะพูด.. เรื่องสัมผัสอะไร
    ต่างๆหรือเรื่องเกี่ยวกับพลังงาน.ต่อไปในอนาคตคุณจะเจอเป็น
    ปกติครับ..เพราะจิตเดิมมันสะสมบารมีมาทางด้านนี้...
    และต่อไปในอนาคต
    คุณกลับมาอ่านกระทู้นี้อีกรอบ..หลังจากที่จิตพัฒนาไปแล้วก็จะเข้า
    ในสิ่งต่างๆที่ได้แนะนำคนอื่นๆไปแล้วได้อย่างดีครับ..
    แค่เราเผลอไปนึกย้อนเปรียบเทียบกับที่ผ่านมาจึงเกิดความคิดเช่นนั้น..
    ปกติแล้วคนที่แนวทางกระแสจิตอย่างนี้..จะต้องระวังแค่เรื่องเดียว
    หากว่าในวันใดวันหนึ่งเกิดมีความสามารถพิเศษขึ้นมา ก็คือมั่นใจว่า
    ตนเองเก่ง.แล้วจะทำให้พลาดหากไปเจอ.พวกจอมคาถา พวกหมอธรรม
    ที่นิสัยไม่ค่อยดี..แล้วพันธมิตรและกำลังจิตพื้นฐาน
    ตลอดจนสายตาเราไม่ดีพอ..
    จะทำให้หงุดหงิดรำคาญใจและทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่อร่างกาย
    แบบไม่น่าที่จะเกิดได้...
    เด่วจะเล่าอะไรให้อ่านเล่นๆก่อนนะครับ...


    การปฏิบัติถ้าเราจะตั้งเป้านะครับ...ก็คือสามารถทำให้จิตสงบ..จิตว่างได้
    ในเวลาปกติทั่วๆไปที่เราใช้ชีวิตร่วมกับสังคมได้แยบยลครับ...
    และถ้าเป็นไปได้ก็ให้สงบได้ในขณะที่ร่างกายยังเจ็บป่วยก็จะดีมากครับ..
    หรือแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเราก็ตาม..ก็ไม่ทำให้จิตเราเข้าไปร่วม
    เข้าไปปรุงแต่งตรงนี้...

    อริยทรัพย์คือความว่าง ในความว่างนั้นยังมีดวงจิตอยู่ จิตที่ว่างจากกิเลส
    จิตที่ว่างจากความคิด จิตที่ว่างจากความยึดหมั่นถือหมั่น จิตที่ว่างจาก
    อารมย์ เข้าถึงจะสงบ..มาถึงขั้นนี้ได้ในเวลาปกติแล้วไซร์..ต่อไปตัวจิต
    เค้าก็จะพัฒนาขึ้นมาได้จนรู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ เมื่อรู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์
    เข้าถึงจะไม่เกิดครับ...
    เราปฏิบัติอะไรมาก็ตาม เพื่อนำกำลังสมาธิที่ได้จากตรงนี้.นำกำลัง
    สมาธิสะสมที่ได้จากการเจริญสติ นำกำลังสติทางธรรมที่ได้จากตรงนี้
    เพื่อมาสร้างผู้รู้ ตัวใหม่ ก็เพื่อปลายทางให้เราถึงความว่าง..
    แต่เราต้องไม่ลืมว่า เรายังต้องอยู่ร่วมกับสังคม..ยังต้องอยู่ร่วมกับสมมุติ
    การที่เราจะไปเน้นเพื่อให้เข้าถึงกำลังสมาธิระดับใช้งานได้..ในสภาพ
    แวดล้อมอย่างนี้..จึงยังไม่ควรตั้งเป้าไว้สูงเกินไป..เราต้องดูด้วยว่า
    ตอนนี้ภาระทางสมมุติของเรามันคลายหรือยัง...
    เรามีห่วงอะไรอยู่ไหม..ต้องทำมาหากินเพื่อดำรงชีพหรือไม่
    ตลอดจนองค์ประกอบอื่นๆเพื่อการอยู่ร่วมกับสังคมร่วมด้วย
    ตรงนี้พิจารณาควบคู่กันไปครับ....

    เพราะฉนั้นเราปฏิบัติอะไรเราอยู่กับแค่ปัจจุบัน เอาผล ณ ปัจจุบัน
    ตรงนี้..ไม่ต้องไม่ย้อนนึกถึงอดีตที่ผ่าน..ไม่ต้องไม่พูดถึงอนาคต
    ที่ยังมาไม่ถึง...เพราะอะไรนั่นหรือครับ...
    ก็เพราะว่าส่วนจิตของเราทุกวันนี้มันยังเกิดอยู่..วันหนึ่งๆแค่ห้านาที่
    สิบนาทีมันไปไม่รู้ตั้งกี่เรื่อง...ไหนจะเรื่องอดีต เรื่องอนาคต เรื่องคนนั้น
    เรื่องคนนี้..สารพัดเรื่องที่จะคิดในแต่ละวันครับ..ถ้าเราคิดเรื่องดี..
    ก็เป็นสุขเวทนา ถ้าคิดไม่ดีก็เป็นทุกขเวทนา...บางครั้งก็มีความคิดผุด
    ขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจขึ้นมาปรุงแต่งจิตใจเราอีกหรือที่เรียกว่าขันธ์ห้า
    ส่วนนามธรรม...โดยส่วนมากเราจะรู้ ก็ต่อเมื่อมันปรุงแต่งรวมกับความ
    คิดของเราไปแล้ว..เราก็เลยคิดว่าเรารู้ เราเห็น..แต่เราขาดการแยกแยะ
    ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นอาการของจิต อะไรเป็นอาการของขันธ์ห้า
    แล้วจิตของเราเข้าไปร่วมได้อย่างไร....

    เราจึงต้องมาเจริญสติ มาฝึกสมาธิจะด้วยวิธีใดๆก็ตาม..การฝึกสมาธิ
    ตามแบบที่ได้แนะนำไปในกระทู้นี้..ก็เพื่อเป้าหมายที่จะทำให้เราได้
    เห็นได้รู้ว่าจิตเราเข้าไปหลงกับขันธ์ ๕ เข้าไปหลงกับความคิด..
    เข้าไปหลงกับอารมย์ได้อย่างไร...ซึ่งมันจะมีประโยชน์กว่าการที่เรา
    จะพิจารณากายเพียงอย่างเดียวเพราะมันเป็นเพียงด้านรูปธรรมฝ่าย
    เดียวแต่การปฏิบัติเราจำเป็นต้องเข้าใจทั้งด้านนามธรรมและรูปธรรม
    ร่วมด้วยทั้ง ๒ ฝ่าย..การฝึกปฏิบัติตามแนวที่แนะนำนี้จึงได้เน้นทาง
    ด้านนามธรรม..ตลอดจนให้ออกไปเป็นรูปธรรมแบบที่บุคคลอื่นๆสัมผัสได้
    รับรู้ได้ ใช้ได้จริง..ก็จะส่งผลให้ตัวจิตเรามีความเข้าใจในเรื่องต่างๆ
    ตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าแล้วข้างต้นได้ดีขึ้นครับ..และทำให้เราได้เห็นว่า
    การที่เราปฏิบัติไปแล้วรู้ตัวได้ ว่าตอนนี้เราปฏิบัติไม่ได้ เราทำได้ไม่ดี
    เรายังมีกิเลสตัวนั้น..ตัวนี้อยู่..เรายังขี้อิจฉาอยู่ เรายังคิดเล็กคิดน้อยอยู่
    ..เรายังมีความเสียสละต่อส่วนรวมน้อยไป..เรายังชอบพูดถึงคนอื่นๆอยู่..
    เรายังคงคิดว่าเราเก่งกว่าคนอื่นๆอยู่..
    เรายังอยากได้รับการยอมรับอยู่เนื่องจากเข้าใจว่าตนเอง..ฉลาดกว่าใคร
    ดีกว่าใคร..มีปัญญามากกว่าใคร..มีความสามารถพิเศษมากกว่าใคร..
    ตลอดจนชี้ชัดว่าต้องแบบนี้เท่านั้น..ต้องแบบฉันเท่านั้น..ใครเห็นต่าง
    คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ใช่....มันจะทำให้เราเห็นตรงนี้ได้เกือบทั้งหมดครับ..

    ว่าเรายังเป็นอยู่ไหม มันยังมีอยู่ในใจเราไหม..ถ้ายังเป็นยังมีเราก็ค่อยๆ
    ให้ตัวจิตเรามันคลายออกซะ..เพื่อเป้าหมายไม่ให้มันมีตรงนี้...
    จิตเราก็จะเข้าสู่ความสงบได้..แบบไม่ต้องใช้กำลังสมาธิบังคับ
    ไม่ต้องข่มได้เอง ในเวลาปกติ ..แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ทุกๆคน
    มันก็มีวาระของมันอยู่ซึ่ง.ต้องอาศัยความเพียร
    ความต่อเนื่องในการสร้างสมบุญ บารมี
    กันทุกๆคน..ผู้มีปัญญาควรสะสมบุญ เพื่อเป็นทุนหนุนตัวเองให้ขึ้น
    สู่ที่สูงในวันข้างหน้าครับ..รู้ละ รู้วาง รู้ว่าง ทุกนาที เป็นเป้าหมาย
    ที่เราจะไปให้ถึง..ตามแต่แนวทางเดิมของจิตเราที่มันเคยได้สะสม
    มาในอดีต..มาถึงชาตินี้ได้ พอรู้ตรงนี้ได้ เราก็พยายามทำให้มัน
    ถึงเป้าหมายให้ได้ครับ..

    ปล.หวังว่าข้อความที่เขียนให้อ่านคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ..
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040


    เล่านิทานให้ฟังนะ..
    มีอยู่พวกที่เค้าดึงความสามารถพิเศษอะไรจากเราไปเพื่อไปเสริม
    วิชาของเค้า..กลุ่มบุคคลกลุ่มนี้เค้าเรียกว่า พวกที่บำเพ็ญมาทาง
    สายอสูรกาย พวกนี้เป้าหมายเน้นแปลงร่างเป็นอะไรที่ไม่ใช่
    มนุษย์นั่นหละ...คือจะทำให้เค้าลดระยะเวลาในการฝึกลงได้..
    พวกนี้มีกำลังสนับสนุนเป็นระดับภูตหรืออสูรกาย..จะมีความสามารถ
    ทางตา ทางสัมผัสที่ดี บางกลุ่มจะเน้นเรื่องพลังงาน เรื่องเส้นสาย
    อะไรด้วย..ตรงนี้ถ้าจิตเรา.ไปเผลอหลงเชื่อว่า ฝึกอย่างนั้นอย่างนี้
    แล้วจะทำให้เรา สัมผัสดีขึ้นเร็วขึ้น โปรดสัตวนรกได้ อะไรทำนองนี้
    และก็หลอกหล่อว่าเราเป็นระดับพระโพธิฯอะไรประมาณนี้..
    ต่อไปหละก็เสร็จทุกราย..เพราะพวกนี้เค้าจะใช้เสียง หรือใช้การกล่อม
    ร่วมกัน..หรือไม่ก็ให้เรานึกถึงเรื่องความรัก(คิดเอาเองแลัวกันว่าใช่
    แบบเจริญปัญญาทางพุทธเป่า)..พอจิตเราเริ่มอ่อนแอแล้ว..พวกภูติ
    หรืออสูรกายก็จะเจาะผ่านเรา ทางกระโหลกท้ายทอย.ไประเบิดต่อม
    ไพเนียลแกน..เราก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษชั่ว
    ข้ามคืน(คิดๆนะ)..แต่ว่าความสามารถพิเศษพวกนี้มันไม่ใช่ความ
    สามารถที่มาจากตัวจิตเรา เนื่องจากถูกควบคุมจากภายนอก..
    เวลาไปอยู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็จะอยู่ยาก..และจำเริ่มทำให้เรา
    แยกแยะ ชั้นโน้น ชั้นนี้ แบ่งพรรคแบ่งพวก...ที่สำคัญจะหมั่นใจ
    ว่าตนเองดีที่สุด เก่งที่สุด ทำแบบตนนี้หละเป็นพระโพธิฯ...
    แต่สังเกตุดีๆว่า พวกนี้จะสอนคนไม่เป็น..เพราะจะขาดเรื่องการ
    เจริญสติ ขาดปัญญาทางธรรม (ก็จะไม่ขาดได้ไงหละพวกที่คุมจิต
    เค้าจะยอมไหมหละ)...ที่สำคัญบอก สุดแสนจะยากกกก เผลอๆเรา
    จะโดนด่าอีก..และก็จะไปเรื่อยเปื่อยหากออกมาได้นะ..
    ช่วงที่ออกมาเนี่ย วันพระวันโกนจะอยู่ไม่สุข และก็จะเปลี่ยนแนวปฏิบัติ
    ไปเรื่อย ไปฝึกอะไร ปฏิบัติอะไรก็ว่า อันนั้นดีที่สุด..
    และพอให้ไปฝึกความสามารถอะไรที่ต้องใช้กำลังจิตจริงๆ
    จะทำกันไม่ได้..และสุดท้ายก็ว่าไม่ใช่แนว ไม่ใช่ทาง(เพราะ
    ฝึกได้ดี สัมผัสได้ดี แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้นั่นหละ)..๕๕๕๕
    พวกนี้ตายไปก็เป็นอสูรกายที่ดวงจิตออกแดงๆนั้นหละ.หน้าดุๆ
    เหมือนกินเกลือมา..ที่สำคัญนะสังเกตุง่ายๆ ชอบแก้ปัญหาด้วย
    ความรุนแรง....
    .

    ประเด็นต่อมา..ในช่วงที่อุทิศส่วนกุศลกระแสที่จะเชื่อมกับ
    ข้างบนขาดไปชั่วคราว..เนื่องด้วยส่วนหนึ่งจากกำลังสมาธิ
    ที่ไม่หมั่นคงจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม..และด้วยกำลังสมาธิ
    สะสมยังไม่เพียงพอ.การวางอารมย์ในขณะที่อุทิศ
    ส่วนกุศลยังไม่นิ่งพอ...บวกกับการชอบเผลอไปใช้ความคิด
    ในการวิเคราะห์เรื่องนามธรรมต่างๆ..โดยไม่ยอมปล่อยวาง
    หรือเลิกคิดกับเรื่องที่ตัวเองไม่เข้าใจได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่
    สัมผัสได้ มันเลยทำให้ตรงนี้มีกำลังเพิ่มมากขึ้น..
    พอกำลังส่งเราที่ยังไม่แข็งแรงช่วงอุทิศส่วนกุศล
    กำลังความคิดแบบชอบเผลอคิดตรงนี้มันเลยดึง
    กระแสลงมาให้วนภายในกระโหลกและลงมาถึงต้นคอ
    และก็ว๊าบๆไปตึงๆทางหน้าฝากร่วมด้วย
    วนย้อนประมาณนี้นั่นหละครับ..
    วิธีแก้..อะไรก็ตามที่สัมผัสได้ทางนามธรรมถ้าเห็นและรับรู้ครั้งแรกแล้วไม่รู้
    ให้เลิกคิดค้นหาคำตอบให้เสมือนว่าไม่เคยมีในจักรวาลนี้..
    ..จะเกิดสัมผัสพิเศษหรือเครื่องรู้อะไร
    ก็ตามให้มองเป็นธรรมดา ไม่ต้องไม่สงสัยว่าคืออะไร
    เป็นอะไร ใช่หรือไม่ใช่..จนกว่าจะเจริญสติเพิ่มขึ้น..
    เด่วมันจะย้อนรู้ได้ของมันเองทุกเรื่อง...
    ปล.หวังว่าจะเข้าใจครับ.......
     
  13. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    สวัสดีปีเก่าและปีใหม่ครับ มีอะไรอยากถามครับ
    คือตอนที่เคยนั่งสมาธิ เวทนาหาย ลมหาย กายหาย เข้าสู่แสงสว่างนั้น ท่านนพ พอทราบมั้ยครับว่า อันความสว่างที่เราเข้าถึงนั้น มันคือแสงสว่างที่มีมาจากอะไรครับ
    ผมว่าต้องมีหลายคนอยากทราบคำตอบนี้นะครับ ไช่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์หรือเปล่าครับ
    อธิบายขยายความด้วยยิ่งดีครับ ที่มาที่ไป ที่เป็นอยู่ ที่สิ้นสุด ขอบคุณครับ
     
  14. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ตะเอ๋ !!!
     
  15. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    คิดถึงฉันล่ะสิ แก
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    น้าจร เหรอ? ทำไมนิวรณ์ จมูกไว
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    สวัสดีปีเก่าและปีใหม่ทุกๆท่านเช่นกันครับ...อืมๆเรื่องแสงโดยส่วนตัวถือว่าเป็นคำถามที่ดีครับ..
    เด่วขอเล่าแบบทั่วๆไปก่อนนะครับ..
    เพราะโดยกิริยาทางจิตที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับแสงนั้น..เข้าไปข้องเกี่ยวกับการปฏิบัติในระดับ
    กำลังสมาธิที่แตกต่างกันและยังข้องเกี่ยวกับเรื่องของสัมผัสต่างๆที่เกิดในระหว่างทางใน
    หลายๆขั้น..หากว่าขาดการสังเกตุตรงนี้..อาจทำให้เราเผลอหรือเข้าใจผิดได้หรืออาจ
    เผลอคิดว่าเราบรรลุหรือสำเร็จธรรมหรือตลอดจนสำเร็จการปฏิบัติในขั้นนั้นๆได้.แถม
    ยังเป็นตัวขวางการต่อยอดแนวทางการปฏิบัติของเราอีกด้วยครับ...
    โดยปกติแล้วการทำงานของจิตเรานั้น..จะทำงานก็ต่อเมื่อเริ่มเห็นเส้นสาย หรือเริ่มเห็นแสง
    แสงสีต่างๆที่ปรากฏนั้นก็สามารถจะทำให้เราแยกแยะถึงแนวทางจิตดวงนั้นๆได้ ว่าบำเพ็ญ
    บารมีมาทางด้านไหน..และแสงต่างๆที่ปรากฏในขณะที่เราพอมีกำลังสมาธิเล็กน้อย หรือ
    ในช่วงที่เรานอนหลับอยู่ หรือนั่งสมาธิไปได้ไม่นาน...หรือแสง
    ที่เริ่มปรากฏในกำลังสมาธิระดับสูงนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ระดับปฐมฌานนั้น.ตลอดจนแสงที่
    จะเริ่มกลับมาปรากฏอีกครั้งถ้าเราสามารถเข้าถึงในโหมดอรูปฌานได้..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
    เราจะต้องไม่มีในเรื่องของสัญญาการปรุงแต่งต่างๆที่จะสร้างให้เป็นภาพได้.จิตเราถึง
    จะเข้าสู่การทำงานโดยมีแสงนำทางหรือเส้นสายนำทางได้ครับ..
    ขอเริ่มเล่าให้ฟังตั้งแต่ในกำลังสมาธิเล็กๆน้อยเลยนะครับและข้อสังเกตุเกี่ยวกับลักษณะ
    แสงต่างๆที่จะสามารถปรากฏในระหว่างทางได้ เพื่อเป็นข้อสังเกตุครับ..ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าได้
    อ่านแล้วเราควรจะย้อนเทียบกับความสามารถพิเศษที่เกิดขึ้นกับตัวจิตเราในสภาวะลืม
    ตาปกติเป็นตัวเทียบก็จะช่วยให้เราไม่ไปเผลอหลงยึดติดกับแสง.และเผลอเข้าใจว่าเรา
    บรรลุธรรมหรือว่าเราเป็นคนพิเศษอะไรนะครับ...
    ถ้าจิตเราเริ่มทำงานมีความเป็นทิพย์ได้..ในสภาวะปกติถ้าเราหลับตาแค่เพียงเสี้ยววินาที
    เราจะสามารถมองเห็นแสงเป็นวงกลมขนาดเท่าหัวเข็มหมุด หรือหัวไม้ขีดได้ เป็นรูปร่าง
    วงกลมที่มีความสว่างในตัวชัดเจน มีเอกลักษณะตรงที่ถ้าเราหันไปมองจะหายไปและการ
    ปรากฏขึ้นมาไม่มีต่ำแหน่งที่แน่นอน นี่คือในระดับสมาธิเล็กน้อย..
    ถ้าจิตเรามีสมาธิถึงขั้นอุปจารสมาธิ แสงลักษณะเดียวกันนี้จะสามารถอยู่ค้างได้นานขึ้น
    เล็กน้อยในขณะที่เราหันไปมอง และค่อยหายไป...
    ถ้าจิตเราเริ่มเข้าสู่ระดับปฐมฌานได้..ตัวแสงแบบนี้จะค้างอยู่ได้อยู่นานขึ้นและก็นิ่งขึ้น..
    ที่พูดมาเนี่ยคือในสภาวะปกติๆทั่วไป..ในความเป็นจริงแล้วแสงพวกนี้มิได้หายไปไหน.
    แต่เป็นเพราะการรักษาอารมย์ของเรายังไม่มั่นคงพอ เราจึงเห็นการปรากฏของแสงใน
    ระยะเวลาที่แตกต่างกันครับ..
    และในสภาวะหลับตาทำสมาธิก็จะเห็นกิริยาคล้ายๆกันครับ..เพียงแต่ว่าแสงแบบนี้ต่อ
    ไปจะพัฒนาขึ้นมาในลักษณะที่พอเราลืมตาแล้ว เราก็จะยังเห็นค้างได้อีกถ้าหากว่าเรา
    พอมีความชำนาญขึ้นบ้างจากการรักษาอารมย์ครับ..

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่เล่าให้ฟังมาเนี่ยคือยังไม่ถึงระดับปฐมฌานครับ..แม้กระทั่งขณะที่เรานอน
    หลับนะครับ..ก็สามารถปรากฏแสงสว่างไม่มาก ดวงกลมๆสีขาวๆ ที่ลอยมาทางฝั่งด้านซ้าย
    ของเราได้.เราจะรู้สึกว่าอุ่นๆได้เล็กน้อย.นี้ก็เป็นแสงของดวงจิตครูบาร์อาจารย์ของเราครับ
    ซึ่งสามารถที่เราจะพอเห็นได้เป็นปกติ..หรือไปก็แสงสว่างที่มีแต่แสงปรากฏสว่างรอบๆบริเวณ
    ที่เราอยู่พวกนี้ แต่ที่สำคัญหาต้นกำเนิดแสงไม่ได้.พวกนี้ก็เป็นแสงปกติที่ไม่ใช่ปิติ ที่สามารถ
    เกิดขึ้นได้ หากว่าขณะนั้นตัวจิตเราเข้าไปใกล้ ดวงจิตของท่านใดท่านหนึ่งที่บำเพ็ญบารมีมา
    เช่น เข้าใกล้พระโพธิสัตว์มีชื่อ ก็จะปราฏกคล้ายกลางวันได้ หรือใกล้พระปัจจุเจกพุทธเจ้า
    ก็จะปรากฏเป็นสีส้มได้ พวกนี้จะสว่างได้ถึงท้องฟ้า ให้พึงระลึกไว้ว่า สามารถเกิดกับเราได้
    แม้ว่าเราจะไม่ใช่นักปฏิบัติหรือคนดีอะไรก็ตาม.เพราะฉนั้นแสงแบบนี้อย่าไปสนใจครับ...
    และแสงอีกอย่างหนึ่งที่เราควรจะต้องระวังก็คือ แสงสีขาวเป็นกลุ่มที่เป็นแสง
    จากปัญญาทางโลกของเราที่มักจะปรากฏตอนที่เรานั่งสมาธิใหม่ๆ.มักจะปรากฏ
    ขึ้นทางด้านขวาของศรีษะ และมีความรู้สึกเย็นร่วมด้วย แสงตรงนี้ถ้าเราเผลอ
    เข้าไปให้ความสนใจ จะทำให้เราหยุดชงัก ในการเข้าใจเรื่องนามธรรมต่างๆ
    และมีโอกาสที่จะทำให้เราอยู่ภายใต้ความคิดจนมันมีกำลังมาก และต่อไป
    จิตเราจะก้าวเข้าสู่ความหลุดโลกหรือเรียกง่ายๆว่าวิปลาสได้ในอนาคตครับ
    แสงพวกนี้สังเกตุได้ง่ายถ้าเราย้ายจิตหรือให้ความสนใจ มันจะสามารถเคลื่อนที่
    ได้ไปตามบริเวณใบหน้าของเราครับ..ต้องนี้ต้องพึ่งระวังเป็นพิเศษครับ.
    เพราะถ้าติดแล้วใช้เวลาหลายปีมากกว่าจะกลับมาได้ครับ...

    และแสงอีกอย่างที่เราจะเห็นได้ในกรณีที่เรายังมีสัญญาทางจิต
    ที่สามารถเห็นเป็นรูปร่างได้อยู่ ไม่ว่า
    เราจะพบเจอภพภูมิระดับใดๆก็ตาม..ที่มีแสงออกมาจากภาพที่เราเห็นพวกนี้ก็อย่าสนใจ
    เช่นกันครับ..เพราะไม่มีประโยชน์อะไรต่อการพัฒนาทางจิตเรา..ถ้าเผลอไปสนใจเพื่อจะค้น
    คำตอบจะยิ่งทำให้เราเสียเวลาในการปฏิบัติครับ..แม้กระทั่งแสงที่ปรากฏขึ้นเป็นอุโมงค์
    แล้วเราเดินเข้าไปก็ตามพวกนี้ก็อย่าสนใจครับ..เพราะโดยความรวมถ้าขณะนั้นเรายังไม่
    ใกล้จะตายด้วยเหตุอะไรแล้ว..การที่เราเข้าไปแล้วและเราไม่มาสนใจสร้างสติเดินปัญญาต่อ
    ก็จะทำให้เราเสียเวลาในการปฏิบัติเช่นกันครับ...
    และก็ไม่ต้องสนใจแสงอะไรต่างๆ ก็ตามที่จิตเห็นได้ ในขณะที่เราเผลอออกไปท่องเที่ยวภาย
    นอกตามสัญญาเดิมที่มีอยู่ในจิตเราทุกๆกรณีครับ...และไม่ว่าจะเห็นอะไรอยู่ก็ตามถ้าเรา
    ยังเป็นภาพอยู่ให้เลิกสนใจครับ..ถ้าเราไม่มั่นใจว่าเรามีกำลังสติทางธรรมเพียงพอที่จะเข้าใจได้
    ว่าสิ่งที่เราเห็นคืออะไร และเข้าใจในวัตถุประสงค์ในสิ่งที่เห็นครับ....

    ปล.จบบทเกริ่นนำก่อนนะครับ เด่วมาว่าในส่วนการปฏิบัติครับ.
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ว่ากันต่อครับ..พอปฏิบัติมาได้ในระดับหนึ่ง..ในระดับที่จิตเราพอจะตัดเรื่อง
    การยึดหมั่นถือหมั่นในตัวเองได้..หรือพอที่ตัวจิตจะกลับมาอยู่กลับตัวเองได้บ้าง
    ไม่ได้ชอบท่องเที่ยวสายบันเทิงไปยังสถานที่ต่างๆทั้งในโลกนี้หรือในโลกไหนๆได้บ้างแล้ว...
    และก็พอมีกำลังสมาธิเพื่อที่จะเข้าสู่ความสงบได้บ้างแล้ว...เนื่องจากความคุ้นเคย
    กับความเป็นทิพย์ในช่วงที่ยังถ่องเที่ยวเพื่อไปรับรู้ต่างๆมานั้น.ตัวจิตก็จะก้าวเข้าสู่
    สภาวะแสงนำทางการทำงานของจิตได้ครับ...ข้อสังเกตุก็คือ แม้ว่าเราจะขึ้นต้น
    ด้วยกรรมฐานที่เป็นภาพพระสงฆ์ พระพุทธฯ ก็ตามตัวจิตก็จะทำงานในลักษณะที่มี
    แสงนำทางครับ...

    ที่นี้ในสภาวะที่จิตกำลังก้าวเข้าสู่ระดับปฐมฌานนั้น ถ้าจิตเราคุ้นเคยกับสภาวะอย่างนี้
    เราจะทราบได้ว่า มันไม่ได้เกาะเกี่ยวกับร่างกาย ไม่เกาะกับลมหายใจ เราจึงไม่รู้สึกอะไร
    เกี่ยวกับทางกายเลย..แต่หากว่าเราสังเกตุดีๆนะครับ...ณ ช่วงเวลานั้นแม้ว่าเราจะพอมี
    ความคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง..แต่ว่าอารมย์สมาธิในขณะที่เห็นนั้นก็จะยังปรากฏอยู่และไม่
    หายไปไหนครับ..ซึ่งไอ้ตัวที่คล้ายๆความคิดตรงนี้แท้จริงแล้วก็คือตัวสติทางธรรมนั้นเอง
    ไม่ใช่ความคิดที่เกิดมากจากจิตเรา ถ้าเป็นความคิดที่เกิดมาจากจิตเราจะมีความคิด
    ผุดขึ้นมาจากตัวจิต จะทำให้จิตเราหลุดจากสภาวะความเป็นทิพย์ที่สัมผัสแสงสว่างพวกนี้ได้
    เราก็จะกลับสู่สภาวะร่างกายปกติได้ภายในเสี้ยววินาทีครับ....

    ไอ้แสงสว่างตรงอารมย์ตรงนี้นี่หละครับ ที่เราต้องระวังให้ดีๆครับ..เพราะว่าสภาพแวดล้อมของ
    แสงมันค่อนข้างใกล้เคียงในระดับอื่นๆครับ..แสงแบบนี้แม้เรานั่งอยู่ในห้องคนเดียวที่มืดๆนะครับ
    แสงแบบนี้จะสว่างมากจนกระทั่งเราสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมบริเวณรอบๆตัวเราได้อย่าง
    ชัดเจนเลยครับ..ซึ่งการปรากฏของมันจะมีข้อเด่นตรงที่ว่าเราจะเห็นต้นกำเนิดของแสงได้ครับ..
    บางครั้งเราอาจคิดว่าเป็นดวงอาทิพย์หรือดวงจันทร์ได้..ข้อสังเกตุของต้นกำเนิดแสงแบบนี้ก็คือ
    มันจะสามารถเลื่อนได้ในแนวเดียวกันไปยังฝั่งซ้ายและขวาของศรีษะเราครับ..แม้ว่าการปรากฏ
    ครั้งแรกๆจะอยู่สูงๆเยื้องศรีษะเราขึ้นไปในมุมบนหน่อยก็ตามครับ...ถ้าเราไม่เข้าตรงนี้ เผลอไป
    ติดตรงนี้..โอกาสที่จะเผลอคิดว่าตนเองบรรลุคุณธรรม หรือมีสัมผัสสูงส่ง ตลอดจนยึดติดอัตตา
    ตัวตนเราจะสูงมากครับ..เผลอๆจะคิดว่าตนเก่งกว่าเทพโน้น เทพนี้ คิดว่าสิ่งที่ตนพูด สิ่งที่ตนคิด
    ดีที่สุด ทั้งๆที่แม้ว่าเราออกจากอารมย์ตรงนี้มาแล้ว จะไม่เกิดความสามารถพิเศษทางจิตอะไรก็ตาม
    ไม่เกิดเครื่องรู้อะไรก็ตาม ตลอดจนปัญญาทางธรรมในการลดกิเลส ต่างๆก็ตาม เพราะว่าพวก
    กิเลส พวกความคิด พวกอารมย์มันจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จนบุคคลนั้นตามไม่ทัน ที่ตามทัน
    ก็ตอนมันรวมกันไปแล้ว จึงเผลอคิดว่า ตัวเองรู้ ตัวเองเข้าใจ..กิริยาทางแสงตรงนี้ต้องระวัง
    ให้มากๆถึงมากที่สุดครับ..เพราะติดแล้วกลับยาก.และส่วนมากร้อยทั้งร้อย ภูมิจิตตอนนั้น
    จะยังไม่พ้นภูมิอสูรกายครับ..แต่จะคิดว่าตัวเองเป็นระดับ โน้น ระดับนี้ด้วยครับ..ทั้งๆที่สัมผัส
    ไม่ได้ ตาไม่ดีพอ ปัญญาทางธรรมไม่ทุละปรุโปร่ง ยังอยู่ภายใต้ความคิด แต่มันสามารถเป็น
    กันได้นะครับ..เพราะฉนั้นจึงขอย้ำว่าให้ระวังให้ดีๆครับ...


    วิธีแก้ก็คือ อย่าไปสนใจแสงที่สว่างจร้า จนมองเห็นได้รอบตัวอย่างนี้นะครับ..เราจะก้าวข้าม
    พ้นตรงนี้ไปได้ก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายซักเท่าไรครับ...เพราะมันจะมีความคิดผุดขึ้นมาในขณะที่แสง
    สว่างจร้าแบบนีนี้หละครับ..มารบกวนจิตใจของเราได้ครับ ทำให้เราไม่ก้าวหน้า จึงมีความ
    จำเป็นอย่างมากที่เราจะต้องมาเพิ่มการเจริญสติให้มันต่อเนื่องจริงๆครับ..ไม่งั้นเราจะไม่ทันว่า
    ความคิดต่างๆ อารมย์ต่างๆ กิเลสต่างๆ ที่มันทำให้เรายึดมันถือมั่นในตัวเองนั้น พวกนี้มันเข้าไป
    รวมกับตัวจิตได้อย่างไรครับ..และเราจะต้องมีปัญญาทางธรรมเพียงพอที่จะทำให้จิตเค้าวาง
    พวกความคิดต่างๆ วางอารมย์ต่างๆ วางกิเลสต่างๆ วางเรื่องอัตตาตัวตนต่างๆพวกนี้ ให้จิตคลาย
    เรื่องพวกนี้ออกจากจิตให้ได้ครับ..จิตเค้าถึงจะสงบได้ในระหว่างวันครับ..พอเรากลับมานั่ง
    สมาธิจิตเราเค้าถึงจะก้าวข้ามพ้นสภาวะแสงสว่างจร้าแบบนี้ไปได้ครับ..เพราะฉนั้นอย่าประมาท
    กับการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องจริงๆนะครับ..โดยปกติแล้วมันปรุงร่วมกันแล้วเรา
    ถึงทันแต่ก็เป็นปกติทั่วไป ถ้าฝึกมาบ้างเราก็พอจะทราบตรงนี้ได้ แต่เราต้องเข้าใจในสภาวะธรรม
    ด้วยว่าแท้จริงๆแล้ว พวกกิเลศ พวกความคิดพวกนี้ มันเข้ามาปรุงร่วมกับจิตเราได้อย่างไร
    จิตเราถึงจะสงบครับ..ไม่งั้นเราจะเข้าใจในแต่ภาพกว้างๆครับ..แม้ว่าเราจะพิจารณากายได้
    แต่มันก็ยังเป็นรูปธรรมอยู่เพราะฉนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทั้ง ๒ ส่วนนี้ไม่ว่าทางรูปธรรมและ
    นามธรรมจะต้องพิจารณาควบคู่กันไปครับ....

    พอจิตเราว่างได้แล้วจากที่เล่ามาข้างบน จิตก็จะสามารถไต่ระดับขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่งครับ..
    แสงที่สว่างจร้าๆนั้น ก็จะเริ่มค่อยๆจางๆลง จางๆ ตามลำดับครับ..และในขณะที่เรายังรักษา
    กำลังสมาธิได้เรื่อยๆจากกำลังสมาธิสะสมที่ได้จากการเจริญสตินั้น...อีกซักพักจิตก็จะเริ่ม
    เข้าสู่ในระดับที่มันแยกขาดกับกายได้เด็ดขาดจริงๆครับ..เรียกว่าไม่โยงร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว
    เป็นสภาวะที่อย่างน้อยตัวจิตเราจะสามารถมองเห็นร่างกายเราได้เองจริงๆ ภายภายในกาย
    ของเราออกมา..พอมาถึงตรงนี้ ตัวจิตจะไปได้เองตามที่ได้เคยสะสมบารมีมา บางท่านก็วิ่ง
    ดูอวัยวะในร่างกายตัวเองก็จะได้มรรคผลเรื่องการยึดหมั่นถือมั่น ได้กำลังสติทางธรรม
    บางครั้งไปดูจุดที่ร่างกายป่วยเรื้อรังก็จะเกิดการระเบิดและในสภาวะปกติก็จะหายเป็นปลิดทิ้งได้
    บางท่านก็เข้าไปในแสงตามไปเรื่อยๆจนเกิดการระเบิดคล้ายๆกัน ก็จะได้ความสามารถทางจิต
    พิเศษแบบที่จิตเคยได้มาก่อนในอดีตชาติ และสามารถนำกลับมาใช้งานได้ ในเวลาลืมตาปกติครับ
    แต่กรณีที่ว่านี้ต้องประมาณครั้งที่ ๓ ที่ ๔ ในการเข้าอารมย์ตรงนี้นะครับ เพราะจะทำให้เรา
    ทราบได้ว่า ทำไมเราต้องมาสร้างสติทางธรรม เพราะเราจะต้องมาทำให้ต่อเนื่องถึงจะควบคุม
    ตัวจิตให้อยู่นิ่งๆในกายในระดับกำลังสมาธิระดับสูงแบบนี้ให้ได้ และก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆด้วยครับ.
    ส่วนบางท่านที่จะก้าวเข้าไปสู่กำลังสมาธิขั้นต่อไป..ในทางภาษาสมมุติเค้าจะเรียกว่าอรูปฌาน
    ซึ่งทั่วๆไปจะเป็นอรูปฌานที่จะต้องผ่านการสร้างรูปขึ้นมาก่อน แต่ในกรณีที่จิตเราพอจะตัด
    ร่างกายได้มาก่อนหน้านี้..จะเข้าสู่ในลักษณะของแสงนำทาง..คือจากเริ่มต้นที่แสงสว่างจร้า
    เห็นได้ทั้งรอบตัวและบริเวณข้างนั้นเริ่มจากลง พอผ่านจุดที่สามารถรักษาจิตให้อยู่ในร่างกาย
    ได้นิ่งๆในสภาวะที่ตัดขาดกันชั่วคราวได้แล้วนั้น..แสงตรงนี้ก็จะเริ่มค่อยๆกลับมาสว่างขึ้นเรื่อยๆ
    อีกครั้งได้ครับ...แต่เราต้องดูดีๆนะครับว่าไม่ใช่แสงกลับมาสว่างเพราะอารมย์เราตกลงไป
    ในระดับอุปจารสมาธิหรือขนิกสมาธินะครับ..ถ้าเผลอตรงนี้จะหลงตัวเองได้ครับ

    แม้ว่าไม่มีความสามารถทางจิตใดๆพิเศษหรือเครื่องรู้อะไรก็หลงตัวเองได้ครับ..
    และแสงที่กลับมาในระดับกำลังสมาธิระดับสูงอย่างนี้..ก็จะค่อยๆสว่างๆจร้าขึ้นเรื่อยๆ
    ของมันเองครับ...ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาอารมย์ตรงนี้ครับ
    ว่าใครจะสามารถรักษาอารมย์ได้นานกว่ากัน และความสามารถในการยกเรื่องขึ้น
    วิปัสสนาให้ได้ครับ..ณ ตรงนี้จะไม่มีคำว่าภาพใดๆเกิดขึ้นแน่นอนครับ..
    จิตเราจะพิจาณนาอะไรเป็นอารมย์ก็สุดแล้วแต่ครับ แต่มันมักจะไปแบบอัตโนมัตควบคู่
    กันไปเริ่มจากความอากาศก่อน ตามด้วยวิญญาน และความว่างครับ...
    ส่วนใครที่สามารถพิจาณาเรื่องสัญญาเป็นอารมย์ได้ก็ขอโมทนาด้วยครับ...
    เพราะใครผ่านเรื่องสัญญาได้แล้วนั้น เวลาปกติแล้วนั้นจิตเรียกได้ว่าแทบจะไม่เกิด
    แล้วครับ..เพราะฉนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ ส่วนตัวก็ยังทำไม่ได้เลยไม่สามารถแนะ
    นำอะไรได้ครับ....
    แต่ถ้าเราถึงเรื่องวิญญานได้แล้วนั้น...ในสภาวะลืมตาปกติ จิตเราจะมีความสามารถ
    ปกติที่จะทำอะไรได้หลายๆอย่างแบบที่ไม่ต้องตั้งท่าอะไรให้วุ่นวายครับ..
    เช่น เชื่อมกระแส สายตาดีมองเห็นได้เกือบทุกระดับ ส่งถ่ายพลังงาน ในระดับที่เราและ
    คนอื่นๆสามารถสัมผัสได้ ใช้งานได้จริง.. ตลอดจน
    ความเข้าใจทางด้านนามธรรมไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่ดีขึ้น เข้าใจการปฏิบัติอะไรได้ง่าย.
    ภูมิต้านทานต่อพลังงานภายนอกดีขึ้น..รู้และเข้าใจเหตุผลอะไรๆดีขึ้น ฯลฯ

    เคยเขียนๆไว้อยู่ครับ.เพื่อเอาไว้ตรวจสอบในเบื้องต้น...ที่เล่าๆมาให้ฟังทั้งหมดนี้
    หวังว่าจะคงพอมีประโยชน์บ้างนะครับ.เพราะฉนั้นเกี่ยวกับเรื่องแสงควรพึงพิจารณา
    ให้ดีๆนะครับ.ถ้าสังเกตุนะครับในโหมดเรื่องกสิณ จึงไม่รวมเอากสิณแสงสว่างเข้ามา
    รวมในกสิณสีกองต่างๆ และเข้ามารวมในกสิณกลางพวกดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
    เพราะว่าถ้าเราไม่ละเอียดพอในการแยกแสงพวกนี้เราจะหลงเผลอไปคิดว่าพวกแสง
    ต่างๆที่เกิดในขณะรวมตัวกันของกสิณกองต่างๆนั้น.
    เพื่อตั้งต้น๑ กอง ๔ กอง ๑๒ เพื่อต่อยอดไปวิเชาเดินธาตุต่างๆนั้น
    เป็นกสิณแสงสว่างได้นั้นเองครับ เพราะมันเกิดได้ตั้งแต่ระดับสมาธิเล็กน้อยนั้นเองครับและ
    แท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงความสามารถของจิตที่ทำงานโดยมีแสงนำทางได้
    ซึ่งเป็นสภาวะปกติที่จิตเกิดขึ้นได้อยู่เป็นปกติอยู่แล้วครับ

    ปล.ประมาณนี้ครับ...
     
  19. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ถามต่อครับ อีกคำถาม คือ มีครั้งนึง นั่งสมาธิหลังจากเพ่งกสิณสีแดง วงกลมสีแดง
    พอนั่งสมาธิ จิตรวม วงกลมที่เคยเพ่ง กลายเป็น รูอุโมงค์ ทะลวง พุ่งตามอุโมงค์ รวดเร็วมาก ทำไมจิตถึง รวมตัวพุ่งแบบนั้น แล้วจะพุ่งไปไหน เพื่ออะไรครับ
    ขอบคุณที่ตอบครับ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอบเรื่องปกติครับ..มันจะไปอีกมิติหนึ่งครับ ไปตามสัญญาเดิมในจิต..
    ถ้าเราควบคุมจิตไม่ดี หรือเราเข้าใกล้มันมากไป เรียกง่ายๆว่ากำลังสมาธิ
    ตรงนั้นเราไม่พอครับ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ..
    มันก็จะดึงจิตเราเข้าไปในนั้นและไปปรากฏอีกที่หนึ่งครับ..
    ตรงนี้มักจะเกิดก่อนช่วงที่เรากำลังจะฝึกสร้างกำลังจิตได้..จะมาก่อนช่วงที่กำลังปั่น
    ปฏิภาคนิมิตรกสิณได้ครับ..เคยมีบางคนเผลอเข้าไปตามและไปติดในนิมิตร
    ที่เห็นตรงนั้น..ก็จะทำให้ติดกับการรู้เห็นในนิมิตรตรงนั้นไปเลยครับ..เพราะว่า
    มันจะดูเหมือนไม่ยึดครับ แต่ว่ามันเป็นกิเลสธรรมตัวหนึ่ง ที่จะตัดไม่ให้เราสนใจ
    เรื่องการสร้างสติการเดินปัญญาครับ..อาการคล้ายๆท่านๆที่อยู่ในป่า หรือคล้าย
    เหล่าพราหม์ทั้งหลายในสมัยพุทธกาลนั้นหละครับ บางทีก็หลงว่าตรงนั้นเป็น
    แดนที่ไม่ต้องกลับมาเกิดด้วยครับ..และที่สำคัญจะไปติดคิดว่าเป็นความสามารถ
    ทางจิตแบบพิเศษ.และจะกลายเป็นคนหลงตัวเองและบอกไม่ได้เลยเพราะว่าจะมี
    ความมั่นใจในตัวเองสูงครับ....
    ถ้าถามว่าเพื่ออะไร ก็เพื่อดึงเราให้ออกจากความสำเร็จเพื่อการใช้งานได้ที่มีประโยชน์
    ทั้งต่อตัวเราเองและผู้อื่น....ส่วนการที่่มันรวมตัวกันอย่างนั้นเป็นเรื่องปกติครับ..
    เพราะว่าจิตเราในขณะที่แยกกับกาย มันเป็นตัวที่สร้างภาพพวกนี้ขึ้นมาเอง..
    สร้างมาก็เพื่อที่จิตจะออกกำลังกายให้ตัวเองเพื่อให้เกิดกำลังจิตนั้นหละครับ
    แต่เราเรียกง่ายๆว่าปั่นปฏิภาคนิมิตรครับ..
    วิธีแก้ก็คือ ต้องพยายามควบคุมจิตด้วยกำลังสมาธิให้มั่นคง
    ระลึกรู้ตรงนี้ให้ได้ด้วยกำลังสติทางธรรม ต้องเสริมการสะสม
    กำลังสมาธิระหว่างวันให้ดีๆ ครั้งละ ห้านาที สิบนาทีได้หมด..แม้ว่ามันจะหมุนเหมือน
    คลื่นงวงช้าง..เพียงแต่ว่ามันจะหมุนลงไปข้างล่าง..วนขวา.เราจะเห็นจากมุมบน
    ไม่ได้เห็นเป็นทั้งเกลียวแบบคลื่นที่ปรากฏบนโลก...แต่ตรงนี้ถ้าหากเราควบคุมได้
    จะสามารถหมุนมันไปด้านไหนก็ได้ครับ แต่ปกติมันจะหมุนไปทางด้านขวาก่อน
    เพราะว่าในร่างกายเราด้านขวาจะมีธาตุเหล็กมากที่สุด..
    แต่ที่สำคัญต้องรักษาระยะห่างระหว่างตัวจิต กับภาพนิมิตร
    ตรงนี้ให้ดีๆครับ..ซึ่งต้องค้นหาด้วยตัวเอง ไม่งั้นเราจะถูกนิมิตรดูดทันทีครับ ..
    และพูดได้ว่าจะเสียเวลากับตรงนี้เฉยๆ...นอกจากว่าเราจะมีความสามารถเพียงพอ
    ที่จะตัดสิ่งที่เห็นภายหลังจากถูกนิมิตรตรงนี้ดูด แล้วไปขึ้นรูปนิมิตรกสิณในสถานที่ๆ
    เราถูกนิมิตรตรงนี้ดูดไป..ซึ่งต้องพอมีความคุ้นเคยในการฝึกแบบลืมตามาก่อนแล้วบ้าง
    พอสมควร ไม่งั้นสิ่งต่างๆที่ปรากฏในสถานที่นั้นๆจะรบกวน
    การขึ้นรูปของเราครับ. ถึงจะพอวางอารมย์เพื่อฝึกต่อในสถานที่แห่งนั้นได้ครับ...
    พอเราผ่านตรงนี้ได้ ต่อไปจะเริ่มเข้าถึงปฏิภาคนิมิตรในระดับที่่มีความสว่างในตัวเองได้
    และพอเราคิดจะสร้างกำลังจิตด้วยการปั่นปฏิภาคนิมิตร ก็จะย้อนอารมย์ลงมาเล็กน้อย
    มาสู่ในโหมดที่ภาพนิมิตรเรื่มหมุนเป็นเกลียวได้อีกครั้งครับ...
    ตรงนี้ถ้าทำได้จริง แม้เพียงไม่กี่วินาที จิตจะพอมีความสามารถในการเรียกเป็น
    พลังกสิณสีให้ขึ้นมาบนมือได้ครับ...ซึ่งพลังงานกสิณสีโดยปกติแล้วจะสัมผัสได้ง่ายกว่า
    พวกกสิณกลางด้วยครับ..เพราะมันมีความหนาแน่นมากกว่าอย่างที่เราสามารถรู้สึกได้
    อย่างชัดเจนครับ..และมีเอกลักษณะในการหมุนค่อนข้างที่จะคล้ายๆกันด้วยครับ
    ไม่ได้แบ่งแยกอย่างชัดเจนเหมือนพวกกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประมาณนี้ครับ..
    แต่ถ้าถามว่าฝึกได้แล้วใช้ประโยชน์อะไรต่อได้..มันจะเล่นได้ในโหมดการพลาง
    สายตาในขณะที่เรายกกายหรือจิตเราออกไปข้างนอกครับ.
    .และฝึกเอาไว้ตั้งต้นสำหรับฝึกวิชาเดินธาตุสายอดีตสมเด็จพระสังฆราช
    มีชื่อในอดีตได้..ซึ่งจำเป็นต้องตั้งวงกสิณเกือบ ๑๒ วงให้ได้ในระดับลืมตาปกติ
    ก่อนถึงแล้วดึงบังคับผ่านจุดเหนือสะดือ ๒ นิ้วให้เป็นวงเล็กๆรวมกันเข้ามาที่กาย
    ให้ได้ก่อน ถึงจะเริ่มไต่ระดับปฐมฌานได้ครับ..และถ้าเดินธาตุโบราณตั้งกสิณกลาง
    ๔ กองแต่ให้หน้าอกบังคับ ส่วนเดินธาตุโบราณใช้ ๑ กอง และใช้หน้าฝากบังคับ
    แต่เราต้องหมุนวนซ้ายให้ได้จนมันเล็กลงนะครับ เพราะในเวลาปกติแม้เราลืมตา
    พวกการหมุนแบบนี้มันจะเกิดขึ้นได้เอง ตรงนี้ไม่ใช่ความสามารถพิเศษอะไร
    ไม่ได้สร้างกำลังจิตอะไร เพียงแต่ให้เราสามารถเข้าถึงในลักษณะพลังงาน
    ให้สามารถทดลองทำได้.ถ้าลืมตาตัองปั่นให้เล็กเท่าเข็มแล้วดึงเข้าตัวให้ได้
    ถึงจะเริ่มในระดับปฐมฌานนะครับ..ตรงนี้บอกไว้ก่อน เด่วจะเผลอไปยึดติด
    กับกิริยาปกติที่มันสามารถเกิดขึ้นได้ครับ...
    ปล.ประมาณนี้หละครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...