นายแคล้ว ธนิกุล อมสมเด็จไว้ในปาก ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ขึ้นสวรรค์นาน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย krasin, 4 กันยายน 2014.

  1. krasin

    krasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +2,821
    นายแคล้ว ธนิกุล อมสมเด็จไว้ในปาก ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ขึ้นสวรรค์นาน


    คนที่ทําเลวมาทั้งชีวิต ยังไงๆก่อนตาย จิตใต้สำนึกของเขาย่อมระลึกถึง สิ่งที่เขาทํามาให้เห็นเอง จะไปบังคับให้นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลสูงสุด คือ พระพุทธเจ้ามันจึงยากมากๆ มีโอกาสน้อยเต็มที แต่ไม่ใช่ไม่มีทางมีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้านะ  มีทางระลึกถึง  แต่อาจจะแค่ 1 ใน 100 เท่านั้น

    เหมือนนายแคล้ว ธนิกุล ทำชั่วมามาก แต่ใครว่าเขาตกนรก เขาขึ้นสวรรค์นะครับ ลองฟังเรื่องนี้ดู ผมคัดจากหน้า 77 หนังสือ สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม


    " กรณีของเจ้าพ่อเมืองหลวง คุณแคล้ว ธนิกุล ซึ่งถูกกลุ่มมือปืนล้อมยิงจนเสียชีวิตคารถยนต์ ตามเนื้อข่าวนั้นที่ข้างตัวคุณแคล้วมีปืนสั้นตกอยู่หนึ่งกระบอก คาดว่าคุณแคล้วคงคิดจะต่อสู้ป้องกันตัว เมื่อคิดจะต่อสู้ป้องกันตัว ภาวะของจิตขณะนั้นน่าจะเป็นอย่างไร อกุศลไช่ไหม ในเมื่อมึงคิดจะฆ่ากู กูก็จะฆ่ามึง ชาติเสือต้องไว้ลาย ขณะที่คิดฆ่าเขาจิตเป็นอกุศลใช่ไหม

    แต่ถ้าใครจำภาพข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ คุณแคล้วตายในขณะที่อมอะไรไว้ในปาก อมพระสมเด็จวัดระฆัง จิตสุดท้ายยึดเหนี่ยวพระสมเด็จ(พระพุทธเจ้า)เป็นที่พึ่ง คุณแคล้วโชคดีมากที่มีพระสมเด็จติดตัวตลอด แม้จะเอาชีวิตไม่รอดแต่คุณแคล้วก็รอดครั้งสำคัญ คือ รอดจากนรก เพราะหลังจากที่คุณแคล้วตายวันเดียว

    เขาทราย กาแลคซี่ ขึ้นชกมวยป้องกันตำแหน่งไว้ได้ มีการมอบรางวัลบนเวที มีผู้เห็นคุณแคล้วปรากฎตัวอยู่บนเวทีผ่านจอโทรทัศน์ หลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวว่า มีผู้เห็นคุณแคล้วแต่ชุดสากลเดินเข้าไปในสมาคมมวยแห่งประเทศไทย 

    แล้วถัดมาอีกหลายปี หลวงปู่โง่น โสรโย เขียนหนังสือเรื่องพระพี่นางสุพรรณกัลยา ท่านเล่าว่า คุณแคล้วเอารถลีมูซีนมารับท่านไปส่งที่วัด นั่น....

    ผีคุณแคล้ว เอารถลีมูซีนผี มารับท่านไปส่งถึงวัด เป็นการยืนยันว่า คุณแคล้วไม่ตกนรก แต่เป็นเทวดา เพราะว่าเทวดาเท่านั้นจึงจะแสดงฤทธิ์ สร้างกุศลเช่นนั้นได้ นี่อย่างไร ขณะจิตสุดท้ายที่เป็นกุศล ระลึกยึดเหนี่ยวในพระสมเด็จมีพุทธานุสสติ จึงมีสิทธิ์ที่จะเสวยผลจากข้อมูลที่เป็นบวกก่อน

    แต่ในลักษณะเช่นนี้ นานเท่าใดจึงจะใช้ข้อมูลที่เป็นกุศลนั้นหมดไป ก็กี่วินาทีที่ระลึกถึงพระสมเด็จ เพียงแค่หนึ่งวินาที จิตเกิดดับไปแล้ว สี่ล้านล้านขณะ หนึ่งวินาทีได้ตั๋วตั้งสี่ล้านล้านใบ (ท่านเปรียบเทียบกับการดูภาพยนต์...ป้าเม) ตั๋วหนึ่งใบดูหนังได้สองชั่วโมง (ท่านสมมติ...ป้าเม) ถามว่า

    คุณแคล้วจะเป็นเทวดาได้นานแค่ไหน???


    ลองฟังคำตอบจากหลวงตาม้าเอาเอง:

    คัดจาก หลวงตาม้าสอนศิษย์ > หลวงตา....ที่ผมรู้จัก
    w.watthummuangna.com/board/archive/index.php/t-3145.html


    ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถามหลวงตาท่านว่า...


    หลวงตาค่ะ...ถ้าเรายังไม่ถึงระดับพระอริยบุคคล อย่างเช่นพระโสดาบัน เรายังตัดสังโยชน์ไม่ได้ ก็มีสิทธิ์ไปอบายภูมิได้ใช่ไหมค่ะ..


    .....ไม่ได้...ถ้าเรายึดไตรสรณคมได้นะ...อบายภูมิไม่ใช่ที่ไป


    อ้าววว..งั้นถ้าคนเกิดมาแล้วทำเลวทั้งชาติ ตอนตายจับพระได้ก็ไม่ลงนรกซิค่ะ...หลวงตา


    .....ใช่...ก็อย่าง***งัย ตอนตายจับพระได้ ตอนนี้ยังเป็นเทวดาอยู่เลย


    งั้นก็เป็นได้ไม่นานซิค่ะ..หลวงตา เพราะทำไม่ดีไว้มาก


    .....นานนะ...ขึ้นอยู่กับบารมีของพระที่จับด้วย


    ยังงั้นถ้าคนทำไม่ดีไว้ ตอนตายจับพระได้ จะไปใช้กรรมตอนไหนล่ะค่ะ

    ....ยังงัยก็ต้องชดใช้........


    สรุป


    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

       "ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

      "ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

      "ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มีอนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"


      “คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ”


    มีพุทธพจน์รองรับเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าจากพุทธดำรัส ใช้คำว่า ผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว    ผู้ถือเอาพระรัตนตรัย

    ไม่ใช่เป็นการนึกถึงเล่นๆแต่อย่างใด  ต้องมีการใส่ใจ  เอาใจลงไปใส่ลงในพระพุทธเจ้า หรือศรัทธาเลื่อมใส เช่น นายแคล้ว ธนิกุล เขาทำอย่างนั้นอยู่เสมอมา  วาระสุดท้ายก็อมสมเด็จไว้ เขาจึงไม่ตกนรก

    ..................................................................................................


    ถามว่า:  ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ โดยเฉพาะมีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า เขาจะได้ไปเกิดในสวรรค์ จริงหรือ?

    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

    "ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้
    ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"

    พระนาคเสนทูลตอบว่า

    "ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"

    " ไม่ได้ "

    " ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "

    " ก็ได้สิเธอ "

    " ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน "

    " สมเหตุสมผลละ "
     
  2. โลโป

    โลโป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +1,714
    คนที่เชื่อคนอื่นอยู่ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เป็นความเชื่อที่ขาดปัญญา พระพุทธเจ้าสอนว่าฟังแล้วอย่างเชื่อทันที ฟังธรรมมาแล้วให้จดจำธรรม จดจำธรรมแล้วให้พิจารณา อย่างเชื่อโดยฟังมา อย่าเชื่อโดยทำตามกันมา อย่าเชื่อโดยตื่นข่าว อย่างเชื่อโดยอ้างปิฏก อย่างเชื่อโดยนึกเดา อย่าเชื่อโดยคาดเอา อย่าเชื่อโดยตรึกเอา อย่าเชื่อโดยถูกกับลัทธิของตน อย่าเชื่อโดยผู้พูดเชื่อถือได้ อย่าเชื่อโดยถือว่าผู้พูดเป็นครูของตน ธรรมของพระพุทธเจ้าสอนให้คนมีปัญญา ก่อนเชื่อสิ่งใดให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองก่อนจึงเชื่อ แต่พระมักอยากดัง อยากมีชื่อเสียง มักชอบประพฤติผิดศีล ในมหาศีลมีพระบัญญัติไว้ชัดเจน ห้ามพระพูดถึงคนที่ตายไปแล้ว แต่พระไทยส่วนมากมักอยากดังแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้คนนับถือ มักโหนกระแสคนตาย คนฟังก็เชื่อ เชื่อทั้งที่ไม่เห็น ใครบอกว่าสื่อสารกับพวกเทพพวกทิพย์ได้เชื่อทันที ทั้งที่ไม่ได้เป็นของวิเศษอะไร ใครปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถเห็นได้จริงทุกคน แต่ปฏิบัติยากเชื่อคนอื่นง่ายกว่า เมื่อเชื่อคนอื่นอยู่จึงเป็นบัวจมน้ำตกเป็นอาหารพวกเต่าปลากันไป มันเป็นเช่นนั้นเอง.
     
  3. ปรกติ

    ปรกติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +46
    สาธุค่ะ เราก็นับถือหลวงตาม้าเหมือนกัน
     
  4. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    เวรกรรมจริงๆ "กัมมุนา วัตตติ โลโก"

    อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เกิดโดยบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นเหตุที่เกิดจากความประมาท เหตุที่เกิดจากผู้อื่นกระทำหรือแม้นกระทั้งเหตุที่มนุษย์ตั้งใจให้เกิดเช่นการฆาตกรรม หลายครั้งที่มีข่าวคราวทางหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยเรื่องที่เกี่ยวปาฏิหาริย์ เรื่องพุทธคุณพระ ปรากฏบ่อยครั้ง วันนี้เราพาท่านไปร่วมหาคำตอบกับคนที่อยู่กับทำงานเกี่ยวกับ”ความตาย”งานที่ว่านี้คืองาน”กู้ภัย”ของชาวมูลนิธิ”ป่อเต็กตึ๊ง” ไปร่วมหาคำตอบกัน”จริงหรือไม่แขวนพระหลวงพ่อทวดแล้วไม่ตายโหง........”

    คุณเสน่ห์หรือ”กู้ภัย402”เป็นหัวหน้าพนักงานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมาประมาณ5ปีแต่ทำงานอยู่ร่วมกับมูลนิธิตั้งแต่ปี2532ผ่านประสบกราณ์ที่เราๆท่านๆไม่สามารถไปหาฟังได้ที่ไหนและไม่สามารถจะหาดูได้มามากมาย.............ก่อนหน้าที่จะมาทำงานด้านนี้คุณเสน่ห์ทำอาชีพอื่นมาก่อนและช่วงปี2531-32ทางมูลนิธิฯได้มีแนวคิดที่จะสืบสานปฏิธานของ”องค์ไต๋ฮงกง” สิ่งยึดเนี่ยวของชาวมูลนิธิฯนับเวลากว่าร้อยปี............... เพราะเมื่อสมัยก่อนที่ประเทศจีน เวลาคนยากจนและไม่มีญาติตายผู้คนมักจะรังเกียจ ผู้คนส่วนไหญ่จึงทำได้ดีแค่นำศพผีไม่มีญาติเหล่านี้ไปให้พ้นหมู่บ้านของตน เวลาผ่านมาหลายวันศพไร้ญาติเหล่านี้ก็ส่งกลิ่นและเป็นอาหารสัตว์เป็นที่เวทนายิ่งนัก ครั้นเมื่อมีพระภิกษุ ฝ่ายมหายานท่านหนึ่งชื่อ”ไต๋ฮงกง”ได้เดินทางไปในที่ต่างๆเพื่อโปรดสัตว์ บางครั้งท่านได้พบเห็นศพไม่มีญาติเหล่านี้นอนตายน่าเวทนายิ่งนัก ท่านได้จัดการขุดหลุม และนำร่างอันไร้วิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นไปฝังตามธรรมเนียม ผู้คนที่พบเห็นเข้าจึงเลื่อมใสและต่างยกย่องท่าน......จึงเป็นเหตุให้ชาวจีนโพ้นทะเลที่ปักหลักอยู่อาศัยในเมืองไทยมานานจนต่างก็นับถือท่านมาเสมอ เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่2 พี่น้องชาวจีนเหล่านี้ได้ร่วมกันทำงานเก็บศพผู้ที่เสียอย่างมากจึงได้มาสมัครเป็นพนักงาน”เก็บศพ”เมื่อปี2532ชีวิตจากสงครามโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเนื่อยและสินจ้าง สืบสานคุณความดีของหลวงปู่ไต๋ฮงกงจึงเป็นที่มาของมูลนิธิป่อเต็กติ๊งจวบจน
    คุณเสน่ห์เล่าให้กับทีมงานเราฟังว่า”ครั้งแรกผมทำใจอยู่นานเจอในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเจอมาก่อนชีวิต.....ใหม่ๆผมกินข้าวไม่ได้นานเป็นอาทิตย์เล่นเจอสภาพตายมา4-5วันแล้วเราก็ไปรับมา..... ในกลิ่นของศพบางศพกลับบ้านมากลิ่นยังไม่หมดไปจากมือเลย”คุณเสน่ห์เล่าพลางหัวเราะ”.......”แต่ตอนหลังมารู้ว่าที่ติดๆมาเพราะเราล้างไม่สะอาดเศษต่างๆก็จะไปติดทางซอกเล็บบ้างเวลายกช้อนกินข้าวละรู้เลยโชยมาจนกินไม่ลง.......โบราณท่านถึงว่าเวลาไปจับของเน่าๆท่านถึงให้เอามือไปแช่ที่ขี้เถ้า เพราะมันจะดูดกลิ่น........ผมทำใจนานประมาณ3เดือนเห็นจะได้จึงค่อยปรับตัวมาอยู่ได้จนทุกวันนี้
    ประสบกราณ์ที่ผมจำจนไม่ลืมมาทุกวันนี้คือ”โรงงานทำตุ๊กตาเคเดอร์” เป็นอะไรที่ผมเห็นแล้วสลดใจมาก........ศพที่ตายกันขุดออกมาจากซากไม่รู้จักหมด...ผมยังจำตัวเลขจำนวนคนตายได้ดี….113ศพ เฉพาะของมูลนิธิเรานะร่วมกัตญูญอีกเท่าๆกัน เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่ลืมจริงๆอีกคราวก็โป๊ะล่มที่ศิริราช ตอนนั้นผมเป็นหัวหน้าแล้ว...และลงไปดำน้ำกับเขาด้วย.....ที่หดหู่ใจก็เป็นศพเด็กนักเรียน.....ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย กระเป๋าเกลื่อนเลยเห็นแล้วบอกไม่ถูกใจมันไม่ดี.......เชื่อไหมตั้งแต่ผมทำงานมาสิบกว่าปีไม่เคยเจอผีหลอกเลยซักครั้ง...ไม่เคยเลยแต่ตัวผมเชื่อเรื่องวิญญาณว่ามีจริง หลายครั้งผมแคล้วคลาดมาตลอดเคยเกิดอุษัติเหตุกับผมประเภทว่าล้อรถจะหลุดๆอยู่แล้วไฟลุกท่วมยางแต่ผมไม่ได้สังเกตเห็น มีน้องๆขับรถตามมาแล้ว วอบอกจึงรู้พอลงมาดูไม่รู้รอดมาได้ยังไงยังงอยู่จนทุกวันนี้........ทำอะไรก็ราบลื่นมาตลอดไม่ค่อยติดขัดอะไรเจอแต่สิ่งที่ดีๆมาเยอะคงเป็นเพราะผลบุญที่ผมได้มีโอกาสช่วยคนมาเยอะมั้ง.....ถ้านับกันคนตายที่ผ่านมือผมไปประมาณ4000กว่าศพเห็นจะได้และที่ช่วยคนเจ็บเกือบ6000คนได้รวมๆแล้วเป็นหมื่นๆราย
    แต่ที่แปลกก็มีเห็นๆเลยดูจากสภาพรถแล้วมันยับไปทั้งคันยู่ยี้ไปหมด.....แต่เชื่อไหมคมขับมานั้งปัดฝุ่นอยู่ข้างรถ.....ผมเคยเห็นกับตารถพังทั้งคันคนขับนั้งอยู่ข้างรถนั่นแหละ........เราก็พวกชอบพระเครื่องอยู่แล้วเลยไปขอดู....คุณเชื่อไห๊ม......เขาแขวนหลวงปู่ทวดหลังเตารีด.....ผมละขนลุกเลยตรงนี้มันน่าแปลกรถก็ไม่มีอะไรป้องกันถุงลมไม่มีเข็มขัดนิรภัยไม่ไส่ รอดมาได้ยังไง......ผมยอมรับจริงๆตั้งแต่ผมทำงานมาแทบจะไม่เจอพระหลวงพ่อทวดในคอคนตายและคนเจ็บเลย เคยเห็นอยู่ครั้งเดียวเท่านั้น หนุ่มรายนี้โดนเจ้าหนี้ทวงเงินแล้วเกิดทะเลาะกัน เผลอไปด่าบุพการีเขา.....คู่กรณีเลยซัดด้วย11 ม.ม.4นัด.....สร้อยขาดเลยพระร่วงหายไป........หนุ่มคนนั้นตายคาที่....ครั้งเดียวจริงๆที่เห็นเพราะเราชอบเรื่องพระอยู่แล้วจึงสังเกตุ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเหรียญรูปไข่นะไม่แน่ใจว่ารุ่น2หรือเปล่าเห็นญาติคนตายตามหาสร้อยจึงรู้และหาเจอหลังเกิดเรื่องนั่นแหละ........แต่ที่เห็นมากับตาก็อดีตเจ้าพ่อเมืองกรุงผู้ล่วงลับ…ผมเห็นศพเขา ตอนไปรับศพเพื่อไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเขา ผมเป็นคนเคลื่อนย้ายศพออกจากนิติเวชไปบ้านแกเอง คุณเชื่อไหมหลังของเจ้าพ่อคนนี้มีแต่รอยไหม้เป็นจ่ำๆแต่กระสุนยิงเข้าพียง1นัดเท่านั้น ทั้งๆที่ปลอกกระสุนที่เกิดเหตุเกลื่อนไปด้วยปลอกเอ็ม16 ผมเลยมาขอดูรูปที่ลูกน้องไปถ่ายไว้ แกอมพระสมเด็จวัดระฆังอยู่ที่ปากนอนคล่ำหน้ากับตัวรถมือยังกำปืนอยู่เลยเสื้อผ้าด้านหลังขาดหมดเป็นรอยกระสุนทั้งนั้น….ผมจึงเชื่อเรื่องพุทธคุณพระว่ามีจริงแต่ก็ไม่พ้นกฏแห่งกรรมไปได้
    เรื่องสะสมพระผมชอบผมชอบมาตั้งแต่วัยรุ่น…คุณเสน่ห์เล่าให้เราฟังว่า……ผมตระเวนไปเรื่อยที่ดังไหนดังผมก็ไปมาแล้วเกือบทุกวัด…เช่ามาเก็บๆไว้ ที่บ้านมีพระเครื่องเป็นลังๆ….ส่วนตัวผมเองนับถือหลวงปู่ทวดมาก ไปไต้เมื่อไหร่ผ่านปัตตานียังไงต้องไปที่วัดช้างให้ก่อน…..เพราะตัวผมเองนึกอยู่เสมอเรื่องแคล้วคลาด…ผมจะแขวนพระอยู่ด้วยเสมอ หน้ารถกู้ภัยยังมีพระบูชาขนาด5นึ้วของหลวงปู่อยู่เลย
    ที่แขวนๆประจำจะมีหลวงปู่ทวด….เหรียญ ร.5 ลูกอมหนุมานหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม องค์นี้ผมได้มากับมือท่านเลยครับ…..ส่วนที่ได้มาใหม่ก็…พระผงเจดีย์ราย คุณจามรหัวหน้ากู้ภัยไต้เต็กติ๊งท่านให้มา บูชาแล้วดีนะผมได้มา2องค์อีกองค์ให้แฟนเขาห้อยอยู่เป็นเนื้อดำ….สวยเชียว

    ก่อนจากกันวันนี้คุณเสน่ห์ฝากข้อคิดเกี่ยวกับการใช้รถราให้กับเราฟังอย่างน่าสนใจว่า"คุณเชื่อไหมร้อยละ80ที่เกิดอุบัติเหตุมาจาก”เมาแล้วขับ”ทั้งนั้นบางทีตายไปแล้วกลิ่นเหล้ายังฟุ้งอยู่ ลูกเมียก็ลำบากตามกันไป” คุณเสน่ห์เล่าให้ฟังอย่างเซ็งๆ……ขนาดนั้งดื่มบางทียังประคองตัวเองให้ตรงแทบไม่ได้และถ้าลองได้ไปขับรถแล้ว โอกาสมันสูงที่จะเกิดเหตุ พระอะไรท่านก็ช่วยไม่ได้จริงๆขอฝากเตือนด้วยจริงๆ”คุณเสน่ห์ย้ำมาก

    http://palungjit.org/threads/บทความ-ประสบการณ์ผ่านเรื่องเล่าชาว-ป่อเต็กตึ๊ง.507114/
     
  5. โลโป

    โลโป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +1,714
    พระพุทธคุณคือธรรมและวินัย ไม่ใช่ของขลังของศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พระเครื่อง ไม่ใช่เหรียญหลวงปู่หลวงตา รูปเหรียญเป็นเพียงวัตถุที่ใช้แทนรูปครูบาอาจารย์ เป็นที่ระลึกถึงครูบาอาจารย์ เมื่อระลึกถึงครูบาอาจารย์ได้จะระลึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ได้ รูปเหรียญเป็นสิ่งเตือนให้ละความชั่วทำความดี มีรูปเหรียญแขวนคอแต่ทำตัวเป็นเจ้าพ่อจะดีได้อย่างไร มีรูปมีเหรียญก็ตายไม่มีรูปไม่มีเหรียญก็ตาย สิ่งที่คงอยู่คือธรรมและวินัย สิ่งที่คงอยู่คือความดี สิ่งที่คงอยู่คือความชั่ว
     
  6. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    เจ้าพ่อเมืองหลวง ท่านก็มีด้านดีมีเมตตา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไม่น้อย บุญก็ช่วยให้ไปที่ดีๆ
     
  7. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ยังไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้เลยว่า เค้าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาจริง

    ตายโหง ขนาดนั้น พวกคุณยังเชื่อกันอยู่หรือ ว่าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา??

    คำสอนที่ว่า แม้ทำชั่วมามาก แต่จิตสุดท้าย ถ้าระลึกถึงพระพุทธ แล้วไปดีได้นี้
    ประโยคแบบนี้ ถ้าพูดให้ฟังผิดคน ก็เป็นเรื่องอันตรายได้
    เพราะคนที่เขายังไม่เข้าใจ เกิดเขาเชื่อแบบนี้ ก็ยิ่งกลายเป็นการส่งเสริมให้คนประมาท

    สิ่งสำคัญ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าจิตก่อนตายคุณคิดอะไร (ถึงมันจะเป็นเรื่องสำคัญ)
    แต่มันอยู่ว่าทุกวันนี้ คุณกำลังทำอะไรอยู่
    ถ้าคุณทำดีทุกวัน เด่วตอนตายคุณก็คิดดี ไปดีเอง
    ไปดีแบบธรรมชาติ ไม่ต้อง force ต้องฟืนอะไร

    ส่วนที่คิดว่า จะไปเอาดีกับจิตก่อนตายวาระสุดท้าย
    แล้วคุณคิดว่า คุณจะบังคับความคิดได้หรือ??

    โอเค อาจมีคนที่ทำดีมาตลอดชีวิต สุดท้ายก่อนตายจิตเศร้าหมอง เพราะเรื่องชั่วที่ทำ
    ก็เลยไปเกิดในอบายภูมิ แปปหนึ่ง
    ใช่ มีเรื่องแบบนี้ แต่นั้นมันเคส 1 ใน ล้านนนนนนนน
    อีกอย่างคนนั้นเขาลงนรกแปปเดียว เขาขึ้นสวรรค์แล้ว
    ก็เพราะ บาป บุญ ยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แค่อะไรแสดงผลก่อนกัน

    ซึ่งถ้าเกิดมีคนที่ทำชั่วมาเยอะ เกิดฟรุ๊ค ขึ้นสวรรค์ เด่วยังไงก็ต้องลงนรกอยู่ดี
    แม้แต่บางคนขึ้นสวรรค์ ยังไปแบบกึ่งเทวดา กึ่งผีเลย
    คือตอนมีชีวิตก็โกงไว้เยอะ แต่ขณะเดียวกันก็ถืออุโบสถ์ด้วย
    พอตาย เลยได้เป็นเทวดา แต่ตกกลางคืนมา วิมานหายก็กลายเป็นเปรต
    เอาเล็บขูดเนื้อตัวเองกินด้วยความหิว
    ก็ต้องเป็นเทวดากึ่งเปรตแบบนั้นแหละ
    เห็นไหมว่า บาป บุญ ไม่ได้ไปไหน
    มันก็แสดงผลทั้งสอง
    แต่ถ้าทำบุญไว้มาก บาปก็จะเบาลง
    แต่มันจะทำงานกันยังไง อันนี้ ไม่รู้ เป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม
    คุณเอาไม้กวาดตีแมลงสาป อนาคตส่งผลอยู่แล้วละ
    แต่ไม่รู้ว่าจะมาแบบไหน และเมื่อไร
    มนุษย์ปัญญาไม่ถึง ไม่ต้องสนใจ เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้ามาเฉลย
    ส่วนเรามีหน้าที่ตั้งหน้า ตั้งตาทำความดี ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    แต่ถ้าเราหยุดทำบาปแล้ว เราก็ไม่ต้องไปวิ่งแก้กรรม ให้มันวุ่นวาย
    กรรมเก่าแสดงผล ก็ปล่อยให้มันแสดงไป รอให้มันจบ ๆ ไป
    กรรมใหม่ ไม่มีแล้ว... แฮปปี้ เอ็นดิ้ง
    และนี้คงเป็นวิธีแก้กรรมที่ดีที่สุดแล้วกระมัง แก้ที่ต้นเหตุ ไม่ได้แก้ที่ปลายเหตุ

    ดังนั้นเรื่องนี้ ไม่ได้สอนให้รู้ว่า จิตก่อนตาย สำคัญ
    แต่สอนให้รู้ว่า คนเราลงนรกง่ายมาก ต่างหาก
    แค่ผิดครั้งเดียวก็ลงนรกได้แล้ว เพราะฉะนั้น ศีลถึงสำคัญมาก ๆ
    สำหรับคนทั่วไป เพราะเป็นข้อที่ถือปฏิบัติได้เลย เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ตรวจสอบเองได้
    ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย คือไม่ต้องไปแปลอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว
    มีบางคนก็ไปคิดลึกกับเรื่องศีลเกินไป ว่าต้องอย่างงั้น ต้องอย่างงี้
    มัวแต่คิดลึก เลยปฏิบัติจริงไม่ได้
    เพราะฉะนั้นเรื่องศีล ความหมาย ตรงตามตัวอักษร

    เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องอธิบายให้คนเข้าใจอย่างชัดเจน
    จิตก่อนตายพาคุณไป... จริง
    แต่การกระทำตอนคุณมีชีวิตอยู่นี้แหละ จะตัดสินจิตก่อนตาย

    มันก็เหมือนกับคนอ่านหนังสือก่อนสอบวันหนึ่ง
    กับคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือ มาก่อนล่วงหน้า ทำแบบฝึกหัด มีแบบแผน ที่ชัดเจน
    ทำการบ้านมาดี
    ของแบบนี้มันต้องต่างกันแน่ ๆ

    คุณอาจจะทำข้อสอบได้กับการอ่านวันเดียว แต่ถ้าเจอวิชาที่มันยากจริง คุณทำไม่ได้แน่ ๆ
    แล้วชีวิตเรายากกว่าตอนสอบ กี่ร้อยเท่า พันเท่า
    จะมาเพ่งจิตก่อนตายตอนสุดท้าย คิดว่าจะเป็นไปได้หรือ?
    คนฉลาดเขาย่อมรู้ ย่อมเตรียมตัวมาดี

    เพราะฉะนั้นรู้แล้ว อย่าประมาท รีบทำดีแต่วันนี้ หยุดทำบาป
    นี้คือสาระ สำคัญจริง ๆ และเป็นแก่นสารของมนุษย์ ที่ทุกคนควรจะใส่ใจ
    ตราบเท่าที่เรายังมีความพอใจ ในการเสพกาม
     
  8. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    มันมีอะไรมากกว่าที่คุณเข้าใจกันนะ พูดไปเดี๋ยวจะทำให้สับสน
    เรื่องนี้ต่างฝ่ายต่างหยิบสิ่งที่ดีที่ตนเชื่อไปแล้วกัน

    ต้องผ่านโลกให้มากก่อน ถ้าโชคดีเด๋วก็ได้รู้เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2014
  9. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    1) ถ้าใครตรงมากๆ ก็ลองนึกถึงเรื่องพันท้ายนรสิงดูนะครับ

    2) ลูกทำบุญกับพระอรหันต์อุทิศให้พ่อที่ลงนรก แล้วบุญไปฉุดพ่อพ้นจากนรกขึ้นมา
    คุณก็คงไม่เชื่อนะสิ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2014
  10. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ยังไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก ..

    ถ้าลองคนที่เรารักลงนรกดูสิ ใครจะใจจืดใจดำไม่ช่วยได้
    เช่น ถ้า พ่อ แม่ ลูก คนรักของเรา ลงนรกถ้าเรารู้เราก็ต้องวิ่งหาหนทางทุกอย่างช่วยออกมานั้นแหละ
    ถ้าช่วยได้ จะไม่ทำหรือ?

    สัตว์ในวัฏฏมีมากขนาดไหน แต่ที่จะช่วยกันได้มันมีอยู่ในวงเล็กๆ แค่นั้น
    ถ้ามองก็เหมือนแค่จุดนั้นแหละที่มันพิเศษในจุดตรงนั้น
     
  11. phataravudh

    phataravudh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +2,440
    มัณฑกุลีเทพบุตร ตอนมีชีวิตเป็นบุตรของเศรษฐี ไม่เคยทำบุญไม่เคยให้ทาน รักษาศีล ไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้า ตอนป่วยมากใกล้จะตาย ดันไปนึกได้ว่ามีพระพุทธเจ้าท่านชอบช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ได้ เลยนึกอยากให้พระพุทธเจ้าช่วย ก็ตายไปในขณะจิตนั้นเองไปเกิดเป็นเทวดาบนชั้น ดาวดึงส์เทวโลก ได้
    ...จำมาจากเทศ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  12. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    เห็นด้วยกับคุณlovepyou เกือบทั้งหมดครับ แต่ไม่เห็นด้วยกับประโยคเดียว ประโยคนี้ครับ

    ตายโหง ขนาดนั้น พวกคุณยังเชื่อกันอยู่หรือ ว่าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา??

    เพราะกรณีของคุณแคล้ว อาจเหมือนกรณีของมัณฑกุลีเทพบุตรก็ได้

    ขอแสดงหลักฐาน กรณีตายโหง
    อรรถกถาปีตวิมาน

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานพระเจ้าอชาตศัตรูนำพระบรม สารีริกธาตุที่พระองค์ได้รับส่วนแบ่งมาสร้าง พระสถูปและทำการฉลอง อุบาสิกาชาวราชคฤห์คนหนึ่งปฏิบัติกิจของร่างกายแต่เช้าตรู่คิดจักบูชาพระ ศาสดาถือดอกบวบขม ๔ ดอก ตามที่ได้มามีศรัทธาเกิดฉันทะอุตสาหะขึ้นในใจอย่างฉับพลันมิได้คำนึงถึง อันตรายในหนทางเดินมุ่งหน้าไปสู่ยังพระสถูป
    ขณะนั้นโคแม่ลูกอ่อนวิ่งสวนทางมาอย่างเร็ว ขวิดอุบาสิกานั้นให้สิ้นชีวิตนางทำกาลกิริยาตายในขณะนั้นเองนาง ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์(สวรรค์ชั้นกามาวาจร ชั้นที่ ๒) เมื่อท้าวสักกเทวราช(พระอินทร์)เสด็จทรงกรีฑา (เที่ยว) ในอุทยานนางได้ปรากฏองค์พร้อมกับรถทิพย์ ข่มเทพธิดาทั้งหมดด้วยรัศมีแห่งสรีระของตนท่ามกลางเทพนาฏกะนักฟ้อนสองโกฏิ ครึ่งซึ่งเป็นบริวารท้าว สักกเทวราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น มีพระทัยพิศวง เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็นทรงดำริว่า ด้วยกรรมอันยิ่งใหญ่เช่นไรหนอเทพธิดาผู้นี้จึงได้เทพฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เช่น นี้แล้วตรัสถามเทพธิดานั้นด้วยคาถาเหล่านี้ว่าดู ท่านเทพธิดาผู้เจริญผู้มีผ้าเหลือง มีธงเหลือง ประดับด้วยสีเหลืองอย่างอลังการมีกายลูบไล้ด้วยจันทน์เหลือง ทัดทรงดอกอุบลเหลือง มีปราสาทเหลืองมีที่นอนที่นั่งเหลือง มีภาชนะเหลือง มีฉัตรเหลือง มีรถเหลือง มีม้าเหลืองมีพัดเหลืองครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในชาติก่อน เจ้าได้ทำกรรมอะไรไว้เจ้าถูกเราถามแล้ว ขอจงบอกทีเถิด นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร

    นางเทพธิดาตอบว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้น้อมนำดอกบวบขมสีเหลือง อันมีรสขมซึ่งไม่มีใครปรารถนา จำนวน ๔ ดอก เพื่อไปบูชาพระสถูปหม่อมฉันมีใจผ่องใส มีจิตใจจดจ่อมุ่งอยู่เฉพาะพระบรมสารีริกธาตุของพระศาสดาไม่ทันพิจารณาหนทาง ที่มาแห่งแม่โค ทันใดนั้นแม่โคได้ขวิดหม่อมฉันผู้มีความตั้งใจแต่ยังไปไม่ถึงพระสถูป
    (เทพธิดา กล่าวอย่างนี้ เพราะใจที่คิดขึ้นว่าเราจักเข้าไปยังพระสถูปเจดีย์แล้วบูชาด้วยดอกไม้ทั้ง หลาย ดังนี้ยังไม่สมบูรณ์แต่จิตที่คิดบูชาพระสถูปเจดีย์ด้วยดอกไม้ทั้งหลายสำเร็จ แล้วโดยแท้จึงเป็นเหตุให้เทพธิดานั้นเกิดในเทวโลก)
    ถ้าหม่อมฉันพึงสั่งสมบุญนั้นยิ่งขึ้นไซร้ทิพยสมบัติพึงมียิ่งกว่านี้เป็นแน่
    (การ สั่งสมบุญยิ่งขึ้นนั้น คือการไปถึงพระสถูปแล้วบูชาตามความประสงค์ ทิพยสมบัติจะพึงมียิ่งๆขึ้นไปกว่านี้)ข้าแต่ท้าวมฆวานเทพกุญชรจอมเทพ เพราะบุญกรรมนั้นหม่อมฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว จึงมาอยู่ร่วมกับพระองค์
    ท้าวมฆวานเทพกุญชรผู้เป็นอธิบดีในสวรรค์ชั้นไตรทศทรงสดับคำนี้แล้วเมื่อจะยังเทวดาชั้นดาวดึงส์ให้เลื่อมใส
    จึง แสดงธรรมแก่หมู่เทวดาซึ่งมีพระมาตลีเทพสารถีเป็นประมุข ด้วยคาถาเหล่านี้ว่าดูก่อนมาตลีท่านจงดูผลแห่งกรรมอันน่าอัศจรรย์นี้ วัตถุ ทานแม้มีประมาณน้อยแต่ที่เทพธิดานี้กระทำแล้ว ย่อมเป็นบุญที่มีผลมากเพราะยังจิตเลื่อมใสในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระองค์ก็ตาม ทักษิณา (การบูชา) ไม่ชื่อว่าน้อยเลย
    มาเถิด มาตลีแม้ชาวเราทั้งหลายก็ควรจะพากันบูชาพระบรมธาตุของพระตถาคตให้ยิ่งยวด ขึ้นไปเพราะการสั่งสมบุญนำสุขมาให้ เมื่อพระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตามเสด็จปรินิพพานแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลบุญก็ย่อมสม่ำเสมอเพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้ชอบ(อธิบายคำว่า เพราะตั้งตนไว้ชอบพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "มารดาบิดาก็ดี ญาติเหล่าอื่นก็ดีพึงทำผู้นั้นให้ประเสริฐไม่ได้ ส่วนจิตที่ตั้งไว้ชอบพึงทำผู้นั้นให้ประเสริฐได้กว่านั้น")สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไปสู่สุคติบุคคลทั้งหลายกระทำสักการะบูชาในพระตถาคตเหล่าใดแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์พระตถาคตเหล่านั้นย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอัน มากหนอก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้วท้าวสักกะจอมทวยเทพได้สั่งระงับการเล่น กรีฑาในอุทยาน เสด็จกลับจากอุทยานนั้นแล้วทรง ทำการบูชา ๗ วันที่พระจุฬามณีเจดีย์(ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว-เขี้ยวของพระพุทธเจ้า องค์ที่ ๑ เบื้องบนขวา และเส้นพระเกศา-เส้นผมที่เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ปลงในวันที่เสด็จออกจากพระราชวังเพื่อทรงผนวชค้นหาสัจธรรม) ซึ่งเป็นสถานที่พระองค์ทรงบูชาเนืองๆ
    สมัยต่อมาท้าวสักกเทวราชได้เล่า เรื่องนั้นถวายท่านพระนารทเถระผู้จาริกไปยังเทวโลกพระเถระได้บอกกล่าวแก่พระ ธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายท่านจึงได้ยกเรื่องนั้นขึ้นสู่สังคายนาอย่างนั้น แล.
     
  13. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    กราบอภัย ที่ใช้คำแรงไปครับ

    ขอบคุณที่ทำให้ได้เห็น

    อย่างไรก็ตาม กรณีที่คุณ pongio ที่ยกมา กับที่กำลังพูดถึง มันคนละประเด็นกัน
    คนหนึ่งตายเพราะศรัทธา
    อีกคนน่าจะตายเพราะความกลัว...หรือเปล่าครับ?
    ผมไม่คิดว่าสภาวะแบบนั้น เขาจะตายด้วยศรัทธาหรอกนะครับ
    อีกอย่าง อุบาสิกา ที่ว่า ก็ไม่ได้เป็นนักเลงนะครับ
    ในขณะที่อีกคนนี้...ผมก็ไม่ได้ทันยุคนั้น ไม่ขอวิจารณ์ แต่คนยุคนั้น น่าจะรู้ดี

    แต่ตอนที่เขากำลัวจะตายนั้น เขาไม่ได้อมบูชา...ใช่ไหมครับ??
    ถ้าจะอมบูชาจริง มันก็ต้องอม เช้า เย็น เช้า เย็น ทำเป็นกิจวัตร ถึงจะเรียกว่าอมบูชา
    (มีใครคิดว่าเขาจะทำแบบนั้นหรือเปล่าครับ?)
    อันนี้ เขาอมตอนที่รู้ว่ามีภัย เพราะมีภัยถึงอมก็ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นการบูชานะครับ

    กลับมาที่ อุบาสิกานั้น จิตเขามุ่งไปที่ ๆ เขาจะบูชาดอกอย่างเดียว จนไม่เห็นวัว ด้วยซ้ำ (ตามที่ท่านเอามาลง)
    เขาไม่เสียดายชีวิต ขอให้ได้ไปถวายดอก ต้องถวายดอกให้ได้
    เขามีจิตใจผ่องใส ก่อนตาย แม้จะโดนวัวขวิด แต่ความตั้งใจเขาคือต้องการถวายดอก
    เพราะแบบนั้นเขาเลยไปเกิดบนสวรรค์
    ----อันนี้สมเหตุสมผล----

    แต่คุณ คนนั้น เขาจะถวายใครเหรอครับ เขาไม่ได้อมเพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้เหรอครับ?
    นักเลง ขึ้นชื่อระดับประเทศ อมพระในขณะที่โดนถล่มด้วยกระสุน จะมีจิตผ่องใส ก่อนตาย??
    แล้วเขาก็ไปเกิดบนสวรรค์ตามที่มีใครบางคนบอก เพราะฟังพระมาอีกที
    ---ดูยังไงก็ไม่สมเหตุสมผล---

    แล้วพระที่ออกมาพูด เค้ารู้ได้ไง? เค้ามีจักสุทิพย์เหรอ ถึงเห็น
    ถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่า เขากำลังแสดงอภิญญา ให้ฆราวาสดู ก็เท่ากับผิดวินัยอีก...

    ถ้าเกิดใครมีเหตุผลที่ดีกว่านี้ ก็เชิญแสดงได้เลยครับ
     
  14. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    แล้วยิ่งบอกว่า เป็นผี เอารถลีมูซีนมารับนี้....
    มีหลักฐานไหมละครับ ไม่ใช่พูดลอย ๆ

    ขนาดพระพุทธเจ้าเห็นเปรต
    ยังไม่พูดเลย จนกว่าจะมีพระอีกคนไปเห็นเปรต ตัวเดียวกัน
    แล้วเอามาพูดในสภา พระพุทธเจ้าถึงจะยืนยันว่า เปรตตัวนั้น มีจริง
    ในตอนแรกไม่พูดเพราะว่า ไม่มีพยาน

    ใครมีเหตุผลที่ดี แสดงได้เลยครับ
    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาครับ ต้องใช้ปัญญาพิจารณนาครับ
    ไม่ไช่ศาสนาแห่งความเชื่อครับ
     
  15. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ชาดกก็มีหลายเรื่องที่พูดถึงกลุ่มโจรหนีเจ้าหน้าที่ แล้วมาเจอพระแล้วก็เข้าหาเพื่อขอที่พึ่ง
    พระท่านให้สมาทานศีลและระลึกอยู่กับศีล สุดท้ายเจ้าหน้าที่จับตัวไปฆ่าหมด
    แต่กลุ่มโจรทั้งหมดได้ขึ้นสวรรค์ เพราะบุญแห่งการกระทำก่อนตายนี้

    แต่ทั้งนี้ก็ยังมีชาดกอีกหลายเรื่องที่กล่าวว่า เทวดาพอหมดบุญแล้ว บางพวกก็ต้องไปต่อนรกบ้าง
    เปรตบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง เพราะกรรมเก่าที่ไม่ดีรอให้ผลอยู่

    พระท่านจึงว่า กรรมใหญ่สุด ถ้าจะหนีกรรมไม่ดีให้หมดก็ต้องหนีเข้านิพพานไปเลย
    หากยังเกิดก็ต้องมีชดใช้กันอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2014
  16. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    สรุปคือ เรื่องที่ว่าระลึกถึงความดีก่อนตายมีการระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม(ศีล เป็นต้น) พระสงฆ์ (พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ) ย่อมมีอานิสงส์และบุญสูงพอที่จะฉุดให้ขึ้นไปสวรรค์ได้

    ดังนั้น ถ้าหากพิจารณาระลึกถึงสิ่งที่ดีที่กล่าวมานี้อยู่ทุกวี้วันจะได้บุญกุศลมากเพียงไร.
     
  17. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    สาธุครับ ท่านlovepyou พอดีไปสัมนาเลยไม่ได้เข้ามาอ่าน :cool:

    ขออธิบายแบบนี้ครับ ตัวอย่างที่ผมยกมานั้น ผมต้องการสื่อสารว่า ถ้าดวงจิตสุดท้าย ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย แสดงว่าบุคคลผู้นั้นกำลังกระทำพุทธานุสสติ มีโอกาสสูงมากที่จะได้ไปสุคติภูมิ ไม่ว่าจะนึกถึงด้วยเหตุผลประการใด

    ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านเกิดในตระกูลที่นับถือศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์นั้นแบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์โดยตรง ไม่ยอมเคารพนับถือพระพุทธศาสนา กับพราหมณ์ที่มีเหตุมีผลยอมรับนับถือเห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนตรงตามความเป็นจริง แต่ตระกูลพราหมณ์ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นตระกูลที่ไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า บิดาของท่านอยู่ในฐานะคหบดี เป็นคนรวยมากและเป็นคณาจารย์ใหญ่ของพราหมณ์ ท่านมีลูกชายคนเดียว คือ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร สมัยเป็นมนุษย์ท่านชื่ออะไรก็ไม่ทราบแต่สมัยที่เป็นเทวดาท่านมีต่างหูเกลี้ยง จึงได้นามว่า “มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร”
    ต่อมาท่านป่วย ท่านพ่อแสนจะขี้เหนียว จะซื้อยาหรือจะหาหมอมารักษาให้ลูกชายก็สามารถทำได้เพราะเป็นคหบดีมีทรัพย์นับเป็นสิบโกฏิ แต่ท่านไม่ทำเนื่องจากเสียดายสตางค์ที่มีอยู่ กลับไปถามหมอว่า “ลูกชายฉันเป็นโรคผิวเหลือง จะรักษาด้วยยาอะไรดี” หมอก็บอกยากลางบ้านแบบธรรมดาๆ เมื่อได้ตำรายากลางบ้านมาแล้วก็นำมาให้ลูกชายกิน ก็ไม่หายไข้ ทรุดลงตามลำดับ เมื่อลูกชายไข้ทรุดมาก ท่านก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้ลูกชายนอนอยู่ในห้องสวยๆ ข้างในมีทรัพย์สินมาก มีเครื่องประดับประดามาก ถ้าบังเอิญญาติของเรารู้ข่าวว่าลูกชายของเราป่วย ก็จะพากันมาเยี่ยม และคนที่มาเยี่ยมนั้นถ้ามาเห็นของที่ชอบใจแล้วเกิดขอ ถ้าไม่ให้ก็จะเป็นการขัดใจกัน ทางที่ดีเพื่อเป็นการหลบเรื่องนี้ จึงเอาลูกชายมานอนที่ระเบียงบ้าน ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นเครื่องประดับ
    ต่อมาอาการป่วยทรุดหนักขึ้นทุกวัน แม้แต่แขนขาก็ยกไม่ขึ้น ท่านพ่อก็ไม่ยอมทำยาอย่างดีมารักษาโรคให้ เมื่อความตายปรากฏชัด แต่ทว่าท่านมัฏฐกุณฑลีก็ยังไม่อยากจะตาย จึงไม่มีความรู้สึกว่าเวลานี้จะต้องตาย คิดในใจแต่เพียงว่าเราต้องหายจากโรคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปมาโท มัจจุโน ปทัง” แปลว่า “ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย” ความจริงอาการตายปรากฏชัดแต่ท่านยังไม่คิดว่าจะตาย จะหันไปหาพ่อแม่ก็หมดทางที่ท่านทั้งสองจะช่วยเหลือ เพราะท่านไม่สนใจท่านสนใจแต่ทรัพย์สินที่มีอยู่ ในที่สุดทุกขเวทนาเครียดมาก จึงมีความรู้สึกว่าชาวบ้านเขาลือกันว่า “สมเด็จพระสมณโคดมท่านเป็นพระใจดีมาก มีเมตตาสูง พระองค์สงเคราะห์ไม่ว่าใคร เวลานี้เราป่วยหนักอยากจะให้พระองค์มารักษา เราจะได้หายจากโรค”
    ให้พิจารณาความรู้สึกของท่านมัฏฐกุณฑลีว่า ไม่ได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าในด้านของความดีอย่างอื่น แต่ท่านมีความรู้สึกแต่เพียงว่าพระพุทธเจ้ามีความเมตตาไม่เลือกบุคคล และใจของท่านเวลานั้นก็นึกอยากจะให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคเท่านั้น อาศัยที่เจตนาตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเพื่อให้เป็นหมอรักษาโรค ความจริงถ้าดูกันจริงๆ แล้วมันไม่ตรงกับบุญนัก ถ้าตรงกับบุญก็ต้องยอมรับนับถือในความดีและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านแต่นี่ท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านต้องการเพียงให้มาช่วยรักษาโรคให้หายเท่านั้น
    นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย
    แต่พระพุทธเจ้าก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ในตอนเช้าทรงเสด็จมาบิณฑบาตกับพระอานนท์ ผ่านบ้านพราหมณ์ บ้านนั้นเขาไม่ยอมใส่บาตร และไม่ยอมยกมือไหว้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไป เวลานั้นท่านมัฏฐกุณฑลีนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาฝา เห็นแสงสว่างประกายพุ่งมาเข้าตาของท่าน ก็สะดุดใจกลับตัวเหลียวไปเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดากับพระอานนท์กำลังเดินบิณฑบาต ท่านจับภาพพระพุทธเจ้าขณะเดินบิณฑบาตกับภาพพระอานนท์ กับแสงที่ปรากฏกับตาของท่าน นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอพระองค์จงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด ขณะที่ท่านนึกอยู่อย่างนั้น แทนที่จะหายจากโรคกลับหายจากความเป็นคน นั่นก็คือ ตายจากความเป็นคนเวลานั้น ก็ไม่ผ่านสำนักของท่านพระยายมราช เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จึงตรงไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ได้วิมานทองคำสูงใหญ่มาก แล้วท่านก็เป็นเทวดาอยู่ในวิมานนั้น มีต่างหูเกลี้ยงจึงมีนามว่า “มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร” มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร




    ถ้าถามว่าแล้วคนชั่วทุกคน ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าและสำนึกผิดก่อนตายจะไม่ตกนรกใช่ไหม
    ตอบ อาจตกนรก แต่สุดท้ายต้องได้ไปสุคติภูมิ

    พระเทวทัตถูกธรณีสูบ

    เมื่อพวกสาวก ได้พาพระเทวทัตมาถึงพระเชตวัน วางเตียงลงริมสระโบกขรณีแล้ว พระเทวทัตลุกจากเตียงแล้ววางเท้าทั้งสองลงบนพื้อดิน เท้าทั้งสองก็จมลงในแผ่นดิน เธอจมลงโดยลำดับ ตั้งแต่ข้อเท้า ถึงเข่า ถึงเอว ถึงนม จนถึงคอ ในเวลาที่กระดูกคอจรดถึงพื้น พระเทวทัตได้กล่าวคาถานี้ว่า................

    ข้าพระองค์ได้ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

    ผู้เป็นบุคคลเลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี

    ฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะ

    เกิดด้วยบุญตั้งร้อย ว่าเป็นที่พึ่ง

    ด้วยกระดูกคอเหล่านี้ พรัอมด้วยลมหายใจ.................

    และด้วยอานิสงฆ์ที่ได้ถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา ด้วยความเลื่อมใสก่อนมรณภาพในครั้งนี้..............

    ในอรรถกถาธรรมบถ กล่าวว่า ในอนาคต พระเทวทัต จักได้ตรัสรู้เป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า "อัฏฐิสสระ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2014
  18. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    อนุโมทนาครับ ที่กล่าวมาถูกต้องทั้งหมดครับ
     
  19. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    อย่างไรก็ตาม ประเด็นผมอยู่ที่ว่า เรายังไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน ว่า คุณคนนั้น เขาไปเกิดเป็นเทวดาจริง หลังจากที่เขาตายตอนนั้น (คือเขาอาจจะลงนรก ก่อนก็ได้ ก็ได้ยินมาว่า เขามีอิทธิพล? คนมีอิทธิพลก็คือทำเรื่องผิดศีลไว้เยอะ ใช่หรือไม่? และผมก็ต้องขอโทษด้วย ถ้ามันเกิดทำให้หลายคนไม่สบายใจ
    แต่ผมขอพูดในลักษณะที่มันมีตรรกกะ สมเหตุ สมผล ไม่ขอนับเรื่องตาทิพย์นะ เพราะผมไม่มี)

    คือผมไม่เถียงว่า เขามีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ถ้าเขาระลึกถึงพระพุทธเจ้าจริง

    อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์แบบนั้นคือ ความเป็นไปได้มันอาจจะเป็นแบบนี้
    1. เขาเกิดความกลัวตาย เขาเลยอมพระ เพราะรู้มาว่า อมพระ แล้วจะรอด
    ก็เลยอมพระ แต่ก็ไม่ได้ระลึกอะไรเลย... <<< ไม่ได้ระลึกพระพุทธเจ้า
    2. เขาอมพระ เพื่อจะใช้ฤทธิ์ เพราะเขาทำทุกครั้ง แล้วรอดมา ปรากฎว่าครั้งนั้นไม่สำเร็จ<<< ไม่ได้ระลึกพระพุทธเจ้า
    3. เขาอมพระ แต่รู้ว่าจะตาย จึงเกิดความแค้น อาฆาต พยาบาท <<ไม่ได้ระลึกพระพุทธเจ้า
    4. เขาอมพระ เพราะรู้ว่าเขาจะไม่รอดแล้ว เหลือทางพึ่งสุดท้ายคือ พุทธคุณ
    ขอพุทธคุณ ช่วยเขาให้พ้นภัยเถิด << ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
    5..6...7..8 เป็นไปได้อีกร้อยอย่าง พันอย่าง

    แต่ที่สำคัญคือ ไม่มีใครรู้ว่า เขาคิดอะไรจริง ๆ ในตอนนั้น
    เพราะก็เหมือนว่าทุกครั้ง เขาอมพระมาตลอด รอดมาตลอด
    คือเขาจะคิดถึงพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือเปล่า หรือแค่อมเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไร<< ตรงนี้ไม่มีใครพิสูจน์ได้
    ก็ไม่มีใครอ่านจิตเขาได้ในตอนนั้น (หรือว่ามี?)
    แล้วแค่อมพระไว้เฉย ๆ แล้วจะถือเอาว่าเป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้

    ในเมื่อยังไม่มีอะไรที่มันชัดเจน จึงยังไม่ควรสรุป ว่าเขาไปเกิดเป็นอะไร
    เพราะการสรุปแบบนั้น เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้า (จริง ๆ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่มีใครแล้วนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะกล่าวได้ถูกจริง ๆ )

    คือพระพุทธเจ้า ไม่ได้สรุป จากพฤติกรรมเพราะอมพระ หรืออะไร แต่เพราะพระพุทธเจ้า มีทิพข์จักสุ มีญาณหยั่งรู้ สามารถเห็นว่า สัตว์ตนนี้ ตายแล้วไปเกิดที่นี้ ด้วยผลกรรมแบบนี้ จริง ๆ

    ที่นี้ การที่มีใครมาสรุปแบบนี้ ว่าเขาได้ไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว
    แสดงว่า ท่านต้องมีตาทิพย์ จริง ๆ ถึงได้เห็นเขาว่าตอนนี้อยู่ที่นั้นแล้ว
    แต่ถ้าท่านใช้แค่ การอนุมานจากพฤติกรรมการอมพระเฉย ๆ แล้ว คิดว่าเขาจะได้ไปจริง
    อันนั้น ผมคิดว่ามันยังมีข้อขัดแย้งตั้งหลายอย่าง ที่ยังมีเหตุผลไม่มากพอที่จะเอามาสรุปได้

    คืออมพระ มันเป็นเรื่องภายนอก แต่ภายในเราไม่รู้สักหน่อย
    อมพระ แล้วคิดไม่ดี ก็มีเยอะไป
    มันไม่ได้อยู่ที่อมพระนิครับ มันอยู่ที่ตัวจิตนู้น
    แล้วที่อ่าน ๆ มานี้ สรุปคือ มีตาทิพย์หรืออ่านจิตกันได้ใช่ไหมครับ ก็เลยสรุปออกมาแบบนั้น?

    สรุปเข้าใจใช่ไหมครับ ว่าผมจะสื่ออะไร
    (ประโยครองสุดท้ายนี้แหละ คือข้อสรุปทั้งหมดของการที่พิมยาวเหยียดนี้)


     
  20. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    และที่ผมรับไม่ได้ที่สุด คือ ผีคุณแคล้วเอารถลีมูซีนผี!! มารับท่านส่งถึงวัด??

    อันนี้ มันไม่ใช่หลักศาสนาพุทธแล้ว!

    คือ อ่านยังไงก็ไม่เก็ท
    คือมันไม่ได้มีหลักฐานอะไรสักอย่าง อยู่ดี ๆ มาพูดเรื่องผี เรื่องสาง?? แล้วจะให้เชื่อเลย??
    คืออะไร?? ไม่ใช่เด็กประถมนะ อยู่ดี ๆ มาบอกว่ามีผี แล้วจะเชื่อ
    อ้าว แล้วยังไง เป็นผีไม่พอ ยังขับลีมูซีน อีก.........................................
    แล้วพยานมีไหน รูปถ่ายมีไหม?

    คือเป็นเทวดา มีฤิทธิ์ขนาดนั้นจริง งั้นคืนนี้ มาเข้าฝันผมหน่อยไหมละ? (ไม่ได้ท้านะครับ แต่ช่วยมาบอกผมหน่อยว่า ตอนนี้เป็นเทวดาแล้วจริง )(ก็คือในเมื่อเป็นเทวดามีฤิทธิ์ขนาดขับรถลีมูซีนได้ เรื่องเข้าฝันนะ จิ๊บ ๆ)

    โอเค ถ้าคืนนี้ ผมฝันเรื่องนี้จริง ผมจะยอมเชื่อ

    อ้าว แล้วถ้าผมไม่ฝันละ แล้วทำไง??

    คือ ช่วยพูดอะไรที่มันสมเหตุ สมผลกว่านี้ได้ไหม?

    พระพุทธเจ้าเห็น
    "เปรต" แล้วยังไม่พูดเลย จนกว่าจะมี พยานนนนนนนนน
     

แชร์หน้านี้

Loading...