*ทิพยนิยาย*

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สามเณรเดียวกัน

    เมื่อมาย้อนใคร่ครวญพิจารณาด้วยกุศลธรรมก็ได้สัจธรรมในสองประการ ปะติดปะต่อคล้องจองเข้าด้วยกันเกี่ยวกับเรื่องความลังเลสงสัยของข้าพเจ้าในเรื่องคตินิมิตตารมณ์เมื่อตอนเย็นและเรื่องการดื่มสุราเพียงนิดหน่อยไม่ถึงประมาทซึ่งเป็นการตีความเข้าข้างตัวเองว่าไม่น่าจะเป็นอกุศลในทางธรรมะ

    ทั้งพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์และมหิทธานุภาพแห่งเทพเทวดาได้สำแดงปรากฏให้เห็นทันท่วงทีชัดแจ้งกับตนเองด้วยลมหายใจที่เกือบจะสิ้นลงไปเช่นนั้น ว่าคตินิมิตของผู้ใกล้จะตายปรากฏให้เห็นในกาลอันสมควรก่อนที่จิตจะดับ จะเป็นตอนใดตอนหนึ่ง ช้าหรือเร็ว ใกล้กับเวลาตายหรือก่อนหน้าเวลาตายตามสมควรก็ได้ (เว้นแต่ผู้ที่ตายโหงยังไม่ถึงกำหนด เช่นตายโดยอุบัติเหตุชนิดที่ไม่มีลางสังหรณ์เช่นนั้นจะไปเป็นสัมภเวสีไม่มีที่ไปเพราะยังไม่ถึงเวลาไปจึงไม่คตินิมิตให้เห็น)

    และเรื่องการดื่มสุราเมรัยเครื่องดองของเมา หมากพลู บุหรี่ ยาเสพติดทั้งหลายนั้นแม้จะไม่ถึงเมามายให้เกิดความประมาทก็เป็นการย้อมเบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ฟุ้งซ่านอยู่กับสิ่งเหล่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งกิเลสอันมีความหมายว่าสกปรก เหม็นในทางธรรมะ ถ้าจิตดับวูบลงในขณะนั้นตัวกรรมที่แล่นออกจากจิตเดิมย่อมสกปรก เหม็น เมื่อถูกปรุงแต่งด้วยวิญญาณใหม่ย่อมเป็นจิตวิญญาณที่สกปรกเหม็นเช่นที่ข้าพเจ้าได้ประสบติเตียนจากเทวดาเฝ้าประตูสะพานมาด้วยตนเองอย่างชัดแจ้ง

    จึงนำมาบอกกล่าวเล่าสู่ท่านผู้อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์ เป็นประจักษ์พยานยืนยันด้วยตัวข้าพเจ้าเองซึ่งได้สัมผัสด้วยการสำแดงจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏในมรณานิมิตดังกล่าว

    ทั้งเรื่องราวสรวงสวรรค์ทิพยสถานมหาราชิกา ภาค 2 ซึ่งใกล้จะจบลงนี้ก็บังเกิดขึ้นด้วยการสำแดงสืบเนื่องจากมหาราชิกา ภาค 1 ด้วยเดชะบารมีแห่งพระอริยะซึ่งล่วงภพไปสถิตในอุตตรกุรุทวีป โดยเฉพาะองค์พระสามเณรเทวดารูปนั้น

    สามเณรเทวดาน้อยรูปนี้เมื่อได้ดลใจให้ข้าพเจ้าเข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อย่างละเอียดของมหาราชิกา ภาค 2 เพื่อมอบหน้าที่ให้นำมาถ่ายทอดออกสู่สายตาท่านผู้อ่านซึ่งมีโชคที่ได้ติดตามอ่านและน้อมใจเห็นธรรมะในส่วนสรวงสวรรค์ แล้วท่านก็อันตรธานจากสมาธิของข้าพเจ้าไปเป็นเวลานาน...

    จนกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าได้เริ่มเขียน “ทิพยยามา” สวรรค์ชั้นที่ 3 ลงในนิตยสารโลกทิพย์ไปได้บางส่วนก็มีสามเณรรูปหนึ่งปรากฏในมโนสมาธิ แจ้งต้นสายปลายเหตุบางอย่างของทิพยยามาที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนและกำลังเผยแพร่ในนิตยสารโลกทิพย์ ดังเหตุการณ์บางตอนในเรื่อง “ทิพยนิยาย...ทิพยยามา” ซึ่งข้าพเจ้าขอนำมาบรรยาย ณ ที่นี้ เพื่อยืนยันถึงความเกี่ยวพันกับสามเณรที่กำลังปรากฏสืบเนื่องดังกล่าว

    “..........เที่ยงคืน ณ ราตรีหนึ่ง........อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ
    เข้าสู่กาลเวลาที่พระพุทธองค์จะทรงตอบปัญหาแก่เทพเทวดาเป็นพุทธกิจประจำวัน

    สามเณรน้อยรูปนั้นในชุดจีวรเข้มสีฝาดนั่งสัปหงกอยู่ใกล้พระมหากัสสปเถระ พุทธสาวกผู้ศรัทธาในธุดงควัตร พระมหากัสสปะนั่งเฝ้าถวายอยู่ในสถานที่ประทับของพระพุทธองค์เมื่อยามกาลแสดงธรรมอนุเคราะห์แก่เหล่าเทพในราตรีนี้

    เทพเทวดามหาพรหมจำนวนมากปรากฏกายเข้าเฝ้าอยู่ ณ เบื้องลานกว้างของอัคคาฬวเจดีย์ในรัฐอาฬวีเพื่อทูลถามปัญหาต่างๆ

    .....มนตราและเทพธิดาผู้เพื่อนคงเข้าเฝ้าอยู่รอบนอกเช่นเคย.....

    สามเณรศิษย์เอกแห่งพระมหากัสสปเถระแม้จะนั่งสัปหงกในฌานสมาธิแต่ก็เห็นเทวดาบ้างไม่เห็นบ้าง ถ้าเป็นเทวดาจากสุคติภูมิที่ประณีตยิ่งเช่น จากพรหมโลก หรือจากฉกามาพจรเบื้องสูง สามเณรน้อยนั้นก็ไม่เห็นเนื่องจากฌานอันครอบงำอยู่ด้วยถีนมิทธความง่วงเหงาหาวนอนคอยบดบังกระแสจิตของสามเณรในยามนั้นจึงสัมผัสได้แต่เทพเบื้องต่ำตามภูมิจิตเช่นรุกขเทพมนตราและเทพธิดาน้อยอันสถิตอยู่รอบนอก

    จิตที่ซึมเซาแต่ซุกซนของสามเณรสัมผัสรอบใน มีแต่ความว่างเปล่าเงียบเหงา หาเห็นเทพกายละเอียดที่ห้อมแหนเฝ้าอภิวาทอยู่ใกล้ชิดพระพุทธองค์ ยิ่งทำให้สามเณรรู้สึกง่วงเหงาซึมเซายิ่งขึ้น ครั้นจะหลับก็ยังหลับมิได้เนื่องด้วยอยู่ในกาลนั่งเฝ้าถวายพระพุทธเจ้าตามบัญชาของท่านอาจารย์กัสสปะจึงจำเป็นต้องหากุศโลบายที่จะให้จิตร่าเริงขึ้นบ้างแม้จะอยู่เพียงภูมิรุกขเทวดา ภุมเทวดา ใกล้ชิดติดโลกก็ยังดี

    สามเณรรำลึกได้จึงปรับจิตให้นิ่งอยู่ในปีติสุขภูมิเพียงเบื้องต้น จิตที่กำลังสอดส่ายหาเพื่อนแก้เหงาจึงสัมผัสเทพมนตราและเทพธิดาน้อยที่รอบนอก

    ...เทพบุตร เทพธิดาน้อย ผู้สถิตอยู่รอบนอกนั้นท่านทั้งสองมีรุกขวิมานสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใด...
    ไต่ถามสัมผัสเพื่อให้จิตห่างหายจากอาการง่วงเหงา

    ...ข้าพเจ้าขอคารวะสมณสามเณร ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นรุกขเทพผู้โอปปาติกะไม่นาน สถิตอยู่ใกล้กัน ณ วิมานสาลพฤกษ์ที่ริมธารทิพย์ใกล้ชายเขาโน้นเจ้าข้า...
    เทพมนตรากล่าวตอบ

    ...อ้อ รุกขเทพแห่งสาลพฤกษ์ ท่านพอใจอยู่ในวิมานพันธุ์พฤกษ์อันร่มรื่นนั้นดีอยู่หรือ...

    ...ข้าพเจ้าพอใจในวิมานพันธุ์พฤกษ์อันร่มรื่นเจ้าข้า...
    เทพมนตราตอบ

    ...แล้วเทพธิดาน้อยนั้นเล่า วิมานพันธุ์พฤกษ์ให้ความรื่นรมย์แก่เทพเธอดีอยู่หรือ...

    ...วิมานสาลพฤกษ์ที่ข้าพเจ้าสถิตให้ความรื่นรมย์แก่ข้าพเจ้าทุกวันคืนเจ้าข้า แต่ข้าพเจ้าใคร่จะทราบต่อไปว่า ในสุคติภูมิสรวงสวรรค์ที่ประณีตขึ้นไปอีกยังจะมีวิมานพันธุ์พฤกษ์ที่ให้ความอภิรมย์ร่มรื่นยิ่งกว่านี้อีกหรือไม่เจ้าข้า...
    เทพธิดาถามต่อด้วยคารวะใคร่จะรู้สัจธรรมอันประณีตยิ่งขึ้นต่อไปอีก

    ...เราเคยได้ยินและเคยสัมผัสมาบ้าง วิมานพันธุ์พฤกษ์กลางหาวในยามาสวรรค์เป็นวิมานพันธุ์พฤกษ์ในภูมิที่ประณีต ให้ความอภิรมย์ยิ่งนัก...
    สามเณรน้อยอรรถกถาตามที่เคยประสบมาบ้าง

    ...วิมานพันธุ์พฤกษ์กลางหาวในยามาสวรรค์ เพียงได้ยินยังมีความอภิรมย์ถึงเพียงนี้ ขอความกรุณาสมณสามเณรช่วยชี้ทางเถิดสร้างกุศลอย่างใดจึงจะได้ไปสถิตในยามาสวรรค์...
    เทพธิดาปีติรำพึงและกระตือรือร้นที่จะทราบกุศลอันจะนำไปสู่สวรรค์ชั้นนั้น

    ...เราเคยได้ยินพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า ผู้ใดทำบุญทำทานโดยบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยมิทำเพื่อเพียงหวังผลตอบแทนในบุญเท่านั้น ทำบุญให้เป็นไปตามประเพณี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เคยทำมาด้วยซาบซึ้งว่าเป็นสิ่งที่ดี ผู้ถือสันโดษหมั่นรักษาอุโบสถศีลด้วยปรารถนาจิตให้สงบสงัด ผู้มีจิตบริสุทธิ์วิเวกเช่นนี้จะได้บังเกิดเป็นสหายแห่งเทพในสวรรค์ชั้นยามา...
    สามเณรอธิบายด้วยความยินดีเท่าที่พอจะจำมาได้นำมาปะติดปะต่อ

    ...ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านผู้ถึงกุศลที่ไขความกระจ่าง สวรรค์ชั้นยามาดังสมณะกล่าวเป็นแดนวิเวกสงบสงัด รื่นรมย์ด้วยทิพยพฤกษชาติ ปรากฏวิมานเนรมิตอยู่กลางหาวน่าสัมผัส ข้าพเจ้าผู้มีความผูกพันอยู่ในรุกขชาติใคร่จะสัมผัสสวรรค์ชั้นยามาเสียเหลือเกิน พระคุณเจ้าสมณสามเณรมิยินดีในแดนวิเวกอันน่ารื่นรมย์นั้นดอกหรือ...

    ...พระพุทธองค์ทรงสอนไว้มิให้สมณะในสำนักติดอยู่ในสวรรค์ทุกชั้นแม้จะพรหมโลกก็ตามที พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษยโลกมุ่งสู่นิพพานแต่สถานเดียวเพราะเป็นสถานที่ยิ่งกว่าแดนอภิรมย์มิมีวันเปลี่ยนแปลง...แต่เรายังคงไม่ถึงกุศลสูงสุด เพียงแค่กระแสจิตมาหยุดอยู่ที่สวรรค์ชั้นต้นๆ ก็พึงใจเสียแล้ว ดังเช่นที่ได้มาสัมผัสรู้จักกับเทพท่านทั้งสองเราก็รู้สึกสนุกและหายเหงา ผิดกับเมื่อแต่กี้จะมุ่งเข้าสู่สัมผัสเทพเทวดาที่ละเอียดประณีตขึ้นไปเราก็เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนเป็นกำลัง ฉะนั้นที่เทพเธอถามว่าเรามิยินดีในแดนวิเวกอันน่ารื่นรมย์ในชั้นยามานั่นดอกหรือ เราคงจะไม่ตอบยืนยันเทพเธอเช่นนั้นได้เพราะเราคิดว่าถ้าได้ไปสถิตในสวรรค์ชั้นยามานั้นก่อนเช่นที่ท่านปรารถนาอยู่ก็จะเป็นกุศลไม่น้อยแล้วสำหรับในชาติใกล้ๆ นี้...
    สามเณรตอบไปตามภูมิอารมณ์รู้สึกแห่งตน

    ...ข้าพเจ้ายังผูกพันอยู่กับความร่มรื่นของรุกขพันธุ์ ความสวยงามของบุปผชาติ ความหอมชื่นของสุคนธรส ข้าพเจ้าจึงปีติเมื่อเพียงยินสมณสามเณรกล่าวถึงวิมานพันธุ์พฤกษ์กลางหาวในยามาสวรรค์ สักชาติหนึ่งถ้ากุศลอันประณีตกว่าชาตินี้พึงเกิดแก่ข้าพเจ้าก็คงจะเป็นเพราะพระคุณเจ้าช่วยชี้ทางในกาลนี้ ในกาลนั้นมหาปราสาทแห่งทิพยยามาคงจะเป็นที่สถิตแห่งข้าพเจ้าได้บ้าง ท่านเทพมนตราพึงยินดีในทิพยสถานอันวิเวกเช่นนั้นบ้างหรือไม่...

    เทพธิดาน้อยมีอารมณ์ร่วมในทิพยสถานยามาเช่นเดียวกับสามเณร ยืนยันทิพยารมณ์ของเทพเธอพลางหันมาไถ่ถามเทพมิตรอันอยู่ในวงสนทนาเดียวกัน

    ...แน่นอน เมื่อเทพเธอมิตรเราชื่นชมแดนอภิรมย์อันประณีตยิ่งขึ้นเราก็รู้สึกชื่นชมปีติสุขด้วยเช่นกัน และหวังว่าอานิสงส์แห่งการเข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธองค์ในครั้งนี้ประจบกับการช่วยชี้นำทางของสามเณรที่ได้อนุเคราะห์ เราหวังว่าในชาติอันใกล้บุญกุศลคงจะนำเราไปสถิตร่วมสมัยในแดนนั้นร่วมกันตามบุพนิมิตที่เรามีความรู้สึก...”

    ทั้งสามเณรน้อย เทพธิดา และเทพบุตร เกิดอารมณ์ร่วมตรงกันเป็นอนาคตนิมิตด้วยอานิสงส์แห่งการเข้าเฝ้าถวายอภิวาทพระบรมศาสดา ณ กาลเที่ยงคืนอันเป็นมหามงคลนี้

    ด้วยภูมิวิสัยตรงกัน อยู่ในภาวะผู้เยาว์เช่นกันและภูมิจิตระดับเดียวกัน วาระถัดจากนั้นมา สามเณรศิษย์เอกพระมหากัสสปเถระ เทพธิดาและเทพบุตรแห่งรุกขภูมิที่บังเอิญมาสบสัมผัสกันโดยมิได้ตั้งใจก็กลายเป็นมิตรกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ได้เป็นเพื่อนแก้เหงา ปุจฉา วิสัชนาธรรมกันในราตรีถัดๆ มา ระหว่างที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ช่วงระยะเวลาอันสมควร

    ในที่สุดทั้งสามจึงกลายเป็นเพื่อนร่วมกระแสอธิษฐานที่จะได้ไปสถิตร่วมกัน ณ ยามาแดนสวรรค์ อย่างน้อยชาติหนึ่งในโอกาสต่อไปก่อนที่จะถึงกาลเวลาจากกันในกาลครั้งนั้น



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 259 – 265
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพมหาสตรีผู้เสริมกำลังใจ

    นั่นเป็นเหตุการณ์ย้อนอดีตเข้าสู่สมัยพุทธกาลซึ่งข้าพเจ้าได้สัมผัสในมโนสมาธิขณะเขียนทิพยยามา สรวงสวรรค์ชั้นที่ 3
    ...สิ่งที่สะกิดใจข้าพเจ้าเป็นที่สุดคือ...

    “ใบหน้าสามเณรศิษย์เอกแห่งพระมหากัสสปเถระ พุทธสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเหมือนกับสามเณรน้อยเทวดาที่ได้อันตรธานไปแล้วจากสมาธิของข้าพเจ้าในมหาราชิกา ภาค 2 “

    จึงทำให้เกิดความสงสัยว่า…

    “เป็นองค์เดียวกันหรือเปล่า?”

    ถ้าใช่...ก็แสดงว่า สามเณรศิษย์เอกแห่งพระมหากัสสปเถระผู้ซึมเซาแต่ซุกซนรูปนั้นกำลังสร้างสมบารมีเพื่อภพภูมิที่ประณีตยิ่งขึ้นอยู่ในอุตตรกุรุทวีปขณะนี้

    “แต่เหตุใดจึงไปเกี่ยวพันกับเทพเทวดาในสวรรค์ชั้นยามาดังที่ปรากฏในทิพยยามาอยู่และนัยว่าสามเณรศิษย์เอกแห่งพระมหากัสสปเถระในเรื่องทิพยยามา ขณะนี้ก็สถิตเสวยทิพยกามารมณ์อยู่ในสวรรค์ชั้นยามาเช่นเดียวกัน”

    นี่เป็นสาเหตุสำคัญยิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยอยู่ในขณะนี้

    ถ้าไม่ใช่...เหตุไฉนใบหน้าสามเณรที่ปรากฏในมโนนิมิตของข้าพเจ้าจึงเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน

    “หรือจะเป็นเพราะข้าพเจ้าฝังใจอยู่กับใบหน้าของสามเณรน้อยเทวดาในมหาราชิกา ภาค 2 จนจำติดมาเป็นมโนนิมิตในทิพยยามาที่กำลังเขียน”

    ก็อาจเป็นไปได้ถ้าเป็นเรื่องของอกุศลนิมิตคือนิมิตที่มิใช่สัจธรรม เพ้อเจ้อ ฝังจิตติดจำ

    “ถ้าเป็นเช่นนี้ ทิพยนิยายสรวงสวรรค์ของข้าพเจ้าก็จะกลายเป็นนิยายธรรมดาธรรมดา...มิใช่ทิพยนิยายสร้างสรรค์จรรโลงพระพุทธศาสนาตามที่ข้าพเจ้าวาดหวัง”

    ข้าพเจ้าจะพิสูจน์มโนสมาธิ หรือมโนนิมิตของข้าพเจ้าให้ปรากฏชัดแจ้งด้วยตนเองได้อย่างไรว่าเป็นสัจธรรม หรือความเพ้อเจ้อเหลวไหล...

    ย้อนกระแสความรู้สึกแห่งตนกลับเข้าสู่ภายในแห่งตนว่าที่จริงทิพยนิยายทิพยสถานมหาราชิกา ทั้งภาค 1 และ ภาค 2 ข้าพเจ้าได้เริ่มเขียนมาก่อน “ทิพยนิยาย...แดนดาวดึงส์” ซึ่งได้พิมพ์ออกเป็นเล่มไปแล้วนั้น ทิพยนิยายแดนดาวดึงส์ ได้รับความนิยมจากท่านผู้อ่านเป็นอันมากทั้ง ฆราวาส สมณะ สามเณร ชีพราหมณ์ ทั่วไป ได้รับจดหมายส่งมาให้กำลังใจและชื่นชมว่าเป็นสัจธรรมที่ทำให้อ่านแล้วสิ้นความสงสัยหายสับสนในธรรมะอันประณีตเกี่ยวกับสรวงสวรรค์ของพระพุทธองค์เป็นอย่างดี...นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พระสมณะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเขียนมาและยังมีอีกมากมายหลายร้อยฉบับที่เขียนมาชื่นชม เป็นกุศลปีติทั้งสิ้น

    แต่ทิพยนิยายจรรโลงธรรมะ ทิพยสถานมหาราชิกา ที่จบภาค 1 ไปแล้ว และใกล้จะจบภาค 2 อยู่อีกตอนสุดท้ายต่อไปยังไม่เคยได้รับคำชื่นชมให้กำลังใจจากใครเลยแม้แต่ท่านเดียว

    “หรือคงจะมิใช่สัจธรรมจากสรวงสวรรค์ที่ดลใจให้ข้าพเจ้าถ่ายทอดสู่ท่านผู้อ่านจริงๆ ...ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเพียงนิยายที่เกิดขึ้นจากความเพ้อฝันหรรษา ฉีกรูปแบบให้แตกต่างออกไปจากนิยายติดโลกย์ที่มีอยู่กลาดเกลื่อนในโลกเท่านั้นเอง เป็นนิยายธรรมดาๆ ที่มิได้บังเกิดด้วยพุทธานุภาพและมหิทธานุภาพของเทพเทวดาแต่อย่างใด”

    ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกน้อยใจและท้อแท้ขึ้นมาพอประมาณ
    วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยก็เกิดขึ้น

    “หรือว่าทิพยสถานสรวงสวรรค์ไม่มีจริง”
    อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านก็ตามมา

    “ถ้าเช่นนั้นสิ่งละเอียดประณีตที่เราได้สัมผัสมาเขียนทั้งหมดก็เป็นความฟุ้งซ่านของเราเองเท่านั้นน่ะสิ”
    นิวรณ์ธรรมในสองประการดังกล่าวก็แวบเข้าสู่ความรู้สึกภายในแทนที่อุเบกขา

    ในคืนวันพุธที่ 31 สิงหาคม 2537 คืนอันมืดมิดแห่งดวงจิตซึ่งได้เขียนมหาราชิกา ภาค 2 ได้มาถึงตอนนี้ เมื่อก่อนจะล้มตัวลงนอนได้กราบพระกับหมอนพลางอธิษฐานต่อพระไตรรัตน์

    “เจ้าประคู้น...พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นที่เคารพสักการะตลอดมาซึ่งข้าพเจ้ามีศรัทธาเชื่อมั่นมาตลอดว่า สัจธรรมแห่งพระพุทธองค์เป็นสัจจะคือความจริง การที่ข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดสัจธรรมบางส่วนเกี่ยวกับสรวงสวรรค์มาในรูปแบบของทิพยนิยายทิพยสถานมหาราชิกานั้นเป็นเพียงความเพ้อฝันอันเหลวไหลของข้าพเจ้าเท่านั้นหรือ...

    ถ้ามิใช่เช่นนั้น จะมีใครสักคนหนึ่งไหม...แม้เพียงสักคนเดียวก็ยังดีที่จะเห็นสัจธรรมที่ข้าพเจ้าสู้อุตส่าห์กลั่นกรองทีละตัวๆ ออกมาจากมโนสมาธิซึ่งเชื่อมั่นว่าเป็นความจริง น้อมจิตเข้าสู่กระแสศรัทธาเช่นเดียวกับข้าพเจ้าบ้าง...แม้เพียงสักหนึ่งท่านเท่านั้นถ้ามีและปรากฏต่อข้าพเจ้าโดยตรง...ข้าพเจ้าจะถือว่านั่นคืออานิสงส์อันยิ่งใหญ่จักพึงเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าและท่านผู้อ่านที่น้อมใจทั้งมนุษยชาติที่ยังมืดบอดจักได้ประสบแสงสว่างแห่งดวงประทีปธรรมของพระพุทธองค์ขึ้นบ้าง...เท่านั้นนั่นเองคือรางวัลจากธรรมะที่ข้าพเจ้าพึงปรารถนาได้รับ”

    ต่อจากนั้นก็ท่องคาถาบทสำคัญซึ่งข้าพเจ้าคัดลอกจดมาจากสมุดบันทึกของพ่อขณะที่ได้ถึงแก่กรรมลงเมื่อข้าพเจ้ามีอายุได้ 13 ปี คาถาบทนั้นเป็นคาถาประจำตัวของข้าพเจ้านับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาโดยหารู้ความหมายและชื่อคาถาไม่ ว่าเป็นคาถาอะไรและมีความสำคัญอย่างไร

    “อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธนาเมอิ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ”

    เพิ่งจะมาทราบเมื่อเร็วๆ นี้ ขณะที่จิตน้อมเข้าเขียนหนังสือธรรมะแล้วว่าคาถาบทนี้มีชื่อว่า...

    “มงกุฎพระพุทธเจ้า”

    ซึ่งในส่วนลึกแห่งความรู้สึกของข้าพเจ้าเองยังฝังใจและพอใจที่จะเรียกว่า...
    “หัวใจพระพุทธเจ้า” มากกว่า

    ทราบต่อมาว่าพระพุทธคาถาบทนี้เป็นคาถามหามงคล ทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เบ็ดเสร็จครอบจักรวาลทั้งโลกภพโลกธาตุทีเดียว บุพกษัตริย์ของไทยเราทุกพระองค์ทรงใช้เป็นพุทธบารมีกู้ชาติแผ่นดินมาตลอดทุกกาลสมัย เป็นพระคาถาป้องกันภูตผีปีศาจและสิ่งเลวร้ายทั้งมวล ผู้ใดพึงภาวนาเป็นประจำจะมิตกนรกเลย...เป็นพระคาถาที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสู่ตน ทั้งวัตถุมงคลอันเป็นรูปลักษณ์แห่งพระพุทธองค์ที่ศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์จักพึงมาสู่เองด้วยเดชะพระพุทธบารมีเป็นสำคัญ

    คืนนั้นเมื่อนอนหลับก็ฝันดีทั้งคืน ฝันเห็นพระพุทธ (พระพุทธรูป) พระธรรม (พระไตรปิฏก) และพระสงฆ์เต็มไปหมดคล้ายเป็นนิมิตสัจธรรมรับรองในสัจกุศลธรรมที่ข้าพเจ้าพึงอธิษฐานตอนก่อนนอนเมื่อตื่นขึ้นตอนเช้ามืดก็มีความอิ่มเอมในความรู้สึกและมีกำลังใจมั่นคงในการถ่ายทอดสัจธรรมออกสู่มนุษยชาติต่อไป

    รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2537 หลังจากเสร็จภารกิจติดโลกย์อันเป็นหน้าที่ในวิชาชีพตอนช่วงเช้าของวันแล้ว ช่วงบ่ายจึงว่างเพราะไม่มีนัดหมายกับใครเลย ความรู้สึกในมโนสังขารแห่งตนก็แจ้งว่าให้เดินทางไปที่ห้องอาหารเงียบๆ แห่งหนึ่งแถวผ่านฟ้า สถานที่ซึ่งข้าพเจ้าเคยพบปะเสวนากับพรรคพวกยามมีเวลาว่าง ข้าพเจ้าจึงหิ้วท้องที่กำลังหิวแสนหิวอาหารมื้อเที่ยงเดินทางจากพระโขนงเพื่อมากินมื้อกลางวันที่ผ่านฟ้าโดยมิได้นัดหมายกับพรรคพวกไว้ มาถึงห้องอาหารดังกล่าวเมื่อราวบ่ายเกือบสองโมง แล้วก็พบกับคุณภราดร ศักดา นักเขียนอาชีพกับพรรคพวกอีกหลายคนจริงๆ ที่นั่นโดยมิได้นัดหมายล่วงหน้า คุณภราดรและคนอื่นรับประทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงสั่งอาหารมารับประทานแต่ผู้เดียวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเพราะหิวจัด

    เมื่อท้องอิ่มอารมณ์ก็แจ่มใส แล้วกาลมหามงคลในช่วงนาทีระทึกใจก็บังเกิด...

    สุภาพสตรีร่างท้วมวัยกลางคนท่านหนึ่งเดินหอบกล่องหนักๆ ด้วยอ้อมแขนข้างหนึ่งและหิ้วกระเป๋าอีกข้างหนึ่งเดินตัวเอียงเข้ามาในห้องอาหารนั้น เธอคือพรรคพวกผู้คุ้นเคยกันซึ่งเข้ามาโดยมิได้นัดหมายกับข้าพเจ้าเช่นกัน เมื่อวางกล่องอันหนักหน่วง 2 กล่องนั้นบนโต๊ะที่ข้าพเจ้ากับคุณภราดรนั่งอยู่และนั่งลงตามคำเชื้อเชิญที่เก้าอี้ว่างอีกตัวหนึ่งแล้วก็หอบหายใจฮั่กๆ ด้วยความเหนื่อยหนักจริงๆ อย่างน่าสงสาร

    “กล่องนี้สำหรับคุณภราดร...และกล่องนี้สำหรับคุณบัญช์ บงกช”
    เมื่อพูดออกเป็นประโยคแรกเธอก็กล่าวประโยคนี้ขึ้นมาทันที

    เธอเตรียมกล่อง 2 กล่อง หนักๆ นั้นมาให้เราสองคนโดยเฉพาะเหมือนนัดหมายและเตรียมการณ์ไว้ เหมือนรู้ล่วงหน้า เพราะเราสองคน ข้าพเจ้ากับคุณภราดรได้แยกตัวออกมาจากกลุ่มพรรคพวกอีก 3 - 4 คน ที่นั่งอยู่ในโต๊ะแรกมานั่งรออยู่อีกโต๊ะหนึ่งก่อนหน้าที่สุภาพสตรีท่านนี้จะเข้ามาเพียงครู่เดียว เหมือนเป็นการเตรียมออกมารับกล่องสำคัญตามหมายกำหนดการ ฉะนั้น

    คุณภราดรกับข้าพเจ้ามองหน้ากันงงๆ ด้วยยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่ามีอะไรอยู่ในกล่องทั้งสอง

    เธอประจงแกะกล่องแรกออก ภายในเป็นอิฐแดงชมพูอมเหลืองสีมันปู กว้าง 5 นิ้วเศษ ยาว 9 นิ้วเศษ หนา 2 นิ้วเศษ แต่ละกล่องหนักเกือบ 3 กิโลกรัม มองด้วยตาก็รู้ว่าเป็นอิฐเก่าแก่เนื้อละเอียดงดงามมาก ที่สำคัญก็คือด้านหน้าของแผ่นอิฐแกะสลักเป็นรูปพระสมเด็จ 3 ชั้น ในกรอบโค้งเต็มแผ่นอิฐด้วยฝีมือประติมากรรมอันวิจิตรประณีตยิ่ง และมีสูจิบัตร ใบกำกับแสดงรายการบ่งบอก

    “พระสมเด็จพระพุทธเมตตาอิฏฐมงคล...พระแกะจากอิฐสมัยกรุงเก่านี้ ที่ระลึกเก้าสิบปี “สมเด็จย่า” คือ “สมเด็จพระพุทธเมตตาฯ” โดยพระสังฆราชถวายพระนาม”

    พร้อมกับใบอนุโมทนาบัตรเป็นอภินันทนาการแด่ข้าพเจ้าและครอบครัว โดยสุภาพสตรีท่านนี้ซึ่งเป็นประธานดำเนินการจัดสร้าง ข้าพเจ้าประนมมือท่วมศีรษะรับมอบวัตถุศักดิ์สิทธิ์โลมชาติลุกซู่ไปทั้งตัวด้วยความปีติเป็นล้นพ้น ในขณะนั้นก็รำลึกถึงเดชบารมีแห่งพระพุทธคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าที่กล่าวว่า ทั้งวัตถุมงคลอันเป็นรูปลักษณ์แห่งพระพุทธองค์ที่ศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์จักพึงมาสู่เอง

    มิเพียงเท่านั้น...เมื่อสุภาพสตรีประธานดำเนินการมอบพระศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้วยังได้ประกาศก้องต่อหน้าข้าพเจ้าและคุณภราดรพร้อมทั้งพรรคพวกอีก 3 – 4 คน ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะแรกใกล้กันได้ยินไปถ้วนทั่วว่า

    “ดิฉันคนหนึ่งเป็นแฟนอ่านทิพยสถานมหาราชิกา ของ บัญช์ บงกช...ทิพยนิยายจรรโลงธรรมะที่คุณบัญช์ บงกช เขียนให้คติธรรมแสดงสัจธรรมอันละเอียดประณีตในพระพุทธศาสนาดีมาก...”

    เธอประกาศคำชื่นชมต่อหน้าข้าพเจ้าออกมาดื้อๆ ทั้งยังยกตัวอย่างคติธรรมบางตอนในเรื่องมหาราชิกาขึ้นมาสาธกประกอบอีกด้วย

    โลมชาติทั่วสรรพางค์กายของข้าพเจ้าก็ชูชันด้วยมหาปีติขึ้นมาอีกเมื่อรำลึกถึงคำอธิษฐานของตัวเองเมื่อก่อนนอนเมื่อคืนนี้ในตอนสำคัญตอนหนึ่งที่อธิษฐานว่า...จะมีใครสักคนหนึ่งไหม แม้เพียงสักคนเดียวก็ยังดีที่จะเห็นสัจธรรมที่ข้าพเจ้าสู้อุตส่าห์กลั่นกรองทีละตัวๆ ออกมาจากมโนสมาธิซึ่งเชื่อมั่นว่าเป็นความจริง น้อมจิตเข้าสู่กระแสศรัทธาเช่นเดียวกับข้าพเจ้าบ้าง แม้เพียงสักหนึ่งท่านเท่านั้น ถ้ามีและปรากฏต่อข้าพเจ้าโดยตรงข้าพเจ้าจะถือว่านั่นคืออานิสงส์อันยิ่งใหญ่จักพึงเกิดกับข้าพเจ้าและท่านผู้อ่านที่น้อมใจ...

    และถ้าท่านสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่สนใจให้กำลังใจผลงานสร้างสรรค์ของข้าพเจ้าดังกล่าวนี้เป็นบุคคลธรรมดาๆ ข้าพเจ้าก็พึงปีติเป็นที่สุดแล้ว แต่นี่ท่านเป็นมหาสตรีแห่งโลกมาให้กำลังใจอย่างมิคาดคิดมาก่อน มหาปีติย่อมเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าเป็นล้นพ้นอย่างหาที่เปรียบมิได้เลย เพราะสุภาพสตรีท่านนี้คือ

    “คุณกรองแก้ว เจริญสุข”
    ประธานดำเนินการจัดสร้างพระสมเด็จพระพุทธเมตตาอิฏฐมงคล...นายกวรรณศิลป์สโมสร...และ...กวีเอกของโลกซึ่งได้รับรางวัลกวีเอกของโลกปี 1992 จากผลงานวรรณกรรมร้อยกรองยอดเยี่ยมในบทกวีที่ชื่อ “พุทธบูชา” อีกด้วยต่างหาก



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 266 – 273
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    จากมหาราชิกา...สู่ทิพยยามา

    เมื่อปรากฏการณ์มหัศจรรย์อันเนื่องมาจากความกังขาในข้อเขียนทิพยสถานมหาราชิกาของข้าพเจ้าเองที่ใกล้จะจบลงในภาค 2 นี้ จนเกิดความปรามาสมโนนิมิตของตนเองขึ้นมาว่า

    “ข้าพเจ้าจะพิสูจน์มโนสมาธิ หรือมโนนิมิตของข้าพเจ้าให้ปรากฏชัดแจ้งด้วยตนเองได้อย่างไรว่าเป็นสัจธรรมหรือความเพ้อเจ้อเหลวไหล”

    ที่น้อยเนื้อต่ำใจจนเกิดความรู้สึกประชดประชันตนขึ้นมาก็เนื่องจากว่าได้กลั่นกรองเขียนสัจธรรมแห่งสรวงสวรรค์ชั้นมหาราชิกามาเกือบ 2 ภาคแล้ว ยังมิได้รับคำนิยมชมชอบสักคำหนึ่งจากท่านผู้หนึ่งผู้ใดแม้เพียงท่านหนึ่งเลยจึงท้อแท้ระทดระทวยใจไหวเอนไปตามสมควร

    ฉับพลันทันทีเมื่อได้อธิษฐานเสี่ยงทายไปชั่วข้ามคืน มหาสตรีแห่งโลกผู้สร้างวรรณกรรมร้อยกรองเป็นพุทธบูชาจนได้รับรางวัลเป็นกวีเอกของโลกปี 1992 จากคณะกรรมการสภากวีโลกซึ่งประชุมกันครั้งที่ 13 ณ ประเทศอิสราเอล ก็ปรากฏตนประกาศตัวต่อหน้าสาธารณชนให้ความนิยมชมชอบในทิพยนิยาย ทิพยสถานมหาราชิกาของข้าพเจ้าเมื่อตอนบ่ายวันรุ่งขึ้นเหมือนเทพดลใจ ทั้งยังมอบสมเด็จพระพุทธเมตตาฯ ชั้นสุดยอดไว้ให้เป็นรางวัลปลอบจิต เหมือนได้รับพุทธาณัติจากพระพุทธเจ้ามาสำแดงปรากฏชัดๆ เช่นนั้น เป็นการยืนยันรับรองเชิงบวกว่า มโนนิมิตของข้าพเจ้าที่ได้ถ่ายทอดสัจธรรมสรวงสวรรค์ทิพยสถานมหาราชิกาไปนั้นเป็นสัจธรรม...มิใช่เกิดจากความเพ้อเจ้อเหลวไหลอย่างแน่นอน

    “วิจิกิจฉา” เจ้าตัวความลังเลสงสัย และ
    “อุทธัจจกุกกุจจะ” เจ้าตัวความฟุ้งซ่านในดวงจิตอันแวบเข้ามาแทนที่อุเบกขาขณะจิตตกก็ถูกขับไล่กลับไปทันทีเมื่อดวงจิตแห่งความศรัทธาเชื่อมั่นของข้าพเจ้าผ่องใสขึ้นดุจเดิม

    แต่ความกังขาในเรื่องสามเณรน้อยเทวดาที่ปรากฏในทิพยสถานมหาราชิกาและในทิพยยามายังคงสภาพเคลือบแคลงอยู่ด้วยเหตุที่ว่า...

    “ก็สามเณรน้อยเทวดาทิพยสถานมหาราชิกาได้ล่วงภพกลับเข้าสู่อุตตรกุรุทวีปด้วยความหมดห่วงสิ่งผูกพันในชมพูทวีปแล้ว...เหตุไฉนสามเณรองค์เดียวกันนั้นจึงจะไปปรากฏเป็นเทพบุตรในยามาสวรรค์แห่งทิพยสถานทิพยยามาในกาลเวลาอันใกล้เคียงกัน...”

    เป็นภาระหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะต้องไขข้อความจริงในปุจฉาบทดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในอรรถกถาให้ทั้งข้าพเจ้าเองและท่านผู้อ่านได้รับความกระจ่างแจ้งต่อไปในที่สุด

    ...ค่ำคืนอันสงบสงัด...

    ด้วยดวงจิตที่ผ่องแผ้วแจ่มใส ข้าพเจ้าน้อมมโนมนสิการกำหนดจิตเข้าสู่ความทรงจำเบื้องลึกๆ ปรับแปรความรู้สึกจนนิ่งประณีตเป็นฌานในวิเวกชาภูมิเมื่อเริ่มต้น รำลึกเหตุการณ์ครั้งที่ได้สัมผัสสามเณรน้อยในป่าช้าวัดเมืองครั้งแรกคราวไปงานศพพันโทจำนวน จันทรี พี่เขย

    ภาพใบหน้าสามเณรปรากฏชัดขึ้นๆ แจ่มประจักษ์ จารึกจำหลักไว้ในกระแสทรงจำอย่างมั่นแม่น ต่อมาปรับแปรจิตในฌานวิเวกชาภูมิให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นเข้าสู่สุขภูมิในภาวะกึ่งกลางระหว่างทิพยสถานมหาราชิกาเบื้องสูงและโลกภพ หยุดอยู่ในความประณีตเพียงอุตตรกุรุทวีปรำลึกถึงสามเณรน้อยเทวดา ณ นาครอุตตระเบื้องฟากฝั่งทะเลแห่งขุนเขาสามร้อยยอดที่ข้าพเจ้าเคยสัมผัสกระแสความรู้สึกประสบพบสามเณรองค์เดียวกัน ใบหน้าเดียวกัน ในเหตุการณ์เดียวกับที่ข้าพเจ้าเคยสัมผัสเมื่อคราวก่อนเรื่อยมาจนกระทั่งสามเณรปรากฏองค์กดกริ่งหน้าประตูบ้านที่กรุงเทพฯ เข้ามานั่งสนทนาธรรมในบ้านพร้อมกับภรรยาข้าพเจ้า เรื่อยมาจนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ปรากฏในกระแสนิมิตอธิบายคลายความสับสนให้ข้าพเจ้าได้ทราบภาวะตนเองในคราวถอดจิตน้อมมุ่งไปสัมผัสพระสมณะท่านเจ้าอาวาสวัดเมือง หลวงพ่อจิตตัง แม่ชีสุดคนึง และเจ้าแม่นมสาว ที่กระท่อมยมโดยโดยอัตโนมัติ ต่อจากนั้นสามเณรน้อยก็อันตรธานหายไปจากกระแสมโนนิมิตทันทีมิเคยปรากฏในกระแสสมาธิแห่งภพอุตตรกุรุทวีปอีกเลย

    กระแสสมาธิขณะนี้ข้าพเจ้ารู้แจ้งขึ้นมาว่า สามเณรน้อยเทวดามิได้สถิตอยู่ ณ อุตตรกุรุทวีปแล้วนับแต่อันตรธานจากสมาธิในมหาราชิกา ภาค 2 ของข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก

    จิตสมาธิยามนี้ปรับเปลี่ยนไปเองเข้าสู่ภูมิที่ประณีตยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผ่านภุมิละเอียดที่แสงอาทิตย์ส่องถึงเพียงปลายแสง ข้าพเจ้าทราบในกระแสความคุ้นเคยว่าภูมิที่กำลังผ่านคือปีติสุขภูมิในระดับดาวดึงส์ รำลึกน้อมมโนนมัสการจอมเทพท้าวสักกะอยู่ในใจ ชั่ววูบเดียว ปีติสุขภูมิก็เปลี่ยนแปลเป็นความประณีตขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

    ณ ภูมินี้ไม่มีลำแสงแห่งสุริยะเจ้าดวงใดผ่านพ้นเข้ามาได้เลย แต่ที่นี่กลับสว่างไสวด้วยประกายแก้วรัตนะจากทิพยบุปผชาติมากกว่าความสว่างรุ่งโรจน์ในแดนมหาราชิกาและดาวดึงส์เสียอีก

    ณ ที่นี้คือสรวงสวรรค์ชั้นที่สามอันมีชื่อ

    “ยามา”

    ใบหน้าของสามเณรน้อยปรากฏยิ้มพรายต้อนรับข้าพเจ้าอยู่ในทิพยวิมานพฤกษชาติกลางหาวแต่ในรูปลักษณ์ของเทพเทวดาสง่างามมิใช่ภายในผ้ากาสาวพัสตร์สีฝาดเหมือนที่เคยประสบ

    “ใช่แล้ว...เราคือ สามเณรน้อยจากมหาราชิกาทั้งสองภาคที่ท่านกำลังถ่ายทอดสู่มนุษยชาติอยู่นั่นเอง...เราละจากอุตตรกุรุทวีปมาแล้ว กำลังเสวยทิพยสุขอยู่ในภาคเทพบุตรแห่งยามาสวรรค์เราปรารถนาจะเผยแผ่สัจธรรมแห่งพระพุทธองค์ในเทวชาติที่ประณีตขึ้น ขณะนี้เรามีอุปปัตินามแห่งอุปปัติเทพว่า “เทพบุษบเกตน์” กามเทพแห่งดอกไม้ทิพย์ที่ท่านกำลังเห็นดาษดื่นอยู่ในขณะนี้นี่แหละ”

    กามเทพบุษบเกตน์ที่ข้าพเจ้าถูกกำหนดให้ถ่ายทอดทิพยยามาคือสามเณรน้อยเทวดาจากมหาราชิกา...ข้าพเจ้าทบทวนยืนยันความรู้สึกอีกครั้งหนึ่งและกล่าวออกไปด้วยความดีใจ

    “ท่านคือเทพบุษบเกตน์ที่ข้าพเจ้าถูกกำหนดให้ถ่ายทอดทิพยยามาสู่โลกภพอยู่ในขณะนี้”

    “เราเอง...อาศัยรูปสังขารท่านให้ช่วยอนุเคราะห์ชาวโลกด้วยการถ่ายทอดสรวงสวรรค์ชั้นนี้ เหมือนกับที่ท่านเคยได้รับภารกุศลกิจในการถ่ายทอดมหาราชิกาและดาวดึงส์มาแล้ว”

    เทพบุษบเกตน์แจงอธิบาย

    “ทำไมต้องเป็นข้าพเจ้าอีก”

    “กิจของท่านไม่มีใครจะทำได้หรอกนอกจากท่านแต่ผู้เดียว”

    ข้าพเจ้าได้รับย้ำประโยคนี้อีกวาระหนึ่งทำให้คิดคำนึงถึงเทพธิดาวิลาสินีในแดนดาวดึงส์ที่เป็นต้นตอแห่งประโยคประกาศิตนี้

    “ทำไมท่านเทพบุตร ละโลกจากอุตตรกุรุทวีปเร็วเหลือเกิน”
    ข้าพเจ้าถามตรงจุดที่สงสัยอยู่

    “เราเคยปวารณาอธิษฐานในอดีตชาติไว้ว่าจะนำคุณธรรมเบื้องสูงของพระพุทธเจ้าสู่มนุษยชาติ เทวชาติ พรหมชาติ...นั้นเป็นกิจของเราตามปรารถนา เมื่อเราและหลวงพ่อจิตตังได้มีส่วนผลักดันสัจธรรมของพระพุทธองค์บางส่วนออกสู่ชาวโลกกว้างได้บ้างแล้วเราก็ขออนุญาตหลวงพ่อจิตตังละจากแดนอุตตระมาสู่ที่นี่”

    “ท่านเทพบุตร และหลวงพ่อจิตตังผลักดันสัจธรรมของพระพุทธองค์สู่ชาวโลกกว้างในประการใดหรือ...ข้าพเจ้าปรารถนาจะทราบบ้าง”

    กามเทพบุษบเกตน์ยิ้มน้อยๆ แล้วพลิ้วพรายเสียงระฆังเงินอธิบาย

    “ท่านคงจำพระภิกษุหนุ่มเยอรมันที่เคร่งครัดประพฤติพรหมจรรย์ในป่าช้าวัดเมืองรูปนั้นได้...จากในบันทึกทิพยสถานมหาราชิกาภาคหนึ่ง ขณะนี้พระเยอรมันได้ออกธุดงควัตรจากวัดเมืองนานแล้ว เข้าถึงแก่นพุทธธรรมโดยเร็ว พระเยอรมันรูปนี้เองเป็นสื่อกลางรับกระแสดลใจจากเราเพื่อส่งกระแสพุทธบารมีดลจิตให้คณะกรรมการสภากวีโลกชาวเยอรมันสนับสนุนยกวรรณกรรมร้อยกรองในชุดวรรณคดีศาสนาที่ชื่อ “พุทธบูชา” ของคุณกรองแก้ว (กรองทิพย์) จากประเทศไทยขึ้นพิจารณาจนได้คะแนนเสียงชนะเด็ดขาดจากสภากวีโลกซึ่งมีนานาประเทศหลายสิบประเทศเป็นกรรมการและมีวรรณคดีเกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ ในโลกได้รับเลือกเข้าประกวดมากมาย...แต่ในที่สุด “พุทธบูชา” พุทธธรรมแห่งพระพุทธศาสนาโดยคุณกรองแก้ว (กรองทิพย์) ก็ชนะใจกรรมการสภากวีโลกทั่วโลกในการประชุมสรรหากวีเอกโลกในด้านวรรณกรรมศาสนาปี 1992 ซึ่งประชุมครั้งที่ 13 ณ ประเทศอิสราเอลอันเป็นประเทศในกลุ่มซึ่งนับถือศาสนายิวหรือจูดา

    ข้าพเจ้าได้รับเทวาธิบายจากกามเทพบุษบเกตน์ก็บรรลุแจ้งชัดขึ้นมาทันทีถึงที่มาที่ไปของพระภิกษุเยอรมันผู้บำเพ็ญพรตในป่าช้าวัดเมือง...คุณกรองแก้ว เจริญสุข กวีเอกโลกจากวรรณกรรมร้อยกรอง “พุทธบูชา” ผู้ปรากฏเสริมกำลังใจข้าพเจ้าเมื่อเร็วๆ นี้...และในประการสำคัญที่สุดคือสามเณรน้อยเทวดาจากอุตตรกุรุทวีปและเทพบุษบเกตน์ในยามาสวรรค์อันมีความเกี่ยวพันในทิพยสถานมหาราชิกาที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดมาตั้งแต่ต้น

    แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นใหม่จากคำที่เทพบุษบเกตน์กล่าวนามถึงคุณกรองแก้วแล้วมีละไว้เป็นที่เข้าใจเหมือนในวงเล็บแห่งภาษาเขียนสยามพากย์ว่า (กรองทิพย์) ซึ่งข้าพเจ้าเองก็เคยเผลอเรียกชื่อคุณกรองแก้วเป็นกรองทิพย์ไปสองสามครั้งแล้วเมื่อพบกันวันก่อนอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงได้ถามปัญหานี้กับกามเทพบุษบเกตน์ในประการที่สุด

    “ขอท่านเทพบุตรจงเจริญทิพยกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด...ที่ได้กรุณาอนุเคราะห์ปรากฏเทวาธิบายในปัญหาที่ข้าพเจ้าเคลือบแคลงอยู่จนสิ้นสงสัยแล้ว แต่มีความสงสัยใหม่ประการหนึ่งอันเพิ่งเกิดเกี่ยวกับนามของคุณกรองแก้วที่มีปรากฏเสมือนละไว้ในวงเล็บว่า “กรองทิพย์” นั้นเป็นประการใด

    กามเทพบุษบเกตน์ยิ้มน้อยๆ ด้วยเทวาภิรมย์พลางแจ้งบอก
    “นามเบื้องบนของเธอคือ...”กรองทิพย์เทพธิดา” ก่อนที่จะจุติจากสวรรค์ลงไปร่วมขบวนการถ่ายทอดสัจธรรมแห่งพระพุทธองค์สู่มนุษยชาติในกิจกุศลเดียวเช่นกับท่านที่กำลังสร้างสรรค์อยู่”

    เมื่อแจ้งกระแสในทุกประการแล้วข้าพเจ้าก็กระทำสาธุการนมัสการเทพบุตรบุษบเกตน์อำลาถอนจิตจากกระแสสมาธิลืมตาขึ้นที่หน้าโต๊ะพระบูชา ก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลอันพึงจักได้จากการเจริญสมาธิครั้งนี้ไปถ้วนทั่ว ปีติอิ่มเอมใจแล้วนอนหลับลงด้วยความสุขเกษมอย่างยิ่ง

    วันรุ่งขึ้นเมื่อมานั่งทบทวนกระแสสมาธิที่ได้สัมผัสเมื่อคืนนี้แล้ว จึงได้โทรศัพท์ไปถามคุณกรองทิพย์ (เอ๊ย...กรองแก้ว) ว่า...

    “ในสภากวีโลกมีคณะกรรมการชาวเยอรมันอยู่ด้วยหรือเปล่า”

    “มีค่ะ...คุณบัญช์ บงกช...มีอยู่หลายท่านและให้การสนับสนุนวรรณกรรม “พุทธบูชา” จนได้รับรางวัลในครั้งนั้น”

    ตรงกับที่สามเณรน้อยเทวดา หรือกามเทพบุษบเกตน์ในยามาสวรรค์แจ้งไว้อีก ทั้งนาม “กรองทิพย์” ที่ข้าพเจ้าเลียบเคียงถามคุณกรองแก้วว่าเคยได้ยินชื่อนี้บ้างไหม

    “เป็นชื่อจริงตามบัตรประชาชนของดิฉันแต่ดิฉันไม่เคยแสดงแก่ผู้ใดเลยนี่คะ...ทำไมคุณบัญช์ทราบได้ล่ะคะ”

    เป็นอันว่าปรากฏการณ์สุดท้ายที่สามเณรเทวดาหรือเทพบุษบเกตน์แจ้งแก่ข้าพเจ้าเป็นสัจธรรมความจริงทุกประการจึงน้อมจิตเชื่อมั่นได้เต็มศรัทธาว่าเป็นทิพยสัจธรรมจากสรวงสวรรค์อย่างแน่แท้...เทอญ



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 274 – 280
    โดย...บัญช์ บงกช



    .....จบบริบูรณ์.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...