*ทิพยนิยาย*

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ย้อนอดีต...สู่ปัจจุบัน

    “โยมดอกบัว...จงน้อมจิตย้อนตามเหตุการณ์ของอาตมานับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้”
    สามเณรนำจิตข้าพเจ้าติดตามเข้าสู่แดนอุตตรกุรุทวีป นับจากจุดเริ่มต้นในแดนวิเวกป่าช้าวัดเมืองปราณ เข้าสู่ภพที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นๆ

    ข้าพเจ้าเห็นสังขารกายธาตุของผู้ทรงศีลทั้งสามค่อยๆ เปลี่ยนจากกายหยาบซึ่งมีเนื้อ หนัง ผม ขน ฟัน เล็บ แยกประเภทปรากฏเด่นชัดอยู่ค่อยสลายคละเคล้ารวมกันเป็นเพียงรอยปรากฏว่าตรงนั้นเป็นขน เป็นผม เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง อยู่ในรูปละเอียดคล้ายเงา แต่เห็นได้ชัดแจ้งในรูปลักษณ์เดิมของแต่ละท่าน รูปละเอียดทั้งสามเดินเหินล่องลอยไปเหนือพื้นออกจากภพหยาบเข้าสู่บรรยากาศโปร่งใสเบาบางในทิศทางตะวันออกเฉียงใต้จากบริเวณวัดเมืองผ่านเทือกเขาสามร้อยยอดตัดตรงสู่ทะเลมุ่งมาทางเกาะนมสาวเบื้องนี้

    เพิ่งจากมาเมื่อย่างเข้ารัตติกาลในชมพูทวีป แต่กลายเป็นอุษาโยคในอุตตรกุรุภพ
    “กาลเวลาในแดนนี้ช้ากว่าในชมพูทวีป 12 ชั่วโมงพอดีๆ”
    เสียงสามเณรอธิบายด้วยความรู้สึกที่ปรากฏในโสตสัมผัสของข้าพเจ้า
    “กระผมคิดว่าเร็วกว่า 12 ชั่วโมงเสียอีก”
    ย้อนกระแสรู้สึกแจ้งไป

    “ที่อุตตรกุรุทวีปช้ากว่าทวีปหยาบ ด้วยแสงอาทิตย์จากจักรวาลส่องทะลุเข้ามาในมิติประณีตยากกว่าในภพหยาบนั้น เนื่องจากละอองอณูแห่งอาสวกิเลสทั้งหลายเหลือน้อยลงๆ ตัวสะท้อนแสงเจือจางเต็มที กว่าลำแสงจะเดินทางมาถึงได้ต้องใช้เวลา 12 ชั่วโมง จากภพหยาบดังกล่าว”

    ข้าพเจ้าพิจารณาด้วยสมาธิ ชักจะเริ่มเข้าใจ ซึ่งแต่แรกยังรู้สึกสับสนว่าในแดนนี้ทำไมจึงมีกาลเวลาเหมือนอีกซีกโลกหนึ่งของประเทศไทย หรือว่าอุตตรกุรุทวีปนี้จะมีภูมิประเทศอยู่แถวๆ อีกซีกโลกหนึ่ง นั่นเป็นความรู้สึกที่สับสนในครั้งแรก แต่เมื่อสามเณรกรุณาอธิบายก็กระจ่างขึ้นด้วยปัญญา

    “ที่จริงอุตตรกุรุทวีป ห่างจากชมพูทวีปคือภพเราทั้งภพ 12 ชั่วโมง ห่างกันด้วยมิติที่ละเอียดประณีตกว่าจนแสงจากดวงอาทิตย์เดินทางมาได้ต้องใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงนั่นเอง เป็นการห่างทางมิติ มิใช่ห่างในทางภูมิศาสตร์ดังที่ข้าพเจ้าสงสัย”

    “โยมดอกบัวพึงพิจารณาถูกต้องแล้ว”
    สามเณรรับรองและกรุณาอธิบายกว้างไกลออกไปอีก
    “เป็นในลักษณะเช่นนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ในภพที่ประณีตยิ่งขึ้น เช่น ชั้นจาตุมหาราชิกาสวรรค์อันเป็นชั้นสวรรค์โดยสมบูรณ์แสงอาทิตย์จากจักรวาลก็จะขึ้นไปถึงได้ช้ามากขึ้น ยิ่งในแดนดาวดึงส์ซึ่งโยมทราบดีอยู่แล้ว เป็นแดนที่ประณีตมากขึ้นไป แม้แสงจากดวงอาทิตย์จะขึ้นไปถึงเรียบร้อยแล้ว นอกจากจะกินเวลาช้ามากนักแต่ก็ไปถึงเพียงปลายแสงเท่านั้นเอง...และเหนือขึ้นไปจากชั้นนั้น เช่น ยามา แสงจากดวงอาทิตย์ทั้งสิ้นทั้งหลายทั้งปวงในโลกธาตุจะส่องขึ้นไปไม่ถึงเลย เป็นเช่นนั้นโยม”

    ใครบ้างเคยอธิบายเช่นนี้ในโลกมนุษย์มาก่อน ข้าพเจ้าไม่เคยได้ทราบ เมื่อมาได้ฟังคำอธิบายด้วยทิพยกระแสในโสตสัมผัสเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็เข้าใจจนแทบจะเรียกว่าบรรลุความรู้สึกในเรื่องมิติและความประณีตอันเกี่ยวพันกับแสงอาทิตย์บนสรวงสวรรค์แต่ละชั้นในครั้งนี้เอง”

    แล้วความปีติซาบซ่านก็เข้าครอบงำความรู้สึกจนรู้ว่าตัวเองก็เบาบางไร้สิ่งหยาบเช่นกายมนุษย์ แต่เมื่อได้พิจารณาจำแนกแยกแยะก็รู้สึกในความเป็นจริงว่า...

    “ที่ตัวเองรู้สึกว่าตัวเองเบาบางไร้สิ่งหยาบนั้น ที่จริงจิตของข้าพเจ้ารวมมากับรายละเอียดอันแยกออกมาจากกายหยาบซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่กระท่อมยมโดยนั่นเอง สำหรับสังขารกายธาตุของหลวงพ่อก็ดี สามเณรก็ดี แม่ชีก็ดี ที่ข้าพเจ้ากำลังติดตามมานั้นท่านทั้งสามได้ทำสมาบัติเปลี่ยนกายหยาบทั้งหมดเป็นกายละเอียดเข้าสู่แดนนี้ โดยไม่มีกายหยาบเหลืออยู่ที่ที่เดิมเลย”

    “พึงพิจารณาถูกต้องแล้ว”
    เสียงสามเณรรับรองอีก

    “แล้วเรื่องการลบเลือนเหตุการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับองค์ท่านทั้งสาม ทั้งผู้เกี่ยวข้องให้ออกไปจากความรู้สึกทรงจำของผู้คนในโลกหยาบเป็นไปในสภาพอย่างไรหรือ”
    ข้าพเจ้าสนใจอยู่จึงได้โอกาสซักถามขึ้น

    “หลวงพ่อใช้คำว่าลบเลือนเหตุการณ์ให้พ้นออกจากความทรงจำของผู้คนนั้นเป็นการชอบแล้ว เป็นการแยกเหตุการณ์ให้พ้นออกมาเอง มิใช่ทำให้ความทรงจำของผู้คนหลงลืมไปหรือจำไม่ได้หรือเผลอไผลหรืองงงวยซึ่งจะเป็นอกุศล การแยกเหตุการณ์ออกมาเช่นนี้เป็นการกระทำเฉพาะกิจเฉพาะกาลเท่านั้นเอง และเป็นการกระทำเพื่อแก้อกุศลบางอย่างเพื่อกุศลอีกหลายอย่างอันคุ้มกัน และเห็นแล้วว่าไม่ได้เกิดกรรมเสียหายต่อผู้ใดอย่างใดเลย นอกจากจะเสริมกุศลให้อีกหลายๆ คนได้สัมผัส หลวงพ่อพิจารณาโดยรอบคอบแล้วจึงเลือกใช้วิธีนี้”

    “เจริญกุศลเถิดพระคุณเจ้า กระผมเข้าใจขึ้นแล้ว”
    ข้าพเจ้าได้รับความกระจ่างชัดขึ้นอีก
    “สำหรับตัวกระผม เมื่อได้ทราบสภาวะแน่ชัดพอสมควรเช่นนี้ว่าเป็นเรื่องจริงแล้วกลับไปถ่ายทอดในลักษณะเป็นทิพยนิยายเสียเหมือนเรื่องไม่จริงแก่ท่านผู้อ่าน จะมิเป็นการปกปิดข้อความจริงแก่เขา มิเป็นบาปมุสาหรือพระคุณเจ้า”
    ถามเพื่อประโยชน์ของตนเองบ้าง ทั้งนี้คาดว่าอาจได้รับวิสัชนาอันแจ้งชัดเป็นเครื่องคลายความปริวิตกแห่งตนลงได้

    “มีคำในทางโลกอยู่ว่า การปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง นั่นต่างหากจึงจะถือเป็นความผิด แต่ถ้าการปกปิดข้อความจริงซึ่งไม่ควรบอกให้แจ้งแล้วก็ไม่ผิด โยม...ธรรมอันล้ำเลิศยิ่งยวดพระพุทธองค์ท่านทรงให้สติไว้ว่าถ้าไม่จำเป็นเพื่อคลายทิฏฐิมนุษย์เท่านั้นก็ไม่ควรแสดง การที่โยมถ่ายทอดในลักษณะทิพยนิยายออกไปมิใช่เป็นการปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้งแก่มนุษยชาติดังได้กล่าว แต่ทิพยนิยายของโยมในลักษณะเช่นนี้ ถ้าผู้อ่านซึ่งเป็นมนุษย์ที่ควรรับรู้ได้ด้วยกุศลของเขา (อันจะเข้าซึ่งควรบอกให้แจ้ง) นั้นจะพึงพิจารณาได้เองว่าเป็นความจริง ด้วยภาวนามยปัญญาของเขา ฉะนั้นกิจกุศลของโยมในลักษณะเช่นนี้จะเป็นกุศลกรรมทั้งขึ้นทั้งล่อง คือถ้าเป็นพวกผู้อ่านที่ไม่อยู่ในข่ายซึ่งควรบอกให้แจ้งก็อ่านแล้วได้รับความเพลิดเพลินในการสร้างสรรค์มาในกุศลเพิ่มขึ้น ส่วนผู้อ่านซึ่งอยู่ในข่ายซึ่งควรบอกให้แจ้งนั้น ก็จะแจ้งได้เองโดยภาวนามยปัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ทั้งคณะของอาตมาและคณะของโยมก็จะหลุดพ้นจากคำว่าอุตริมนุสธรรมอันไม่ควรแสดงตามที่พระพุทธองค์ทรงเตือนสติไว้แล้วนั้นด้วยโยม”

    ข้าพเจ้าประนมมือไหว้อีกครั้งหนึ่งด้วยปีติ เข้าใจและหายวิตกกลับเห็นสัจธรรมเพิ่มขึ้นตามที่สามเณรให้ความกระจ่างชัดทั้งทางโลกทางธรรม
    “ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนที่กระผมจะต้องเป็นผู้ถ่ายทอดกิจกุศลในภาคนี้อีก”
    ปรารภขึ้นในเชิงจำนนกลายๆ

    “กิจของโยมไม่มีใครจะทำได้หรอกนอกจากโยม”

    อีกครั้งหนึ่งแล้วที่ข้าพเจ้าได้รับคำกล่าวยืนยันนับจากเทพธิดาวิลาสินีในแดนดาวดึงส์มาจนสามเณรผู้ทรงฤทธิ์ในอุตตรกุรุทวีปครั้งนี้

    จิตของข้าพเจ้าล่องลอยติดตามสามเณรและคณะผู้ทรงศีลไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่เจ้าแม่นมสาวได้นิมนต์สมณะทั้งสามให้พำนักอยู่ในอาศรมแต่ละสถานที่ที่ได้เนรมิตเตรียมรับไว้แล้ว การบิณฑบาตโปรดสัตว์ในเช้าวันแรกและวันที่สอง การปฐมเทศนาแสดงธรรมของหลวงพ่อแก่ชาวอุตตรนคร การเทศนาให้ชาวอุตตระรำลึกได้ถึงอานิสงส์แห่งการให้ทาน การพิจารณาภาวะมนุษย์จำลองเทพจำแลงในแดนอุตตระของสามเณร เกาะแก้วรัตนะ เกาะทองสุวรรณโครำ แพะทองคำหรือสุพรรณมัจฉาจากชาดก การเสพเมถุนธรรมของชาวอุตตรกุรุทวีป สวนผลไม้ขนุนใหญ่เท่าไหหาม สามเณรแสดงธรรมให้ชาวอุตตระศรัทธาในพระพุทธเจ้า ทิพยพุทธปฏิมากรแก้วสัตตรัตนะบนยอดเกาะ พญามารมุ่งทำลายผู้ทรงศีล นางยักษิณีเทพผู้ได้รับบงการอาสา สามเณรปลอมสามเณรจริง แผนนฬินิกาทำลายดาบส ยักษิณีเทพพ่ายธรรมสามเณร นฬินิกาชาดก เทพธิดามารบรรลุเป็นธิดาเทพ จิตรำพึงสามเณรสู่มนุษย์หยาบ พ่อใหญ่แม่มีคลั่งมีลูก จนกระทั่งมาถึงความฝันนำสู่อุตตรกุรุทวีปของข้าพเจ้า

    สามเณรนำข้าพเจ้าท่องเที่ยวติดตามใกล้ชิดไปทุกแห่งทุกตอนเจาะจงอย่างจริงใจให้ข้าพเจ้าจารึกจำหลักรายละเอียดติดตรึงอยู่ในความรู้สึกเพื่อผลแห่งการถ่ายทอดอันประณีตอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดแสดงให้ปรากฏชัดแจ้งด้วยสัจธรรมมาก่อน

    “ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้ามิใช่นักปฏิบัติธรรมเคร่งครัดถึงขนาดที่จะได้ขั้นภาวนามยปัญญานำสัจธรรมอันประณีตละเอียดอ่อนมาแสดงแก่ท่านได้ด้วยจินตนารมณ์อิสระของตนเองดังได้ปรากฏเป็นทิพยอักษรมาแล้วตั้งแต่ต้นเป็นแน่ ถ้ามิใช่องค์ศักดิ์สิทธิ์แห่งผู้ทรงศีลจะดลบันดาลให้เป็นไปตามครรลองลบองแบบทิพยสถานอันควรปรากฏ”

    เป็นคำยืนยันของข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งเมื่อเขียนมาได้ถึงตอนนี้

    ตอนต่อๆไป ข้าพเจ้ายังไม่ได้คิดว่าจะเขียนอะไรไว้ล่วงหน้าเลย ไม่มีพล็อต ไม่มีการเตรียมการ ไม่มีวัตถุดิบสำรองไว้ที่จะผลิตผลออกมาเหมือนนักประพันธ์อาชีพผู้เชี่ยวชาญที่จะเขียนได้เรื่อยๆ โดยความชำนาญเฉพาะตนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    “แต่ข้อเขียนของข้าพเจ้าคงจะสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ยังมิได้ เพราะผู้อ่านคู่หนึ่งซึ่งเป็นต้นตอให้ข้าพเจ้าต้องเขียนมหาราชิกา ภาค 2 นี้ขึ้นอีก กำลังรออ่านเรื่องนี้อยู่อย่างจดจ่อ ถ้าจบเรื่องของสามเณรเทวดาลงเพียงเท่านี้ พ่อใหญ่แม่มีนั่นแหละคงจะต้องย้ายที่อยู่จากบ้านดงตาลมาอยู่เฝ้าลิงโทนของเจ้าแม่ซึ่งมีตัวโตเท่าสามเณร ที่ทั้งสองผัวเมียปักใจว่าเป็นตัวแทนของลูกชายในฝันของเขามาปรากฏให้เห็น...ถ้าทั้งสองคนมีพฤติกรรมปรากฏแก่คนทั่วไปว่ากลายเป็นบ้าเพราะอยากมีลูกเช่นนั้น เรื่องที่กำลังเขียนอยู่นี้ก็จะเป็นทางนำสู่อกุศลเป็นแน่”

    นี่แหละความหนักใจของข้าพเจ้าว่าจะทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยมหากุศลอย่างไรต่อไป


    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 146 – 152
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วิเวกชาภูมิ

    “วิเวกชาภูมิ” เป็นการกำหนดระดับจิตด้วยสมาธิให้นิ่งอยู่ในความสงบสงัดด้วยองค์ 3 คืออยู่ในที่เงียบสงบเป็นกายวิเวกหนึ่ง สงบจิตให้ตั้งอยู่ในความสงัดเป็นจิตวิเวกหนึ่ง และละตัดสิ่งนุงนังสภาวะที่ระคนอยู่ในกิเลสอันก่อให้เกิดทุกข์ในเบญจขันธ์ออกให้สิ้นเป็นอุปธิวิเวกหนึ่ง เข้าจตุตถฌาน คือ ฌาน 4 แล้วถอยกลับมาทรงอยู่ในสุขและปีติ คือ ฌาน 3 ฌาน 2 เป็นปีติสุขภูมิ ยกปีติสุขภูมิให้ประณีตละเอียดขึ้นกว่าภูมิมนุษย์ธรรมดากึ่งสวรรค์และมนุษย์ อธิษฐานสัมผัสแดนอุตตรกุรุทวีปดังที่กล่าวปรากฏไว้ในสัจธรรมของพระพุทธองค์

    “เมื่อต้องการสัมผัสแดนนี้ ทำเช่นนั้นใครๆ ก็ทำได้”
    ข้าพเจ้าได้รับคำแนะนำจากสามเณรเทวดามาเช่นนั้น
    แล้วก็ได้สัมผัสกับท่าน บันทึกเหตุการณ์อย่างละเอียดนำมาเขียนให้ท่านอ่านตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้มิใช่เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นเองโดยมิได้อาศัยศีล สมาธิ ภาวนา ดังกล่าวเลย

    หลายเรื่องเมื่อได้นำมาตรวจตราเปรียบเทียบกับพระไตรปิฎกก็มีอยู่จริงตรงกัน เช่น สุพรรณมัจฉาชาดก นฬินิกาชาดก คนทิพย์ในแดนนั้นซึ่งเคยปรากฏถวายบาตรพระพุทธเจ้าครั้งพุทธกาลหลายครั้งหลายคราว นับเนื่องมาถึงสมัยปัจจุบันพระเถระผู้มีปฏิสัมภิทา เช่น พระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ พระป่าผู้จาริกไปทั่วป่าเขาลำเนาไพรในครั้งทรงชีวิตโปรดสัตว์ ท่านก็เคยประสบคนทิพย์เหล่านี้ปรากฏถวายอาหาร

    “...เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พระอาจารย์มั่นได้ไปจาริกถึงประเทศพม่าอยู่ 5 ปี เมื่อเกิดสงครามก็ต้องหลบหลีกทหารอังกฤษกลับ เดินลัดเลาะป่าใหญ่ป่าทึบมาแต่องค์เดียวอยู่สี่วันเต็ม ไม่ได้ฉันอาหารเลย จนเหนื่อยอ่อนทั้งหิวทั้งเพลียเป็นกำลังแทบจะไปต่ออีกไม่ไหวจริงๆ ท่านจึงนั่งพักลงครู่หนึ่งแล้วอธิษฐานจิตว่า...

    ...เราเดินทางเสี่ยงความตายมาทุกลมหายใจ จนบัดนี้ผ่านมาได้ยังไม่ตาย ลมหายใจก็ยังไม่ขาดความสืบต่อ แต่นับแต่ขณะแรกที่เราออกเดินทางมาจนถึงบัดนี้ไม่เคยเห็นบ้านคนเลยแม้หลังคาเรือนหนึ่งพอได้อาศัยโคจรบิณฑบาตประทังชีวิตไว้บ้าง นี่เราเลยจะตายเสียเปล่าๆ จะไม่มีคนมาชุบชีวิตไว้ด้วยอาหารเพียงมื้อหนึ่งบ้างหรือ เรามาด้วยความลำบากยากเย็นในคราวนี้ ซึ่งไม่มีคราวไหนในชีวิตของเราจะทุกข์มากเหมือนครั้งนี้ก็เพื่อหลบภัยสงครามอันเป็นเรื่องของความตายที่มนุษย์กลัวกัน แต่แล้วก็จะมาตายเพราะสงครามอดอยากหิวโหย และการเดินทางแบบล้มทั้งยืนนี้หรือ ถ้าเทวบุตรเทวธิดาชั้นฟ้าบนสวรรค์มีดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้ และว่าพวกนี้มีตาทิพย์ หูทิพย์ มองเห็นได้ไกลจริงดังว่า ก็จะไม่มองเห็นพระซึ่งกำลังจะสิ้นลมตายอยู่เวลานี้บ้างหรืออย่างไร เราเชื่อคำของพระพุทธองค์ตรัสไว้แต่เทพทั้งหลายที่เคยได้รับความอนุเคราะห์จากพระมามากต่อมากทั้งครั้งโน้นและครั้งนี้ จะเป็นผู้มีใจอันจืดดำจนถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าไม่ใจจืดก็ขอแสดงน้ำใจให้พระซึ่งกำลังจะตายอยู่ขณะนี้ได้เห็นบ้าง จะได้ชมว่าเทวธิดาเทวบุตรทั้งหลายเป็นผู้มีใจสูงและสะอาดจริงดังชาวมนุษย์สรรเสริญ...แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซต่อไป

    ทันใดนั้นเอง ท่านได้เห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งแต่งตัวหรูหราผิดกับคนชาวป่าราวฟ้ากับดินกำลังนั่งนิ่งยกเครื่องไทยทานขึ้นจบอยู่บนศีรษะข้างทางที่ท่านจะเดินผ่านไปในหุบเขาอันลึก บุรุษนั้นนั่งอยู่ข้างพุ่มไม้ห่างจากองค์ท่านขณะที่เห็นเบื้องแรกประมาณ 4 วา เมื่อท่านเดินเข้าไปถึง สุภาพบุรุษผู้นั้นก็พูดว่า

    “นิมนต์พระคุณเจ้าพักฉันจังหันพอบรรเทาความหิวโหยอ่อนเพลียที่นี่ก่อน มีกำลังแล้วค่อยเดินทางต่อไปเถิด คงจะพ้นดงหนาป่าทึบในวันนี้แน่นอน...”

    ท่านพระอาจารย์มั่นก็หยุดปลงบริขาร จัดบาตรรับบาตรกับบุรุษผู้ปรากฏนั้น ทั้งข้าวทั้งกับหวานคาวทุกชิ้นที่บุรุษนั้นใส่ลงในบาตรหอมตลบอบอวลไปทั้งป่า ข้าวและกับมีพอความต้องการไม่มาก ไม่น้อย มีรสโอชาอย่างมหัศจรรย์ (เมื่อได้ฉันแล้ว) เมื่อรับบาตรเสร็จ พระอาจารย์มั่นก็ถามว่า

    "โยมมาจากไหน บ้านโยมอยู่ที่ไหน อาตมาเดินทางมาได้สามคืนกับสี่วันนี้แล้วไม่เคยเจอบ้านคนเลย..." สุภาพบุรุษนั้นตอบว่า...

    “ผมมาจากโน้น” พลางชี้มือไปที่สูงๆ พิกลๆ
    “บ้านผมอยู่โน้น...”

    ท่านพระอาจารย์ถามว่า ทำไมถึงรู้ว่าพระจะมาที่นี่และมาคอยใส่บาตรถูก
    เขายิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบว่ากระไร จากนั้นพระอาจารย์มั่นก็อนุโมทนาให้พร พอได้รับพรเสร็จสุภาพบุรุษผู้พูดน้อยแต่มีท่าทีองอาจมากผิดคนธรรมดาก็กล่าวลาว่า...

    “โยมขอลาท่านกลับไปก่อน เพราะบ้านอยู่ไกล”

    พระอาจารย์ได้สังเกตเห็นผิวกายทุกส่วนสัดของบุรุษวัยหนุ่ม มีผิวพรรณผ่องใสมาก รูปร่างปานกลางไม่สูงไม่ต่ำ มีกิริยาสำรวม เมื่อกล่าวลาแล้วลุกจากที่ เดินออกไปประมาณได้ 4 วา ก็ลับหายเข้าไปในไม้ต้นหนึ่งซึ่งไม่สูงไม่ใหญ่นักเป็นที่น่าอัศจรรย์

    เมื่อเห็นบุรุษนั้นหายไปแน่แล้ว ท่านจึงเริ่มฉันจังหัน ข้าวก็ดี แกงก็ดี หยิบชิ้นไหนขึ้นมามันมิใช่อาหารในเมืองมนุษย์ที่เคยฉันมา ความหอมหวนชวนชื่นและรสชาติอร่อยยิ่งนัก ทั้งอาหารคาวหวานซึ่งมีไม่มากนั้นล้วนแต่พอดิบพอดีกับความต้องการของธาตุในร่างกายขณะนั้น ขณะฉันปรากฏว่าโอชารสของอาหารวิ่งซ่านไปทั่วทุกขุมขน เมื่ออาหารหมดก็รู้สึกอิ่มพอดีอีก และสมมุติว่าถ้าจะมีอาหารเหลืออยู่ก็จะฉันต่อไปไม่ได้แล้ว มันช่างเป็นความพอดีๆ ในลักษณะมัชฌิมาไปเสียทุกอย่างขณะนั้น

    เมื่อมีกำลังขึ้นมาก็เดินทางต่อไป จากเก้าโมงเช้า พอตกเย็นก็พ้นพงหนาป่าพอดี ก้าวเข้าเขตประเทศไทยตรงตามคำที่บุรุษคนทิพย์นั้นกล่าวไว้ทุกประการ...”

    นั่นเป็นตอนหนึ่งในบันทึกประวัติของพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตตโต ผู้ทรงปฏิสัมภิทาพระองค์นั้น

    บนยอดไม้ยอดเขาแสนสุดสูงไกลลิบๆ ในป่าใหญ่ป่าทึบห่างไกลผู้คนแดนมนุษย์หยาบนั้นเอง เป็นที่ตั้งเขตเมืองวิมานพันธุ์พฤกษ์ของชาวอุตตรกุรุทวีปแดนคนทิพย์ผู้ครบถ้วนอยู่ด้วยปัญจศีลเป็นวิสัย แน่นอนในแต่ละเขตขัณฑ์แห่งภาคภูมิต่างๆ ของชาวคนทิพย์อุตตระก็ย่อมมีพ่อเมือง แม่เมือง เป็นผู้ปกครองดูแลแต่ละกลุ่มแต่ละเขต ผู้เป็นแม่เมือง พ่อเมืองเช่นนั้นย่อมเป็นผู้มีบุญญาธิการโดยธรรมมากกว่าชาวอาณาประชาราษฎร์ และบุญญาธิการที่สูงส่งแห่งธรรมย่อมไม่พ้นบุญญาธิการอันเกิดจากธรรมในพระพุทธศาสนา พ่อเมืองนาครอุตตระแห่งภาคพื้นป่าทึบภูเขาสูงที่ท่านพระอาจารย์มั่นได้ประสบคราวนั้น แน่นอน...ย่อมจะเป็นประมุขคนทิพย์อันสูงส่งด้วยบุญญาธิการในธรรมแห่งพระพุทธศาสนาอยู่ จึงรำลึกได้ถึงการถวายบาตรแด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่เทพธิดายมโดย แม่เมืองแห่งภาคพื้นแผ่นดินและมหาสมุทรฟากอ่าวไทยได้เคยถวายบาตรพระสมณะนับตั้งแต่วันแรกที่ล่วงภพเข้าไปพำนัก

    วิเวกชาภูมิ ของข้าพเจ้าได้แสดงธรรมทัศนะเกี่ยวกับเรื่องสุภาพบุรุษผู้ถวายอาหารทิพย์ในป่าลึกแด่ท่านพระอาจารย์มั่นไว้เป็นประการฉะนั้น

    อีกวาระหนึ่ง ข้าพเจ้ากำหนดระดับจิตเข้าสู่วิเวกชาภูมิ อธิษฐานสัมผัสสามเณรน้อยเทวดา ณ ถ้ำอาศรมที่เชิงผาแห่งเกาะแก้วรัตนะอันข้าพเจ้าได้ทราบแล้ว

    ข้าพเจ้าปรารถนาประสบสัมผัสเพื่อนมัสการปุจฉา วิสัชนา ถึงภพภูมิอุตตรกุรุทวีป ซึ่งมิมีปรากฏอธิบายรายละเอียดมากนักในพุทธพจน์ ช่วงว่างของสามเณรในแดนนั้นมักจะเป็นช่วงยามบ่ายคล้อยหลังการแสดงธรรมเทศนาโปรดชาวนาครอุตตระเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่ยามเที่ยงวันถึงบ่ายสามโมง ที่นั้นเป็นยามนั้น แต่ที่เมืองเราก็ราวประมาณตีสาม

    เป็นอันว่านับจากเวลาตีสามของเมืองเราไปจนถึงเช้านั่นเอง เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะประสบสัมผัสสามเณรเทวดาได้

    “เจริญกุศลโยมดอกบัว เชิญนั่ง”
    สามเณรนั่งยิ้มรอรับข้าพเจ้าอยู่ก่อน
    “นมัสการพระคุณเจ้า”
    ข้าพเจ้าก้มลงกราบที่เบื้องหน้า
    “ลองทานผลมะขามแก้วจากต้นที่หน้าเทวาคารเจ้าแม่สักฝักหนึ่งก่อนสิ ก่อนที่เราจะคุยกันต่อไป”
    สามเณรยื่นฝักมะขามดิบฝักหนึ่งที่วางอยู่ในถาดทองคำเล็กๆ ให้ข้าพเจ้าลองทาน
    มะขามแก้วสีมรกตแกมทองในถาดนั้นจะว่ามีเปลือกก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นเนื้อไม่มีเปลือกก็ไม่เชิง ทั้งเปลือกทั้งเนื้อที่เห็นระคนกันอยู่มันเป็นเพียงรูปปรากฏเท่านั้นเอง
    “เปรี้ยวหรือหวานครับท่านสามเณร”
    ข้าพเจ้าเริ่มปุจฉาที่ผลไม้ทิพย์
    “โยมจะทานแบบเปรี้ยวหรือหวานล่ะ”
    สามเณรก็เริ่มวิสัชนา
    “อ้อ...จะเปรี้ยวหรือหวานก็ได้หรือท่านสามเณร”
    “ดำริชอบแล้วโยม...เพราะเป็นผลไม้ทิพย์”
    หวานเป็นเรื่องธรรมดาของของทิพย์ ข้าพเจ้าจึงอยากลองของทิพย์ที่มีรสเปรี้ยวดูบ้าง
    “ขอผมทานแบบเปรี้ยวๆ ก็แล้วกัน ลองซิว่ารสเปรี้ยวทิพย์เป็นยังไง”
    แล้วข้าพเจ้าก็สัมผัสผลมะขามฝักนั้นละลายหายเข้าไปในปาก

    รสเปรี้ยวทิพย์...เป็นรสเปรี้ยวนำตามด้วยหวาน หอมกลมกล่อมซาบซ่านหายเข้าไปอิ่มเอมอยู่ในส่วนที่ปรากฏเป็นท้องแล้วซ่านเข้าเป็นความสุขสมที่จิต

    “เป็นความรู้สึกอร่อยใกล้เคียงกับมนุษย์หยาบแต่ไม่ต้องเคี้ยว ไม่ต้องกลืน มันซ่านเข้าไปเองสู่จุดรู้สึกดังได้กล่าว”
    ข้าพเจ้าขอยืนยันรสทิพย์ในแดนอุตตระเป็นเช่นนี้

    “เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยดี”
    แจ้งตอบสามเณรซึ่งนั่งยิ้มมองอยู่
    “เพราะโยมชอบเปรี้ยวนำ ตามด้วยหวาน อาหารทิพย์จึงปรากฏรสอย่างที่โยมชอบ ถ้าโยมชอบหวานนำตามด้วยเปรี้ยว อาหารทิพย์ก็จะปรากฏตามไปเช่นนั้น”
    สามเณรวิสัชนาอธิบายแจ้งขึ้น
    “อ้อ...อาหารทิพย์ปรากฏตามใจชอบของผู้บริโภคเป็นสำคัญ”
    “ถูกแล้ว...ของทิพย์ปรับแปรตามความพอใจของเจ้าของกุศลเสมอ”
    สามเณรรับรองอีก ข้าพเจ้ากระจ่างขึ้นอีกและไม่มีข้อแย้งในความรู้สึก



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 153 – 159
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สวรรค์ชั้นต้น

    ระดับจิตของข้าพเจ้ายังคงอยู่ในวิเวกชาภูมิ นั่งปุจฉา วิสัชนาอยู่กับสามเณรน้อยในแดนอุตตรกุรุทวีปภูมิภาคนั้น

    “ภพภูมิทวีปนี้อยู่ตรงไหนส่วนไหนของโลกภพ ซ้ำซ้อนครอบคลุมโลกภพอยู่เป็นประการใดหรือสามเณรท่าน กรุณาอธิบายให้ปุถุชนเช่นกระผมพอเข้าใจเห็นจริงได้บ้าง”
    วกถามเข้าจุดที่ต้องการในการสัมผัส

    “อุตตรกุรุทวีปเป็นทวีปทิพย์ ในระดับใกล้เคียงกับอมรโคยานทวีป และปุพพเทหทวีป เป็นภูมิละเอียดที่ครอบคลุมโลกภพและบรรยากาศแห่งโลกภพไว้อย่างสิ้นเชิง มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลกว่าโลกภพมาก เหนือโลกภพเข้าไปในมิติประณีต เมื่อปรับแปรจิตประณีตเข้ามาอยู่ในแดนนี้แล้ว โลกภพอันหยาบก็ละลายหายไปในความรู้สึกหมดสิ้น เหมือนก้อนน้ำตาลกรวดละลายหายไปในน้ำแล้วฉะนั้น ถ้าจะกลับไปในโลกภพอันหยาบใหม่ก็จะต้องปรับแปรจิตให้หยาบขึ้นตามเดิม เสมือนดึงอณูแห่งน้ำตาลกรวดที่ละลายแล้วกลับเข้ารวมเป็นก้อนใหญ่ใหม่ มันซ้ำซ้อนด้วยความหยาบความละเอียดอยู่ในลักษณะเช่นนั้น คนทิพย์ในทวีปนี้เมื่อมีความจำเป็นซึ่งไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ จะเข้าไปปรากฏอยู่ในโลกภพเพียงชั่วครู่ชั่วยามแล้วรีบกลับเสีย เช่น ท่านท้าวพ่อเมืองนาครอุตตระแห่งภูมิภาคขุนเขาในป่าใหญ่เคยปรากฏถวายบาตรแด่พระเถระพระอาจารย์มั่นในคราวนั้น เมื่อเสร็จกิจถวายบาตรก็รีบนมัสการลากลับทันทีเพราะไม่ยินดีที่จะอยู่ในภพหยาบแม้สักชั่วขณะหนึ่ง ที่ท่านท้าวกล่าวว่าบ้านอยู่ไกล นั่นเป็นความหมายว่าไกลในทางมิติ มิใช่ไกลในระยะทางหรือกาลเวลา เพราะเมื่อกำหนดวาระจิตจากมิติหยาบลับเข้าไปในต้นไม้ก็กลับเข้าถึงวิมานมหาปราสาทของท่านท้าวทันที...โยมพอจะเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว”

    สามเณรเทวดากถาธิบาย ข้าพเจ้าเข้าใจขึ้นมากทีเดียว
    “เป็นภพทิพย์เช่นนี้ คล้ายเมืองแมนแดนสวรรค์ ทำไมพระพุทธองค์จึงมิทรงจัดเข้าอยู่ในภูมิสวรรค์ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกาขึ้นไปเล่าครับสามเณรท่าน”

    “พระพุทธองค์มิได้ทรงจัดแยกประเภทไว้เลย ว่าใช่สวรรค์หรือมิใช่สวรรค์ ว่าที่จริงพระบรมศาสดาทรงกล่าวจัดอยู่ในแดนสุคติภูมิทั้งสิ้น อยู่ในกามภพที่เป็นกามสุคติภูมิ คือภูมิแห่งการเสพกามซึ่งพอมีความสุขอยู่ อันได้แก่ มนุษยภูมิ และเทวภูมิ มนุษยภูมิ ก็ได้แก่ มนุษย์ชมพูทวีป อุตตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพเทหทวีป และเทวภูมิ ภูมิของเทพเทวดาซึ่งมีสวรรค์ 6 ชั้น ดังกล่าวนั้น...จะเห็นว่าเป็นภูมิเดียวกับภูมิสวรรค์ คือ แดนที่มีความสุขและมีความสุขอยู่บ้าง”

    “จึงจัดเป็นสวรรค์ชั้นต้นๆ พอกล่าวได้”
    ข้าพเจ้าหยั่งนำเพราะติดใจแดนทิพย์นี้ว่าเหมือนสวรรค์

    “ย่อมกล่าวได้เช่นนั้น เพราะเป็นแดนของมนุษย์ที่ถือศีล 5 เป็นวิสัย มีกายละเอียดคล้ายกายทิพย์ มีอาหารทิพย์ และความเป็นอยู่อย่างทิพย์อันเป็นสภาวะของแดนสวรรค์”

    “และทำไมจึงเรียกว่ามนุษย์”
    ปุจฉารุกไล่ในเชิงกุศล

    “ความจริงคำว่า มนุษย์ แปลว่าผู้มีจิตใจสูง มีจิตใจประเสริฐ มนุษย์ตามความหมายเดิมเป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา คือเป็นพรหมชั้นอาภัสรพรหมลงมาโอปปาติกะเช่นเทวดา มีกายทิพย์อยู่ในวิมานในอากาศ มีปีติเป็นภักษา จนเมื่อถูกอวิชชาครอบงำหลงไปกินง้วนดินเข้า และตัณหาอุปาทานทำให้อารมณ์มีความอยากความยึดเหนี่ยวกินของหยาบขึ้นๆ อารมณ์ก็หยาบเข้าๆ กิเลสก็พอกพูนๆ จนหนาจนหยาบจนต่ำ จนหมดความประเสริฐลงไป ห่างไกลคำว่ามนุษย์ออกไปทุกทีๆ นั่นหมายถึงมนุษย์ในโลกหยาบ แต่มนุษย์ในโลกทิพย์นี้แดนนี้ก็ยังทรงคำว่ามนุษย์อยู่ตามเดิม นัยว่าจะเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์รุ่นแรกที่จุติจากอาภัสรพรหมมาโอปปาติกะสืบทอดเชื้อสายในสายละเอียดติดต่อกันมา”

    สามเณรกถาธิบายเข้าขั้นปรมัตถ์ ย้อนอดีตย้อนขันธสันดาน ย้อนเชื้อชาติมนุษยชาติขึ้นไปในเผ่าพันธุ์แรกเริ่มเมื่อโลกเข้าสู่ยุคเจริญอีกวาระหนึ่งนานหนักหนามาแล้วนั้น

    “แล้วมนุษย์ในแดนทิพย์เช่นนี้ต่างกับเทวดาในเบื้องบนสวรรค์ประการใดหรือสามเณรท่าน”
    ข้าพเจ้ารุกไล่กระชั้นชิดเข้าไปอีก

    “เทพเทวดาเป็นทิพยภาวะโดยสมบูรณ์ สังขารก็มีเพียงรูปและจิต การเกิดก็อาศัยโอปปาติกะ คือเกิดปั๊บโตปุ๊บ ซึ่งเรียกว่าบังเกิด การตายก็ด้วยการจุติคือหายวับลงมาเลย การเสพกามวิสัยเสวยทิพยกามารมณ์ในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัสก็จะเกิดสุขเป็นกระแสตรงเข้าสู่จิตทีเดียว ซึ่งต่างกับมนุษย์คนทิพย์ในอุตตรกุรุทวีปที่ยังติดอยู่ในภาวะมนุษย์อยู่มากเช่น สังขารแม้จะละเอียดแต่ก็มีสรีระปรากฏทั้งภายในภายนอกเช่นมนุษย์หยาบ การเกิดก็เกิดแบบปฏิสนธิจากครรภ์ผู้หญิง การตายก็ตายเหลือสังขารในภาวะตาย การเสพกามวิสัย เช่น การกินอาหาร เมื่อกินแล้วจะซาบซ่านไปในส่วนที่เป็นท้องก่อนแล้วถึงจะสุขสมเข้าไปในส่วนที่เป็นจิต เป็นต้น”

    ฝ่ายรุกไล่ต้องเป็นฝ่ายจำนนอีกตามเคย เพราะสามเณรเทวดาตอบให้แจ้งกระจ่างชัดชนิดที่ไม่เคยได้ยินในโลกภพหยาบมาก่อนเช่นเคย ข้าพเจ้าจึงกระทำสาธุการ หมดภูมิที่จะถามต่อไป

    “โยมดอกบัวถ่ายทอดสัจธรรมเหล่านี้ไปสู่โลกภพเท่ากับถ่ายทอดมนุษย์ให้มนุษย์ด้วยกันเห็นเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นของติดตัว เป็นธรรมประจำตัวซึ่งมนุษย์มีอยู่มาแต่ก่อนแต่กลับไปสลัดทิ้งเสียเองจนหลงลืมเลือนสมบัติอันล้ำค่าที่มนุษย์เคยมีอยู่โดยธรรมชาติ ไปหลงติดอยู่กับสมบัติประดิษฐ์สมมุติที่สกปรก ระคาย แข็งกระด้าง ไร้สาระ จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นในโลกหยาบอันน่าสงสารเหล่านั้น”

    คราวนี้มนุษย์หยาบจากโลกภพเช่นข้าพเจ้าถูกรุกไล่เข้าบ้างแล้วจนแทบจะถดถอยหนีไม่ทัน

    “มนุษย์แดนนี้เขาเหาะได้ด้วยการขัดเกลากิเลสออกจากกมลสันดานจนสังขารเบาบางเหาะเหินเดินลอยโดยอิสระ มนุษย์โลกหยาบอยากเหาะได้บ้างแต่โดยการเอาวัตถุอันหนักอึ้งเช่นเหล็กมาทำเป็นรูปร่างใส่เครื่องยนต์อันหนักหน่วงเข้าไปอีกเป็นเครื่องบิน บังคับให้มันลอยขึ้นไปบนอากาศ หนำซ้ำยังบรรทุกคนที่หนักหนาไปด้วยกิเลสในตัวตนเข้าไปมากมาย ของหนักต่อหนักเช่นนั้นมันเกิดขึ้นโดยผิดธรรมชาติ ที่จะให้ไปลอยในอากาศอันเบาบาง เมื่อธรรมชาติมันไม่อนุเคราะห์ช่วยประคับประคองให้อยู่ในความสมดุลขึ้นมาเมื่อไหร่ เสี้ยววินาทีนั้นของหนักๆ คนหนักๆ เหล่านั้นก็ดิ่งลงสู่เบื้องล่างกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่อยู่บ่อยๆ เพราะสิ่งประดิษฐ์เกิดขึ้นด้วยการบังคับให้ผิดธรรมชาติ ความหายนะในธรรมย่อมเกิดขึ้นได้เสมอๆ เป็นธรรมดา แล้วมนุษย์กลับไปเรียกว่าเป็นอุบัติเหตุ ที่จริงก็ใช่ มันเป็นอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นด้วยมนุษย์ไปบังคับธรรมชาติเขา”

    ทั้งแย็บทั้งฮุก ทั้งรุกทั้งไล่ ฝ่ายปุถุชนชาติมนุษย์หยาบเช่นข้าพเจ้าต้องถอยกรูดไม่เป็นกระบวนท่า

    “แล้วมนุษย์โลกภพยังไม่รำลึกสำนึกได้กับการประดิษฐ์เหล่านั้น ยังคิดค้นด้วยโมหะโลภะด้วยอวิชชาที่จะประดิษฐ์เพิ่มเพื่อจะบังคับธรรมชาติให้หนักหนาขึ้นไปๆ แล้วเรียกตนเองว่าวีรบุรุษ วีรสตรีผู้เอาชนะธรรมชาติได้ เปรียบเสมือนผู้ทำขณิกสมาธิได้เพียงน้อยนิดแล้วไปคุยอวดอ้างว่าเข้าถึงนิพพานแล้วเช่นนั้น มันเป็นบาปหรือเป็นบุญกันเล่า ทำไม...ทำไม ไม่สำนึกย้อนกลับมาประดิษฐ์สิ่งสำคัญภายในตนให้เป็นวีรบุรุษ วีรสตรีกันจริงๆ จิตใจที่ได้ประดิดประดอยขัดเกลาให้สะอาดสดใสชำระล้างกิเลสอาสวกิเลสที่เกาะกุมให้ออกไปๆ ให้หมดให้สิ้น ล้างอวิชชา โลภะ โทสะ โมหะ ให้หลุดพ้นไปเสียทั้งสิ้นทั้งปวง แล้วมนุษย์หยาบก็จะเหาะเหินไปในอากาศได้โดยธรรมชาติเป็นกลไกอัตโนมัติอิสระเกิดขึ้นด้วยผลแห่งกุศลกรรมเอง การเหาะโดยธรรมชาตินี้ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย ไม่ต้องดิ่งสู่เบื้องล่าง สู่อบายภูมิสู่นรกจกเปรตอะไรนั่นเลย การเหาะโดยวิธีธรรมชาตินี้มีแต่จะเหาะไปสู่สุคติแต่สถานเดียว และเมื่อถึงวาระอันสมควรก็จะเหาะทะลุออกนอกวงจรวัฏสงสารไปสู่นิพพานแดนเกษมได้ในที่สุดด้วย”

    “นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเรื่องเหาะเรื่องเดียวเท่านั้นนะ ระหว่างมนุษย์อุตตรกุรุทวีปกับมนุษย์ชมพูทวีป เป็นมนุษย์ด้วยกันแท้ๆ ยังทำตัวเป็นมนุษย์ในความหมายที่ต่างกันถึงเพียงนี้ ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก ทุกเรื่องนั่นแหละที่ทำสวนทางกันอยู่ แล้วจะต้องเปลืองพระโพธิสัตว์จากดุสิตสวรรค์อีกกี่แสนกี่ล้านองค์กันเล่าที่จะต้องรับปฏิญญาจากทวยเทพทั่วทุกโลกธาตุเพื่อจุติปฏิสนธิเป็นพระพุทธเจ้าในชมพูทวีป อนุเคราะห์สั่งสอนมนุษยชาติให้เข้าใจถึงคำว่าการเดินทางสู่นิพพานอันแสนจะธรรมดานี้ได้โดยทั่วถึงกันทั้งโลกภพใบเล็กๆ อันขรุขระคล้ายผลส้มในจักรวาลนี้ใบนั้น”

    สามเณรเทวดา ซึ่งคำเรียกเช่นนั้นยังจะน้อยไป น่าจะเรียกว่าสามเณรอรหันต์จะเหมาะกว่า ฝากความคิดมาถึงพวกเรากล่าวเตือนให้รำลึกสำนึกถึงสัจธรรมธรรมดาๆ ที่มีโดยธรรมชาติซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบไว้แล้วให้มนุษย์หยาบได้เริ่มเตรียมตัวเตรียมใจเสียเถิดที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางสายอริยะอันมีสถานนิพพานแดนเกษมรออยู่แล้วที่ปลายทางสายนั้น

    ข้าพเจ้ากระทำสาธุการแล้วก้มลงกราบอีกเป็นวาระที่สอง ได้ความกระจ่างในธรรมอันใกล้อันไกล ธรรมในตัวนอกตัว ธรรมจากสิ่งประดิษฐ์ ธรรมจากธรรมชาติ ธรรมในแดนอุตตระและธรรมในชมพูทวีป ตลอดจนถึงธรรมอริยะอันจะนำสู่มรรคผลพระนิพพานด้วยวิสัชนาของสามเณรกลับมาเป็นอเนกอนันต์

    เมื่อได้เวลาอันสมควรก็นมัสการกราบลาสามเณร ปรับแปรจิตให้หยาบขึ้น ล่วงกลับเข้าสู่มิติชมพูทวีปออกจากฌานสมาธิวิเวกชาภูมิเข้ากายหยาบตามเดิม รู้สึกแสนจะหนักอึ้งเมื่อจะลุกขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิเปลี่ยนเป็นอิริยาบถธรรมดาแห่งมนุษย์หยาบ หนักเพราะสังขารตัวตนที่มีเนื้อหนังกระดูกเป็นรูปธรรมหนึ่ง และหนักเพราะยังติดใจซาบซึ้งในบรรยากาศของมนุษย์แดนโน้นที่มีความเบาบางจริงๆ จนอยากจะขออำนาจบารมีอภิญญาสมาบัติแห่งสามเณรล่วงภพเข้าไปอยู่ด้วยสักคน

    เมื่อออกมานอกห้องก็เป็นเวลารุ่งอรุณพอดี มีเด็กขึ้นมาตาม บอกว่ามีแขกมารอพบอยู่ที่โรงอาหารข้างล่างกระท่อมยมโดย เมื่อลงมาก็เห็นสองสามีภรรยานั่งรออยู่แล้วแต่เช้ามืด

    “แม่มีและพ่อใหญ่นั่นเอง คิดว่าใครมาหาแต่เช้า”
    ข้าพเจ้าทักทายในขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะหาคำตอบอันสมควรเกี่ยวกับเรื่องสามเณรอย่างไรดีแก่เขา


    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 160 – 166
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ทางสายทิพย์

    ผัวเมียคู่เดิมแบกกล้วยน้ำว้าที่เริ่มสุกมาด้วยคนละเครือ แจ้งว่าจะเอาไปถวายเจ้าแม่และแขวนไว้ให้ลิงกินเครือหนึ่ง ส่วนอีกเครือหนึ่งเอามาฝากข้าพเจ้า

    “ไม่ผิดไปจากที่ข้าพเจ้าคาดคิดไว้เลยว่าสามีภรรยาคู่นี้จะต้องฝังใจอยู่กับลิงโทนเจ้าแม่เป็นแน่ตราบใดที่ยังไม่ได้ความกระจ่างเรื่องสามเณรตามสมควร”
    ได้แต่คิดสงสารอยู่ในใจ อกเขาอกเรา

    “ถ้าเป็นเราบ้าง เกิดคลับคล้ายคลับคลาว่ามีลูกชายอยู่คนหนึ่งแล้วเคยบวชเป็นสามเณรและเดี๋ยวนี้หายไปไหน วันดีคืนดีมีเทวดามาเข้าฝันให้รำลึกได้เลือนรางเช่นนั้นก็ย่อมจะมีจิตใจไม่ปกติเป็นธรรมดา ครั้นเราจะบอกความจริงตามที่ได้สัมผัสมาบ้างก็เห็นยังไม่เป็นเวลาอันสมควรนัก ครั้นจะอ้ำอึ้งๆ อยู่เช่นนี้ก็หาสมควรไม่ แล้วเราจะทำอย่างไรดี ยังคิดไม่ออกในเรื่องนี้”
    ได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ในใจ

    “สามเณรเทวดามาเข้าฝันคุณบ้างหรือยัง”
    แม่มีคนช่างพูดเอ่ยถามเป็นประโยคแรกในเรื่องที่กำลังวิตกอยู่

    “ฝันหรือ...ผมว่าผมยังไม่ฝันนะ แต่นับจากวันที่แม่มีมาเล่าเรื่องความฝันเกี่ยวกับสามเณรให้ฟัง ผมก็ชักจะเชื่อๆ ว่ามีสามเณรเทวดาอยู่บนเกาะเจ้าแม่นั่น”
    ข้าพเจ้าก็ต้องตอบแบบตกบันไดพลอยโจนไป แม่มีดวงตาแจ่มใสขึ้น

    “สามเณรเทวดาแปลงเป็นลิงเจ้าแม่ให้ฉันเห็นใช่ไหม”
    ทึกทักตอบเอง ถามเองด้วยความอยากรู้

    “ไม่ใช่หรอกคุณ เทวดาก็ต้องเป็นเทวดา ลิงก็คือลิง”
    “แล้วทำไมจึงมาปรากฏตัวตอนที่ฉันกำลังอธิษฐานต่อหน้าเจ้าแม่ขอเห็นสามเณรเทวดาในวันนั้นเล่า”
    “มันก็โดยบังเอิญอีกนั่นแหละ”
    “แล้วทำไมเทวดาจึงไม่มาปรากฏตนให้เห็นบ้างเล่า”
    “ต้องเวลาอันสมควร เวลาอันสมควร เช่นที่ไปปรากฏในฝันให้เห็นตรงกันตั้งสองครั้งสองคราวนั่นแล้ว”
    “ก็นั่นมันเป็นเพียงความฝันนี่”
    “เทวดาก็มักจะปรากฏเช่นนั้นแหละ”
    “ทำไมเทวดาเป็นผู้มีฤทธิ์จึงไม่ปรากฏให้เห็นชัดๆ เล่า”
    “เทวดาเป็นกายทิพย์ กายละเอียด แม้จะปรากฏต่อหน้าเรา เราก็มองไม่เห็นด้วยตา”
    “ทำอย่างไรล่ะคุณ จึงจะมองเห็นกายทิพย์เทวดาได้”
    “ต้องมองด้วยใจสิแม่มี”
    “ใจมันไม่มีตาแล้วจะมองเห็นได้อย่างไร”
    “ก็นึกเอา คิดเอา ที่พระท่านเรียกว่า สมาธิ”
    “อ้อ...นั่งหลับตาแล้วมองนั่นน่ะหรือ มันจะเห็นได้ยังไง”
    “ถ้าหลับตาแล้วมองเห็นได้นั่นแหละจึงจะเห็นกายทิพย์ได้”
    “ก็แสดงว่าเทวดาไม่มีตัวตนจริงๆ มีแต่ในฝันบ้าง มีแต่ในความนึกคิดบ้างเท่านั้น”
    “มีตัวตนซีแม่มี แต่เป็นตัวตนแบบกายทิพย์ยังไงล่ะ”
    “มองเห็นเป็นเงาๆ หรือ เห็นเลือนๆ หรือ เหมือนเห็นผีอย่างนั้นหรือ”
    “ไม่ใช่อย่างนั้น ที่เห็นอย่างนั้นมันเห็นด้วยตา ตาฝาดไปบ้าง ตาฟางไปบ้าง จึงเห็นเช่นนั้น แต่เทวดานี่เห็นด้วยจิต เห็นชัดแจ้ง ชัดกว่ามนุษย์เราเห็นกันเองนี่เสียอีก”
    “วกไปวกมาก็เห็นด้วยจิตด้วยใจอีกแล้ว ฉันก็ได้แต่งงอยู่แค่นี้”
    แม่มีเกาหัว ข้าพเจ้าก็เกาหัวบ้าง ต่างคนต่างเกาหัวทั้งๆ ที่มันไม่ได้คันเลย
    “นั่นแม่มีคันหัวจริงๆ หรือจึงเกา”
    ข้าพเจ้าเริ่มจะใช้อุบาย
    “มันไม่คันหรอก ผมเพิ่งจะสระมาเมื่อคืน แต่ที่เกาเพราะมันไม่เข้าใจคำว่าเห็นด้วยจิต มันทำให้รู้สึกว่าเหมือนคันๆ จึงเกามันไปยังงั้นแหละ”
    “รู้สึกว่าเหมือนคันๆ จึงเกาไปยังงั้นแหละ...แล้วเมื่อเกาแล้วรู้สึกว่าเหมือนกับหายคันใช่มั้ย”
    “มันก็ใช่นะ”
    “นั่นมันเป็นความรู้สึกของแม่มีที่เกิดจากตาหรือเกิดจากใจ”
    แม่มีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
    “ความรู้สึก ความรู้สึก มันก็ต้องเกิดจากใจน่ะซี”
    “ถูกแล้ว...ความรู้สึกมันต้องเกิดจากใจแน่”
    ข้าพเจ้านิ่งอยู่ขณะหนึ่งเพื่อจะนึกหาสิ่งเปรียบเทียบต่อไป แล้วเริ่มกล่าวต่อ
    “เอาละ...เอาละ...ตานี้แม่มีลองตอบให้ตรงความจริงที่แม่มีชอบจริงนะ...ตอนนี้เป็นเวลาเช้า เรามีน้ำอยู่สามอย่างคือน้ำเปล่า น้ำอัดลม ในตู้เย็น และโอวัลตินร้อนที่เด็กจะชงให้ ในสามอย่างนี้แม่มีชอบอะไรมากที่สุดในขณะนี้”
    “โอวัลตินร้อน กินแล้วมีกำลังดี”
    เธอตอบซื่อๆ ด้วยจริงใจเช่นเคย”
    “ชอบอย่างไหน หวานน้อย หวานมาก หรือหวานพอดีๆ”
    “หวานๆ หน่อยก็ดี”
    แม่มีตอบ ข้าพเจ้าจึงหันไปถามพ่อใหญ่บ้าง
    “พ่อใหญ่ล่ะ ชอบแบบหวานยังไง”
    “เอาหวานพอดีๆ ก็แล้วกัน”
    ข้าพเจ้าจึงสั่งให้เด็กชงโอวัลตินร้อนสำหรับแม่มีหวานๆ หน่อย สำหรับพ่อใหญ่หวานพอดีๆ สำหรับข้าพเจ้าเองหวานน้อยๆ หน่อย เมื่อเด็กชงมาแล้วก็คะยั้นคะยอให้กินกันร้อนๆ ยามเช้า
    “แม่มี...โอวัลตินอร่อยไหม...”
    เริ่มถามต่อเมื่อแม่มีดื่มทีละนิดเพราะยังร้อน
    “อร่อย...ชงถูกใจพอดี”
    “กินแล้วรู้สึกอร่อย อร่อยที่ท้องใช่ไหม”
    “ใช่”
    “ไอ้ความรู้สึกว่าอร่อยและพอใจนั้น ความรู้สึกมันมาจากไหน จากใจหรือจากท้อง”
    “ความรู้สึกอร่อยและพอใจมันก็ต้องมาจากใจน่ะซี”

    “ถูกแล้ว ความรู้สึกอร่อย ความรู้สึกหายคัน ความรู้สึกเป็นโน่นเป็นนี่ ความรู้สึกว่านั่นเป็นคน นั่นเป็นลิง มันมาจากใจด้วยกันทั้งนั้น จึงเห็นได้หรือยังว่าที่จะเกิดความรู้สึกเช่นนั้นได้มันอยู่ที่ใจหรือจิตของเรานั่นเองเป็นตัวรู้สึก ปากก็ดี ท้องก็ดี ตาก็ดี เป็นเพียงส่วนประกอบให้ผ่านมาสู่จิตใจเท่านั้นเอง จะเห็นว่าจิตใจเป็นตัวรับความรู้ ความรู้สึก ความชัดแจ้ง ความแน่นอนที่สำคัญที่สุดในร่างกาย เป็นความรู้สึกความชัดแจ้งและความแน่นอนที่ถูกต้องที่สุดด้วย...ฉะนั้น กายทิพย์ของเทพเทวดาซึ่งแน่นอนมนุษย์อย่างเราจะเห็นด้วยตาสองตาที่ลืมจ้องมองอยู่นี้ไม่ได้ จึงจะต้องเห็นด้วยความรู้สึกของจิตใจซึ่งเรียกว่าตาทิพย์ด้วยกันนั่นแหละจึงจะเห็นได้ดังบอกแม่มีตั้งแต่แรก”

    “เห็นด้วยความรู้สึก...”
    แม่มีเริ่มเข้าใจและคล้อยตาม
    “ใช่...แล้วการเห็นด้วยตาทิพย์คือเห็นด้วยความรู้...และความรู้สึกที่จะทำให้มองเห็นได้ชัดแจ้งจะต้องเป็นความรู้สึกในสมาธิอันสำรวมแล้วนั่นเอง”
    พ่อใหญ่นั่งฟังอยู่อย่างสนใจก็เข้าใจขึ้นมาด้วย เขาจึงช่วยอธิบายต่อ
    “ที่พระท่านเรียกว่ากรรมฐาน...นั่งกรรมฐาน หลับตาแล้วเห็นนั่นแหละ”
    “เออ...จริงสินะ พระท่านก็พูดถึงบ่อย กรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานอะไรนั่น”
    ข้าพเจ้าค่อยโล่งอก ยกแก้วโอวัลตินอุ่นๆ ที่เหลือขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
    “ยังงั้นถ้าเราอยากจะเห็นสามเณรเทวดาลูกเราจริงๆ เราก็ต้องนั่งวิปัสสนากรรมฐานเหมือนพระน่ะซี”
    แม่มีเข้าใจขึ้นและมีความลังเลอยู่

    “แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปทำกัน ตื่นแต่เช้าก็เข้านา กลับมาบ้านก็มืดค่ำ หุงข้าวปลากินเสร็จเข้านอนเพราะอ่อนเพลียมาทั้งวัน ตีสี่ก็ตื่นหุงข้าวไปนาอีกแล้ว เป็นเช่นนี้ทุกวันมิได้ขาดนอกจากวันพระสำคัญๆ นั่นแหละถึงมีเวลาหยุดบ้าง แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งกรรมฐาน”

    “แรกๆ ก็ทำเฉพาะวันที่ไปวัดก็ได้ ค่อยๆ ทำจนเคยชิน ต่อไปเมื่ออยู่ในนากำลังไถนาดำนาหรือเกี่ยวข้าวก็ทำได้ กรรมฐานนี้พระท่านว่าทำได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะเดิน จะยืนก็ทำได้ทุกเวลา แต่แรกๆ ต้องทำให้เคยชินเสียก่อน ต้องใช้ความตั้งใจ ความเงียบ ความสงัด ความมีเวลาตามสมควร ควรให้พระที่ท่านปฏิบัติอยู่ช่วยแนะนำจะถูกต้องดีที่สุด แล้วแม่มีและพ่อใหญ่จะได้เห็นเทวดาสามเณรได้ทุกเมื่อเมื่ออยากจะเห็นอยากจะพบ ไม่ใช่มามัวรอเห็นแต่ในความฝันเท่านั้น การปฏิบัติได้เช่นนี้เป็นบุญกุศลอย่างมากอีกด้วย เท่ากับเป็นการประพฤติพรหมจรรย์คล้ายๆ พระ เพราะต้องถือศีลและทำทานประกอบกันไป นั่นแหละ...เป็นหนทางที่คุณทั้งสองจะพบสามเณรเทวดาได้อย่างกระจ่างแจ้งด้วยตัวของตัวเอง จงกลับไปรีบหมั่นปฏิบัติเข้าเถิดจะพบความสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะสามเณรเทวดากำลังช่วยเป็นกำลังใจให้คุณทั้งสองอยู่แล้ว...อย่าคลับคล้ายคลับคลาอยู่ต่อไปอีกเลย”

    ข้าพเจ้าได้โอกาส เห็นเป็นทางออกที่ดีที่สุดจึงรีบกำชับกำชาเพราะเห็นเป็นวิธีเดียว ถ้าผัวเมียคู่นี้ได้ทราบความจริงด้วยวิถีทางอันเป็นกุสลเช่นนี้ก็ย่อมเป็นการแน่นอน บุญกุศลจะต้องชักนำจิตอันสำรวมดีแล้วซึ่งเกิดขึ้นด้วย ทาน ศีล ภาวนา จะทำให้เขาคลายความฟุ้งซ่านสับสนลงไปได้ในที่สุด

    ทั้งสามเณรและคณะก็จะพ้นอุตตริมนุสธรรมอันมิควรแสดงอีกด้วย เพราะพ่อแม่ผู้ถึงกุศลได้เดินทางเข้าไปในแดนธรรมอันยิ่งยวดล้ำเลิศนั้นด้วยกุศลของตนเองจึงหาเป็นอกุศลแต่อย่างใดไม่


    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 167 – 172
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  5. ตุ้มโฮม

    ตุ้มโฮม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +497
    โมทนาสาธุ น้องมินต์ ผู้นำมาเผยแพร่ และผู้เขียนเรื่องนี้รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องทุกๆท่าน..รออ่านต่อครับ..
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    พอมีเวลาว่างก็จะมานั่งพิมพ์จากต้นฉบับหนังสือค่ะ อาจต้องรอนิดหนึ่งเป็นระยะ ขอบคุณและขออนุโมทนากับคุณตุ้มโฮมด้วยค่ะ :d
     
  7. ตุ้มโฮม

    ตุ้มโฮม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +497
    พิมพ์จากต้นฉบับเอง ต้องใช้ความพยามยามอย่างมาก ไม่ใช่ง่ายๆเลย..
    โมทนาสาธุ ครับ..
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สู่สวรรค์

    “หลวงพ่อจ๊ะ อย่างฉันนี้และพ่อใหญ่สามีฉันจะนั่งทำวิปัสสนากรรมฐานได้มั่งไหมจ๊ะ”
    วันพระหนึ่งหลังจากพระฉันภัตตาหารแล้วแม่มีก็เลียบเคียงเข้าไปถามหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสถึงเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน

    “ได้สิโยม อย่างโยมมีโยมใหญ่เป็นผู้รักษาศีลห้าอยู่เสมอ เช่นนี้นี่แหละทำวิปัสสนากรรมฐานได้ดีนัก”
    หลวงพ่อรับรองทันที

    “นั่งหลับตาทำวิปัสสนากรรมฐานนี่เห็นสวรรค์เทวดาได้จริงๆ หรือจ๊ะ”
    แม่มีคนช่างพูดได้ช่องจึงถามเข้าเรื่องทันทีเช่นกัน

    หลวงพ่อชะงักนิดหนึ่งแล้วยิ้มอย่างเมตตา มองหน้าคนทั้งสอง
    “ตามหลักธรรมะ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือการนั่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นคือการกำหนดอารมณ์แห่งจิตของตนให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะนั่นเอง โยม”

    “รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะ คือการเห็นสวรรค์เห็นเทวดาใช่ไหมหลวงพ่อ”
    แม่มีรุกไล่อย่างสนใจ
    “นั่นเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งหรอกโยม”
    “ส่วนประกอบที่หลวงพ่อว่ามันหมายถึงเห็นสวรรค์เทวดาหรือเปล่าล่ะ”
    แม่มีกระเถิบใกล้หลวงพ่อเข้าไปอีก

    “ส่วนสำคัญของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือการกำหนดอารมณ์ให้จิตใจแจ่มใสเป็นสมาธิ เมื่อจิตใจแจ่มใสเป็นสมาธิแล้วก็สามารถจะพิจารณาธรรมะต่างๆ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงให้เกิดความเข้าใจชัดแจ้งได้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงที่ปรากฏมีอยู่ในธรรมชาติ เมื่อเข้าใจธรรมตรงตามเป็นจริงแล้วก็เท่ากับเห็นธรรมแล้ว ในส่วนที่โยมถามถึง คือ สวรรค์ เทวดานั้น ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงไว้มากมาย ถ้าโยมจะใช้หลักวิปัสสนากรรมฐานพิจารณาจนเห็นจริงในส่วนนั้นก็ย่อมกล่าวได้ว่า การนั่งวิปัสสนากรรมฐานทำให้เห็นสวรรค์เทวดาได้”

    แม่มีถอนหายใจด้วยความโล่งใจดีใจ ยกมือขึ้นพนมอีกครั้ง
    “ก็ถามเท่านี้แหละหลวงพ่อ ถ้านั่งวิปัสสนากรรมฐานแล้วเห็นสวรรค์เทวดาได้จริงๆ อย่างหลวงพ่อรับรอง ฉันและพ่อใหญ่จะหัดนั่งวิปัสสนากรรมฐานมั่ง ขอให้หลวงพ่อช่วยสอนให้ด้วย”
    “ได้ซีโยม จะมีเวลาว่างมาฝึกกันได้เมื่อไหร่ล่ะ”
    หลวงพ่อรับคำด้วยความยินดี
    “เอาเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ”
    แม่มีไม่รอช้าพร้อมที่จะเริ่มต้นทันที พ่อใหญ่ต้องตามเข้าไปสะกิดเอาไว้
    “มาวันหลังก็ได้แม่มี”
    “ไม่วันหลังแล้วพ่อใหญ่ ทำเสียวันนี้จะได้เห็น...เร็วๆ”
    แม่มีชะงักปากไว้เมื่อจะกล่าวถึงลูกเทวดา พลางหันกลับไปทางหลวงพ่อทำสีหน้าเจื่อนๆ
    “ก็ดีเหมือนกัน เมื่อมีศรัทธาในการปฏิบัติก็เริ่มเสียเลยจะเห็นผลเร็วขึ้น”
    หลวงพ่อเห็นแม่มี มีความตั้งใจจริงก็ส่งเสริมสนับสนุนเพราะหายากที่โยมฆราวาสจะมีความมุ่งมั่นกระตือรือร้นในเรื่องเช่นนี้
    “จะเริ่มต้นยังไงล่ะหลวงพ่อ”
    โยมมีเอาแน่ ยกมือไหว้หลวงพ่อขอเริ่มต้นทันทีหวังจะเห็นสวรรค์เทวดาเร็วๆ หลวงพ่อก็ว่าง่ายเมื่อโยมเร่งเร้าด้วยความจริงใจก็อนุเคราะห์ตอบอย่างทันใจเช่นกัน

    “จุดธูปจุดเทียนกราบรำลึกถึงพระพุทธเจ้าที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูปนั่น ท่องนะโมสามจบ แล้วแปลความหมายเป็นภาษาไทยด้วย”

    แม่มีคลานไปจุดธูปเทียนหน้าโต๊ะหมู่บูชา พยักหน้าชวนพ่อใหญ่สามี แต่พ่อใหญ่ยังคงกระดากอยู่จึงนั่งตรงที่เดิม

    จุดธูปเทียนแล้วก็ยกขึ้นจบไว้ที่หน้าผากพลางหลับตาท่องนะโมสามจบ

    “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”

    แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น หันมาทางหลวงพ่ออีก
    “หลวงพ่อบอกให้แปลเป็นภาษาไทยด้วยหรือ แปลยังไงล่ะหลวงพ่อ”
    “อ้าว ท่องอยู่ทุกวันไม่รู้คำแปลหรอกหรือ”
    “รู้แต่ว่าเป็นการรำลึกถึงพระพุทธเจ้านี่แหละ แต่ไม่รู้คำแปลชัดๆ จ้ะ...หลวงพ่อ”
    “แปลชัดๆ ว่า...ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”
    หลวงพ่อต่อให้
    “พระองค์ไหนล่ะหลวงพ่อ”
    “ก็พระองค์ที่เป็นบรมศาสดาในปัจจุบัน คือองค์พระสมณโคดมพุทธเจ้านี่แหละ”
    แม่มีท่องบ่นพึมพำเสียงดังพอได้ยินอย่างตั้งอกตั้งใจ
    “ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดม”
    “เมื่อปากนอบน้อมแล้ว ทำใจให้นอบน้อมด้วย”
    แม่มีหลับตาเพื่อทำใจนอบน้อม

    “นอบน้อมคือการแสดงความเคารพบูชาอย่างสูง แสดงความเคารพบูชาพระพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดม พระสมณมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรพยายามน้อมใจให้เห็น น้อมให้เห็นพระองค์ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระองค์เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นทารก เจริญเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มออกบวชเป็นพระ อดอาหารร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก ต่อมาฉันอาหารบ้างร่างกายจึงมีกำลังขึ้น มีความคิดอ่านดีขึ้น มีสัมปชัญญะ มีสติ มีปัญญาพิจารณาใคร่คิดจนตรัสรู้ธรรมะแห่งโลกธาตุ เห็นความเป็นไปของโลกภพโลกธาตุในทางที่ถูกที่ต้องที่ตรงกับความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์จดจำนำมาเป็นธรรมะต่างๆ ประกาศสอนแด่ผู้ที่พึงฟังแล้วพระองค์ก็แก่และเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน”

    หลวงพ่อนำทางให้แม่มีพิจารณามองด้วยจิตในขณะที่หลับตาพนมมืออยู่
    “แม่มีเห็นอะไรหรือยัง”
    “ยังไม่เห็นสวรรค์เทวดาเลยจ้ะ”
    “แม่มีเห็นความไม่เที่ยงแท้ของพระพุทธองค์หรือยังคือสภาพที่เกิดขึ้นเป็นทารก โตเป็นหนุ่ม แก่ชราแล้วดับไป ซึ่งเรียกว่า อนิจจัง นั่น แม่มีเห็นแล้วใช่ไหม”
    “เห็นแล้วจ้ะหลวงพ่อ”
    “เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขารร่างกายแม้กระทั่งของพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นเช่นนั้น เห็นแล้วเป็นสุขหรือเป็นทุกข์”
    “เป็นทุกข์จ้ะ”
    “นั่นแสดงว่าแม่มีเห็นความทุกข์ คือทุกขังแล้ว”
    “แต่ยังไม่เห็นสวรรค์เลยจ้ะ”
    “เดี๋ยวนี้พระพุทธองค์ยังมีตัวตนอยู่ไหม คือตัวตนที่เคยเป็นทารก เป็นหนุ่ม เป็นพระ และเป็นคนแก่เช่นที่เคยเป็น”
    “ไม่มีตัวตนแล้วจ้ะหลวงพ่อ”
    “แม้พระพุทธองค์ไม่มีตัวตนอยู่ได้ถึงเดี๋ยวนี้ ใครๆ ก็แล้วแต่ย่อมเปลี่ยนแปลงไปย่อมเป็นทุกข์ และย่อมไม่มีตัวมีตนที่แน่นอนตลอดไปด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเรียกว่า อนัตตา”
    “ก็รู้อยู่แล้วล่ะหลวงพ่อ เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็รู้ว่าเกิดมาแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ใครๆ ก็รู้อยู่ด้วยกันทั้งนั้นทำไมต้องมานั่งหลับตาพิจารณาอีก”

    “วิปัสสนากรรมฐาน คือการพิจารณาสิ่งธรรมดาของธรรมชาตินี่แหละ พิจารณาว่าความเป็นจริงของธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้จริงๆ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเรารู้ความจริงที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่ามีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา เมื่อเห็นมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวก็อย่าเป็นทุกข์มัน เมื่อเห็นมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็อย่าดีใจมันจนเกินไป เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางเลว ทางดี มันก็เลวดีอยู่ได้ไม่นานประเดี๋ยวก็สลายหายไปหมดไม่มีตัวตนอยู่เช่นนั้นได้ตลอดไปหรอก คือพิจารณาเพื่อปลง ทำจิตใจให้เฉยเป็นอุเบกขาเสีย เมื่อเห็นอะไรไม่ทุกข์ไม่สุขเพราะรู้ความจริงแล้วว่ามันต้องเป็นไปในสภาพเช่นนั้นทั้งนั้น แล้วทำใจกลางๆ เอาไว้ ใจเป็นกลางๆ เพราะรู้ความจริงของธรรมชาติแล้วเช่นนี้ เรียกว่าใจเป็นมัชฌิมาเป็นกลาง เป็นอุเบกขา ใจเช่นนี้นี่แหละเป็นใจที่เห็นนิพพาน สูงยิ่งกว่าสวรรค์มากมายนักโยม”

    “นิพพาน...สูงเกินไปหลวงพ่อ ฉันขอเห็นเพียงสวรรค์เทวดาเป็นพอหลวงพ่อ”
    “โยมเคยขึ้นไปบนภูเขาสูงๆ ไหม”
    “เคยจ้ะ...เคยขึ้นไปบนภูเขานาห้วย ที่หลังวัดนาห้วย”
    “โยมได้สังเกตแล้วใช่ไหมว่า ตอนที่โยมอยู่ที่ตีนเขายังไม่ได้ขึ้นไปบนยอดเขานาห้วยนั้นโยมเห็นพื้นดินบริเวณนั้นเพียงระยะใกล้ๆ แคบๆ แต่เมื่อโยมได้ขึ้นไปบนยอดเขาแล้วสามารถมองพื้นดินเบื้องล่างได้ไกลมากและกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาทีเดียว”
    “ใช่จ้ะ”
    “เพราะโยมขึ้นไปบนยอดเขาสูงใช่ไหมจึงมองลงมาที่พื้นดินได้กว้างไกลทะลุปรุโปร่งว่าอะไรอยู่ตรงไหน ทำให้รู้จักแผ่นดินบริเวณนั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
    “ใช่จ้ะ”
    “ก็เช่นเดียวกัน ถ้าโยมมีอยากจะเห็นสวรรค์เห็นเทวดาให้ชัดเจนชัดแจ้งจริงๆ โยมก็ควรขึ้นไปถึงแดนที่สูงสุดเสียก่อนแล้วมองลงมาที่สวรรค์ก็จะเห็นสวรรค์ได้ในความเป็นจริงจริงๆ”
    “คนอย่างฉันจะขึ้นไปไหวหรือ ชั้นสูงลิบลิ่วโน่น”
    “พยายามด้วยหลักธรรมที่ถูกต้องเถอะขึ้นไปไหวด้วยกันทุกคนแหละ”
    หลวงพ่อให้ความมั่นใจ...ด้วยท่าทีจริงจัง



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 173 – 178
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    แท่นอริยะ

    แม่มียังพนมมือหลับตาอยู่ในท่าสมาธิ ปากก็พูดจ้อๆ เรื่อยไปในสิ่งสงสัย
    “แดนนิพพานเป็นยังไงล่ะหลวงพ่อ”
    “คือแดนที่ไม่มีความสุขและความทุกข์”
    “อ้าว...แล้วจะไปดีอะไรล่ะเมื่อไม่มีความสุข”
    “เพราะเจ้าตัวความสุขนั่นเองเป็นต้นตอให้เกิดทุกข์”
    “เมื่อไม่มีตัวความสุข ต้นตอแห่งความทุกข์ก็ไม่มี”
    แม่มีต่อด้วยความเข้าใจขึ้น
    “ใช่แล้วโยม โยมเข้าใจถูกต้องแล้ว”
    “เมื่อไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ มันจะดียังไงกันหลวงพ่อ”
    “ดีที่ว่าความทุกข์ก็จะไม่มีเกิดขึ้นอีกต่อไป”
    “เมื่อไม่มีทุกข์แล้ว ขอให้มีแต่สุขอย่างเดียวไม่ได้หรือ”
    “ไม่ได้ เพราะสัจธรรมคือธรรมชาติตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนั้น เมื่อเกิดสุขแล้วทุกข์ก็จะตามมาทุกทีไปเป็นของคู่กัน”
    “เมื่อไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ แล้วมันก็เจ๊ากัน เป็นความเฉยๆ มันจะดียังไง”
    “ความเฉยๆ เป็นอุเบกขา เป็นกลาง เป็นมัชฌิมา นั่นเป็นความดีในทางธรรมะ”
    “ดียังไงล่ะหลวงพ่อ”

    “พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่เจือปนด้วยกิเลสที่เรียกว่าทุกข์ กิเลสที่เรียกว่าสุขเพราะความทุกข์และความสุขถือเป็นกิเลสด้วยกันทั้งนั้น เมื่อจิตใจตัดกิเลสทั้งสองตัวออกไปได้ จิตใจจึงมีความรู้สึกที่ไม่ข้องแวะ ความเป็นที่สุด 2 อย่าง คือ กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ในกามสุข และอัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบตนให้ลำบากเปล่าด้วยความทุกข์ทรมานตน เมื่อความรู้สึกเป็นกลางเช่นนั้นแล้วเท่ากับเป็นทางเริ่มต้นด้วยปัญญาอันจะนำไปสู่จุดหมายสูงสุด คือ ยอดเขาแห่งพระนิพพานได้”

    “อ้อ...ไอ้ตัวความรู้สึกเฉยๆ นี่เองคือทางเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ยอดเขาแห่งพระนิพพาน”
    แม่มีเข้าใจอีก หลวงพ่อยิ้มด้วยปีตินิดหนึ่ง กระเถิบใกล้เข้ามาอีกนิดขณะจัดจีวรให้กะทัดรัดยิ่งขึ้น
    “ใช่แล้วโยม”
    “แล้วจะก้าวขึ้นทางสายนี้ได้ยังไง”

    “ทางสายนี้นี่แหละที่ทางธรรมะเขาเรียกว่า มรรค มรรคที่แปลว่าหนทาง ทางสายนี้มีบันไดอยู่ 8 ขั้นเท่านั้น เมื่อโยมก้าวพ้นบันได 8 ขั้น ขึ้นไปแล้วก็ถึงแท่นหินแท่นหนึ่งที่อยู่ใกล้ยอดเขาแห่งพระนิพพานแล้ว แท่นหินนั้นชื่อว่า “แท่นหินอริยะ” ผู้ที่ก้าวขึ้นสู่แท่นหินอริยะนี้อย่างน้อยก็จะได้รับโสดาปัตติผล หรือสกทาคามิผล หรืออนาคามิผล หรือไม่ก็เป็นอรหัตผล คือ ผลแห่งพระนิพพาน ตามลำดับทุกคน”

    แม่มีพยักหน้าทั้งที่หลับตาอยู่ แสดงความเข้าใจขึ้นอีก ยิ่งเพิ่มความสนใจและรู้สึกสนุกกับการนั่งวิปัสสนากรรมฐานเสียแล้วจึงตั้งอกตั้งใจถามเพื่อจดจำต่อไป

    “โยมเข้าใจถามตรงจุดหมายจริงๆ อย่างโยมนี่แหละจะเดินเข้าสู่เส้นทางสายอริยมรรคได้ง่ายเพราะสมาธิโยมดี”
    “หลับตาไปถามไปอย่างนี้น่ะหรือสมาธิดีหลวงพ่อ”
    “หลับตาแล้วถามเข้าเรื่องอย่างนี้ดีกว่าหลับตาแล้วหลับเลยจนฝันไปต่างๆ นานา”
    “หลับตาแล้วปากยังถาม เท่ากับสมาธิมันยังไม่นิ่งไม่ใช่หรือหลวงพ่อ”
    “ถามเพื่อรู้นี่แหละ ดีกว่าหลับตาเพื่อหลง”
    “แล้วเมื่อไหร่สมาธิจะนิ่งดีสักทีล่ะหลวงพ่อ”
    “เมื่อรู้แล้วสมาธิจะนิ่งไปเอง...เมื่อกี้โยมกำลังถามถึงบันได 8 ขั้นค้างอยู่ ประเดี๋ยวเมื่อโยมรู้และเห็นแล้วสมาธิของโยมก็จะนิ่งเอง...”

    บันไดขั้นที่หนึ่ง...พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้คือ สัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นชอบ คือ เห็นด้วยปัญญาในสิ่งที่ถูกที่ชอบ

    บันไดขั้นที่สอง...คือ สัมมาสังกัปปะ แปลว่า ความดำริชอบ คือ ความคิดออกจากกิเลสกาม ความคิดไม่พยาบาท ความคิดไม่เบียดเบียน

    บันไดขั้นที่สาม...คือ สัมมาวาจา แปลว่า การเจรจาชอบ คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ

    บันไดขั้นที่สี่...คือ สัมมากัมมันตะ แปลว่า ทำการชอบ คือ การกระทำเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม

    บันไดขั้นที่ห้า...คือ สัมมาอาชีวะ แปลว่า การเลี้ยงชีพชอบ คือ การทำงานเลี้ยงชีพโดยไม่โกงเขา หลอกลวง สอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญหรือทำในสิ่งผิดกฎหมายและคุณธรรมทั้งปวง

    บันไดขั้นที่หก...คือ สัมมาวายามะ แปลว่า ความเพียรชอบ คือ พากเพียรในสิ่งที่ถูกที่ชอบ

    บันไดขั้นที่เจ็ด...คือ สัมมาสติ แปลว่า รำลึกในสิ่งที่ชอบ คือ ระลึกในสติปัฏฐานสี่ คือ รำลึกชอบในกาย เวทนา จิต และธรรม

    บันไดขั้นที่แปด...คือ สัมมาสมาธิ แปลว่า ตั้งจิตในสิ่งที่ชอบ คือ การเจริญจิตในสิ่งที่ชอบ คือการเจริญจิตในแนวเจริญฌาน และญาณ คือ สมถวิปัสสนากรรมฐานดังที่โยมมีกำลังทำอยู่”

    “ถ้าจะจำยากเสียแล้ว บันได 8 ขั้น 8 ข้อนี่”
    “ค่อยๆ จำไป ไม่ยากหรอกโยม ประเดี๋ยวให้โยมใหญ่จดเอาไปหลับตาท่องเดี๋ยวเดียวก็จำได้ เพราะโยมทั้งสองก็ประพฤติปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้วทุกข้อทุกขั้นมิใช่หรือ”

    “ไอ้ข้อเจ็ดและข้อแปดนี่สิไม่ค่อยได้ปฏิบัติเท่าไร”

    “นี่แหละที่โยมกำลังปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่นี้โยมกำลังปฏิบัติอยู่ล่ะ ค่อยๆ เพียรพยายามปฏิบัติเป็นประจำต่อไปเถิดโยมจะได้ขึ้นไปนั่งแท่นอริยะได้ แล้วเมื่อนั้นสวรรค์เทวดาจะอยู่แค่เอื้อมอยู่ต่ำกว่าเสียอีก โยมจะเห็นได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง”

    แม่มีลืมตาขึ้น ก้มลงกราบพระพุทธรูปแล้วหันมากราบหลวงพ่อด้วยความดีใจ
    “สาธุ...ที่ฉันอยากได้อยากเห็นขณะนี้ก็คือสวรรค์เทวดานี่แหละ ฉันจะกลับไปทำทุกวันเลย ไม่เห็นจะยากซักหน่อย”

    พ่อใหญ่แม้ไม่ได้นั่งหลับตาทำสมาธิก็จดจำได้โดยลืมตาสมาธิเช่นกัน เมื่อได้จดองค์มรรค 8 กับหลวงพ่อเรียบร้อยแล้วก็ลากลับไปด้วยความยินดียิ่ง

    “แค่นี้น่ะหรือทางไปสู่สวรรค์ ไถนาปลูกข้าวเหนื่อยกว่าเป็นไหนๆ”
    แม่มีปรารภกับสามีขณะรีบเดินทางกลับบ้าน
    “ไม่ใช่แค่ไปสู่สวรรค์นะแม่มี หลวงพ่อบอกว่าเป็นบันไดไปสู่แท่นอริยะ คือแท่นของผู้ที่จะไปนั่งเพื่อนำสู่พระนิพพานเลยทีเดียวนะแม่มี”
    “เออ...ฉันยังไม่ไปหรอก ประเดี๋ยวจะเลยลูกเทวดาของฉันไปเสียฉิบ”

    วันนั้นเป็นวันพระ กลับไปถึงบ้านก็เที่ยงวันพอดี สองสามีภรรยากินข้าวกลางวันกันแล้วก็ได้งานใหม่ที่พอใจจะทำ คือแยกไปนั่งที่มุมระเบียงบนบ้านกันคนละมุมแล้วนั่งวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางที่ได้เริ่มต้นปฏิบัติมากับหลวงพ่อที่วัด

    การวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าเกิดจากจิตของผู้เต็มใจปฏิบัติด้วยแรงศรัทธาเชื่อมั่นในธรรมะของพระพุทธศาสนาก็เท่ากับเดินทางเข้าไปหนึ่งแล้วเพราะละเว้นวิจิกิจฉาได้แล้วหนึ่ง และเมื่อได้รับคำแนะนำการปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามสัจธรรมของพระพุทธองค์ดังที่หลวงพ่อแนะนำมาเป็นตัวอย่างว่าควรเริ่มด้วยจุดอธิษฐานสูงสุดคืออธิษฐานพระนิพพานเป็นจุดหมาย อย่าเพิ่งไปติดอยู่กับสิ่งประกอบซึ่งเป็นทางผ่านเช่นสวรรค์วิมาน ก็เท่ากับเป็นการละเว้นสีลัพพตปรามาส คือ การหลงติดในสิ่งที่ชักพาให้ติดได้แล้วอีกหนึ่ง และละเว้นได้ซึ่งสักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตนโดยใช้หลักมองความจริงด้วยไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นเสียเพียง 3 อย่างนี้ด้วยความเข้าใจ รู้แจ้ง เห็นจริงเท่านี้ การวิปัสสนากรรมฐานของผู้นั้นก็บรรลุผลเบื้องต้นเบื้องต้นแล้ว คือบรรลุในโสดาปัตติผล เป็นอริยะเริ่มต้นแห่งกระแสพระนิพพานแน่แท้ต่อไป

    แม่มีแม้จะยังติดใจอยู่กับสวรรค์เทวดาเพราะต้องการจะพบลูกเทวดาที่ได้เพ้อๆ ฝันๆ อยู่ นั่นก็เป็นเพียงความติดใจรองลงมาจากความเชื่อมั่นศรัทธาในหลักการอธิษฐานตามที่หลวงพ่อได้แนะนำมาให้ขึ้นไปสู่ยอดเขาสูงสุดเสียก่อนจึงจะเห็นพื้นที่เบื้องล่างได้กว้างขวางและถูกต้องแน่นอน แม่มีจดจำคำที่หลวงพ่อสอนมาเช่นนี้เป็นสำคัญ

    เมื่อนอบน้อมจิตเคารพบูชาพระพุทธเจ้าจนจิตมีสมาธิแน่วแน่แล้วก็เพ่งพิเคราะห์ธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อปลงใจให้ดับสิ้นซึ่งกิเลสทั้งทุกข์และสุข จนจิตเป็นกลาง เป็นอุเบกขา เป็นมัชฌิมา ก็พิจารณาก้าวเข้าสู่บันได 8 ขั้น อย่างละเอียดลออซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็นองค์แรก และสัมมาสมาธิเป็นองค์สุดท้าย จนเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นว่าสิ่งใดควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะเป็นความถูกความชอบใน 8 ประการ นั้นยิ่งขึ้นทั้งอานิสงส์จากการประพฤติปฏิบัติที่ได้กระทำอยู่เป็นนิตย์ตลอดมายิ่งทำให้จิตในสมาธิของแม่มีของแม่มีนิ่งสนิทเป็นกุศลมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี

    จิตเป็นกลาง เกิดสมาธิด้วยกุศล สัมมาสมาธิจึงเกิดขึ้นโดยชอบในวิปัสสนากรรมฐานของแม่มีโดยอัตโนมัติ จากจิตเบื้องพระนิพพานตามอธิษฐานขั้นแรก แล้วอธิษฐานพุทธานุญาตขอย้อนกลับลงสู่แท่นพระอริยะที่เริ่มต้น เพียงแท่นโสดาปัตติมรรคอันจิตในวิปัสสนาทราบเอง รู้เอง เห็นเองด้วยแรงอานิสงส์ของแม่มีเอง เธอจึงรู้สึกว่าเธอกำลังเห็นอะไรปรากฏอยู่ในดวงแก้วที่โอภาสสว่างไสวอยู่เหนือแท่นอริยะนั้น

    “เราเข้าใจว่า เรากำลังเห็นสามเณรเทวดาองค์หนึ่งงดงามมากปรากฏอยู่”
    แม่มีรำพึงในจิตสมาธิของตนเองเช่นนั้น



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 179 – 185
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กรกฎาคม 2014
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ธรรมวิเศษ

    สามเณรเทวดามีรัศมีเรืองรอง ผิวเหลืองเรืองดั่งทองนพคุณ จีวรเหลืองเลื่อมพรายล้วนปรากฏด้วยประกายทองทั้งสิ้น ใบหน้าสามเณรน้อยซึ่งลอยเด่นอยู่เหนือแท่นอริยะเป็นใบหน้าเดียวกับที่แม่มีเคยฝันเห็นไม่ผิดเพี้ยน ริมฝีปากชมพูเรื่ออมยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาดำขลับกลมโตมีประกายแจ่มใสเจิดจ้า ใบหูยาว ติ่งหูย้อยลงที่ข้างแก้ม ลำคอระหงกำลังงาม แม่มีก้มกราบนมัสการด้วยเข้าใจในจิตสมาธิว่า แม้สามเณรจะเคยเป็นลูกชายของตนในชาตินี้ แต่สามเณรก็เป็นเทพเทวดาจากสรวงสวรรค์ อธิษฐานจุติปวารณาเพื่อสร้างสมบารมีมุ่งอริยะที่เหนือชั้นขึ้นไป

    ไม่มีการเจรจาอ้าปากที่ปรากฏในรูปทิพย์ แต่มีกระแสสัมผัสเจรจากันด้วยกระแสความรู้สึกจากดวงจิต

    “โยมแม่ทำสำเร็จแล้ว โยมแม่กำลังเห็นด้วยจิตในกระแสสมาธิ โยมพ่อก็ทำสำเร็จพร้อมกัน โยมทั้งสองตั้งอยู่ในกุศลจิต จงตั้งมั่นเจริญปฏิสัมภิทาให้แตกฉานคล่องแคล่วต่อไปเถิด โยมทั้งสองเห็นแล้วใช่ไหมว่า ภพชาติมิอาจขวางกั้นสัมมาวายามะคือความเพียรชอบของโยมทั้งสองได้”

    แม่มีเห็นภาพปรากฏอีกภาพหนึ่งคือพ่อใหญ่สามีตนปรากฏนั่งอยู่ข้างๆ ตนใกล้กันที่แท่นอริยะนั้น ทั้งๆ ที่ที่ระเบียงเรือนแยกกันนั่งห่างกันในคนละมุมทีเดียว เมื่อฟังเสียงอันไพเราะจากกระแสจิตของสามเณรน้อยแล้ว ภาพสามเณรเทวดาก็อันตรธานไป แม่มีและพ่อใหญ่ก้มลงกราบกับพื้นแท่นอริยะอีกคนละสามครั้งแล้วก็ถอนจิตออกจากสมาธิลืมตาขึ้น

    เหลียวมองไปทางพ่อใหญ่ที่ริมระเบียงด้านโน้น เป็นขณะเดียวกับที่พ่อใหญ่เหลียวมองมาพร้อมกัน ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ต่างครุ่นคิดและคาดคะเนว่าอีกฝ่ายหนึ่งเห็นอย่างที่ตนเห็นในสมาธิมาเช่นนั้นไหม
    “เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน”
    แม่มีเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อนเช่นเคย
    “พ่อใหญ่เห็นอะไรในสมาธิไหม”
    “เห็น...”
    “อย่า...อย่าเพิ่งบอก พ่อใหญ่เขียนสิ่งที่เห็นลงไว้ในกระดาษฉันก็จะเขียนลงในกระดาษเช่นกัน แล้วเอามาแลกกันอ่าน ดูซิว่าจะตรงกันไหม ถ้าเล่าด้วยปาก ใครเล่าก่อนอีกคนหนึ่งอาจจำไปสมอ้างได้ การเขียนลงในกระดาษเช่นนี้โดยที่เราไม่ได้เล่ากันก่อน ถ้าตรงกันก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อมั่นได้เต็มที่ว่าสิ่งที่ปรากฏในสมาธิวิปัสสนากรรมฐานเป็นความจริงมิใช่เกิดจากความคิดคำนึงไปเอง”

    แม่มีผู้ชาญฉลาดหาวิธีทดสอบความจริงง่ายๆ แล้วต่างฝ่ายต่างก็ลุกขึ้นเดินไปกราบพระพุทธรูปบนหิ้งข้างฝาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะหากระดาษนำมาเขียนสิ่งที่ตนได้สัมผัสในจิตสมาธิเมื่อชั่วครู่ เมื่อนำมาแลกกันอ่านก็ปรากฏว่าตรงกันทั้งสิ้น

    “ฝันก็ฝันตรงกัน ทำสมาธิก็เห็นเหมือนกัน แน่นอนแน่ๆ สามเณรเทวดาเป็นลูกเราแน่ๆ”
    ผู้ภรรยากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเหมือนเด็กได้ตุ๊กตาตัวโปรด

    “เราเกิดมามีโชคแท้ๆ ได้เป็นพ่อแม่ของเทพเทวดาที่กำลังลงมาอนุเคราะห์มนุษย์เพื่อสร้างสมบารมี เรามีลูกเป็นเทวดา แล้วเราก็เห็นธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างง่ายดายด้วยความอนุเคราะห์ของหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาส เราจงมาทำบุญทำทานกันให้มากขึ้นไปเถิดเพราะเราเห็นแล้ว เรารู้แล้วว่าพระพุทธเจ้ามีจริง สวรรค์มีจริง นิพพานมีจริง น้อยคนนักนะที่จะรู้จะเห็นจะเข้าใจเช่นเรา”

    พ่อใหญ่ยกมือขึ้นพนมเหนือศีรษะด้วยความปลื้มปีติ
    “ต่อไปนี้เราจะเลิกทำบาปเด็ดขาด จะไม่ตบยุง จะไม่ฆ่ามด จะไม่จับปลาในนาเอามาแกงกิน ทรัพย์สินที่มีอยู่จะแบ่งปันส่วนหนึ่งทำทานแก่คนยากจน ส่วนหนึ่งเอามาทำบุญกับพระ และอีกส่วนหนึ่งจะเก็บไว้เป็นส่วนของตน ชาตินี้เรามีโชคจริงๆ ต่อให้ใครเอาเงินมาให้เราสักเป็นล้านๆ แล้วให้ทำบาปเราก็จะไม่เอาเด็ดขาด เพราะเราเห็นแล้วชัดๆ ว่า บาปบุญคุณโทษมีจริง”

    แม่มีส่งเสริมสนับสนุน แล้วสามีภริยาก็แยกย้ายกันไปทำธุรกิจในวันหยุดนา ฝ่ายภรรยาเข้าครัวแต่วันเตรียมทำข้าวปลาอาหารมื้อเย็น สามีรีบลงไปในไร่เกี่ยวหญ้าอ่อนๆ เอามาให้วัวในคอก เสร็จแล้วแวะเก็บดอกมะลิและดอกไม้หอมอย่างอื่นเอาขึ้นมาให้ภรรยาร้อยพวงมาลัยบูชาพระพุทธรูปเป็นการรำลึกบูชาด้วยความนอบน้อมยิ่ง

    ช่วงชีวิตหนึ่งของมนุษย์ก็เท่านี้ เพียงแค่ร้อยปีโดยประมาณ มนุษย์เราเห็นว่านานสำหรับการมีชีวิตอยู่ แต่ที่จริงมันเป็นกาลชั่วแวบเดียวเมื่อเทียบกับความจริงแห่งกาลเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุดในวัฏสงสารซึ่งปุถุชนชาติจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ เปรียบเสมือนดอกไม้ที่บานแล้วหุบร่วงโรยเหี่ยวแห้งไปชั่วเช้าสายบ่ายเย็น แล้วดอกใหม่บานใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้นและหุบร่วงโรยเหี่ยวแห้งตกตามไปวันแล้ววันเล่าเป็นเช่นนั้นชั่วนาตาปี

    มนุษย์ใดรำลึกได้ด้วยการพิเคราะห์พิจารณาด้วยความรู้สึกที่ได้ประสบ มองความจริงของธรรมชาติแล้วนำมาบรรจงสอดคล้องต้องแต่งเข้ากับสัจธรรมของพระพุทธองค์ที่ทรงพิจารณาไว้แล้วอย่างมากมาย ก็จะได้สัจธรรมแท้ๆ จริงๆ เกิดขึ้นในธรรมารมณ์แห่งตนเป็นอัตโนมัติว่า ธรรมชาติทั้งหลายแห่งชีวิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสิ้น มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกเวลานาที มีความเป็นทุกข์เกิดขึ้นทุกขณะ ไม่มีตัวตนอะไรที่เป็นแก่นสารแน่นอนเลย และจะวนเวียนเป็นอยู่เช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับผู้ที่มิได้รำลึก

    น่าเบื่อ น่าหลีกไปเสียให้พ้น น่าหลบไปเสียให้ได้ พระพุทธองค์ท่านทรงค้นพบและบอกวิธีหลบหลีกความน่าเบื่อน่ารำคาญนั้นไว้อย่างละเอียดแล้ว คือวิธีเดินทางเข้าสู่มรรคผลมุ่งพระนิพพานอันเป็นแดนเกษมแต่สถานเดียว โดยการตั้งจิตทำสมาธิตัดสุขตัดทุกข์อันเป็นกิเลสทิ้งไปแล้วก้าวเข้าบันไดมรรค 8 ขึ้นแท่นอริยะรอเวลาอันควรที่จะเข้าสู่แดนเกษมซึ่งรออยู่เบื้องหน้าเท่านั้น นั่นเองเป็นพุทธปณิธานสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงหวังอนุเคราะห์มนุษยชาติผู้รำลึกได้

    พ่อใหญ่แม่มีผู้ประสบโชค รำลึกได้ในธรรมธรรมดาแล้วน้อมจิตยิ่งขึ้น เพียงได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อเมื่อตอนสาย สัมผัสภพภูมิสวรรค์และลูกเทวดาในสมาธิเมื่อตอนบ่าย ซาบซ่านในกลิ่นหอมจากพวงมาลัยดอกไม้บูชาพระพุทธรูปเมื่อยามค่ำคืนแล้วนั่งพิจารณาบทสัจธรรมแห่งพระนิพพานได้เมื่อตอนดึก

    ทั้งสองเข้านอนพักสังขารเมื่อเลยเที่ยงคืนไปแล้วด้วยความอิ่มเอมใจเหมือนกับได้ย้ายเข้ามาอยู่ในภพใหม่ที่มีความละเอียดประณีตยิ่งขึ้น

    อุษาโยคในวันใหม่
    หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสออกมาบิณฑบาตโปรดสัตว์ถึงบ้านสองสามีภรรยาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย
    “ธรรมอันปรากฏในสมาธิอันละเอียดอ่อน เป็นธรรมในคุณวิเศษยากนักที่บุคคลปุถุชนธรรมดาจะพึงเข้าใจได้ ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเตือนห้ามไว้ อย่าได้แสดงธรรมนั้นแก่บุคคลทั่วไปถ้าไม่จำเป็น”

    หลวงพ่อมาบิณฑบาตโปรดสัตว์สองสามีภรรยา พร้อมด้วยคำเตือนอันพึงประสงค์ให้สามีภรรยาผู้มีโชคปฏิบัติในขอบข่ายพุทโธวาทอันควรต่อไป เพราะธรรมวิเศษเช่นนี้แม้กระทั่งพระสมณะกล่าวถึงบุคคลยังไม่ค่อยเชื่อถือ ถ้าปุถุชนธรรมดาด้วยกันกล่าวแก่กันจะกลายเป็นเป้าความรู้สึกนึกคิดในทางอกุศลแก่บุคคลทั่วไปอย่างแน่นอน

    พ่อใหญ่แม่มีเข้าใจความหวังดีของหลวงพ่อและซาบซึ้งบรรลุในพุทโธวาทที่ทรงเตือนติง ทั้งสองนั่งยองๆ พนมมือท่วมหัวจนหลวงพ่อเจ้าอาวาสก้าวลับริมรั้วไป

    “ต่อไปนี้แม่มีต้องพูดน้อยลงนะ เกี่ยวกับเรื่องสามเณรเทวดาลูกเรา หรือถ้าไม่พูดให้ใครฟังเลยก็จะเป็นการดี พระพุทธองค์ท่านทรงเตือนกันไว้ให้แล้ว”

    แม่มีนิ่งรับคำสามีและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกอะไรได้จึงโพล่งออกมาด้วยเสียงค่อนข้างดัง
    “แล้วหลวงพ่อท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราทั้งสองได้ประสบพบอะไรในสมาธิอันละเอียดอ่อน ท่านจึงมาเตือนเราได้อย่างทันท่วงทีเช่นนี้”

    แม่มีวิ่งตามไปที่ริมรั้ว แต่หลวงพ่อเดินลับหายไปเสียแล้ว
    “รึหลวงพ่อจะมีสมาธิวิเศษ”

    “ก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละนะ เพราะสิ่งที่เราประสบธรรมวิเศษก็เป็นเพราะหลวงพ่อท่านเป็นผู้แนะนำมิใช่หรือ หลวงพ่อยังแนะนำให้เราประสบได้ง่ายๆ แล้วทำไมหลวงพ่อจะไม่เป็นผู้มีธรรมวิเศษอยู่ในตนอย่างมากมายหรือ”

    สามีภรรยานิ่งพิจารณาแล้วพยักหน้าซึ่งกันและกัน
    “ว่าที่จริงเราก็ใกล้ชิดหลวงพ่อมานานนักแล้ว แต่เราไม่ยักรู้ว่าท่านเป็นผู้มีธรรมวิเศษอยู่”
    “เพราะท่านไม่เคยแสดงอวดอ้างแก่ผู้ใดน่ะซี”
    ผัวเมียจึงใคร่ครวญพินิจพิเคราะห์เข้าใจหลวงพ่อถ่องแท้ขึ้น
    “เราคิดว่าท่านเป็นพระธรรมดาๆ มาเสียนาน นี่ถ้าไม่ลองสนใจในเรื่องวิปัสสนากรรมฐานก็จะไม่มีวันรู้ได้ว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระที่วิเศษแท้จริง”
    “นี่แหละหนอที่คนเขากล่าวกันว่าใกล้เกลือกินด่าง เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้วต่อไปเราก็จะได้ใกล้เกลือกินเกลือบ้างล่ะ”
    พ่อใหญ่กล่าวเป็นนัยๆ แม่มีฟังแล้วได้แต่แปลกใจเพราะไม่เข้าใจในประโยคข้างท้ายที่สามีกล่าวเท่าใดนัก
    “เมื่อเราใกล้พระผู้มีคุณวิเศษเช่นนี้ เราก็จะได้รับแนวทางที่กระจ่างแจ้งต่อไปน่ะสิ”
    พ่อใหญ่อธิบายคำคมให้ฟัง แม่มีจึงเข้าใจและรู้สึกกระตือรือร้นยิ่งขึ้น


    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 186 – 191
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ผู้วิเศษ

    “การมองเห็นด้วยตาทิพย์ คือเห็นด้วยความรู้สึก...และความรู้สึกที่จะทำให้มองเห็นได้ชัดแจ้งจะต้องรู้สึกในสมาธิอันสำรวมแล้วนั่นเอง คุณดอกบัวตูมเคยบอกไว้แล้ว”
    พ่อใหญ่ผู้สามีทบทวนคำแนะนำซึ่งเจ้าของกระท่อมยมโดยเป็นคนชี้ทางให้ตั้งแต่ทีแรก

    “ที่ท่านเรียกว่า นั่งกรรมฐาน”
    แม่มีเสริมต่อด้วยความเข้าใจยิ่งขึ้นพลางน้อมจิตด้วยความศรัทธา

    “นั่งหลับตาแล้วเห็นความสวยงามที่ละเอียดประณีต ทำให้จิตใจมีความสุขเยือกเย็น ทำให้ผู้พบเห็นรำลึกที่จะให้ทาน ทำบุญ รักษาศีล และอยากจะภาวนาต่อๆ ไป เช่นนี้นี่เองที่พระท่านบอกว่าเป็นบุญกุศลยิ่งนัก ถ้าทำมากๆ บ่อยๆ จะเดินทางไปยังจุดสูงสุดคือพระนิพพานได้ไม่ยากเลย”
    แม่มีบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในยามนี้ให้สามีฟัง

    พ่อใหญ่เบิกตากว้างจ้องหน้าภรรยาด้วยความแปลกใจ
    “นี่แม่มีพูดเองหรือ แม่มีเข้าใจเองด้วยหรือ แม่มีน้อมจิตได้ถึงพระนิพพานแล้วจริงๆ หรือ”

    แม่มีพยักหน้าช้าๆ ยิ้มกริ่มด้วยความสุขุมเยือกเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
    “ฉันเพิ่งเข้าใจ เพิ่งรู้ความหมายลึกซึ้งของคำว่า ทาน ศีล ภาวนา ที่ได้ฟังพระเทศน์อยู่บ่อยๆ ก็คราวนี้นี่แหละ”

    “แม่มีเป็นผู้มีบุญแท้ เพียงหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสแนะนำครั้งเดียวแม่มีก็เริ่มบรรลุ”
    พ่อใหญ่ยกย่องภรรยา

    “ที่พ่อใหญ่ให้กำลังใจและชมฉันอยู่นี่ พี่ใหญ่ก็เข้าใจและรู้ซึ้งด้วยเหมือนกันมิใช่หรือ”

    “พ่อเชื่อและเข้าใจมานานแล้วแต่มันเป็นเพียงความเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากผู้อื่นเท่านั้น ครั้นมาเห็นด้วยตัวเองเมื่อวานนี้จึงทำให้เชื่อสนิทไม่มีความสงสัยเหลืออยู่เลย คงจะเป็นด้วยอานิสงส์แห่งบารมีสามเณรเทวดาลูกเราช่วยส่งเสริมแน่ๆ ที่ทำให้เราทั้งสองได้ประสบโชคที่สุดในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้”

    แล้วสองสามีภรรยาผู้มีอารมณ์ร่วมในธรรมกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยก็พนมมือท่วมศีรษะพร้อมกับพึมพำให้ศีลให้พรลูกชายเทวดาด้วยความอิ่มเอมเป็นสุขยิ่งนัก

    ธรรมะเป็นสิ่งเสพติดซึ่งให้ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ผู้เข้าถึงแล้วยากที่จะถอยออกมาจากดวงแก้วอันเยือกเย็นสะอาดหมดจด ผู้ซึ่งเคยสร้างสมบุญบารมีเก่าเอาไว้จะเข้าถึงจุดแห่งความรู้สึกนี้ได้ง่ายๆ อย่างคิดไม่ถึง โลกในยุคนี้เป็นยุคที่มนุษยชาติหลงติดอยู่กับการแข่งขันชิงเด่นชิงดีกันในกิเลสตัวร้ายที่ขนานนามเรียกกันโก้หรูว่าเศรษฐกิจ ทุกวันนี้มนุษย์กำลังทำสงครามประหัตประหารด้วยสงครามเศรษฐกิจกันถ้วนทั่ว ตั้งแต่วงในสุดไปถึงวงนอกสุด ตั้งแต่ระหว่างพ่อแม่และลูก ระหว่างพี่ระหว่างน้อง ระหว่างญาติระหว่างมิตร ระหว่างพวกระหว่างพ้อง ระหว่างกลุ่มระหว่างเหล่า ระหว่างชาติระหว่างประเทศ และระหว่างกลุ่มประเทศที่รวมตัวกันแต่ละกลุ่มแต่ละเหล่า คนกำลังรวมพลังเพื่อแย่งชิงเศรษฐกิจด้วยกันทั้งนั้นมิใช่แย่งชิงเพียงเพื่อปากท้องของตนเป็นที่ตั้ง แต่เป็นการแย่งเพื่อลูกเพื่อหลาน เพื่อพี่เพื่อน้อง เพื่อญาติเพื่อมิตร เพื่อพวกเพื่อพ้อง เพื่อกลุ่มเพื่อเหล่า เพื่อชาติเพื่อประเทศ และเพื่อกลุ่มประเทศฝ่ายตนเป็นสำคัญ

    ดีแต่ว่ามนุษยชาติส่วนใหญ่ยังไม่มีตาทิพย์เห็นโลกอื่นมีอยู่อีกมาก สงครามเศรษฐกิจอันเป็นการแย่งชิงโลกิยสมบัติระหว่างโลกและโลกจึงยังไม่เกิด

    สาเหตุจากความโลภโมโทสันแสวงหาการสะสมในวงกว้างเกินขอบเขตนั่นเองจึงทำให้จิตมนุษย์ตรึงติดอยู่กับกองกิเลสซึ่งเรียกว่าความอยาก คนที่ไม่มีทรัพย์ก็อยากมีทรัพย์ คนที่มีทรัพย์ก็หวงแหนทรัพย์ คนมีทรัพย์มากก็เป็นห่วงหวงทรัพย์มากขึ้นไป

    ความอยาก ความหวงแหน ความห่วงหวง ล้วนแต่เป็นเครื่องรัดตรึงบีบเค้นจิตให้เกิดความเคร่งเครียดเป็นทุกข์ทั้งสิ้น แต่มนุษยชาติก็พยายามที่จะรนหาโลกิยทรัพย์อันเป็นตัวต้นตอให้เกิดความอยาก ความหวงแหนและความห่วงหวงเหล่านั้นให้พอกพูนขึ้นด้วยกันแทบทุกคน

    อนิจจา...น่าสงสารมนุษย์ที่กำลังหลงติดอยู่กับกิเลสอย่างโงหัวไม่ขึ้น
    มนุษย์กำลังเสพติดในอธรรมเหล่านั้น
    เพียงเปลี่ยนจิตมาเสพธรรมะเสียเท่านั้นห่วงรัดตรึงทั้งหลายทั้งปวงก็จะผ่อนคลายหายหลุดไปได้ในที่สุด

    มนุษย์บางคนก็เข้าใจทราบถึงวิธีคลายกิเลสแต่ทำไม่ได้เพราะสลัดความอยากไม่ออก บางคนไม่ได้สลัดกลับพอกพูนความอยากเพิ่มขึ้น บางคนกลับยินดีปรีดาในพลังแห่งความอยากแห่งตน เห็นเป็นสรณะที่จะขาดเสียมิได้ บางคนถึงกับหาวิธีส่งเสริมกระตุ้นความอยากด้วยสิ่งยั่วเย้าทั้งหลาย ผสมกับปัจจัยยั่วยุและสิ่งเสพติดซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ เช่น เหล้า เบียร์ บุหรี่ ยาเสพติดอย่างเบาอย่างแรงจนกลายเป็นทาสสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงในโอกาสสุดท้าย

    แล้วมนุษย์ผู้หลงใหลในอบายมุขก็ตายไปสู่อบายภูมิดินแดนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานทุกเวลานาที

    คนฐานะปานกลาง พอมีกินมีอยู่ไม่ถึงกับอดอยากแต่ไม่ร่ำรวยจนเกิดความห่วงหวงทรัพย์สมบัติจนเกินควร คนเช่นนี้จัดอยู่ในมัชฌิมภาวะ ถ้าน้อมจิตรำลึกได้ถึงธรรมคุณจะเป็นภาวะมนุษย์ที่หลุดพ้นกิเลสง่ายกว่าภาวะอื่น จะเห็นว่าแม้มหาบุรุษที่ร่ำรวยด้วยยศศักดิ์และทรัพย์สมบัติมหาศาล เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ กว่าจะตั้งต้นเริ่มเข้าสู่ธรรมคุณเบื้องแรกได้ก็ต้องสลัดสละแล้วซึ่งลาภยศสรรเสริญและทรัพย์ศฤงคารจนหมดสิ้น

    ทุกคนในโลกถ้าพอใจอยู่ในฐานะปานกลางแต่เพียงเท่านั้น โลกนี้ก็จะไม่มีคนจนปรากฏเพราะโลกิยทรัพย์ในโลกมีเหลือเฟือเพียงพอสำหรับมนุษยชาติที่จะเกิดขึ้นอีกร้อยเท่าพันเท่ากว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทุกวันนี้ที่มีคนจนอดอยากมากมายเนื่องจากเพราะมีคนรวยล้นฟ้าเพียงไม่กี่กลุ่มกี่เหล่า

    เศรษฐีเป็นต้นตอแห่งยาจก
    นั่นเป็นหลักธรรมดาธรรมชาติแห่งการเบียดเบียนอันเกิดจากตัณหา เมื่อเบียดเบียนคนอื่นจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ผู้ถูกเบียดเบียนก็หาโอกาสเบียดเบียนตอบเมื่อได้จังหวะ เป็นวัฏจักรวนเวียนต้นตอก่อกิเลสไม่รู้จบอยู่เช่นนั้นตลอดไป จึงกล่าวได้ว่าคนจนและคนรวยเป็นผู้อยู่ห่างทางสายมรรคผล คนฐานะปานกลางในมัชฌิมภาวะเท่านั้นจึงมีโอกาสสู่เส้นทางอริยะได้ง่ายกว่า

    พ่อใหญ่แม่มีอยู่ในภาวะเช่นนั้น เมื่อรำลึกถึงธรรมคุณอันสืบเนื่องมาจากบารมีเก่าจึงกลายเป็นผู้ประสบโชคดวงตาเห็นธรรมทันที

    สองสามีภรรยาพากันพิเคราะห์พิจารณาธรรมในส่วนของตนดังได้ประสบในระยะเวลาอันสั้น แล้วบังเกิดปฏิสัมภิทาคล่องแคล่วแตกฉานในวิจารณญาณเช่นบัณฑิต

    “ปัญญาอันเกิดจากภาวนามัยจึงเป็นปัญญาชั้นสูงสุด”

    สมกับที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวสัจธรรมไว้
    “สุตมยปัญญา ปัญญาอันเกิดจากการร่ำเรียนบอกกล่าวพร่ำสอนจากครูบาอาจารย์ทำให้คนเป็นบัณฑิตทางโลกเอกโทตรีได้ตามลำดับจินตามยปัญญา ความคิดสร้างสรรค์อันละเอียดอ่อนทำให้คนคิดค้นสร้างโน่นสร้างนี้ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์มากมาย แต่ทิพยสถานสวรรค์นิพพานจะสร้างได้ด้วยภาวนามยปัญญาเท่านั้น แม้จะไม่เคยมีปัญญาในสองประการข้างต้นก็ตามที...โยมเคยเห็นเคยทราบแล้วใช่ไหมว่าพระเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายรูปทราบและรู้ซึ้งจริงจังในสัจธรรมของธรรมชาติต่างๆ ได้ละเอียดลออและถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นไม่เคยเรียนหนังสือมาเลย ที่ท่านทราบได้โดยไม่ได้เรียนมาก่อน ท่านก็อาศัยภาวนามยปัญญาดังที่อาตมากล่าวมานี่แหละ”

    อีกครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสผู้ไม่เคยเรียนหนังสือมาเช่นกันได้สาธยายอรรถาธิบายขจัดความข้องใจสงสัยในตนเองของสามีภรรยาทั้งสองที่ตามมาถามปัญหาถึงที่วัด

    ทั้งสองจึงหันมาสบตาแสดงความเชื่อมั่นในตนเองกันมากขึ้น
    “ถ้าโยมปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลายต่อๆ ไป โยมก็จะเป็นผู้อยู่ใกล้เกลือได้กินเกลือละคราวนี้”
    หลวงพ่อกล่าวยิ้มๆ พลางหันหน้ามาทางผู้เป็นสามี

    “ประโยคนี้ก็เคยกล่าวเฉพาะสองคนที่บ้านเท่านั้น แต่หลวงพ่อทราบได้ที่วัดนี่อีกแล้ว”
    สองสามีภรรยามองหน้ากันอย่างงงๆ
    “หลวงพ่อจ๊ะ ฉันจะถามอะไรหลวงพ่อตรงๆ สักคำหนึ่งจะได้ไหม”
    แม่มีคนช่างพูดตามเคยอดทนอดกลั้นในความรู้สึกส่วนลึกไม่ได้จึงเอ่ยขึ้นมาตรงๆ

    “ได้สิโยม ถามตรงๆ ทำไมจะถามไม่ได้เล่า”
    “ฉันจะถามหลวงพ่อตรงๆ ว่า หลวงพ่อเป็นพระผู้วิเศษใช่ไหม”
    แม่มีถามตรงๆ ตามที่ตนเองอยากรู้ พ่อใหญ่ทำหน้าเจื่อนด้วยไม่ทันห้ามภรรยาไม่ให้ถามคำถามอันไม่สมควรเช่นนั้น

    หลวงพ่อยิ้มอย่างอารมณ์ดี
    “พระผู้วิเศษก็เหาะได้นะซี”
    “หลวงพ่อเคยเหาะได้หรือเปล่าฉันยังไม่เคยเห็น แต่หลวงพ่อรู้ความในใจของฉันและพี่ใหญ่โดยที่ฉันไม่ได้เคยบอกมาหลายครั้งแล้ว”

    “คนอื่นรู้ความในใจคนอื่นอาจเป็นการเดาก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้วิเศษหรอกโยม”
    “รู้แล้วถูกต้องทุกครั้งจะเป็นการเดาไปไม่ได้หรอกหลวงพ่อ”
    “การเดาถูกทุกครั้งจะเรียกว่าเป็นความวิเศษของคนเดาก็ได้”
    “แสดงว่าคนเดาที่เดาถูกทุกครั้งเป็นผู้วิเศษ...เช่น...เช่นหลวงพ่อใช่ไหมจ๊ะหลวงพ่อ”
    “เดาใจคนอื่นได้ รู้ใจคนอื่นถูก เห็นใจคนอื่นชัด ยังไม่ใช่ผู้วิเศษที่แท้...ผู้วิเศษที่แท้จะต้องเดาใจตนเองได้ รู้ใจตนเองถูก และเห็นใจตนเองชัด คือต้องรู้จักตนเองอย่างละเอียดนั่นต่างหาก จึงจะเป็นผู้วิเศษขนานแท้”

    หลวงพ่อเลี่ยงไปในทางธรรมเสีย แม่มีชักเริ่มงงอีก
    “ตัวเองก็เห็นตัวเองอยู่ทุกวัน ไม่ต้องเป็นผู้วิเศษก็เห็นได้แล้วนี่จ๊ะหลวงพ่อ”

    “แต่ถ้าจะให้เห็นอย่างละเอียด เข้าใจ รู้ใจ และเห็นใจตัวเองได้อย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงนั้นต้องเป็นผู้วิเศษจึงจะเห็นได้นะโยม”

    “เช่นยังไงหรือหลวงพ่อ”

    “เช่น เมื่อตัวเองเลวก็เห็นว่าตัวเองเลว เมื่อตัวเองผิดก็เห็นว่าตัวเองผิด เมื่อตัวเองหลงก็เห็นว่าตัวเองหลง เมื่อตัวเองโลภก็เห็นว่าตัวเองโลภ เป็นต้นโยม”


    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 192 – 198
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    จุดไต้ตำตอ

    “เอ้อ...จริงสินะหลวงพ่อ ฉันเคยเห็นแต่คนเห็นตัวเองดี ยังไม่เคยเห็นคนที่เห็นตัวเองเลว เคยเห็นแต่คนที่เห็นตัวเองถูก ยังไม่เคยเห็นว่าตัวเองผิด เคยเห็นแต่คนที่เห็นตัวเองไม่ใช่คนโลภหลงทั้งนั้น ทั้งๆ ที่บางคนงกแสนงก โง่แสนโง่ ก็ยังเห็นว่าตัวเองดีร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มอยู่นั่นเอง...

    จริงสินะ หลวงพ่อสอนสิ่งง่ายๆ ที่มองเห็นทุกเมื่อเชื่อวันแต่คนกลับมองกันไม่เห็น การเห็นสิ่งเหล่านั้นในตนเองให้ตรงตามความเป็นจริงและยอมรับความเป็นจริงเช่นนั้นคือการเห็นของผู้วิเศษตามที่หลวงพ่อว่า ไม่เห็นจะยากเลย ถ้าเราอยากเป็นผู้วิเศษจริงๆ เราก็ต้องมองตัวเองในความเป็นจริงเสียก่อน”

    แม่มีซึ่งมีความฉลาดเป็นทุนเดิม เมื่อได้รับการแนะนำถูกจุดนิดเดียวก็เข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งอย่างรวดเร็ว

    “ถูกแล้วโยม การเป็นผู้วิเศษในทางธรรมะคือการพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้ถูกต้องตามความเป็นจริงนั่นเอง”
    เมื่อเข้าใจตามสมควร หลวงพ่อก็อยากอธิบายรับรองสนับสนุน

    “ถ้าเห็นอยู่ในสายตาเช่นที่ฉันกำลังเห็นหลวงพ่ออยู่เดี๋ยวนี้ก็พิจารณาได้ถูกต้องตรงความเป็นจริงอยู่หรอกหลวงพ่อ ขณะนี้ฉันพิจารณาเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่หน้าห้องของหลวงพ่อบนวัด นี่เป็นความจริงที่ถูกต้อง แต่ขณะที่ฉันกับพี่ใหญ่กำลังนั่งอยู่ที่บ้าน และนั่งทางในเห็นทางในอยู่เสียด้วย หลวงพ่อนั่งอยู่บนวัดนี้แต่กลับพิจารณาเห็นฉันกับพี่ใหญ่ที่บ้าน เท่านั้นยังไม่พอ หลวงพ่อยังมองทะลุเห็นเข้าไปทางในของฉันและพี่ใหญ่อีกด้วย และเห็นถูกต้องตรงตามเป็นจริงทุกอย่าง ยังงั้นน่ะหลวงพ่อพิจารณาได้ยังไงถึงเห็นไปไกลได้อย่างงั้น”

    แม่มีได้โอกาสถามเข้าเรื่องกลับมาอีก ชนิดถามไม่เลิก เบิกไม่หยุดนั่นทีเดียว

    “ก็เข้ารอยเดิมที่บอกไปแล้วนั่นแหละโยม การพิจารณาเห็นสิ่งไกลๆ ได้เป็นของง่ายกว่าที่จะพิจารณาเห็นสิ่งใกล้ๆ ภายในตนเสียอีก ถ้าโยมอยากจะมองเห็นสิ่งไกลตัวได้ง่ายๆ ก็จงฝึกทำสมาธิมองกลับเข้าไปในตัวโยมให้เห็นได้จนชำนาญแล้วสิ่งไกลตัวไม่ต้องห่วง โยมย่อมเห็นสิ่งเหล่านั้นได้เองอย่างแน่นอน”

    “การมองกลับเข้าไปในตัวเองมันก็เห็นตับไต ไส้พุง กระเพาะ ข้างในสิหลวงพ่อ แล้วมันจะดีจะวิเศษอย่างไร”

    “มองข้างในให้เห็นทั้งหมดนั่นแหละดี มองให้เห็นหัวใจ ปอด ม้าม ตับไต ไส้พุง กระเพาะ เส้นเลือด ลำไส้อ่อน ลำไส้แก่ พังผืด มัน ดี เอ็น เนื้อ หนอง...มองให้เห็นหมดทุกอย่างยิ่งดี ที่ว่าดีเพราะเมื่อเรามองเห็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดน่าขยะแขยงจะทำให้เรารำลึกได้ในความเป็นจริงว่าในตัวเรานั้นไม่มีสิ่งใดน่ารักน่าปรารถนาแต่อย่างใดเลย เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย เป็นสิ่งให้ช่วยมีความรู้สึกผ่อนคลายกำหนัด นำไปสู่ทางหลุดพ้นได้ เพราะเมื่อเห็นความจริงสิ่งน่าเบื่อหน่ายภายในอย่างแท้จริงแล้วก็จะทำให้คลายความยึดมั่นในตนลงไปเป็นการขจัดขัดเกลากิเลสตัณหาราคะกำหนัดเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง เมื่อขจัดสิ่งเหล่านั้นได้มากดวงจิตก็แจ่มใสเบิกบาน กระจ่างเป็นดวงแก้วใสสะอาด กลายเป็นแก้วสารพัดนึกอยู่ในกลางตัวเรา เป็นแก้วบริสุทธิ์ส่องให้เห็นสัจธรรมคือความจริงในสิ่งต่างๆ ที่เราจะทราบ จะรู้ จะเห็นทั้งใกล้และไกล ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ทั้งในโลกมิตินี้และมิติประณีต ทั้งในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก...จนกระทั่งเมื่อดวงแก้วแห่งดวงจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองสิ้นเชิงก็จะเป็นดวงธรรมบริสุทธิ์ สะท้อนให้เห็นได้แม้กระทั่งแดนเกษมแห่งพระนิพพานนั่นแหละโยม”

    หลวงพ่อได้โอกาสเช่นกัน จึงอธิบายร่ายยาวทะลุถึงนิพพานแดนเกษมสูงสุด ในขณะที่แม่มีและพ่อใหญ่กำลังร่วมอยู่ในอารมณ์คล้อยตาม

    สองสามีภรรยากำลังอยู่ในอารมณ์ละเอียดประณีต มีความมุ่งมั่นศรัทธาจึงน้อมจิตเข้าใจธรรมะที่สูงขึ้นได้โดยไม่ยากเย็น

    ทั้งคู่เข้าใจถูกต้องตรงกันในคำเทศนาของหลวงพ่อ เข้าใจความหมายในการมองภายในตน พิจารณาภายในตน ให้เห็นอวัยวะภายในทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปลงสังเวช มิให้ยึดมั่นถือมั่นเข้าหลักพิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ใครก็แล้วแต่ ถ้าสามารถพิจารณาไตรลักษณ์ได้แล้วน้อมจิตถึงความจริงเหล่านั้นผู้นั้นจะคลายอวิชชา ตัณหา อุปาทาน นั่นคือ หลักสำคัญของการพิจารณาตามที่หลวงพ่อเคยสั่งสอนมาแล้วหลายครั้งหลายคราว แต่เมื่อได้ฟังในครั้งก่อนๆ ก็จะทะลุหูซ้ายออกหูขวาไปหมดทุกที

    ผิดกับคราวนี้ ในขณะที่สองสามีภรรยาเริ่มเห็นผลในการปฏิบัติภาวนา คือ ทำสมาธิเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จิตใจกำลังอยู่ในกุศลธรรม เมื่อหลวงพ่อกล่าวถึงการพิจารณาไตรลักษณ์จึงเข้าใจและเห็นความสำคัญของการพิจารณาสิ่งปฏิกูลในตนขึ้นมาฉับพลัน

    “อ้อ...ฉันพอจะเข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์แล้ว ที่บอกว่าให้ปลงอนิจจังในเนื้อตัวร่างกายเสียว่าเป็นของไม่เที่ยง ไม่จีรัง มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ ปลงเพื่อเราจะได้รู้ความจริงอยู่ทุกเวลานาทีว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น และเมื่อมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็จะได้เตรียมใจเตรียมตัวรับความทุกข์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ความทุกข์ความเศร้าโศกที่มันเกิดโดยรู้อยู่ก่อนก็จะทำให้ทุกข์น้อยโศกน้อยลงไป บางคนก็จะบรรลุถึงเป็นผู้ไม่มีความทุกข์ความโศก คนเราเมื่อจิตใจแจ่มใสไม่ทุกข์ไม่โศกเสียอย่างก็จะทำความดีงามได้ง่าย แม้จะมุ่งเดินไปถึงพระนิพพานอย่างที่หลวงพ่อบอกก็สามารถกระทำได้ในที่สุด นั่นเองคือการมองเห็นตนในตน อันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เป็นผู้วิเศษอย่างแท้จริงอย่างที่หลวงพ่อบอก ฉันเข้าใจขึ้นแล้วจ้ะ”

    แม่มีแสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักธรรมเบื้องสูง ถึงขนาดสามารถอธิบายได้อย่างถูกต้อง ละเอียดและแจ่มแจ้ง

    หลวงพ่อยิ้มอย่างพอใจที่เห็นสองสามีภรรยากลับกลายเป็นคนสอนง่ายเข้าใจง่าย แนะนำอะไรก็ดูจะรับทราบรับรู้ได้ทุกอย่าง ทั้งยังเริ่มเป็นนักปฏิบัติที่เห็นผลบ้างแล้วในเบื้องต้น จึงเป็นอานิสงส์ยิ่งนักที่จะน้อมนำให้ผัวเมียคู่นี้เข้าถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ได้ในที่สุด

    การให้ธรรมะเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ หมายถึงให้แล้วผู้รับเกิดความเข้าใจ น้อมใจ และประพฤติปฏิบัติตนตรงตามหลักสัจธรรมของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง การให้เช่นนี้ เช่นที่หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสกำลังให้แม่มีพ่อใหญ่อยู่ขณะนี้แหละ เป็นการให้ธรรมะที่ถูกต้องตรงจุด

    ในขณะที่แม่มีสนใจสอบถามหลวงพ่อถึงเรื่อง “คุณวิเศษ” จากที่แม่มีถามออกมาตรงๆ ว่าหลวงพ่อเป็นผู้วิเศษใช่ไหมเพียงประโยคเดียวหลวงพ่อก็ใช้กุศโลบายตอบไปตอบมา นอกจากจะไม่เป็นการแสดงอุตริมนุสธรรมอันมีในตนแล้วยังชักจูงโน้มนำผู้ถามให้เข้ามาอยู่ในอารมณ์ล้ำลึกเห็นแจ้งในธรรมะเบื้องสูงได้อีกประการหนึ่งด้วย เช่นนี้แหละที่เรียกว่าพระสมณะผู้มีสัมมาปฏิปทาเป็นยอด

    ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นสมณะนอกแถว เมื่อมีผู้ให้ความสนใจมาถามไถ่ถึงความเป็นผู้มีคุณวิเศษในตนก็มักจะคุยโม้โอ้อวดแสดงออกด้วยการยอมรับโดยชัดแจ้งหรือปริยาย หรือด้วยพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในลักษณะยอมรับเช่นนั้น เพื่อหวังผลลาภสักการะชื่อเสียงให้เป็นที่โจษจันเผยแพร่ไปในหมู่ปุถุชนผู้หมกมุ่นอยู่ในกิเลสที่จะพึงได้ยินกิตติศัพท์จะได้แห่กันมาขอลาภสักการะ เครื่องรางของขลัง หวยเบอร์กันให้แน่นวัด จะได้ชื่อว่าเป็นวัดหลวงพ่อผู้เก่งกล้าเพื่อเรียกคะแนนนิยมญาติโยมตามที่ปรากฏมากมายอยู่ในยุคนี้

    สิ่งที่หลวงพ่อให้ไปแม้จะเป็นลาภจริง ของขลัง ก็ล้วนแต่เป็นโลกิยสมบัติที่จะเพิ่มพูนกิเลส สนับสนุนการยึดมั่นส่งเสริมให้ญาติโยมติดโลกย์หนักขึ้นไปอีก เป็นบาปไม่เป็นบุญ

    ถ้าให้ไปไม่เป็นลาภจริง ไม่ขลังจริง ก็จะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีในตน ยิ่งเป็นบาปมหาบาปเป็นอาบัติถึงขั้นปาราชิก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า...

    “เป็นยอดมหาโจร”

    เพราะหลอกลวงชาวบ้านผู้ให้ก้อนข้าวกินด้วยคุณวิเศษที่ไม่มีในตน เป็นบาปซ้อนบาปตกนรกหมกไหม้อย่างไม่มีวันผุดวันเกิดทีเดียว

    หลวงพ่อหายินดีในชื่อเสียงลาภยศสรรเสริญในการที่จะแสดงคุณวิเศษอันมีอยู่ในกระแสลึกๆ ของท่านไม่ แม้ชื่อเสียงของท่านกระฉ่อนขจรไกลในแวดวงปุถุชนผู้กำลังนิยมอิทธิปาฏิหาริย์เป็นสรณะ ท่านก็ยินดีอยู่ในสมถะ เพียงแค่แนะนำให้สองสามีภรรยาผู้กำลังตั้งจิตน้อมเข้ามาในธรรมะอย่างแท้จริงได้เห็นจุดเริ่มต้นในธรรมะท่านก็พอใจ และถือเป็นมหากุศลอย่างยิ่งสมกับคำที่ว่า...

    “การให้ธรรมะเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

    การแนะนำให้ชาวนาสองคนเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนมองเห็นแท่นอริยะและสัมผัสกายทิพย์ของเทวดาได้ ทั้งเข้าใจทะลุไปถึงสรณะอันสูงสุดคือนิพพานแดนเกษมได้บ้างตามสมควรแล้วนี่แหละคือการให้ที่ยิ่งกว่าลาภยศสรรเสริญทั้งหลายทั้งปวง เพราะสิ่งที่หลวงพ่อกำลังให้คือทิพยสมบัติ อันจะติดตัวติดวิญญาณของสามีภรรยาผู้มีโชคไปอีกหลายชาติหลายภพ และจะไม่มีคำว่าตกต่ำลงมาอีก เพราะจิตเช่นนั้นเป็นจิตที่สัมผัสแท่นอริยะ แม้จะยังมิได้ขึ้นไปสถิตอยู่บนแท่นนั้นเพียงเห็นก็มีคุณค่าอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นตัวชักจูงให้ไขว่คว้าขึ้นไปถึงในที่สุด

    “โยมทั้งสองกำลังจะได้พบแล้ว...ผู้วิเศษ”
    หลวงพ่อกล่าวรับรอง ยิ้มเป็นนัยๆ
    แม่มีตาโตด้วยเข้าใจที่หลวงพ่อทำทีเหมือนยอมรับในคำถามของนาง

    “เห็นไหม ที่แท้หลวงพ่อก็คือพระผู้วิเศษจริงๆ ด้วย”
    แม่มีป้องปากกระซิบกับสามีเบาๆ หากแต่หลวงพ่อได้ยินถนัด

    “โยมนั่นแหละ...โยมกำลังมองเห็นตนภายในตนแล้ว มองเห็นชัดแจ้งเมื่อไหร่นั่นแหละ ไอ้ตัวตนที่เห็นชัดแจ้งภายในนั่นเองคือผู้วิเศษตัวจริง”
    หลวงพ่ออธิบายย้อนกลับให้แน่ชัดยิ่งขึ้น

    “ที่โยมเข้าใจว่าการมองเห็นตนในตน อันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เป็นผู้วิเศษอย่างแท้จริง นั่นเองคือความเข้าใจที่ถูกต้องแน่นอน...โยมนั่นแหละจะเป็นผู้วิเศษในไม่ช้า ไม่ต้องตามไปดูผู้วิเศษที่อื่นหรอกโยม”

    ในที่สุด ผู้วิเศษที่แม่มีแสวงหาก็อยู่ในตัวของแม่มีนั้นเอง



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 199 – 205
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สู่โลกภพ

    “จากกุศลจิตของสามเณรผู้ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ณ อุตตรกุรุทวีป เพียงแวบเดียวด้วยกตัญญูกตเวทิตาต่อบิดามารดาในชาตินี้เป็นที่ตั้ง แผ่อนุเคราะห์พ่อแม่เริ่มแต่ปรากฏความฝันในลักษณะเทวดาสังหรณ์จวบจนน้อมจิตเข้าสู่ปฏิปทาปฏิบัติจิตถึงขั้นสัมผัสแท่นอริยะในเวลาอันรวดเร็วดังผ่านมามิใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์นอกบรรพชิต เป็นไปได้แล้วสำหรับชาวนาผู้ไม่รู้ประสีประสาเกี่ยวกับการภาวนามัยมาก่อนเลย และจะเป็นไปได้สำหรับมนุษยชาติทุกคนที่รู้จักน้อมจิตเช่นชาวนาสมถะคู่นี้ บนพื้นฐานวิสัยชีวิตเช่นชาวนาคู่นี้และด้วยพลังศรัทธาอันมุ่งมั่นเช่นชาวนาคู่นี้”

    ณ แดนอุตตรกุรุทวีป ภาคพื้นเกาะแก้วรัตนะ หลวงพ่อกล่าวโดยพิจารณาพิเคราะห์กรรมของสามเณรน้อยอันได้แผ่อนุเคราะห์โยมแม่ในแดนชมพูทวีปจนปรากฏการณ์ดลบันดาลจิตยกระดับกระแสกุศลของแม่มีพ่อใหญ่ขึ้นสู่ภาวนามัยอย่างรวดเร็วทันตาเห็นว่าเป็นเรื่องซึ่งเป็นไปได้ตามธรรมเหตุมากน้อยเพียงใด ตามที่สามเณรได้ตั้งข้อปุจฉาในโอกาสอันสมควรวาระหนึ่ง

    ทั้งสามเณร แม่ชี และเทพธิดายมโดย นั่งกระทำอัญชุลีประนมกรรับฟังธรรมกถา

    “ที่อาตมากล่าวว่าย่อมเป็นไปได้สำหรับมนุษยชาติทุกคนที่รู้จักน้อมจิตเช่นชาวนาคู่นี้บนพื้นฐานวิสัยชีวิตเช่นชาวนาคู่นี้ และด้วยพลังศรัทธาอันมุ่งมั่นเช่นชาวนาคู่นี้...ย่อมหมายความว่ามนุษย์ผู้ใดที่ปฏิบัติตนอยู่ในศีลเป็นวิสัย ได้น้อมจิตบูชาพระรัตนตรัยด้วยความเคารพสูงสุดถ่องแท้และเชื่อมั่นปราศจากข้อสงสัยในธรรมะของพระพุทธศาสนา อธิษฐานจิตบริสุทธิ์นั้นเข้าสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างแน่วแน่ ผู้นั้นย่อมอธิษฐานกระแสสัมผัสภพภูมิรูปลักษณ์อันบรรจงประณีตของเทพเทวดาได้แน่นอน”

    หลวงพ่อจิตตัง อธิบายยืนยัน

    “แม้เพียงเป็นการเริ่มปฏิบัติเพียงครั้งแรกหรือครับหลวงพ่อ”
    สามเณรซักถามเพื่อความกระจ่าง

    “เป็นเช่นนั้นสามเณร...การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพียงพิธีการ การน้อมกระแสจิตนั่นต่างหากเป็นปฏิบัติการ จิตที่บริสุทธิ์เมื่อน้อมถูกทางก็จะเข้าสู่มรรคทันทีไม่ว่าจะครั้งแรกหรือครั้งไหนๆ ก็ตาม”

    “โยมพ่อโยมแม่เป็นผู้มีโชค”
    สามเณรกึ่งอุทานด้วยความปีติ

    “เพราะบุญบารมีแต่อดีตชาติมาเกื้อหนุนด้วย”
    หลวงพ่อเสริมต่อ

    “เป็นมหากุศลทีเดียวที่โยมแม่รำลึกได้ถึงสิ่งซึ่งเคยรู้สึกคลับคล้ายคลับคลามานาน เมื่อรำลึกได้ด้วยกุศลเช่นนี้ ความสำรวมในการแสดงข้อสงสัยก็จะมีขึ้น ความสงสัยในเรื่องของตนเองก็จะหมดไป สาธุ”
    สามเณรประนมมือขึ้นท่วมศีรษะด้วยความโล่งใจ

    “ถ้าสามเณรมั่นใจว่า ความสำรวมของโยมพ่อโยมแม่มีขึ้นแล้วพอสมควร เกี่ยวกับเรื่องล้ำลึกอันเป็นธรรมวิเศษหรือคุณวิเศษเช่นนี้ ถ้าสามเณรจะพึงขออนุญาตปรากฏสังขารในแดนหยาบนั้น เพื่ออนุเคราะห์บิดามารดาให้เพิ่มพูนขึ้นตามสมควรในโอกาสอันควร ก็ย่อมจะทำได้ต่อไป”

    เมื่อเห็นเป็นกาลอันสมควร หลวงพ่อจิตตัง ก็ยิ้มพรายให้โอกาสสามเณรผู้ยังมีความผูกพันอยู่กับพ่อแม่อยู่เป็นธรรมดา ที่จะมีโอกาสย้อนกลับเข้าสู่มาตุภูมิภพได้บ้างเฉพาะกาลตามสัจอธิษฐานในการล่วงภพมาสู่ดินแดนนี้แต่เริ่มแรก

    “หลวงพ่อครับ นับเนื่องจากที่กระผมได้บรรพชาเป็นสามเณรตลอดมา กระผมมีความปีติยินดี พอใจ ศรัทธาอยู่ในเพศพรหมจรรย์เป็นที่ยิ่ง และมีความยินดีเพิ่มพูนขึ้นมาอีกที่ได้ล่วงภพเข้ามาสถิตอยู่ในแดนประณีตนี้ ในเพศพรหมจรรย์ที่กระผมยินดีครองก็ปรารถนาจะครองเพศนี้สืบไปมิให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่ขณะเดียว แต่อีกจิตหนึ่งที่ยังกังวลผูกพันโยมพ่อโยมแม่ในโลกภพอยู่ก็ด้วยสำนึกอยู่ในส่วนลึกว่าโยมพ่อโยมแม่มีลูกอยู่เพียงคนเดียวคือกระผมนี้เท่านั้น ยังมิทันจะได้ประกอบการงานตอบแทนพระคุณท่านบ้างในยามยาก ก็ได้ตัดช่องน้อยมาแสวงบารมีใส่ตนเสีย ทิ้งพ่อแม่ให้เดียวดายช่วยตนเองกันตามลำพังเหมือนไม่มีลูก คล้ายเป็นบุตรผู้ใจดำที่มิได้ห่วงพ่อแม่ผู้ห่วงหวงลูกเป็นที่ยิ่ง กรรมกังวลเช่นนี้เหมือนกรรมเก่ากรรมใหม่ให้ตระหนักอยู่ลึกๆ เมื่อเป็นโอกาสอันดีที่หลวงพ่อได้กรุณาให้โอกาส กระผมมีความประสงค์จะพึงอาศัยกุศลสมาบัติแยกสังขารจากกายละเอียดในเพศบรรพชิตนี้เป็นอีกกายหนึ่งในมนุษย์กายหยาบเพศฆราวาส กลับเข้าไปปรากฏปรนนิบัติช่วยกิจการงานโยมพ่อแม่บ้างตามสมควรเพื่อโอกาสโยมทั้งสองมีเวลาเจริญภาวนาได้มากขึ้น เช่นนั้นจะเป็นการสมควรหรือไม่เพียงใดครับหลวงพ่อ”

    หลวงพ่อจิตตัง ได้ฟังวิธีการอันประณีตลึกซึ้งของสามเณร ก็มีความนิยมชมชอบอยู่ภายใน เห็นเจตนารมณ์อันละเอียดอ่อนของสามเณรที่จะไม่ยอมขาดตอนในการประพฤติพรหมจรรย์ และขณะเดียวกันก็จะมิให้เสียกุศลในทางโลกในอันที่จะแสดงกตเวทีตอบแทนพระคุณบิดามารดาบ้างตามสมควร จึงพิจารณาวิธีแยกสังขารแบ่งภาคอันอยู่ในวิสัยของสามเณรที่จะทำได้ หลวงพ่อเห็นดีด้วยกับกรรมวิธีเช่นนั้นจึงเสริมแนะในทางปฏิบัติเพิ่มขึ้นสนับสนุน

    “เป็นการสมควรในกุศลที่พึงจะกระทำได้สำหรับสามเณรผู้มีปฏิสัมภิทากระทำเองได้แล้ว โดยการอิงหลักโอปปาติกะ ในโยนิ 4 ด้วยมโนมยิทธิแบ่งภาคแยกสังขารเนรมิตกายกลับไปผุดเกิดตัวโตเท่าสามเณรในขณะนี้ทันที อันอยู่ในวิสัยของพวกมนุษย์ผู้มีอภิญญาเช่นสามเณรจะพึงทำตามคำรับรองของคำว่าโอปปาติกะ หมายถึงสัตว์เกิดผุดขึ้นมาแล้วโตทันที เช่น เทวดา สัตว์นรก และมนุษย์บางพวกตามที่ธรรมบาลีได้รับรองยืนยันไว้แล้วเช่นนั้น”

    สามเณรน้อยได้รับคำแนะนำสนับสนุนจากหลวงพ่อก็ดีใจและเห็นทางปฏิบัติกระจ่างชัดขึ้นในกระแสสมาธิทันที

    “เราจะเนรมิตกายไปปรากฏในลักษณะโอปปาติกะแห่งเพศฆราวาสตามที่หลวงพ่อชี้แนะ”
    สามเณรอธิษฐานตั้งจิตสัจจะไว้ในใจเป็นหนทางปฏิบัติ

    กายละเอียดอันสถิตอยู่ในอุตตรกุรุทวีป เป็นภพในมิติใกล้เคียงทิพยสถาน กายละเอียดเช่นนั้นใกล้เคียงกายทิพย์ของเทพเทวดาเป็นอทิสสมานกายสำหรับมนุษย์โลกภพ ซึ่งมนุษย์ในโลกภพมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น ถ้าจะปรากฏให้มนุษย์เห็นได้ก็ด้วยอธิษฐานเข้าสู่มิติหยาบในโลกภพเช่นเดิม แต่ความประสงค์ของสามเณรมิประสงค์จะปรากฏกายละเอียดเข้าสู่กายหยาบดังกล่าว จะคงกายละเอียดอยู่ในเพศบรรพชิตในแดนอุตตรกุรุทวีปตามเดิมแต่จะแบ่งภาคสังขารไปผุดโตขึ้นทันทีในบางครั้ง จึงจำเป็นต้องใช้วิธีปรมัตถ์สมาบัติแยกกายหยาบอันมีอยู่เดิมของวิสัยมนุษย์โลกภพไปปรากฏผุดโตขึ้นทันทีและคงสภาพเฉพาะกาลปฏิบัติกิจตามอธิษฐานในแต่ละครั้งละคราวตามที่ต้องการ

    สามเณรพึงเข้าใจสัมมาปฏิสัมภิทาตามที่หลวงพ่อแนะนำด้วยโอปปาติกะเฉพาะกิจโดยปกติ การโอปปาติกะจะเกิดขึ้นได้ในหมู่เทพเทวดาและสัตว์ในอบายภูมิตั้งแต่อสุรกาย เปรต และนรกภูมิเท่านั้น แต่สำหรับมนุษย์การโอปปาติกะเป็นเพียงวิธีการวิเศษของมนุษย์น้อยคนที่ทำได้ ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาจะเกิดได้ก็ด้วยอาศัยการชลาพุชะ คือเกิดในครรภ์มารดา หรือในสภาพครรภ์มารดา เริ่มจากเป็นทารกแล้วค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นแต่เพียงสถานเดียว แต่สำหรับมนุษย์ที่มีอภิญญาในสภาพกายทิพย์เช่นสามเณรซึ่งล่วงภพอยู่ในขณะนี้ย่อมจะพึงใช้วิธีโอปปาติกะดังที่หลวงพ่อรับรองแล้วนั้นได้

    “ในกายหยาบย่อมมีกายทิพย์ซ้อนอยู่ นั่นเป็นธรรมชาติในโลกภพ แต่ในกายทิพย์เช่นนี้จะมีกายหยาบซ้อนอยู่ได้อย่างไรเล่า...”

    สามเณรพึงพิจารณาในวาระอันสมควรที่จะแยกสังขาร

    “กายหยาบอันเคยมีปรากฏในโลกภพมิได้ติดตามมาในแดนนี้ด้วย สรีระทั้งหลายคงสภาพอยู่ ณ ศาลาท้ายป่าช้าวัดเมืองขณะที่ทำสมาบัติล่วงภพมาคราวนั้น สรีระเหล่านั้นเมื่อจิตละทิ้งมาแล้วก็แปรสภาพเป็นอากาศธาตุเกาะกลุ่มอยู่ในตำแหน่งเดิมรอการกลับของดวงจิตอยู่เสมอมา ขณะนี้อากาศธาตุกลุ่มนั้นก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งนั้น เพียงเราแบ่งภาคดวงจิตจากกายทิพย์เป็นดวงอารมณ์ไปยึดเหนี่ยวลงในกลุ่มอากาศธาตุแล้วอธิษฐานแปรสภาพสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามเดิม ปรับสภาวะเข้าสู่กาลเวลาปัจจุบัน โอปปาติกะแห่งกายหยาบของมนุษย์วัยรุ่นของเราก็จะปรากฏขึ้นทันที”

    สามเณรน้อยพึงพิเคราะห์พิจารณาด้วยกระแสธรรมก็ทราบวิธีการ จึงย้อนกลับปฏิโลมแบ่งภาคดวงจิตเป็นดวงอารมณ์เข้าสู่สรีระ ณ โลกภพอีกครั้งหนึ่งในบัดนี้...

    เด็กชายน้อยปรากฏตนขึ้นที่ศาลาท้ายป่าช้าซึ่งทรุดโทรมไปมากแล้ว ขณะนี้เขาเป็นหนุ่มวัยรุ่นขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก รูปร่างสูงเพรียวหน้าตาหล่อเหลา อยู่ภายใต้เสื้อผ้าเนรมิตสมสภาพ หนุ่มน้อยเหลียวซ้ายแลขวามองดูต้นหญ้าป่าพงซึ่งขึ้นรกครึ้มแทบจะคลุมศาลาไว้อย่างมิดชิด

    “เราจะไปปรากฏตนเฉพาะพ่อแม่ที่บ้านดงตาลเท่านั้น”
    เขาตั้งความรู้สึกไว้เช่นนั้น แล้วอธิษฐานเข้าสู่ทางลัดเดินมาถึงบ้านซึ่งเคยอยู่อาศัยมาแต่เล็กแต่น้อย
    “พ่อแม่คงอยู่ในนาเพราะเพิ่งย่างเข้ายามเย็นตะวันยังลอยดวงอยู่”

    ในยามเช่นนี้สิ่งที่ควรทำก็คือ ตักน้ำใส่ตุ่มให้เต็ม จัดแจงหุงข้าวทำอาหารไว้สำหรับบิดามารดาเมื่อกลับเข้าบ้านยามย่ำค่ำจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาทำอาหารเหมือนเช่นเคย เด็กชายน้อยแกงส้มต้มผัก ตำน้ำพริก คั่วถั่ว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารมังสะวิรัติ จัดสำรับกับข้าวเรียบร้อยไว้รอท่าสองสามีภรรยา เมื่อกลับมาถึงจะต้องพบกับความประหลาดใจอย่างไม่คาดคิดมาก่อน

    ตะวันตกดินแล้ว เสียงกระดึงจากคอวัวดังใกล้เข้ามา ชั่วครู่ผัวเมียชาวนาก็จูงวัวกลับเข้ามาถึงบ้านตามเวลาปกติเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา

    “ใครมาตักน้ำใส่ตุ่มล้างเท้าจนเต็มปรี่”
    เสียงแม่มีกล่าวขึ้นเบาๆ
    “น้ำในตุ่มอาบน้ำก็เต็มหมดทุกตุ่มเช่นกัน”
    พ่อใหญ่กล่าวขึ้นบ้าง
    “ไฟในคอกวัวก็มีคนสุมไว้ใหม่ๆ”
    “นอกชานบ้านก็สะอาดสะอ้านเหมือนมีคนเพิ่งจะกวาดถูเสร็จใหม่ๆ เหมือนกัน”
    “กับข้าวก็เพิ่งทำเสร็จยังร้อนๆ อยู่เลยในฝาชีที่ครอบไว้อย่างเรียบร้อย”

    แม่มีเดินชะโงกดูตามห้องตามซอกตามมุมเพื่อจะหาคนที่มาสร้างความประหลาดใจให้ก็ไม่เห็นมีแม้แต่เงา



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 206 – 212
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ติดสวรรค์

    “เทวดาเนรมิตให้เรากระมัง”
    แม่มีกล่าวขึ้นเล่นๆ เพราะไม่เห็นมีคน
    พ่อใหญ่นิ่งเงียบฉุกคิดขึ้นมาในใจ จำได้ว่า...

    “เมื่อก่อนมีคนคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นลูกชายของเขานั่นแหละ เคยตักน้ำใส่ตุ่มล้างเท้า ตุ่มอาบน้ำ และหุงข้าวปลาอาหารไว้ให้อย่างเรียบร้อยเช่นนี้ เมื่อเขาและภรรยากลับมาถึงบ้านตอนค่ำก็อาบน้ำกินข้าวได้เลย”
    พ่อใหญ่คิดทบทวนอยู่คนเดียวแล้วความจำก็เด่นชัดขึ้น

    “จริงๆ ด้วย เราเคยมีลูกชายคนหนึ่งชื่อพ่อน้อย...เอ...แต่เขาหายไปไหนเสียนาน”
    พ่อใหญ่ค่อยๆ ทบทวนความทรงจำซึ่งไม่เคยคิดได้เช่นนี้มาก่อนเลย

    “อ้อ...พ่อน้อยจบจากโรงเรียนมาแล้วได้ไปบวชเณรที่วัด...แล้ว...แล้วสามเณรน้อยหายไปไหน”
    พ่อใหญ่คิดได้ทีละขั้นๆ นึกถึงสามเณรเทวดาที่มาเข้าฝันก็รำลึกได้ว่าใช่แล้วนั่นแหละคือสามเณรน้อยลูกชายของเขา

    “สามเณรเทวดา...ลูกของเรา”
    พ่อใหญ่อุทานออกมาเสียงดังต่อหน้าแม่มี
    “ก็ใช่น่ะสิ”
    แม่มีกล่าวรับรองเพราะปักใจเชื่ออยู่แล้ว

    “แต่นี่พ่อไม่ได้ฝัน ไม่ได้เห็นในสมาธิ แต่พ่อจำได้เช่นนั้นจริงๆ เราเคยมีลูกชื่อพ่อน้อย เรียนหนังสือจบโรงเรียนแล้วบวชเป็นสามเณรที่วัดหลวงพ่อ...แล้ว...แล้วก็...ไปเป็นสามเณรเทวดาที่มาเข้าฝัน และปรากฏในสมาธิของเราได้อย่างไร”
    พ่อใหญ่ค่อยๆ ทบทวนแล้วลังเลอยู่ในประโยคหลัง

    “ฉันก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจำได้เช่นนั้นแหละนะ แต่ทำไมลูกเราจึงไปเป็นสามเณรเทวดามาเข้าฝันเราได้”
    แม่มียังคลับคล้ายคลับคลาอยู่

    “แต่พ่อจำได้แน่นอนแล้ว ไม่ได้คลับคล้ายคลับคลาเหมือนแต่ก่อน พ่อจำได้ว่าเรามีลูกชายชื่อพ่อน้อยแน่ๆ และบวชเป็นสามเณรมีฤทธิ์เคยมาปรากฏตนให้เราเห็นที่บ้านโดยตัวจริงอยู่ที่วัด แต่อยู่ดีๆ สามเณรก็หายไปจากวัดไปเป็นเทวดานี่สิ พ่อยังนึกไม่ออก”

    “แล้วเรื่องที่มีคนมาตักน้ำใส่ตุ่ม ทำความสะอาดบ้านเรือน แล้วก็หุงข้าวทำกับข้าวให้เราอยู่ขณะนี้ล่ะ ใครทำ”
    แม่มีวกเข้าเรื่องซึ่งกำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้า

    “พ่อน้อยเคยทำอย่างนี้เป็นประจำก่อนที่จะไปบวชเณร”
    พ่อใหญ่ฟื้นความจำให้ภรรยา
    “เอ้อ...จริงสินะ ฉันก็จำได้แล้วเหมือนกัน เมื่อก่อนเคยมีคนทำให้เราอย่างนี้เป็นประจำมาก่อน”
    แม่มีเริ่มจำได้

    “ลูกเราแน่ๆ เลย ลูกชายเราเคยทำอย่างนี้ให้เราเป็นประจำ...แต่เขาหายไปไหน”
    แม่มีนึกถึงป่าช้าที่วัดเมืองขึ้นมาได้

    “อ้อ...นึกออกแล้ว ลูกชายเราไปบวชเป็นสามเณรอยู่ในป่าช้าที่วัดเมือง เรายังเคยไปหาเมื่อตอนกลางคืนคิดว่าเขาไม่สบายเพราะเห็นมาปรากฏตนที่บ้านอย่างพ่อว่า คืนนั้นเรากลัวผีกันแทบตาย”
    แม่มีนึกได้ถึงเหตุการณ์แต่หนหลังซึ่งผ่านไปไม่นานนัก

    “นั่นสิ เดี๋ยวนี้สามเณรหายไปจากวัดกลายเป็นเทวดามาเข้าฝันเราและปรากฏให้เห็นในสมาธิ...รึสามเณรลูกเราตายไปแล้ว”
    แม่มีกล่าวเสียงสั่นๆ ใบหน้าเศร้าสร้อยลงถนัด

    “ยังไม่ตายน่ะ ถ้าตายเราก็จำได้ นี่เราไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลย เราไม่เคยมีความรู้สึกว่าสามเณรลูกเราตายแล้วเลย”
    พ่อใหญ่ยืนยันหนักแน่น
    “แล้วเขาไปเป็นเทวดาได้อย่างไรล่ะ”
    แม่มีถามเสียงสะอื้น
    “แล้วเทวดาก็มาเนรมิตสิ่งเหล่านี้ให้เราเห็นตำตาอยู่นี่แสดงว่าเทวดามีตัวตนอยู่จริง เขายังไม่ตาย”
    พ่อใหญ่ยืนยันอย่างมั่นใจ แล้วทั้งสองก็พากันค้นหาเทวดากันทั่วบ้านทั้งบนบ้านและใต้ถุนก็ไม่พบแม้กระทั่งเงาของเทวดาเลย
    เสียงวัวร้องมอๆ เหมือนเห็นคนอย่างงั้นแหละ
    “รึลูกเราจะอยู่ในคอกวัว”
    ทั้งสองพากันวิ่งไปที่คอกวัว เห็นวัวทำท่าทักทายคนอยู่แต่ทั้งสองกลับไม่เห็นใครเลย
    “วัวคงเห็นเทวดาน้อยลูกเรา แต่เราไม่ยักเห็น”
    แม่มีกล่าวขึ้นพลางประนมมือท่วมหัว

    “เจ้าประคู้ณ...ถ้าสามเณรเทวดามาจริงปรากฏตัวให้พ่อแม่เห็นบ้างเถิด แม่จะได้เชื่อได้เต็มอกเต็มใจว่าแม่มีลูกเป็นเทวดาจริงๆ...เจ้าประคู้ณ...”

    แม่มียกมือไหว้ไปทางคอกวัว พลันปรากฏลมหมุนขึ้นที่บริเวณนั้น ดูดควันไฟจากกองเพลิงซึ่งจุดไว้ไล่ยุงให้วัวในคอกม้วนเข้าเป็นวงกลมหมุนเป็นรูปร่างคล้ายๆ คน อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็สลายลอยขึ้นเบื้องสูงแตกกระจายไปในอากาศ ลมที่บังเกิดชั่วครู่ก็เงียบลงเป็นมหัศจรรย์

    “นั่นกระมัง...เทวดาลูกเรา”
    แม่มีคาดคะเนด้วยสีหน้าเศร้าๆ เสียงสั่นๆ ทำท่าจะร้องไห้เมื่อกลุ่มควันนั้นจางลง

    คืนนั้นเมื่อสองสามีภรรยานั่งทำสมาธิเจริญวิปัสสนากรรมฐานอธิษฐานสัมผัสลูกชายสามเณรเทวดาก็สัมผัสตรงกันทั้งคู่ทันที

    “ต่อไปนี้อาตมาจะไปปรากฏตนรับใช้โยมพ่อโยมแม่ที่บ้านบ้างตามโอกาสอันสมควร อาตมาจะปรากฏในภาคสังขารฆราวาสเหมือนลูกพ่อแม่ตามปกติ แต่โยมพ่อโยมแม่ต้องให้สัญญาอย่างหนึ่งว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องของอาตมาให้ผู้อื่นทราบเด็ดขาด”

    สามเณรเทวดาแจ้งในกระแสสมาธิขอสัญญาสำคัญ
    “พ่อให้สัญญา”
    “แม่ให้สัญญา”
    ทั้งสองรับปากรับคำทันที

    “เมื่อโยมพ่อโยมแม่ได้พบอาตมาในตัวตนจริงๆ ตามโอกาสอันควรแล้ว อาตมาขอแนะนำโยมพ่อโยมแม่ในสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐานของโยมทั้งสองในโอกาสต่อไปนี้ขอให้โยมทั้งสองเลิกอธิษฐานสัมผัสภพภูมิสวรรค์และเทพเทวดาดังที่โยมได้อธิษฐานพบอาตมาเป็นประจำเสีย แล้วมุ่งน้อมจิตเจริญภาวนาขึ้นสู่มรรคผลเข้ากระแสนิพพานตามหลักสูงสุดของพระพุทธองค์แต่สถานเดียว”

    หัวใจสำคัญอันเป็นกุศลของสามเณรเทวดาที่ปรารถนาปรากฏตนในสังขารกายหยาบใกล้ชิดบิดามารดา ก็คือปรารถนาจะหันเหอารมณ์ติดของบิดามารดาที่มุ่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานเพียงเพื่อต้องการพบลูกเทวดาเป็นจุดเริ่ม ถ้ามิช่วยแก้ไขเสีย บิดามารดาก็จะติดอยู่กับสุคติภูมิคือภูมิแห่งสวรรค์และเทพเทวดาเท่านั้นอีกนาน การติดสุขติดสวรรค์นี่ร้ายกาจนัก เพราะจะทำให้คนติดแล้วละเลิกได้ยากมากเพราะสวรรค์มีแต่สุขมีแต่ความอภิรมย์ ใครเล่าจะไม่อยากติด แต่ความสุขอภิรมย์ในแดนทิพยสถานก็เป็นสังขตธรรม คือธรรมปรุงแต่งอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องมีวันสิ้นสุด เป็นความสุขไม่เที่ยงแท้ จอมปลอมย่อมสูญสลายไปได้ แล้วความทุกข์ก็ติดตามมาในที่สุด ฉะนั้นผู้มุ่งถูกทางจะต้องมุ่งสู่พระนิพพานแต่เพียงสถานเดียว สวรรค์วิมานเป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น อย่าไปติดอยู่ จุดนี้นี่แหละที่ยากมากสำหรับผู้ปฏิบัติที่เริ่มบรรลุได้บ้างแล้ว ยากที่จะเดินหน้าต่อไปถึงจุดสูงสุดได้ถ้าผู้ที่เริ่มต้นมิได้มุ่งในจุดสูงสุดแห่งพระนิพพานไว้ น้อยรายนักที่จะผ่านพ้นไปได้ง่ายๆ

    สามเณรเทวดารู้เท่าทันในกระแสอธิษฐานของโยมพ่อโยมแม่ดีว่าเพียงอธิษฐานเพื่อต้องการสัมผัสตนเท่านั้น ถ้ามิช่วยแก้ด้วยปรมัตถธรรมในเบื้องนี้ เบื้องหน้าต่อไปจะแก้ไขยาก

    “โยมขออธิษฐานท่องเที่ยวในสวรรค์บ้างมิได้หรือ เพราะคำว่านิพพานดูเหมือนจะสูงสุดยอดเกินไป โยมไม่กล้าจะอาจเอื้อมอธิษฐานถึงปานนั้น”
    แม่มีต่อรองในกระแสสมาธิ

    “ท่องเที่ยวน่ะได้อยู่หรอกโยมแม่ แต่เที่ยวแล้วจะเพลินเผลอไปเสียน่ะซี การเพลินเผลอในสวรรค์นั้นเพียงแวบเดียวในความรู้สึกมันอาจกินเวลาเป็นกัปเป็นกัลป์ได้ทีเดียวโดยไม่รู้ตัว”

    “แวบเดียวในความรู้สึกมันนานเป็นกัปเป็นกัลป์ซึ่งถือว่านานนักหนาขนาดนั้นเทียวหรือ”
    โยมแม่ผู้ช่างซักซักต่อเป็นเรื่องเป็นราว

    “ก็เพราะเจ้าตัวความเพลิดเพลินอันร้ายกาจบนสวรรค์นั่นแหละ มันเพลินมากจนทำให้เผลอ เผลอเพลินอยู่เช่นนั้นเป็นกัปเป็นกัลป์ก็รู้สึกว่าเดี๋ยวเดียว ฉะนั้นจึงกล่าวว่า ไอ้การเพลินบนสวรรค์นี่มันทำให้เสียเวลาที่จะก้าวเข้าสู่มรรคผลแห่งพระนิพพานไปเปล่าๆ อย่างน่าเสียดาย”

    ปุจฉาวิสัชนาเช่นนี้เป็นข้อโต้ตอบของนักปฏิบัติระดับสูง แม่มีแม้จะเพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่หนทางปฏิบัติก็เข้าใจคำตอบของสามเณรเทวดาได้เป็นอย่างดี จึงรำลึกขึ้นได้ในกระแสสมาธิเป็นธรรมารมณ์ได้อีกประการหนึ่งว่า

    “มิน่าเล่าเทวดาถึงมีอายุยืนนาน จึงมิรู้สึกเบื่อสวรรค์ดังที่พวกเราคิด”



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 213 – 218
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    มนุษย์ชั่วคราว

    “ถ้าโยมแม่ไม่เข้าใจถึงความร้ายกาจแห่งความเพลิดเพลินในทิพยสถานว่าเป็นตัวติดอย่างแรงเช่นนี้ ตัวติดอันเป็นตัณหาอุปาทานก็จะเบาบางลงเพราะรู้ความจริงเช่นนี้แล้วอวิชชาก็คลายลงไปด้วย ถ้าตั้งความรู้สึกอันนี้ไว้ให้มั่นคงไม่ประมาท การแวะเวียนท่องเที่ยวในสวรรค์เพียงเพื่อเป็นประสบการณ์ก็ย่อมจะไม่เป็นอันตรายต่อการมุ่งหน้าสู่พระนิพพานต่อไป เหมือนกับคนที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปดูละครโรงใหญ่ ย่อมจะไม่แวะดูละครชาตรีข้างทางให้นานเกินควร เป็นเช่นนั้นโยม”

    พ่อใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในกระแสสมาธิด้วยกันพยักหน้ารับรองรับทราบด้วยในที่สุด สามเณรเทวดารู้สึกโล่งใจเมื่อโยมทั้งสองแสดงความเข้าใจเพิ่มขึ้นในธรรมขั้นปรมัตถ์นี้ เมื่อได้เวลาอันสมควรแก่กุศลแล้วทั้งหมดจึงถอนออกจากกระแสสมาธิ

    “พี่ใหญ่ก็คงเห็นในสมาธิเหมือนฉัน”
    แม่มีกล่าวขึ้นก่อนเช่นเคยเมื่อออกจากสมาธิเรียบร้อยแล้ว
    “ลูกชายเทวดาจะกลับมาอยู่กับเราเพื่อไม่ให้เราติดอยู่แค่สวรรค์เทวดา”

    พ่อใหญ่พยักหน้ารับรองว่าเห็นตรงกัน
    “สามเณรสอนเราเหมือนหลวงพ่อ คือสอนให้เรามุ่งนิพพานแต่เพียงอย่างเดียว”
    ทั้งสองรำลึกถึงคำที่หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสเคยแนะนำไว้

    “แล้วเราคิดจะไปนิพพานกันจริงๆ หรือนี่”
    แม่มีย้อนถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

    “ไอ้ไปจริงๆ น่ะคงยังไปไม่ได้หรอก ที่หลวงพ่อแนะนำก็ดี สามเณรแนะนำก็ดี ก็เป็นเพียงเพื่อให้เรามีจุดเริ่มต้นที่ตั้งใจไปให้ตรงจุดเท่านั้นแหละ”
    พ่อใหญ่อธิบายความรู้สึก
    “เริ่มต้นเดี๋ยวนี้จะไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ”
    “ถ้าตั้งใจจริงๆ และทำจริงๆ สักวันหนึ่งหรอกน่ะคงจะได้ไปถึง”
    “จะนานสักเท่าไหร่ล่ะ”
    แม่มีซักได้เรื่อยๆ
    “แม่มีหมดคำถามเมื่อไหร่นั่นแหละก็คงจะถึงเมื่อนั้น”
    “อ้าว...หาว่าฉันพูดมากน่ะสิ”

    “ไม่ใช่อย่างนั้น หมายความว่าเมื่อแม่มีหมดความสงสัย หมดกิเลส หมดอวิชชาคือความไม่รู้ หรือความรู้ไม่จริงเมื่อไหร่นั่นแหละก็จะบรรลุถึงนิพพานเหมือนพระท่านเคยบอก”

    “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป”
    แม่มีพึมพำแล้วก็จบคำถามลงเพียงเท่านั้น

    ทั้งคู่เข้าสู่นิทรารมณ์อันแสนสุขด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ด้วยความหวังอันเป็นยอดแห่งความปรารถนาอย่างที่สุดว่า...
    “เราจะได้พบลูกซึ่งจากไปสวรรค์เสียนาน”

    ตีสี่วันรุ่งขึ้น...สองสามีภรรยาตื่นขึ้นตามปกติเพื่อเตรียมหุงหาอาหารใส่บาตรพระและเตรียมออกไปนาเหมือนเช่นเคย

    “พ่อจ๋า...แม่จ๋า...นอนต่อไปอีกหน่อยก็ได้ วันนี้ผมเตรียมอาหารใส่บาตรให้เอง ประเดี๋ยวใกล้เวลาพระจะมาโปรดค่อยลุกขึ้นก็ได้ ไม่ต้องห่วงผมจะเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยทีเดียว”

    เสียงลูกชายจากในครัวร้องบอกมา แม่ทีทำท่าจะนอนต่อ
    “เอ๊ะ..นั่นเสียงลูกเรานี่”
    พ่อใหญ่อุทานขึ้น แม่มีดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้าตะแคงนอนต่อไป

    “ก็เสียงลูกน่ะซี”
    ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ชั่วครู่พอนึกขึ้นได้ก็รีบผุดลุกขึ้นนั่งสลัดผ้าห่มทิ้งอย่างรวดเร็วแล้วเปิดประตูออกมาตรงดิ่งเข้าไปในครัวทันที

    “พ่อน้อยลูกแม่”
    แม่ลูกกอดกันกลมดิกด้วยความดีใจ
    “นี่แม่ไม่ได้ฝันไปนะ แม่ไม่ได้นั่งสมาธิไปนะ...แม่พบลูกแล้วจริงๆ ด้วย”
    แม่มีละล่ำละลักถาม มือก็ลูบคลำตัวลูกชายที่จากกันไปนาน
    “ลูกมีตัวตนจริงๆ ด้วย”
    คลำตั้งแต่แผ่นหลังขึ้นไปจนสุดศีรษะ
    “ลูกแม่โตขึ้นมาก สูงกว่าแม่ตั้งเยอะแน่ะ”

    พลางลูบไล้ที่ท้ายทอยเลื่อนลงมาที่ลำคอและแผ่นหลังกอดแน่นแนบไว้กับอกด้วยความรักและดีใจ หอมแก้มซ้ายขวาเหมือนลูกยังเล็กๆ อยู่

    “โธ่...ลูกแม่ แม่มีลูกจริงๆ ด้วย ลูกกลับมาอยู่กับแม่แล้ว”
    เด็กหนุ่มค่อยๆ ทรุดตัวลงแล้วก้มกราบเท้าแม่เช่นกราบพระ แล้วหันไปกราบพ่อที่ออกมายืนดีใจอยู่ข้างๆ
    “เจริญสุขเถิดลูกรัก”
    ทั้งสองให้พรพร้อมกันด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น

    “ลูกจะอยู่กับพ่อแม่ได้ตามกาลเวลาอันสมควรเท่านั้น”
    รีบบอกกล่าวให้แจ้งไว้เพราะมิได้กลับมาอยู่ตลอดไป

    พ่อแม่ลูกได้อยู่รวมกันครบถ้วนอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกของพ่อใหญ่แม่มีก็กลับคืนสู่ความครบถ้วนเหมือนแต่เดิม ความวิปริตขาดๆ เกินๆ ที่เคยเกิดก็สิ้นไปเพราะแน่ใจแล้วว่าความจริงครอบครัวตนมีสามชีวิต มิใช่อยากมีลูกจนเพี้ยนตามที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจกัน

    “แต่ถ้าไปบอกกล่าวใครเขาว่ามีลูกเป็นเทวดานั้นจะยิ่งเพี้ยนหนักยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นความจำเป็นเด็ดขาดที่จะต้องเก็บความลับสุดยอดนี้ไว้เป็นที่รู้กันเฉพาะภายในผู้ที่สมควรจะรู้ได้เท่านั้น”

    สองสามีภรรยาก็เกิดปัญญาขึ้นมาเองในข้อที่สามเณรลูกชายขอคำสัญญาที่จะไม่แพร่งพรายความลับสุดยอดนี้แก่บุคคลอื่นเป็นอันขาด
    “ถ้าฉันยังไม่ได้ประสบด้วยตนเองใครมาเล่าเรื่องเช่นนี้ให้ฟังฉันก็ต้องหาว่าเขาบ้าแน่ๆ”
    แม่มีให้ความเห็นเมื่อเข้าใจทะลุปรุโปร่งเช่นนั้นแล้ว

    “พระพุทธองค์จึงทรงเตือนห้ามไว้มิให้ผู้ประสบธรรมอันวิเศษแล้วบอกความจริงอันวิเศษนั้นแก่ผู้อื่น เพราะถ้าผู้ที่ไม่ได้ประสบด้วยตนเองจะเชื่อว่าเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเป็นไม่มี”
    ลูกชายกล่าวเสริม

    “นอกจากจะไม่เชื่อแล้วยังหาว่าผู้บอกกล่าวบ้าอีกด้วย ไม่เป็นกุศลทั้งผู้บอกและผู้ฟัง ผู้เห็นเองทราบเองเท่านั้นจึงจะรู้ว่าเป็นความจริงทั้งหมด”

    พ่อใหญ่สาธยายต่อ ทำให้สามพ่อแม่ลูกเริ่มเข้าใจสัจธรรมของพระพุทธองค์ขึ้นมาทีละข้อสองข้อ ชนิดรู้แจ้งเห็นจริงถูกต้องตรงตามเหตุผลทั้งทางโลกและทางธรรม การรู้เช่นนี้เป็นการรู้ด้วยปรีชาคำนึงปรีชาหยั่งรู้ ปรีชากำหนดรู้ เป็นความรู้จริงที่เรียกว่า “ญาณ”

    เช้าวันนั้นพระลูกวัดออกมาบิณฑบาตก็ต้องประหลาดใจที่เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งมาเป็นสมาชิกในบ้านของโยมใหญ่กับโยมมี

    “รู้สึกว่าดูเหมือนเราจะคุ้นๆ กับเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่มากแต่ทำไมจึงนึกถึงที่มาของเขาไม่ออก”

    พระภิกษุรับบาตรแล้วก็เดินคิดคำนึงจากบ้านดงตาลไปตลอดทางจนถึงวัด คิดยังไงๆ ก็คิดไม่ออกว่าเคยรู้จักกับเด็กหนุ่มผู้นั้นที่ไหนมาก่อน

    นับจากนั้นเป็นต้นมา พระองค์ใดที่มาบิณฑบาตยังบ้านโยมใหญ่โยมมี ถ้าได้พบเด็กหนุ่มดังกล่าวก็จะต้องมีความรู้สึกเช่นนั้นกลับไปทุกองค์ และก็ไม่มีองค์ใดเลยที่จะหาคำตอบได้ว่าตนเคยรู้จักเด็กหนุ่มหน้าตาคมเข้มคนนั้นมาก่อนจากที่ไหนเช่นกัน

    “โยม ใครน่ะ หนุ่มน้อยที่อยู่บนบ้านนั่นน่ะ”
    พระบางองค์อดรนทนไม่ได้จึงถามขึ้นเมื่อมารับบาตรในวันต่อๆ มา

    “เขามาอยู่ชั่วคราวจ้ะ”
    ไม่ว่าโยมพ่อหรือโยมแม่ก็ต้องเตรียมคำตอบที่ไม่เข้าตัวออกตัวไว้ตอบแก่ผู้ที่ได้พบเห็นและไถ่ถามเช่นนี้เสมอ

    ที่ว่าตอบให้ไม่เข้าตัวออกตัวก็คือ พยายามตอบชนิดที่ไม่เป็นการโกหกและไม่เป็นความจริง เพราะถ้าโกหกก็บาป แต่ถ้าเป็นความจริงก็จะเป็นการแพร่งพรายคุณวิเศษ

    “ลูกหลานโยมหรือ”
    บางองค์ถามเช่นนั้น โยมก็จะตอบตามเดิม
    “เขามาอยู่ชั่วคราวน่ะจ้ะ”
    “ขอลูกคนอื่นมาเลี้ยงหรือ”
    บางคนถามเช่นนั้นเพราะเห็นว่าผัวเมียคู่นี้อยากมีลูก
    “เขามาอยู่ชั่วคราวน่ะจ้ะ”
    ก็ได้คำตอบเหมือนกันเช่นเดิมทุกครั้งไป

    คำตอบที่เป็นปัญหาเช่นเดิมของผู้ถามทำให้ภิกษุที่ประสงค์จะรู้ความจริงอันแรงกล้าต้องเก็บกลับมาปรึกษาหารือถามไถ่พระภิกษุผู้เคร่งปฏิปทารูปหนึ่งซึ่งได้ปฏิบัติธรรมอยู่ในศาลาริมป่าช้าอีกหลังหนึ่งแต่เพียงองค์เดียวในขณะนี้ ภิกษุรูปนั้นคือ...

    “พระภิกษุศรัทธา”



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 219 – 224
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    พิจารณา

    ณ ศาลาริมป่าช้าหลังกลาง ซึ่งมีสมณะสมถะปฏิบัติธรรมด้วยความวิเวกอยู่ตลอดมาแต่เพียงองค์เดียว พระภิกษุศรัทธาคือนามของท่าน ในระยะหลังๆ นี้มีพระภิกษุบางองค์จากในวัดวนเวียนมาเยี่ยมเยียนไถ่ถามสิ่งที่อยู่ในความสงสัยบ่อยๆ

    “อาวุโส หลวงพี่ ที่บ้านโยมใหญ่โยมมี มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏอยู่ พระภิกษุในวัดซึ่งได้ไปพบเข้าหลายองค์ยืนยันว่าเคยรู้จักเหมือนกับคุ้นๆ อยู่ในวัดนี้แต่ไม่มีภิกษุองค์ใดรำลึกได้ เหมือนมีสิ่งใดมาบดบังความทรงจำ น่าจะมีเหตุอยู่เบื้องหลัง ผมอยากจะให้หลวงพี่ช่วยเพ่งฌานไขข้อความจริงให้แจ้งเพื่อกุศล หวังหลวงพี่คงไขความจริงได้”

    เพื่อนภิกษุองค์หนึ่งเข้ามาสอบถาม พระภิกษุศรัทธายิ้มน้อยๆ ชำเลืองหางตามองไปทางกุฏิร้างหลังแรกที่มีเถาวัลย์ขึ้นคลุมอยู่เกือบมิด ถอนหายใจช้าๆ

    “ต้องไปถามหลวงพ่อในกุฏินั้น”
    พระศรัทธาแนะนำพร้อมกับพยักหน้าไปทางกุฏิร้าง
    “หลวงพ่อในกุฏินั่น...กุฏินั้นเป็นกุฏิร้างไม่มีหลวงพ่ออะไรเลย”
    พระผู้มาสอบถามแย้งขึ้น
    “ต้องไปถามหลวงพ่อในกุฏินั้น”
    พระศรัทธายังคงยืนยันเช่นเดิม

    “รึจะมีหลวงพ่อองค์ใดหลบอยู่ข้างใน”
    พระผู้อยากรู้คิดเอาเองแล้วพยายามแหวกเถาวัลย์เข้าไปในกุฏิร้างก็เห็นแต่ความรกร้างว่างเปล่า ไม่มีหลวงพ่อ ไม่มีพระ ทั้งพระอิฐพระปูนก็หามีไม่

    “ไม่มีหลวงพ่ออะไรเลยนี่ครับอาวุโส”
    พระองค์นั้นกลับมาบอกพระศรัทธาอีก

    “ถ้าหาหลวงพ่อในกุฏิร้างพบก็จะทราบความจริงในปัญหาที่อาวุโสถาม”

    พระทุกองค์ที่มาสอบถามก็ได้รับปัญหาเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ในลักษณะเดียวกันทุกองค์ ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้แก่พระที่สงสัยมากขึ้น เมื่อแวะเวียนกลับมาย้อนถามอีก พระศรัทธาก็จะตอบว่า...

    “อาวุโส...จะหาหลวงพ่อในกุฏิร้างพบก็ต้องหาฌานให้พบเสียก่อน”

    พระภิกษุผู้ปรารถนาจริงๆ ก็เข้าใจ ต่างก็เริ่มที่จะปฏิบัติสมาธิขึ้นบ้าง บางองค์ไม่ปรารถนาจริงก็เลิกละไปไม่เข้ามาสอบถามอีก

    “อาวุโส หลวงพี่ครับ ในวัดนี้นอกจากหลวงพี่แล้วพระสมณะใดจะเป็นที่พึ่งเพื่อการเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้บ้าง”
    พระที่ตั้งใจสอบถามเพื่อหาพระอาจารย์ผู้มีคุณวิเศษ

    “การบอกว่าพระสมณะองค์ใดมีคุณวิเศษเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม อาตมาพึงแจ้งได้เพียงนัยๆ ว่า พระสมณะในวัดผู้อาวุโสและสมถะที่สุดพึงเป็นที่พึ่งได้”

    “อาวุโสที่สุด...และสมถะที่สุด...ก็เห็นมีแต่หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาส...แต่เอ...ไม่เคยเห็นท่านเจ้าอาวาสแสดงความเชี่ยวชาญด้านนี้ให้เห็นเลยสักที”

    “...ใกล้เกลือกินด่าง...”
    หลวงพี่ศรัทธาเปรยๆ ขึ้น ไม่เจาะจงว่าใคร

    หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสผู้อาวุโส ท่านเป็นแบบฉบับของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโดยแท้ แม้ท่านจะเพียบพร้อมอยู่ด้วยคุณธรรมอันเกิดจากการปฏิบัติธรรมเสมอต้นเสมอปลาย แต่ท่านเป็นพระสมถะมิแสดงคุณอันใดในเชิงโอ้อวด พระภิกษุผู้อยู่ใกล้ชิดทางกายถ้ามิได้ใกล้ชิดทางจิตก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระผู้ทรงคุณอย่างยิ่งยวด พระภิกษุศรัทธาพระลูกวัดผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกองค์หนึ่งเท่านั้นที่เป็นผู้ใกล้ชิดทางจิตจึงทราบวาระจิต เมื่อมีพระภิกษุเริ่มสนใจที่จะปฏิบัติธรรมสมาธิขึ้น ท่านจึงส่งเสริมสนับสนุนโดยการแนะนำเป็นนัยๆ ว่าใกล้เกลือกินด่าง...ให้พิจารณาเอาเองเพื่อทราบเอง

    การภาวนาคือการทำสมาธิ เจริญสมถะหรือวิปัสสนากรรมฐานเป็นภาคปฏิบัติชั้นประณีตแห่งจิต จะชักจูง แนะนำ บังคับกันไม่ได้ ถ้าจิตไม่สมัครใจเองอย่าชักชวนให้เสียเวลา เอาช้างมาลากก็เข้าไม่ได้ ถ้าจิตสมัครใจเองใครก็เข้าถึงได้ เป็นเรื่องของการน้อมจิตเป็นสำคัญ

    เป็นเรื่องของบุญบารมีเก่าที่ตามมาสนับสนุนด้วย การที่ผู้ใดจะน้อมจิตเข้าหาธรรมะอย่างแท้จริงได้ต้องมีบุญเก่ามาช่วยน้อม เพราะธรรมะในพระพุทธศาสนาเป็นธรรมอันทวนกระแสชีวิตในวัฏสงสารคือเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนทางโลก เป็นธรรมเพื่อนำสู่การหลุดพ้น เป็นมรรคที่นำสู่แดนเกษมอันแท้จริง

    หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสก็เกิดปีติที่พระภิกษุพากันสนใจไถ่ถามเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติภาวนากันขึ้นมาเอง แน่นอนย่อมเกิดขึ้นด้วยอานิสงส์จากธรรมหนึ่งธรรมใดเป็นแน่แท้ ท่านพิจารณาก็ทราบที่มาแห่งธรรมนั้น

    “บุญบารมีของสามเณรเทวดาสูงส่งจริงๆ เพียงพระภิกษุได้สัมผัสแล้วเกิดความสงสัยก็จูงใจให้เกิดการน้อมจิตเข้าสู่การภาวนาธรรมขั้นสุดยอดได้”
    หลวงพ่อยินดีอยู่ในใจ

    สามเณรเทวดาย้อนกลับมาปรากฏในโลกภพเป็นการชั่วคราวได้อธิษฐานมั่นเพื่อแบ่งภาคมาอนุเคราะห์ธรรมแก่ทุกผู้ที่ได้สัมผัสพระสมณะในวัดล้วนแต่มีพระคุณเคยเกื้อกูลในขณะที่สามเณรเคยบวชอยู่ทั้งสิ้น เมื่อมีโอกาสกลับมาจึงตั้งใจให้พระสมณะผู้มีบุญบารมีแต่ปางบรรพ์หันกลับมารำลึกได้ถึงการปฏิบัติภาวนา

    “การให้ทาน รักษาศีล เพียงเท่านั้นยังไม่พอสำหรับพระสมณะในพระพุทธโคดม...พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาให้พระสมณะภาวนาด้วยเป็นหลักสำคัญ เพราะการให้ทานรักษาศีลเป็นเพียงหนทางนำไปสู่สุคติภูมิเท่านั้น แต่การภาวนาด้วยจะนำไปถึงแดนนิพพานเลยทีเดียว”

    สามเณรเทวดาจับหัวใจในประเด็นนี้ได้ด้วยบุญบารมีทั้งอดีตและปัจจุบัน จึงปรารถนาบอกกล่าวเล่าต่อสหายในพุทธจักรให้มุ่งสู่พระนิพพานกันเถิด

    “เป็นพระต้องมุ่งนิพพาน”
    สามเณรย้ำกระแสเข้าสู่พระสมณะในโลกภพ

    “อย่าติดโลก อย่าติดสวรรค์ อย่าติดพรหม เพราะสิ่งเหล่านั้นพระพุทธองค์ถือว่าเป็นสิ่งเลวสำหรับผู้มีศีล”
    นี่เป็นหัวใจของสมณะในพระพุทธศาสนา

    สามเณรเทวดาเล็งกระแสสมาธิสอดส่องสมณะในโลกภพ เห็นมากมายที่ประพฤติปฏิบัติไกลหัวใจสมณะ อยู่กับการติด มิมุ่งหลุดพ้น จะทำให้วนเวียนกลับมาสู่วัฏสงสารอีกมิรู้จบ น่าเสียดายเวลาที่ชักลากให้หมุนเวียนเหมือนเข็มนาฬิกาหมุนวนอยู่ในวงกลมอันจำกัด แม้จะบ่งบอกกาลเวลานับร้อยปีพันปีหมื่นปีล้านปีหรือเป็นกัปเป็นกัลป์ แต่ตัวเข็มนาฬิกาก็มิได้หลุดพ้นไปไหนเลย คงหมุนเวียนอยู่ในวงจำกัดแคบๆ นั่นเอง

    “พระภิกษุ พึงใจเพียงแค่เข็มนาฬิกานั้นหรือ...พอใจเพียงเพื่อเป็นผู้บ่งชี้ให้ผู้คนทั่วไปรู้กาลเวลาอันยาวนานแสนนาน ไกลแสนไกลแต่ตัวท่านเองกลับหมุนเวียนอยู่ในวงกลมแคบๆ ไม่รู้จบ”

    สามเณรส่งกระแสสมาธิเข้าสนับสนุนกระตุ้นกระแสจิตพระสมณะผู้กำลังน้อมใจเริ่มต้นที่จะแหวกวงล้อมออกจากหน้าปัดนาฬิกา
    “มาเถิด มาสู่กระแสสู่สมาธิกันเถิด นี่คือหนทางสู่การภาวนาที่จะหลุดพ้นได้”

    สามเณรรวมพลังธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในสังขารฆราวาสหนุ่มน้อยนั่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในราตรีอันมืดมิดอยู่กับบิดามารดาทุกราตรี ส่งกระแสชี้นำทั้งโยมพ่อโยมแม่แล้วเรื่อยมาถึงพระสมณะที่วัดที่เริ่มปฏิบัติ ไม่ยากเลยสำหรับสมณะผู้น้อมจิต เพียงเริ่มต้นปฏิบัติก็ได้ผลถึงครึ่งเข้าไปแล้ว

    “ที่อาตมากล่าวเช่นนี้เพื่อให้เห็นเป็นของง่ายสำหรับผู้ตั้งใจจริงการภาวนามิใช่ของยากเลย ความยากง่ายมันอยู่ที่บันไดขั้นแรกเท่านั้นเอง คือขั้นที่จะเกิดการน้อมจิตหรือไม่เท่านั้น”

    ในกระแสสมาธิของพระสมณะที่วัดได้ยินเสียงในประโยคนั้นแว่วเข้ามาในโสตประสาท ต่างก็แปลกใจไปตามๆ กัน และจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคย เป็นเสียงสามเณรที่เคยบวชอยู่ที่วัด

    “เมื่อท่านอาวุโสจำเสียงอาตมาได้ ต่อไปก็จะจำตัวอาตมาได้พบกันที่ครึ่งทางก็แล้วกันอาวุโส เดินเข้ามาในกระแสสมาธิสักครึ่งหนึ่ง อาตมาจะเดินออกไปครึ่งหนึ่ง อีกไม่นานนักอาวุโสและอาตมาก็จะพบกันที่กลางทาง”

    เมื่อสมณะที่วัดถอนจากสมาธิแล้วก็พิจารณาในความรู้สึกของตนเอง มิสอบถามกันให้ฟุ้งซ่านเหมือนผู้ปฏิบัติสมาธิบางกลุ่มที่ถอนออกจากสมาธิแล้วมักจะสอบถามกันถึงการสัมผัสสมาธิของกันและกัน การปฏิบัติเช่นนั้นไม่ถูกต้องนัก หากถูกต้องจะต้องพิจารณาเอง ตัดสิ่งที่ฟุ้งซ่านออกไปคั้นให้เหลือแต่แก่นแท้จริงๆ นั่นคือกระแสสัจธรรมถ้าพิจารณาด้วยความรอบคอบอุเบกขาแล้วเห็นว่าไม่ใช่แก่นแท้ก็ทิ้งมันไปเสีย อย่าเสียดายเก็บไว้ต่อไป ทำใหม่ สัมผัสใหม่ จนกว่าจะได้แก่นแท้จริงๆ

    อย่าลืมการพิจารณาต้องพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลาง เป็นอุเบกขาจริงๆ อย่าเข้าข้างตนเอง อย่าเสียดายสิ่งที่ได้สัมผัส อย่าหลง อย่างมงาย อย่าทึกทัก อย่าฟุ้งซ่าน มิฉะนั้นจะได้แต่เศษอิฐหินดินทรายมาเต็มกระบุงแทนที่จะได้ทับทิมสยามเม็ดเล็กๆ สักเม็ดหนึ่งก็ยังดี

    หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสแนะนำให้พระสมณะที่เริ่มปฏิบัติถูกวิธีแล้วพิจารณาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสมาธิด้วยตนเองอยู่ในใจ อย่าสอบถามใครๆ ให้ตัดสินเอาเองว่าอะไรเป็นเพชร อะไรเป็นหิน เพราะเพชรกับหินย่อมไม่เหมือนกัน ผู้ที่มีจิตสมบูรณ์แม้จะไม่เคยเห็นเพชรเลยก็สามารถจำแนกได้เมื่อพบเพชรอยู่คู่กับหิน

    แต่ถ้าผู้ที่ไม่รู้จักทั้งเพชรและหิน ก็ให้พิจารณาก้อนไหนที่น่าพอใจมากกว่า ก้อนนั้นก็คือเพชร
    ผู้ที่มีจิตสมบูรณ์ย่อมจะพอใจเพชรมากกว่าหินเป็นธรรมดา
    การพิจารณาดังกล่าวต้องพิจารณาด้วยดวงจิตที่สมบูรณ์เท่านั้น
    หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสแนะวิธีพิจารณาด้วยตนเอง ว่าเป็นวิธีเดียวที่จะพิจารณาได้ถ่องแท้ถูกต้องในที่สุด


    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 225 – 230
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ฐานจิต

    “เมื่อท่านอาวุโสจำเสียงอาตมาได้ ต่อไปก็จะจำตัวอาตมาได้ พบกันที่ครึ่งทางก็แล้วกัน อาวุโสเดินเข้ามาในกระแสสมาธิสักครึ่งหนึ่ง อาตมาจะเดินออกไปครึ่งหนึ่ง อีกไม่นานนัก อาวุโสและอาตมาก็จะพบกันที่กลางทาง”

    เสียงสัมผัสในกระแสสมาธิที่ไม่ผกผันยืนยันความรู้สึกของสมณะผู้มุ่งปฏิบัติจิตสู่อารมณ์ฌานว่าเป็นกระแสสัจจะ เสียงสัมผัสโสตเป็นเสียงสามเณรผู้เคยประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในวัดนี้แน่ๆ สามเณรองค์นั้นดูเหมือนจะเคยคลุกคลีอยู่ในกุฏิร้างกับ...

    “...กับใคร...”
    พระสมณะนึกไม่ออก รำลึกไม่ได้
    “เพียงรำลึกได้ถึงสามเณรผู้เป็นต้นตอแห่งความสงสัยก็เพียงพอแล้วสำหรับขั้นนี้”

    ในที่สุดพระสมณะก็ยินดีผลเบื้องต้นอันเกิดจากอานิสงส์สมาธิที่หลวงพี่ศรัทธาได้แนะนำ
    “จะหาหลวงพ่อในกุฏิร้างพบก็ต้องหาฌานให้พบเสียก่อน...ถ้าหาหลวงพ่อในกุฏิร้างพบก็จะทราบความจริงในปัญหาที่อาวุโสถาม”

    พลางทบทวนปริศนาที่อาวุโสพระสมณะศรัทธาตั้งโจทย์ไว้ให้
    “สามเณรเคยคลุกคลีอยู่ในกุฏิร้างกับหลวงพ่อแน่ๆ ...แต่เป็นหลวงพ่ออะไรไม่ปรากฏร่องรอยในกระแสสมาธิเลย”

    พระสมณะผู้รำลึกได้ก็คงรำลึกได้ว่าเคยมีหลวงพ่ออยู่ในกุฏิร้างเท่านั้น
    “หลวงพ่อในกุฏิร้าง ท่านไปไหนเสียแล้วหรือครับ”
    สมณะผู้มีความตั้งใจจริงจึงกลับมาถามปัญหากับพระสมณะศรัทธาอีก

    พระภิกษุศรัทธายิ้มน้อยๆ ด้วยความเมตตา
    “ท่านพบหลวงพ่อในกุฏิร้างแล้ว หมายความว่าท่านทราบแล้วว่าเคยมีหลวงพ่อในกุฏิร้าง ท่านรำลึกได้แล้วด้วยฌานสมาธิ แม้ท่านจะรำลึกถึงรูปลักษณ์และนามของหลวงพ่อไม่ได้ นั่นไม่ใช่เป็นข้อสำคัญ ข้อสำคัญท่านได้พบหลวงพ่อในนั้นแล้ว ต่อไปท่านก็จะทราบความจริงในปัญหาที่อาวุโสเคยถามอาตมา ท่านมีจุดเริ่มต้นเช่นนั้นมิใช่หรือ”

    “ใช่แล้ว อาวุโส”
    สมณะรำลึกจุดหมายเริ่มต้นได้

    “จุดหมายเริ่มต้นอาวุโสถามว่า ที่บ้านโยมใหญ่โยมมี มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏอยู่ พระภิกษุในวัดซึ่งได้พบเข้าหลายองค์ยืนยันว่าเคยรู้จัก เหมือนกับคุ้นๆ อยู่ในวัดนี้แต่ไม่มีภิกษุองค์ใดรำลึกได้เหมือนมีสิ่งใดมาบดบังความทรงจำ น่าจะมีเหตุอยู่เบื้องหลัง ผมอยากให้หลวงพี่ช่วยเพ่งฌานไขข้อความจริงให้แจ้งเพื่อกุศล หวังว่าหลวงพี่คงไขความจริงได้”

    พระภิกษุศรัทธาเอ่ยทบทวนคำถามแต่แรกอันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการภาวนากันขึ้น

    “ต้องไปถามหลวงพ่อในกุฏินั้น”
    พระสมณะผู้สนใจต่อคำถามหลวงพี่ให้

    “ถ้าหาหลวงพ่อในกุฏิร้างพบก็จะทราบความจริงในปัญหาที่อาวุโสถาม...และจะหาหลวงพ่อในกุฏิร้างพบก็ต้องหาฌานให้พบเสียก่อน”
    และทบทวนต่อไปจนจบ

    “เมื่อท่านพบหลวงพ่อแล้ว ท่านก็พอจะรำลึกถึงเด็กหนุ่มคนนั้นว่าเคยบวชเป็นสามเณรอยู่ในวัดนี้แล้วใช่ไหม...ท่านเริ่มจะทราบความจริงในปัญหาที่เคยถามไว้นั้นแล้ว จงพิจารณาต่อไป ความจริงในปัญหานั้น ว่าที่จริงไม่มีสิ่งใดมาบดบังความทรงจำของท่านหรอก ความทรงจำของท่านยังเป็นความรู้สึกอิสระอยู่เต็มที่ แต่เจ้าตัวความจริงในปัญหาที่ท่านถามเป็นตัวความจริงที่ล่วงเข้าสู่ธรรมอันประณีตยิ่งขึ้น ล่วงความรู้สึกของมนุษย์ธรรมดาจะพึงทราบได้ ต่อเมื่อท่านได้ปรับแปรความรู้สึกของท่านให้ละเอียดประณีตขึ้นด้วยฌานสมาธิแล้ว ความรู้สึกของท่านก็จะล่วงเข้าสู่มิติความละเอียดประณีตตามความเป็นจริงในปัญหาที่ท่านสนใจอยู่...”

    สมณะศรัทธากล่าวอธิบายช้าๆ บรรยายปริยัติให้กระจ่างขึ้นด้วยการปฏิบัติซึ่งพระสมณะผู้สนใจได้กระทำแล้ว พระสมณะผู้ไถ่ถามจึงเข้าใจลึกซึ้งมาทันทีเหมือนบรรลุในส่วนนี้ขึ้นอย่างฉับพลัน

    “อ้อ...อาวุโส...ปริยัติ...ปฏิบัติ...ปฏิเวธ เป็นองค์ประกอบแห่งความรู้แจ้งแทงตลอดเช่นนี้นี่เอง กระผมพอเข้าใจยิ่งขึ้นแล้ว”

    แล้วสมณะผู้บรรลุใหม่ก็ก้มลงกราบพระสมณะศรัทธาด้วยความเคารพนอบน้อมในฐานพระอาจารย์ที่สำคัญยิ่ง

    “เมื่อท่านปรารถนาจะรู้แจ้งแทงตลอดถึงหนุ่มน้อยผู้ปรากฏหรือสามเณรผู้เคยปฏิบัติพรหมจรรย์อยู่ที่วัดนี้นั้นโดยเร็วต่อไป ท่านก็จงน้อมจิตรำลึกบารมีแห่งสามเณรนั้นเถิด ทั้งบารมีของหลวงพ่อในกุฏิร้างนั่นด้วย แล้วท่านจะทราบถึงธรรมอันประณีตในส่วนที่เกี่ยวกับสามเณรผู้กลับมาอนุเคราะห์...แต่ท่านต้องจำไว้อย่างหนึ่งและปฏิบัติโดยเคร่งครัดว่า ธรรมที่ปรากฏต่อท่านต่อไปถือเป็นธรรมอันล้ำเลิศล่วงมนุษย์ธรรมดาจักพึงรู้ได้ เมื่อปรากฏแจ้งแทงตลอดในฌานของท่านแล้วจงถือเป็นความลับอย่างเคร่งครัด อย่าพึงแสดงอวดอุตริมนุสธรรมในกาลอันไม่สมควร จงจำไว้และถือปฏิบัติเช่นที่หลวงพ่อในกุฏิร้างเคยกำชับไว้แก่อาตมาในครั้งโน้น”

    หลวงพี่ศรัทธาพึงกำชับสิ่งอันควรในที่สุด

    “ครับ...หลวงพี่ กระผมจะถือปฏิบัติในเรื่องนี้โดยเคร่งครัด”
    สมณะผู้บรรลุรับคำและก้มลงกราบอีกครั้งหนึ่ง

    ผู้น้อมใจภาวนาจะบรรลุถึงธรรมอันประณีตไม่ยาก กล่าวกันว่าภพมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานเป็นภพหยาบที่สุด นอกจากนั้นตั้งแต่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ขึ้นไปถึง จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี และ พรหม เป็นภูมิภพที่ละเอียดทั้งนั้น แม้กระทั่งภพภูมิของอทิสสมานกาย เช่น สัมภเวสี ที่เราสมมุติฐานเป็นภูตผีปีศาจ คนทิพย์ เมืองลับแลในลักษณะทวีปทั้งสามอีกทวีปของมนุษย์ก็ล้วนแต่เป็นภพที่ละเอียดประณีตกว่าภพมนุษย์และสัตว์ชมพูทวีปทั้งสิ้น ฉะนั้นผู้สัมผัสภพภูมิเหล่านั้นได้ไม่มีทางอื่นเลยนอกจากกำหนดความรู้สึกให้ละเอียดประณีตแต่สถานเดียว

    ผู้ที่จะกำหนดความรู้สึกเช่นนั้นได้ก็ด้วยหลักภาวนาในพระพุทธศาสนา
    ผู้ที่จะภาวนาได้ก็ด้วยการน้อมจิต
    ผู้ที่จะน้อมจิตได้ก็ด้วยศรัทธา
    ผู้ที่จะศรัทธาได้ก็ด้วยกุศล
    ผู้ที่จะมีกุศลก็ต้องมีการให้ทานรักษาศีล
    และผู้ที่จะให้ทานรักษาศีลก็มีได้แต่ผู้ที่มีเมตตากรุณาเท่านั้น

    จงเริ่มต้นจิตของท่านด้วยจิตที่มีความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้งเถิด เมื่อสร้างฐานจิตให้เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาแล้วขั้นตอนที่สูงขึ้นต่อๆ ไป ก็จะติดตามมาโดยธรรมชาติแห่งกุศลกรรมเอง จิตอื่นนอกจากนี้เป็นจิตหยาบ มีแต่ความกระด้าง ทุรนทุราย เป็นอกุศลกรรม

    ในบรรดามนุษย์โลกด้วยกัน ผู้ประพฤติพรหมจรรย์คือสมณะนักบวชทั้งหลาย เป็นผู้ที่อยู่ในสภาวะจิตอ่อนโยนมีเมตตากรุณาต่อสรรพสิ่งทั้งปวงมากที่สุด เพราะรำลึกอยู่เสมอว่าเป็นผู้เที่ยวภิกขาจารขออาหารชาวบ้านเขากิน จึงพึงมีความเมตตากรุณาต่อชาวบ้านเป็นอันดับแรก พระภิกษุผู้เชื่อมั่นในพระนิพพานเป็นที่สุดแห่งแดนเกษมพึงปรารถนาให้ชาวบ้านไปสู่พระนิพพานแดนเกษมนั้นด้วยเป็นการตอบสนองคุณชาวบ้านด้วยเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง แน่นอนพระผู้ปรารถนาเช่นนั้นจะพึงอนุเคราะห์แนะนำธรรมะอันบริสุทธิ์ในโลกุตรธรรมแทนที่จะแนะนำโลกิยธรรม เช่นให้หวย แจกเครื่องรางของขลัง สะเดาะเคราะห์ เป่าเวทมนตร์ อันเป็นธรรมติดโลกย์แต่ชาวบ้านทั้งหลายทั้งปวง

    การแจกโลกุตรธรรมแทนการแจกโลกิยธรรม แม้จะไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้าน แต่ก็เป็นการแจกที่ถูกหลักธรรมในพุทธศาสนาโดยตรง

    สามเณรน้อยกลับมาปรากฏสังขารคราวนี้ด้วยจิตมุ่งมั่นที่จะดลใจพระสมณะในโลกทั้งหลายให้พึงเข้าใจหลักธรรมของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง จึงเริ่มแผ่บารมีด้วยการดลจิตพระภิกษุผู้สนใจให้ได้เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง จึงเริ่มชักจูงพระสมณะบางองค์ให้เข้าถึงภาวนามัยได้บ้างแล้ว เมื่อภาวนามัยเริ่มให้คุณเมื่อนั้นสิ่งละเอียดประณีตที่มนุษย์ถือเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ย่อมบังเกิดอยู่ในตนโดยอัตโนมัติ และจะปรากฏเป็นคุณแก่ผู้ถึงกุศลอันควรได้รับคุณเหล่านั้นเองโดยมิต้องโพนทะนาอ้างอวดชาวบ้านผู้ที่ได้รับคุณโดยวิธีธรรมชาติเช่นนี้ ก็จะใช้คุณวิเศษไปในทางกุศลเอง เป็นการต่อกุศลเพิ่มขึ้นด้วยกุศล เพราะชาวบ้านได้คุณวิเศษเช่นนั้นมาด้วยศรัทธาจิตอันเป็นกุศล มิใช่มาด้วยโลภจิตอันเป็นอกุศล ผลที่แตกดอกออกลูกตามมาก็จะผลิตผลแห่งกุศลธรรมอย่างแน่แท้ การเมตตากรุณาชาวบ้านด้วยวิธีเช่นนี้จึงจะเป็นบุญ นอกนั้นเป็นบาป

    นอกจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้ว พระภิกษุศรัทธาอีกรูปหนึ่งเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมื่อพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบชี้แนะแนวทางแก่สมณะผู้สนใจปฏิบัติธรรมด้วยวิธีที่ถูกทาง ในวัดนั้นจึงมีพระสมณะผู้สัมมาปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีก วัดเช่นนี้แม้จะไม่ใหญ่โตหรูหรามากนักทางวัตถุแต่ความโอฬารมหากุศลมีมากเหมาะสำหรับผู้ปรารถนาธรรมที่ถูกทางจะพึงเข้าไปสัมผัสกระแสธารธรรม

    มาเที่ยวนี้สามเณรเทวดามาเพื่อโปรดสัตว์อนุเคราะห์พระโดยแท้ พระคู่แรก คือพระอรหันต์ของสามเณรเอง คือโยมพ่อโยมแม่ สามเณรได้แนะนำชักจูงนำจิตโยมทั้งสองขึ้นสู่แท่นอริยะได้โดยสมบูรณ์แบบในช่วงระยะเวลาอันสั้น บัดนี้โยมใหญ่และโยมมีเข้าถึงการละเว้นแล้วซึ่งสักกายทิฏฐิ การยึดมั่นในตัวตน ละเว้นแล้วซึ่งวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย และละเว้นแล้วซึ่งสีลัพพตปรามาส การยึดถือศีลพรตด้วยความหลงผิดงมงาย

    จิตของผู้ถึงแท่นอริยะเช่นนี้ไม่มีวันตกนรกอีกต่อไปนอกจากจะรอเวลาเพื่อเข้าสู่กระแสพระนิพพานแต่สถานเดียว สามเณรจึงได้อานิสงส์สูงสุดในการตอบแทนกตัญญูกตเวทิตาแด่บิดามารดาด้วยมรรคผลอันเป็นที่สุด

    พระสมณะอีกหลายองค์ที่ตั้งใจจริง ประพฤติปฏิบัติภาวนาในวัดเพียงระยะเวลาอันสั้นเช่นกัน พระภิกษุเหล่านั้นก็แทงทะลุแจ้งด้วยกระแสฌานถึงที่ไปที่มาของสามเณรเทวดาว่ามีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร เมื่อทราบแล้วพระภิกษุเหล่านั้นต่างก็เงียบเก็บไว้ในใจ ระมัดระวังตามที่พระภิกษุศรัทธากำชับเตือนไว้

    เมื่อได้เวลาอันสมควร สามเณรน้อยก็อำลาบิดามารดาและพระภิกษุสงฆ์ในวัดที่ทราบความเป็นมาของตนกลับเข้าสู่อุตตรกุรุทวีปด้วยจิตที่เด็ดเดี่ยวตั้งมั่นอยู่ในอุเบกขาทันที



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 231 – 237
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    จากอักษรเทวนาครี...สู่...สยามพากษ์

    เมื่อได้กระทำกตัญญูกตเวทิตาแก่บิดามารดาและวัดซึ่งเคยบวชประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการชี้ทางนำสู่มรรคผลตามสมควรแล้ว ถือได้ว่าเป็นการสนองคุณแก่ผู้มีพระคุณสูงสุดในประการสมควรแก่ธรรม บ่วงแห่งอาลัยอาวรณ์ในภพชมพูทวีปของสามเณรน้อยก็บรรเทาเบาบางลง จิตอุเบกขาเข้าสู่สันโดษประพฤติธรรมในอุตตรกุรุทวีปจึงมีพลังทวีขึ้น ดวงแก้วแห่งความโปร่งในอุเบกขาจิตยามนี้พิสุทธิ์สดใสไร้มลทิน ใสสะอาดใกล้ดวงแก้วอรหัตเข้าไปทุกขณะ

    ณ เกาะแก้วสัตตรัตนทิพยปฏิมากรแห่งอุตตรกุรุทวีป ซึ่งมีองค์เทพ เจ้าแม่นมสาวเป็นผู้ปกครอง ขณะนี้ปรากฏเป็นดวงแก้วเสมือนดวงจันทร์สามดวง ปรากฏล้อมรอบองค์สุริยเจ้าอยู่บนยอดดวงแก้วซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ให้ความสว่างไสวแก่หมู่ชนชาวนาครอุตตระแห่งภาคพื้นทะเลขุนเขาสามร้อยยอดยิ่งนัก ให้ความสว่างทั้งในเวลากลางวันและให้ความกระจ่างทั้งในเวลากลางคืน ให้ความเชื่อมั่นศรัทธาในธรรมะแห่งพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นและรำลึกได้ถึงการหลุดพ้นโลกิยสุข ทั้งนี้เนื่องจากดวงธรรมในดวงจิตของสมณะทั้งสาม คือ หลวงพ่อจิตตัง แม่ชีสุดคนึง และสามเณรน้อย กลายเป็นดวงธรรมซึ่งหลุดพ้นหลุดบ่วงแห่งความรัดตรึงจากสายป่านแห่งความอาลัยในชมพูทวีปโดยสิ้นเชิงแล้ว ดวงธรรมทั้งสามพร้อมกันเข้าสู่กระแสโคจรรอบดวงธรรมแห่งองค์พระทิพยนิมิตปฏิมากร เพิ่มความสว่างไสวทั้งทางโลกและทางธรรมให้ภาคพื้นอุตตรกุรุทวีปแต่เพียงอย่างเดียว

    บัดนี้...ชาวนาครอุตตระผู้มิเคยปฏิบัติภาวนามาก่อนก็น้อมจิตศรัทธาเข้าสู่การปฏิบัติภาวนากันถ้วนทั่ว

    “มนุษยโลกเอย...การปฏิบัติภาวนามิใช่เพียงการนั่งหลับตาทำสมาธิกำหนดจิตใจให้สงบแต่เพียงอย่างเดียว แต่การปฏิบัติภาวนาจะต้องรู้พิจารณาด้วยปรีชาคำนึงถึงการตัดกิเลสทุกตัวให้หลุดพ้นไปในที่สุดด้วย ในชมพูทวีปต้องพิจารณาตัดถึงสองสภาพ คือสภาพทุกข์และสภาพสุข ส่วนในอุตตรกุรุทวีปพึงพิจารณาตัดเพียงสภาพเดียวคือสภาพสุขเท่านั้น เพราะสภาพทุกข์ไม่มี”

    หลวงพ่อจิตตังค่อยๆ แนะนำเปรียบเทียบ อนุเคราะห์ธรรมคราวเดียวกันให้แผ่ซ่านไปทั้งในอุตตระและชมพูทวีป ผู้กำลังอยู่ในกรรมฐานพึงได้สดับธรรมนั้น

    “ตัดสุขเป็นสถานใดหรือเจ้าคะ”
    อุบาสิกามีในชุดขาวไถ่ถามในกระแสญาณในคืนอุโบสถซึ่งได้มาปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ศาลาในวัดพร้อมด้วยอุบาสกใหญ่ผู้สามี

    “โยมมีโยมใหญ่ผู้มีโชค การตัดสุขก็คือการตัดไม่ยินดีในลาภยศสรรเสริญ สวรรค์ พรหม ตัดสิ่งซึ่งเป็นสังขตธรรมที่เป็นกุศลทั้งปวงเพราะธรรมเหล่านั้นมีตัวตนปรุงแต่ง ตัดตัวตนปรุงแต่งเสียแม้จะเป็นตัวตนปรุงแต่งในทางกุศลก็ตาม เพราะจิตอริยะเป็นจิตที่มุ่งสู่อสังขตธรรม คือธรรมที่ไม่มีตัวตนปรุงแต่งแต่เพียงสถานเดียวเช่นนั้น...มิใช่หรือ”

    ในกระแสสมาธิ อุบาสิกามีเห็นหน้าหลวงพ่อจิตตังชัดและจำได้มั่นคง อุบาสิกามีจึงรำลึกได้ครบถ้วนในคราวที่สามเณรน้อยบวชอยู่กับหลวงพ่อจิตตัง และปฏิบัติธรรมอยู่ที่ศาลาริมป่าช้าในครั้งกระนั้น

    อุบาสกใหญ่ก็เช่นเดียวกัน รำลึกได้ถึงเหตุการณ์ตั้งแต่แรกได้โดยทะลุปรุโปร่งในสมาธิคราวนี้
    ทั้งสองรำลึกได้ถึงหลวงพ่อจิตตัง แม่ชีสุดคนึง และสามเณรน้อยในวาระนั้น

    “ความรู้แจ้งเห็นจริงเป็นเช่นนี้นี่เอง”
    ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน

    “แล้วเมื่อก่อนหน้านี้อะไรเล่าได้บดบังความทรงจำของเราไว้อย่างสิ้นเชิง”
    แต่ละคนก็คิดทบทวนในลักษณะเดียวกัน

    “ไม่มีอะไรมาบดบังความทรงจำของโยมทั้งสองหรอก แต่ขณะนั้นความทรงจำของโยมทั้งสองยังอยู่ในความทรงจำแห่งโลกหยาบ ส่วนเหตุการณ์ของหลวงพ่อจิตตัง แม่ชีสุดคนึง และสามเณรน้อยได้ล่วงพ้นโลกหยาบเข้าสู่อุตตรกุรุทวีป โลกที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไปแล้วความทรงจำของโยมและมนุษย์ที่อยู่ในโลกภพจึงขาดตอนกันไปและขณะนี้ความทรงจำของโยมและพระภิกษุบางองค์ได้ปรับสภาพเข้าสู่ความละเอียดประณีตเท่าเทียมกันแล้วจึงสัมผัสเหตุการณ์อันประณีตของสมณะทั้งสามในอุตตรกุรุทวีปได้เอง เป็นเช่นนั้นโยม”

    ใบหน้าและเสียงของหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสนั่นเอง ปรากฏบอกกล่าวในกระแสสมาธิโยมมีและโยมใหญ่ก็บรรลุแจ้งในส่วนนี้ขึ้นมาทันที

    “อ้อ...หลวงพ่อ ดิฉันเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
    อุบาสิกามีกระทำสาธุการตอบรับ

    ส่วนสามเณรเทวดาลูกชายของอุบาสกและอุบาสิกาผู้บรรลุก็ปรากฏนิมิตนั่งอยู่บริเวณเฉพาะหน้าด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบเหมือนกำลังนั่งอยู่ด้วยกันบนศาลาอุโบสถศีล ทั้งๆ ที่ขณะนิมิต ทั้งหลวงพ่อจิตตังและสามเณรน้อยสถิตอยู่ในอีกทวีปหนึ่งซึ่งห่างไกลกันคนละแดนในทางภูมิศาสตร์แต่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมในทางธรรมศาสตร์

    “ธรรมศาสตร์” ในที่นี้ คือ วิชชาที่ว่าด้วยธรรมะในพระพุทธศาสนาแห่งพระพุทธองค์ ไม่ใช่เป็นเพียงคำเปรียบเทียบหรืออุปมาอุปไมยที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” แต่เป็นความจริงในสัจธรรมที่มีการเห็นกันจริงๆ ด้วยกระแสสัมผัส คือผู้ที่สัมผัสธรรมะในพุทธศาสนา ถ้าน้อมจิตมองสักนิดก็จะเห็นองค์พระพุทธเจ้าปรากฏอยู่ตรงหน้าทันทีจริงๆ ด้วยบารมีแห่งกุศลนิมิตจากฉัพพรรณรังสี

    ด้วยการน้อมจิตเห็นด้วยธรรมในพุทธธรรมเช่นนี้นี่เอง ผู้ที่มีดวงจิตอยู่ในภาวะจิตอริยะจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่งทั้งในอบายภูมิและสุคติภูมิ และอริยะชั้นสูงที่ยังมิได้นิพพานก็จะเห็นได้ในนิพพานด้วยดวงจิตที่น้อมในลักษณะพิสุทธิ์ระดับนั้นเพราะอารมณ์ของอริยะเป็นอารมณ์แห่งพระนิพพาน

    แม่มี พ่อใหญ่ กลายเป็นคนมีโชคจริงๆ ไปแล้วในโลกภพ ที่ว่ามีโชคเพราะเขาทั้งสองมีจิตหลุดพ้นจากของหยาบมากแล้ว อยู่กันสองคนผัวเมีย ตื่นเช้ามืดหุงข้าวใส่บาตรและเตรียมไปเป็นอาหารสำหรับคนในนา เย็นกลับมาบ้านอาบน้ำทานอาหารแล้วก็นั่งวิปัสสนา ตอนดึกก็ล่วงเข้าสู่ภพละเอียดประณีตสนทนาธรรมกับเทพเทวดา และบางครั้งก็เฝ้าพระอรหันต์ ทรัพย์สมบัติทางโลกสองสามีภรรยาไม่ต้องการอะไรอีกแม้กระทั่งวิทยุคู่มือที่แม่มีเคยหิ้วไปในนาเสมอๆ แต่เมื่อก่อน เดี๋ยวนี้แม่มีก็ไม่หิ้วไปให้เมื่อยมืออีกแล้วเพราะฟังแล้วรู้สึกหนวกหู เมื่อมีเวลาทำจิตสงบได้ก็ส่งกระแสไปในความละเอียดประณีตแห่งธรรมชาติดีกว่า แม้กระทั่งในเวลาไถนาปลูกข้าว แม่มี พ่อใหญ่ ก็สามารถเข้าสู่สมาธิเพื่อวิปัสสนากรรมฐานได้ทุกขณะ

    หลุดพ้นได้ถึงปานนั้น แล้วอะไรอีกที่แม่มี พ่อใหญ่จะมายึดมั่นถือมั่นในทางโลก

    ทรัพย์สินที่ได้มาด้วยความขยันขันแข็งส่วนหนึ่งเก็บไว้เพื่อตนเองตามสมควร ส่วนหนึ่งทำบุญแก่สมณะชีพราหมณ์ ส่วนหนึ่งทำทานแก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั่วไป ที่จะเก็บสะสมไว้บ้างก็เพียงเพื่อเผื่อไว้ยามเจ็บป่วยหรือแก่เฒ่าแล้วยังไม่ตายเท่านั้น

    มีแต่เหลือกับเหลือ เหลือทั้งทรัพย์สินสุจริต เหลือทั้งบุญกุศลซึ่งจะเป็นบันไดไต่เต้าไปถึงยอดเขาแห่งแดนเกษมต่อไปในโอกาสใดโอกาสหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่นอน
    “จึงเรียกว่าเป็นผู้มีโชคจริงๆ ดังได้กล่าว”

    ความเป็นห่วงลูกสามเณรเทวดาก็ไม่ต้องห่วงแล้วเพราะรู้แล้วเห็นแล้วว่าลูกชายของตนมีตัวตนแท้ๆ แน่นอนและเป็นผู้หลุดพ้นความทุกข์แน่นอนแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วงอีกต่อไป ทั้งยามนี้เมื่อคิดถึงทีไรลูกชายเทวดาก็มาปรากฏในจอจิตทันทีจึงหมดห่วงในประการสำคัญที่สุดไปได้อีกประการหนึ่ง คนเช่นนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีโชคจริงๆ

    “ต่อให้เอาเงินแสนล้านมาแลกความสุขของฉันขณะนี้ก็ไม่เอา”
    แม่มีเคยพูดทีเล่นทีจริงกับพ่อใหญ่กันสองคนและอธิบายเป็นปรัชญาต่อไปว่า

    “หมู่ใดคณะใดมีเงินแสนล้านบาทอยู่ในมือ หมู่นั้นคณะนั้นกำลังเบียดเบียนหมู่อื่นคณะอื่นอยู่ในตัว เพราะหมู่อื่นคณะอื่นย่อมสูญเสียโอกาสที่จะเป็นเจ้าของเงินจำนวนแสนล้านนั้นในขณะนั้นเนื่องจากจำนวนเงินในโลกภพมีจำกัด”

    แม่มีชาวนาแท้ๆ รู้ในสิ่งซึ่งชาวโลกผู้ก้าวไกลเกินเกมถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่วิเศษสุดของหมู่ตนคณะตน ที่สามารถแก่งแย่งเงินจำนวนจำกัดนั้นมาได้ถือว่าเป็นผู้ชนะเก่งกล้าสามารถทั้งๆ ที่แม่มีชาวนาถือว่าเป็นการเบียดเบียนกัน

    สัจธรรมของแม่มีชาวนากับกลยุทธ์ของชาวโลกผู้ก้าวไกลเกินเกมอันไหนจะถือว่าน่านิยมกว่ากัน

    “แน่นอนชาวโลกที่นิยมลัทธิโลกาภิวัตน์ คือการหมุนตามโลกจะต้องนิยมกลยุทธ์ในการฉกฉวยทรัพย์สินมากกว่า แต่ชาวธรรมนาครที่ศรัทธาอยู่ในธรรมาภิวัฒน์ย่อมจะต้องนิยมสัจธรรมของแม่มีชาวนาผู้บรรลุธรรมแล้วอย่างแน่นอน”

    กระแสความต้องการในจิตมนุษย์ย่อมไหลทวนกระแสธารธรรมแห่งพระพุทธศาสนาเสมอเพราะกระแสความต้องการของมนุษย์ที่ถือว่าสูงส่งนั้นมักจะไหลลงสู่เบื้องอบายภูมิ แต่กระแสธารธรรมของพระพุทธเจ้าจะไหลขึ้นสู่พระนิพพานแต่อย่างเดียว

    สามเทพยดา พ่อ แม่ ลูก (หลวงพ่อจิตตัง แม่ชีสุดคนึง สามเณรน้อย) จากมหาราชิกาผู้อธิษฐานปวารณาสละทิพยสุขลงมาสร้างสมมหาบารมีสู่มรรคผลได้จารึกมิติธรรมอันประณีตส่วนหนึ่งไว้ในโลกภพแล้วแม้จะเป็นส่วนน้อยนิดที่ปรากฏในคนบางคนแต่ก็เป็นประจักษ์พยานให้เห็นว่าบาปบุญคุณโทษมีจริง นรก เปรต อสุรกายมีจริง สวรรค์ พรหม นิพพานมีจริง ในโลกธาตุนี้มิใช่มีเพียงมนุษย์และเดรัจฉานดังที่ปรากฏแจ้งอยู่ในสายตาเนื้อของมนุษยชาติเพียงเท่านั้น

    ธรรมอันประณีตในส่วนนี้ที่ปรากฏแล้วในคนบางคนก็คือในโยมมี โยมใหญ่ ในหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาส ในภิกษุศรัทธาผู้บำเพ็ญพรตในป่าช้า และพระสมณะอีกบางองค์ที่เริ่มปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง สำหรับฆราวาสอีกคนหนึ่งที่จะลืมกล่าวนามไปเสียมิได้ก็คือ...

    “คุณดอกบัวตูมแห่งกระท่อมยมโดยหน้าเกาะนมสาว”

    คนกลุ่มน้อยเพียงไม่กี่คนนี่แหละจะเป็นผู้ประสานกุศลช่วยอนุเคราะห์เผยแผ่ธรรมวิเศษส่วนนี้ให้กระจายแผ่ซ่านไปยังมนุษยโลก ผู้มีโชคที่จะรับฟัง รับอ่าน รับสมอ้างแล้วเกิดศรัทธาปสาทะขึ้นมาในดวงจิตแล้วช่วยกันกระจายไขข่าวอันละเอียดอ่อนให้ขยายวงกว้างออกไปในโลกภพ

    จารึกจากสวรรค์ในภาคนี้จำต้องมีการจารจารึกลงไว้ในถาวรวัตถุเพื่อเป็นอักษรเทวธรรมย้ำแปลจากอักษรเทวนาครี (อักษรสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาอินเดียโบราณ) มาสู่ภาษาสยามพากย์อันเป็นดินแดนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ซึ่งชาวประชาส่วนใหญ่ร่วมใจกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาตราบจนทุกวันนี้

    สามเณรน้อยเทวดาพึงพิจารณาถึงส่วนสำคัญดังกล่าวจึงส่งทิพยกระแสสัมผัสโยมดอกบัวตูมอีกครั้งเพื่อจะฝากงานสำคัญนี้ไว้ให้สำเร็จประสงค์ต่อไป



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 238 – 244
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สัมผัสเทพยดา

    กระท่อมยมโดย...
    หลังจากที่ได้แนะนำให้สามีภรรยาคู่นั้นฝึกกำหนดจิตทำสมาธิเพื่อวิปัสสนากรรมฐานไปแล้ว ทั้งสองก็หายเงียบไปเป็นเวลานาน ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าคนทำอะไรจริงจังเช่นแม่มี ลองได้สมัครใจสิ่งใดแล้วจะต้องทำสิ่งนั้นอย่างมุ่งมั่น ที่ทั้งสองหายไป ก็คงจะสาละวนอยู่กับกิจกรรมใหม่อันเป็นมหากุศล แน่นอนในไม่ช้าทั้งโยมแม่ โยมพ่อ จะได้สัมผัสกับสามเณรน้อยเทวดาลูกชายซึ่งมีอยู่จริงในภพนี้ เพราะสามเณรเทวดากำลังแผ่บารมีอนุเคราะห์กุศลกิจเปิดกระแสเครื่องรับอยู่ ณ อุตตรกุรุทวีปทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว

    ทั้งสามเณรเทวดา ข้าพเจ้าก็ว่างเว้นที่จะส่งกระแสสมาธิเข้าสัมผัสนับแต่นั้นเป็นต้นมาเพราะส่วนใหญ่มักจะเข้าไปอยู่ในกรุงเทพฯ วุ่นวายยุ่งยากอยู่กับธุรกิจประจำวันติดโลกหนึบหนับจนปลีกตัวปลีกจิตออกไปในมิติที่ประณีตได้ยาก ข้อเขียนทิพยสถานมหาราชิกาภาค 2 ของข้าพเจ้าก็สะดุดหยุดลงอยู่ชั่วคราวเหมือนเป็นการรอคอยวัตถุดิบจากสองสามีภรรยาที่จะนำมาสานต่อเพื่อให้ภาคนี้จบลงได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยมีประสบการณ์ของละครตัวเอกเข้ามาสมทบเป็นสำคัญประกอบด้วย

    จนกระทั่งวันหนึ่งขณะอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ปรากฏสามเณรองค์หนึ่งมากดกริ่งหน้าประตูบ้าน ข้าพเจ้าออกไปเปิดประตูเห็นสามเณรองค์นั้นแต่ก็ไม่รู้จักมาก่อนในความรู้สึกของข้าพเจ้า แต่สามเณรแสดงท่าทีเหมือนเคยรู้จักข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ข้าพเจ้านิมนต์สามเณรเข้ามาในบ้านและได้นั่งสนทนากันอยู่เป็นเวลานาน ภรรยาของข้าพเจ้าก็ได้ออกมานั่งสนทนาร่วมด้วย

    ในบทสนทนาได้พูดกันถึงเรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนา พูดถึงเรื่องสวรรค์นิพพาน พูดถึงวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด พูดถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งสามเณรกล่าวในเชิงยืนยันว่าเป็นเรื่องมีจริง ให้ข้าพเจ้าและครอบครัวยึดมั่นถือมั่นศรัทธาไว้เถิดอย่าโลกานุวัตรติดโลกตามโลกซึ่งกำลังหมุนทวนกระแสสัจธรรมให้มากเกินไป โลกหมุนไปอีกทางหนึ่งแต่ธรรมะหมุนมาอีกทางหนึ่ง ผู้รู้เท่าทันจะชะลอตัวในขณะที่อยู่บนโลกซึ่งกำลังหมุนไปสู่ทางลงเพื่อจะประคองให้ตนก้าวขึ้นสู่ทางขึ้นได้บ้าง

    สามเณรองค์นั้นมีผิวพรรณวรรณะผ่องใส มีผิวเหลืองเรือง มีรอยยิ้มอยู่เป็นนิตย์ มีความเยือกเย็นสมถะ มีความสุขุมคัมภีรภาพแตกต่างไปจากสามัญชนคนธรรมดา ข้าพเจ้ารู้สึกศรัทธาเลื่อมใสในคำสนทนาของท่านที่ได้กล่าวออกมาธรรมดาๆ แต่รู้สึกว่าเต็มไปด้วยความหมายและคารมคมคายในธรรม คุยกันอยู่เป็นนานสองนานจนกระทั่งท่านกลับไปแล้วยังไม่รู้จุดหมายว่าสามเณรท่านมาเพื่อจุดประสงค์อันใด

    สักครู่เดียวเมื่อสามเณรกลับไปเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เพิ่งรำลึกขึ้นได้เหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากฝันว่าสามเณรที่จากไปเมื่อสักครู่คือ

    “สามเณรน้อยเทวดา”

    แต่ขณะที่พบที่เจรจาที่นั่งสนทนากันอยู่นานสองนาน ข้าพเจ้าจำไม่ได้เลยว่าท่านคือสามเณรเทวดาที่เคยปรากฏสัมผัสรู้จักกันมาก่อนแล้วทั้งในทางโลกและทางธรรม ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อตัวเองว่าเป็นจริง ไม่เชื่อว่าสามเณรน้อยเทวดาจะมาปรากฏให้ข้าพเจ้าเห็นถึงที่บ้านกรุงเทพฯ เห็นจริงๆ จะจะอีก ในขณะที่ท่านได้ล่วงพ้นจากโลกมนุษย์นี้เข้าไปสถิตอยู่ในโลกมนุษย์ที่ประณีตแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าฝันไปหรือว่าคิดเพ้อฝันเห็นไปเองในมโนภาพ แต่เมื่อสอบถามภรรยาอีกครั้ง ก็ได้ความว่ามีสามเณรมานั่งคุยสนทนาธรรมอยู่จริงๆ

    การปรากฏสังขารในกายหยาบให้ข้าพเจ้าเห็นในเวลากลางวันแสกๆ ของสามเณรน้อยย่อมจะเป็นนิมิตมงคลเป็นมหากุศลแก่ข้าพเจ้าแน่ วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวจึงเดินทางไปที่กระท่อมยมโดยตั้งแต่เวลาเช้าตรู่

    ถึงกระท่อมยมโดยเมื่อตอนสาย ที่เรือนอาหารหลังกลางมีพระสมณะหลายองค์นั่งอยู่แล้ว เมื่อเข้าไปใกล้จึงทราบว่าเป็นหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาส พระภิกษุศรัทธา และพระสมณะในวัดอีกหลายองค์ แน่นอนในจำนวนนั้นจะต้องมีพระสมณะซึ่งถือปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจังร่วมมาด้วยจำนวนหนึ่ง ข้าพเจ้าตรงเข้าไปกราบนมัสการพระสมณะ ในโรงครัวมีพี่สาวของข้าพเจ้าและพวกซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่บ้านในตลาดปราณกำลังสาละวนทำกับข้าวเพื่อเตรียมจะตั้งโต๊ะถวายภัตตาหารเพลแก่พระสมณะที่มาจากวัดในเมืองดังกล่าว

    เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดในเมืองและคณะมาฉันอาหารที่กระท่อมยมโดยด้วยความตั้งใจของหลวงพ่อเอง ข้าพเจ้าได้ยินพี่สาวและพรรคพวกคุยกันในครัว ทราบว่าหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสได้ไปบนเกาะนมสาวและถือโอกาสฉันอาหารเพลที่นี่ด้วย

    ณ ที่นั้น ภายในเรือนอาหารกระท่อมยมโดย ข้าพเจ้าได้เห็นและนมัสการพระสมณะแปลกหน้าซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยรู้จัก มีผิวพรรณผุดผ่อง พร้อมทั้งแม่ชีในชุดขาว และสุภาพสตรีสาวสวยในชุดเหลืองเรืองอ่อนๆ นั่งสนทนาธรรมอยู่กับหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสและพระภิกษุศรัทธา ตรงที่นั่งหัวแถวพระสมณะ แม่มี พ่อใหญ่ ก็มาร่วมถวายอาหารด้วย

    ในตอนบ่ายหลังจากที่คณะของสมณะท่านหลวงพ่อเจ้าอาวาสกลับไปทางบก คณะของพระสมณะแปลกหน้า แม่ชี และสุภาพสตรีแสนสวยกลับไปทางเรือ ข้าพเจ้ายังได้นั่งคุยกับแม่มี พ่อใหญ่ต่อจนถึงเย็น ซึ่งในการคุยครั้งนี้ข้าพเจ้าได้วัตถุดิบจากแม่มี พ่อใหญ่มาอย่างละเอียดลออ หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากข้าพเจ้าให้มาปฏิบัติภาวนากระทำวิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่คราวนั้นจนได้รับผลสำเร็จลุล่วงมาถึงคราวนี้ อันเป็นวัตถุดิบที่ทำให้ข้าพเจ้านำมาเขียนทิพยสถานมหาราชิกา ภาค 2 ต่อได้จนเกือบจะจบภาคนี้ในไม่ช้า

    แม่มี พ่อใหญ่ยังได้เตือนย้ำทีเล่นทีจริงว่า...
    “อย่าลืมนะ...คุณดอกบัวตูม เมื่อหนังสือเรื่องนี้พิมพ์เป็นเล่มเมื่อไหร่ต้องให้ฉันเป็นคนแรก”

    เพราะข้าพเจ้าเคยรับปากกับแม่มีไว้เช่นนั้นเมื่อคราวโน้น
    ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากที่ได้ข้อมูลจากประสบการณ์ของตัวละครเอกคือแม่มี พ่อใหญ่มาพะเรอเกวียนที่จะสานต่อข้อเขียนที่ค้างอยู่ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบเป็นแน่

    รุ่งขึ้นกลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มเขียนเรื่องนี้ต่อทั้งวันและยังได้เล่าให้ภรรยาและลูกๆ ฟังว่าเมื่อวานที่ไปกระท่อมยมโดยได้พบคนแปลกสามคน คือพระสมณะผู้มีผิวพรรณผุดผ่องหนึ่ง แม่ชีผิวพรรณเปล่งปลั่งหนึ่ง และสุภาพสตรีแสนสวยในชุดเหลืองเรืองรองอีกหนึ่ง ทั้งเล่าเรื่องที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสและพระจากวัดในเมืองแวะไปฉันเพลอาหารที่กระท่อมยมโดยของเรา

    ภรรยาและลูกสาวทั้งสองทำสีหน้าแปลกใจ ต่างขมวดหัวคิ้ว เหมือนฉงนและพึมพำกันเบาๆ พอที่ข้าพเจ้าได้ยินว่า...
    “เมื่อวาน...เมื่อวาน...ไม่เห็นพ่อได้ไปไหน ก็เห็นนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านนี้ทั้งวัน...”

    ข้าพเจ้ามิได้เฉลียวใจในคำพูดของลูกและเมียในขณะนั้นเพราะคิดว่าลูกกล่าวล้อเล่นจึงตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือต่อไปเพราะเขียนกำลังออกเป็นเรื่องราวไปได้เรื่อยๆ

    “พ่อนี่แปลก...เมื่อวานซืน..สามเณรมาบ้าน พอท่านกลับไปพ่อก็มาถามแม่ว่าเมื่อกี้มีสามเณรมาบ้านเราจริงๆ หรือ พ่อนี่ชักแปลกๆ...”

    เสียงภรรยากล่าวเบาๆ กับลูก และกล่าวต่อไปจากเรื่องเมื่อตะกี้
    “ทีเมื่อวานนั่งเขียนหนังสืออยู่บ้านทั้งวันกลับมาบอกว่าได้ไปเห็นคนแปลกๆ ที่กระท่อมยมโดยถึงสามคน และเห็นหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสจากวัดในเมืองไปฉันอาหารเพลที่กระท่อมด้วย”

    ข้าพเจ้าชักเอะใจขึ้นมาเมื่อได้ยินภรรยากล่าวย้ำกับลูกๆ เช่นนั้น แต่ก็มิได้สนใจซักถามกลับไป คิดว่าคงจะมีการจำสับสนจากเมื่อวานเป็นเมื่อวานซืนหรือเมื่อวานซืนเป็นเมื่อวานกลับกันไปมาก็ได้

    “ก็เพราะเรารู้อยู่แก่ใจตนเองอยู่แล้วนี่ว่า เมื่อวานทั้งวันเราไปอยู่ที่กระท่อมยมโดยมาตลอด แล้วจะว่าเรานั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านกรุงเทพฯ นี่ทั้งวันได้อย่างไร”
    ข้าพเจ้ายังคงยืนยันกับตัวเองอย่างมั่นคง

    อีกไม่กี่วันต่อจากนั้น พี่สาวซึ่งอยู่ที่ปราณที่ว่าไปทำอาหารเลี้ยงพระเพลที่กระท่อมยมโดยเมื่อวันนั้นก็เข้ามาธุระที่กรุงเทพฯ และแวะมาเยี่ยมเยียนข้าพเจ้าที่บ้าน

    “เมื่ออาทิตย์ที่แล้วโน้นหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดในเมืองท่านคิดยังไงไม่รู้พาพระในวัดหลายองค์ไปเที่ยวเกาะเจ้าแม่นมสาวและแวะฉันเพลที่กระท่อมยมโดย ให้พี่ไปทำอาหารเพลฉันกันในกระท่อม พระท่านชอบอกชอบใจกันใหญ่”
    พี่สาวเจาะจงบอกข้าพเจ้าเหมือนคิดว่าข้าพเจ้ายังไม่ทราบ

    “เอ้อ...แล้วพระแปลกหน้า แม่ชี และผู้หญิงสาวสวยๆ ในชุดเหลืองอ่อนวาวๆ ที่นั่งคุยอยู่กับหลวงพ่อเจ้าอาวาสวันนั้นเป็นใคร มาจากไหน ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
    ข้าพเจ้านึกขึ้นได้จึงถามขึ้นด้วยติดใจมาหลายวันแล้วตั้งแต่กลับมาจากกระท่อม

    “ใครกันพระแปลกหน้า แม่ชี และผู้หญิงในชุดเหลืองอ่อนวาวๆ ไม่เห็นมีเลยในวันนั้น ในวันนั้นก็มีแต่หลวงพ่อเจ้าอาวาสและพระจากวัดในเมือง”
    พี่สาวย้อนด้วยความสงสัย

    “มีสิ...ก็ผมเห็นกับตาชัดๆ นี่นา ตอนขากลับเมื่อหลวงพ่อพากันขึ้นรถกลับในตอนบ่าย พระองค์นั้น แม่ชี และผู้หญิงสวยคนนั้นยังพากันขึ้นเรือกลับไปทางทะเลนี่นา ผมยังเห็นติดตาอยู่”
    ข้าพเจ้ายืนยัน

    “วันนั้น...คุณเองก็ไม่ได้ไป คุณไปเห็นได้ยังไง”
    พี่สาวยืนยันเสียงสูงสายตาแปลกๆ

    “ผมน่ะหรือไม่ได้ไป...ก็ผมอยู่ที่นั่นถึงเย็น”
    ข้าพเจ้ายังคงยืนยัน

    แล้วต่างคนต่างเงียบกันไปพักใหญ่ ต่างคิดทบทวน ต่างงงไปตามๆ กัน เมื่อภรรยาและลูกเข้ามาร่วมยืนยันสนับสนุนฝ่ายพี่สาว จึงมีแต่ตัวข้าพเจ้าคนเดียวที่ยืนยันอยู่เช่นนั้นไม่มีผู้สนับสนุน เสียงก็ชักอ่อนลงแล้วความแปลกใจตัวเองก็เริ่มมีมากขึ้นจนพี่สาวล่ำลากลับไปในตอนบ่ายข้าพเจ้าก็นั่งเซ่ออยู่เพียงคนเดียว

    ตกกลางคืนเมื่อขึ้นนอนก็ไหว้พระสวดมนต์ทำจิตใจเป็นสมาธิรำลึกถึงสามเณรเทวดา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันมาว่าความจริงมันเป็นประการใด

    “บางคนไม่ใช่นักปฏิบัติตามพิธีกรรมแต่ปฏิบัติด้วยจิตมุ่งน้อมไป เมื่อบรรลุผลก็ไม่สามารถรำลึกสติได้ว่าเป็นการแยกจิตออกมาจากตน คิดว่าตัวตนมาด้วยจริงๆ คิดว่าเป็นตัวตนธรรมดาซึ่งคนธรรมดาจะพบเห็นได้ด้วยวิธีการธรรมดาแล้วทึกทักด้วยความเข้าใจผิดว่าคนโน้นคนนี้เห็นตนเหมือนที่ตนเห็นเขา...ความจริงการถอดจิตไปในสมาธิเช่นนี้จะสัมผัสพบเห็นกันได้เฉพาะผู้ที่มีจิตละเอียดประณีตเหมือนกันเท่านั้น สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะบุคคลธรรมดาเราจะเห็นเขาได้แต่เขาเห็นเราไม่ได้เพราะจิตอยู่ในคนละมิติกัน ฉะนั้น...ที่ท่านได้เห็นคนทั้งหลายซึ่งเขาไม่เห็นท่านเลยจึงเป็นเรื่องธรรมดาๆ เพราะท่านไปในลักษณะการถอดจิตด้วยวิธีมุ่งน้อมจิตนั่นเอง”

    สามเณรเทวดาปรากฏในกระแสนิมิตอธิบายให้ข้าพเจ้าทราบเพื่อคลายความสับสน

    “สำหรับพระสมณะที่มีผิวพรรณผ่องผุดนั้นคือหลวงพ่อจิตตัง แม่ชีคือแม่ชีสุดคนึง และสุภาพสตรีในชุดเหลืองเรืองวาวนั้นคือเจ้าแม่นมสาว ที่ท่านได้สัมผัสด้วยจิตละเอียด แต่บุคคลธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ และข้อมูลอันเป็นวัตถุดิบตามที่ได้รับฟังจากโยมแม่มี พ่อใหญ่นั้นเป็นประสบการณ์จริงของโยมทั้งสองของเรา ซึ่งจะช่วยสานต่อข้อเขียนของท่านให้เรียบร้อยลงได้...”

    สามเณรเทวดากถาธิบายเป็นอรรถในสมาธิ ข้าพเจ้าจึงทราบแจ้งสิ้นสงสัยคลายสับสนลงในที่สุด



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 245 – 251
    โดย...บัญช์ บงกช
     
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    คตินิมิตตารมณ์

    เป็นอันว่าขณะที่ตัวตนของข้าพเจ้านั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้านกรุงเทพฯ จิตของข้าพเจ้าได้น้อมถอดออกไปอยู่ที่กระท่อมยมโดย ปราณบุรี ในวันที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสและพระภิกษุจากวัดในเมืองไปเยือนเกาะเจ้าแม่นมสาวและฉันอาหารเพลที่กระท่อม

    ข้าพเจ้าถอดจิตไปโดยไม่รู้ตัวเพราะมิได้ตั้งใจทำในพิธีกรรมตามที่สามเณรอรรถาธิบาย จิตที่น้อมไปเองนอกพิธีกรรมเช่นนี้ไม่ปรีชาญาณโดยแท้ จะเห็นว่าเมื่อได้สัมผัสเจ้าแม่นมสาวซึ่งเคยสัมผัสมาแล้วในฝัน ทั้งหลวงพ่อจิตตัง และแม่ชีสุดคนึง ซึ่งเคยสัมผัสในกระแสมาแล้วก็ดี ข้าพเจ้ายังรำลึกไม่ได้เมื่อได้สัมผัสตรงๆ ที่กระท่อมยมโดยอีกในครั้งที่แล้ว จนสามเณรได้มาอนุเคราะห์อธิบายในกระแสสมาธิอีกครั้งหนึ่งจึงรำลึกได้ดังกล่าว การที่จิตออกไปเองเช่นนั้นเป็นการไปโดยอัตโนมัติเพราะจิตมุ่ง จิตไปตามกรรมที่มุ่งอยู่ อย่างนี้ใกล้เคียงกับคำคำหนึ่งในธรรมะ คำนั้นมีชื่อว่า...

    “คตินิมิตตารมณ์”

    คตินิมิตตารมณ์ เป็นการแสดงอารมณ์จุดหมายถึงภพภูมิที่จะไปของคนใกล้ตาย คนเราทุกคนก่อนจะตาย ตัวกรรมเก่ากรรมใหม่ คือกรรมทั้งในชาตินี้และอดีตชาติที่ตามมาทันจะรวมตัวเป็นพลังบังคับจิตของคนใกล้จะตายให้เกิดอารมณ์นิมิตโดยอัตโนมัติในลักษณะต่างๆ กัน ตามกรรมที่มีพลังบังคับอยู่ในขณะนั้น

    ถ้าผู้ใดนิมิตเห็นเป็นก้อนเนื้อก้อนเลือดก้อนรกในครรภ์สตรี ผู้นั้นเมื่อตายไปจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
    ผู้ใดนิมิตเห็นป่าใหญ่ป่าทึบป่ารกชัฏ เมื่อตายไปจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ผู้ใดนิมิตเห็นกองไฟร้อนแรง เห็นภูตผีปีศาจอันน่าสะพรึงกลัว เห็นสิ่งที่โหดร้ายหวาดเสียวขนพองสยองเกล้า ผู้นั้นเมื่อตายไปจะเกิดในอบายภูมิเป็นสัตว์นรก เปรต หรืออสุรกาย
    ผู้ใดนิมิตเห็นต้นไม้ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ ปาริฉัตกะ หรือวิมานปราสาท สระโบกขรณี บัวผันบัวเผื่อน หรือต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง ผู้นั้นตายไปจะไปเกิดในสุคติภูมิสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าเป็นเทพเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ เป็นต้น

    คตินิมิตตารมณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้นเองสำหรับบุคคลทั่วไปเมื่อจะถึงกาลสิ้นอายุขัย

    แต่ถ้าผู้ที่กำหนดจิตรำลึกได้ถึงไตรสรณคมน์ คือพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ อย่างหนึ่งอย่างใดเมื่อรู้ตัวว่าจะตาย อำนาจแห่งบารมีของพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ จะกลายเป็นเกราะกำบังกรรมอื่นๆ มิให้มีพลังมาบังคับจิตของผู้นั้นได้โดยอัตโนมัติ บุคคลผู้นั้นจะตายไปด้วยนวกรรมคือกรรมใหม่ กรรมแห่งมหากุศลในไตรสรณคมน์ บุคคลผู้นั้นเมื่อตายไปจะสู่สุคติภูมิแต่สถานเดียวคือเทวโลก หรือพรหมโลก ด้วยผลบุญหรือผลฌานแห่งการรำลึกนั้น

    ฉะนั้น...ผู้มีโชคที่เกิดมาเป็นพุทธบริษัทในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มีศรัทธาเชื่อมั่นอยู่ในธรรมะของพระพุทธศาสนา เมื่อก่อนจะตายมักรำลึกถึง พุทโธ พุทโธ หรือ สัมมาอรหัง สัมมาอรหัง ถ้านึกไม่ได้เอง ญาติพี่น้องที่มีสติก็มักจะเตือนสติให้รำลึกถึงสรณะสูงสุดดังกล่าวนั้น เมื่อผู้นั้นรำลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่จนกระทั่งสิ้นใจไป กรรมอกุศลอื่นๆ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนจะแทรกเข้ามาไม่ได้เลย ผู้นั้นตายไปอย่างน้อยจะต้องเป็นเทพเทวดาอย่างแน่นอน

    ยิ่งเป็นผู้ที่รักษาศีลปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาอยู่เป็นนิตย์ เป็นปกติวิสัยของเขาที่จะรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เป็นประจำ ยิ่งเมื่อใกล้จะตายทั้งจิตที่รำลึกดีรำลึกชอบอยู่เอง ทั้งจิตที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติอยู่เองจะเป็นจิตที่รำลึกถึงไตรสรณคมน์มิได้ขาด ยิ่งได้มหากุศลเป็นทวีคูณ บุคคลเช่นนั้นเมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าสู่สวรรค์พรหมอย่างแน่นอน

    พระพุทธองค์จึงทรงเตือนไว้เป็นโอกาสสุดท้ายก่อนที่จะปรินิพพานว่า...

    “ทุกคนจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทไว้เถิด”

    นั่นคือเตือนสติให้ทุกคนจงทำดีทำชอบไว้เสมอๆ จิตจะได้รำลึกดีรำลึกชอบอยู่ทุกขณะเมื่อตายไปขณะใดก็จะได้ไปสู่สุคติมิตกต่ำ

    ข้าพเจ้าเขียนมาถึงตอนนี้ก็หยุดเขียนในเย็นวันนั้น เมื่อหยุดเขียนก็มานั่งคิดพิจารณาถึงข้อเขียนเกี่ยวกับ “คตินิมิตตารมณ์” ที่ได้เขียนไปแล้วนั้นก็เกิดความลังเลสงสัยเป็นวิจิกิจฉาขึ้นในอารมณ์ ลังเลสงสัยว่าจะเป็นความจริงตามที่กล่าวได้อย่างไรที่ว่าทุกคนต้องนิมิตในลักษณะต่างๆ ก่อนจะตาย ข้าพเจ้าคิดว่าการตายของคนจะมีลักษณะใหญ่ๆ อยู่สองประการ คือ

    ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรือตายโดยอุบัติเหตุกะทันหัน
    คนที่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บก็จะต้องทุรนทุรายอยู่กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะคิดถึงแต่เรื่องเจ็บป่วยเป็นสำคัญ เมื่อจะตายจะมาคิดในลักษณะคตินิมิตตารมณ์ได้อย่างไรกัน และคนที่ตายปัจจุบันทันด่วนโดยอุบัติเหตุหรือฆาตกรรมไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าจะตายอยู่ดีๆ ก็ตายปุ๊บปั๊บทันทีก็มีถมไป คนเช่นนั้นยิ่งไม่มีโอกาสจะเกิดคตินิมิตตารมณ์ได้เลย ข้าพเจ้าคิดลังเลสงสัยอยู่เช่นนั้นในเย็นวันนั้น

    อีกประการหนึ่งในขณะนั้น ข้าพเจ้ายังดื่มเหล้าอยู่บ้าง ตอนเย็นๆ เหนื่อยๆ กลับมาก็มักจะดื่มเหล้าผสมโซดาบางๆ ก่อนรับประทานอาหารเป็นประจำ ข้าพเจ้าได้แต่ตีความในศีลข้อห้า เข้าข้างตัวเองอยู่เสมอว่าการดื่มเหล้าเป็นบ่อเกิดแห่งความประมาท เพราะเช่นนั้นพระพุทธองค์จึงทรงห้ามเสียว่าอย่าดื่มเลย เพราะเมื่อดื่มเข้าไปจะเกิดความประมาททำให้กระทำผิดศีลข้ออื่นๆ ได้ง่าย ข้าพเจ้าก็ตีความเป็นว่า ถ้าเราดื่มน้อยๆ บางๆ ไม่ถึงกับทำให้เกิดความประมาทก็คงจะไม่บาปตามข้อห้ามข้อนี้ นั่นเป็นการตีความเข้าข้างตนเพื่อจะดื่มด้วยมิจฉาทิฏฐิ

    เมื่อแดดร่มลมตก ข้าพเจ้าก็ดื่มเหล้าผสมโซดาบางๆ คลายอารมณ์ประมาณ 4-5 แก้ว แล้วทานอาหารอาบน้ำแต่งตัวใหม่เตรียมนอนแต่หัวค่ำ ว่าที่จริงวันนั้นข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บเส้นที่ต้นคอข้างขวาในลักษณะนอนตกหมอน เจ็บเล็กน้อยมาตั้งแต่ตอนกลางวันเหมือนธรรมดาที่เคยนอนตกหมอนมาบ่อยๆ ไม่หนักหนาอะไร แต่รู้สึกเจ็บร้าวมากขึ้นเมื่อดื่มเหล้าและกินข้าวเสร็จ เมื่อขึ้นข้างบนหวังจะนอนพักผ่อนให้หายเจ็บหลังจากกินยาแก้อักเสบและแก้ปวดประจำบ้านไปแล้ว แต่ครั้นจะล้มตัวลงนอนกลับนอนไม่ได้เพราะมันเสียวปล๊าบขึ้นสมอง จะนอนหงายนอนตะแคงท่าไหนก็ไม่ได้ทั้งสิ้น จึงลุกมานั่งหน้าโต๊ะพระหลับตาเหมือนทำสมาธิแต่ไม่ได้ตั้งใจทำ หลับตาเพื่อสงบจิตเพื่อให้เส้นมันคลายเจ็บ คิดว่าประเดี๋ยวคงจะนอนได้เอง

    ขณะนั่งหลับตาเหมือนทำสมาธิอยู่ก็ปรากฏภาพในสมาธิเห็นวิมานปราสาทกลางสระบัวขาวตั้งเด่นเป็นสง่าสวยสดงดงามด้วยรัตนะและทองคำเป็นอุปกรณ์ วิมานนี้เป็นวิมานที่เคยปรากฏนิมิตในหนังสือเรื่อง “แดนดาวดึงส์” ที่ข้าพเจ้าได้เขียนและพิมพ์เป็นเล่มไว้แล้ว ครั้งก่อนเป็นเพียงปรากฏนิมิตในจิตสมาธิเช่นนี้บ้าง ในนิมิตแห่งความฝันบ้าง ซึ่งอาจเป็นเพียงแต่ข้าพเจ้าคิดไปเองก็เป็นได้ แต่ทุกครั้งที่นิมิตเห็นวิมานนั้นจะเงียบและสงบรื่นรมย์ทุกครั้ง แต่มาคราวนี้ที่กำลังนิมิตเห็นกลับเห็นเทพเทวดาในวิมานนั้นเคลื่อนไหวขวักไขว่พลุกพล่านเหมือนในบ้านคนที่กำลังเกิดเหตุการณ์ผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจอยู่บ้างจึงลืมตาขึ้นเสีย คิดว่าเป็นสิ่งที่เราคิดฝันไปเอง

    เมื่อยังนอนไม่ได้ก็ลงมาข้างล่างใหม่ ภรรยาและลูกสาวอีกสองคนยังนั่งดูทีวีอยู่เพราะเป็นเวลาประมาณสี่ทุ่ม ลงมานั่งกับพื้นบ้านพิงเบาะนอนยาวข้างภรรยาซึ่งนั่งอยู่ก่อนและบอกว่า...
    “ขอนั่งเฉยๆ สักครู่เพราะนอนไม่ได้นอนไม่ลงมันเจ็บเส้น”

    เมื่อนั่งลงก็เกิดความรู้สึกว่าสายตามันเบลอๆ พร่าๆ นิดหน่อย ขนลุกนิดๆ แล้วก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยไปชั่วขณะหนึ่ง มารู้สึกตัวอีกครั้งขณะยืนอยู่ริมสระบัวขาวที่มีวิมานตระหง่านอยู่กลางสระนั้น ยืนอยู่หน้าประตูราวสะพานโค้งเล็กๆ ที่ทอดไปสู่ตัววิมาน นึกจะเดินเข้าไป เทวดาสององค์ที่ยืนอยู่หน้าประตูสะพานเหมือนเป็นผู้รักษาประตูยกมือห้ามเอาไว้แล้วกล่าวว่า...

    “ท่านสกปรก...เหม็น...อย่าเพิ่งเข้ามา”

    พร้อมทั้งยกมือโบกเป็นเชิงห้ามไม่ยอมให้เข้าไป ข้าพเจ้าจึงไม่เข้าพลางคิดในใจว่าเมื่อกี้เราก็อาบน้ำกินข้าวแล้วจะมาหาว่าเราสกปรกเหม็นได้อย่างไร...วิมานนี้ก็เป็นของเราแท้ๆ มาห้ามเราทำไม...แต่ก็เป็นเพียงคิดอยู่ในใจเท่านั้นมิได้โต้ตอบ พลันก็มีเสียงพลิ้วพรายแผ่ซ่านมาในบรรยากาศเบื้องบนว่า...

    “...ไอ้เหล้าเบียร์จะกินกันเข้าไปทำไมนัก...ไอ้เหล้าเบียร์จะกินกันเข้าไปทำไมนัก”

    ได้ยินเสียงนั้นชัดเจนย้ำอยู่สองครั้งแล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียง
    “พ่อเป็นอะไรไป...พ่อเป็นไปอะไรไป”

    ประโยคหลังนี้คือเสียงของลูกสาวคนโตนั่นเองจึงลืมตาขึ้นและรู้สึกตัวเองได้กล่าวว่า...
    “สัมมาอรหัง...สัมมาอรหัง...พ่อกำลังเขียนหนังสือธรรมะ พ่อไม่ได้เป็นอะไร”

    กล่าวออกไปเช่นนั้นด้วยความรู้สึกว่าเหมือนกำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่แล้วลูกสาวมาถามว่าพ่อเป็นอะไรไปๆ จึงตอบไปทันทีเช่นนั้นในขณะนั้นโดยยังไม่รู้ตัวเองได้ดับวูบหมดความรู้สึกลงไปครู่ใหญ่แล้ว และเสียงที่บอกกล่าวอันดังนั้นซึ่งต่อมาทั้งลูกและภรรยาต่างยืนยันว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

    มาทราบภายหลังภรรยาและลูกบอกว่าเมื่อข้าพเจ้านั่งลงแล้วก็คออ่อนพับลงกับบ่าภรรยาตัวอ่อนปวกเปียก แต่แรกยังมีลมหายใจอ่อนๆ อยู่บ้าง และต่อมาก็ไม่มีลมหายใจออกมาเลยลูกสาวจึงเปิดประตูบ้านออกไปเรียกแท็กซี่ที่ปากตรอกและนำรถเข้ามาจอดรออยู่ที่ประตูหลังบ้านเรียบร้อยแล้วจึงวิ่งกลับเข้ามาแล้วร้องเรียกว่า “พ่อเป็นอะไรไป...พ่อเป็นอะไรไป” นั่นแหละข้าพเจ้าจึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งดังกล่าว จากช่วงที่หมดลมจนกลับมารู้สึกตัวก็เป็นเวลาหลายนาทีทีเดียว

    เมื่อรู้สึกตัวแล้วก็ลุกขึ้นนั่งลุกขึ้นยืนได้ ลูกสาวทั้งสองคนช่วยประคองเข้าห้องน้ำลูบหน้าลูบตาล้างเหงื่อที่ออกซิบๆ ผะผ่าวบนใบหน้า ความรู้สึกก็กลับสบายดีเป็นปกติ แต่เส้นที่คอยังเจ็บอยู่และเอี้ยวคอไม่ได้จึงพากันขึ้นแท็กซี่ไปโรงพยาบาลจุฬาฯ เดินได้แต่เอี้ยวคอไม่ได้ความรู้สึกอย่างอื่นเป็นปกติดีหมด หมอตรวจชีพจรเป็นปกติ ตรวจความดันก็ปกติเหมือนไม่ใช่คนซึ่งได้หมดลมหายใจลงไปแล้วครู่ใหญ่ๆ ซึ่งเพิ่งผ่านมาไม่นานดังที่ข้าพเจ้าบอกกล่าวแก่หมอเลย หมอทำท่าสงสัยในคำบอกกล่าวของข้าพเจ้า ภรรยาและลูก หมอให้ยาแก้อักเสบมารับประทานนิดหน่อยแล้วให้กลับบ้านเหมือนเป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อยซึ่งไม่หนักหนาอะไร

    ข้าพเจ้ากลับบ้านมาทานยาอยู่สองวัน ยาหมดพอดีก็หายเป็นปกติจนทุกวันนี้



    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า หน้า 252 – 258
    โดย...บัญช์ บงกช
     

แชร์หน้านี้

Loading...