อาการแบบนี้คืออะไร อันตรายหรือเปล่าคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nongnewinbkk, 21 พฤษภาคม 2014.

  1. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอขอบพระคุณทุกๆข้อความ ทุกๆท่านที่มาให้ความรู้ และทุกๆคำเเตือนคะ

    ดิฉันจะใช้ปัญญาในการพิจารณาองค์ความรู้ต่างๆ ส่วนสำหรับท่านที่เข้ามาอ่าน ก็ขอให้ใช้วิจารณญานของท่านด้วยเช่นกันนะคะ
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีทั้งคุณและโทษคะ
    เลือกในสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองนะคะ ซึ่งข้อมูลที่ทุกท่านมาให้ความรู้ มาเแลกเปลี่ยนประสบการณ์ อาจเหมาะกับเฉพาะบุคคลคะ
    หวังว่ากระทู้ของดิฉัน คงไม่ไปทำให้ท่านอื่นเกิดความสับสนนะคะ
    และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกๆท่านจะนำเฉพาะความรู้ ที่แท้จริง มาแลกเปลี่ยน เพื่อประโยชน์ทางด้านนี่

    ขอบพระคุณทุกท่าน ที่สละเวลา มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเอื้อเฟื้อความรู้แก่ดิฉันคะ
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เรีนยด้วยความเคารพรัก
    ศาสตร์ของดวงดาว
    ทุกชีวิตมีความสัมพันธุ์เกี่ยวข้องกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ว่าด้วยเทคโนโลยี่ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญา ไม่ใช่แค่วัตถุที่เจริญมาก ทางจิตใจก็สูงส่งมากเช่นกัน ถ้าจิตใจเจริญควบคู่ไปกับวัตถุ เรียกว่าชาวศิวิไลซ์ ล้ำหน้ามากควบคุมด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ปีที่ผมได้รับองค์ความรู้
    จากอรยธรรมนอกโลก ท่านเหล่านี้ บิดเบือนเวลาหยุดเวลาได้แทรกความฝัน แล้วรับแต่ดวงจิตร่างกายทิพย์ของเราขึ้นไปกับยานบินได้ พอตื่นขึ้นมาก็คล้ายกับฝันไป แต่เป็นความฝันที่เหมือนจริงอะไรจะขนาดนั้น เอาชนะแรงดึงดูดของจักรวาลได้ มียานบินเอาไวขับขี่ ทะลุมิติ ท่านเหล่านี้เอาชนะแสงได้
    และสิ่งที่ทิ้งท้ายเอาไว้ เล่นผมสดุ้งโหยงเลย พระเจ้าจักรพรรดิมีจักรแก้ว

    จึงสามารถ ติดต่อกับเค้าได้ ตามปกติเราไม่สามารถติดต่อสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาระดับสูงนี้ได้ ท่านมีจานบิน (UFO) มนุษย์เราชาวโลกมีเครื่องบิน
    อรยธรรมนอกโลก รวมถึงวิชชา เดินจักระ เดินลมปราณ เป็นองค์ความรู้ที่มาจาก มนุษย์ต่างดาว เรามนุษย์ก็เป็นมนุษย์ต่างดาวสำหรับชาวชมพูทวีป ปุพพวิเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป และ อปรโคยานทวีป สิ่งสำคัญมนุษย์เราเป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ที่กำลังพัฒนาอยู่ ส่วนมนุษย์ต่างดาวที่พัฒนาสูงสุดแล้วเรียกว่าชาวศิวิไลซ์ชมพูทวีป ปุพพวิเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป และ อปรโคยานทวีป

    สรุปศาสตร์ต่างดาว การเดินจักระ เดินลมปราณ มาจากระบบสหพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญานอกโลกทั้งหมด ตลอดถึงการทำสมาธิ

    เมื่อ วันที่ 2 มิถุนายน 57
    ผมได้เดินจักระ ควบคู่ไปกับการเดินลมปราณ
    การหมุนจักระ ตามปกติ แล้วดันพลังที่ตกค้าง
    ให้ทะลุกลางกระโหลกศรีษะออกไปให้หมด
    คนสามบ้านกินน้ำบ่อเดียว เดินทางเดียวอย่าได้เหยีบรอยเดียวกัน
    ทำควบคู่ไปกับ การหายใจเข้าไปลึก ๆกระทบที่ปลายจมูกรู้
    ลมกระทบทรวงอกรู้ ลมกระทบท้องน้อยรู้ จากนั้นไม่หายใจ
    ออกทางจมูก แต่ขับเคลื่อนลมออกตามขุมขน(หายใจทางผิวหนัง)
    แทนการหายใจออกทางจมูกการกลับไปหายใจทางจมูกอีกจะทำให้จิต
    ไม่เข้าถึงอัปปนาสมาธิ อย่างดีก็ได้แค่ขนิกะ กับ อุปจารสมาธิ
    ตกกลางคืนมา มนุษย์จานบินขับยานมาร่วมอนุโมทนากับผม
    ผมกำหนดจิต วิกตก ท่านมาบินผ่านสำนักของเรา มีเหตุอะไร
    คลื่นความคิดเข้ามาที่สมอง ผ่านมาทางนี้มาอนุโมทนาบุญกับเรา
    พอระลึกถึงวัตถุบินเรืองแสง ขนลุกไปทุกขุมขนเอิบอาบทราบซ่าน
    ด้วยพลังที่สะอาดบริสุทธิ์ ระลึกได้เป็นนิมิตติดตาเค้าใจว่าได้ถูกเลือกแล้ว




    เช้าวันใหม่ วันที่ 3 มิถุนายน 57
    ตื่นนอนเพราะร่างกายทนทุกข์ไม่ได้ ต้องออกมาเบา(เข้าห้องน้ำ)
    ลูกน้องมานั่งรอแต่เช้าแล้ว คลื่นต่างดาวต่างมิติยิงเข้ามาที่สมอง
    ให้ผมลองถามคนกรีดยางดู ว่ามีใครพบวัตถุเรืองแสงอย่าง
    ที่ผมเห็นบ้าง ถามดูก็ได้ความว่าไม่เห็นข้อนี้ผมทราบดีว่า มนุษย์จานบินมีโหมดพรางตัวยานบิน แต่ก็มีลูกน้องว่าเคยพบเห็น
    เห็นในทำนองเดียวกัน ตอนตีสี่ ออกมาเข้าห้องน้ำ

    การเดินจักระ ขับเคลื่อนลมปราณ การเข้าสมาธิ
    เป็นการฟอกธาตุฟอกจิต ขึ้นอยู่กับระยะเวลาถ้าเกิดได้ฟอก
    อยู่ในความว่างที่ไม่มีตัวตน มีอายุนานมากเท่าไหร่ กระดูกของผู้นั้นก็จะเป็นแก้ว

    http://palungjit.org/threads/เขียนเรื่องตัวเอง-มิตรรักจากต่างดาวพระศุกร์.278991/page-2
     
  3. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบพระคุณท่านอาจารย์ดา ที่มาเล่าเรื่องราวให้ฟังคะ
     
  4. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ขอบคุณ คุณศรี ที่ได้เล่าเรื่องราวให้ได้ฟัง

    ผมเองไม่เคยได้เจอตัวของพวกจามรทวีปตัวเป็นๆ แต่ที่ทราบ เพราะพระท่านแสดงให้เห็นเป็นปรากฏ เกี่ยวกับวิถีทางจักระของพวกจามรทวีป ประกอบเข้าด้วยกันกับความรู้ที่ได้จากการฝึกทางอิทธิวิธีบางส่วน ผสมผสานเข้าด้วยกัน จึงพอจะทราบว่าพวกนี้มีความรู้ด้านจักระแค่ไหน อย่างไร ซึ่งก็ทราบเพียงแค่รายละเอียดส่วนน้อยเท่านั้น แต่ไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมดในองค์ความรู้ของพวกเขา

    นอกจากนี้ ยังมีพวกปุพพวิเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป และ อมรโคยานทวีป ที่มีวิทยาการล้ำหน้ามากขึ้นไปอีก แต่ยังไม่ได้ยกมาคุยกันในตอนนี้ ก็ขอเว้นเอาไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะเป็นการยืดยาว รบกวนเจ้าของกระทู้ไปเปล่าๆ ซึ่งผมต้องขออภัย ต่อท่านเจ้าของกระทู้มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
     
  5. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    เรียนคุณyooyut

    ไม่เป็นการรบกวนใดๆคะ ด้วยความยินดีคะ จะเป็นการได้ศึกษาไปด้วยเช่นกันคะ
    ขอบพระคุณค่ะ
    นิว
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    พวก ๓ ทวีปที่เหลือส่วนตัวพอมีประสบการณ์มาบ้างครับ เคยเขียนไว้
    เล็กน้อยเมื่อซักปีก่อนถ้าจำไม่ผิด.แต่ไม่ถึงขั้นไปรู้รายละเอียดอะไรของพวกนี้
    มากมายซักเท่าไร..รู้แต่ว่าเราดีกว่าตรงสามารถสร้างบารมีได้..และเป็น
    ทวีปที่มีพระพุทธฯมาจุติ..และมนุษย์ในทวีปเราสามารถเข้าถึงจุดที่ไม่ต้อง
    กลับมาเกิดได้..
    เริ่มไปเจอพวกนี้ได้เพราะวงสมาธิเริ่มขยาย.จากการรวมบารมีพระ
    กับของตัวเองแล้วลองอุทิศส่วนกุศลดู.จริงๆเพื่อจะลองพิสูจน์ว่า
    สายหลวงปู่มีชื่อ.ที่หลวงตาที่่มีชื่อด้านบารมี ณ ปัจจุบัน.ที่ท่านกล่าวไว้จะจริงหรือเปล่า..

    เลยขอไปลองพิสูจน์เล็กน้อย
    ในทางปฏิบัติ(ย้ำว่าเฉพาะการปฏิบัตินะครับ)...หากไม่พิสูจน์คำสอนดู
    .แล้วยิ่งไปวิพากษ์วิจารณ์.หรือเพียงแต่รู้แหล่งองค์ความความรู้
    แล้วตนยังไม่เคยปฏิบัติ.ไม่เคยลองทำดู..ว่าจริงๆมันเป็นอย่างไร
    แล้วไปนำมาเพื่อแนะนำก็ดูว่าจะไม่ใช่แนวของพุทธฯ
    แม้ว่าเราจะตั้งตนด้วยเจตนาที่บริสุทธิหรือหวังดีอะไรก็ตาม.
    ทางพุทธฯท่านให้วางทิฐิมานะส่วนตัวไว้ก่อน
    อย่าพึ่งเอาความคิดตนไปวิพากษ์ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น
    อย่างนี้ หรือ น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้. หากเรายังทำไม่ได้
    เข้าไม่ถึง.และไม่รู้ ณ ตรงจุดนั้น
    ..ไม่ว่าการปฏิบัติเรื่องอะไรก็ตาม.แต่รู้แล้วก็ควรละ
    และหาทางวางซะ.และรู้ว่าควรจะแนะนำผู้ที่กำลังเข้าถึงอย่างไร
    เพื่อให้เป็นแนวทาง และเพื่อให้อยู่ในเส้นทางของพุทธฯ.
    แม้ว่าคุณจะรู้ทุกเรื่องๆในจักรวาล.และก็เพราะ
    ไม่มีใครรู้ในทุกๆเรื่องได้ ไม่มีใครรู้ในทุกๆมุมมองได้
    แต่ต้องรู้และเข้าใจในมุมที่ตนเห็น..ด้วยเจตนาที่ดี.
    ไม่ใช่ด้วยเจตนาอกุศลในใจทางด้านอื่นๆ..
    เพราะรู้อะไรก็ไม่สู้ รู้ทันจิตตน รู้เห็นกิเลสในใจตน
    แล้วหาทางวางมันซะ.ซึ่งทางพุทธฯเป็นศาสนาเดียวที่สอนได้ตั้งแต่
    เหตุและวิธีการหลุดพ้น.แม้ว่าเราจะไปแวะบ้างอะไรบ้างก็ตามแต่
    แต่ก็ไม่ควรลืมว่าจริงๆ เราปฏิบัติ เรามีเครื่องรู้ มีความสามารถพิเศษ
    รับสัมผัสอะไรได้ก็ตาม เป้าหมายจริงๆมันเพื่ออะไร...

    .พวก ๓ ทวีปที่เหลือบุคคลิกหน้าตาที่เด่นๆหรือสีผิว
    การแต่งตัวอะไรพอจะบอกได้..
    แต่พูดตรงๆนะ..ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์เหมือนๆกันมันก็พูดยากครับ
    พูดไปก็จะไปสร้างสัญญาให้จิตผู้ฟังอีกได้..หากบางคนกำลังสติ
    ทางธรรมยังไม่เพียงพอที่จะแยกแยะได้ว่า อะไรจริง อะไรเท็จ
    จริงๆ.ภาพที่เราเห็นมันมีจริงไหม อะไรเป็นเหตุให้เกิดภาพขึ้นมาได้
    มันก็เหมือนคนไม่เคยเห็นผี.ก็ไม่เชื่อว่าผีมีจริง. ไม่รู้ว่าผีที่เห็นมันเกิดจากอะไร..
    มันไม่มีได้ไหม หรือมันมีได้ไหม หรือจริงๆมันมีไหม
    ..ก็จะมีแต่ไปยึดติดกับตรงนี้ เป็นเหตุให้ก่อภพก่อชาติไม่จบสิ้น
    แม้ว่าใครจะพูดเชิงกุศลหรืออกุศลกับเรา..มันก็หาใช่จะลดกิเลสในใจเราได้
    เรื่องบางเรื่อง เป็นเตมีย์ใบ้บ้างก็ดี..และส่วนตัวก็เห็นว่าการไปรู้
    เรื่องพวกนี้ถ้าใครรู้แล้ววางได้ก็ดี..แต่ก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ครับ.

    เพราะว่าเป็นการรู้ภายนอกทั้งนั้น.มันเป็นเรื่องของกำลังสติทางธรรม
    เราที่มันอ่อนไม่เพียงพอในการควบคุมจิต..แต่บางคนไม่เข้าใจกับ
    มองว่าเรื่องการส่งจิตไปได้ไกลพ้นเป็นความเก่ง เป็นความสามารถพิเศษ
    ถามจริงๆครับ..การไปได้.มันช่วยกิเลสเรามันลดลงได้ไหม.ถ้าได้เราต้อง
    รู้ที่จะเอามาเป็นกุศโลบายในการลด..ที่เห็นส่วนมากก็มีแต่จะเอามาพูด
    เอามาอวดเพื่อยกตน..ซึ่งมันจะสร้างทิฐิมานะแบบฝังลึกให้ตัวเองซะมากกว่า..
    อยากรู้ อยากทำอะไรก็ตาม..สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมเรื่องหลักๆ
    ก็คือ เรื่องของ ทาน ศีล สมาธิ และปัญญา ครับ..

    ปล.ยังไงลองพิจารณาดูนะครับ..
     
  7. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ขอบคุณ คุณ nopphakan ที่ได้มาเสริมประเด็นและให้ข้อมูลประกอบการเสวนาด้วยครับ

    คุณน้องนิวครับ เรื่องของพวกต่างดาว ศาสตร์ของพวกนอกเอกภพทางช้างเผือกแบบนี้ ที่ได้คุยกับคุณศรี จะว่าไป ก็เป็นการพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกัน แต่เป็นการพิสูจน์ในเรื่องของใบไม้นอกกำมือไปเสีย เป็นประเภท รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม และสมควรตระหนักไว้อย่างที่คุณ nopphakan ได้กล่าวไว้นั่นล่ะ ว่ารู้แล้วก็ปล่อยวางไปเสีย อย่าไปยึดถือให้เสียเวลา

    นอกเสียจากจะมี บางพวก บางกลุ่ม ที่เขามีสัญญาพิเศษบางประการ หรือมีความประสงค์จะไปเกิดยังดินแดนที่มีวิทยาการสูงสุดยอดเหล่านั้น ก็อาจจะยังปล่อยวางเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ ดังนั้น ย่อมตัองเป็นเรื่องของปัจเจกชน ของแต่ละบุคคลไป ไม่เกี่ยวข้องกันครับ
     
  8. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ถูกต้องเป็นอย่างยิ่งคะ บางเรื่อง ก็แค่รู้ไว้ใช่ว่า แล้วก็ปล่อยวาง

    ส่วนบางอย่าง รู้แล้ว ก็เป็นแนวทางให้เรา เดินไปได้ถูกทาง ไม่หลงทางจนเสียเวลาคะ

    ขอบคุณทุกๆท่านที่ได้ชี้แนะคะ
     
  9. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    คุณน้องนิวครับ พลังงานที่ไหลเข้าฝ่าเทัา ฝ่ามือนี่ ในขั้นต้น ใช้การถ่ายทอดลงกราวน์ไปก่อนก็จะทำให้สบายขึ้น แต่หากมีความคล่องตัวมากขึ้น ถ้าจะสามารถฝึกหัดการควบคุมพลังงานที่ว่านี้ได้ด้วย ก็จะนำเอาของที่ได้มานี้ ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นๆได้ต่อไป ไม่ต้องทิ้งไปเปล่าๆ (แอบเสียดายของ)

    ตอนนี้ฝึกการรับเข้า ถ่ายออก ใหัคล่องตัวเพื่อช่วยบรรเทาเบาบางสภาพปัญหาเฉพาะหน้าไปพลางก่อนก็เหมาะสมดีแล้ว หวังว่า โอกาสหน้าคงจะได้คุยกันต่อนะครับ และขอขอบคุณที่ได้ให้โอกาสกับสมาชิกขาจร อย่างกระผมเข้ามาหาความรู้ในกระทู้ของคุณน้องนิว สำหรับตอนนี้ ก็ขอตัวถอยออกไปอยู่ห่างๆ และขอเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเจ้าของกระทู้ด้วยคนนะครับ
     
  10. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    พักหลังๆ เวลาหลับ มักจะกึ่งหลับ กึ่งตื่น มองเห็นเงามืด ดำๆ มาขอส่วนบุญ ล่าสุดเป็นผู้หญิง อุ้มเด็ก มายืนอยู่ปลายเท้า บอกว่าขอบุญหน่อย แบบนี้คะ มาทีไร ตัวเราขยับไม่ได้เลย เขามาแป๊บเดียวเองคะ มาเร็วไปเร็วมาก ไม่ทันได้คิดไรเลย มัวแต่ตกใจ
     
  11. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    เหมือนจะมีท่านหนึ่ง แนะนำให้นอนคว่ำ เพื่อให้พลังงานออกตรงหน้าผากลงพื้น ลองทำดู รู้สึกเหมือนหน้าผากดิ้นได้ เหมือนหน้าผากยกตัวขึ้นจากพื้นขึ้นๆลงๆ เหมือนขยับได้เลยคะ
     
  12. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239

    หากคุณyooyut ทราบวิธีการนำมาใช้ประโยชน์ก็แนะนำได้นะคะ อยากทราบว่ามีประโยชน์แบบใหน ใช้ยังไง นะคะ
     
  13. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ท่านผู้รู้ท่านใดอยากจะแนะนำ เพื่อความก้าวหน้า และเป็นประโยชน์ เชิญแนะนำได้คะ

    เพราะตอนนี้ ก็รู้สึกแค่ว่ามีพลังงานใหลเข้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้าค่อนข้างแรง ที่รู้สึกนี่ก็เกือบตลอดเวลานะคะ ยกเว้นเวลาหลับ

    และก็ได้ถ่ายเทพลังงานออก ตรงหน้าผากบ้าง ตรงศรีษะบ้าง ทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แม้แต่ปลายนิ้วทุกๆนิ้ว ยังรู้สึกว่ามีพลังงานมารวมตัวกันที่ปลายนิ้ว จี๊ดๆ เหมือนมีเข็มมาเจาะปลายนิ้ว

    แต่การหมุนของจักระ ก็ยังคงหมุนตามปกติคะ กำหนดรู้จุดใด จุดนั้นก็จะหมุนชัดเจนมาก คิดว่าคงหมุนพร้อมๆกันคะ และตอนนี้ก็ค่อนข้างมั่นใจคะว่า ตัวดิฉันน่าจะเปิดจักระแล้วมากกว่า7จักระขึ้นไป

    แม้แต่ตา ก็ยังรู้สึกเหมือนลูกตาหมุนได้ หรือเวลาอ้าปาก เหมือนปากก็หมุนแรง จนปวดกรามเลยคะ ทุกอย่างตามร่างกายหมุนไปหมดคะ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ที่หมุนๆที่ตา ที่ปาก ถ้าหมุนแบบเป็นวงคลื่นงวงช้างอยู่ไม่ค่อยดีครับ..
    แสดงว่ามันดูดพลังงานภายนอกอยู่
    ถ้าหมุนแบบใบพัดลมธรรมดาเรียบๆไม่เป็นไร. เพราะจะเป็นเหตุให้ประจุมันมันเกินสมดุลครับ..
    วิธีการนอนกับพื้นแล้วออกทางระหว่างคิ้วน่าจะเป็นพี่นะที่เขียนแนะนำไว้
    เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่มันสามารถถ่ายพลังงานตกค้างได้หมด
    เท่าที่ตนเองมีประสบการณ์ตอนนี้ที่จะสามารถแนะนำได้
    แต่คงไม่ใช่เขียนในห้องนี้..พวกจิ๊ดๆที่ปลายนิ้วหรืออาการต่างๆ
    ก็จะคล้ายที่เคยแนะนำไปก่อนหน้า.

    คืองี้ครับ.เวลาเราถ่ายพลังงานงานส่วนเกินออกนั้น.ควรทำจนกระทั่งที่จิ๊ดๆมัน
    หายไป สังเกตุดูจะมีคลื่นคลายหัวหอมที่ปลายนิ้วด้วย และผิวที่ตึงๆ
    ก็ควรรอให้มันหายแสบและหายตึงๆก่อนด้วยครับ.
    .หรือถ้ายืนเท้าเปล่าก็ใช้หลักสังเกตุเช่นกัน.
    ตรงนี้อาจมีออกที่ศรีษะร่วมด้วยกับหมุนลงไปที่เท้า
    และออกปลายนิ้วและแขน และตามจักระที่พลังงานตกค้าง
    .หรืออีกวิธีน้องก็พกน้ำมันงาไว้ด้วยครับ
    .เอาสำลีจุ่มแล้วแต้มๆที่ตาที่ปากก็ได้ครับ
    ถ้ามันเป็นระหว่างวัน ก็พอจะช่วยได้.
    ส่วนตัวเป็น ช ไม่สดวกจะพก.

    หรือน้องไปหาแหวนโอมบัณเฑาะตรีศรูย์
    เอามาสวมไว้ที่นิ้วชี้ก็ได้ครับ
    เวลาตึงๆให้กลับด้านเอาปลายตรีเอามาในตัวก็จะเป็นการ
    ช่วยถ่ายพลังแบบง่ายๆออกทางนิ้วชี้ไปในตัวแต่ออกไม่
    ทั้งหมดแต่จะช่วยไม่ให้จักระหมุนได้.
    .หรือถ้าจะเอาง่ายๆถ้าที่บ้านมีอ่างน้ำ
    ก็แช่น้ำอุ่นหรืออาบน้ำอุ่นอย่างน้อย
    ซัก ๒๐ นาทีก็ช่วยได้ครับ.

    ปล.ประมาณนี้หละครับ..ไม่มีไรหรอก..
    .
     
  15. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบคุณพี่nopphakanเป็นอย่างยิ่งคะ มาได้ทันทีที่ต้องการเลย5555 ขอบคุณอีกครั้งที่มาตอบนะคะ ยังมีอีกหลายคนที่ได้ความรู้จากพี่nopphakan

    แต่ที่แน่ๆ พลังงานพวกนี้ มีประโยชน์อะไรหรอคะ ??
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    เอาในประเด็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆก่อนนะครับ
    ยกตัวอย่าง.
    ๑.ที่ฝ่าเท้าถ้าเราไปเหยียบตรงต่ำแหน่งของร่างกายที่ปวดเราสามารถกำหนด
    ดึงพลังงานจากคนที่ป่วยผ่านเท้าออกทางระหว่างคิ้วได้.
    พวกอาการปวดเมื่อ เส้นตึงตรงส่วนไหน อาการเป็นไข้ ไม่สบาย
    ปวดศรีษะ ก็สามารถหายได้..หรือ คนที่เก่งๆเค้าก็เหยียบที่ร่างกายแล้วก็
    เชื่อมเส้นใยในตัวคนนั้น.เค้าก็จะรู้ว่าส่วนไหนของร่างกายพร่อง.
    แล้วค่อยกำหนดดึงพลังจากส่วนตรงนั้นเข้าฝ่าเท้าออกศรีษะก็ได้..
    ส่วนการใช้ฝ่ามือก็ใช้หลักการเดียวกัน ตามความเหมาะสม..
    และสามารถพัฒนามาโดยที่ไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัวได้เหมาะสมสำหรับ
    ในกรณีที่เป็นผู้ชายที่ทำได้ครับ..เพื่อป้องกันเรื่องต่างๆในอนาคต..
    และคนที่ชำนาญจะพัฒนารักษาได้หลายโรคไม่ว่าโรคร้ายแรงต่างๆ
    ๒.ถ้าเรากำหนดเชื่อมคนอื่นจากระหว่างคิ้วไปเชื่อมกับสมองส่วนกลาง
    ของเค้าเราก็จะทำการรักษาทางไกลได้ครับ.
    พอเชื่อมแล้วก็ใช้หลักการดึงพลังงานของเค้า จะผ่านมือเราข้างซ้าย
    แล้วออกมือขวาก็ได้ หรือ ผ่านลงเท้าเพื่อลงดินก็ได้ ตามแต่ความเหมาะสม.

    ๓.ถ้าเราจะอุทิศบุญให้ใครทางไกลหรือมีอะไรพิเศษส่งไปให้ใครก็ใช้หลัก
    การนี้ได้เหมือนกัน..หรือ การดึงพลังภายนอกส่งไปให้ใครก็ได้..
    ๔.บางคนสามารถพัฒนากำลังจิต สามารถรักษาได้เกือบทุกโรคที่แพทย์
    ปัจจุบันรักษาไม่หาย..แต่ไม่สามารถไปซ่อมแซมอวัยวะภายในที่หายไป
    ได้จากการเสื่อมสลายมานาน..พอรักษาเสร็จก็ใช้ควบคู่
    กับยาแผนปัจจุบันร่วมกัน

    ๕.ถ้าพัฒนามากพอจะสามารถใช้ดูดพลังงานไม่ดี ที่เข้าสู่ร่างกายคนอื่นๆได้.
    แต่กรณีเราต้องมีกำลังบุญพอ มีครูบาร์อาจารย์ มีพันธมิตรสายฤิทธิ์ ตลอดจน
    จิตที่มีฤิทธิ์พอสมควร..เพราะถ้าเจอพวกแรงๆเราจะต้านไม่ได้ หรือไปยุ่งใน
    กรณีเจ้ากรรมนายเวรภาคบังคับเราจะเดือดร้อน..
    ๖.กรณีคนที่เค้าต้องการสร้างฐานะ เค้าก็จะใช้การเชื่อมกระแสเพื่อดูว่า
    กระแสทรัพย์ไหลผ่านตรงไหน เพื่อเป็นการปรับฮวงจุ้ย ให้ได้ จุดนี้
    แล้วแต่ความต้องการเฉพาะบุคคล..
    ๗.เวลาไปไหนสามารถเชื่อมเพื่อทำการอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญานกำลัง
    จิตต่ำจะทำให้ได้ผลของการอุทิศส่วนกุศลที่ง่าย โดยไม่ต้องบอกให้ดวงจิต
    เรานั้นกล่าวคำว่าโมทนา..ฯลฯ เอาแค่นี้ก่อนนะ พอเห็นภาพยัง.
    .

    ถ้าส่วนตน..
    ๑.เวลาเราเดินแล้วกำหนดไปที่กลางฝ่าเท้า ให้เดินทั้งวันก็ไม่เหนื่อยครับ.
    จะเดินขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่ค่อยเหนื่อย เรียกว่าแทบจะอาการปกติ แต่ต้อง
    ไม่ลืมนะกำหนดนะ เป็นการเจริญสติในชีวิตประจำไปในตัวอีกด้วย..
    ๒.ใช้ตรวจสอบพลังงานในวัตถุโดยที่เราไม่ต้องจับต้องวัตถุได้..
    ๓.ใช้เชื่อมกระแสกับระดับสูงๆได้ เวลาเราไหว้ให้เอานิ้วชี้ไว้ที่ระหว่างคิ้ว
    ถ้าเชื่อมได้ ลองสังเกตุได้ว่าจะมีกระแสเข้า
    ๔.เอาไว้ตรวจสอบเวลาขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าเราขอเรื่องโชคลาภ ถ้าจะได้
    ผลจักระตรงท้องจะหมุน ถ้าด้านเสน่ห์จักระล่างสุดจะหมุน ถ้าด้านเมตตา
    จักระหน้าอกจะหมุน..

    ๕.เวลาอธิษฐานจิตห้อยวัตถุมงคล พนมมือไว้กลางหน้าอกแขนแนบลำตัว
    จะสามารถเชื่อมแหล่งพลังของกระแสวัตถุมงคลที่ห้อยได้..
    ๖.สามารถพัฒนาโหมดวิชาเดินธาตุจาก ธาตุทั้ง ๔ ไปธาตุลม ไปวิญญาณ
    ธาตุ.และสามารถพัฒนาจิตให้สำเร็จถึงขั้นจิตธาตุได้ หากมีปัญญาทางธรรม
    ในการปล่อยวางเรื่องต่างๆทางโลก.และมีความสม่ำเสมอในการฝึก..
    จะสามารถยกระดับจิตถึงขั้น แค่คิดผลก็เป็นไปตามคาดได้ โดยที่ไม่ต้อง
    บริกรรมคาถา หรือให้คาถานำบทเดียวแต่สามารถใช้ได้คลอบคลุมหลายด้า

    ๗.ถ้าสามารถยกระดับพัฒนาระดับฌานจากวิญญานธาตุ ให้ไต่ระดับญานได้
    ตั้งแต่สมาธิเล็กน้อยจนไปถึงอรูปฌานได้.จิตจะสามารถตัดกิเลสได้ง่าย
    กว่าการเดินปัญญาทั่วไป เป็นเหตุให้สามารถให้หลุดพ้นได้
    เอาเท่านี้ก่อนแล้วกันครับ เล่าให้เป็นแนวทาง คิดว่าพอจะมองเห็นภาพ
    ออก..แต่บางอย่าง ยังไม่สามารถจะบอกเป็นทางการได้ครับ..
    เช่น เรื่องการพัฒนาในเรื่องพิเศษๆมากๆ หรือทำอะไรที่พิเศษๆ
    หรือมีอะไรพิเศษๆ.แบบที่ยากจะพูดให้ฟังได้ครับ..
    เพื่อหลีกเหลี่ยงความคิดอกุศลที่จะมากระทบกับเรา.
    .หากรู้หลักการ ถ้าจะทำอะไรบางอย่างมันง่าย
    เกินกว่าที่จะพูดให้คนเชื่อ.

    แต่จะใช้ได้แบบพิเศษก็ไม่ใช่ง่าย
    จะต้องผ่านการทดสอบอะไรอีกหลายๆอย่าง
    ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี
    ก่อนที่จะได้มาซึ่งอะไรที่พิเศษๆครับ..

    ปล.เอาประมาณนี้ก่อนแล้วกันครับ
    เอาที่พอพูดออกสื่อได้.ถ้าให้จะพูด
    ประสบการณ์แบบที่เคยทำ
    มาทั้งหมดคงอีกยาวครับ....
     
  17. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบคุณพี่nopphakanเป็นอย่างยิ่งคะ ที่มาอธิบาย ขยายความให้ฟัง พลังงานเหล่านี้เป็นประโยชน์จริงๆคะ สามารถช่วยเหลือบุคคลอื่นได้ เมื่อได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้ว น้องนิวเชื่อคะว่า พิเศษ และวิเศษจริงๆ เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับน้องนิวในตอนนี้ ก็ทำให้น้องนิวสัมผัสได้ถึงพลังงานที่เข้าสู่ร่างกาย และการหมุนของจักระต่างๆ ทำให้น้องนิวเชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้พบเจออยู่ ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยเป็นอย่างนี้ และโดยส่วนตัวของน้องนิวเอง เป็นคนที่เชื่อในเรื่องเช่นนี้อยู่แล้วคะ
     
  18. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ผมว่าจะไปอยู่ห่างๆ และขอหาความรู้ไปด้วย อย่างเงียบๆ พร้อมๆ กับเจ้าของกระทู้ด้วยคน ตามวิสัยของผู้มีความรู้น้อย ด้อยปัญญา ยังถูกดึงตัวกลับเข้ามาได้เสียนี่

    สำหรับเรื่องการใช้ประโยชน์จากพลังงานต่างๆ ที่ร่างกายอาจจะได้รับเข้ามาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกนั้น มีสมาชิกผู้ใจดี ได้มาขยายความไว้ให้แล้ว ในความเห็นที่ 83 คุณน้องนิว สามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ ทำให้ผมสบายไป ไม่ต้องย้อนกลับมาคุยกันอีก เพียงแต่ให้ความเห็นเสริมเข้าไปเลยก็แล้วกัน

    การได้รับพลังงานจากภายนอกเข้าสู่ช่องเปิดต่างๆ ในร่างกายของเรานั้น ไม่ว่าจะรับเข้ามาจากทางช่องไหน จากจุดใด ในมุมมองของผู้ฝึกทางอิทธิวิธี เราจะเน้นในการรับเอาพลังงานนั้นๆ เข้ามาเป็นพลังงานพื้นฐาน เพื่อใช้ในการควบคุมธาตุทั้ง 4 ให้ทำหน้าที่ตามแต่ความประสงค์ของเราที่ได้ตั้งใจเอาไว้เป็นสำคัญ

    สิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญ สำหรับผู้ฝึกทางอิทธิวิธี คือ กสิณ 10 โดยเฉพาะภูตกสิณ ได้แก่กสิณดิน น้ำ ลมและไฟ หากฝึกได้อย่างชำนาญ ความสามารถอย่างหนึ่งที่พึงจะมีได้ คือการควบคุมธาตุทั้ง 4 คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมและธาตุไฟ ได้ดังใจ ซึ่งจะต้องใช้การประสานจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานที่มีอยู่ในธรรมชาติ จึงจะสามารถควบคุม บังคับบัญชา ธาตุทั้ง 4 ได้ตามใจประสงค์ต่อไป

    -หากต้องการใช้พลังงานจากธาตุดิน พึงน้อมใจให้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุดินและนำพลังงานจากธาตุดินในธรรมชาติมาใช้ต่อไป

    -หากต้องการใช้พลังงานจากธาตุน้ำ พึงน้อมใจให้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุน้ำและนำพลังงานจากธาตุน้ำในธรรมชาติมาใช้ต่อไป

    -หากต้องการใช้พลังงานจากธาตุลม พึงน้อมใจให้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุลมและนำพลังงานจากธาตุลมในธรรมชาติมาใช้ต่อไป

    -หากต้องการใช้พลังงานจากธาตุไฟ พึงน้อมใจให้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุไฟและนำพลังงานจากธาตุไฟในธรรมชาติมาใช้ต่อไป

    การควบคุมธาตุทั้ง 4 นั้นจำเป็นต้องใช้พลังงานในการเข้าควบคุมบังคับบัญชาเป็นเบื้องต้น หากบางขณะร่างกายเรามีพลังงานไม่พอ การหยิบยืมพลังงานจากภายนอกเข้ามาใช้ก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ นี่คือสิ่งที่คุณน้องนิวถามมาว่า พลังงานต่างๆที่เรารับเข้ามานี้ จะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรต่อไป ก็ถือว่าเป็นการนำเอาพลังงานมาต่อพลังงานนั่นเอง

    แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ เรื่องเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่ยังอยู่อีกห่างไกล อย่างที่คุยไว้ว่า ในขณะนี้ท่านเจ้าของกระทู้อย่าเพิ่งไปคิดจะบริหารจัดการใดๆกับพลังงานส่วนเกินที่รับเข้ามาเลยครับ เอาแค่รับเข้าและรู้จักถ่ายทอดพลังงานส่วนเกินออกไปเพื่อให้ร่างกายไม่ต้องรู้สึกไม่สบายก็เพียงพอแล้ว ตามที่มีท่านผู้รู้ได้แนะนำเอาไว้ก่อนหน้านี้ ให้มีความคล่องตัว ต่อไปหากมีความคล่องตัวพอสมควร ค่อยมาเรียนรู้ในเรื่องของการบริหารจัดการพลังงานส่วนเกินที่รับเข้ามา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ตามต้องการต่อไปในภายหลัง ก็ยังไม่สายเกินไป แล้วค่อยมาคุยกับคนความรู้น้อย ด้อยปัญญาอย่างผมอีกที ส่วนตอนต้นนี้ ความรู้พื้นฐาน สมควรให้มีความแน่นแฟ้นไว้ก่อน โดยการคุยกับท่านสมาชิกผู้รู้ ผู้ชำนาญการ ไปก่อน น่าจะมีความสำคัญมากกว่า

    เพิ่มเติมอีกสิ่งหนึ่ง การถ่ายพลังงานส่วนเกินลงกราวด์ ยังไม่มีท่านใดเสนอแนะว่า หากมีความจำเป็นจริงๆ ไม่สามารถจะเอาร่างกายไปสัมผัสกับผืนดินได้ เช่นอยู่บนเครื่องบิน เรือเดินสมุทร เป็นต้น หรือในสถานการณ์ใดๆ ที่ไม่สามารถนำพาร่างกายไปสัมผัสกับดินได้โดยตรง เมื่อมีอาการไม่สบาย ควรจะทำอย่างไร?

    ประการแรกให้พึงระลึกไว้ว่า บรรดาของแข็งทั้งหมดไม่ว่าพื้นคอนกรีต พื้นเหล็ก พื้นหรือผนังที่เป็นวัสดุต่างๆ ย่อมถือได้ว่ามีองค์ประกอบของปฐวีธาตุด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นให้ทำการถ่ายทอดพลังงานส่วนเกินลงสู่กราวด์ผ่านทางวัสดุต่างๆเหล่านี้ได้โดยตรง

    ประการที่สอง เนื่องจากพลังงานสามารถไหลไป ไหลมาตามที่ต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัดบริเวณ ดังนั้น หากสามารถฝึกให้มีการถ่ายเทพลังงานส่วนเกินได้จากทุกตำแหน่งของร่างกาย ก็จะทำให้เกิดความสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องไปตั้งท่า ตั้งทางให้เสียเวลา ส่วนใดของร่างกายสัมผัสกับของแข็ง ก็ถ่ายพลังงานส่วนเกินออกจากจุดนั้นได้ทันที ทำให้ไม่ต้องเกิดอาการไม่สบายให้ยาวนานมากนัก ตรงนี้อาจต้องใช้เวลาในการฝึกบ้าง ดังนั้น ขั้นต้น ก็ทำตามที่ท่านผู้รู้ได้แนะนำไว้คือ การถ่ายเทพลังงานส่วนเกินออกที่จุดที่ได้กำหนดเป็นการเฉพาะเอาไว้ไปพลางก่อนก็ได้ครับ

    ขอจบเรื่องไว้เพียงเท่านี้ก่อน สำหรับผู้มีความรู้น้อย ด้อยปัญญาอย่างผม ได้เวลาถอยไปอยู่ห่างๆ และขอถือโอกาสหาความรู้ จากท่านผู้รู้ ที่จะเข้ามาให้ความเห็นในกระทู้ ไปด้วยกันกับท่านเจ้าของกระทู้ต่อไปครับ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ก็ดีครับที่คุณ yooyut ตั้งข้อสังเกตุและข้อแนะนำเพิ่มเติมไว้นะครับ.
    เด่วจะช่วยเสริมแล้วกันครับ.เอาว่าอ่านที่จะเขียนให้ฟังดูซิว่าคุณจะคลาย
    ความเป็นห่วงในตัวน้อง อิว และจะเข้าใจในตัวคนที่กำลังเขียนให้ฟังหรือเปล่านะครับ
    .คิดว่าจะเอาให้ครบทุกประเด็นแล้วกันนะครับ
    พวกพลังงานภายนอกต่างๆ มันเกี่ยวเนื่องกับธาตุต่างๆภายในร่างกาย
    ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน.ที่เคยแนะนำว่าใช้ทำอะไรได้บ้างนั้น
    เป็นส่วนการใช้เฉพาะพลังงานภายนอกซึ่งคิดว่าเพียงพอสำหรับการแนะนำ
    ในระดับนี้ครับ..ส่วนการถ่ายเทพลังงานได้แนะนำไปบ้างแล้วเช่นการใช้อุป
    กรณ์เสริมบางอย่าง หรือการกำหนดออกที่ปลายนิ้วก็ได้ หรือ กำหนดออกระหว่าง
    คิ้วก็ได้ หรือการเหยียบบนพื้นดินด้วยเท้าเปล่า..ซึ่งพวกนี้สามารถทำที่ไหนก็ได้
    ตามความสดวก..ไม่ใช่ประเด็นปัญหาอะไรที่น่ากังวล เพียงแต่ว่ายังมีพลังงานตก
    ค้างได้แต่ไม่อยู่ในระดับที่ทำอันตรายกับร่างกายได้..ส่วนการนอนราบกับพื้นเป็น
    วิธีการเดียวตอนนี้ที่่มีประสบการณ์ที่สามารถถ่ายเทพลังงานส่วนเกินออกจากทั้งหมด
    ความจริงเราเหยียบพื้นดินด้วยเท้าเปล่า แล้วทำตามที่แนะนำ พลังงานส่วนเกินก็แทบ
    จะหมดแล้วในสภาวะปกติ นอกจากว่าเราจะเริ่มไปรักษาคนขึ้นมา อย่างนี้ก็ทำให้ถี่ขึ้น
    หรือทำทุกครั้งหลังรักษา ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ..

    สังเกตุดูนะครับว่าที่แนะนำมา เรื่องเกี่ยวกับจักระจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความดี
    และอีกเรื่องก็คือกำลังจิต..เรื่องของความดีเราต้องไปเดินปัญญาลดละกิเลส ตามแนว
    พุทธศาสนากันต่อไป..ส่วนเรื่องกำลังจิต ควรจะต้องเริ่มมี หากว่าเรื่องจักระพัฒนาไป
    ถึงขั้นที่ต้องเชื่อมต่อกับพลังงานภายนอก.บางคนเรียกว่าเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็
    แล้วแต่เพื่อเป้าหมายสำหรับเครื่องรู้พิเศษบางอย่างหรือการได้อะไรพิเศษบางอย่าง
    เพื่อมาทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆ ถ้านักปฏิบัติคนละสายเค้าจะเรียก
    ว่าการขอบารมีนั่นหละครับ..แต่มาทางนี้จะเป็นการเชื่อมกับกระแสท่านโดยตรงผ่าน
    ทางคลื่นความถี่เป็นเส้นสายพลังงานไปเชื่อมกัน มิใช่แบบเชื่อมกันด้วยการส่งผ่านจิต
    และเนื่องจากว่า จักระจะเกี่ยวพันธ์กับเรื่องธาตุ ๔ โดยตรงจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะส่ง
    ผลต่อร่างกายได้หากมีธาตุใดธาตุหนึ่งในร่างกายขาดหรือเกิน เรียกง่ายๆก็คือพร่อง
    นั้นเอง..แต่ที่ได้แนะนำไปแล้วน่าจะเพียงพอสำหรับการควบคุมและรักษาความสมดุลย์
    ให้กับธาตุทั้ง ๔ ของร่างกายหากว่าอ่านแล้วเข้าใจในสิ่งที่ได้เคยแนะนำมาก่อนหน้านี้
    ที่นี้พอมันไปเกี่ยวกับธาตุทั้ง ๔ เราจะเหลืออยู่ตัวหนึ่ง โดดๆก็คือตัวจิตเรา.ซึ่งถ้าตัวจิต
    เราตัวนี้ไม่มีกำลังสติทางธรรมที่เพียงพอและสมาธิสะสมที่เพียงพอในระดับหนึ่งแล้ว
    เราก็มีสิทธิ์ที่จะโดนควบคุมจากพลังงานภายนอก.ที่ไม่ประสงค์ดีได้ เพื่อมาใช่ธาตุ ๔
    ของร่างกายเราในการสร้างบารมีให้ตัวเอง..เนื่องจากมันเป็นการเชื่อมกระแสในรูปแบบ
    ธาตุ จึงข้ามร่างกาย เพราะฉนั้นบุญบารมีอะไรก็ตามที่เราทำ มันก็อยู่ในรูปของธาตุหนึ่ง
    เหมือนๆกัน.มันก็จะถูดดึงไปยังแหล่งพลังงานภายนอกทันที ที่ธาตุ ๔ เราที่มองเป็นร่าง
    กายมันกำลังทำงานอยู่..ก็จะไม่แตกต่างอะไรกับร่างทรงนั้นหละครับ แต่กิริยาของมัน
    ก็เป็นอย่างที่เล่าให้ฟัง....

    ต่อมาเรื่องกสิณนี้มันสำคัญอย่างไร..อืมๆ หลักการที่คุณ yooyut แนะนำเป็นหลัก
    ของการฝึกวิชาธาตุโบราณแขนงหนึ่ง แต่จากประสบการณ์บอกได้เลยว่าถ้าใครก็ตาม
    ที่เริ่มต้นแบบนั้น จะได้ผลช้ามาก ยกเว้นว่าจะอัพระดับสมาธิไปถึงอรูปฌาน ๔ ได้ครับ
    แต่ถ้าหากจะเอาแบบหลักการที่พระมีชื่อท่านหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้วมาสอนให้ ก็จะแนะนำ
    ว่าให้สร้างจิตให้เกิดกำลังจิต จากกสิณพระ หรือกสิณกองใดก็ได้ ในระดับที่สามารถ
    บังคับปฏิภาคนิมิตรให้ได้เป็นอย่างน้อยครับ.หรืออย่างน้อยๆต้องเคยเข้าถึงการอธิษฐาน
    ฤิทธิ์ที่เกิดจากกสิณจนเกิดผลเป็น รูปธรรมจริงๆให้ปรากฏออกมาให้เห็นบนโลกนี้ได้

    .และมันยังมีการต่อยอดจากนี้ได้อีกเยอะแยะ
    อยากที่จะเล่าใหัฟังหมดได้ แต่ที่แนะนำเท่านี้
    การรู้จากครูบาร์ทางภพภูมิที่ได้เคยแนะนำมา
    ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับหยาบอยู่
    ปล.ไว้ต่ออีก #Rep
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะสามารถที่จะสัมผัสและเรียกพลังงานกสิณทุกกองขึ้นมาได้และสามารถ
    นำมาใช้งานตามความเหมาะสมได้แล้วซึ่ง ถ้าทำได้เราจะเกิดเครื่องรู้อัตโนมัตได้เอง
    ว่าจะต้องใช้ทำอะไรโดยที่ไม่ต้องมีใครมาสอน.แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องผ่านด่านทดสอบ
    เรื่องการใช้ฤิทธิ์ก่อนเป็นอย่างน้อย ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ..
    ตอนนี้อยากจะให้น้องนิว หาประสบการณ์ไปก่อนครับ.เรียนรู้เรื่องการเทพลังงาน
    อะไรให้คล่องก่อน ยอมรับตามความเป็นจริงกับสิ่งที่เรามี ที่มันมาพร้อมกับเราให้ได้
    ก่อน..และอยู่ร่วมกับมันได้อย่างแยบยลกับสภาพสังคมปัจจุบัน และอยู่ร่วมกับสภาพ
    แวดล้อมอื่นๆได้อย่างปกติก่อนครับ ในอนาคตเราค่อยๆมาสร้างสติในชีวิตประจำวัน
    ให้มันต่อเนื่องเพื่อเอากำลังสมาธิสะสมที่จะได้ตรงนี้ มาเป็นฐานสำหรับการฝึกสมาธิ
    เพื่อเป็นอีกฐานสำหรับการไปฝึกให้จิตเกิดกำลังจิต เราก็จะมีภูมิต้านทานต่อพลังงาน
    ภายนอกได้เองไม่ต้องห่วง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว อีกอย่างกำลังสมาธิที่สูง
    กว่าย่อมได้เปรียบหากเรารู้จักเอากำลังตัวนี้ไปใช้เพื่อการวิปัสสนาเพื่อลดละกิเลส
    มันจะตัวได้เร็วกว่าวิธีการอื่นๆครับ...

    ส่วนเรื่องพลังงานกสิณแต่ละกองมันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากครับถ้าเทียบกับเรื่องการ
    นำสมาธิเพื่อไปขึ้นวิปัสสนาในอนาคตข้างหน้า..การเดินทางด้วยการช่วยเหลือผู้คน
    ในระหว่างทางก็เสมือนเป็นบุญที่สะสมให้เราขึ้นที่สูงในวันข้างหน้า..เพราะฉนั้น
    เป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ ตามกำลังและความสามารถของตน.
    ส่วนพลังงานกสินนั้น.ให้เจอหน้า หรือแค่คุยกัน ไม่เกิน ๑๐ นาทีก็สามารถ
    ค้นข้อมูลดึงพลังงานทุกกองขึ้นมาให้สัมผัสได้แล้วครับ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
    ถ้านับเป็นคน ถ้าสมมุติว่าได้ทำให้นะ จะเป็นคนที่ ๖ พอดี..

    เพียงแต่ว่า พอดึงขึ้นมาได้แล้ว การรักษาไว้ และความสามารถในการใช้งานได้นั้น
    ต้องขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นหลัก ณ จุดนี้ไม่มีใครทำให้เราได้ตลอดเราต้องสร้างด้วย
    ตัวเราเอง..ซึ่งที่ผ่านมาอีก ๕ คนนั้นก็ยังไม่มีใครสามารถใช้งานได้ผลซักคนเดียว
    เหตุเพราะเมตตายังไม่เพียงพอจำเป็นต้องสร้างเพิ่มเติม
    โดยเฉพาะกับส่วนภพภูมิ.และเรื่องทานบารมี
    ..และหันมาเน้นมาสนใจในเรื่องของการพัฒนากำลังจิต
    ไม่มุ้งเน้นแต่เรื่องของสัมผัสเพียงถ่ายเดียว และก็เลือกเรียนแบบไม่จับจด.ตลอดจนหันไปสน
    ใจในเรื่องการเจริญสติและการเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลสให้มากๆ.
    บางคนทำได้เพียงเล็กน้อย ใช้ได้แต่ในนิมิตร
    ก็เอาไปใช้ในทางที่ไม่ควรจึงทำให้ไม่มีการพัฒนา
    ความสามารถในการใช้งาน.และเข้าโรงบาลเพราะ
    ได้รับบาดเจ็บจากการโต้ตอบจากฝ่ายที่สายตาเราไม่ดี
    พอในการรับรู้ว่าอะไรควรไม่ควร.จึงไม่ต่างอะไรกับการ
    ไปขับรถตัวอย่าง ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ..เพราะฉนั้นหากอยากเดินไปให้ถึงจุด
    หมายปลายทางจริงควรต้องรู้ว่าควรจะเดินอย่างไรพร้อมกับควรรู้ว่าควรจะปฏิบัติ
    ตนอย่างไรด้วยเพื่อประโยชน์สูงสุดทางธรรมทั้งของส่วนรวมและของตนเอง..

    ปล.หวังว่าจะเข้าใจที่พูดนะครับ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...