ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Tingpkt

    Tingpkt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,712
    อ่านที่พี่น้ำใสแนะนำแล้วเกิดกำลังใจในการปฏิบัติมากขึ้นจริง ๆ ครับ ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีอะไรเลยนอกจากความสบายใจเวลา นั่งสมาธิ ส่วนเรื่องคำสอนต่าง ๆ ของครูบาอาจารย์ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างมีเพียงการกำหนดจิตให้รู้ว่า นี่เราหายใจเข้า-ออก (พุทธ-โธ) ไปเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้คิดว่าขั้นต้นยังไม่ผ่าน อย่าไปคิดถึง มโนฯ ให้พยายามเดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวจะเห็นหลังพวกพี่ ๆ ไว ๆ อยู่ข้างหน้าเอง บางวันตั้งใจเกินไปก็เหมือนนั่งหลับตาเฉย ๆ มันฟุ้งไปหมดครับ
     
  2. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,418
    ผมไปค้นคว้าอ่าน เรื่อง อรูปราคะ นะครับ ขอโพสอะไรนิดๆหน่อยๆ นะ พี่น้ำใส
    จริงๆก็เก่งสู้ พี่น้ำใส ไม่ได้หลอกนะครับ ขอเล่าเลยแล้วกํนนะครับ ถ้าโพสผิดก็แนะนำได้นะครับ

    -การแผ่เมตตา ที่เป็น อรูปราคะ ผมไปอ่านมาก็ได้ความว่า การแผ่เมตตา นั้นก็เหมือน เราแผ่เมตตาอยู่เนืองๆ แล้วใจเราก็ไปติดในสุข สุข ในที่นี้มันเป็น ตัวนาม ซึ่งไม่มีรูปให้เราจับต้องได้ มันเหมือนเราแผ่เมตตา แล้วเราก็มีความสุข เราก็ยิ่งแผ่ไปเรื่อยๆ เพราะติดในสุขตัวนั้น ซึ่งเป็น ตัวนาม ที่นี่มันก็หลงอยู่ในสุขนั้นแหละ ทำให้ไม่สามารถปล่อยว่างได้นะครับ ผมคิดอย่างนั้น ก็เพราะมันเป็นสุขจริงๆ แต่ สุข ตัวนั้น มันเกิดมา แล้วก็ดับไป ที่นี้พอเราไม่ได้แผ่เมตตาอีก ใจมันก็เริ่มจะเป็นทุกข์แล้ว เพราะนึกถึงสุขจากการแผ่เมตตา เราก็เริ่มแผ่เมตตาใหม่ เพื่อให้เป็นสุข แต่เนื่องจากมันเป็นกฎไตรลักษณ์ มันก็เกิด-ดับ วนไปเรื่อยๆ

    จนกระทั่ง วันหนึ่ง ตัวเราก็คิดได้ว่า เออก็เพราะใจเรา มันติดในสุขจากแผ่เมตตาอย่างนี้ เอาอย่างนี้แล้วกัน กำหนดว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ คือ กำหนดว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เพื่อหนีทุกข์จากยึดติดในสัญญาที่เป็นสุข อันเป็น อรูปฌาน ในข้อ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นะครับ (อันนี้เดาๆเอานะครับ) ที่ว่า พอได้อรูปฌาณ เราก็ดีใจว่า เราต้องไม่ทุกข์ จากอารมณ์ ก็พอใจในอารมณ์นั้น เพราะเราใช้ อรูปฌาน กดอารมร์ทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ เราไม่ต้องอีกแล้ว มันก็ยึดติด แล้วก็หลงไปกับอารมณ์นั้น พอใจแค่นี้แหละ

    แต่ในความเป็นจริงอรูปพรหม พอหมดอายุ ก็หมดไปตามกรรม มีเกิด-ดับ เป็นธรรมดาตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

    ในที่นี้ ผมขอยกคำสอนของ อ.ไก่ คนเมืองบัว นะครับ ท่านสอนไว้อย่างนี้ครับ

    หายใจเข้าลึกๆ สามครั้ง พิจารณา “นาม” หรือ “อรูป”

    ในขณะเดียวกันที่มีรูป ความคิดของเรากลับผันผวน อายุอยู่ประมาณนี้เดี๋ยวก็นึกย้อนหลังไปว่า เออ! ไม่น่าจะพลัดพรากรูปจากการเป็นเด็กเลย ไม่น่าจะพลัดพรากตอนเป็นเด็ก มีเพื่อนคนนั้น มีหลานคนนี้ มีพ่อแม่ในขณะเล็กๆ อยู่ ได้ผูกพันธ์กับรูปต่างๆ ในอดีตชาติและการคาดคะเนไปข้างหน้าว่า รูปของเราก็ดี รูปของคนอื่นก็ดี มันน่าจะชราอย่างนี้ ใกล้ตายมันน่าจะอย่างนั้น

    อาการห่วงใยรูปที่ไม่มีอยู่เลยตรงหน้า แต่มันมีอยู่ในใจเราที่เรียกว่า “อรูปราคะ” ที่เกิดเหมือนภาพที่หลอกหลอน ทั้งหลับและทั้งตื่น ดูแล้วโหดร้ายพอๆ กับรูปที่เห็นอยู่เฉพาะหน้าทีเดียว อันอรูปราคะนี้ก็ไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงของอรูปราคะ คือรูปที่เกิดในใจ มันเร็วมาก เร็วเสียจนรู้สึกว่า ถ้าหากนำเรื่องต่างๆ ที่ใจและมโนจิตได้สร้างภาพขึ้นในใจ สมมติขึ้นว่าอย่างนั้น สมมติขึ้นว่าอย่างนี้ สมมติว่าเป็นของเราบ้าง สมมติว่าไม่ใช่เป็นของเราบ้าง สมมติว่าว่ารักบ้าง สมมติว่าเกลียดบ้าง สมมติว่าชังบ้าง

    อรูปที่เกิดอยู่ในใจ เห็นไหมว่ามันเกิดและมันดับ รวดเร็วไม่ต่างกับรูปภายนอกที่เห็น แต่มันกินใจ คือบางครั้งรูปภายในก็ทำให้รูปภายนอกเดือดร้อน รูปภายในทำให้รูปภายนอกเดือดร้อน ยกตัวอย่างเช่น อยากมีบ้าน สร้างบ้านอยู่ในใจ เสร็จแล้วต้องทำให้รูปภายนอกเดือดร้อน คือ ไอ้รูปเนี๊ยะที่เป็นกายนอก ไปหางานมาทำ ไปหาเงินมา ไปกู้ธนาคารมา หยิบยืมเงินใครก็ได้ เพื่อจะสร้างรูปของบ้านที่อยู่ในใจนั้นหน่ะให้เกิดขึ้น มันเดือดร้อนไปหมด แต่ในขณะเดียวกัน เราไม่สามารถหยุดยับยั้งมันได้ เรื่องอรูปที่อยู่ในใจ

    ความทุกข์ที่เกิดจากรูปที่เกิดในใจ ดูว่าจะมีมากพอๆ กันหรือมากกว่าด้วยซ้ำ ให้เราพิจารณาว่า ความเกิดรูปที่อยู่ในใจ เรียกว่า “อรูป” แล้วปรากฎอยู่ในใจ และทำให้มันสลายไป คือไม่มีจริงแล้วสมมติขึ้น อรูปราคะนี้ จะทำอย่างไร ในบ้างครั้งเราก็ต้องข่มใจด้วยฌาณ อุเบกขารมณ์เสีย ไม่ให้มันมีรูปอยู่ในใจ มันมีอยู่ดีๆ แต่สะกดใจว่าไม่ให้มีอยู่ในใจก็เป็นทุกข์อีกแล้ว มีอยู่ในใจให้มันมีไปตามลำดับ คือ เกิดแล้วดับ ดับและเกิด เกิดและดับ เกิดและดับในใจ ก็ลำบากเป็นทุกข์ ถ้าไม่ให้มีเสียเลยคือ “อรูปฌาน” เอาฌานไปกดทับ อารมณ์จิตไปกดทับจิตปรุงแต่งอรูปราคะ ก็ไม่ให้มีอรูปราคะ ก็เป็นความยากลำบากสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง

    ดังนั้น ให้เราน้อมใจคิดว่า ธรรมนี้แม้แต่เป็นรูปก็มีความเกิดและความดับ แม้แต่เป็นอรูปที่เกิดอยู่ในใจ ก็มีความเกิดและความดับ แม้แต่อรูปฌาณก็มีการเกิดและการดับ ตรงนี้แหละ เราจะขออาศัยความเกิดและความดับที่ไม่เที่ยงของรูป และอาศัยความเกิดและความดับของอรูปและอรูปฌาณ เป็นเครื่องรู้ให้เราได้มีสติสัมปชัญญะว่าการเกิดในโลกนี้ไม่เที่ยง แม้แต่อรูปในพรหมก็ไม่เที่ยง หมายความถึงว่า พรหมเรามองไม่เห็นย่อมเป็นอรูป ไม่ใช่นาม เทวดาเรามองไม่เห็นเฉพาะหน้า แต่ต้องใช้ความเป็นทิพย์ ก็ถือว่า เป็นอรูปแบบมนุษย์นะ แม้แต่ภพภูมิทั้งสี่ ทั้งพรหมโลก เทวโลก มนุษย์ อบายภูมิ ก็มีทั้งรูปก็ดี ก็มีทั้งอรูปก็ดี หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับๆๆ

    หนักๆ เข้าเคลื่อนจิตลงมาอีกในโลกมนุษย์ เห็นมนุษย์ทั้งหมด ทั้งเหนือจดใต้ ใต้จดเหนือ โลกทั้งโลกมันเปลี่ยนแปลง ถ้าเห็นความเกิดเป็นแสงสว่าง เห็นความดับคือความมืด ในแต่ละจุดของโลกมนุษย์ มีแต่สว่างกับมืด ก็คือเกิดดับ ดั่งนี้เป็นต้น มองไปที่มนุษย์ทุกๆ คน ในโลกมนุษย์ ต่างก็หลงอยู่ในรูป ที่มันเกิดดับอยู่ ประคับประคองไม่ให้เกิดมั่ง ไม่ให้ดับมั่ง ยุ่งไปหมด มองดูในจิตของมนุษย์ “เจโตปริยญาณ” ของมนุษย์แต่ละคน ในก็หมกมุ่นเกิดกิเลสมั่ง ไม่เกิดกิเลสมั่ง เกิดบุญมั่งไม่เกิดบุญมั่ง มันช่างไม่น่าที่จะพิศวาส และไม่น่าที่จะเกิดมาเลย ไอ้ภพทั้งสี่นี้นะ

    มองดูที่กายเราซิ น่าปลงสังเวทซะไหมหล่ะ มันหลงมาอยู่ถึงบัดนี้ได้ยังไง โอปนยิโกน้อมเข้ามาในใจ จงสะอิดสะเอียนมันเถอะไอ้สังขารนี้ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว จิตที่หมกมุ่นอยู่ในอรูป วุ่นวายอยู่ เร่าร้อนอยู่ หาสงบไม่ได้ ทั้งหลับทั้งตื่น มีพระธรรมเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงจิตของเราให้เป็นสุขอยู่บ้างในขณะที่มีสังขารอยู่ พึงพิจารณาว่า ก็สังขารเรานี้แหละ เป็นรูปด้วย เป็นอรูปด้วย มันมีเกิดดับ หาสาระไม่ได้ เป็นสรณะที่พึ่งไม่ได้ซักอย่าง เราขอตัดกำลังใจว่า ถ้ารูปนี้กับอรูปนี้ มันพังไปเมื่อไหร่ สลายไปโดยธรรมชาติเมื่อไหร่ เราจะไม่หวนคืนกลับมายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราอีกให้ตลอดกาลตลอดสมัย เราจะมีพระนิพพานเป็นที่ไปแล้ว

    ดังนั้น คนเราจะไปนิพพาน ก็ต้องทรงอารมณ์โสดาบัน คิดถึงพระนิพพาน ตามที่หลวงพ่อสอน สุดท้ายก็จะไปพระนิพพานได้ตามที่ปรารถนานะครับ

    สุดท้ายหวังว่า คงจะเป็นประโยชน์กับสมาชิกทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
    ถ้าโพสผิดผมก็รับเอาไว้เองครับ เพราะตัวเองยังเลวอยู่นะครับ ไม่ได้ดีกว่าใครหรอกครับ

    ซึ่งในที่นี้ก็ขออุทิศผลบุญในธรรมทานนี้เป็นการบูชาแก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระโพธิสัตว์ และพระอริยสงฆ์ทุกองค์ พรหมเทพเทวดาทั้งหลายทั่วสากลพิภพ ผู้มีพระคุณทุกท่านมีหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อเป็นที่สุด แล้วก็ขออุทิศผลบุญนี้เป็นการบูชา อ.ไก่ คนเมืองบัว ด้วยนะครับ สาธุ สาธุ

    ขอผลบุญจงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้ามีความเจริญยิ่งๆขึ้นในพระศาสนาของพระพุทธองค์ มีความเจริญในธรรมและเข้าใจในสื่งอันเป็นทางพ้นทุกข์ทุกประการด้วยเถิด
    สาธุ สาธุ


    ธรรมวิวัฒน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2014
  3. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้มาตลอดนะคะ ศิษย์น้อง ... สู้ต่อไปไอ้มดแดง อิอิ...

    ได้ข่าวว่า น้องตาลก็ซุ่มฝึกวิชาเหมือนกัน พี่เองเริ่มทำใจบ้างแล้วค่ะ หลังจากถูกดุว่า อย่าดื้อ.. เพราะเชื้อเก่ายังมีอยู่เยอะค่ะ

    จนกระทั่งท่านท้าวธตรฐ ๑ ในท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ท่านมารับรองบางเรื่อง ท่านบอกว่า ท่านเป็น ๑ ในครูสายพุทธตันตระ ถ้าสงสัยเรื่องอะไรให้มาถามได้ ทำให้คลายความสงสัยไปมาก

    คงเหลือเพียงอย่าเดียว ปฏิบัติให้ได้จนกว่าจะผ่านการทดสอบ ซึ่งอาจจะเป็น ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี หรือไม่ผ่านก็สุดแท้แต่วาสนา...ตอนนี้เริ่มจะปลงซะแล้ว

    ขออนุโมทนาบุญกับน้องน้ำตาลในทุก ๆ บุญด้วยค่ะ

    Numsai

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2014
  4. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญกับน้อง Tingpkt ด้วยเช่นกันค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

    ช่วงพี่ฝึกแรก ๆ ก็เหมือนน้องนี่แหละค่ะ ตอนนั้นพี่เริ่มทำงานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ประมาณปี 1994-2004 พี่มีหน้าที่ดูแลการเงินของบริษัททั้งหมด รวมทั้งการนำเงินเข้าธนาคาร เก็บตู้กุญแจตู้นิรภัย

    ในช่วงนั้นมีอัตราการจี้ปล้นบริษัทต่างชาติ เป็นข่าวรายวัน บริษัทคนไทยด้วยกันก็โดนหลายครั้ง มีเพียงบริษัทของพี่บริษัทเดียวที่ไม่เคยโดนปล้น บางครั้งก็มีการอุ้มเรียกค่าไถ่ จนหลายบริษัทต้องจ้างตำรวจคุ้มกัน

    แต่บริษัทของพี่กลับเป็นสุภาพสตรี 2 คน พร้อมคนขับรถอายุประมาณ 50 ปี เข้ามาด้วยเส้นของบอร์ดฝั่งกัมพูชา อิอิ พี่เองได้ยินข่าวคราวทุกวัน พี่จัดเวลาเคลียร์เงิน และนำเงินเข้าธนาคาร ไม่ต่ำกว่า 2 รอบ และต้องไม่เป็นเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการเสี่ยง สัปเปลี่ยนรถ และผู้เดินทางโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

    น้อง cashier ที่ไปด้วย มักถามว่า พี่กลัวมั๊ย

    พี่ก็ตอบว่า "ถ้ากลัวพี่ไม่มาทำงานที่นี่หรอก แต่เวลาที่ไปธนาคาร ถ้าพี่ไม่พูดกับเธอ เธอก็ต้องไม่ถามอะไร"

    ตอนนั้นน้อง ๆ เขาไม่ทราบเหตุผล พี่เองก็ไม่เคยบอก สิ่งที่ทำก็คือ อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ตลอดทั้งครูบาอาจารย์มาช่วยเหลือ ตอนนั้นยังไม่ได้มโนมยิทธิหรอกค่ะ มีเห็นกุมารทอง (มีเยอะมาก ๆ ) บ้างเล็กน้อย

    จากนั้นเวลาเดินทางก็สวดอิติปิโสบ้าง ภาวนาพุทโธบ้าง ตอนนั้นไม่รู้จักคาถาเงินล้านหรอกค่ะ สวดอยู่อิติปิโสบทเดียว อีกบทคือ

    "พามานาอุ กะสะนะธุ"

    เป็นหัวใจพาหุง มนต์บทนี้ได้จากอาจารย์ของคุณพ่อท่านให้สวดมาตั้งแต่เด็ก เวลาเดินทาง

    พี่ก็นั่งรถไปก็สวดไป ถ้ามีงานต้องคุยกับน้องที่ไปด้วยก็คุย เวลาว่างก็ภาวนาพุท-โธ

    อยู่มาวันหนึ่ง นั่งรถผ่านเส้นทางกระทรวงมหาดไทย(กัมพูชา) ถ้าคนเคยอยู่พนมเปญจะนึกภาพออก ต้นไม้ที่ประดับหน้ากระทรวงคือ ดอกลีลาวดี เป็นแถว ปรากฏว่า ผ่านต้นลีลาวดีต้นหนึ่ง เป็นหญิงสาวแต่งชุดไทย สวมจุงกระเบนสีเขียวเข้ม ห่มไสบเปิดไหล่สีขาว ข้างใบหูทัดดอกลีลาวดี(ลั่นทม) พนมมือระดับอกยืนอยู่ คล้ายมองมา แรกๆ คิดว่า ตัวเองตาฝาด

    หลายวันต่อมาผ่านเส้นทางนี้ก็เห็นอีก คราวนี้เธอแย้มปาก และก้มศีรษะคล้ายทำความเคารพ จึงถามน้องที่มาด้วยกันว่า เห็นผู้หญิงยืนอยู่ใต้ต้นไม้หรือเปล่า แล้วบอกลักษณะตามที่เห็น

    น้องคนนั้นทำตาโตบอกว่า "เตวดาซะไร" แปลว่าเทวดาผู้หญิง หรือนางฟ้า เพราะพระบอก จากนั้นเมื่อกลับมาเมืองไทยได้กราบเรียนถามหลวงปู่สวัสดิ์ วัดจันทร์ใน กทม.(มรณภาพแล้ว) ท่านตอบว่า ..

    "โยม เห็นจริงนะ เขามาโมทนาบุญที่คุณโยมสวดมนต์ และแผ่เมตตาให้"

    จึงกราบเรียนถามว่า " โยมไม่ได้ทำอะไรเลย ใช้เวลาตอนนั่งรถ-ไปกลับ และสวดขณะลืมตา ไม่ได้หลับตา"

    หลวงปู่ : "ได้ซิ อะไรที่เราทำอยู่บ่อย ๆ เสมอ ๆ มิได้ขาด เป็นการฝึกจิตไปในตัว จิตอย่างนี้ หากจะใช้งานก็ทำได้ทันที"

    ตอนนั้น พี่ยังไม่เข้าใจอะไรที่ท่านพูดมากนัก ภายหลังกลับมาอยู่เมืองไทยได้มีโอกาสได้ฝึกมโนมยิทธิ และได้ศึกษาคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ท่านว่า ให้ทำบ่อย ๆ เสมอ ๆ ไม่ขาด จิตจะทรงฌาณ สามารถใช้งานได้ทันที

    ทั้งหมดที่พี่เล่ามานี้ เพียงแต่บอกน้องว่า อย่าหยุดปฏิบัติ ทำให้เป็นนิสัย เหมือนเราต้องทานข้าวทุกวัน หากเราไม่ได้ทานข้าว ท้องจะหิว และทนไม่ได้ ฝึกจนเป็นปกตินิสัยให้สม่ำเสมอ วันหนึ่งเราจะถึงฝั่งที่ปรารถนาไว้ค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับน้อง Tingpkt อีกครั้งค่ะ

    Numsai

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2014
  5. Callme Zupta

    Callme Zupta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +2,292
    /\ วันพุธที่ 21 พฤษภาคม: น้อมรำฦกวัน "อัฏฐมีบูชา" /\

    วันอัฏฐมีบูชา คือวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 วัน) ถือเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือนวิสาขะ (เดือน 6 ของไทย)

    นอกจากนั้น วันนี้เป็นวันคล้ายวันที่พระนางสิริมหามายา องค์พระพุทธมารดาสิ้นพระชนม์ (หลังประสูติ) และเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุขตลอด 7 วัน (หลังตรัสรู้) อีกด้วย

    ตามประวัติ เมื่อครั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว 7 วัน มัลละกษัตริย์แห่งเมืองกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์อันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน ได้พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ แห่งเมืองกุสินารา เป็นวันหนึ่งที่ชาวพุทธต้องมีความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการสูญเสียแห่งพระพุทธสรีระ เมื่อวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งนิยมเรียกกันว่าวันอัฏฐมีนั้น เมื่อเวียนมาบรรจบแต่ละปี พุทธศาสนิกชนบางส่วนได้ประกอบพิธีบูชาขึ้น มีการเวียนเทียนเป็นต้น แต่ไม่ทั่วไปทั่วราชอาณาจักร โดยจะประกอบพิธีในบางวัดเท่านั้น ตามแต่ความศรัทธาของท้องถิ่น ในจังหวัดอุตรดิตถ์ เช่น ประเพณีถวายพระเพลิงฯ จำลอง ที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง เป็นต้น

    ประวัติพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพมีขึ้นในวันที่ 8 หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานใต้ต้นสาละในราตรี 15 ค่ำ เดือน 6 โดยพวกเจ้ามัลลกษัตริย์จัดบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิด ที่มีอยู่ใน เมืองกุสินาราตลอด 7 วัน แล้วให้เจ้ามัลละระดับหัวหน้า 8 คน สรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่ อัญเชิญพระสรีระไปทางทิศตะวันออก ของพระนคร เพื่อถวาย พระเพลิง พวกเจ้ามัลละถามถึงวิธีปฏิบัติพระสรีระกับพระอานนท์เถระ แล้วทำตามคำของพระเถระนั้นคือ ห่อพระสรีระด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า 500 คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์ และของหอมทุกชนิด จากนั้นอัญเชิญ พวกเจ้ามัลละระดับหัวหน้า 4 คน สระสรงเกล้า และนุ่งห่มผ้าใหม่ พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้ จึงสอบถามสาเหตุ พระอนุรุทธะ พระเถระ แจ้งว่า "เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ 500 รูป ผู้กำลังเดินทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้" ก็เทวดา เหล่านั้น เคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อน จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปะอยู่ในพิธี และเมื่อภิกษุหมู่ 500 รูปโดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธานเดินทางมาพร้อมกัน ณ ที่ถวายพระเพลิงแล้ว ไฟจึงลุกโชนขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครจุด

    หลังจากที่พระเพลิงเผาซึ่งเผาไหม้พระพุทธสรีระดับมอดลงแล้ว บรรดากษัตริย์มัลละทั้งหลายจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด ใส่ลงในหีบทองแล้วนำไปรักษาไว้ภายในนครกุสินารา ส่วนเครื่องบริขารต่างๆ ของพระพุทธเจ้าได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานตามที่ต่างๆ อาทิ ผ้าไตรจีวร อัญเชิญไปประดิษฐานที่แคว้นคันธาระ บาตรอัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองปาตลีบุตร เป็นต้น และเมื่อบรรดากษัตริย์จากแคว้นต่างๆ ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานที่นครกุสินารา จึงได้ส่งตัวแทนไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อนำกลับมาสักการะยังแคว้นของตนแต่ก็ถูกกษัตริย์มัลละปฏิเสธ จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งและเตรียมทำสงครามกัน แต่ในสุดเหตุการณ์ก็มิได้บานปลาย เนื่องจากโทณพราหมณ์ได้เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ย เพื่อยุติความขัดแย้งโดยเสนอให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนเท่าๆ กัน ซึ่งกษัตริย์แต่ละเมืองทรงสร้างเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามเมืองต่างๆ ดังนี้

    กษัตริย์ลิจฉวี ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองเวสาลี
    กษัตริย์ศากยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองกบิลพัสดุ์
    กษัตริย์ถูลิยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองอัลลกัปปะ
    กษัตริย์โกลิยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองรามคาม
    มหาพราหมณ์ สร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองเวฏฐทีปกะ
    กษัตริย์มัลละแห่งเมืองปาวา ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองปาวา
    พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองราชคฤห์
    มัลลกษัตริย์แห่งกุสินารา ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองกุสินารา
    กษัตริย์เมืองโมริยะ ทรงสร้างสถูปบรรจุพระอังคาร (อังคารสถูป) ที่เมืองปิปผลิวัน
    โทณพราหมณ์ สร้างสถูปบรรจุทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุ ที่เมืองกุสินารา (ทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุแจก, คำว่า ตุมพะ แปลว่า ทะนาน, บางทีเรียกสถูปนี้ว่า ตุมพสถูป)

    สำหรับกรณีของกษัตริย์เมืองโมริยะนั้น ได้ส่งผู้แทนมาหลังจากที่โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ทั้ง 8 เมืองไปแล้วจึงได้อัญเชิญพระอังคารไปแทน ส่วนโทณพราหมณ์ ก็ได้สร้างสถูปบรรจุทะนานที่ใช้สำหรับตวงพระบรมสารีริกธาตุสำหรับตนเอง และผู้คนได้สักการะดังที่ได้กล่าวไป

    ส่วนในประเทศไทย พบประเพณีการถวายพระเพลิงพระบรมศพจำลองที่ วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยประเพณีนี้มีมาแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ ในปัจจุบันประเพณีนี้ได้รับการสนับสนุนจากทางหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน โดยจัดเป็นงาน "วันอัฏฐมีบูชารำลึก เมืองทุ่งยั้ง" ณ วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นประจำทุกปี โดยกำหนดจัดงานในวันวิสาขบูชา คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ถึงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 รวม 9 วัน กิจกรรมภายในงานมีการแสดง แสง สี เสียง ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน จนถึงพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า(จำลอง) มีประชาชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดใกล้เคียงเข้าชมเป็นจำนวนมาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151.7 KB
      เปิดดู:
      30
  6. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..กาลพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน...

    dead.jpg

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขปรุณมีเพ็ญเดือน ๖ ขณะมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา กาลนั้น บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายทั้งปวงที่ประชุมอยู่ในอุทยานสาลวันนั้นต่างก็เศร้าโศกร้ำไรรำพันปริเทวนาการ คร่ำครวญถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่น่าสลดใจยิ่งนัก พระอานนท์มหาเถระเจ้าได้แสดงธรรมีกถาปลุกปลอบบรรเทาจิตบริษัทให้เสื่อมสร่างจากความเศร้าโศกตามควรแก่วิสัยและควรแก่เวลา

    ครั้นสว่างแล้ว พระอนุรุทธัมหาเถระเจ้าก็มีเถระบัญชาให้พระอานนท์รีบเข้าไปในเมืองกุสินารา แจ้งข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแก่มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย เมื่อมัลลกษัตริย์ได้สดับข่าวปรินิพพานกำสรดโศกด้วยอาลัยในพระบรมศาสดาเป็นกำลัง

    จึงดำรัสสั่งให้ประกาศข่าวปรินิพพานแก่ชาวเมืองให้ทั่วนครกุสินารา แล้วนำเครื่องสักการบูชานานสุคนธชาติพร้อมด้วยผ้าขาว ๕๐๐ พับ เสด็จไปยังอุทยานสาลวันทำการสัการบูชาพระสรีระพระบรมศาสดาด้วยบุปผามาลัยสุคันธชาติเป็นอเนกประการ

    มวลหมู่มหาชนเป็นอันมากแม้จะอยู่ในที่ไกล เมื่อได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระบรมศาสดาต่างก็ถืออนานาสุคนธชาติมาสักการบูชามากมายสุดจะคณาเวลาค้ำก็ตามชวาลาสว่างไสวทั่วทั้งสาลวันประชาชนต่างพากันมาไม่ขาดสายตลอดเวลา ๖ วันไม่มีหยุด พากันรีบรุดมาทำการสักการบูชาด้วยความเลื่อมใสถวายความเคารพอันสูงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ครั้นวันที่ ๗ ได้อัญเชิญพระพุทธสรีระศพขึ้นประดิษฐานบนเตียบมาลาอาสน์ ซึ่งตกแต่งด้วยอาภรณ์อันวิจิตร แล้วเคลื่อนขบวนอัญเชิญไปโดยทางทิศอุดร เข้าไปภายในพระนครกุสารา ประชาชนพากันสโมสรเข้าขบวนแห่ตามพระพุทธสรีระศพสุดประมาณ เสียงดุริยางค์ดนตรีแซ่ประสานกับเสียงมหาชนดังสนั่นลั่นโกลาหลเป็นอัศจรรย์ ทั้งดอกไม้ทิพย์มณฑารพ

    ดอกไม้อันเป็นของทิพย์ในสรวงสวรรค์ตกโปรยปรายละลิ่วลงจากฟากฟ้า ดาดาษทั่วเมืองกุสินาราร่วงหล่นลงมาสักการบูชาพระบรมศาสดา ขบวนมหาชนอัญเชิญพระพุทธสรีระศพได้ผ่านไปในวิ๔ทางท่ามกลางพระนครกุสินารา ประชาชนทุกถ้วนหน้าพากันสักการบูชาทั่วทุกสถาน ตลอดทางที่พระพุทธสรีระศพแห่ผ่านไปตามลำดับ

    ครั้นเมื่อขบวนอัญเชิญผ่านมาถึงหน้าบ้านของนางมัลลิกา ผู้เป็นภรรยาของท่านพันธุละเสนาบดีซึ่งล่วงลับไปแล้ว นางมัลลิกาได้ขอร้องแสดงความประสงค์จะบูชาด้วยอาภรณ์มหาลดาปสาธน์อันสูงค่ามหาศาล มหาชนผู้อัญเชิญพระพุทธสรีระศพก็วางเตียงมาลาอาสน์ลง นางมัลลิกาถวายอภิวาทเชิญเครื่องมหาลดาปสาธน์มาสวมพระพุทธสรีระศพเป็นเครื่องบูชา ขณะนั้นพระพุทธสรีระศพก็งามโอภาสเป็นที่เจริญตาเจริญใจแล้วมหาชนก็อัญเชิญพระพุทธสรีระศพเคลื่อนจากที่นั้นออกจากประตูเมืองทางทิศบูรพา ไปสู่กุฎพันธเจดีย์

    ครั้นถึงยังจิตกาธานอันสำเร็จด้วยไม้จันทน์หอมงามวิจิตร ก็จัดการห่อพระพุทธสรีระศพด้วยทุกุลพัสตร์ภูษา ๕๐๐ ชั้น แล้วก็อัญเชิญลงประดิษฐานในหีบทองซึ่งประดิษฐบนจิตกาธานทำการสักการบูชาแล้วกษัตริย์มัลลราชทั้ง ๘ องค์ผู้เป็นประธานกษัตริย์ทั้งปวงก็นำเอาเพลิดจุดเพื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระศพพรสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่พระเพลิงก็ไม่ติดตามประสงค์แม้จะพยายามจุดเท่าใดก็ไม่บรรลุผลมัลลกษัตริย์มีความสงสัยจึงได้เรียนถามพระอนุรุทธะมหาเถระเจ้าว่า...

    "ข้าแต่ท่านพระอนุรุทธะด้วยเหตุใดเพลิงจึงไม่ติดโพลงขึ้น"

    พระอนุรุทธะมหาเถระกล่าวตอบว่า "เทวดาต้องการให้คอยท่านพระมหากัสสะเถระ หากยังมาไม่ถึงตราบใด ไฟจะไม่ติดตราบนั้นขณะนี้พระมหากัสสะเถระกำลังเดินทางมาใกล้จะถึงอยู่แล้ว”

    เวลานั้นพระมหากัสสปะเถระเจ้าพาภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ เดินทางจากเมืองปาวามายังเมืองกุสินาราครั้นถึงยังพระจิตกาธานที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระศพพระบรมศาสดาแล้ว ก็ทำจีวรเฉวียงบ่า ประคองอัญชลี กระทำประทักษิณเวียนพระจิตกาธานสามรอบแล้ว เข้าสู่ทิศเบื้องพระยุคคลบาท น้อมถวายอภิวาทและตั้งอธิฐานจิต

    ครั้นพระมหากัสสปะเถระเจ้ากับพระสงฆ์บริวาร ๕๐๐ และมหาชนทั้งหลาย กราบนมัสการพระบรมยุคลบาทโดยควรแล้ว ขณะนั้นเสียงโศกาปริเทวนาการของมวลเทพดาและมนุษย์ ซึ่งได้หยุดสร่างสะอื้นแล้วแต่ต้นวัน ก็ได้พลันดังสนั่นขึ้นอีกเสมอด้วยวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน

    ขณะนั้น เตโชธาตุก็บันดาลติดพระจิตกาธานขึ้นเองด้วยอานุภาพเทพยดา เพลิงได้ลุกพวยพุ่งโชตนาเผาพระพุทธสรีระศพ พร้อมคู่ผ้า ๕๐๐ ชั้นและเครื่องอาภรณ์มหาลดาปสาธน์ กับหีบทองและจิตกาธานจนหมดสิ้น ยั้งมีสิ่งซึ่งเพลิงมิได้เผาให้ย่อยยับไปด้วยอนุภาพพุทธอธิฐานดังนี้

    -ผ้าห่อหุ้มพระสรีระชั้นใน ๑ ผืน

    -ผ้าห่อนหุ้มพระพุทธสรีระภายนอก ๑ ผืน ทั้งสองนี้แตกฉานการะจัดกระจาย

    -ส่วนพระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ พระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ทั้ง ๒ และพระอุณหิสปัฎ (กระบังหน้า) ๑ พระบรมธาตุทั้ง ๗ นี้ยังปกติดีมิได้แตกกระจัดกระจาย



    __________________________________

    หมายเหตุ ข้อมูลนี้ดิฉันเคยรวบรวมไว้ตั้งแต่อยู่ชมรมวัชรธาตุ ได้ศึกษาเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ จึงทราบเหตุแห่งการเกิดพระบรมสารีริกธาตุ
     
  7. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ลักษณะของพระบรมสารีริกธาตุ...

    คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ซึ่งเป็นอรรถกถาอธิบายความพระสูตรทีฆนิกาย ในพระสุตตันตปิฎกนั้น พระอรรถกถาจารย์ได้แบ่งลักษณะของพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้

    1.นวิปปกิณณาธาตุ คือ พระบรมสารีริกธาตุที่ยังคงรูปร่างเดิมอยู่เป็นชิ้นเป็นอันบริบูรณ์ มิได้แตกย่อยลงไป
    ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ทั้งหมด 7 องค์ คือพระเขี้ยวแก้ว 4 องค์ พระรากขวัญ 2 องค์ และพระอุณหิส 1 องค์ มีที่ประดิษฐานดังนี้

    พระเขี้ยวแก้ว 4 (พระทาฐธาตุ)


    1.พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนขวา ประดิษฐานอยู่ในจุฬามณีเจดียสถาน ณ ดาวดึงเทวโลก

    2.พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำขวา เดิมประดิษฐานอยู่ ณ เมืองกาลิงคราฐ แต่บัดนี้ได้ไปสถิต อยู่ในประเทศลังกา

    3.พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนซ้าย ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองคันธารราษฎรประเทศลังกา

    4.พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำซ้าย ไปประดิษฐานอยู่ในนาคพิภพ (เมืองพญานาค)


    พระรากขวัญ 2 (กระดูกไหปราร้า)

    1.พระรากขวัญเบื้องขวา ไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ถูปาราม ประเทศลังกา

    2.พระรากขวัญเบื้องซ้าย ขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในทุสสเจดีย์


    พระอุณหิส หรือ พระนลาฏธาตุ 1

    หนังสือมหาวงศ์และชินกาลมณีปกรณ์กล่าวไว้ว่า..ประดิษฐานอยู่ที่องค์พระเจดีย์ยอดเขาโสณฑิยะระหว่างแม่น้ำเสรุกับกับแม่น้ำวรภะบนฝั่งขวา ของแม่น้ำมหาวาลุกคงคาในประเทศศรีลังกา แต่พระสังคีกิกาจาย์ได้ประมวลไว้ว่าพระอุณหิสได้ขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในทุสสเจดีย์บนพรหมโลก



    2. วิปกิณณาธาตุ พระอรรถกถาจารย์ท่านได้จำแนกลักษณะและขนาดของพระบรมสารีริกธาตุชนิด วิปฺปกิณฺณา ธาตุ ต่อไปอีกดังนี้

    2.1 จำแนกตามลักษณะภายนอก ได้เป็น 3 ลักษณะ คือ

    DSC01342.jpg DSC01335.jpg

    1.ลักษณะเหมือนแก้วมุกดาที่เจียระไนแล้ว (สีผลึก)
    [อรรถกถาบาลีว่า โธตมุตฺตสทิสา]ตามตำนานลักษณะนี้ ตวงได้ 5 ทะนาน


    DSC01351.jpg

    2. ลักษณะเหมือนดอกมะลิตูม (สีพิกุล) [อรรถกถาบาลีว่า สุมนมกุลสทิสา]
    ตามตำนานลักษณะนี้ ตวงได้ 5 ทะนาน

    DSC01371.jpg

    3. ลักษณะเหมือนจุณ หรือ ผงทองคำ (สีทองอุไร)
    [อรรถกถาบาลีว่า สุวณฺณจุณฺณา] ตามตำนานลักษณะนี้ ตวงได้ 5 ทะนาน



    -----

    ขอนำภาพมาประกอบในวันพรุ่งนีั้ค่ะ พระบรมสารีริกธาตุที่ได้แจกจ่ายแก่ท่านทั้งหลาย มีหลายลักษณะปนกันค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2014
  8. Tingpkt

    Tingpkt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,712
    ขอบพระคุณพี่น้ำใส อีกครั้งสำหรับคำแนะนำดี ๆ ครับ
    เรื่องของการสวดมนต์นั้น ทุกวันผมจะใช้เวลาตอนขับรถไปกลับที่บ้านกับที่ทำงาน สวดพระคาถาเงินล้าน สวดไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหมายครับ ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องให้ได้กี่จบ (เพราะระยะทางจากคลองสี่ ถึง คลองเตย นี่ก็ไกลใช้ได้ทีเดียว)

    พอมาอ่านที่พี่แนะนำ ถึงได้ทราบว่าการทำแบบนี้เสมอ ๆ ก็เป็นการฝึกจิตไปในตัวเช่นกัน :cool:

    __/\__
     
  9. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..เหตุแห่งอรูปราคะ..(ต่อ..)

    buddha.jpg

    ขอเล่าเพิ่มเติม เรื่องอรูปราคะจากพระมหาเถระ วัดสระเกศ ในวันที่ ๑๔ เมย.๕๗ เคยขยายความว่า .."ผู้ที่พบอรูปราคะประเภทนี้ จะต้องมีกายเป็นมนุษย์ทั้งสองฝ่าย กิเลสและกรรมจะบันดาลให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่า มีการส่งจิตมาหา ซึ่งความจริงแล้ว เกิดจากกรรมบันดาลทั้งสิ้น

    เป็นบททดสอบแบบละเอียด หากไม่ได้ปรารถนาพระนิพพานเป็นบททดสอบที่ผ่านได้ยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ผ่าน แต่ต้องเรียนรู้การละวาง"




    เมื่อวันที่ ๑๘ พค.๕๗ ที่ผ่านมา ช่วงเช้าได้กราบสมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสว่า...

    “การเรียนรู้เรื่องนี้ ผู้ปรารถนาเป็นคู่บารมีไม่ใช่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ เฉพาะสายปราบมารเท่านั้น ต้องรู้เท่าทันกิเลสทั้งปวง

    การเรียนรู้อารมณ์ของความรักในแง่มุมต่าง ๆ แบบละเอียดจะฝึกแบบรีบร้อนไม่ได้ต้องอาศัยการเรียนรู้นานนับปี จะมีการพัฒนาการเรียนรู้จากระดับแรกจนถึงระดับสูงสุด

    ผู้ปฏิบัติธรรมที่บรรลุพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี ยังมีเรื่องของความรักอยู่ แต่จะอยู่ในกรอบของศีล ๕ ที่ผ่านมาไม่ได้ล่วงศีล แต่ประการใด


    (ขณะที่ฟังเทศนาจากสมเด็จองค์ปฐมนั้น เกิดแสงสว่างไสวมาก สว่างขึ้นเรื่อย ๆ )
     
  10. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ที่มาของคาถามณีจักรวาล..

    จากนั้น สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสว่า...

    “นั่นพระสุมังคละพุทธเจ้ามา พระสุมังคละพุทธเจ้าก็เป็นพระพุทธเจ้าสายปราบมาร
    คาถามณีจักรวาลนั้น เป็นคาถาที่เกิดก่อนที่พระสุมังคละพุทธเจ้าจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์โดนพญามารขวาง จึงค้นวิชชาค้นพบโดย การผูกคาถาอัญเชิญเทวดาจากทั่วแสนโกฏิจักรวาล เพื่อมาดูแลผู้สวดคาถานี้
    พระคาถานี้จะมีผู้สืบทอดอย่างต่อเนื่อง ล้วนแล้วแล้วแต่เป็นพระโพธิสัตว์สายปราบมารทั้งสิ้น เป็นปปรมัตถบารมีระดับต้นและระดับกลาง ส่วน(พระโพธิสัตว์) ระดับปลายส่วนใหญ่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ และออกบวช
    พระโพธิสัตว์สายปราบมารนั้น จัดอยู่ในประเภทวิริยะพิเศษประเภทหนึ่ง ไม่ได้นับรวมกับประเภทปรารถนาแบบพระพุทธสิกขีทศพล มีการลำดับการบำเพ็ญบารมีแตกต่างกัน

    การที่ได้เรียนรู้เรื่องนี้ เป็นการเรียนรู้แบบพุทธตันตระ เป็นระดับปลายที่ต้องเรียนรู้อารมณ์ทุกอารมณ์แบบละเอียด มิฉะนั้นจะไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า มารจะหมดไป

    คำว่า “ปราบมาร” คือ ปราบมิจฉาทิฐิในมนุษย์คนพาลทั้งหลาย รวมทั้งอมนุษย์ และเทวดาที่มีมิจฉาทิฐิด้วย จะปราบผู้มีมิจฉาทิฐิได้จะต้องเรียนรู้กิเลสอย่างละเอียดต่อเนื่องทุกแง่มุม นี้คือความหมายของพุทธตันตระ

    เอาละพระพุทธสุมังคละพุทธเจ้ามารออยู่ ไปกราบพระองค์เสียก่อน”

    จากนั้นจึงได้ก้มกราบพระบาทสมเด็จองค์ปฐมอีกครั้ง และเข้าไปกราบพระบาทของสมเด็จพระพุทธสุมังคละพุทธเจ้า ทางด้านซ้ายมือของพระพุทธองค์
     
  11. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..สมเด็จพระพุทธสุมังคละพุทธเจ้า-กำเนิดคาถามณีจักรวาล..


    เมื่อกราบพระบาทของพระพุทธสุมังคละพุทธเจ้าแล้ว ได้กราบขอขมาแล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...

    “……เราสุมังคละพุทธเจ้า ระหว่างที่ได้บำเพ็ญพระสัมมาสัมโพธิญาณนั้น เราปรารถนาจะช่วยเหลือคนพาลสันดานหยาบให้กลับตัวกลับใจให้เป็นคนดี
    แต่การเอาชนะคนพาลเหล่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ถ้าเราไม่ลงไปคลุกคลีกับพวกเขาเหล่านั้น จะไม่มีทางจะรู้จุดอ่อนได้ จึงต้องศึกษาทุกแง่มุมของคนที่มีสันดานหยาบเหล่านั้น เพื่อช่วยเหลือให้เขากลับตัวกลับใจ

    ระหว่างนั้นเอง เราถูกเทวบุตรมารรบกวน อันเนื่องมาจากเราไปแย่งบริวารของพวกเขาเหล่านั้น ทำให้เขาไม่พอใจ หากทางกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา

    เราจึงค้นพบว่า หากใจมนุษย์มีความแจ่มใสอยู่เสมอ มารเหล่านั้นไม่อาจจะย่ำยีทำร้าย หรือทำลายเราได้ จึงค้นวิชาดึงแสงจากจักรวาลต่าง ๆ มารวมตัวที่ศูนย์กลางกายของมนุษย์ โดยประชุมรวมเทวดาทั้งหลายจากจากจักรวาลต่าง ๆ ที่มีฤทธานุภาพมากเป็นผู้ดูแลพระคาถานี้ เรียกว่า

    “คาถามณีจักรวาล”

    ...โอม มณีจักรวาลัง กุละกุลัง สวาโหม....

    โดยท้าวสักกเทวราชจะเป็นผู้เก็บคาถานี้ไว้ คนที่จะได้คาถานี้ไปจะเป็นสายปราบมารโดยเฉพาะ จะส่งมอบต่อกันเป็นรุ่นต่อรุ่น เป็นการช่วยพระโพธิสัตว์บารมีใกล้เต็มให้สำเร็จเร็วขึ้น

    อานุภาพของพระคาถาจะช่วยสลายโมหะในจิตออกไปด้วย เอาละวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ ถ้ามีอะไรเราจะมาใหม่”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2014
  12. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..พุทธตันตระ -สมเด็จองค์ปัจจุบัน..

    เวลาต่อมาในวันเดียวกัน(๑๘ พค.๕๗)ได้ไปกราบสมเด็จองค์ปัจจุบัน ขอทราบความรู้เกี่ยวกับพุทธตันตระ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...

    “เมื่อเราตรัสรู้ใหม่ ๆ ในพรรษาแรก (๑ ปี หลังตรัสรู้) เคยมีพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งได้มาถามถึงการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สุญญตาแบบผู้ยังไม่หมดกิเลส

    เราได้ใช้ญาณทัสสนะย้อนกลับไปดูบุพกรรมของท่านผู้นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีใกล้เต็ม แต่ต้องผ่านการเรียนรู้เพื่อดับถอนตัณหา

    เมื่อย้อนไปดูบุพกรรมแล้ว พบว่า มีเพียงทางเดียวที่จะถอนรากถอนโคนได้ คือ การใช้ตัณหา เพื่อละตัณหา


    เวลานั้นไม่มีการบันทึกวิธีการสอนใด ๆ เราก็ยังไม่มีอุปัฏฐาก ผู้สดับรับฟังเทศนาครั้งนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นพระโพธิสัตว์ ต่างก็จดจำวิธีการ และนำไปปฏิบัติ

    การที่เราเผยแผ่พระศาสนาออกไปแต่ละแห่งนั้น ผู้รับคำสอนจะจดจำเฉพาะคำสอนที่เหมาะกับจริตของตน จะถ่ายทอดกันจากอาจารย์สู่ศิษย์ จากรุ่นสู่รุ่น โดยไม่มีการจดบันทึก

    ศาสนาของเราในปัจจุบัน จึงมีหลากหลายกลุ่ม แต่มีเป้าหมายเดียวกัน ในประเทศไทยส่วนใหญ่ผู้มาเกิดจะเป็นผู้ติดตามเรามาแต่อดีต และเป็นผุ้มาเกิดเพื่อทะนุบำรุงพระศาสนาให้ครบ ๕๐๐๐ ปี จึงมีความศรัทธาในคำสอนและปฏิบัติตามจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เป็นแดนพระศาสนาของเราเจริญรุ่งเรือง

    ส่วนทางประเทศจีน ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เป็นแดนที่ยุคพระศรีอารียเมตไตรยจะเจริญรุ่งเรือง บริวารของท่านมาเกิดเยอะ เพื่อบำเพ็ญบารมีรองรับการไปเกิดในยุคพระศรีฯ


    ส่วนสายพระลามะในธิเบต ภูฏานนั้น เป็นแดนแห่งการสร้างพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีใกล้เต็มต้องเรียนรู้การถอนราก ถอนโคนแห่งตัณหา อุปปาทานจึงเหมาะสมกับพุทธตันตระยาน

    ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธสายใด ล้วนแต่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งสิ้น ทีเป้าหมายอยู่ที่พระนิพพานเดียวกัน เพียงแต่ใครจะสำเร็จก่อนหลังเท่านั้น

    เอาละ ถ้ามีข้อสงสัย เธอมาถามเราได้ เวลานี้ขอให้ไปกราบพระพุทธวิปัสสีก่อน”
    หลังจากนั้นได้กราบพระบาทของสมเด็จองค์ปัจจุบัน และไปกราบสมเด็จพระพุทธวิปัสสีฯ(ขอเว้นการกล่าวถึงในที่นี้)

    ผลบุญแห่งให้ธรรมทานครั้งนี้ มีผลเพียงใด ขอน้อมถวายแด่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระโพธิสัตว์ และพระสงฆ์ทั้งหลาย

    ตลอดทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ไม่ได้เอ่ยนาม พรหมเทพเทวาที่ปกป้องรักษาข้าพเจ้า และผู้ที่เคยสงเคราะห์แก่ข้าพเจ้าจนถึงบัดนี้ด้วยเถิด สาธุ


    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai


     
  13. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..๒๒ พค.นี้ เวลา ๑๒.๓๒ น.-ประมูลดวงแก้ววสีจักรพรรดิ ขนาด ๑๐ กก.

    =_UTF-8_B_4Lig4Liy4Lie4LiW4LmI4Liy4LiiMDAzOS5qcGc=_=.jpg

    ดวงแก้ววสีจักรพรรดิ อธิษฐานโดยพระตันตปาลฤาษี ก่อนในสมัยพุทธกาลสมเด็จพระสุมังคละพุทธเจ้า ก่อนพระไวยยจักรฤาษีออกจากสมาบัติ อัญเชิญจากเทือกเขาภูพาน

    มีกายสิทธิ์ ๕๔,๗๙๐,๐๐๐ องค์ พระศีลบริพัตรพรหม เป็นผู้ดูแลดวงแก้ว ปัจจุบันอยู่พรหมชั้น ๑๑ พร้อมเทวดาชั้นนิมมานรดีอีก ๖ องค์

    รายการนี้ขอมอบเพชรพญานาค ๗ สี เพิ่ม ๑ ชุดค่ะ

    เริ่มต้นประมูลที่ ๑๗,๙๙๙ บาท

    =_UTF-8_B_4Lig4Liy4Lie4LiW4LmI4Liy4LiiMDAzOC5qcGc=_=.jpg

    ถ่ายจากสถานที่อัญเชิญจริง..

    กติกาในการประมูล

    ๑. ประมูลวันที่ ๒๑-๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ภายใน ๑๒.๓๒ น. ตามฤกษ์พรหมสิทธิ์ และมหัทธโนฤกษ์ ตรงกับวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย

    ๒. รายการประมูลจะมอบแด่ท่านที่ประมูลราคาสูงสุดภายในเวลาที่กำหนด (ตามเวลาเว็บพลังจิต.org)

    ๓. หากที่มีผู้ประมูลราคาสูงสุด และเวลาเท่ากัน ๒ ท่าน จะตัดสินด้วยผู้ที่ทำการโพสต์ก่อนเป็นอันดับแรก
    ๔. หลังจากปิดการประมูล โอนปัจจัยภายใน ๒ วันหลังจากโอนปัจจัยแล้ว กรุณาแจ้งชื่อ-ที่อยู่ใน PM-Numsai ค่ะ

    กรุณาโอนปัจจัยไปที่......

    ชื่อบัญชี พุทธารา โรจนฤทธิกร
    เลขที่ 080-252647-2
    ธนาคาร ไทยพาณิชย์
    สาขา ถนนศรีนครินทร์ (กรุงเทพ – กรีฑา)
    ประเภท ออมทรัพย์-แบบสะสมทรัพย์


    ปัจจัยหลังหักค่าใช้จ่าย ปัจจัยส่วนหนึ่งร่วมบุญดังนี้

    ๑. ๒๐ % ร่วมสร้างสมเด็จพระพุทธวิปัสสีโภครัศมีโชติ ขนาดหน้า ๔ ศอก สร้างด้วยหินทรายขาว

    ๒. ๑๐% ร่วมบุญปล่อยปลา และถวายสังฆทาน แด่ถวายสมเด็จพระสังฆราชแห่งราชอาณาจักรภูฏาน


    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2014
  14. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    ขอร่วมบุญประมูลดวงแก้ววสีจักรพรรดิ 18,700 บาท
    ขออนุโมทนาบุญครับ
     
  15. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    ขอร่วมประมูลดวงแก้วสีจักรพรรดิ์18500บาทครับ
     
  16. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    ขอร่วมประมูลดวงแก้วสีจักรพรรดิ19000บทครับ
     
  17. suwat.su

    suwat.su เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    7,655
    ค่าพลัง:
    +55,543
    ขอร่วมประมูลดวงแก้ว วสีจักรพรรดิ 23,000 บาทครับ
     
  18. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    ขอร่วมประมูลดวงแก้วสีจักรพรรดิ23500บทครับ
     
  19. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    ดวงแก้ววสีจักรพรรดิใสกิ๊งงแวววาวงามจับจิตค่ะพี่น้ำใส นู๋ยังมะมีวาสนาตอนนี้ pity_pig
    ขออนุโมทนาบุญกับผู้ร่วมประมูลทุกท่านด้วยนะคะ และขอยินดีกับท่านผู้ประมูลได้ล่วงหน้า

    ขออนุโมทนาบุญพี่น้ำใสและพี่น้องทุกท่านทั้งหมดทั้งมวลค่า สาธุ
     
  20. suwat.su

    suwat.su เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    7,655
    ค่าพลัง:
    +55,543
    ขอร่วมประมูลดวงแก้ว วสีจักรพรรดิ 25,000 บาทครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...