*ทิพยนิยาย*

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    บวชใจ

    ใกล้รุ่งเข้ามา ไอ้หินและลูกน้องก็ร้อนใจมากขึ้นที่จะแบกพระออกไปให้ได้ ฝนชักซาเม็ดลงแล้วประเดี๋ยวพระเณรก็จะตื่นขึ้นทำวัตร ช่วยกันยกพระสุดใจขาดดิ้น แขนทั้งสองของทั้งสามถลอกปอกเปิกเป็นแผลเลือดไหลแดงเถือก แต่ไม่มีทางจริงๆ ไม่มีทางเอาออกไปได้เลยเพราะแรงบันดาลฝ่ายกุศลชักโยงอยู่ ตราบใดที่พวกแกยังดื้อรั้นเถยจิตดื้อดึงตัวแกก็คงจะต้องถูกผูกมัดวนเวียนจนเลือดโทรมกายอยู่เช่นนี้

    “เราเป็นเทวดาผู้ยึดมั่นอยู่ในหิริโอตตัปปะ ไม่บันดาลให้โทษอะไรเจ้าเลยเพราะมันเป็นเวร แต่เจ้าทั้งสามเองต่างหากที่ยึดมั่นอยู่ในความโลภ ไม่วางพระอันหนักอึ้งนั้นเสีย กรรมของเจ้าเองต่างหากที่ทำให้เจ้าต้องเลือดโทรมกาย”
    เทพบริวารทั้งสองรำพึงสังเวช

    และถ้าจะชักเย่อกันอยู่เช่นนั้น แน่นอนไอ้เดนนรกทั้งสามคงต้องสุดใจขาดดิ้นอยู่กับความโลภที่ไม่ยอมปล่อยวาง แต่ละคนเริ่มหน้ามืดตาลายจวนเจียนจะขาดใจเพราะความเหนื่อยอยู่รอมร่ออันอาจเป็นเวรผูกพันมาถึงเทพได้ เทพบริวารจึงบันดาลให้คนทั้งสามแบกพระเซแซ่ดๆ ตรงไปยังศาลเทพารักษ์ที่สวนหย่อมมุมป่าช้า วางพระไว้บนศาลนั้นแล้วทั้งหมดก็สลบไสลอยู่หน้าศาลนั่นเอง

    พฤติการณ์อุบาทว์ของมนุษย์ทั้งสาม สัมภเวสีเฝ้าดูอยู่โดยตลอดและมีความรู้สึกว่ามันเป็นพฤติการณ์ชั่วช้าที่มีความหมายตรงข้ามกับคำว่าบุญ กุศล สัมภเวสีจำหน้าไอ้หิน คนที่เป็นลูกพี่ในการก่อกรรมได้อย่างถนัดและจำไว้ แต่เมื่อเห็นมันพ้นกรรมของมันเองสัมภเวสีก็มิได้ลงมืออย่างใดลงไป

    เมื่อฟื้นจากสลบตอนรุ่งเช้า ทั้งสามตกใจตื่นขึ้นอย่างโผเผ ที่ฝ่ามือและร่างกายมีเลือดเปรอะไปหมด ทั้งสามมองไปที่ศาลซึ่งเขาจำได้ว่าเอาพระวางไว้ตรงนั้น แต่บนศาลเทพารักษ์ว่างเปล่าไม่มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ มันกระโดดเข้าไปดูใกล้ๆ ค้นหาในศาลจนทั่วก็ไม่มี มันชะเง้อกลับไปทางโบสถ์ในวัดก็เห็นพระเณรหลายองค์พากันจดๆ จ้องๆ มองดูรอยเท้าย่ำโคลนเป็นเทือกอยู่รอบๆ โบสถ์ และในที่สุดพระองค์หนึ่งสงสัยจึงเอากุญแจไขประตูโบสถ์เข้าไปสักครู่แล้วกลับออกมาบอกพระเณรข้างนอกว่า

    “ทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วนปกติไม่มีอะไรหาย เอ...แล้วไอ้รอยเท้าคนที่ย่ำโคลนเปรอะเต็มไปหมดรอบๆ โบสถ์เหมือนรอยเท้าคนเดินเวียนเทียนนี้มันอะไรกันเล่า”
    พระเณรพากันวิพากษ์วิจารณ์ เดนนรกทั้งสามมองตากันและพยักหน้า ค่อยๆ ย่องลัดเลาะออกไปทางมุมป่าช้าหนีเอาตัวรอดไปก่อน
    “เอ...แล้วพระพุทธรูปองค์นั้นเดินกลับไปอยู่ในโบสถ์ตามเดิมได้ยังไง”
    เดนนรกทั้งสามงงงวยไปตามๆ กัน

    หลบมานอนรักษาบาดแผลอยู่ในกระต๊อบกลางสวนอยู่หลายวัน เมื่อค่อยยังชั่วขึ้นไอ้หินก็ชักจะเริ่มคิดกำแหงได้อีก มันคิดถึงแผนการลับเฉพาะภายในใจของมันแต่ผู้เดียวที่จะเผด็จศึกแม่ชีสาวสุดคนึงตามแผนที่วาดไว้อย่างวิตถาร งานนี้มันจะลงมือคนเดียวมิได้บอกกล่าวให้พรรคพวกรู้

    ดึกสงัดในคืนเดือนมืดอีกคืนหนึ่ง ไอ้หินก็ย่องเข้าไปในวัดพร้อมด้วยธูปรมควันพิษ เครื่องมือที่มันเคยใช้รมควันเจ้าทรัพย์ให้หลับใหลแล้วยกเค้าขโมยทรัพย์สินได้ผลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
    “แต่คราวนี้กูจะลักหลับแม่ชีที่รักของกูให้สำเร็จให้จงได้”
    มันตั้งใจแน่วแน่ที่จะเล่นบทเจ้าชู้ยักษ์ในคืนนี้

    ไอ้หินมุดรั้วเข้าไปทางมุมศาลเทพารักษ์ที่มันเคยหนีออกมาเมื่อคราวขโมยพระ เดินดิ่งตรงไปยังกุฏิแม่ชีสาวที่หน้าป่าช้า ไม่มีใครเห็นแต่ผีเห็น สัมภเวสีตนนั้นจำหน้าเสี้ยมๆ ที่เคยเข้ามาก่อกรรมทำชั่วเมื่อหลายวันก่อนได้อย่างดี
    “ไอ้มนุษย์ตัวนี้นี่แหละ ที่เป็นหัวหน้าเถยจิตเมื่อคืนฝนตกหนัก”
    สัมภเวสีย้ำความทรงจำ แล้วเดินลอยตามหลังมา

    ด้วยความไม่ประมาท ไอ้หินจุดธูปรมควันใต้กุฏิแม่ชีทองใบเพื่อให้หลับใหลเสียก่อน แล้วจึงย่องเข้ามาจุดธูปรมควันใต้กุฏิของแม่ชีสุดจนแน่ใจว่าชีทั้งสองกุฏิเข้าสู่นิทรารมณ์สนิทดีแล้ว มันจึงค่อยๆ ย่องขึ้นไปที่ประตูเตรียมเครื่องมือสะเดาะกลอนด้วยความชำนิชำนาญ

    ด้วยสัญชาติญาณของสัมภเวสีที่รู้รำลึกถึงคำว่า พระ ธรรมะ บุญ กุศล ความดี ความสุข และเข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดีแล้วผู้นี้พฤติการณ์เช่นนั้นของมนุษย์บาปหน้าเสี้ยมที่กำลังจะงัดกลอนประตูแม่ชีผู้มีพระคุณอย่างล้นเหลือของตนอยู่ย่อมเป็นสัญญาณแห่งความชั่วช้าเป็นแน่
    “มันจะเข้าไปทำชั่วกับแม่ชีสุด...มันจะทำชั่วกับแม่ชีสุด”
    สัมภเวสีทบทวนความรู้สึก
    “เราจะต้องช่วยเหลือ...เราจะต้องช่วยเหลือ”
    สัมภเวสีเดินลงไปยืนอยู่ข้างหลังไอ้หิน
    “เราจะรวมตัวเป็นรูปมายาในร่างของแม่ชีสุด ให้ไอ้หน้าเสี้ยมมาทำชั่วช้ากับเราแทนเพื่อป้องกันแม่ชีสุดไว้”

    สัมภเวสีคิดทบทวนวิธีช่วยเหลือแล้วพยักหน้ากับตนเองอย่างพอใจ และหัวเราะน้อยๆ อย่างนึกสนุก
    สัมภเวสีรวมตัวเป็นรูปมายาสำแดงร่างเป็นแม่ชีสุดคนึง กำลังนอนหลับสนิทอยู่ที่ริมระเบียงกุฏิด้านหนึ่ง แล้วบันดาลให้ไอ้หน้าเสี้ยมเหลียวมามอง

    ไอ้หน้าหินเหลือบมองร่างขาวโพลนนอนอยู่ข้างนอกจึงชะงักที่จะถอดกลอนประตูลง
    “อ้าว มานอนคอยอยู่ข้างนอกนี่เอง เหมือนรู้ใจ”

    ไอ้เดนนรกคิดในใจโดยไม่ฉงนแม้แต่นิดว่า เมื่อกี้ตอนที่ย่องขึ้นมาหามีร่างปรากฏให้เห็นไม่ ความกำหนัดมันบดบังความรู้สึกผิดปกติเสีย มันจึงค่อยๆ ก้มลงมาสำรวจดู เห็นแม่ชีกำลังหลับสนิท เมื่อเหลียวซ้ายแลขวามองฝ่าความมืดไปรอบๆ เห็นทุกอย่างยังเงียบสงบเป็นทางสะดวก มันจึงค่อยๆ บรรจงช้อนร่างแม่ชีน้อยขึ้นไว้บนแขน ด้วยแน่ใจว่าฤทธิ์ยารมคงจะไม่ทำให้เธอตื่นขึ้นมาง่ายๆ มันอุ้มร่างนั้นเดินดิ่งตรงเข้าไปในป่าช้า

    วางร่างสาวน้อยบนโกดังศพแล้วไอ้หน้าเสี้ยมก็ลงมือกระทำชั่วบัดสีกับร่างสัมภเวสีที่แปลงรูปเป็นแม่ชีอย่างคึกคะนอง มันเพ่งพิศที่ใบหน้าขาวของเจ้าของเรือนร่าง ใบหน้านั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น ริมฝีปากเผยอบิดเบี้ยวเหยเก ใบหน้าอันเหยเกดูบิดเบี้ยวมากขึ้นๆ นัยน์ตาที่ปรือขึ้นเมื่อแรกดูเบิกกว้างกลมโตขึ้น...โตขึ้นจนลูกตาที่อยู่ตรงกลางกลายเป็นสีแดงถลนโปนออกมานอกเบ้า ริมฝีปากที่บิดเบี้ยวกลายเป็นแสยะยิ้มมีลิ้นแลบยาวเฟื้อยออกมาเกือบถึงใบหน้าไอ้หิน ใบหน้าที่นวลขาวก็เปลี่ยนเป็นเน่าเฟะ มีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม เรือนร่างทรวดทรงอันอวบอัดกลายเป็นโครงกระดูกค่อยๆ ลุกขึ้นมากางแขนทั้งสองข้างกอดรวบร่างของไอ้หินไว้แน่นด้วยความรักสุดขีด

    ไอ้หินร้องได้คำเดียว
    “โอ๊ะ!!!...” แล้วก็หมดสติฟุบคว่ำหน้าซบอยู่กับโกดังเก็บศพนั้นด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า อวัยวะของมันถลอกปอกเปิกและติดคาอยู่ในช่องหินชำรุดหน้าโกดังศพ
    สิ้นสุดกำหนัดราคะของไอ้บ้ากามลงเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นก็มีผู้มาพบไอ้หินนอนสลบไสลอยู่ ได้ช่วยนำไปหาหมอ หมอรักษาอยู่นาน ร่างกายส่วนอื่นหายหมดแต่อวัยวะเพศเน่าเฟะจนต้องตัดทิ้งพร้อมกับแขนทั้งสองข้างซึ่งเริ่มเน่าเช่นเดียวกันจึงถูกตัดทิ้งขึ้นมาเหนือข้อศอกเหมือนกับคนไข้ชายอีกสองคนที่เกิดแผลเน่าเฟะที่แขนทั้งสองข้างและถูกตัดทิ้งไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ไอ้คนไข้ทั้งสองนั้นก็คือไอ้เดนนรกที่ร่วมไปขโมยพระกับไอ้หินในคืนฝนตกหนักนั้นเอง

    กรรมสนองทันตา บัดนี้ไอ้เดนนรกเพื่อนร่วมสันดานทั้งสามต้องกลายเป็นไอ้ด้วนแขนขาดเท่าๆ กัน นั่งขอทานเขากินพอประทังชีวิตไปวันๆ หนึ่ง ไอ้ด้วนผู้เป็นหัวหน้านอกจากจะแขนขาดเหมือนลูกน้องทั้งสองแล้วยังมีลักษณะพิเศษยิ่งกว่าคืออีกอย่างหนึ่งภายในก็ขาดไปด้วยสะใจยิ่งนัก

    ปัจจุบันสามเกลอนอกจากจะเป็นคนพิการนั่งขอทานเขากินแล้ว ยังเป็นนักเทศน์ข้างถนนที่มีนิทานเรื่องบาปบุญคุณโทษ เรื่องผี เรื่องพระพุทธรูปในโบสถ์ เรื่องสามเกลอผู้สรงน้ำพระพุทธรูปในคืนฝนตกหนัก เรื่องเวียนเทียนรอบโบสถ์ และเรื่องความรักบนกุดังเก็บศพเป็นต้น เอาไว้เล่าเป็นอุทาหรณ์เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมให้ผู้ที่สนใจฟังเป็นการตอบแทนในการขอทางอีกด้วย
    สามเกลอกลับใจเชื่อมั่นในเรื่องบาปบุญซึ่งแต่ก่อนมิเคยคิดได้เลย ทุกคนพากันคิดถึงพระคิดอยากจะบวชพระ แต่ก็รู้สึกเสียใจว่าสายไปเสียแล้ว เพราะกลายมาเป็นคนพิการเช่นนี้มิอาจบวชได้เนื่องจากอาการไม่ครบสามสิบสอง

    รุ่งอรุณแล้ว พระครูจิตตังยังคงเดินตามพระภิกษุศรัทธา เพื่อนสมณะผู้อาวุโสพรรษาออกโปรดเวไนยสัตว์ไปในเส้นทางสายเดิม
    ที่ท้ายตลาดเช้าวันนั้นสามเกลอแขนด้วนพร้อมหน้ามายืนรอดักพระภิกษุอยู่ เตรียมอาหารคาวหวานมาใส่บาตรที่ข้างทาง เมื่อภิกษุทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ทั้งสามก็คุกเข่าลงกับพื้นดิน เอาแขนด้วนชนกันต่างประนมมือไหว้แล้วนิมนต์สมณะรับบาตร ใช้แขนด้วนทั้งสองประคองอาหารแต่ละอย่างใส่ลงในบาตรอย่างทุลักทุเลแต่ก็เสร็จเรียบร้อยในที่สุด เมื่อต่างคนต่างใส่บาตรเรียบร้อยแล้วก็พากันก้มกราบกับพื้นโดยเอาแขนด้วนทั้งสองทิ่มลงกับพื้นสามครั้ง เขาพากันเหลือบสายตามองใบหน้าพระครูจิตตังด้วยรอยปีติบนใบหน้า แต่ในดวงตามีน้ำตาเอ่อท้นขึ้นมาและไหลซึมลงเป็นทาง

    “หลวงพี่...ผมคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว กลายเป็นคนพิการไม่สามารถจะบวชเป็นภิกษุได้ ผมทั้งสามเพิ่งเห็นแสงสว่างเชื่อบาปบุญคุณโทษว่ามีจริง เพราะผมประสบมาด้วยตนเองทั้งสามคน เพราะกรรมที่พวกผมก่อขึ้นพวกผมจึงต้องชดใช้กรรมเห็นทันตาในชาตินี้ ต่อแต่นี้ไปผมจะพยายามปฏิบัติประพฤติอยู่ในศีลธรรม จึงอยากจะให้หลวงพี่กรุณาให้แสงสว่างด้วย”

    ไอ้หิน ผู้เป็นหัวหน้าปรารภขึ้นด้วยความจริงใจ พระครูนิ่งชั่วครู่หนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ
    “กาลเวลายามนี้ของโยมทั้งสามเป็นเวลารุ่งอรุณแล้วละ...ไม่ใช่สายดังที่เข้าใจ ความมืดมิดแห่งราตรีมันได้ผ่านพ้นไปแล้วต่างหาก โยมเห็นแสงสว่างยามเช้าแล้ว เดี๋ยวนี้โยมหายพิการแล้ว เมื่อก่อนจิตใจโยมพิการอยู่จึงมองไม่เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่ขณะนี้โยมเห็นธรรมะ นั่นแหละโยมหายพิการอย่างสิ้นเชิง บาปบุญคุณโทษมีจริง ทุกคนต้องประสบด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่ประสบแล้วนึกได้นั่นเป็นบัณฑิต เป็นคนดี โยมทั้งสามเป็นคนดีและมีบุญแล้วที่กรรมตามมาให้ชดใช้เสียเร็วๆ จะได้หมดๆ ไปเสีย ต่อไปก็จะเหลือแต่บุญกุศลอย่างเดียว...โยมไม่ต้องเสียใจไม่ต้องกลัวว่าจะบวชไม่ได้ โยมบวชได้แล้ว ต่อแต่นี้ไปโยมจงบวชเถิดและเป็นการบวชที่สำคัญกว่าห่มผ้าเหลืองเป็นไหนๆ...”บวชใจ” ยังไงล่ะ โน้มจิตให้ถึงธรรมะนั่นเป็นการบวชที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จงบวชตั้งแต่วินาทีนี้เถิด เจริญพร...

    สามเกลอขอทานเข้าใจขึ้นมาทันที ดวงตาแจ่มใสปีติยิ่งนัก พากันก้มกราบอีกคนละสามครั้งแล้วภิกษุผู้โปรดสัตว์ก็ย่างเท้าจงกรมผ่านไป
    “สาธุ...พระคุณเจ้า...เราคงจะพ้นนรกกันได้มั่งกระมัง”
    ทั้งสามอุทานเบาๆ ขึ้นพร้อมกัน ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นส่องแสงสว่างไสวไปทั่วอาณาบริเวณอีกวาระหนึ่ง แล้วเพื่อนเกลอทั้งสามต่างแยกย้ายไปนั่งขอทานด้วยดวงจิตอันเป็นสมณะในลักษณะ “บวชใจ” ทั้งสามคน
     
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เกี่ยวกับผู้เขียนค่ะ

    บัญช์ บงกช
    (บัญชา ยังพะกูล)
    จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    เคยประกอบอาชีพเป็นทนายความ ช่วยเหลือผู้เป็น
    คดีความด้วยความเป็นธรรม เป็นนักเขียน เป็นนัก
    หนังสือพิมพ์ ใช้ความรู้ความสามารถ ใช้คุณธรรม
    และจริยธรรมดำเนินชีวิตมาตลอด จนบัดนี้ได้เห็น
    สัจธรรมแห่งชีวิต จึงได้หันมาเขียนหนังสือธรรมะ
    เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า อันเป็นคำสอนที่
    วิเศษสุด หากผู้ใดได้ปฏิบัติแล้วจะได้พบกับความสงบ
    กิเลสใดๆ ที่รุมเร้าในทางโลกจะไม่สามารถทำให้ผู้นั้น
    รุ่มร้อน ทุรนทุรายกับความทุกข์ได้เลย
    “ทิพยนิยาย ทิพยสถานมหาราชิกา" เป็นหนังสือที่เปิดเผย
    ดินแดนสวรรค์ซึ่งผู้ปฏิบัติที่มุ่งสู่นิพพานจะต้อง
    ผ่านมิติเรืองรองงดงามแห่งนี้ ผู้เขียนขอยืนยันว่าไม่ได้เขียนขึ้น
    จากจินตนาการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 เมษายน 2014
  3. สิเนรุ อุตรกุรุ

    สิเนรุ อุตรกุรุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +297
    สาธุ ไม่ใช่เฉพาะนิยายนะ แต่นี่เป็นธรรมอุบายขั้นสูงเลย อนุโมทนา
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สาธุ...รู้สึกปลื้มและสุขใจได้บุญมากค่ะ ที่มีคนเข้ามาอ่านแล้วไม่คิดแค่ว่าเป็นเพียงนิยาย เราคิดว่าแม้แต่ตัวละครสำคัญๆ ทุกท่านมีตัวตนอยู่จริง ขอบคุณและขออนุโมทนาทุกๆ ท่าน ที่เข้ามาอ่านนะคะ :d
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    มโนมยิทธิ

    นับจากวันที่เด็กน้อยได้ขอจดวิชชา 8 จากหลวงพ่อพระครูจิตตัง จากกุฏิท้ายป่าช้ามา เด็กชายผู้มีความสนใจเป็นพิเศษในวิชชาธรรมของพระพุทธองค์ก็ได้ท่องบ่นจดจำได้อย่างแม่นยำในเวลารวดเร็ว

    วิชชาที่ 1 คือ วิปัสสนาญาณ...ญาณในวิปัสสนา
    วิชชาที่ 2 คือ มโนมยิทธิ...ฤทธิ์ทางใจ
    วิชชาที่ 3 คือ อิทธิวิธิ...แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ
    วิชชาที่ 4 คือ ทิพพโสต...หูทิพย์
    วิชชาที่ 5 คือ เจโตปริยญาณ...รู้จักกำหนดใจผู้อื่นได้
    วิชชาที่ 6 คือ ปุพเพนิวาสานุสติ...รำลึกชาติต่างๆ ได้
    วิชชาที่ 7 คือ ทิพพจักขุ...ตาทิพย์
    วิชชาที่ 8 คือ อาสวกขยญาณ...ความรู้แจ้งที่ทำให้สิ้นกิเลส

    เมื่อมีเวลาว่าง เด็กชายน้อยก็ทบทวนวิชชา 8 พึมพำๆ อยู่แต่ผู้เดียว แล้วก็คิดถึงวิชชาแต่ละวิชชา
    “...มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจเอย อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ เอย ทิพพโสต หูทิพย์เอย เจโตปริย รู้ใจผู้อื่นเอย ปุพเพนิวาสานุสติ รำลึกชาติได้เอย ทิพพจักขุ ตาทิพย์เอย...ล้วนแต่เป็นวิชชาที่น่ารู้ทั้งนั้น ส่วนวิชชาที่ 1 และที่ 8 นี่สิ เอาไว้เข้าใจทีหลังก็ได้”

    เด็กน้อยก็คิดตามประสาเด็ก เห็นวิชาไหนน่าสนุกก็สนใจที่จะเรียนรู้ก่อน วิชาไหนที่ฟังแล้วรู้สึกยากๆ ก็ปล่อยผ่านไปก่อน
    “แค่มีฤทธิ์ทางใจตามที่หลวงพ่ออธิบายไว้ย่อๆ ว่าเช่นนิรมิตกายอื่นออกจากกายเรานี้ได้เท่านี้ก็กินขาดแล้ว คนคนเดียวทำให้เป็นหลายๆ คน คนหลายๆ คนทำให้เป็นคนเดียว ถ้าทำได้จริงๆ น่าสนุกจะตายไป...แต่ เอ...มีใครทำได้จริงๆ หรือ” เด็กน้อยเกิดความลังเลสงสัย

    “ต้องมีสินะ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วหลวงพ่อพระครูจะกล้ามาบอกเราได้อย่างไร หลวงพ่อเป็นพระพูดโกหกไม่ได้ และหลวงพ่อก็บอกว่าเป็นวิชชาของพระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธเจ้ายิ่งเป็นยอดของพระต้องกล่าวความจริงไว้แน่ๆ
    แล้วสัมมาทิฐิในความรู้สึกพิจารณาก็ชี้นำให้เชื่อมั่นขึ้น

    “แล้วทำไมในชั้นเรียนไม่เห็นมีสอนกัน เห็นมีแต่วิชา...วิชา...แต่ไม่เห็นมีวิชชาสักวิชชาหนึ่งเลย ทำไมครูที่โรงเรียนจึงไม่เอามาสอนบ้างนะ”
    เด็กชายคิดวกไปแล้วก็วนมาอีก สงสัยแล้วก็พิจารณา
    “อ้อ...เรารู้แล้ว วิชาที่เราเรียนในโรงเรียนครูเคยบอกว่าเป็นวิชาทางโลก เราเรียนไปเพื่อรู้ เพื่อนำไปเป็นเครื่องมือประกอบการทำมาหากินในโลกต่อไป แต่วิชชาที่หลวงพ่อบอกคงเป็นวิชชาทางธรรมสินะ ถ้าใครอยากจะเรียนก็น่าจะต้องบวชเป็นพระหรือเป็นสามเณรก็จะเรียนได้อย่างเต็มที่...”

    ผู้มีปัญญามีกุศลเป็นทุนเดิมมักจะคิดพิจารณาสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ถูกได้ชอบด้วยหลักธรรมดาๆ เช่นเดียวกับหนูน้อยซึ่งมีนามว่า “น้อย” ผู้นี้ เขาคิดแบบเด็กๆ แต่ในที่สุดก็พิจารณาได้มากกว่าผู้ใหญ่ส่วนมากที่มิได้พิจารณาถึงธรรมดาธรรมชาติเหล่านี้เลย

    เมื่อเรียนจบวิชาทางโลกในภาคบังคับแล้ว เด็กชายน้อยก็น้อมจิตบรรพชาเป็นสามเณรรักษาศีล 10 อยู่ที่วัดเดียวกับหลวงพ่อพระครูด้วยตั้งใจที่จะศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ตลอดไป สามเณรน้อยเคร่งครัดปฏิบัติรักษาศีล เว้นจากการทำลายชีวิต เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นจากประพฤติผิดพรหมจรรย์คือการร่วมประเวณี เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากของเมา เว้นจากบริโภคอาหารในยามวิกาลคือเที่ยงไปแล้ว เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง เว้นจากการทัดทรงดอกไม้ เว้นจากที่นอนอันสูงใหญ่ และเว้นจากการรับทองและเงินอันเป็นศีลสำหรับสามเณรพึงปฏิบัติอย่างมิขาดตกบกพร่องเลยเป็นประจำเสมอมา

    ยามใดเมื่อว่างจากกิจวัตรตามปกติ สามเณรน้อยก็มักจะหาโอกาสไปขอคำแนะนำการปฏิบัติเกี่ยวกับการเจริญจิตสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งไต่ถามข้อขัดข้องในวิชชา 8 กับหลวงพ่อพระครูเป็นประจำด้วยความสนใจตั้งใจและน้อมใจที่จะประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงความปรารถนาในธรรมเบื้องสูงเป็นที่ตั้ง

    “หลวงพ่อครับ คนเราเกิดมาแล้วยังเป็นเด็กเช่นกระผม ยังมิได้ทดแทนพระคุณบิดามารดาตามสมควร ยังมิได้รับใช้สังคมประเทศชาติส่วนรวมเช่นเป็นทหารหรือศึกษาเล่าเรียนให้สูงขึ้นเพื่อนำวิชาความรู้ในทางโลกมารับใช้สังคมให้เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก ยังมิได้ทำงานเพื่อนำความเจริญมาสู่บ้านเมือง เช่นสมัครเป็นผู้แทนหรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน การที่กระผมตัดสินใจหนีทางโลกที่เราอาศัยอยู่มาสู่ทางธรรมโดยบวชเป็นเณรเช่นนี้แล้วจะถือได้ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ตัดช่องน้อยไม่ช่วยเหลือสงเคราะห์เพื่อนร่วมโลกอีกมากมายที่กำลังได้รับทุกข์อยู่บ้างหรือไม่ครับหลวงพ่อ”

    พระครูจิตตังยินดีในคำถามของสามเณรยิ่งนัก
    “สามเณรน้อยมิใช่ธรรมดาบุคคล นับตั้งแต่เริ่มสนใจวิชชา 8 ตั้งแต่พบกันครั้งแรกก็พอจะเห็นแววแล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อมาบวชเป็นสามเณรก็มิใช่สามเณรธรรมดา คำถามเช่นนี้อย่าว่าแต่สามเณรเลย แม้แต่พระภิกษุสงฆ์ทั่วไปก็น้อยองค์ที่จะมีความรู้สึกผิดชอบต่อมนุษยชาติเช่นนี้ สามเณรผู้นี้แม้ยังเป็นเด็กนักแต่มีความรู้สึกล้ำลึก โดยเล็งเห็นผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง”
    หลวงพ่อของสามเณรคำนึงอยู่ขณะหนึ่งก่อนจะตอบ

    “การน้อมจิตบวช เป็นการสละโลกเพื่อประพฤติพรหมจรรย์คือประพฤติธรรมอันประเสริฐ แม้จะเพียงบรรพชาแค่สามเณรก็เป็นผู้ละได้แล้วซึ่งกิเลสพื้นฐานทั้ง 10 ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่เสพเมถุน ไม่ปด ไม่เมา ไม่กินพร่ำเพรื่อ ไม่สนใจการร้องรำทำเพลงเครื่องทัดของหอม ไม่นอนให้สบายเกินควรและตัดเสียซึ่งการอยากได้เงินทองเพียงเท่านั้น...ผู้นำในทางโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เช่นผู้นำในด้านบริหาร เช่นนายกรัฐมนตรีก็มิอาจประพฤติปฏิบัติให้ครบถ้วนเช่นสามเณรได้ แล้วสิ่งไหนจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่มนุษยชาติมากกว่ากัน”

    สามเณรประนมมือกระทำสาธุการ แสดงความยินดีเห็นพ้องและเข้าใจในวิสัชนานั้นแล้วพึงกล่าวต่อไปอย่างปีติ
    “หลวงพ่อครับ เราบวชอยู่ในสมณเพศ ไม่ได้ทำงานหาเลี้ยงชีพตนเอง ได้แต่บิณฑบาตอาหารจากชาวบ้านเป็นที่ตั้งเช่นนี้ กระผมมีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ทุกครั้งเมื่อรับของใส่บาตร รู้สึกเหมือนเรากำลังเบียดเบียนชาวบ้านเขา...”

    “อาตมาเองก็เคยพิจารณาเช่นสามเณร แต่เมื่อมาใคร่ครวญคำนึงถึงพุทธกิจประจำวัน 5 อย่าง ที่พระพุทธองค์ทรงกระทำเป็นประจำ คือ
    1.เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต
    2.เวลาเย็นทรงแสดงธรรมแก่ชาวบ้าน
    3.เวลาค่ำประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ
    4.เที่ยงคืนทรงตอบปัญหาแก่เทพเทวดา และ
    5.จวนสว่างทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่

    จึงเห็นได้ว่าการบิณฑบาตเป็นกิจวัตรประจำวันที่สำคัญของสมณะอย่างหนึ่ง เป็นการโปรดสัตว์แก่เวไนยสัตว์อย่างหนึ่ง เป็นการให้โอกาสให้ชาวบ้านได้มีการน้อมจิตทำบุญโดยถวายอาหารแด่ภิกษุสงฆ์เป็นเบื้องต้น อันเป็นมหากุศลยิ่งแก่ผู้ถวายอาหารเช่นนั้น เพราะเท่ากับเป็นการบำเพ็ญทางให้สมณะยังชีพอยู่ได้ตามสมควร สมณะเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์เป็นผู้นำสัจธรรมของพระพุทธองค์ให้ชาวบ้านได้หยั่งรู้รำลึกได้ถึงบุญกุศล เป็นการสงเคราะห์ให้ชาวบ้านน้อมจิตประพฤติชอบทำดีทำบุญทำกุศล ล้วนแต่เป็นการกระทำที่จะนำไปสู่ความเป็นมงคลทั้งสิ้น การสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเช่นนี้จึงพึงพิจารณาได้ว่ามิใช่เป็นการเบียดเบียนกัน แต่เป็นธรรมสงเคราะห์ซึ่งกันและกันล้วนแล้วแต่จะช่วยส่งเสริมให้เดินไปสู่หนทางแห่งความดีงาม เป็นกุศลกรรม เมื่อพิจารณาความจริงน้อมจิตได้เช่นนี้แล้วอาตมาก็สิ้นความตะขิดตะขวงใจอย่างสิ้นเชิง แต่กลับเพิ่มความสำนึกในการบำเพ็ญสมณวัตร คือหน้าที่ กิจที่พึงกระทำ และข้อปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์ให้สมบูรณ์ครบถ้วนยิ่งขึ้น”

    พระครูจิตตัง ตอบอธิบายด้วยความเต็มใจ ยินดี และพอใจในคำถามซึ่งเกิดจากจิตสำนึกอันเป็นกุศลของสามเณรน้อยยิ่งนัก
    “ครับหลวงพ่อ กระผมพิจารณาได้จากคำอธิบายของหลวงพ่อแล้วครับ”

    “ฉะนั้น การออกบิณฑบาตหรือภิกขาจารคือการออกเที่ยวขออาหารจากชาวบ้านของสมณะ ซึ่งดูผิวเผินคล้ายกับการเที่ยวขอทาน เช่นนี้จึงมีข้อควรปฏิบัติที่สมณะน่าจะถือเป็นการกระทำอย่างเคร่งครัดซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงแนะนำไว้เป็นสำคัญเช่น นุ่งห่มให้เรียบร้อยสำรวมกิริยาอาการถือบาตรภายในจีวรเอาออกเฉพาะเมื่อจะรับบิณฑบาต กำหนดทางเข้าออกแห่งบ้านและอาการของชาวบ้านที่จะให้ภิกขาหรือไม่ รับบิณฑบาตด้วยอาการสำรวม รูปที่กลับมาก่อนจัดที่สำหรับฉัน รูปที่กลับมาที่หลังฉันแล้วช่วยเก็บกวาด เป็นต้น”

    หลวงพ่อของสามเณรจึงถือโอกาสวิสัชนากถาธิบายความรู้เพิ่มเติมแก่สามเณรในการปฏิบัติเกี่ยวกับการออกบิณฑบาตให้ถ่องแท้เพิ่มขึ้น ซึ่งสามเณรน้อยพนมมือรับสาธุด้วยความยินดี
    “หลวงพ่อครับ...หลวงพ่อขอรับ”

    สามเณรน้อยกล่าวแผ่วเบา อึกอัก และหยุดอยู่เพียงนั้นแบบกล้าๆ กลัวๆ ในลักษณะของเด็กที่กำลังอยากจะได้อะไรจากผู้ใหญ่สักอย่างหนึ่ง พระครูจิตตังยิ้มน้อยๆ พร้อมพยักหน้ารับรอง

    “ถ้าสนใจและตั้งใจก็เริ่มปฏิบัติได้เลย สิ่งเหล่านี้อยู่ที่จิตถ้าคิดจะทำก็เริ่มทำเสีย มิใช่อยู่ที่อาวุโสมากน้อย ฉะนั้นแม้สามเณรเพิ่งจะบวชได้ไม่เท่าไรถ้าจิตตั้งมั่นแน่แท้ก็ไม่ต้องรอเวลาอีกต่อไป อาตมาจะช่วยแนะนำเท่าที่จะช่วยได้...หมายถึงวิชชามโนมยิทธิ หรือมโนมัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ ที่สามเณรกำลังมีความประสงค์จะขอให้อาตมาช่วยแนะนำนั่นแหละ”

    โดยยังมิได้แจ้งความประสงค์ด้วยคำพูด หลวงพ่อก็เข้าใจและรับทราบรับรู้ถูกต้องถึงความในใจของสามเณรน้อยได้ทะลุปรุโปร่ง ยิ่งเพิ่มความปรีดาให้แก่สามเณรเป็นที่ยิ่ง
    สามเณรน้อยก้มลงกราบหลวงพ่อสามครั้ง รู้สึกหัวใจพองโตและมั่นใจในตัวหลวงพ่ออย่างเปี่ยมล้น
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    มโนมัยกาย

    “วิชชามโนมยิทธิ เป็นหนึ่งในวิชชา 8 ประการ เรียกว่า มโนมยาภินิมมนะ แปลว่า การเนรมิตรูปสำเร็จด้วยใจดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในญาณทัสสนะ 8 ประการ”

    ...หมายถึงฤทธิ์ทางใจที่ต้องเนรมิตกาย มีอินทรีย์ครบเหมือนรูปร่างตัวจริงขึ้นแล้วส่งกายหรือรูปร่างนั้นไปทำกิจแทนตนยังที่ไกลหรือให้ปรากฏขึ้นในที่เฉพาะหน้าก็ได้
    เรียกรูปกายที่เนรมิตขึ้นนั้นว่า “มโนมัยกาย” หรือ “นิรมานกาย” รูปกายที่เนรมิตขึ้นใหม่นั้นจะต้องมีภาคของดวงจิตซึ่งแบ่งจากจิตในกายเดิมติดไปด้วย ความรู้สึกแห่งจิตในกายเดิมก็ยังมีอยู่ หรือจะถอดจิตออกไปทั้งหมดโดยที่ไม่มีความรู้สึกในกายเดิมอยู่เลยก็ได้”

    พระครูจิตตังเริ่มกถาธิบายช้าๆ ในขณะที่สามเณรน้อยรีบบันทึกจารึกลงในสมุดพกทันที
    “...วิธีแรก การเนรมิตกายใหม่โดยมีภาคของดวงจิตซึ่งแบ่งจากจิตในกายเดิมติดไปด้วย ความรู้สึกแห่งจิตในกายเดิมก็ยังอยู่นั้น คือทำมโนภาพขึ้นเนรมิตรูปร่างของตนไปปรากฏ ณ เฉพาะผู้ที่เราต้องการช่วยเหลือหรือพบปะทำกิจตามประสงค์แล้วก็กลับ ในขณะที่ส่งจิตไปนั้นร่างกายเดิมจะอยู่ในท่าหรืออิริยาบถใดๆ ก็ตาม มโนมัยรูปต้องให้อยู่ในท่าหรืออิริยาบถปกติ การพูดการแสดงธรรมก็ออกไปจากจิตในร่างกายเดิมนี้ มโนมัยรูปเป็นแต่เพียงภาพปรากฏและถ่ายทอดเสียงจากกายเดิมอีกทอดหนึ่งเหมือนภาพในจอโทรทัศน์เช่นนั้น...

    ...วิธีที่สอง ส่งจิตทั้งหมดออกไปจากร่าง แล้วเนรมิตกายขึ้นตามรูปลักษณะเดิมให้ครบถ้วนแล้วไปทำกิจ หรือไปปรากฏกายในที่ใดๆ โดยมีความรู้สึกเต็มตัวในมโนมัยกายนั้นทีเดียว ส่วนกายเดิมที่อยู่เบื้องหลังนั้นไม่มีความรู้สึก ดำรงความเป็นปกติอยู่ด้วยอำนาจฌานรักษา”

    พระครูกล่าวช้าๆ และเน้นเพื่อให้สามเณรได้บันทึกไปพิจารณาไปในขณะเดียวกันเพื่อจารึกน้อมเข้าสู่จิตที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวด้วยรอยปีติบนใบหน้า เนื่องจากพระครูทราบวาระจิตของสามเณรในทุกขณะว่าวิชชาที่กล่าวบอกทุกถ้อยคำได้เข้าไปกระทบและฝังแน่นอยู่ในธรรมารมณ์ของสามเณรมิขาดตกเลย
    “สามเณรผู้นี้มีกำลังใจเป็นมโนมยิทธิโดยพื้นฐานอยู่แล้ว เพียงแนะนำครั้งเดียวก็รับได้หมด เป็นผู้มีบุญมาเกิดโดยแท้”
    พระครูรำพึงอยู่ในใจก่อนที่จะกล่าวต่อไป

    “ผู้ถึงฌานที่จะน้อมจิตไปภพภูมิสวรรค์ใช้วิธีที่สองนี้จะไปได้คราวละนานๆ เป็นวันเป็นเดือนก็ได้โดยที่กายเดิมไม่เป็นอันตรายเลย ผู้ท่องเที่ยวจะสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับภพภูมิที่ได้สัมผัส”

    เมื่อพิจารณาถึงการรับรู้รับสัมผัสในการน้อมจิตของสามเณรได้อย่างชัดแจ้งแล้ว พระครูจิตตังก็สอนเข้าจุดประณีตขึ้นไปถึงคำว่าสวรรค์ทีเดียว ซึ่งแน่นอนถ้าภูมิจิตของผู้รับการสอนที่มิได้ประณีตละเอียดอ่อนเท่าเทียมกัน เมื่อได้ยินคำว่าสวรรค์จะต้องมีอาการลังเลสงสัยเกิดขึ้นมาทันที แต่จิตของสามเณรน้อยมิได้มีอาการเช่นนั้นเลยแม้แต่นิด สามเณรมีศรัทธาเชื่อมั่นในคำๆ นี้เหมือนกับเชื่อมั่นในคำกล่าวว่าโลกภพซึ่งได้สัมผัสแล้วเห็นแล้วนั่นเอง

    สามเณรน้อยหลับตาชั่วขณะหนึ่ง พระครูจิตตังหลับตาตามขณะหนึ่งเช่นกัน
    ฝ่ายแรกทำขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ) เพื่อเริ่มต้นรำลึกภพสวรรค์ ฝ่ายหลังก็ทำขณิกสมาธิติดตามการรำลึกจิตของฝ่ายแรกเพื่อตรวจดูความถูกต้อง
    “สามเณรเริ่มต้นถูกทางแล้ว”
    พระครูยินดีอยู่ในใจโดยมิได้กล่าวบอก และสาธยายธรรมอย่างช้าๆ ต่อไป

    “เรามาเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติกันเลยก็ได้...
    ...เบื้องต้นเริ่มกันที่ทำกสิณในประการที่ 10 คือ อาโลกกสิณวงกลมแสงสว่าง กำหนดขึ้นในจิตมีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งคืบสี่นิ้วตามที่สามเณรเคยฝึกกำหนดไว้แล้ว ปรับแปรดวงแสงสว่างนั้นให้ละเอียดใสสว่างจนได้ที่คือสว่างใสกระจ่างแจ้งจริงๆ โดยมิมีละอองอณูแห่งความหยาบสักนิดเจือปนอยู่เลย... ย่อดวงกสิณนั้นให้เล็กลงเหลือเท่าประมาณเท่าลูกมะขามป้อม...รวมพลังจิตส่งดวงกสิณที่ย่อแล้วออกไปทางกระหม่อมไปสู่ที่ตั้งใจจะไปปรากฏ เมื่อรู้สึกตัวว่ากายเดิมเบาวูบและได้ไปปรากฏอยู่ ณ ที่ที่ต้องการแล้วขณะนั้นแสดงว่าถอดจิตไปได้แล้ว...

    ตานี้ก็ขยายดวงกสิณให้โตตามเดิมอีก คือโตหนึ่งคืบสี่นิ้วเท่าตอนแรก ในดวงกสิณนั้นย่อมจะมีอายตนะและโผฏฐัพพะหรือผัสสะ คือ เครื่องรับความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ครบถ้วนเป็นอัตโนมัติแล้ว เนรมิตกายให้ปรากฏชัดรองรับครอบคลุมดวงกสิณนั้นไว้ซึ่งจะเรียกว่ากายทิพย์ หรือมโนมัยกาย ตามภพภูมิที่เราได้ไปปรากฏอยู่

    แล้วจะกระทำกิจเช่นสนทนาหรือกระทำสิ่งใดๆ ในทางกุศลธรรมแก่ผู้ที่เราได้ปรากฏให้เห็น หรือถ้าอยู่ในภพภูมิสวรรค์ก็กระทำการสนทนาธรรมกับเทพเทวดาที่เราได้ประสบตามความต้องการ
    เมื่อเสร็จกิจจะกลับก็อธิษฐานเนรมิตกายนั้นให้อันตรธาน ย่อดวงกสิณให้เล็กลงเหลือเท่าลูกมะขามป้อมแล้วกลับสู่กายเดิม

    ภูมิจิตในขณะที่อธิษฐานสถานที่ต้องการจะไป ถ้าจะไปสวรรค์ต้องเป็นฉกามาวจรจิตภูมิ ถ้าจะไปพรหมโลกต้องให้เป็นรูปาวจรจิตหรืออรูปาวจรจิตภูมิ ถ้าจะไปที่ใดๆ ในมนุษยโลก หรือสู่อบายภูมิให้อยู่ในกามสุคติจิตวิเวกชาภูมิ คือทำจิตให้สงัดในสามประการ กายวิเวก จิตวิเวก และอุปธิวิเวก (คือวางจิตให้พ้นจากกิเลสเสีย) ก็เพียงพอ”

    ทั้งจดทั้งจำทั้งปฏิบัติทดลองไปพร้อมๆ กันด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ สามเณรน้อยจึงได้วิชชามโนมยิทธิไว้ในภาคทฤษฎีแล้วไม่ยาก เพียงช่วงเรียนอยู่กับหลวงพ่อและทดลองปฏิบัติไปพร้อมกันเหตุการณ์ประหลาดก็บังเกิดขึ้นแล้ว

    ที่บ้านดงตาลห่างจากวัดไปประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ ซึ่งเป็นบ้านของนายใหญ่และนางมี สองผัวเมียชาวนา บิดาและมารดาของสามเณรน้อยองค์นี้ ขณะนั้นเป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว สองสามีภรรยาเพิ่งจะกลับมาจากนาและกินข้าวเสร็จใหม่ๆ กำลังนั่งคุยกันอยู่หลังอาหารจู่ๆ สามเณรน้อยก็มาปรากฏยืนอยู่ที่ระเบียงนอกชานเรือน ไม่ได้พูดจาอะไรได้แต่ยิ้มน้อยๆ กับโยมพ่อโยมแม่ชั่วครู่หนึ่งก็อันตรธานหายไปซึ่งๆ หน้า ทั้งสองคนสี่ตาเห็นเช่นนั้นจริงๆ ต่างก็งงงันมองหน้ากัน

    “แม่มีเห็นเหมือนฉันไหม เห็นเณรน้อยยืนอยู่ที่ชานเรือนเมื่อกี้ไหม...”
    “ก็เห็นนะซีพ่อใหญ่ แล้วสามเณรหายไปได้ยังไง เหมือนผีหลอก”
    ทั้งสองต่างยืนยันซึ่งกันและกัน และเดินมาเปิดประตูมองหาสามเณรข้างล่างก็ไม่มีวี่แววแต่อย่างใดเลย ไอ้ด่างก็นอนอยู่ข้างบันไดเฉยๆ มองไกลออกไปตามทางระหว่างต้นตาลซึ่งพอมีแสงไฟข้างทางส่องอยู่เลือนรางก็ไม่เห็นมีผู้มีคนเลย

    “เอ...แปลกจริงๆ จะว่าตาเราฝาดไปก็ไม่ใช่ เพราะแม่มีก็เห็นเหมือนเรา...แม่มีเห็นเณรยิ้มด้วยหรือเปล่าล่ะ”
    ผู้เป็นสามียังถามย้ำอีก
    “เห็นสิ สามเณรยิ้มให้พ่อใหญ่และฉันทั้งสองคนเลย”
    “เอ...ลูกเราจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า...”
    แล้วความวิตกก็เกิดขึ้นติดตามมาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ทั้งสองไม่รอช้ารีบกุลีกุจอแต่งตัวพร้อมๆ กันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่างก็มีหัวใจตรงกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว
    “เร็วๆ เข้า ไปวัด ไปดูซิสามเณรน้อยเป็นอะไรไป”
    ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ เมื่อแต่งตัวเสร็จทั้งสองก็รีบเดินจ้ำอ้าวๆ เหมือนกับวิ่งตรงดิ่งมายังวัดทันที
    “สามเณรไม่ได้อยู่บนวัดหรอกโยม...”
    ภิกษุรูปหนึ่งบอกเมื่อสองสามีภรรยามาถามหา
    “คงจะอยู่กับพระครูจิตตัง ที่กุฏิในป่าช้านั่นแหละ”

    ป่าช้าก็ป่าช้าแหละวะ ด้วยความร้อนใจทั้งพ่อแม่ที่เคยกลัวผีก็หมดความกลัวอย่างสิ้นเชิงเพราะความเป็นห่วงลูกมีอำนาจเหนือกว่า ทั้งสองพากันวิ่งผ่านโกดังเก็บศพที่เห็นรำไรอยู่เป็นแถวตรงไปยังอาศรมของพระครูจิตตังอย่างร้อนรน

    สามเณรน้อยลูกชายกำลังนั่งสนทนาธรรมอยู่กับหลวงพ่อพระครูนั่นเอง ทั้งสองเข้าไปนั่งอยู่ที่แคร่ไม้ข้างบันไดและพนมมือไหว้หลวงพ่อด้วยความโล่งใจ และหันมาไหว้สามเณรด้วยสายตาพิกลๆ
    “เณรสบายดีอยู่หรอกหรือ...”
    ผู้เป็นแม่ถามขึ้น
    “สบายดีจ้ะโยมแม่โยมพ่อ...นี่โยมดูร้อนรนมาทำไมมืดๆ ค่ำๆ เช่นนี้ มีอะไรสำคัญหรือเปล่าโยม”
    สามเณรรีบซักถามโดยมิได้เฉลียวใจตัวเองว่าได้ทำอะไรลงไปเมื่อกี้
    พ่อใหญ่แม่มีหันมามองตากันและพิจารณาดูจีวรที่สามเณรครองอยู่
    “ก็ชุดนี้นี่แหละที่เราเห็นเมื่อกี้นี้”
    ต่างกระซิบกระซาบกันเบาๆ
    “มันก็ไม่มีอะไรหรอก...แต่มันมี...มันมี...”
    ผู้เป็นพ่ออึกอักอยู่เพียงนั้นแล้วเงียบเสีย
    “มีอะไรหรือโยม”
    สามเณรซักอีก
    “คือว่า...คือว่า...เมื่อกี้พ่อกับแม่เห็นสามเณรไปยืนอยู่ที่ชานเรือนระเบียงบ้านแวบเดียวก็หายไป พ่อแม่เที่ยวตามดูข้างล่างก็ไม่เห็นมีเลยวิตกห่วงใยจึงรีบมาดูนี่แหละ มันแปลกจริงๆ”

    ผู้เป็นแม่บอกไปตามตรง สามเณรนึกขึ้นได้หันมาสบตากับหลวงพ่อแวบหนึ่งแล้วหลบเสียเพราะหลวงพ่อจ้องมองอยู่แล้วด้วยรอยยิ้ม
    “เมื่อกี้สามเณรกำหนดจิตไปปรากฏที่โยมพ่อโยมแม่หรือ”
    พระครูถามเบาๆ ได้ยินกันระหว่างสององค์
    “ครับหลวงพ่อ” สามเณรตอบอ้อมแอ้ม

    “ไม่มีอะไรมากหรอกโยม สามเณรเป็นผู้มีจิตน้อมอยู่ในบุญกุศลอย่างสูง เขาคิดถึงโยมพ่อโยมแม่ในขณะจิตเป็นกุศลจึงอาจปรากฏเป็นภาพนิมิตให้โยมพ่อโยมแม่เห็นได้ แสดงว่าโยมทั้งสองก็เป็นผู้มีจิตถึงกุศลเป็นอย่างมากจึงสัมผัสกันได้ โยมทั้งสองจงตั้งใจรักษาศีลทำบุญทำทานให้มากๆ ขึ้นไปเถิด เพราะโยมเป็นผู้มีพื้นฐานมีบุญอยู่แล้ว”

    พระครูจิตตังอธิบายอย่างเป็นกลางๆ มิปฏิเสธเสียทีเดียวและก็ไม่แสดงชัดให้เกิดความหลงใหล เพราะสิ่งที่สามเณรกำลังทดสอบปฏิบัติถือเป็นวิชชาธรรมอันล้ำเลิศอย่างหนึ่ง
    “อนุโมทนาสาธุ”
    สองสามีภรรยาต่างก็ยกมือขึ้นพนมจบหัว รับพรของพระครูพร้อมกันทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจชัดแจ้งเท่าไรนักแต่ก็รู้ว่าเป็นเรื่องดีเรื่องกุศลไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงและวิตกจึงมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น

    “ฉันเห็นว่ามันเป็นสิ่งแปลกๆ พิกลๆ คิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเณรน้อย เมื่อเรื่องที่คิดว่าร้ายกลายเป็นดีก็ดีใจ ยังไงๆ ก็ขอฝากเณรไว้กับหลวงพ่อพระครูด้วยนะ ถึงยังไงก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เมื่อได้ฟังหลวงพ่อกล่าวให้กำลังใจเป็นมงคลเช่นนี้ก็พากันหมดห่วงแล้วล่ะจ้ะ”
    แม่มีระบายความในใจแล้วก็พากันกราบลงกับพื้นแคร่เพื่อลากลับเนื่องจากเป็นเวลามืดมากแล้ว

    พระครูให้ศีลให้พร พ่อใหญ่กับแม่มีพากันเดินกลับมาทางเก่าโดยมีสามเณรเดินมาส่ง เป็นทางเดินเล็กๆ ซึ่งต้องลอดซุ้มกอซอใหญ่สองข้างทางเข้ามาทางโกดังเก็บศพที่ตั้งเรียงรายอยู่ พากันเดินพลางสนทนาพลางไม่นานนักก็ผ่านพ้นป่าช้าเข้าสู่บริเวณวัดเพื่อจะออกสู่ถนนใหญ่ สามเณรเดินนำหน้า โยมแม่เดินกลาง โยมพ่อตามมาหลังสุด เมื่อเดินผ่านศาลาคล้อยหลังมาได้สักหน่อยหนึ่ง ที่ใกล้ศาลาในเงามืดมีร่างขาวโพลนสองร่างปรากฏอยู่ในเงานั้นอย่างเงียบๆ

    แม่ชีสุดคนึงกับแม่ชีทองใบนั่นเองยืนมองตามร่างของสามเณรน้อยซึ่งกำลังไปส่งโยมทั้งสองที่หน้าประตูวัด
    “สามเณรน้อยผู้นี้เป็นเด็กกล้าเกินวัย มีจิตถึงกุศลเกินสมณะอีกหลายๆ องค์ บุคลิกลักษณะมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงเราในหลายประการและความรู้สึกผูกพันทางจิตเหมือนเคยมีกันมาแต่นมนานนักแล้ว สามเณรน้อยผู้นี้ดูเหมือนจะปรากฏเคยผูกพันเป็นญาติมิตรใกล้ชิดกันมาในชาติปางบรรพ์”

    แม่ชีสุดคนึงรำพึงกับแม่ชีทองใบอยู่เสมอๆ ในประโยคนี้ และให้ความเอ็นดูสามเณรเหมือนน้องเหมือนบุตรอย่างบริสุทธิ์ใจเสมอมา
    “มีหลายอย่างที่คล้ายๆ แม่ชีสุด แต่ก็มีอีกหลายๆ อย่างคล้ายๆ หลวงพ่อพระครูทีเดียว”
    แม่ชีทองใบผู้มีอาวุโสออกความเห็นขึ้นบ้าง แม่ชีสุดก็รับฟังแต่โดยดี สงบพิจารณาอยู่ภายในเงียบๆ
     
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    อานิสงส์แห่งความตั้งใจจริง

    ทุกยามค่ำที่ริมรั้ววัดหน้าป่าช้าไกลออกไปจากเบื้องหลังกุฏิของแม่ชีทั้งสองอันเป็นเพิงพักชั่วคราวซึ่งสามเกลอแขนด้วนขอทานผู้ปวารณาตนบวชใจได้ขออนุญาตเจ้าอาวาสสร้างเพิงอาศัยไปพลางก่อนเพราะยังไม่มีที่ไป เมื่อย่ำค่ำก็พากันกลับจากขอทานมานอนพักอาศัย เช้ามืดพอพระออกบิณฑบาต สามเกลอก็ออกไปขอทานเป็นประจำมิได้ขาด ในเวลาค่ำคืนก็พยายามตั้งจิตทำสมาธิตามที่หลวงพ่อพระครูยินดีแนะนำให้เพื่อพิจารณาธรรมเบื้องต้น แน่นอนไอ้หินตัวหัวหน้าและลูกน้องทั้งสองย่อมกลับใจได้โดยสิ้นเชิง กลับตัวที่จะประพฤติธรรมเพราะได้พบแล้วเห็นแล้วในกรรมที่ได้ก่อ ฉะนั้นนอกจากสัมภเวสีผีเปล่าเปลี่ยวมาช้านานในป่าช้าจะได้เพื่อนใหม่อีกสาม ยังจะได้ผู้มีความจริงใจที่จะคอยปกปักรักษาความปลอดภัยให้กับแม่ชีสุดและแม่ชีทองใบอีกด้วย

    “คนดีผีคุ้ม”
    ไอ้หินรำพึงเบาๆ ทบทวนถึงเหตุการณ์ในคืนอัปยศให้เพื่อนทั้งสองฟังอีกในคืนหนึ่ง
    “แม่ชีสุดเป็นคนดีมีความตั้งใจจริงมาแต่ไหนแต่ไร ลองคิดว่าจะบวชใครอย่าไปขวางกั้นเสียให้ยากที่จะสึกแม่ชีได้ แม่ชีเป็นคนดีเป็นคนมีบุญ แม้กระทั่งผีในป่าช้ายังคอยคุ้มครอง คงจะเป็นเพราะอานิสงส์ของแม่ชีนี่เองที่ทำให้พวกเรารำลึกถึงบาปบุญคุณโทษได้บ้าง ดังนั้นแม่ชีจึงถือเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดแก่พวกเราคนหนึ่งที่พวกเราจะต้องช่วยกันดูแลส่งเสริมในการปฏิบัติศีลให้ถึงที่สุด บางทีๆ เราจะได้เกาะชายผ้าขาวของชีไปในภพที่ดีขึ้นได้”

    ทั้งไอ้หินและพวกทั้งสองต่างก็มีความซื่อสัตย์เสมือนทาสกรรมที่จะรับใช้หลวงพ่อพระครูและแม่ชีสุดด้วยชีวิตต่อไป

    ถึงอย่างไรก็ดี สัมภเวสีผู้รำลึกได้ถึงคำว่า พระ ธรรมะ บุญ กุศล ความดี ความสุข จากการแผ่เมตตาอานิสงส์พร่ำสอนของแม่ชีสุด มันรำลึกได้โดยสัญชาติญาณเองว่า ผู้ที่พร่ำสอนมันจนพอรู้สัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านี้คือผู้มีพระคุณอย่างสูงสุด แม่ชีผู้นี้เป็นนายของมัน ใครจะรังแกไม่ได้เป็นอันขาด แม้ขณะนี้ไอ้สามหน้าเสี้ยมแขนด้วนจะมีพฤติกรรมกลับตรงกันข้ามกับแต่ก่อนมันก็ยังไม่วางใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคราวใดที่มันสังเกตเห็นสามเกลอขอทานชะเง้อชะแง้มองไปทางกุฏิแม่ชียามดึกๆ สัมภเวสีจะต้องจ้องเขม็งไม่กะพริบตาแม้จะเป็นตาผีที่กะพริบไม่ได้อยู่แล้วทีเดียว

    และเพื่อความแน่ใจในความประพฤติของมนุษย์ทั้งสาม ในคืนเดือนหงายคืนหนึ่ง สัมภเวสีผู้จงรักต่อเจ้านายก็นึกสนุกทดสอบสามมนุษย์นั้นอีกครั้งหนึ่ง

    จันทร์กระจ่างฟ้ายามดึกสงัด ปรากฏร่างขาวโพลนของแม่ชีสาวเดินผ่านเฉียดเข้าไปทางเพิงพักของสามเกลอพลางกระแอมไอให้ทั้งสามได้ยินเสียงตื่นขึ้นพร้อมๆ กัน แล้วชีสาวก็เดินอ้อยอิ่งช้าๆ ไปนั่งทอดกายสยายชุดครองสีขาวที่ไม้เอนต้นหนึ่งใกล้ๆ เพิงพัก

    ทั้งสามตื่นขึ้นมาเห็นแม่ชีสุดเดินผ่านไปและนั่งเดียวดายชมจันทร์อย่างเพลิดเพลินเหมือนเปิดโอกาสให้ท่าทางอกุศล
    ไอ้หินผู้มีสติก่อนผู้อื่นตั้งสติขึ้นได้นึกถึงหลวงพ่อพระครูเป็นสิ่งแรก และนึกตามต่อมาด้วยคำว่า “บวชใจ” ตามที่หลวงพ่อให้สติไว้
    “บวชใจยังไงล่ะ โน้มจิตให้ถึงธรรมะนั่นเป็นการบวชที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
    ไอ้หินยกมือที่ด้วนชนกันขึ้นพนมและภาวนาเป็นห้วงๆ
    “บวชใจ”...”บวชใจ”...”บวชใจ” โน้มจิตถึงธรรมะ
    เมื่อลูกพี่เอาแต่ภาวนาเช่นนั้น ลูกน้องก็ภาวนาตามบ้าง แล้วทั้งสามก็พากันพิจารณาเรือนร่างขาวโพลนที่นั่งครึ่งนอนครึ่งที่ไม้เอนใต้เงาใบสลัวๆ ของแสงจันทร์ซึ่งลอดลงมา
    “ทำไมแม่ชีจึงออกเดินยามดึกสงัดเช่นนี้”
    ไอ้หินใช้จิตพิจารณา
    “ไม่น่าจะเป็นวิสัยของแม่ชีสุด”
    พิจารณาต่อไป
    “ถ้าไม่ใช่แม่ชีสุดแล้วจะเป็นใคร”
    ด้วยอำนาจพิจารณาแห่งกุศลธรรม ทำให้รูปกายปรากฏของสัมภเวสีสลายไปทันที
    “อ้าวหายไปแล้ว”
    สมณะด้วนทั้งสามซึ่งบวชใจต่างอุทานพร้อมกัน
    “ผี...”
    ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นแผ่วเบาด้วยรู้เท่าทัน

    “ผีเอย...เราทั้งสามรำลึกได้แล้วถึงบาปบุญคุณโทษ เราจะไม่สร้างกรรมอีกต่อไป เราพากันบวชแล้ว บวชด้วยใจ เราพยายามจะรักษาศีลไม่ประมาทและฮึกเหิมเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว อานิสงส์ที่เราอาจได้บ้างในการนี้ เราขอแบ่งส่วนบุญให้ท่านด้วย...สัพเพ สัตตา...”

    แล้วค่ำคืนนั้นทั้งสามก็นอนหลับฝันดี ฝันว่าเขาทั้งสามเป็นสมณะโดยสมบูรณ์ตรงกันเหมือนเป็นอัศจรรย์
    พอรุ่งเช้าท่านเจ้าอาวาสให้เด็กวัดผู้หนึ่งมาบอกสามเกลอแต่เช้ามืดก่อนจะพากันออกไปเร่ร่อนขอทานเป็นปกติ
    “วันนี้หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้มาบอกว่า ให้ท่านทั้งสามงดเว้นออกขอทานสักวันหนึ่งและให้ไปหาท่านหลังฉันเช้าแล้ว ท่านมีอะไรจะบอก”

    ทั้งสามคนรับปากและพากันสงสัย ด้วยหลวงพ่อเจ้าอาวาสไม่เคยเรียกขึ้นไปบนวัดเลยและพวกเขาทั้งสามก็พากันเจียมตนไม่กล้าขึ้นไปเพราะเกรงว่าจะเป็นการเบียดเบียนพระคุณเจ้าเนื่องจากการพิการทางกายของเขา

    “โยมทั้งสาม ต่อไปนี้ถ้าอัตคัดขัดสน วันไหนออกขอทานไม่ได้ เช่นเจ็บป่วย หรือมีเหตุสำคัญไม่อาจหากินได้เองก็ให้ขึ้นมากินอาหารบนวัดนี้ อาตมาอนุญาต หรือถ้าคิดว่าพอจะช่วยทางวัดทำประโยชน์ตามอัตภาพของโยมได้บ้าง อาตมาก็ยินดีให้โยมทำเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะไม่ต้องเที่ยวเร่ร่อนออกขอทานอีกต่อไป เพราะอาหารการกินที่วัดนี้ก็พอเผื่อแผ่ให้โยมทั้งสามได้ทุกวัน จงตั้งใจสร้างบุญสร้างกุศลต่อไปเถิด โยมโชคดีแล้วที่รำลึกได้ โชคดีมากกว่าคนที่มีอาการครบ 32 อีกมากมายนัก เจริญพร”

    หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสได้สั่งอาหารมื้อเช้ามาเลี้ยงเป็นทานแก่สามเกลอแขนด้วน แล้วบอกกล่าวอนุญาตทั้งแนะแนวทางให้คิดทำงานในวัดเพื่อจะได้ไม่ต้องออกไปเร่ร่อนขอทาน แต่ก็ปรารภเป็นเชิงให้เลือกด้วยความสมัครใจ
    ทั้งสามพอจะเข้าใจความหมายในความเมตตาของท่านเจ้าอาวาสต่างก้มลงกราบด้วยแขนด้วนด้วยความความปลื้มปีติอย่างสุดซึ้ง
    “ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

    เมื่อนำข่าวดีจากท่านเจ้าอาวาสไปแจ้งให้พระครูจิตตังทราบ ท่านหลวงพ่อพระครูก็พลอยดีใจให้คติธรรมเหมือนจะรู้ถึงการปฏิบัติชอบของทั้งสามเมื่อตอนดึกคืนก่อนแล้ว

    “กระผมอยากจะขอเรียนถามหลวงพ่อพระครูด้วยว่าพวกกระผมจะทำคุณประโยชน์ตอบแทนวัดตามที่ท่านเจ้าอาวาสแนะนำเมื่อเช้าได้อย่างไรบ้างจึงจะสมควรครับหลวงพ่อ”

    “การรักษาศีลปฏิบัติธรรมะอย่างที่โยมทั้งสามได้ปฏิบัติแล้วเมื่อคืนนี้...อย่างหนึ่ง การแก้กรรมอีกอย่างหนึ่ง... เช่นช่วยกันทำความสะอาดโบสถ์ บริเวณรอบๆ โบสถ์ และในวันที่ท่านเจ้าอาวาสเปิดโบสถ์ให้เข้าไปภายในได้ก็ช่วยกันเช็ดถูขัดเงาพระพุทธรูปในโบสถ์เป็นต้น และอีกประการหนึ่งคือการสร้างกรรม...หมายถึงการสร้างกุศลกรรมใหม่ คือการทำบุญทำทานปฏิบัติพรหมจรรย์ต่อไป ถ้าทำได้ตามควรแก่อัตภาพของโยมก็จะได้อานิสงส์ทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างสูงมากทีเดียว”

    ทั้งสามหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหลาดที่ท่านพระครูกล่าวเหมือนจะรู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เหมือนกับจะรู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้นมาแล้วเกี่ยวกับการสร้างกรรมในโบสถ์และพระพุทธรูปของเขาทั้งสาม
    “หลวงพ่อพระครูทราบถึงกรรมที่พวกผมได้ก่อขึ้นเกี่ยวกับพระพุทธรูปในโบสถ์นั้นหรือ...และเกี่ยวกับการหักห้ามใจด้วยธรรมะของพวกผมเมื่อตอนกลางดึกเมื่อคืนนี้หรือ”
    ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยถามย้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อต้องการรู้ให้ชัดแจ้งขึ้น
    “สิ่งที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วมีผู้รู้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นนี่สิ มีผู้รู้ถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา”
    “จะมีสิ่งใดบังเกิดขึ้นแก่พวกผมอีกหรือครับหลวงพ่อ จะร้ายแรงมากไหมครับหลวงพ่อ เพราะเท่าที่พวกกระผมได้รับอยู่ทุกวันนี้ก็ถือว่าร้ายแรงและรวดเร็วทันตาเห็นอยู่แล้ว จะต้องได้รับหนักยิ่งขึ้นอีกหรือครับ”

    “ขึ้นชื่อว่ากรรม ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่วย่อมให้ผลทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผู้ใดสร้างกรรมชั่วกรรมชั่วก็ตอบสนอง ผู้ใดสร้างกรรมดีกรรมดีก็ตอบสนอง ต่อไปนี้โยมทั้งสามลองมองตัวเองเป็นข้อพิจารณาซิว่ากำลังจะสร้างกรรมอย่างไร เมื่อคิดได้แล้วทำจริงแล้วลองถามผู้รู้ที่รู้ดียิ่งกว่าคนอื่นก็คือตนเองนั่นแหละ ใช้จิตถามจิตของตนก็จะทราบได้ว่าสิ่งใดจะบังเกิดขึ้นกับโยมต่อไป นั่นเป็นเรื่องไม่ธรรมดาที่โยมก็ทำได้ นั่นคือธรรมะอีกประการหนึ่งถ้าพึงพิจารณาได้แล้วถือเป็นการตอบแทนวัดตอบแทนเจ้าอาวาส และตอบแทนตนเองได้อย่างดียิ่ง”

    เมื่อเห็นเป็นโอกาส พระครูจิตตังก็แทรกสอนการพิจารณาธรรม การพิจารณาตน การพิจารณาเหตุการณ์ใกล้ตนให้สมณะที่มั่นอยู่ในการบวชใจทั้งสามเป็นการเพิ่มพูนกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเป็นกุศโลบาย

    แน่นอนเท่ากับเป็นการตอกลิ่มให้ทั้งสามเกลอมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมคือกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ในภาวะเช่นนั้นทั้งสามก็พอจะรู้เท่าทันว่าตนเองแต่ละคนกำลังตั้งใจที่จะปฏิบัติชอบยิ่งขึ้น ฉะนั้นคำตอบคำสอนของหลวงพ่อพระครูก็เท่ากับเป็นกำลังใจชี้ความหมายเป็นนัยๆ แล้วว่าพวกตนทั้งสามกำลังจะได้รับสิ่งที่ดีที่เป็นกุศลขึ้นเป็นแน่

    ทั้งสามก้มลงกราบกับพื้นคนละสามครั้งด้วยใบหน้าที่ปีติ”
    “ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม”
    ท่านพระครูย้ำพุทธภาษิตอีกครั้งหนึ่งก่อนที่สามเกลอจะพากันแยกย้ายออกไปหาเครื่องมือทำความสะอาดบริเวณรอบๆ โบสถ์ตามที่ท่านพระครูได้แนะนำไว้อย่างเต็มอกเต็มใจ

    นับแต่นั้นเป็นต้นมา สมณะนอกอุปสมบททั้งสามก็พากันตั้งอกตั้งใจช่วยกิจการงานของวัดทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่เช้ามืดจนย่ำค่ำทุกวันมิเคยขาด ทั้งตั้งใจถือศีลปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป และได้ตกลงกันเป็นเอกฉันท์ว่าจะขอเบียดเบียนอาหารวันละ 2 มื้อ คือเช้าและกลางวันเท่ากับพระภิกษุเท่านั้น เป็นพฤติกรรมที่น่าอนุโมทนาสาธุ พึงสำเหนียกกำหนดจดจำเป็นแบบอย่างแก่ผู้ที่เคยเดินหลงทางธรรมมาแล้วกลับเข้าสู่เส้นทางกุศลอันเป็นมหามงคลต่อไป

    “แม้มหาโจรองคุลิมาลยังกลับใจบรรลุอรหัต...โยมทั้งสามมีกรรมน้อยกว่าเป็นไหนๆ ย่อมง่ายแก่การปฏิบัติธรรมให้บรรลุผล”
    เมื่อยามว่างสามเณรน้อยก็มักจะเล่าเรื่องอหิงสกะองคุลิมาลเป็นอุทาหรณ์เสริมกำลังใจ

    แม่ชีสุดคนึง ได้พิจารณาใคร่ครวญคำนึงทั้งจิตภายในและจักษุเบื้องนอกอย่างรอบคอบก็มั่นใจได้ในมารทั้งสามที่เคยมุ่งเข้ามาผจญคราวเคราะห์และผ่านพ้นไปด้วยกุศลธรรมซึ่งท่านพระครูจิตตังได้เมตตาอนุเคราะห์แนะนำก็โล่งใจหายกังวลลง ภายในเขตขัณฑพัทธสีมาวัดเมืองก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้งหนึ่ง พระ เณร ชี และอุบาสก อุบาสิกาก็พากันน้อมจิตปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่เต็มใจโดยมิต้องกังวลวิตกในเหตุร้ายที่อาจเกิดเหมือนซึ่งเคยเกิดมาแล้วนั้น

    วันธรรมสวนะ นอกจากจะมีอุบาสกอุบาสิกา ชี ชายพิการแขนด้วนทั้งสามรับการฟังธรรมมิได้ขาด อีกสังขารหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในรูปเงาละเอียดก็มานั่งฟังธรรมอยู่เคียงข้างชายพิการทั้งสามด้วยทุกครั้งมิได้ขาดเช่นกันโดยที่แม้กระทั่งชายพิการเองก็ไม่ทราบไม่เห็น และไม่มีผู้ใดเห็นได้นอกจากพระครูจิตตัง แม่ชีสุด และสามเณรน้อยเท่านั้น ที่สัมผัสอทิสสมานกายผู้ไม่ปรากฏร่างนั้นได้อย่างชัดแจ้ง สังขารที่ปรากฏเพียงเงาสงบเสงี่ยมเจียมตัวน่าสงสารผู้นั้นคือ สัมภเวสีผู้รำลึกได้ถึงพระ ธรรมะ บุญ กุศล ความดี ความสุข หลวงพ่อจิตตัง แม่ชีสุดคนึง สามเณรน้อย อันเป็นที่รักและเคารพของเขาผู้นั้นนั่นเอง
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    อาญาสวรรค์

    ดึกสงัดหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย สามเณรซึ่งเข้านอนแต่หัวค่ำมาเต็มตื่นใหญ่ลุกขึ้นล้างหน้าตาเดินจงกรมอยู่ในห้องเพื่อให้เลือดลมฉีดแก้ความง่วงพอสมควรจนร่างกายทุกส่วนสัดตื่นขึ้นเต็มตัวแล้วก็ลงนั่งขัดสมาธิบนเสื่อผืนเดียวหันหน้าตรงพระพุทธรูปองค์เล็กองค์เดียวบนหิ้งที่ข้างฝาห้องด้านตะวันออก

    ท่องนะโมสามจบ มุ่งจิตรำลึกถึงพระรัตนตรัยอธิษฐานองค์ธรรมน้อมจิตเข้าสู่สมาธิเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นเบื้องต้นแล้วเข้าสู่วิเวกชาภูมิสมาธิในกามสุคติจิตสงัดด้วยกายด้วยจิตวางพ้นจากกิเลสทั้งสิ้นทั้งปวง จนดวงจิตประณีตโปร่งใสเป็นปีติละเอียดพอประมาณ ย่อดวงจิตอันเป็นดวงกสิณลงเท่าลูกมะขามป้อม รวมพลังส่งออกไปทางกระหม่อมเข้าสู่รูปกายนิมิตของตนเองที่ใต้ต้นโพธิ์เทวดาข้างศาลาหน้าโบสถ์นั้น

    ฉับพลันกายเดิมก็รู้สึกเบาวูบนั่งนิ่งสงบเหมือนตุ๊กตาอยู่ในลักษณะเช่นนั้นไม่ไหวติง ส่วนความรู้สึกอันเป็นผัสสะทั้งหกหรือโผฏฐัพพายตนะคือเครื่องรับความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ปรากฏอยู่ในกายเนรมิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยอัตโนมัติ
    เป็นกายละเอียดอย่างหยาบเพียงมิติในโลกภพเท่าเทียบกับอทิสมานกายของสัมภเวสีผู้มาปรากฏรออยู่แล้วที่ใต้เงามืดแห่งร่มโพธิ์

    “อ้อ...มารอเราอยู่ก่อนแล้วหรือสัมภเวสี”
    อทิสมานกายค้อมคำนับพนมมือไหว้
    “ก่อนจะไปเที่ยวกันก็ต้องเรียนรู้วันละคำอีกสักคำหนึ่งก่อน...”
    สามเณรน้อยผู้ได้รับโอนการสอนกุศลจากแม่ชีสุดมาเป็นครูสอนสัมภเวสีแทนก็รำลึกกระแสบารมีพระพุทธองค์น้อมเข้าสู่ความรู้สึกของสัมภเวสีผู้น่ารักน่าสงสาร
    “พระพุทธ...พระพุทธ...พระพุทธเจ้า...”
    คำง่ายๆ เช่นนี้นี่แหละแต่เป็นของยากเหลือเกินที่ผู้อยู่ในอบายภพอย่างสัมภเวสีจะเปล่งออกมาได้
    “พระ...พระ...พุ...พุ...”
    แรกๆ ก็ได้แต่เพียงเท่านั้น
    “พระพุ...พระพุ...”
    ก็ชะงักอยู่เพียงนั้นเอง
    “พระพุ...อุ๊ด...พระพุ...อุ๊ด...”
    สามเณรย้ำนำคำท้ายอีกหลายเที่ยวจนพอจะได้
    “พระพุอุ๊ด...พระพุอุ๊ด...พระพุอุ๊ด...”
    “ธะจ้า...”
    สามเณรนำต่อ
    “ธะจ้า”
    สัมภเวสีได้แต่แรกเท่านั้นอีก
    “ธะจ้า...อ้าว...ธะจ้า...อ้าว...”
    สามเณรเสริมให้อีก
    “ธะจ้าอ้าว...ธะจ้าอ้าว...”
    กว่าจะได้คำว่า “พระพุทธเจ้า” ก็ต้องฝึกซ้อมกันเป็นเวลานาน
    “เปล่งได้แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับคืนนี้ ส่วนความหมายค่อยว่ากันทีหลัง”
    “อ้าว...ตามเรามา ไปเที่ยวกัน”
    กายละเอียดของสามเณรก้าวเหนือยอดหญ้า ก้าวธรรมดาแบบคนเดินแต่เนื่องจากไม่มีสรีระในส่วนกระดูกข้อเอ็นยึดให้อยู่ในวงจำกัดเท่าก้าวคน ก้าวหนึ่งของกายละเอียดจึงยืดยาวลอยไปประมาณ 1 เส้น ในแต่ละก้าวจึงดูเหมือนเหาะลอยไปเหนือยอดหญ้าอย่างรวดเร็ว

    “ไปเที่ยวทางขุนเขาตะนาวศรีทางตะวันตกกันบ้าง เพราะไปทางทะเลมาหลายครั้งแล้ว”
    กายละเอียดของสามเณรน้อยและอทิสมานกายของสัมภเวสีก็พากันลอยละล่องตามกันไปติดๆ สู่เทือกเขาตะนาวศรี เขตแดนติดต่อพม่าโดยฉับพลัน

    ณ หมู่บ้านกะเหรี่ยงชนกลุ่มน้อยที่อยู่ระหว่างเขตแดน หลายหลังคาเรือนอยู่ในความเงียบสงบนอนหลับพักผ่อนกันอย่างบรมสุขทางด้านท้ายหมู่บ้านซึ่งสูงขึ้นไปทางยอดเขามีไทรใหญ่ต้นหนึ่งเก่าแก่ใหญ่โตมาก อายุน่าจะหลายร้อยปี บนคาคบกลางลำต้นมีแสงเรืองรองเป็นประกายแผ่รัศมีเป็นวงกลมโดยรอบดูเยือกเย็นงดงามยิ่งนัก ในภาวะเช่นนี้นอกจากกายละเอียดประดุจกายทิพย์ของสามเณรเท่านั้นที่จะสัมผัสได้ สามเณรรำลึกได้เช่นนั้น กายเนื้อธรรมดาเช่นชาวบ้านกะเหรี่ยงที่นอนสุขารมณ์อยู่ภายในบ้านเรือนมิอาจเห็นแสงละเอียดนี้ได้เพราะเป็นแสงในอีกมิติหนึ่ง

    “เอ...สัมภเวสีจะเห็นได้อย่างเราหรือเปล่าหนอ...”
    สามเณรนึกสงสัย พลางหันไปทางสหายที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง
    “เพื่อนเรา...เพื่อนเห็นอะไรที่คาคบต้นไทรใหญ่นั่นไหม”
    “แสงเรืองๆ...คล้ายๆ กับที่เคยเห็นรอบๆ กุฏิของหลวงพ่อจิตตังในคืนเดือนมืด”
    สัมภเวสีพยักหน้าตอบรับรอง
    “คงเป็นแสงเรืองรองของเทพารักษ์ผู้สถิตอยู่ในภพมนุษย์”
    สามเณรน้อยพิจารณาได้จากมิติที่อยู่ในสายตาของสัมภเวสีได้จึงเลื่อนลอยใกล้เข้าไป

    ภายในรัศมีแสงเรืองรองนั้นปรากฏเป็นวิมานไทรแก้ว ประดับประดาด้วยใบไทรและกิ่งไทรซึ่งเป็นแก้วกระจ่างลอยเด่นอยู่ระหว่างคาคบ มีองค์เทพารักษ์ในรูปเทพผู้มีมุ่นมวยผมเป็นรูปพญานาคสถิตอยู่แต่เดียวดาย
    “เพื่อนเรา...เห็นแสงเรืองรองนั้นแล้วเห็นอะไรอีกหรือไม่”
    ถามเพื่อทดสอบเป็นการพิจารณา สัมภเวสีส่ายหน้าช้าๆ ขณะเพ่งพินิจอยู่ที่ดวงแสง
    “มีแต่แสงเรืองรอง แสงเรืองรอง ไม่มีอะไรอีกเลย ไม่มีอะไรอีกเลย”

    สามเณรพึงพิจารณาด้วยวาระจิตพร้อมกับการทดสอบจากสัมภเวสีก็ทราบได้ว่า ที่สัมภเวสีเห็นได้เพียงแสงเรืองรองซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่อาจเห็นได้นั้นก็เพราะมิติของสัมภเวสีอยู่ในมิติที่ละเอียดกว่าตาเนื้อของมนุษย์ แต่จิตอันหยาบนั้นอยู่ในภาวะที่หยาบกระด้างกว่ามนุษย์มากแม้จะเห็นนิมิตแห่งความละเอียดในมิติเดียวกันก็ไม่สามารถเห็นกายทิพย์อันเป็นกายกุศลของผู้ที่มีกุศลสูงกว่ามากได้

    “นิมนต์สามเณรเจ้าผู้ถึงกุศลเข้าเยี่ยมวิมานไทรของเราเถิด”
    เทพพญานาคเปล่งกระแสนิมนต์ด้วยความดีใจ พลางพนมมือค้อมคารวะ
    “เพื่อนเรา...สัมภเวสี จงรอเราอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน เราจะเข้าไปในดวงแสงเรืองรองนั้นสักครู่ใหญ่”
    แล้วสามเณรน้อยก็รับนิมนต์เลื่อนลอยเข้าไปในวิมานไทรตามคำเชื้อเชิญของเจ้าของด้วยความประสงค์จะรู้ว่าเทพพญานาคนั้นเป็นผู้ใด
    “เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิดท่านเทพารักษ์”
    สามเณรเข้าไปนั่งบนบัลลังก์แก้วที่เจ้าของวิมานนิมนต์ต้อนรับ
    “ถือเป็นกุศลโดยแท้ที่สามเณรเจ้าในพระพุทธศาสนาได้อนุเคราะห์มาเยือนเราถึงที่นี่”
    เทพพญานาคประนมมือนมัสการพระพุทธองค์อีกครั้งหนึ่งเมื่อกล่าวถึง
    “ท่านเป็นเทพเหล่าใดฤาจึงได้สถิตอยู่ในวิมานแห่งขุนเขาเช่นนี้”
    “ข้าพเจ้าอยู่ในภาวะครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ สามเณรเจ้า” เทพอธิบาย
    “ท่านอยู่ในมิติแห่งภพใดฤา”

    “ข้าพเจ้าอยู่ในภพมนุษย์ที่เรียกว่า ปุพพเทหทวีป...ข้าพเจ้าเป็นเทพที่ถูกลงทัณฑ์ลงมารับกรรมแก้กรรมที่ได้เคยก่อไว้โดยการหลงผิด...แต่เดิมมิได้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา หลงตนว่าเป็นเทพผู้มีอำนาจสูง เกิดความประมาทคอยขัดขวางชักจูงทำร้ายทำลายผู้บำเพ็ญศีล ข้าพเจ้าเคยยุยงให้สัมภเวสีผู้นี้เข้าสิงสู่เรือนร่างอุบาสกอุทัยเมื่อไม่นานมา... จนกระทั่งพระภิกษุผู้ถึงกุศลนามว่าสมณจิตตังได้อนุเคราะห์ชี้ทางให้ข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างบาปบุญคุณโทษ น้อมจิตเข้าบวชในพระพุทธศาสนาในที่สุด แต่ข้าพเจ้าจะต้องรับกรรมแก้กรรมเสียก่อนจึงจะเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ได้โดยสะดวกต่อไป ข้าพเจ้าจึงปวารณาตนลงมาสร้างกุศลช่วยเหลือมนุษย์กลุ่มน้อยที่หมู่บ้านนี้ในด้านช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บตามที่อานิสงส์แห่งเทพเช่นข้าพเจ้า และกุศลของชนกลุ่มนี้จะพึงมี ข้าพเจ้ากำลังแก้กรรมตนเองเช่นนี้สามเณรเจ้า”

    สามเณรจึงรำลึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ซึ่งผ่านมาเมื่อไม่นาน ฟังพิจารณาได้ว่าเทพเทวปุตมารแห่งอดีตผู้นี้นี่เองที่เป็นต้นตอแห่งอาการป่วยของอุบาสกอุทัยเมื่อคราวนั้น จึงได้ถือโอกาสสอบถามรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะหลวงพ่อพระครูมิเคยแพร่งพรายให้ฟังมาก่อนเลย

    เทวนาคาก็ยินดีเล่าให้ฟังอย่างละเอียดโดยมิปิดบังเลย เพราะถือว่าสามเณรน้อยผู้ถึงกุศลนี้มิใช่สามเณรธรรมดา เป็นผู้เข้าถึงสู่มิติละเอียดได้ย่อมเป็นผู้ถึงกุศลสูง การอธิบายเหตุแห่งกรรมของตนเพื่อเป็นการพิจารณาธรรมของสามเณรจึงถือเป็นกุศลอย่างยิ่งอีกประการหนึ่ง

    เทวนาคาเล่าทุกชั้นตอนเพราะพึงทราบว่าเหตุการณ์ของตนเป็นธรรมชั้นละเอียดในพระพุทธศาสนา เช่นทิพยสถานมหาราชิกา พระเขี้ยวแก้วในนาคพิภพซึ่งสถิตอยู่บนยอดเขามอ ชฎิลสามพี่น้องพญาวสวัตดีมาร อทิตตปริยยายสูตร และการบวชใจเป็นต้น

    “เจริญกุศลเถิดท่านผู้มีอายุ อาตมาเข้าใจยิ่งขึ้นแล้ว การอธิบายเหตุแห่งกรรมของท่านเพื่อให้อาตมาได้พิจารณาสัจธรรมได้กระจ่างแจ้งเช่นนี้เป็นกุศลยิ่งนัก ขออานิสงส์แห่งการนี้จงได้อนุเคราะห์ให้ท่านแก้กรรมเสร็จเร็วขึ้น และจงถึงซึ่งกุศลที่เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ”

    ฉับพลันรัศมีของเทพและวิมานก็เปล่งแสงเรืองรองมากขึ้นกว่าเดิม และปรากฏอยู่เช่นนั้นด้วยอานิสงส์ซึ่งได้รับ ได้เวลาอันสมควรสามเณรจึงลากลับด้วยความปีติที่ได้ความรอบรู้บารมีธรรมของหลวงพ่อพระครูเพิ่มขึ้นอีกมากมายด้วย
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    อสุรกายหลายร้อยปี

    สามเณรผู้มีจิตมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและเปี่ยมด้วยกุศลศรัทธามาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ได้ยินคำกล่าวถึงวิชชา 8 ของหลวงพ่อพระครูในครั้งที่ญาติโยมมาขอให้หลวงพ่อช่วยโยมอุทัยคราวเคราะห์นั้น ทุกคนขอหวยกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อจะให้จริงๆ กลับไม่มีใครสนใจกันเลย เด็กน้อยคนหนึ่งในคราวนั้นแต่ผู้เดียวที่ตระหนักซึ้งจนกลายมาเป็นสามเณรผู้แก่กล้าในมโนมยิทธิอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะเกิดจากความเชื่อมั่นมาตั้งแต่แรกนั่นเอง

    เมื่อเจ้าตัว “วิจิกิจฉา” ความลังเลสงสัยไม่มีเสียแล้ว ความศรัทธาก็มั่นคง สมาธิฌาน และญาณ ก็มีพลังสูง ความสำเร็จในการบรรลุธรรมเหล่านั้นก็ง่ายขึ้น
    สามเณรน้อยจึงมั่นใจในจิตของตนยิ่งนักว่าสิ่งที่ตนได้สัมผัสในฌานสมาธินั้นเป็นสัจธรรม เมื่อหลวงพ่อพระครูไม่ประสงค์จะแจ้งเรื่องต่างๆ ที่หลวงพ่อสัมผัสในฌานและญาณอันละเอียดประณีตมามากมาย เนื่องจากเคร่งครัดอยู่ในพุทธดำรัสที่กล่าวเตือนห้ามแสดงธรรมอันละเอียดล้ำเลิศแก่ผู้ใดโดยไม่จำเป็น สามเณรก็ตั้งใจจะติดตามหาความรอบรู้ด้วยจิตที่เจริญขึ้นด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมิขาดตกบกพร่อง

    ภายในเวลาไม่ช้าสามเณรน้อยก็สัมผัสรู้จักเทพธิดามาลีชมพูบนวิมานต้นหว้า เทพารักษ์ในวิมานทองอันแทรกซ้อนอยู่ในศาลร้างที่มุมป่าช้าและท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆ ตามขั้นตอนที่หลวงพ่ออนุญาตการท่องเที่ยวของสามเณรด้วยดวงจิตเอกา เป็นการท่องเที่ยวเพื่อพิจารณาธรรม เป็นการท่องเที่ยวเพื่อกิจกุศล

    ในค่ำคืนอันเป็นกุศลอีกคืนหนึ่ง ขณะที่สามเณรได้ถอดกายละเอียดออกท่องเที่ยวมาทางชายทะเลกับสัมภเวสีเพื่อนยาก ก็ได้พบกับกลุ่มนักทัศนาจรหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับสามเณร สามเณรจำได้ว่าหนุ่มสาวกลุ่มนั้นคือเพื่อนนักเรียนเก่าที่ได้แยกย้ายกันไปเมื่อเรียนจบภาคบังคับ เพื่อนๆ หลายคนได้ไปร่ำเรียนสูงขึ้นในทางโลก ต่างก็เริ่มเข้าสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาวกันขึ้นมาแล้ว ขณะนี้เพื่อนกลุ่มนั้นกำลังล่องเรือตกปลาอยู่ใกล้เกาะกลางร่องน้ำลึกที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวจะบังเกิดขึ้นเบื้องล่าง

    “การท่องเที่ยวในทางโลก มักจะหนีไม่พ้นการสร้างอกุศลกรรม”
    สามเณรรำพึงเป็นเชิงปรารภกับเพื่อนผู้ไม่ปรากฏร่าง สัมภเวสีพอจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็แสดงอาการพยักหน้ารับรอง ขณะที่ทั้งสองมองดูหนุ่มสาวกลุ่มนั้นพากันดีใจที่วิดปลาจากใต้น้ำขึ้นมาได้เพราะติดเบ็ดอันแหลมคมซึ่งทิ่มทะลุกระพุ้งแก้ม เมื่อถูกเหวี่ยงลงมาดิ้นกระแด่วๆ อยู่ในท้องเรือก็ยังถูกมนุษย์ผู้ประเสริฐเหล่านั้นพากันกระชากเบ็ดอันแหลมคมออกจากกระพุ้งแก้มที่ติดอยู่จนเหงือกฉีกขาด เลือดสดๆ ไหลโทรม แล้วเขาก็ทิ้งในถังน้ำซุกตัวเถือกไถด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่ที่ก้นกระป๋องรอเวลาอีกไม่นานเพื่อจะถูกจับทั้งยังเป็นๆ ขึ้นย่างบนเตาบาร์บีคิว ที่มีถ่านร้อนระอุฉีกเนื้อสดๆ จิ้มน้ำจิ้มแกล้มเหล้าที่เตรียมมาอย่างพร้อมมูล

    สามเณรนิมิตเห็นล่วงหน้าเช่นนั้น เห็นอกุศลกรรมที่เพื่อนๆ กำลังก่อ เห็นอกุศลกรรมที่ปลากำลังถูกชดใช้เพราะเจ้าปลาตัวนี้ในอดีตชาติครั้งหนึ่งเคยเป็นนักเลงเหล้าจับปลาย่างเตาเอาเป็นกับแกล้มเหล้ามาแล้ว
    “อนิจจัง อนิจจา วัฏสงสารเวียนว่ายชดใช้กันเช่นนี้นี่เอง”
    สามเณรพิจารณาเพื่อกุศล ส่วนสัมภเวสีพิจารณาปลาตัวนั้นตามนิมิตของสามเณรขณะที่ถูกย่างสดๆ ดิ้นเร่าๆ อยู่บนเตาไฟด้วยน้ำลายสอ

    “สัมภเวสีเอย...เจ้าน้ำลายสอในภาพนิมิตนั้นทำไม”
    “...ป...ลา...ป...ลา...หวาน...หร่...อ...ย”
    “นี่จิตเจ้ากำลังคิดว่าเป็นคนที่จะกินปลา...ตานี้...ตานี้ เราจะนิมิตให้เจ้าเป็นปลาที่กำลังจะถูกคนย่างไฟบ้าง”
    “...โอ...ย...โอ...ย...ร้อนๆ ร้อนจริงๆ อย่า...อย่า”
    สามเณรรีบถอนนิมิตนั้นเสียแล้วพึงสอนสัมภเวสี

    “เมื่อจิตเราอยู่ในภาวะเป็นกลางซึ่งเป็นอุเบกขา เราจะเห็น...เราจะเห็นความผิด ความถูก ความบาป ความบุญ เมื่อเรามีจิตเป็นกลางเราจะเห็น...เห็นคนเหล่านั้นกำลังกระทำบาปเบียดเบียนปลา เราจะเห็นปลาถูกย่างไฟสดๆ ทั้งชีวิตน่าสงสาร คนกินสนุกอร่อย ปลาที่ถูกกินตายลงด้วยอาการทนทุกขเวทนาแสนสาหัสเพราะน้ำมือคนความรู้สึกของคนและปลามีเท่าๆ กัน คือเจ็บปวดเช่นกัน สนุกสนานเช่นกัน คือมีความรู้สึกเหมือนๆ กัน เพราะเป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน สัมภเวสีเอย...เมื่อเราสอนให้เจ้าพิจารณาวางใจให้เป็นอุเบกขาพิจารณาธรรม บุญ กุศล บาปกรรม เช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะน้ำลายสออยู่อีกไหม”

    “...ไม่...ไม่...แต่...แต่...น่าสงสาร...น่าสงสาร...”
    “สงสารใคร”
    “ปลา...สงสารปลา...”
    “ทั้งคนทั้งปลานั่นแหละ...น่าสงสาร”
    สามเณรอธิบายย้ำ สัมภเวสีมีสีหน้าประหลาดใจ ส่ายหน้าแสดงความไม่เข้าใจ
    “เราจะนิมิตให้เจ้าเห็นต่อไป ชาติต่อชาติ ภพต่อภพ ต่อไป ต่อไป”

    ด้วยจิตซึ่งเป็นมโนมยิทธิประสานแรงกุศลกรรมเพื่อจะเนรมิตกรรมตามธรรมดาธรรมชาติแห่งวัฏสงสารของสัตว์โลก จึงนิมิตความเป็นไปของคนกลุ่มนั้นและปลาตัวนั้นอย่างรวดเร็วเป็นธรรมนิมิตแก่สัมภเวสี พลันคนกลุ่มนั้นก็ตายไปเกิดเป็นปลา ปลาตัวนั้นก็ตายไปเกิดเป็นคน คนที่เกิดมาจากปลาก็ไปจับปลาที่เกิดมาจากคนนำมาย่างไฟสดๆ ดิ้นเร่าๆ ตายลงอย่างน่าเวทนา วนไปเวียนมาอยู่เช่นนั้นจนสัมภเวสีพยักหน้ารับรองความเข้าใจ

    “...น่าสงสาร...ทั้งปลา...ทั้งคน...นั่นแหละ...น่าสงสารทั้งสองเลย...”
    “เอาละ เจ้าเข้าใจและได้อานิสงส์เพิ่มขึ้นในจิตอีกมากแล้ว เราจะเลิกเรียนเลิกสอนแล้วมาติดตามพิจารณาคนกลุ่มนั้นต่อไป”
    เมื่อกินเหล้าแกล้มปลาเผากันได้พอประมาณ หนุ่มน้อยทั้งหลายก็ชักจะมึนเมาประมาท ตัณหาราคะในสันดานที่อยู่ลึกก็ถูกเหล้าดึงขึ้นมาอยู่แค่มือแค่ปาก
    หนุ่มน้อยคนหนึ่งอ้อมแขนข้างหนึ่งไปกอดรัดเพื่อนสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เอาดื้อๆ
    “เธอจ๋า...ขอหอมแก้มทีนะ...”
    แล้วก็ยื่นจมูกจะเข้าไปดมแก้มเพื่อนจริงๆ สาวน้อยปิดป้องด้วยความตกใจเพราะคิดไม่ถึง พยายามกระเถิบหนีแต่ก็ถูกอ้อมแขนเพื่อนหนุ่มดึงไว้คงดิ้นรนปกป้องน่าสงสาร ไม่มีสุภาพบุรุษในวงเหล้านั้นเลย ทุกคนกลับพากันหัวเราะเห็นเป็นเรื่องสนุกเพราะความเมา

    ที่เบื้องล่างกลางร่องน้ำลึกเป็นหลืบซอกโขดหินข้างเกาะ ในหลืบซอกชะง่อนหินใต้น้ำนั้นมีสัตว์โลกธาตุตัวหนึ่งซึ่งปกติมนุษย์จะมองเห็นไม่ได้ด้วยตา เพราะมันเป็นสัตว์อสุรกายซึ่งมีตาโตแดงก่ำโปนออกมานอกเบ้า มีหัวโตกลม แต่มีคอและตัวเรียวเล็กเป็นเส้นเชือกยาวเฟื้อยเพราะอดอาหารมานาน จ้องมองหนุ่มสาวบนเรือสำราญนั้นอย่างเขม็ง

    “สัมภเวสี...จงมองตามสายตาของเราสู่เบื้องใต้ร่องน้ำลึกนั้น เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม สัตว์ประหลาดซึ่งมนุษย์ไม่ค่อยเห็น นั่นเรียกว่าอสุรกาย เขาเคยเกิดเป็นมนุษย์แต่มีสันดานลักขโมย จี้ชิงทรัพย์ปล้นสะดมพวกชาวประมงด้วยกันเป็นประจำ เขาทำบาปด้วยการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์เช่นนั้น เมื่อตายลงในน้ำตรงนี้จึงอุบัติเป็นอสุรกายด้วยกรรมชั่วสถิตอยู่ตรงนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว

    เขาอดเขาหิวจนเรือนร่างเหลือเยื่อใยกลายเป็นเส้นเชือก เขาได้รับการทรมานด้วยกรรมที่เคยแย่งเคยปล้นเคยลักขโมยคนเขากิน เขาจะต้องรับกรรมเช่นนี้ไปอีกนานแสนนาน นานๆ จึงจะมีสังขารสัตว์ร่วงหล่นลงมาสู่ปากสักครั้งหนึ่งซึ่งเขาคิดว่านั่นเป็นอาหาร แต่เขาก็กินไม่ได้เพราะเป็นรูปสังขารที่อยู่กันคนละมิติ แต่ถึงกระนั้นเมื่อเขาเห็นสังขารหนึ่งสังขารใดกำลังจะร่วงหล่นลงมาก็ทำให้เขาเกิดปีติคิดว่าคงจะได้กินอาหารความปีติหนึ่งนั้นก็สามารถทำให้เขาหายหิวได้บ้างแม้จะไม่ได้กินจริงๆ ก็ตาม สัตว์อบายภูมิพวกนี้อยู่ในชั้นบาปที่น้อยกว่าสัตว์นรก ซึ่งจะไม่มีโอกาสรู้สึกปีติได้เลย...”

    สามเณรอธิบายเป็นการรำพึง มิได้หวังที่จะให้สัมภเวสีเข้าใจโดยตลอด แต่ก็ได้ผลบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง กระแสแห่งดวงจิตของสามเณรขณะนี้พึงประสงค์อย่างเลื่อนลอยที่จะให้ซาบซ่านแว่วแผ่วเข้าไปสู่โสตประสาทเพื่อนกลุ่มนั้นได้บ้างเพื่อจะช่วยเตือนอย่างเป็นห่วงเพราะในจิตนิมิตนั้นสามเณรเห็นแล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นในโอกาสอันใกล้นี้

    ในนิมิตอนาคตอันใกล้แห่งดวงจิตสามเณร สามเณรเจ้าเห็นกรรมอันเกิดจากเพื่อนผู้ประมาทเพราะความเมาที่มีตัณหาราคะเข้าครอบงำจะทำการปลุกปล้ำอนาจารเพื่อนหญิงจริงๆ ด้วยมิมีใครห้ามปรามกลับถือเป็นสิ่งสนุก หญิงสาวมิยอมด้วยความเด็ดขาด เธอเหลือบมองขวดโซดาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ นั้น ถ้าไม่มีใครช่วยเธอจะช่วยตัวเอง ขวดโซดานั่นแหละจะเป็นผู้ช่วย...

    ...เมื่อเพื่อนชายโถมเข้ากอดรัดด้วยย่ามใจ เธอจึงคว้าขวดโซดาตีเข้าที่ท้ายทอยหนุ่มน้อยผู้กระหายอย่างแรง เข้าจุดสลบพอดี หนุ่มน้อยพลิกตกลงไปในห้วงน้ำลึกที่กำลังเริ่มขึ้น กระแสน้ำเชี่ยวกรากเบื้องล่างดูดร่างของหนุ่มน้อยผู้นั้นเข้าสู่ซอกหินแห่งอสุรกายทันที อสุรกายอยู่ในมิติละเอียดพอที่จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้บ้าง จึงจ้องเขม็งเลียปากสะกดร่างหนุ่มน้อยนั้นเข้าอีกแรงหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้ความปีติในลักษณะรู้สึกว่าได้ลิ้มรสมนุษย์สดๆ บ้างก็ยังดี

    กระแสจิตแห่งกุศลธรรมของสามเณรน้อยที่หวังจะช่วยเพื่อนได้เข้าตรวจสมาธิถึงกาลอายุขัยของเพื่อนผู้ประมาทนั้น
    “ยังไม่ถึงกาลอายุขัย คือยังไม่ถึงเวลาตายโดยธรรมชาติ”
    แต่ถ้าไม่ช่วยก็จะถึงความตายโดยผิดธรรมชาติเพราะกรรมใหม่เฉพาะหน้าที่ได้ก่อ เมื่อตายแล้วบุคคลประเภทนี้ก็จะต้องมาเกิดเป็นสัมภเวสีเพราะไม่มีที่ไป คนเหล่านี้ถ้าช่วยก็จะรอดพ้นได้ แต่ต้องมีข้อแม้ว่าถ้าช่วยมาแล้วจะสร้างสรรค์ให้เขากลับตัวกลับตนประพฤติดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไขไม่ได้ ผู้ช่วยเหลือนะแหละจะรับบาปแทน เพราะเท่ากับช่วยคนเลวให้กลับมีโอกาสได้ประพฤติเลยต่อไปอีก ผู้ช่วยก็รับบาป คนถูกช่วยก็บาป”

    สามเณรพิจารณา ทั้งเคยทราบวิสัยเพื่อนมาก่อนเพราะเคยเรียนหนังสือด้วยกันมา ปกติเจ้าเพื่อนคนนี้เป็นคนเรียบร้อย ขี้อาย ไม่มีสันดานบ้าตัณหาราคะ แต่เหตุการณ์ที่เกิดเฉพาะหน้านี้เป็นเพราะอำนาจความเมาชักจูงไปเท่านั้น

    “เราจะต้องช่วยไว้ก่อนเพราะเพื่อนก็คือเพื่อน แม้ช่วยให้รอดไปได้แล้วถ้ายังกลับตัวไม่ได้เราก็ยอมรับกรรมร่วมกับเพื่อน ไม่เป็นไร นั่นต้องเอาไว้แก้กันทีหลัง...แต่ขณะนี้ความบ้าตัณหาราคะกำลังจะทำให้เพื่อนจู่โจมเข้ากอดปล้ำเพื่อนหญิงนั่นอยู่รอมร่อแล้ว”
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เจ้าแม่นมสาว

    ไม่มีสุภาพบุรุษในวงเหล้า...ในขณะที่สาวน้อยแรกรุ่นกำลังถูกรังแกใบหน้าซีดอกสั่นขวัญแขวนจากเพื่อนชายอย่างไม่คาดคิดมาก่อน เธอร้องไห้กระซิกๆ หันไปทางเพื่อนชายคนไหนทุกคนก็เห็นเป็นของสนุกและสนับสนุน ไม่มีใครช่วยเธอเลย หนำซ้ำเพื่อนบางคนยังพยักหน้าขยิบตาให้เพื่อนที่กำลังกอดรัดเป็นนัยให้ทำการมากขึ้นกว่านั้นเข้าไปอีก

    เพื่อนผู้เมาเหล้าเคล้าตัณหาพยายามกดร่างเธอให้นอนหงายลงกับพื้นเรือ เธอต้านแรงไม่ได้จึงหงายลง ส่วนมือขวาพยายามตะกายไขว่คว้าขวดโซดาตามที่ได้ตั้งใจไว้ เธอคว้าขวดโซดาได้แล้วกำมั่นไว้ในมืออย่างเหมาะเจาะ
    “สัมภเวสีเพื่อนยาก...สำแดงร่างช่วยพวกเขาเดี๋ยวนี้”
    สามเณรกล่าวเรียบๆ ห้วนๆ

    ฉับพลันทันใด ด้วยความชำนาญ สัมภเวสีก็สำแดงร่างเป็นอสุรกายตาแดงถลนแลบลิ้นยาวไปแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างร่างของเจ้าหนุ่มน้อยเมามันกำลังพยายามนอนคร่อมร่างเด็กสาวที่น่าสงสารซึ่งกำลังบิดหน้าไปทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อให้หลุดพ้นจากไอ้บ้าระห่ำซึ่งกำลังแสดงบทพิศวาสประกบจูบเพื่อนสาวแบบในหนังให้เพื่อนๆ ชม

    สัมภเวสีแลบลิ้นอันยาวเข้ารองรับลิ้นของเจ้าหนุ่มแล้วตวัดรัดลิ้นไว้มิให้หลุด เมื่อลิ้นหยาบนั้นรัดแน่นเข้า แน่นเข้า หนำซ้ำยังได้กลิ่นสาบสางอย่างรุนแรงจึงลืมตาขึ้นดูก็ต้องผงะหงายเพราะใบหน้าของสาวน้อยกลับกลายเป็นใบหน้าบวมเป่งอลึ่งฉึ่งของภูตผีปีศาจที่มีตาแดงถลนออกมานอกเบ้า ทุกคนที่กำลังร่วมกันสร้างบาปเห็นชัดแจ้งเหมือนกัน ใบหน้าปีศาจในร่างสาวน้อยค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งปล่อยลิ้นเจ้าหนุ่มเมามันหลุดออกมาแล้วเหลียวมองไปรอบๆ แสยะปากถลนตาหลอกหลอนตามบทถนัด ไม่มีใครรอช้าต่อไปอีกแล้ว

    “ผี…!!!”
    ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกันแล้วก็พุ่งหลาวกระโดดลงจากเรือแทบจะพร้อมๆ กันตะเกียกตะกายเข้าสู่เกาะที่อยู่ใกล้ๆ อย่างตื่นตระหนกเป็นที่สุด

    ลมฉิวโชยแรงจากยอดเกาะพัดเอาเรือซึ่งเหลือแต่สาวน้อยผู้เคราะห์ดีอยู่เพียงคนเดียวเข้าสู่ชายฝั่ง ส่วนเจ้าหนุ่มกลัดมันกลุ่มนั้นที่พากันกระเสือกกระสนว่ายน้ำขึ้นเกาะได้ให้นอนตากยุงบนเกาะสักคืนเป็นการลงโทษสถานเบา

    เบื้องสถานเทวาคารเหนือหาดเกาะนมสาว ปรากฏร่างเทพธิดางดงามภายใต้พัสตราภรณ์ขาวล้วนบริสุทธิ์ ยืนค้อมกายประณตไหว้สามเณรผู้ถึงกุศลด้วยคารวะ
    “เจริญกุศลเถิดสามเณรเจ้า ที่ได้กรุณาอนุเคราะห์หนุ่มสาวรุ่นใหม่นี้ให้ผ่านพ้นบาปกรรมไว้ได้ในคราวนี้ นิมนต์สมณะเข้ามาเยือนสถานที่นี้เถิดเจ้าค่ะ”

    เทพธิดาเจ้าของเทวาคาร กล่าวนิมนต์ด้วยปีติในผลานิสงส์ของสามเณรน้อย สามเณรจึงเข้าไปใกล้
    “เจริญพรเถิดท่านผู้เจริญอายุ ท่านเป็นเทพผู้สถิตอยู่ ณ ที่นี้ ท่านคือเทพธิดายมโดยใช่หรือไม่”
    “เจ้าค่ะ ข้าพเจ้าได้รับขนานนามสมมุติมาช้านานในชื่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าเป็นเทพผู้ถือครบในปัญจศีลเป็นธรรมวิสัย สถิตอยู่ในมิติของอุตตรกุรุทวีป เพื่อปกปักรักษาฟากฝั่งอ่าวไทยอนุเคราะห์มนุษย์ที่ผ่านไปมาเป็นการเสริมกุศลในภพชาติต่อไปเจ้าค่ะ สามเณรเจ้า”

    “ขออานิสงส์ในการร่วมช่วยกันสงเคราะห์หนุ่มสาวคราวนี้จงเพิ่มกุศลแด่เทพท่านให้ยิ่งขึ้นไปเถิด”
    เทพธิดาประณตไหว้รับพรจากสมณะ เพิ่มประกายวาวๆ จากพัสตราภรณ์ให้เปล่งสุกใสยิ่งขึ้นและกระจ่างอยู่เช่นนั้นด้วยผลแห่งกุศลที่ได้รับ

    “อาตมาเคยมาเที่ยวทางเรือที่เกาะนี้สมัยเป็นเด็กนักเรียน เคยเห็นเทพท่านแต่เพียงรูปสักการะที่ปรากฏอยู่ในศาล เมื่อได้สัมผัสด้วยกระแสจิตเช่นนี้จึงทราบว่าท่านเป็นเทพผู้งดงามด้วยกุศลยิ่งนัก ท่านมีองค์อยู่จริงๆ มิใช่เพียงตำนานขานกล่าว ท่านผู้เจริญอายุท่านจะอนุเคราะห์หนุ่มน้อยผู้หลงผิดเหล่านั้นในค่ำคืนนี้ให้เขาระลึกถึงกุศลได้อย่างไรบ้าง”

    เทพธิดายิ้มน้อยๆ ปีติที่จะกระทำตามคำแนะนำของสามเณรผู้ถึงกุศล เพราะเท่ากับเป็นการชี้ช่องทางให้เทพธิดาปฏิบัติกุศลกิจเพิ่มพูนยิ่งขึ้น
    “คนรุ่นใหม่ไม่มีศรัทธาในบุญกุศล ในเทพเทวดา ในภพในชาติ...เพราะเขาไม่น้อมใจสัมผัสเขาเกิดขึ้นมาในโลกยุคทางลง...ข้าพเจ้าจะใช้เวลาในค่ำคืนอันน้อยนิดที่เหลืออยู่หยุดเขาไว้ที่ทางราบขณะนี้สักขณะหนึ่ง บางทีถ้าผู้ใดมีบุญกุศลแต่อดีตหรือปัจจุบันบ้าง อาจทำให้เขาเดินสู่ทางขึ้นได้บ้างก็เป็นกุศล”

    “อาตมาขอฝากกุศลกิจไว้แก่ท่านเทพผู้เจริญอายุ คนเหล่านั้นเคยเป็นเพื่อนร่วมเรียนหนังสือมากับอาตมา แต่เดี๋ยวนี้เราเดินทางกันคนละสาย เดชะบุญที่เราได้มาพบกันในค่ำคืนอันเกือบเป็นคราวโชคร้ายของเขาทั้งหมด แสดงว่าคงมีผู้ถึงบุญอยู่ในกลุ่มนั้น มิเช่นนั้นเทพเธอและอาตมาพร้อมด้วยสัมภเวสีผู้เพื่อนยากคงไม่มีโอกาสได้อนุเคราะห์พวกเขาเป็นแน่...อาตมาได้เวลาอันสมควรแล้ว ต้องขอลาท่านกลับไปก่อน ขอท่านจงเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด”

    เทพธิดาประณตไหว้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อกายละเอียดของสมณสามเณรและสัมภเวสีผู้ไม่เห็นเทพกลับเข้าสู่เขตขัณฑพัทธสีมาแล้วเทพเธอก็ปฏิบัติกุศลต่อไป

    หนุ่มน้อยกลุ่มนั้นเมื่อได้รับความเยือกเย็นจากน้ำทะเลซึ่งได้กระเสือกกระสนว่ายจากเรือเข้าสู่เกาะก็ช่วยทำให้ฤทธิ์เหล้าคลายลงไป ความตระหนกตกใจทำให้ประสาทรู้สึกกลับเข้าที่ ความเกรงกลัวในภาพมายาของสัมภเวสีทำให้ความรับผิดชอบชั่วดีกลับคืนมา พวกเขาพาร่างที่เปียกโชกขึ้นสู่หาดทรายบนเกาะ เมื่อทุกคนเห็นเงาตะคุ่มๆ ของเรือลำนั้นล่องลอยเข้าสู่ฝั่งเบื้องโน้นแล้วก็หายห่วงเพื่อนสาวซึ่งเข้าสู่ที่ปลอดภัยแล้ว ทั้งหมดพากันเดินมารวมกลุ่มอยู่หน้าศาลเจ้าแม่นมสาว หรือเทพธิดายมโดยและพากันกราบไหว้ตามประเพณี

    “ผีมีจริงๆ หรือนี่” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น ทุกคนมองหน้ากัน
    “ตาฝาดกันไปหรือเปล่าวะ” อีกคนสงสัย
    “ก็เห็นเต็มตาเหมือนกันหมดทุกคนไม่ใช่หรือ”
    อีกคนให้ความเห็นแล้วทุกคนก็นิ่งเงียบเป็นการยอมรับสภาพว่าเห็นกันจริงๆ หมดทุกคน

    “พวกเราจำกันได้หรือไม่ว่า ก่อนที่จะออกเรือมาเมื่อหัวค่ำ เจ้าของสถานที่ที่เรามาพักเขาเตือนแล้วว่า เจ้าแม่บนเกาะนี่ศักดิ์สิทธิ์นะทำอะไรต้องขออนุญาตท่านและอย่าทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม โดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่สุด ห้ามเก็บหินบนเกาะเจ้าแม่กลับไปเด็ดขาด”

    เพื่อนอีกคนหนึ่งย้ำคำเตือนของเจ้าของสถานที่พักที่บอกกล่าวเตือนไว้แล้วเมื่อหัวค่ำ พลางจ้องขึ้นไปบนศาลเจ้าแม่นมสาวและพนมมือไหว้อีกครั้งหนึ่ง
    “เราจำได้แต่ว่าอย่าเก็บหินบนเกาะเจ้าแม่เป็นอันขาด นอกนั้นมันเลือนรางและคิดไม่ถึงว่าเรื่องเหล่านี้จะมีจริง และอีตอนที่เหล้ามันกำลังออกฤทธิ์เราจะทำมิดีมิร้ายกับเพื่อนหญิงก็ไม่เห็นมีใครทักท้วงกลับมีแต่คนยุ นี่ป่านนี้พวกบนฝั่งรู้เข้าจะไม่ยกขบวนมาเหยียบเราแบนคาเกาะหรอกหรือ”

    เจ้าตัวดีที่ก่อเหตุรำลึกขึ้นได้เมื่อหายเมาก็เกิดความเกรงกลัว
    คำพูดของเขาดูเหมือนจะเป็นจริง เพราะทุกคนมองไปบนฝั่งเห็นแสงไฟวอบๆ แวมๆ หลายดวงจากบ้านพักเคลื่อนลอยมาที่ชายฝั่งเหมือนคนหลายคนกำลังเดินมาลงเรือเพื่อจะมายังเกาะ
    “เขาคงเป็นห่วงมาช่วยพวกเราหรอกน่ะ”
    อีกคนให้เหตุผลปลอบใจ
    “มันก็คงทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
    คนมีเหตุผลดีที่สุดสรุป แล้วทุกคนก็นิ่งเงียบเพื่อรอรับอาญาและความช่วยเหลืออันใกล้นี้
    เรือหลายลำพาพรรคพวกบนฝั่งมุ่งมาสู่เกาะในจุดหมายเดียวกันคือ
    “ไปช่วยถ้ามันยังไม่จมน้ำตายกันเสียก่อน แล้วกระทืบมันให้เข็ด”
    กลุ่มผู้มีคุณธรรมและหวังดีพากันสบถโกรธขึ้ง เพราะไอ้เพื่อนแหกคอกกลุ่มนี้ทำให้เสียชื่อเสียงเพื่อนๆ ที่มากันทั้งหมด
    “หรือเจ้าแม่หักคอทิ้งน้ำตายหมดแล้ว”
    บางคนโพล่งขึ้นมา
    บางคนนิ่งเงียบคิดถึงเหตุประหลาดที่สาวน้อยเล่าให้ฟังว่ากำลังจะเสียทีอยู่รอมร่อแล้วทำไมอยู่ดีๆ มันจึงพากันกระโดดน้ำลงจากเรือทั้งหมดพร้อมๆ กันเหมือนตกใจกลัวอะไร
    “ไอ้พวกนั้นมันเห็นอะไรกัน”
    “อะไรมาช่วยสาวน้อยไว้”
    “คงจะเจ้าแม่นั่นแหละ เจ้าแม่นมสาว เจ้าแม่ผู้ปกปักรักษาท้องทะเลไทย”
    แล้วก็มาสรุปอยู่ที่เจ้าแม่ผู้มีคุณธรรมและปกป้องช่วยเหลือคนดีตลอดมา
    “สาธุ...แล้วเจ้าแม่จะเล่นงานไอ้พวกนั้นตายไหม”
    บางคนก็ยังอดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้
    “คงไม่ถึงตายหรอกน่ะ อย่างมากก็คางเหลือง”
    ขบวนเรือทั้งพวกที่จะมาช่วยเหลือและจะมากระทืบก็ใกล้เกาะเข้ามาๆ เสียงจากในเรือเข้าสู่โสตประสาทหนุ่มที่นั่งหนาวสั่นอยู่ทุกคน พากันเกรงกลัวเมื่อได้ยินเสียงแสดงความโกรธแค้นมากกว่าเสียงเป็นห่วง ต่างนั่งจ้องหน้ากันไม่กล้าปริปากพูด แล้วคนหนึ่งก็มีสติรำลึกได้ จึงคลานเข้าไปกราบลงบนพื้นทรายหน้าศาลเจ้าแม่อ้อนวอนขอให้ช่วยเหลือ

    “เจ้าประคู้น...เจ้าแม่กรุณาช่วยลูกช้างด้วยเถิด ลูกช้างรำลึกได้แล้วถึงความผิด และขอสาบานว่าต่อไปนี้จะไม่ทำเช่นนี้อีก ขอให้เจ้าแม่ช่วยพาลูกช้างทั้งหมดรอดพ้นจากการลงโทษจากเพื่อนๆ ในเรือนั่นสักครั้งหนึ่งเถิด...”
    สิ้นเสียงอ้อนวอน ลมเย็นกรรโชกมาวูบหนึ่ง เสียงใบมะขามใบเกดเหนือศาลเจ้าแม่พลิ้วลมกังวานเยือกเย็นคล้ายเสียงของสุภาพสตรีหัวเราะแผ่วๆ แล้วฟังเป็นศัพท์สำเนียงได้ยินกันทุกคน
    “จงเดินเข้ามา...เดินเข้ามา...ลอดซุ้มกระบองเพชรเข้ามา...เราจะช่วยเจ้า...”
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    แดนลับแล

    “จงเดินเข้ามา...เดินเข้ามา... ลอดซุ้มกระบองเพชรเข้ามา...เราจะช่วยเจ้า”
    เสียงประหลาดกังวานคล้ายระฆังเงินดังย้ำขึ้นอีกครั้ง ทุกคนได้ยินถนัดเหมือนถูกสะกด แต่ละคนค่อยๆ ยืนขึ้นแล้วพากันเดินฝ่าซุ้มกระบองเพชรที่มีหนามแหลมคมอยู่มากมายรอบลำต้นรอบพุ่มโดยที่ไม่มีใครรู้สึกกลัวว่าจะถูกหนามกระบองเพชรทิ่มตำเข้าที่ร่างกายเนื้อตัวแต่ประการใด

    เมื่อเรือจากชายฝั่งมาถึงเกาะ หนุ่มน้อยคนสุดท้ายก็เดินหายเข้าไปในซุ้มกระบองเพชร
    “จงก้าวเข้ามา...ก้าวเข้ามา...เข้ามาสู่แดนมนุษย์ที่มีความละเอียดเหนือพวกท่าน”
    แต่ละคนเดินเข้าไปช้าๆ ตามกันเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เข้าไปตามเสียงกังวานที่ดังแผ่วก้องมาจากสุดขอบโลก

    “จงมาสู่แดนมนุษย์ที่มีจิตใจละเอียดประณีตเหนือพวกท่าน...คนที่นี่เป็นมนุษย์เหมือนท่านแต่รักษาปัญจศีล คือ ศีลห้าครบถ้วนเป็นประจำมิได้ขาด พวกเราไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พวกเราไม่ลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น พวกเราไม่ประพฤติผิดในกามเสพอสัทธรรมกับลูกเมียคนอื่นเขา พวกเราไม่มุสาโป้ปดมดเท็จ พวกเราไม่ประมาทเพราะเสพสุรายาเมาทั้งหลาย...จะเรียกพวกเราว่าเทพก็ไม่ผิด เพราะพวกเราเป็นมนุษย์ที่อยู่ในแดนสวรรค์ชั้นมหาราชิกาเบื้องต้น แม้พวกเราอยู่ในมนุษยภูมิเช่นเดียวกับท่าน แต่เราปฏิบัติตนเช่นเทพเทวดา พวกเรามีกายละเอียดที่ท่านมองไม่เห็น พวกเรามีอายุยืนนับพันปี พวกเราเป็นหนุ่มสาวรุ่นอยู่เสมอไม่ทรุดโทรมร่วงโรยไปตามอายุ พวกเรามีรูปโฉมโนมพรรณงดงามกันถ้วนทั่ว ฝูงผู้หญิงนั้นมิต่ำมิสูง มิผอมมิอ้วน มิขาวมิดำ สีสมบูรณ์งามดังทองอันสุกเหลืองเรืองสดใส นิ้วตีนนิ้วมือกลมงามนะแน่ง เล็บตีนเล็บมืองดงามดังน้ำครั่งมาแต้มไว้โดยธรรมชาติ แก้มทั้งสองนวลใยเหมือนแป้งผัด ผิวหน้าใสเกลี้ยงปราศจากมลทินหาฝ้ามิได้เลย ดวงหน้าผ่องใสดุจพระจันทร์วันเพ็ญ นัยน์ตาดำขลับเหมือนลูกตาเนื้อทรายที่เพิ่งคลอดได้สามวัน ริมฝีปากแดงดังลูกฝักข้าวสุก ท้องงามราบเรียบเชื่อมกับลำตัวอันอ้อนแอ้นกลมเกลา เส้นผมละเอียดอ่อนยิ่งกว่าไหมพรมดำงามดังปีกแมลงภู่ยาวสยายลงมาต่ำกว่าบ่า ปลายผมงอนขึ้นเบื้องบนทุกเส้นสาย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ทุกเมื่อ น้ำเสียงใสกังวานดุจระฆังเงินปราศจากเสมหะเขฬะทั้งสิ้นทั้งปวง หญิงสาวทุกคนจะหยุดอายุอยู่ที่สาวรุ่น 16 ไม่แก่ลงไปเลย ส่วนฝูงผู้ชายเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์หยุดอายุอยู่ในวัย 20 ไม่รู้แก่รู้เฒ่าทุกคน...เข้ามาเถิด เข้ามาในดินแดนอุตตรกุรุทวีปของเรา ณ แดนนี้มีดอกไม้ของหอมต่างๆ มากมาย ผู้คนที่นี่มีความสุขสนุกทุกเมื่อ บางคนก็เที่ยวเล่นรำระบำขับฟ้อนด้วยศิลปะที่ประณีตงดงาม บางคนก็ระบือเพลงดุริยดนตรี ดีดบ้าง สีบ้าง ตีบ้าง เป่าบ้าง ขับสรรพสำเนียงเสียงหมู่ประสานไพเราะเพราะพลิ้วไปตามสายลมแสงแดดในหมู่ไม้แมกพฤกษ์เสียงระฆังกังสดาลมโหระทึกกึกก้องเสนาะหู...เข้ามาเถิดมาชมเมืองที่มีความสุขความสนุกของเรา...”

    หนุ่มน้อยกลุ่มนั้นเดินตามกันไปช้าๆ เข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์อันสวยงามมีเสียงพากย์ติดตามไปทุกระยะ เมื่อกล่าวถึงสิ่งใด สิ่งนั้นก็ปรากฏให้เห็นเป็นตัวตนในความรู้สึกที่เหมือนฝัน แต่พวกเขากำลังเดินเหยียบย่างเข้าไปจริงๆ ทุกคนเดินท่องเที่ยวอย่างมิรู้เบื่อ ก้าวเข้าไป ก้าวเข้าไปยังดินแดนที่ไม่ใช่ในโลกเรา

    “ที่นี่หลุดพ้นออกมาแล้วจากชมพูทวีป ใกล้เข้ามาในมหาราชิกาอีกนิดหนึ่ง ที่นี่มีดอกไม้อันตระการตา พันธุ์พฤกษ์สีสันต่างๆ กัน มีจวงจันทร์กฤษณาคันธาทำนองลบองดังเทพยดาในเมืองฟ้าสนุกทุกเมื่อบำเรอกันมิวายสักคาบหนึ่งเลย ลางหมู่ชวนเพื่อนไปเล่นในที่ตระการอันสนุก ลางหมู่ไปเล่นในสวนพฤกษ์ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของจวงจันทร์กฤษณาคนธาปาริกชาตินาคพฤกษ์ ลำดวนจำปาโยทกามาลุตีมณีชาติบุตรทั้งหลาย อันมีดอกบัวบานงามตระการแลหอมฟุ้งขจรมิรู้วาย บางส่วนก็ชวนกันไปเล่นในสวนไม้ผลอันสุกหวาน ลูกขนุนนั้นใหญ่เท่าไหหาม เขาชวนกันกินชวนกันเล่นเบิกบานสำราญใจ บางหมู่ชวนกันไปเล่นในแม่น้ำใหญ่ที่มีท่าน้ำราบเรียบปราศจากโคลนตม ชวนกันว่ายล่องท่องเที่ยวเด็ดดอกไม้อันมีในแม่น้ำ บ้างก็ชวนกันเล่นเหนือกองหาดทราย เมื่อจะพากันลงอาบน้ำนั้นต่างถอดเครื่องประดับออกวางไว้เหนือหาดทรายชายฝั่งด้วยกันแล้ว เมื่ออาบเสร็จเป็นที่สำราญก็ขึ้นมาก่อนหลังตามความพอใจ ผู้ใดขึ้นมาก่อนจะหยิบเสื้อผ้าเครื่องประดับของใครก็ได้ขึ้นสวมใส่มิได้ถือว่าเป็นของเราของท่าน ต่างคนต่างมิได้หวงว่าเป็นของของเราของท่านเลย...”

    ทุกคนเดินท่องเที่ยวตามกันไป เห็นตัวตนรูปร่างเรื่องราวสถานที่เป็นไปตามเสียงพากย์อย่างละเอียด งดงามรื่นรมย์เหลือเกินไม่มีใครเอ่ยปากว่าเหนื่อยว่าเมื่อยว่าเบื่อ แต่ละคนมีความสุขสนุกสนานยิ่งกว่าชมคอนเสิร์ตในชมพูทวีปเป็นไหนๆ ยังยินดีปรีดาที่จะท่องเที่ยวไปตามเสียงพากย์อีกต่อไป

    “...พวกเราที่นี่ไม่มีการด่าทอถกเถียงโต้ตอบกันด้วยอารมณ์เลย พวกเราเมื่อใหญ่ขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวจะมีความรักความใคร่เหมือนมนุษย์เช่นท่าน เมื่อรักแรกได้กันเป็นผัวเมียอยู่ด้วยกันเสพเมถุนเพียงแค่ 7 วันเป็นพอ รับรู้กามรสโดยวิสัยแล้วไม่มักมากเสพสมกันและกันอีกต่อไปเลย เพราะเห็นแล้วรู้แล้วว่านั่นคืออสัทธรรมมิใช่สัทธรรมที่ควรทำ พวกเราอยู่เย็นเป็นสุขหนักหนาตราบเท่าสิ้นอายุนับพันปี มิได้มีสิ่งเดือดร้อนอาวรณ์อาลัยแต่อย่างใด ฝูงผู้หญิงเมื่อได้เสพอสัทธรรมแล้วเมื่อมีครรภ์ท้องไม่โตใหญ่ขยายออก เมื่อจะคลอดลูกไม่มีการเจ็บท้องเจ็บพุง เมื่อถึงเวลาก็คลอดออกมาเองอย่างง่ายดาย ลูกที่ออกมานั้นก็สดใสปราศจากเลือดและคาวเมือกทั้งปวง ทารกที่เกิดออกมาสะอาดหมดจดเองโดยมิต้องทำความสะอาดอีก ผู้เป็นแม่มิต้องให้ลูกกินนมของตน มิต้องเลี้ยงดูประคบประหงมให้ยุ่งยากเช่นพวกท่าน แต่ด้วยผลบุญแห่งทารกที่มาเกิดในแดนนี้ เมื่อผู้คนเดินผ่านไปมาก็จะเมตตาเอานิ้วสะอาดแหย่ลงไปในปากเด็ก น้ำนมธรรมชาติก็จะไหลออกจากปลายนิ้วของผู้คนเป็นอาหารของทารกเกิดใหม่เช่นนั้นโดยวิสัย ทารกที่เจริญวัยขึ้นเป็นเด็กอ่อน พวกผู้หญิงก็จะไปอยู่กับเพื่อนเด็กหญิงด้วยกัน พวกผู้ชายก็จะไปอยู่กับเพื่อนเด็กชายด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่ผู้ใหญ่คอยทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงว่าเป็นลูกฉันหลานฉัน ทารกที่แดนนี้เป็นลูกของธรรมชาติเช่นกันทั้งสิ้น งดงามเท่ากัน เป็นสุขเท่ากัน เมื่อมีชีวิตอยู่พวกเราล้วนแต่ทำดีประพฤติชอบกันเองโดยไม่ต้องมีผู้ใดมาเสี้ยมสอนชี้แนะให้ทำ พวกเราทำแต่สิ่งที่ดีงาม ปฏิบัติตนประพฤติตัวอยู่แต่ในปัญจศีลกันถ้วนทั่ว เมื่อพวกเราสิ้นอายุขัยเราจะไปบังเกิดในภพสวรรค์ที่มีสุคติเพิ่มขึ้น พวกเราเชื่อเช่นนั้น ที่เชื่อเพราะการกระทำของเราเอง เมื่อพวกเราตายจากกันเรามิได้เป็นทุกข์โศกร้องไห้ห่วงหาอาลัยอาวรณ์เพราะเรารู้เท่าทันว่าเป็นธรรมชาติ และธรรมชาติที่จะนำพวกเราไปสู่ภพที่ดีขึ้น...”

    ทุกคนได้ยินได้ฟังได้เห็นและจดจำใส่จิต ขณะนั้นแต่ละคนรำลึกได้ว่านั่นเป็นธรรมชาติง่ายๆ ธรรมดานี่เอง ทุกคนรู้สึกรู้พิจารณาด้วยกำลังท่องเที่ยวอยู่ในแดนที่ปราศจากบาปโดยสิ้นเชิง ทุกคนมีจิตใจผ่องแผ้วแจ่มใส เห็นถูกก็รู้ว่าถูก เห็นงามก็รู้ว่างาม เห็นความสุขก็รู้ว่าเป็นสุข ง่ายๆ ตรงๆ ไม่ยุ่งยากสับสนเหมือนโลกเรา ทุกคนท่องเที่ยวเพลิดเพลินจนลืมเวลาว่าผ่านพ้นไปนานแล้วเท่าใด ลืมคิดถึงความผิดความทุกข์แต่เบื้องหลัง ลืมความสับสนวุ่นวายไปชั่วครู่ เมื่อเดินวนรอบใหญ่ๆ เวียนกลับมาอีกครั้งหนึ่งก็พากันมายืนเรียงแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งอยู่หน้าปราสาทวิมานแก้วสถานเทวาคารอันสดสวยทุกคนแลเห็นเทพธิดาแสนงดงามอยู่ภายใต้พัสตราภรณ์สีขาวมีประกายวาวๆ โปร่งใส นั่งยิ้มแย้มอยู่บนบุษบกบัลลังก์แก้วที่มุขปราสาทนั้น แล้วทุกคนก็ทราบว่าเทพธิดาคือเจ้าของเสียงพากย์ตั้งแต่เริ่มมาตลอดจนบัดนี้นี่เอง

    “พวกเธอทั้งหมดเห็นแล้วใช่ไหม ว่ายังมีแดนล้ำลึกลับแลคล้ายเมืองแมนแดนสวรรค์อยู่นอกจากในโลกภพที่เธออยู่ ที่นี่เรียกว่าอุตตรกุรุทวีป เป็นแดนที่มีความสุขหนักหนา พวกเธอเห็นและสัมผัสเพียงนิดเพื่อจะรำลึกได้บ้างถึงบาปบุญคุณโทษตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ว่ามีจริงไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล ภพที่ละเอียดประณีตมีตัวตนจริง เทพเทวดา หรือมนุษย์กายละเอียดเช่นเรามีอยู่จริงมิใช่เพียงเป็นเรื่องในตำนานขานไข เมื่อพวกเธอเห็นแล้วสัมผัสแล้วรู้แล้วเข้าใจแล้วเช่นนี้ เมื่อเธอกลับไปโลกของเธอซึ่งอยู่ตรงนี้เหมือนกันแต่หยาบกระด้างกว่า...พวกเธอจะยินดีกลับใจทำแต่ความดีทำบุญรักษาศีลบ้างไหม”

    เทพธิดาวกเข้าจุดสำคัญ
    “ครับ พวกกระผมจะพยายามกลับใจกลับตัวที่จะทำดีทำบุญกุศลต่อไปครับกระผม”
    ทุกคนในที่นั้นปฏิญาณตน บางคนก็หนักแน่น บางคนก็เบาบาง บางคนก็อ้อมแอ้มตามแต่ประเภทของผู้มีบุญกุศลที่แตกต่างกัน เพราะทุกคนเห็นเท่ากันสัมผัสเท่ากันชัดแจ้งเท่ากันถึงสิ่งเร้นลับละเอียดอ่อนต่อหน้าเช่นนี้แล้ว แต่ความรู้สึกในขันธสันดานยังมีไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคน

    “เอาละ...ผู้ที่เกิดศรัทธาเชื่อมั่น จะเพิ่มพูนความมั่นใจของเธอได้มากขึ้น เมื่อได้กลับไปแล้วให้ไปหาสามเณรน้อยผู้ถึงกุศลซึ่งเคยเป็นเพื่อนพวกเธอมาก่อน สมณสามเณรท่านนั้นช่วยพวกเธอเอาไว้ในคราวนี้ จะรับรองและล่วงรู้เหตุที่เกิดกับพวกเธอแล้วทั้งสิ้น เราผู้สงสารได้อนุเคราะห์ช่วยพวกเธอตามที่พวกเธอได้ขอร้องแล้ว นี่เข้ามาถึงกาลเวลาเที่ยงวันของอีกวันหนึ่งในโลกภพ เมื่อพวกเธอออกไปจากที่นี่จะกลายเป็นความมหัศจรรย์แปลกประหลาดสำหรับพรรคพวกที่กำลังค้นหาเธออยู่ ความแปลกประหลาดจะช่วยเบี่ยงเบนความเคียดแค้นที่พวกเธอได้หลงทำกับเด็กหญิงเพื่อนของเธอเองเมื่อตอนค่ำคืน พวกเธอจงตั้งใจและมั่นใจที่จะสร้างกุศลทำดีทำบุญตามสัจธรรมของพระพุทธเจ้าต่อไปเถิด...ขอให้โชคดี”

    แล้วทั้งหมดก็รู้สึกเหมือนวูบและล้มลงนอนกองรวมกันอยู่ภายในกอกระบองเพชรใหญ่ที่หน้าศาลเจ้าแม่นมสาวริมหาดทราย
    เหมือนหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้น และได้ยินเสียงพรรคพวกตะโกนค้นหากันโหวกเหวกที่ชายหาด แสงตะวันยามเที่ยงที่ขึ้นอยู่กลางฟ้าตรงศีรษะสาดส่องลงมาร้อนจัดจ้า ทุกคนพากันขยี้ตาร้อนผะผ่าวผิดกับความเยือกเย็นสบายเมื่อชั่วครู่

    “พวกเรากลับมาที่เก่าแล้ว พวกเราตื่นแล้ว หรือพวกเราฟื้นแล้ว...”
    ทุกคนพากันฉงนสนเท่ห์ในตัวเอง แต่ก็จดจำเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้เหมือนกันทุกคน พยายามหาทางออกจากกอกระบองเพชรเท่าไรๆ ก็หาไม่ได้ ไม่มีทางเข้าทางออกเลย หนามอันแน่นหนาล้อมรอบปกคลุมอยู่รอบด้าน ในที่สุดก็ตะโกนร้องเรียกพรรคพวกที่อยู่เบื้องนอกให้เข้ามาช่วย

    เมื่อเฉาะปล่องเป็นช่องทางพอที่แต่ละคนจะคลานออกมาได้ก็กินเวลานานพอสมควร ทุกคนพากันประหลาดมหัศจรรย์ใจว่าพวกกลุ่มหนุ่มเหล่านี้เข้าไปอยู่ในกอกระบองเพชรได้อย่างไร ตรวจดูแล้วไม่มีช่องเข้าได้เลยจริงๆ และตั้งแต่เที่ยงคืนยันเที่ยงวันค้นหากันถ้วนทั่วรอบเกาะแม้ในกอกระบองเพชรนี่ก็เถอะ ได้สอดส่องค้นหาด้วยสายตาเบื้องนอกเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าก็มิได้ระแคะระคายมาก่อน แต่จู่ๆ พวกเขาก็ตะโกนเรียกออกมาและรวมตัวปรากฏอยู่ในนี้เป็นที่อัศจรรย์นัก

    “เจ้าแม่ เจ้าแม่พาเข้าไปชมเมืองลับแล และอบรมกัณฑ์ใหญ่ให้ทำความดี”
    ผู้มีศรัทธาเชื่อถือและมั่นใจในบาปบุญละล่ำละลักเล่าเหตุการณ์ให้ฟังด้วยความปีติแล้วก้มลงกราบบนพื้นทราย...กราบแล้วกราบอีก
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    โปรดสัตว์เพื่อนยาก

    ท้ายป่าช้าวัดเมือง บนแท่นหินใหญ่ใต้ร่มเงาต้นหว้าข้างอาศรมน้อยของพระครูจิตตัง สามเณรน้อยนั่งพิจารณาหนังสือปริยัติ พุทธพจน์อันจะพึงจดจำเป็นทฤษฎีบท สามเณรพึงได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อพระครูไว้ว่า การศึกษาธรรมปัจจุบันนี้มีโอกาสมากกว่าแต่ก่อนๆ เพราะมีตำรับตำรามากซึ่งแต่ก่อนไม่ค่อยมี ผู้สนใจค้นคว้าก็จะมีโอกาสทราบทฤษฎีบทได้ง่าย จึงเป็นโอกาสอันดีแล้วที่ผู้ศึกษาควรจะปฏิบัติควบคู่กันไปทั้งตำราและปฏิบัติ คือทั้งปริยัติปฏิบัติและปฏิเวธ แต่มีข้อควรระวังการศึกษาในภาคทฤษฎีนั้นเป็นการศึกษาโดยสุตมยปัญญา คือ ได้ความรู้จากการฟังการเรียนจากตำรา ต้องพิจารณาให้รอบคอบหยิบยกเอาเฉพาะที่ตรงกับสัจธรรมจริงๆ เท่านั้นมาจดจำ ก็ต้องเกี่ยวเนื่องกันกับการที่จะพึงพิจารณาเช่นนั้นได้ก็ต้องอาศัยจินตามยปัญญา คือ ความรู้สึกนึกคิดชอบ และภาวนามยปัญญา การพิจารณาชอบมาประกอบด้วย ฉะนั้นจึงควรกระทำไปพร้อมๆ กัน ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติดังกล่าว

    เมื่อมีเวลาสามเณรน้อยจะไม่ปล่อยเวลาให้ว่างไปเปล่าๆ ว่างตอนกลางวันจะศึกษาปริยัติ ว่างกลางคืนจะกระทำปฏิบัติเป็นประจำอย่างครบถ้วน
    ในบ่ายวันนั้น ขณะสามเณรนั่งพิจารณาปริยัติอยู่บนแท่นหินแต่ผู้เดียว พระครูจิตตังไม่อยู่ สามเณรได้เตรียมแก้วน้ำจากบนวัด 6 ใบ มาใส่น้ำสะอาดเต็มแก้วทุกใบตั้งเรียงไว้ที่ริมแท่นหินนั้น อากาศกำลังร้อน เมื่อคนที่จะเข้ามาเยี่ยมอีกสักครู่ทุกคนต้องหิวกระหายเขาจะได้ดื่มน้ำทันที

    โดยมิได้นัดหมายมาก่อน อีกครู่ใหญ่ๆ เจ้าเพื่อนตัวดีทั้ง 6 คน ที่เกือบโชคร้ายในคืนเมามาก ในทะเลริมเกาะคืนนั้นก็พากันโผล่มาจากซุ้มกอซอป่าช้า ทั้งหมดพากันดีใจที่เห็นสามเณรนั่งอยู่บนแท่นหินเพราะไม่ผิดหวังที่จะได้พบ
    ทุกคนเดินตรงเข้าที่แท่นหินใหญ่แล้วคุกเข่านั่งลงกับพื้นดินก้มลงกราบสามเณรกับริมแท่นหินพร้อมกัน
    “เจริญพร...โยมเพื่อน ไม่ได้พบกันเสียนาน ขึ้นนั่งบนแท่นหินนั่นแหละ”

    เชื้อเชิญให้นั่งบนแท่นเดียวกันตามสบาย แต่ละคนก็นั่งตรงแก้วน้ำทั้งหกที่ตั้งรออยู่แล้ว
    “มาร้อนๆ ทั้งนอกทั้งในอย่างนี้ดื่มน้ำเสียก่อนเถอะ จะได้คลายร้อน”
    เหมือนรู้ใจ เพื่อนทั้งหกต่างยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้วทุกคนแล้ววางลง
    “เอ๊ะ...สามเณรเตรียมน้ำไว้รอพวกเราหรือ”

    เจ้าเอก ที่เกือบจะเป็นผู้ร้ายในคืนนั้นเอะใจทักถามขึ้น สามเณรยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบ
    “สามเณรรู้ว่าพวกเราจะมาหรือ”
    เพื่อนคนเดิมถามต่อไป สามเณรก็เฉยอยู่ในรอยยิ้ม
    “ใครบอกสามเณรล่วงหน้าหรือ”
    ถามต่อไปอีก แล้วหันไปทางเพื่อนๆ ทุกคนเป็นเชิงซักไซ้ เพื่อนแต่ละคนก็สั่นหน้าว่าไม่ได้มาบอกสามเณรไว้ก่อน
    “แล้วสามเณรรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะมากัน และหกคนเสียด้วย”
    ต่างคนก็พากันมีความเห็นสงสัยคล้อยตามเพื่อนคนแรก
    “ถามจริงๆเถอะสามเณร...เณรรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราจะมากันและมากันหกคน”
    “ก็มากันเท่าที่ไปนั่นแหละ...ไม่ใช่หรือ” สามเณรย้อนถามยิ้มๆ
    “ไปไหน...สามเณรว่าพวกเราไปไหนกันมาหกคน”
    เจ้าเอกเพิ่มความฉงน
    “เอาละ...เอาละ...เพื่อนทั้งหกผ่านพ้นวิกฤติการณ์มาก็ดีแล้ว นั่งพักผ่อนให้สบายเสียก่อนเถิด”
    ลมเย็นจากชายทุ่งพัดโชยมายามบ่าย เสียงใบหว้าเสียดสีซู่ซ่าทำให้เยือกเย็นไปถึงขั้วหัวใจ เพื่อนทุกคนพากันจ้องหน้ากันแล้วหันกลับไปจ้องหน้าสามเณร ทำสีหน้างงๆ
    “สามเณรรู้ถึงเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับพวกเราหรือ”
    เจ้าไท เพื่อนอีกคนหนึ่งซักถามขึ้นบ้าง
    แล้วทั้งหมดก็หวนระลึกถึงคำพูดสุดท้ายของเทพธิดาที่กล่าวว่า
    “สมณสามเณรช่วยพวกเธอไว้และล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น”
    ต่างพากันซุบซิบๆ แล้วจ้องหน้าสามเณรอีก
    “ตรงกับที่เจ้าแม่บอกไว้ไม่มีผิด แปลกจริงๆ”
    สามเณรนิ่ง เพื่อนทั้งหกก็นิ่งแต่จ้องหน้าสามเณรไม่กะพริบตา
    ในปัญหาเฉพาะหน้าเช่นนี้ สามเณรน้อยต้องใช้ความสุขุมคัมภีรภาพเป็นที่สุด ในการพูดก็ดี ในการกระทำก็ดี เพื่อไม่ให้เป็นการแสดงธรรมอันล้ำเลิศปรากฏแก่เพื่อนๆ เพราะไม่เป็นการจำเป็นในขณะนี้ในกลุ่มทั้งหกเพื่อนคนสองคนเท่านั้นที่มีจิตใจน้อมศรัทธาเชื่อมั่น แต่อีกสี่ยังวิจิกิจฉาอยู่มากมาย การแสดงธรรมที่ล้ำเลิศจะทำให้เขาเหล่านั้นคิดอกุศล เพ้อเจ้อเหลวไหลได้

    “ได้ข่าวมาว่าพวกเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลกัน”
    สามเณรกล่าวเป็นกลางๆ
    “แล้วอะไรอีก...แล้วอะไรอีก ได้ข่าวอะไรอีก”
    เพื่อนอีกคนรุกไล่
    “แล้วก็เกิดเหตุการณ์นิดหน่อย เหตุการณ์นั้นผ่านไปด้วยดีแล้วทุกคนกำลังจะทำดีจึงพากันเดินเข้ามาในวัดมาหาพระ”
    “มาหาเณรหรอกน่ะ”
    เพื่อนผู้มีอารมณ์ขันติงขึ้น ทำให้ทุกคนผ่อนคลายอารมณ์ลง
    “เมื่อสามเณรทราบข่าวพวกเราก็ดีแล้ว...พวกเรามานี่อยากจะถามว่าบาปบุญคุณโทษมีจริงหรือ เทพเทวดา ภูตผีปีศาจ เมืองลับแล อุตตรกุรุทวีป สวรรค์ชั้นฟ้า เหล่านี้มีตัวตนจริงหรือ”
    สามเณรหลับตากระทำขณิกสมาธิขณะหนึ่ง ทำใจและกายเป็นอุเบกขาก่อนจะกล่าวตอบชัดเจน

    “มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกคำสอนของพระพุทธเจ้า คำว่าบาปบุญคุณโทษก็เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติมีอยู่จริงแท้แน่นอน ใครทำดีก็ได้บุญกุศล ใครทำชั่วก็บาปเป็นโทษ...เทพเทวดา เป็นกายทิพย์รูปทิพย์อยู่ในภพทิพย์ซึ่งเรียกว่าเทวภูมิ ภูตผีปีศาจเป็นภาพมายาของสัมภเวสีคือวิญญาณที่ยังแสวงหาที่เกิดที่ไปไม่ได้ อุตตรกุรุทวีปเป็นภพภูมิที่ละเอียดประณีตกว่าโลกเราอยู่ในมนุษย์ภูมิเช่นกัน สวรรค์ชั้นฟ้าละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไปอีกมีตั้ง 6 ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี”

    “แล้วเมืองลับแลล่ะ”
    “อ้อ...ลืมตอบไป...เมืองลับแลอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์”
    เพื่อนทั้งหกพากันหัวเราะครืน คลายเครียดลงอย่างสิ้นเชิง
    “เณรก็ยังคงมีอารมณ์ขันเหมือนเดิม เหมือนที่เรียนหนังสือกันมาแต่เด็กๆ”
    เพื่อนย้อนระลึกถึงครั้งเป็นนักเรียนเมื่อเล็กๆ เพราะสามเณรแม้จะเรียนหนังสือเก่งสอบได้ที่หนึ่งแทบทุกครั้ง แต่มีนิสัยติดตลกไม่เครียด เช่นเมื่อเพื่อนๆ ถามว่า
    “เฮ้ย...ไอ้น้อย ทำไมเอ็งสอบได้ที่ 1 เรื่อยๆ วะ”
    ไอ้น้อยในสมัยนั้นก็จะตอบว่า
    “ก็เราเป็นคนมักน้อย ไม่อยากได้มากจึงเอาเพียง 1 เท่านั้นเป็นพอ”
    ถ้าเพื่อนถามว่า
    “เฮ้ย...ไอ้น้อย ทำไมเอ็งจึงเรียนหนังสือเก่งวะ”
    “ก็เพราะว่าเราเป็นคนโง่ ต้องขยันเรียนให้มาก” เป็นต้น
    การถ่อมตน การเจียมตัว การไม่โอ้อวดเป็นวิสัยของเด็กชายน้อยเสมอมา เพื่อนๆ ส่วนมากจึงรักเขา เกรงใจเขา กอปรกับการมีอารมณ์ขันในทางสร้างสรรค์เสมอจึงทำให้เขามีจิตใจน้อมอยู่ในศีลธรรมจริยธรรมด้วยอารมณ์สบายๆ
    “ยิ่งเดี๋ยวนี้เรา...อาตมา...กลับมีอารมณ์ขันมากขึ้นกว่าเดิม เป็นต้นว่า เมื่อมีคนดีคนอยู่ในศีลในธรรมตาย โยมเพื่อนรู้มั้ย เรา...อาตมาขำอะไร”
    ทุกคนเงียบกริบไม่มีใครตอบ
    “อาตมาขำลูกหลานของเขาที่พากันร้องไห้อาลัยอาวรณ์”
    ทุกคนมองหน้ากัน คิดในใจว่าก็ถูกแล้วคนดีตายทุกคนต้องเสียดายมากจึงอาลัยอาวรณ์
    “คนที่เรารักนับถือไปดีแล้ว ไปสู่สุคติภพ พรหม หรือนิพพานแดนที่ดีกว่าโลกมนุษย์มากมายนัก เราควรจะดีใจปีติกันแต่กลับมาร้องไห้ มันน่าขำมั้ยล่ะ”
    “นี่เณรกำลังเทศน์” เจ้าคนที่ชอบติงเย้าแหย่
    “ถ้าคนชั่วช้าตาย...ไม่ค่อยมีคนร้องไห้กัน”
    ก็ถูกแล้วคนชั่วใครจะไปร้องไห้ให้เสียน้ำตา...เพื่อนๆ คิด
    “คนชั่วตายจะต้องไปสู่อบายภูมิ ตกนรกหมกไหม้ลำบากทรมาน น่าสงสารเขาน่าร้องไห้เวทนาเป็นห่วงเขา กลับไม่มีใครค่อยร้อง มันน่าขำมั้ย”
    สามเณรเทศน์ต่อ เพื่อนๆ ค่อยพิจารณาก็เห็นจริงพากันขำไปด้วย
    “จริงสินะ มันกลับตาลปัตรกันเสียนี่ น่าขำมนุษย์”
    เจ้าเอกกับเจ้าไทน้อมจิตเห็นตามแต่อีกสี่คนยังรู้บ้างไม่รู้บ้างหัวเราะเจื่อนๆ ตามไปแต่มิมีความขำขันในสัจธรรมนั้นอย่างแท้จริง
    “เหมือนที่เทพธิดาเจ้าแม่ยมโดยเทศน์ให้ฟังเมื่อคราวนั้น ว่าคนในอุตตรกุรุทวีปตายไม่มีใครเขาร้องไห้กัน เพราะเขาถือว่าคนตายจะไปสู่แดนที่มีความสุขขึ้น จึงไม่มีใครโศกเศร้าเหมือนโลกเรา”
    เจ้าเอกหวนคิดคำเจ้าแม่และหยิบมายกขึ้นรับรองให้สติเพื่อนๆ ที่ได้สัมผัสกันมา
    “นี่สามเณร...พวกเราอยากจะฝากเจ้าเอกกับเจ้าไทบวชกับสามเณรด้วย คงจะไปไกล”
    เพื่อนอีกสี่คนกล่าวเชิงเย้าแหย่ แต่นัยน์ตาของทั้งสองมีความจริงจังในส่วนลึก
    “เออ...ดีแล้ว ข้าจะบวช”
    เจ้าเอกตัวแสบกับเจ้าไทตัวสนับสนุน รับสมอ้างด้วยท่าทางจริงจังกับเพื่อนๆ ก่อนที่จะพากันอำลาสามเณรกลับ
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    โปรดสัตว์เทวดา

    การช่วยเหลือเพื่อนให้รอดตายแล้วกลับใจประพฤติดีประพฤติชอบได้ในคราวนั้นเป็นอานิสงส์เสริมบุญกุศลให้ทั้งสามเณรน้อยเอง สัมภเวสีเพื่อนยาก และเทพธิดายมโดยมากขึ้นเป็นทวีคูณ ธรรมกิจของสมณะเป็นกุศลกิจโดยแท้ทั้งตนเองและเพื่อนร่วมชีวิตในโลก ตรงข้ามกับโลกิยกิจซึ่งมักจะเอื้ออำนวยโลกิยสุขให้แก่ตนเอง หมู่ของตนเองแล้วเบียดเบียนคนอื่น หมู่อื่นอย่างสิ้นเชิงเป็นอกุศลไม่ดีเลย

    ค่ำคืนดึกสงัด ภายในห้องเล็กๆ แคบๆ อันเป็นสถานที่จำวัดบนวัด สามเณรน้อยกราบบูชาพระพุทธรูปองค์เล็กองค์เดียวบนหิ้งบูชาข้างฝา อธิษฐานแล้วเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เจริญจิตเข้าสู่ภูมิประณีตระดับฉกามาวจรมีอารมณ์สุขสบายซาบซ่านเป็นบาทอธิษฐานเข้าถึงภพสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา โดยการถอดจิตเข้าสู่กายทิพย์ท่องเที่ยวไปด้วยกุศล

    รูปนิมิตสมณสามเณรปรากฏเข้าสู่ภพละเอียดประณีตดินแดนที่มีแสงอาทิตย์ส่องถึงเพียงครึ่งแสง สว่างไสวคล้ายสีรุ้งหลังฝนตกใหม่ๆ ในภพเรา บรรยากาศช่างสดชื่นปลอดโปร่งสบายซาบซ่าหฤหรรษ์เป็นที่สุด
    “นอกจากความสุขซึ่งเกิดจากธรรมารมณ์ในกามาวจรจิตแล้วไม่มีความสุขสบายใดในโลกภพเสมอเหมือน”
    รำพึงต่อไปอีก
    “เป็นความสุขให้ติดอยู่ในความเพลินจนลืมนึกสิ่งใดๆ ทั้งหมด”
    พึงพิจารณาเรื่อยไป
    “นี่ถ้าจิตเทวดาใดมิได้มีธรรมเป็นกุศลสรณะ เทวดาองค์นั้นก็คงจะมีความรู้สึกคล้ายเคียงผู้ที่ติดอารมณ์สบายๆ ในสิ่งเสพติดในโลกเรา”
    พึงพิจารณาเป็นกุศลธรรมต่อไป

    “น่าเป็นห่วงเทพเทวดาตรงที่ว่าเป็นผู้ติดความสุขสบายมากกว่ามนุษย์มากนัก เพราะความสุขสบายที่นี่น่าติดน่าหลงใหลเหลือเกิน ดีเสียแต่ว่าเราเป็นสมณะอยู่ในสัจธรรมของพระพุทธองค์ พระผู้ทรงกล่าวเป็นนัยแก่สมณะทั้งหลายไว้ว่า ผู้ติดสุขติดสบายเช่นสวรรค์นี้เป็นสิ่งที่เลวทราม...สมณะทั้งหลายพระพุทธองค์ทรงปรารถนาให้สมณะมุ่งสูงสุดคือพระนิพพานแต่เพียงสถานเดียว”

    เมื่อรำลึกได้เช่นนี้จึงยกมือกระทำอภิวาทน้อมนมัสการพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นสรณะสูงสุด
    “อ้าว...ข้างหน้าเป็นท่านใดเล่า เป็นกายทิพย์มีแสงเรืองรองสว่างไสว มีสร้อยสายถนิมอาภรณ์รัศมีรุ่งโรจน์อลังการยืนอยู่เต็มไปหมด และทุกท่านกำลังน้อมรูปอภิวาทกระทำสักการะมาทางเรา”

    “พวกเราเป็นเทพในพระพุทธศาสนาพระคุณเจ้า เราได้ยินทิพยสำเนียงวิสัชนาเป็นธรรมเทศนาจากพระคุณเจ้าว่า น่าเป็นห่วงเทพเทวดาจะติดความสุขบนสวรรค์จนหลงลืมสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งพระนิพพานเป็นธรรมวิสัชนาอันวิเศษซึ่งพวกเราจะได้ยินนานๆ สักครั้งบนสวรรค์นี้ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดธรรมเทศนาโปรดแก่พวกเราให้รำลึกมั่นยิ่งขึ้นในกุศลต่อไปเถิด พระคุณเจ้าผู้ถึงกุศล”

    โดยไม่รู้ตัว ความคิดรำพึงในอารมณ์กลายเป็นเสียงทิพย์กระจายก้องไปสู่ปวงเทพเทวดาเข้าให้แล้ว สามเณรชะงักจิตพิจารณาได้ว่า บนสวรรค์เขาพูดกันด้วยจิต คิดออกไปเช่นนี้เองกลายเป็นองค์เทศน์โดยมิตั้งใจ เทวดาเป็นผู้ถึงกุศลเมื่อได้ยินเสียงอันเป็นกุศลจึงพากันมารับฟังรับทราบรับรำลึกด้วยปีติ

    “เจริญกุศลเถิดท่านเทพผู้เจริญอายุ อาตมาเป็นเพียงสามเณรในพระพุทธศาสนา เพิ่งบรรพชามาไม่นานคงไม่มีกุศลสูงถึงกับจะเป็นองค์เทศน์ธรรมกถาแด่ท่านเทพได้หรอกกระมัง”
    “ได้โปรดเถิดพระคุณเจ้า สมณะใดที่ปรากฏในภพภูมิมหาราชิกาได้เป็นผู้มีกุศลสูงแน่แท้ นานนักจะมีสักครั้งหนึ่ง พวกเรามิได้รำลึกจิตอยู่ที่เป็นสามเณรหรือภิกษุบวชนานหรือบวชใหม่เป็นสำคัญ แม้กระทั่งเป็นรูปนิมิตของมนุษย์ธรรมดาถ้ามานิมิตที่นี่ได้และกล่าวสัจธรรมของพระพุทธองค์ไพเราะล้ำลึกเช่นนี้เป็นผู้ซึ่งทวยเทพจะสักการะปรารถนาจะฟังธรรมพระเจ้าข้า”

    สามเณรพึงพิจารณาได้อีกว่า จิตเทพเป็นจิตที่เคารพธรรม ผู้ใดกล่าวธรรมผู้นั้นย่อมเป็นที่ศรัทธาของทวยเทพโดยมิรังเกียจว่าเป็นมนุษย์เป็นเทพ
    “อาตมาเข้าใจ...วิสัชนาที่ทวยเทพแจ้งให้อาตมาทราบถือเป็นกุศลสูงส่ง ขอกุศลในการนี้จงกลับได้แก่ทวยเทพโดยถ้วนทั่วด้วยกันเถิด”
    เทพทั้งหลายนมัสการรับกระทำสาธุการ พลันประกายรัศมีของเทพทุกองค์ก็สดใสสว่างขึ้นกว่าเดิมกันถ้วนทั่ว
    “ทวยเทพพึงติดจิตที่จะฟังธรรมใดในธรรมที่อาตมาได้กล่าวไปแล้วนั้นฤา”
    “พวกเราพึงติดจิตเพื่อจะรำลึกในพุทธพจน์ของพระพุทธองค์ทรงกล่าว ผู้ติดสุขติดสบายเช่นสวรรค์นี้เป็นสิ่งที่เลวทรามพระเจ้าข้า”

    สามเณรในรูปกายทิพย์ยกจิตขึ้นสู่อุเบกขาน้อมอธิษฐานองค์ธรรมของพระพุทธองค์อันสถิตในสถานปรินิพพาน ขอบารมีแห่งฉัพพรรณรังสีขออนุญาตแสดงธรรมของพระองค์แด่ทวยเทพเพื่อเสริมกุศลในวาระนี้...

    “ดูกร...ท่านทวยเทพทั้งหลาย ในวาระจิตที่นอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น อาตมาพึงขอประทานพุทธานุญาตนำพุทธพจน์พรรณนาไว้ในส่วนนี้ว่า...
    บุคคลบางคนในโลกภพย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้าผ่อน ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่นั่ง ที่พัก และสิ่งที่เป็นอุปกรณ์แด่ประทีป เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไป และเขาได้ยินมาว่าพวกเทพเจ้าเหล่าจาตุมหาราชิกามีอายุยืน มีวรรณะงาม มากไปด้วยความสุข ดังนี้แล้วเขาจึงระพึงอย่างนี้ว่า โอหนอเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทพเจ้าเหล่าจาตุมหาราชิกา
    เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตนั้นไว้ จิตของเขาน้อมไปในสิ่งที่เลว มิได้อบรมเพื่อคุณเบื้องสูง ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในจาตุมหาราชิกานั้น ก็ข้อนี้แล เรากล่าวสำหรับบุคคลผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับบุคคลผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลายความตั้งใจของบุคคลผู้มีศีลย่อมสำเร็จได้เพราะเป็นของบริสุทธิ์ดังนี้”

    ทวยเทพรับฟังแล้วกระทำสาธุการอีกวาระหนึ่งด้วยปีติสุขเป็นล้นพ้นและกล่าวพร้อมกัน
    “สาธุ...สาธุ...สาธุ...นานนักแล้วไม่มีผู้ถึงกุศลใดมาแสดงธรรมกถาให้สติเตือนจิตแด่พวกเราเช่นนี้เลย ปัจจุบันสมัยเทพเทวดาทั้งหลายส่วนมากเกือบหมดสวรรค์พากันหลงใหลติดสุขสบายเสวยทิพย์กามารมณ์จนมิได้รำลึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เลวดังพระพุทธองค์ทรงกล่าวพรรณนาไว้ เทพเทวดาเกือบลืมอบรมจิตเพื่อคุณเบื้องสูงต่อไป ธรรมกถาวิสัชนาของพระคุณเจ้าครั้งนี้ทำให้สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาสว่างไสวขึ้นอีกเป็นทวีคูณ อานิสงส์แห่งการนี้ขอพระคุณเจ้าจงได้รับผลแห่งพระนิพพานโดยเร็วเถิด”

    พลันประกายรัศมีสีรุ้งแห่งสวรรค์ก็กระจ่างขึ้นเป็นทวีคูณ เสียงทิพยสังคีตประโคมก้อง ดอกไม้ทิพย์ร่วงหล่นเป็นฝนดอกไม้เกลื่อนกล่นไปทั่วท้องนภาสวรรค์ กลิ่นหอมจุรณจันทน์สุคนธชาติก็ตระหลบอบอวลเป็นมหากุศลแผ่ซ่านไปทั่วภาคพื้นจาตุมหาราชิกาเป็นมหามงคลยิ่ง

    ได้เวลาอันสมควรสามเณรก็กำหนดจิตกลับเข้าสู่สังขารเดิมที่นั่งสงบขัดสมาธิอยู่ในห้องแคบๆ นั้น กรวดน้ำแผ่กุสลด้วยความปีติแล้วอุเบกขาเสีย
    หลับสนิทเพียงชั่วครู่โลกิยสังขารก็ได้พักผ่อนเต็มที่ สามเณรรีบตื่นตีสามครึ่งก่อนปกติซึ่งเคยตื่นเมื่อตีสี่
    “เราจะตื่นให้เร็วขึ้นต่อไปเช่นนี้ จะมัวติดนอนอยู่ทำไม นอนนิดเดียวก็เพียงพอ ทีเทวดาติดสุขเรายังไปเทศน์ให้ท่านเหล่านั้นรำลึกได้ว่าอย่าติด อย่าติด เราผู้เทศน์จะมัวมาติดเสียเองได้อย่างไร เราจะต้องกระทำตัวทำตนให้ติดทุกสิ่งทุกอย่างน้อยลง น้อยลง มิเช่นนั้นเทวดาจะตำหนิได้”

    เพราะไม่มีวิจิกิจฉาในการท่องเที่ยวไปในภพสวรรค์ที่ได้สัมผัสมาเลย จึงเพิ่มความตระหนักในปฏิปทาแห่งสมณะให้ยิ่งขึ้นเป็นกุศโลบายปฏิบัติพรหมจรรย์แห่งตน นี่เป็นธรรมมรดกแต่บัณฑิตชาติพึงกระทำวันรุ่งขึ้นหวนกลับมาพิจารณาถึงมนุษย์เรา
    “ตายเลย ตายเลย ถ้าเราไปหลงพูดว่ามนุษย์ที่กำลังมีความสุขความสบายทั้งหลายทั้งมวลอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ว่าเขากำลังน้อมไปในสิ่งที่เลวเช่นนั้น คงถูกไล่ออกจากคฤหาสน์วิมานของมนุษย์เหล่านั้นจนวิ่งไม่ทันเป็นแน่...เดชะบุญที่หลงไปรำพึงให้ทวยเทพเทวดาได้ยินเข้ากลายเป็นธรรมสุภาษิตย้ำจนรำลึกเตือนจิตเทพเป็นที่ปีติมหากุศลไปได้...นี่แหละหนาจิตเทพ จิตมนุษย์ในเหตุเดียวกันแท้ๆ ยังตระหนักกันไปคนละมุม”

    ขณะกวาดลานพิกุลเพลินๆ อยู่นั้นสามเณรก็ได้ยินเสียงทักทายด้วยคารวะมาทางเบื้องหลัง
    “นมัสการเจ้าค่ะสามเณร...วันนี้จะกวาดทั้งลานวัดหรือเจ้าคะ เห็นกวาดเกือบหมดทั้งลานอยู่แล้ว ดิฉันจะขอช่วยกวาดด้วยนะเจ้าคะ”
    แม่ชีสุดคนึงนั่นเอง แม่ชีสุดเป็นผู้คารวะสามเณรเสมอๆ แม้จะเป็นผู้ใหญ่โดยอายุกว่ามาก แต่สำนึกในฐานะผู้รักษาแค่อุโบสถศีล 8 เป็นฐาน ซึ่งผิดกับสามเณรรักษาศีล 10 มากกว่า จึงต้องสัมมาคารวะด้วยฐานของศีลเป็นที่ตั้ง
    “อ้อโยม โยมชี ขอบพระคุณโยมน้าที่ตั้งใจช่วย อาตมาตั้งใจจะกวาดให้หมดวัดเพราะมีเวลาอยู่ ผิดกับวันก่อนจ้ะโยม”
    แม่ชีสุดถือไม้กวาดมาด้วยแล้วจึงเข้ามาช่วยกวาดและสนทนาไปด้วย
    “วันก่อนๆ เป็นอย่างไรหรือจึงผิดกับวันนี้”
    “วันก่อนๆ เมื่อฉันเพลแล้วจะต้องนั่งพักผ่อนให้อาหารย่อยเสียพักใหญ่จนเคยตัว ว่าที่จริงเมื่อฉันเสร็จลงมากวาดเสียเลยก็เป็นการย่อยอาหารดีกว่าเสียอีก คนแต่ก่อนเขาว่าให้ข้าวในท้องมันเรียงเม็ด พุทโธ่เอ๊ย มาคิดพิจารณาให้ดีข้าวที่เราเคี้ยวจนละเอียดเรียบร้อยแล้วมันจะมีเม็ดให้เรียงอยู่ได้ยังไงกัน การพักผ่อนโดยข้ออ้างเช่นนั้นเป็นความสุขของมนุษย์ ถ้าเราพลอยติดสุขเช่นนั้นไม่เป็นกุศลเลย เทวดาฟ้าดินเห็นเข้ารู้เข้าจะติเตียน”

    สามเณรตอบยิ้มๆ แต่ดูเอาจริงจัง
    “สามเณรน้อยผู้นี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่แล้ว วันนี้ดูมีเหตุผลในธรรมกุศลมากขึ้นไปอีก”
    แม่ชีสุดคนึงชมอยู่ในใจอย่างภาคภูมิ
    “เมื่อคืนคงไปพบเทพเทวดามาแล้วน่ะซี”
    กล่าวแบบคาดคะเน
    สามเณรหยุดกวาดชั่วขณะ พลางจ้องใบหน้าโยมน้าเพื่อคาดคะเนในคำถามเช่นกัน
    “โยมน้ารู้อย่างไร เห็นอย่างไร ก็อย่างนั้นนั่นแหละ”
    ตอบเป็นเชิงรับ แล้วสามเณรก็กวาดลานวัดต่อไปจนหมดลาน
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    พระนิพพานอยู่แค่เอื้อม

    ดึกสงัดในอีกค่ำคืนหนึ่ง แม่ชีสุดคนึงกำหนดจิตเจริญวิปัสสนากรรมฐาน อธิษฐานท่องเที่ยวไปในภพสวรรค์ชั้นมหาราชิกาเพื่อกุศล อธิษฐานขอตรวจจิตของสมณสามเณรน้อยย้อนกาลเข้าสู่คืนวันก่อนเพื่อจะทราบวาระจิตแห่งสามเณรที่ได้รับเป็นนัยไว้ว่า
    “โยมรู้อย่างไร เห็นอย่างไรก็อย่างนั้นนั่นแหละ”

    กาลเวลาแห่งธรรมชาติย่อมไม่มีวันย้อนกลับ ไม่ว่าจะในภพไหนๆ ก็ตาม
    การกำหนดจิตอธิษฐานย้อนกาลเวลาได้ด้วยขอบารมีพระพุทธคุณย้อนจิตรำลึกภาพลักษณ์ในกาลนั้นให้แม่น ให้ตรง ให้ถูกต้อง เหมือนมนุษย์ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน แต่ในการย้อนรำลึกตรวจจิตผู้อื่นซึ่งจิตของผู้อธิษฐานมิได้ไปอยู่ในเหตุการณ์สัมผัสในคราวนั้นด้วยจำเป็นจะต้องใช้มโนมยิทธิคือฤทธิ์ทางใจน้อมเข้าสู่กาลอดีตเมื่อวันก่อนไปพร้อมกันในเหตุการณ์เดียวกัน

    พลันเหตุการณ์กุศลในส่วนหนึ่งเบื้องบนจาตุมหาราชิกาก็ปรากฏ แม่ชีสุดพิจารณาธรรมกถาวิสัชนาของสามเณรแด่ทวยเทพได้อย่างละเอียด แล้วประนมมือกระทำสาธุการ รับธรรมอันล้ำลึกของสามเณรเพิ่มกุศลด้วยปีติเพราะอยู่ในโลกภพมิเคยได้รับฟังธรรมเสริมสติเตือนจิตในบทนี้มาก่อนเลย

    “สามเณรท่านนี้เป็นผู้ถึงบุญโดยแท้ จับกระทู้ธรรมและอธิบายความได้เหมาะเจาะควรแก่พุทธบริษัทเบื้องสวรรค์ ว่าที่จริงธรรมบทนี้เป็นธรรมสำหรับเตือนใจให้สติสมณะภิกษุสงฆ์และผู้มีศีลโดยแท้แต่หามีใครหยิบยกขึ้นเป็นกระทู้สำคัญในโลกภพไม่ ธรรมบทนี้เป็นหัวใจแห่งสมณะทีเดียวที่เตือนไม่ให้ติดสุขติดสวรรค์หรือพรหมก็ตาม กิจของสมณะในพระพุทธองค์มุ่งสถานเดียวคือ พระนิพพาน”

    แม่ชีสุดคนึงพิจารณาธรรมในทิพยสถานแล้วจารึกจำหลัก
    “นมัสการเจ้าค่ะ...เทพธิดาสุดาคะนึง เทพบริจาริกาผู้ปวารณาองค์จุติเพื่อสร้างเสริมบารมีในโลกภพ...นมัสการเจ้าค่ะ ท่านเทพผู้ทรงศีล”
    พลันความรู้สึกในกายทิพย์เมื่อสัมผัสเทพธิดาผู้มีเสงเรืองรองน้อยซึ่งทักถามนอบน้อมนั้นก็จำได้ว่าเป็นเทพบริวารของตนเอง
    “เทพกินรี เธอปีติสุขอยู่ในกุศลดีอยู่หรือ”
    “ตามควรแก่กุศลเจ้าค่ะ”
    “เธอปรากฏ ณ ที่นี่ เพื่อสถานใด”
    “ด้วยปีติเจ้าค่ะ เมื่อครู่ก็ได้รับฟังธรรมจากเทพบุตรน้อยผู้บุตรแห่งเทพท่าน มาขณะนี้ก็ได้สัมผัสเทพธิดาอีก ปีติจิตเจ้าคะที่ได้พบและนมัสการทั้งเทพมารดาและเทพผู้บุตรแห่งวิมานเทพจิตตัง ที่ได้จากไปเสริมกุศลบารมีในโลกภพ”
    “กุศลที่เราได้เพิ่มขึ้นคราวนี้จงได้แก่เธอเทพกินรีด้วยเถิด”
    เทพกินรีปีติยินดีรับสาธุการ ประกายแสงเรืองรองน้อยในกายทิพย์และถนิมอาภรณ์ก็กระจ่างขึ้นด้วยกุศล
    “ได้เวลาอันควรแล้ว เราลากลับโลกภพก่อน”
    “นมัสการเจ้าค่ะ”
    แม่ชีสุดคะนึงก็กำหนดจิตเข้าสู่สังขารในกุฏิตามเดิมอีกวาระหนึ่ง

    “เทพธิดาสุดาคะนึง เทพบริจาริกาผู้ปวารณาองค์จุติเพื่อสร้างเสริมบารมีในโลกภพ...เทพกินรี เทพบริวารของเรา...
    ด้วยปีติจิตเจ้าค่ะ เมื่อครู่ก็ได้รับฟังธรรมจากเทพบุตรน้อยบุตรแห่งเทพท่าน มาขณะนี้ก็ได้สัมผัสเทพธิดาอีก ปีติจิตเจ้าค่ะที่ได้พบนมัสการทั้งเทพมารดาและเทพผู้บุตรแห่งวิมานเทพจิตตังที่ได้จากไปเสริมกุศลบารมีในโลกภพ”
    แม่ชีสุดคนึงจารึกจำหลักถ้อยคำเหล่านั้นไว้อย่างแม่นยำ
    “แน่นอนจะต้องจดจำไว้เฉพาะตนเท่านั้น”
    ปฏิญาณตนเพื่อธรรมกุศล เพราะตระหนักดีว่าธรรมอันละเอียดล้ำลึกยิ่งยวดเช่นนี้ทั้งท่านพระครูเทพจิตตัง และเทพบุตรน้อยย่อมรู้เองอยู่แล้วเป็นแน่ แม่ชีเธอมีปีติอย่างยิ่งแล้วอุเบกขาเสีย

    ตอนเย็นวันที่ปลอดโปร่ง แม่ชีสุดร้อยพวงมาลัยดอกพิกุลซึ่งร่วงอยู่ที่โคนพิกุลข้างกุฏิ พระครูจิตตังเดินเข้ามาพร้อมสามเณรเพื่อสนทนาด้วย แม่ชียกมือนมัสการทั้งสององค์
    “เจริญกุศลเถิดแม่ชี...เป็นเวลาอันสมควรแล้ว อาตมาจึงนึกขึ้นได้ว่าจะถามหลายหนแล้วแต่ไม่ได้ถามสักที จะถามว่าชื่อของแม่ชี “สุดคนึง” ใครเป็นคนตั้งให้ และทำไมจึงเขียนเช่นนั้น”

    “หลวงตาองค์ก่อนที่วัดนี้แหละเจ้าค่ะ พ่อบอกว่าได้มาขอให้ท่านตั้งให้และเขียนให้เช่นนี้ เมื่อเข้าโรงเรียนครูบางคนว่าเขียนผิดเพราะคำว่าคนึง จะต้องเขียนว่า คะนึง จึงจะถูก แต่ครูบางคนบอกว่าชื่อนาม เป็นคำเฉพาะ เมื่อเขียนมาแต่ดั้งเดิมว่า สุดคนึง ก็ใช้ได้ ไม่ผิด จึงใช้เช่นนี้เรื่อยมาเจ้าค่ะ”

    “ที่จริงชื่อเดิมของแม่ชี ใช้คะนึง มิใช่หรือ”
    “ชื่อเดิม”
    แม่ชีทบทวนด้วยรู้สึกฉงนเล็กน้อย ก็ชื่อเดิมพ่อตั้งให้มาก็ใช้คำว่าสุดคนึงนี่แหละ
    “เทพธิดาสุดาคะนึง”
    แล้วแม่ชีก็หวนคิดขึ้นได้ถึงคำเรียกจากเทพธิดากินรี ที่ได้เรียกว่า
    “เทพธิดาสุดาคะนึง”
    แม่ชีสุดคนึงแหงนมองหน้าพระครูอีกครั้งหนึ่ง พลางตอบอยู่ในลำคอ
    “เจ้าค่ะ”
    แล้วท่านพระครูจิตตังก็เดินขึ้นวัดไป ส่วนสามเณรน้อยยังคงยืนอยู่
    “วันนี้หลวงพ่อถามแปลก ว่าที่จริงหลวงพ่อรู้จักโยมน้ามานานแล้ว ทำไมเพิ่งมาถามชื่อเสียงเรียงนามเอาวันนี้”
    แม่ชีสุดคนึงจ้องหน้าเณรน้อยพิจารณาครู่หนึ่ง
    “หลวงพ่อทราบอะไรที่ล้ำลึก เมื่อเห็นเป็นโอกาสอันสมควรจึงถามขึ้น...ต่อไป...ต่อไปไม่นาน สามเณรก็จะต้องทราบเอง ทราบเอง”
    “เอ...วันนี้ดูแปลกทั้งสองท่านเลย ทั้งหลวงพ่อและโยมชี”
    สามเณรนึกรำพึงอยู่ในใจแล้วเดินตามหลวงพ่อขึ้นวัดไป คงปล่อยให้แม่ชีสุดคนึงมองตามหลังด้วยใบหน้าอิ่มเอิบจนสามเณรลับเข้าประตูวัด
    “สาธุ...ด้วยบารมีแห่งพระพุทธองค์โดยแท้ช่วยดลบันดาลให้พวกเรารำลึกถึงคุณเบื้องสูงขึ้น เรากำลังจะไม่ติดอยู่ในสิ่งที่เลวแค่ปีติสุข เรากำลังอบรมจิตเพื่อเบื้องสูงต่อไป ต่อไป สาธุ...สาธุ...”
    เมื่อรำลึกได้โดยญาณปฏิบัติ แม่ชีก็ยิ่งค้นคว้าในทางปริยัติมากขึ้น
    “ปีติสุขภูมิ เป็นภูมิของเทพเทวดา ยังมีความปีติใจ สุขใจ ซาบซ่านใจ แล้วในที่สุดก็จะสลดใจเมื่อสิ้นกุศล ผู้น้อมจิตไปเพียงเพื่อภูมินี้เท่านั้น จิตของเขาน้อมไปในสิ่งที่เลว...เรากล่าวสำหรับบุคคลผู้มีศีลไม่ใช่สำหรับบุคคลผู้ทุศีล”
    พิจารณาย้ำๆ ในกระทู้ที่สามเณรได้ธรรมกถาให้เทวดาฟัง เพื่อเตือนตนให้ประณีตยิ่งขึ้น
    “เราเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สมณะทั้งหลายเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นผู้มีศีลจะต้องพิจารณาธรรมข้อนี้ให้แตก...สำหรับผู้ทุศีลคือผู้ประพฤติไม่ดีมักละเมิดศีล เพียงน้อมจิตเพื่อปีติสุขภูมิคือภูมิสวรรค์ก็จะทำทุศีลน้อยลง เมื่อปฏิบัติศีลครบถ้วนมากขึ้นก็จะกลายเป็นผู้มีศีลต่อไป ผู้มีศีลเบื้องต้นคือผู้ที่พร้อมแล้วที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางอริยมรรค เส้นทางสายนี้ตรงดิ่งไปสู่พระนิพพาน ไม่ใช่เส้นทางสายวงกตที่จะต้องหลงไปสุขบ้างทุกข์บ้าง สวรรค์บ้าง นรกบ้าง วนเวียนอยู่เช่นนั้นไม่รู้จบ
    เส้นทางสายอริยมรรค เป็นเส้นทางนำสู่ความรู้จบ เป็นเส้นทางนำสู่ความเสร็จ เป็นเส้นทางนำสู่ความสุดสิ้นแล้วซึ่งความทุกข์ เป็นเส้นทางนำสู่ความสุขที่เรียกว่าเกษมแต่เพียงอย่างเดียว”

    พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีกก็จะเห็นความละเอียดประณีตยิ่งขึ้นเข้าใจยิ่งขึ้น
    “เพียงแค่คำว่า สุข และ เกษม แต่เดิมถ้าเรามิได้พิจารณาแยกแยะเราจะรู้สึกว่ามีความหมายเหมือนกัน คือแปลว่า สุขสบาย แต่ถ้าพิจารณาด้วยธรรมวิปัสสนาจะแยกแยะความหมายได้ว่าความสุข คือ ความสบายที่มีวันหมด แต่คำว่า เกษม คือความสบายที่ไม่มีวันหมดอย่างนี้เป็นธรรมวิปัสสนา”

    แม่ชีพึงพิจารณาสอนตนเอง สอนจิตของตน มองเข้าไปในความละเอียดเพื่อความละเอียดยิ่งขึ้น มองเข้าไปในภพสวรรค์เพื่อทะลุถึงพรหม มองเข้าไปในพรหมโลกเพื่อวิมุตติโลกนำสู่โลกุตตรเป็นที่สุด

    “เทพเทวดาบนสวรรค์มีหลายหมู่หลายเหล่า มากหมู่มากเหล่ากว่ามนุษย์ในโลกนี้มากมายนัก เทพในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่พอจะรำลึกถึงคำว่านิพพานได้บ้าง เทพหมู่อื่นไม่รู้จักคำว่านิพพานเลย เช่นเดียวกับคนบนโลกในศาสนาอื่นที่ไม่เข้าใจว่านิพพานคืออะไร เมื่อไม่รู้จักเสียแล้วก็ยากที่จะน้อมจิตไปให้ถึง...การพิจารณาเช่นนี้เป็นการพิจารณาเพื่อยกย่องพระพุทธศาสนาแต่เพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่ เป็นการพิจารณาเพื่อประสงค์จะให้มนุษยชาติทั่วไปได้เห็นทางที่มีความสุขจริงๆ ใช่หรือไม่ เป็นการพิจารณาเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกทั้งหมดใช่หรือไม่ เป็นการพิจารณาเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกธาตุทั้งหมดใช่หรือไม่ เป็นการพิจารณาเพื่อความจริงแท้ของธรรมชาติใช่หรือไม่ เป็นการพิจารณาเพื่อธรรมอันสูงสุดซึ่งไม่มีผู้ใดนอกจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใช่หรือไม่...และในประการสำคัญที่สุดเป็นการพิจารณาเพื่อพุทธศาสนิกชนที่น้อมจิตอยู่ในพระพุทธศาสนาอยู่แล้วให้รำลึกและปฏิบัติยิ่งขึ้นๆ ใช่หรือไม่...

    พึงพิจารณาด้วยจิตของตนเถิด พุทธศาสนาเป็นศาสนาในลักษณะประชาธิปไตย ไม่บังคับ ไม่หวงห้าม ผู้ใดจะพึงปฏิบัติหรือไม่พึงปฏิบัติเป็นอิสระในจิตตน ไม่โน้มน้าวให้ผู้ใดมาติดด้วยอุตริมนุสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งยวดล้ำเลิศต่างๆ แต่พระพุทธองค์ทรงปรารถนาให้บุคคลเกิดศรัทธาด้วยการพิจารณาและเชื่อมั่นในเหตุผลของตนเองเป็นหลัก พุทธปณิธานอันมีเช่นนั้นก็เพื่อประสงค์ให้คนที่ศรัทธาได้หลุดพ้นจริงๆ จากอาสวกิเลส มิใช่เพียงต้องการให้คนมาศรัทธาในศาสนาเท่านั้น

    สาธุชนเอย...พึงพิจารณาด้วยเหตุผลที่เป็นกลางเถิด เมื่อมีจิตศรัทธาแล้วน้อมเข้ามาปฏิบัติด้วยเหตุผลที่เชื่อมั่น พระนิพพานอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง”
    แม่ชีสุดคะนึงจึงจารึกคำสอนของตนไว้ สำหรับผู้ที่สนใจมาไต่ถามด้วยประการฉะนี้
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สภาเทพ

    ณ ทิพยสถานแดนดาวดึงส์ เทวสภาทั้งสองสวรรค์ได้เปิดประชุมร่วมเพื่อเทวกิจในท้าวโลกบาลตรวจโลกเป็นปกติอีกวาระหนึ่ง
    ภายในสุธรรมาเทวสภาอันตระการตา ท้าวสักกะเทวราชทรงเป็นองค์ประธานในที่ประชุมแวดล้อมด้วยเทพบุตรชั้นผู้ใหญ่ 33 องค์ เป็นเทพมนตรีที่ปรึกษา ท้าวมหาราชทั้งสี่แห่งมหาราชิกา อันมีท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวกุเวรหรือเวสสวัณ และเทพสำคัญทั้งจาตุมหาราชิกาและดาวดึงส์ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประชุมร่วม

    สมณะผู้ถึงกุศลจากโลกภพทั้งสาม อันมีสมณจิตตัง สมณสามเณรน้อย และแม่ชีสุดคนึง ในกายทิพย์ ซึ่งได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานถอดจิตต่างกรรมขึ้นมาในวาระเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย เป็นอาคันตุกะพิเศษร่วมสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย
    สมณะผู้น้อมจิตในพระพุทธศาสนา ย่อมมีศักดิ์สูงได้รับนิมนต์จากสภาเทพให้สถิตในที่อันควรได้รับอภิวาทจากสหเทพทั้งสภาด้วยคารวะ

    “ก่อนเริ่มประชุม เราขอแนะนำแด่สภาเทพพึงปีติสุขในอานิสงส์แห่งกุศลที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสมณะทั้งสามจากโลกภพผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่อมุ่งสู่พระอริยะในกาลอันใกล้ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ปวารณาเพื่อกิจกุศลในท้าวโลกบาลตรวจโลก สมณะทั้งสามได้ปรากฏนิมิตในสถานอันเป็นมงคลนี้ตรงกันโดยมิได้นัดหมาย เราจะกล่าวแนะนำเพื่อเป็นสักขีแด่ทวยเทพผู้หวังคุณเบื้องสูงยิ่งขึ้นไป สมณะทั้งสามท่านซึ่งเคยสถิตสถานเสวยสุขในทิพยวิมานเดียวกันบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นเทพบิดา เทพบริจาริกา และเทพผู้เป็นบุตรร่วมกันอยู่ แต่รำลึกถึงบารมีคุณเบื้องสูงในสัจธรรมของพระพุทธองค์ได้พร้อมใจกันละสุขจุติไปเกิดในโลกภพทนทุกขเวทนาเบื้องหยาบเพื่อปฏิบัติประพฤติพรหมจรรย์หวังอนุเคราะห์มนุษย์ เทวดา และสัตว์โลกธาตุทั้งปวง
    การประชุมซึ่งได้เริ่มขึ้นแล้ว เทพใดประสงค์จะพึงแจ้งเพื่อกิจอนุเคราะห์แด่โลกภพโลกธาตุอันสมณะได้พึงปวารณาในวาระนี้ ก็จงแสดงให้ปรากฏเถิด”

    ท้าวสักกะองค์ประธานตรัสเปิดการประชุม สภาสวรรค์รับทราบแล้วกระทำอภิวาทอัญชลี
    องค์ประธานตรัสทบทวนและไถ่ถาม
    “ดูก่อนท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ เราท้าวสักกะได้บัญชาไว้ว่า ในวัน 8 ค่ำ 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ เป็นประจำท่านจงตรวจตราดูแลโลกมนุษย์ นัยว่าในวัน 8 ค่ำ ท้าวมหาราชได้บัญชาให้เทพบริวารออกตรวจโลกมนุษย์ ทำการจดชื่อและโคตรของมนุษย์ที่ทำบุญกุศลจารึกในแผ่นทิพย์ทองคำนำมาแสดงในการประชุมวัน 14 ค่ำ ท้าวมหาราชบัญชาให้เทพบุตร ผู้เป็นบุตรของพระองค์ซึ่งมีเป็นจำนวนมากเป็นผู้ทำการแทน และวัน 15 ค่ำ ท้าวมหาราชทั้งสี่ตรวจตราด้วยพระองค์เองเช่นนั้น ในรอบวาระที่ผ่านมาได้ผลเป็นประการใด”

    ท้าวธตรฐก็รายงาน
    “ข้าแด่จอมเทพ...เป็นเหมือนเดิมพระเจ้าข้า โลกภพกำลังอยู่ในยุคทางเสื่อม คนที่เกื้อกูลมารดาบิดา บำรุงสมณพราหมณ์ อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล อธิษฐานอุโบสถ ถือปฏิชาครอุโบสถมีเป็นจำนวนน้อยลง ความจริงในพุทธประเทศเช่นสยามประเทศมีผู้กระทำเพื่อการดังกล่าวมากขึ้น แต่กระทำพอเป็นพิธี บ้างกระทำเพื่อเอาหน้าเอาตา บ้างกระทำเพื่อหวังผลเฉพาะตน กระทำเพื่อประโยชน์ในทางอกุศล ผู้ที่กระทำเพื่อคุณอันบริสุทธิ์จากจิตและใจจริงมีน้อยลงพระเจ้าข้า”

    ท้าววิรุฬหกก็รายงาน
    “ข้าแด่จอมเทพ...มนุษย์กำลังหลงติดในสิ่งประดิษฐ์สมมุติมากขึ้นจนเห็นความสำคัญในสิ่งแท้จริงของธรรมชาติน้อยลง มนุษย์บางส่วนกำลังหลงผิดติดอกุศล เช่น ไม่คำนึงถึงอากาศหายใจเบื้องนอกเพราะมีสิ่งประดิษฐ์ทำอากาศภายใน บางส่วนไม่คำนึงถึงน้ำธรรมชาติจากฟ้าจากดินด้วยเข้าใจว่าน้ำในท่อในก๊อกเป็นของมีขึ้นเอง บางส่วนเอาหินกลบดินหมดเพราะหลงผิดคิดว่านั่นเป็นฐานโลกที่มั่นคงแล้ว บางส่วนสร้างขุมกักตัวเองโดยไม่ต้องมีช่องไว้รับแสงสว่างจากภายนอกเพราะหลงคิดไปว่าแสงสว่างจากไฟฟ้าภายในเป็นพลังธรรมดาธรรมชาติ มนุษย์กำลังหลงติดในสิ่งประดิษฐ์สมมุติมากขึ้นพระเจ้าข้า”

    ท้าววิรูปักษ์ก็รายงาน
    “ข้าแด่จอมเทพ...มนุษย์กำลังให้ค่านิยมในทางอบายมากกว่าทางสุคติ เป็นต้นว่าในการแสดงระบำทำฟ้อนดีดสีตีเป่า มนุษย์จะชอบท่วงท่าทำนองลบองแบบฉบับของภูตผีปีศาจเปรตอสุรกายสัตว์นรกมากกว่าทำนองลบองแบบฉบับของเทพเทวดา ในการแต่งกายด้วยเครื่องประดับพัสตราภรณ์ มนุษย์พยายามเน้นโน้มยั่วยุในจุดตัณหาราคะแห่งตนเพื่อน้อมใจให้เกิดกิเลสแทนที่จะปกปิดเพื่อลดกิเลส ในการแข่งขันกระทำอาชีพเพื่อแย่งปัจจัยในการครองชีพก็มีการเสนอกลยุทธ์ที่เอารัดเอาเปรียบกันแทนที่จะอนุเคราะห์กัน ในการแสดงความเชื่อมั่นศรัทธาลัทธิศาสนาก็ดีมนุษย์มักจะหลงศรัทธาวัตถุธาตุแทนที่จะเชื่อถือในธรรมะอันเป็นสัจธรรมอันแท้จริงพระเจ้าข้า”

    ท้าวกุเวรหรือเวสสวัณก็รายงาน
    “ข้าแด่จอมเทพ...มนุษยชาติส่วนใหญ่ในชมพูทวีปคือโลกภพแห่งจักรวาลนี้กำลังเดินเข้าสู่เส้นทางสายอับ เพราะมีความสำคัญผิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มนุษย์กำลังขาดที่พึ่งทางใจอย่างแท้จริง ความจริงกุศลสรณะสุดยอดประเสริฐของมนุษย์วาระนี้มีอยู่แต่ส่วนน้อยที่จะมองเห็น นั่นคือพระศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดมพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ยังคงเป็นดวงประทีปทอแสงสว่างไสวให้มนุษย์เห็นทางอันเจริญได้ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่มอง พระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเจริญสืบมาเกินกึ่งของกาลเวลาแล้ว แต่ยังมิได้เจริญแพร่หลายไปถึงครึ่งของมนุษย์ในโลกเลย วารสมัยอันเป็นมหามงคลในคาบนี้สืบไปอีกช่วงหนึ่ง พระศาสนาแห่งพระพุทธองค์จะถึงคราวเจริญแพร่หลายไปในโลกมากขึ้น ในการนี้เทพมนตรีที่ปรึกษาสำคัญของข้าพระบาทซึ่งสถิตถัดข้าพระบาทในขณะนี้ จักแสดงกิจเพื่อการอนุเคราะห์ในกิจท้าวโลกบาลตรวจโลก ย้อนอดีตเกี่ยวพันกับท่านสมณะทั้งสามจากโลกภพแด่สภาสวรรค์ตามที่จอมเทพผู้เป็นใหญ่ทรงทราบแล้ว เพื่อแสดงย้ำให้ปรากฏประจักษ์ในกระแสรำลึกแห่งท่านสมณะและสภาอันทรงยศได้จารึกกิจกุศลในครั้งนี้อีกครั้งหนึ่งพระเจ้าข้า”

    องค์เทพประธานท้าวสักกะทรงอนุญาต
    พลันเทพบุตรยักษ์ตนซึ่งนั่งถัดไปจากท้าวกุเวรหรือเวสสวัณมหาราชก็ยืนน้อมกายกระทำอภิวาทต่อจอมเทพและสภาสวรรค์

    “ข้าพระบาท ชนวสภยักษ์ ผู้บริวารเทพมนตรีที่ปรึกษาแห่งท่านท้าวเวสสวัณ ดังที่ท่านจอมเทพทรงทราบดีอยู่แล้วว่า ในครั้งพุทธกาลข้าพระบาทคือพระเจ้าพิมพิสารผู้ครองแคว้นมคธ ข้าพระองค์เคยทัดทานด้วยปรารถนาดีในโลกิยแด่พระสมณโคดมตอนเริ่มออกอภิเนษกรมณ์แต่ไม่สำเร็จ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วได้โปรดสัตว์แด่ข้าพระองค์ด้วยคุณเบื้องสูง ข้าพระองค์เชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาตลอดมา แม้จะถูกกรรมเก่ากรรมใหม่ เจ้าเวรนายกรรมติดตามมาสร้างกรรมปิตุฆาตโดยพระเจ้าอชาตศัตรูผู้โอรสแล้วมาบังเกิดเป็นชนวสภยักษ์ บริวารผู้ใหญ่ของท้าวมหาราชด้วยอำนาจแห่งวาสนาเดิมซึ่งเคยเป็นเทพอยู่ ณ เบื้องนั้นมาหลายชาติหลายภพทำให้จิตยังติดอยู่ในภพนั้นมิได้ปวารณาอธิษฐานในแดนที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไป จึงมาสถิตเสวยทิพยกามารมณ์ ณ แดนมหาราชิกาอีกวาระหนึ่ง ข้าพระองค์เคยเป็นสหายแห่งเทพจิตตังในแดนมหาราชิกาเดียวกัน เทพจิตตังพร้อมทั้งเทพธิดาบริจาริกาและเทพผู้บุตรผู้เคยน้อมจิตเชื่อมั่นและศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก่อนในครั้งเป็นมนุษย์แต่แรก เมื่อเสวยทิพยกามารมณ์ในสรวงสวรรค์ชั่วครู่ ดวงจิตซึ่งมีปณิธานอันแรงกล้าเคยอธิษฐานไว้ที่จะบรรลุคุณเบื้องสูงจึงรำลึกด้วยความเด็ดเดี่ยวพากันจุติสู่โลกภพเพื่อสร้างสมบารมีโดยเร็ว

    เทพจิตตัง พึงปวารณาองค์ไว้ว่า จะลงไปช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางออกไปสู่มนุษยชาติทั่วโลกเท่าที่จะทำได้เป็นสำคัญ
    เทพบุตรน้อยผู้บุตร พึงปวารณาองค์ไว้ว่า จะนำคุณธรรมเบื้องสูงสู่มนุษย์ชาติ เทวชาติ พรหมชาติเป็นสำคัญ
    เทพธิดาสุดาคะนึง เทพบริจาริกาและเทพมารดา พึงปวารณาองค์ไว้ว่า จะเผยแผ่คุณธรรมเบื้องสูงด้วยการประพฤติปฏิบัติตนเฉกภิกษุณีในอดีตที่สูญสิ้นไปแล้วในโลกภพให้กลับคืนมาในนามธรรมเพื่อเป็นแบบฉบับแก่สตรีเพศในโลกมนุษย์เป็นสำคัญ
    ขณะนี้เทพทั้งสามล่วงเข้าเพศบรรพชิตครบถ้วนและปฏิบัติถึงกุศลมิชักช้า จะเป็นเทพสำคัญแห่งสวรรค์ที่จะช่วยจรรโลงอนุเคราะห์ชาวโลกชาวสวรรค์ให้ถึงกุศลยิ่งขึ้นต่อไป ในการประชุมสภาสวรรค์ในกิจท้าวโลกบาลตรวจโลกคราวนี้ข้าพระบาทได้แสดงย้ำถึงกิจปวารณาแห่งเทพทั้งสามเพื่อความกระจ่างอันเป็นมหากุศลตามสมควรแล้วพระเจ้าข้า”

    เมื่อสิ้นกระแสจากพิมพิสารเทพบุตร หรือ ชนวสภยักษ์แล้ว ทั้งสภาสวรรค์ก็รู้สึกปีติซาบซ่านทั่วทั้งสภา ลบรอยกระแสสลดเมื่อครู่ลงไปเกือบสิ้นเชิง
    พลันเทพธิดาผู้มีวรรณะงดงามเปล่งแสงสดใสมากกว่าเทพอื่นๆ ในแถวหน้าแห่งเทพสำคัญชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นแถวนั่งถัดเทพมนตรีที่ปรึกษาของจอมเทพท้าวสักกะทั้ง 33 องค์ ได้ยืนขึ้นขอเทวานุญาตจอมเทพองค์ประธาน เพื่อการแสดงกิจอนุเคราะห์ในการประชุม

    จอมเทพองค์ประธานเทวานุญาต
    “ข้าแด่จอมเทพ...ข้าพระองค์ เทพธิดาวิลาสินี ผู้เคยปวารณาสัมผัสโลกมนุษย์ เมื่อครู่นี้ข้าพระองค์ทราบกิจอนุเคราะห์ของเทพบุตรน้อยผู้บุตรแห่งวิมานเทพจิตตังและเทพธิดาสุดาคะนึง รู้สึกปีติในกิจกุศลครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง กิจของสมณสามเณรจะพึงสำเร็จได้โดยสะดวกในยามนี้จักต้องมีผู้ช่วยเหลือที่จะนำคุณธรรมเบื้องสูงทั้งในสุคติพรหมคติและธรรมคติสู่มนุษยชาติด้วยการเผยแผ่สัจธรรมอันประณีตนี้ในลักษณะวรรณกรรมอันเกษม ผู้ที่กำลังปฏิบัติกุศลกิจนี้กำลังอยู่ในภาคมนุษย์เช่นเดียวกับสมณะท่าน เมื่อสมณสามเณรกลับเข้าสู่กายมนุษย์แล้ว ไม่นานสมณสามเณรจะพบเขาผู้นั้น มนุษย์หนึ่งซึ่งมีนามสมมุติซ้อนอยู่ในนามสมมุติว่า “ดอกบัว” สามเณรจงให้ความกระจ่างถ่ายทอดภพและเหตุการณ์อันละเอียดประณีตที่ได้ปรากฏนิมิตทั้งในทิพยสถานและโลกภพแก่เขาผู้นั้นเพื่อนำไปเผยแผ่ต่อไปเถิด”

    เมื่อเทพทั้งหลายต่างแสดงเหตุการณ์ในวาระนี้แบ่งโลกภพต่อสภาสวรรค์ในแง่มุมต่างๆ แล้วทวยเทพผู้ร่วมประชุมต่างก็ได้หาทางอนุเคราะห์แก้ไขในทัศนะที่เป็นกุศล เพียงพอแก่การลดคลายบรรยากาศแห่งความปริวิตกเสียใจต่อสภาเทพด้วยเป็นห่วงมนุษย์ผู้หลงใหลได้ตามสมควร จนสภาเทพทั้งสภายกจิตขึ้นสู่อุเบกขาได้ทั้งสิ้นแล้ว การประชุมเพื่อกิจในท้าวโลกบาลตรวจโลกวาระนี้ก็สิ้นสุดลง
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ธรรมทูตจากต่างแดน

    สมณจิตตัง แม่ชีสุดคนึง และสามเณรน้อย ต่างทราบกิจปวารณาแห่งตนกระจ่างชัดเนื่องในการประชุมเทวสภาในกิจท้าวโลกบาลตรวจโลกคราวนี้ วันรุ่งขึ้นหลังจากฉันเช้าเรียบร้อยแต่ละสถาน แม่ชีสุดคนึงและสามเณรน้อยก็เดินเข้าไปกระทำนมัสการสมณจิตตังที่อาศรมริมป่าช้าด้วยคารวะในฐานะผูกพันแต่เบื้องมหาราชิกา ทั้งสามมิได้เจรจาสิ่งใดแก่กัน นอกจากกระแสจิตแต่ละดวงในสังขารมนุษย์รับทราบเหตุการณ์เบื้องบนแก่กันและกัน แต่ละองค์มีความปีติชั่วครู่หนึ่งแล้วก็วางเป็นอุเบกขาเสีย ต่างรำลึกถึงกิจกุศลที่ได้ปวารณาไว้เพื่อเป็นแนวทางที่จะดำเนินการต่อไป

    ต่างฝ่ายได้แยกย้ายกันไปปฏิบัติกิจวัตรเป็นประจำเหมือนเช่นเดิม
    “เทพจิตตัง พึงปวารณาองค์ไว้ว่า จะลงไปช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางออกไปสู่มนุษยชาติทั่วโลกเท่าที่จะทำได้เป็นสำคัญ”

    พระครูนั่งพิจารณากระแสสัมผัสจากองค์เทพชนวสภยักษ์ พระเจ้าพิมพิสารมหาราชผู้น้อมจิตอยู่ในพระพุทธศาสนาในกาลโน้น พระองค์ผู้หวังดีด้วยจิตใจในพระสมณโคดมตอนออกบวชใหม่ๆ ถึงกับลั่นวาจาจะถวายครึ่งหนึ่งของแคว้นมคธให้สมณะถ้าเจ้าชายเปลี่ยนใจเลิกบวชแล้วกลับไปครองแผ่นดินเพื่อเตรียมเป็นพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าพิมพิสารผู้ได้รับโปรดสัตว์จากพระพุทธองค์จนได้บรรลุโสดาปัติผลเป็นอริยบุคคล และถูกกรรมเก่าติดตามถูกกระทำปิตุฆาตจากพระราชโอรสของพระองค์เอง ซึ่งชื่อว่าพระเจ้าอชาติศัตรู ผู้ถูกพระเทวทัตยุแหย่ ธรรมเบื้องสูงสามารถที่จะชักจูงพระเจ้าพิมพิสารขึ้นสู่ภพที่ละเอียดประณีตได้มากกว่าจาตุมหาราชิกามาก แต่พระองค์ทรงติดภพติดชาติดั้งเดิมของพระองค์ในสวรรค์ชั้นนี้ที่เคยสถิตเสวยทิพยกามารมณ์อยู่หลายครั้งหลายหนแล้ว พระองค์มิได้อธิษฐานจิตให้สู่ภพที่ละเอียดประณีตยิ่งกว่านั้น จึงมาบังเกิดเป็นพิมพิสารเทวบุตรหรือชนวสภยักษ์มนตรีที่ปรึกษาชั้นผู้ใหญ่แห่งท้าวกุเวรหรือเวสสวัณในปัจจุบันกาลอีก

    “ผู้ใดทราบแล้วรู้แล้ว เมื่อทำบุญอธิษฐานอุทิศส่วนกุศลให้ท้าวเวสสวัณหรือเวสสุวัณ ก็จงอุทิศให้พระเจ้าพิมพิสารเทวบุตรผู้เคยมีบทบาทอนุเคราะห์และมุ่งมั่นน้อมจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาแต่ครั้งพุทธกาลด้วยเถิด”

    พระครูจิตตัง อุทิศกระแสแด่เทพชนวสภยักษ์อีกครั้งหนึ่ง
    พลันในขณิกสมาธิเบื้องโลกภพ จากหน้าสถานีรถไฟปราณบุรีปรากฏภาพหนุ่มน้อยฝรั่งผู้หนึ่งเดินแบกถุงเป้แบบนักท่องเที่ยวมุ่งมาทางวัดเมืองที่พระครูจำพรรษาอยู่

    “ฝรั่งชาวเยอรมันผู้นี้เมื่อผ่านวัดเมืองจะน้อมจิตสนใจในพระพุทธศาสนาเป็นเบื้องต้น จงผูกจิตให้เขาน้อมเข้ามาในพระพุทธศาสนาด้วยกุศลศรัทธาอันมีแต่ปางบรรพ์ของเขาเถิด หนุ่มเยอรมันผู้นี้จะเป็นทูตนำสัจธรรมในพระพุทธศาสนาไปกระจายเผยแพร่ในต่างแดนต่อไป”
    เสียงทิพย์นั้นแว่วกระจ่างชัดอยู่ในโสตประสาท พระครูพึงพิจารณาเพื่อความแน่ชัดก็กระจ่างเช่นนั้นมิเปลี่ยนแปลง

    พระครูจิตตังจึงเดินผ่านป่าช้าออกมานั่งรออยู่ที่แท่นหินใต้ต้นโพธิ์ใกล้กับบริเวณหน้าวัด
    สักครู่ใหญ่ก็มีฝรั่งหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเดินแบกเป้ผ่านหน้าวัดมาตามถนนสายนั้นจริงๆ เมื่อถึงประตูกลางเข้าวัด หนุ่มผู้นั้นหยุดพลางหันมองมาทางพระครูจิตตัง พิจารณาด้วยความสนใจในส่วนลึกแล้วจึงเดินผ่านไป

    “ถ้าบุญกุศลเรามีร่วมกัน เชิญเข้ามาใต้ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อนำสัจธรรมอันเป็นคุณเบื้องสูงของพระพุทธองค์ไปสู่มนุษยชาติในโลกกว้างเถิด”
    พระครูอธิษฐานในใจพลางมองตามร่างหนุ่มเยอรมันผู้นั้นซึ่งกำลังเดินลับโค้งถนนไป

    ยามเย็นตะวันย่ำค่ำแล้ว บรรยากาศขมุกขมัว หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดกำลังเดินตรวจดูพันธุ์พฤกษ์ที่ปลูกไว้ใกล้แนวรั้วด้านถนนหน้าวัด ปรากฏร่างของหนุ่มน้อยเยอรมันผู้นั้นเดินย้อนกลับมาจากทางปากน้ำ วางเป้ลงแล้วพนมมือไหว้ท่านเจ้าอาวาสอย่างนอบน้อม กล่าวตะกุกตะกักพอเป็นภาษาไทยจับใจความได้
    “ผม...เดินไปไกล...หาที่พัก...ไม่ได้...นึกถึงวัดนี้...เมื่อผ่านไปเมื่อตอนกลางวัน...อยากจะขอนอนที่นี่ ที่วัดนี้สักคืน...จะได้มั้ย...พระ”
    ถามตรงองค์เจ้าอาวาสพอดีโดยไม่ทราบมาก่อน
    “ได้ซีโยม...เข้ามาเถิด เข้ามาพักผ่อนให้สบายเถิด พระและวัดยินดีให้ความช่วยเหลือโยม”
    ท่านเจ้าอาวาสตอบรับด้วยเมตตาจิตทันทีทันควันตามปกติวิสัยของเจ้าอาวาส
    “ได้จริง...จริง...หรือ...ได้ทันทีเลยหรือ...พระและวัดใจดี...อย่างนี้ ทุกแห่งหรือ”
    ฝรั่งถามด้วยความแปลกใจและคิดไม่ถึง
    “เข้ามาเถิด...เข้ามาได้ทันที พระและวัดใจดีทุกแห่งเหมือนกัน”
    เจ้าอาวาสผู้เมตตาตอบยืนยันด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์

    คืนนั้นหนุ่มน้อยซึ่งได้แนะนำตัวภายหลังว่าเป็นชาวเยอรมันก็ได้พักผ่อนที่วัด รับประทานอาหารกับเด็กวัด นอนหลับสบายร่วมมุ้งกับเด็กวัดที่ให้การต้อนรับอย่างดีและจริงใจตามแบบฉบับแห่งพุทธศาสนิกชนในประเพณีไทยๆ ด้วยความเป็นสุขสนิทใจที่สุดเท่าที่หนุ่มเยอรมันเคยประสบมา

    พรหมวิหารสี่ เป็นเมตตาธรรมค้ำจุนมนุษยชาติ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งสมณะในพระพุทธศาสนายึดมั่นปฏิบัติแก่ชนทุกชาติทุกชั้นอย่างจริงใจเสมอมา หนุ่มน้อยเยอรมันผู้นั้นซาบซึ้งในรสพระธรรมความเมตตาจากพระจากวัดและเด็กวัดด้วยความอบอุ่นแน่นแฟ้น

    วันรุ่งขึ้นจึงขออนุญาตเจ้าอาวาสอยู่ต่อเพื่อศึกษา สังเกต ช่วยทำงานต่างๆ ในวัด และขอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ขอสมัครถือปิ่นโตตามหลังพระตอนบิณฑบาต ศึกษาเล่าเรียนธรรมะจากพระ แล้วในที่สุดไม่ยอมกลับไปประเทศเยอรมันของตน จนถึงกาลเข้าพรรษาอีกพรรษาหนึ่งได้วิ่งเต้นทำตามระเบียบแบบแผนทางโลกและทางธรรม ขออนุญาตทุกฝ่ายถูกต้อง น้อมใจเข้าบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในร่มกาสาวพัสตร์แห่งพระพุทธศาสนา ศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติธรรมเคร่งครัดอยู่ที่วัดเมืองปราณสืบมา

    เมื่อบวชแล้ว พระเยอรมันปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง สมถะและเคร่งครัด ฉันอาหารมื้อเดียว ไม่รับของถวายนอกเวลาอีก ถือวิเวกอยู่ในศาลาพักศพเป็นอาศรมในป่าช้าเช่นเดียวกับพระครูจิตตัง
    เมื่อเริ่มบวชใหม่ๆ ขณะนั้นพระครูจิตตัง แม่ชีสุดคนึง และสามเณรได้ช่วยกันอนุเคราะห์สัมภเวสีจนรำลึกได้ถึงพระ บุญ กุศล ตามสมควร เมื่อถึงกาลกิริยา สัมภเวสีจึงไปบังเกิดในสถานที่สุคติขึ้นตามกรรมแห่งตน มิได้ท่องเที่ยวพเนจรอยู่ในป่าช้าเหมือนแต่กาลก่อน
    เมื่อมีผู้ใดสนใจไปถามพระเยอรมันซึ่งนั่งปฏิบัติอยู่ในป่าช้าเป็นประจำว่า
    “หลวงพี่...ไม่กลัวผีหรือ”
    หลวงพี่พระเยอรมันจะตอบว่า
    “ผีไม่มี...ไม่มีผี...ยังไม่เจอผี”
    “ถ้าหลวงพี่เจอผี จะกลัวผีไหม”
    บางคนถามด้วยถือวิสาสะ พระเยอรมันก็จะตอบด้วยอารมณ์ดีว่า
    “ไม่กลัวผี...คนน่ากลัวกว่า”
    “คนน่ากลัวกว่าตรงไหน หลวงพี่”
    “ตรงที่คนหลอกเก่งกว่าผี ผีหลอกสู้คนไม่ได้”
    “แน่ะ...แสดงว่าหลวงพี่ถูกคนผู้หญิงหลอกอกหักมาแล้วกระมังจึงหนีมาบวชเมืองไทย”
    หลวงพี่ก็จะตอบกลับด้วยอารมณ์สนุกๆ ว่า
    “ม่ายช่าย...ม่ายช่าย...คนผู้หญิงไม่ได้หลอกอาตมา แต่อาตมาต่างหากหลอกคนผู้หญิงว่าจะมาเที่ยวเมืองไทยไม่กี่วันแล้วจะกลับ แต่แล้วก็ไม่กลับไป มาบวชอยู่นี่”

    หลวงพี่เคยพูดเหมือนเล่นเช่นนั้น แต่ต่อมาคนก็เห็นว่าเป็นความจริง เพราะในเวลาต่อมาอีกไม่นาน ทั้งแหม่มผู้หญิงซึ่งอ้างว่าเป็นแฟน และทั้งมารดาของหลวงพี่ก็เคยมาตามหลายครั้งให้สึกกลับไปประเทศของตน หลวงพี่พระเยอรมันก็ไม่ยอมสึกไม่ยอมกลับ จนแฟนและญาติโยมต่างราข้อยอมปล่อยให้หลวงพี่ปฏิบัติธรรมอยู่ภายใต้ร่มโพธิสมภารแห่งบวรพุทธศาสนาเรื่อยมา

    พระครูจิตตัง มั่นในกุศลศรัทธาว่าพระหนุ่มเยอรมันผู้นี้จะศึกษาปฏิบัติสมณกิจและจำ นำสัจธรรมอันแท้จริงของพระพุทธองค์ไปเผยแผ่อนุเคราะห์แก่มนุษยชาติในโลกกว้างบางส่วนได้สมปณิธานแห่งกิจปวารณาต่อไปเป็นแน่แท้
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    นายดอกบัวขาว

    “เทพบุตรน้อยผู้บุตร พึงปวารณาองค์ไว้ว่า จะนำคุณธรรมเบื้องสูงสู่มนุษย์ชาติ เทวชาติ พรหมชาติเป็นสำคัญ”
    ทิพยกระแสสัมผัสจากองค์เทพชนวสภยักษ์ ที่กล่าวย้ำในสุธรรมาเทวสภาจารึกแจ่มแจ้งในความรู้สึกของสามเณร

    “ข้าแด่จอมเทพ...ข้าพระองค์ เทพธิดาวิลาสินี ผู้เคยปวารณาสัมผัสโลกมนุษย์ เมื่อครู่นี้ข้าพระองค์ทราบกิจอนุเคราะห์ของเทพบุตรน้อยผู้บุตรแห่งวิมานเทพจิตตังและเทพธิดาสุดาคะนึง รู้สึกปีติในกิจกุศลครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง กิจของสมณสามเณรจะพึงสำเร็จได้โดยสะดวกในยามนี้จักต้องมีผู้ช่วยเหลือที่จะนำคุณธรรมเบื้องสูงทั้งในสุคติพรหมคติและธรรมคติสู่มนุษยชาติด้วยการเผยแผ่สัจธรรมอันประณีตนี้ในลักษณะวรรณกรรมอันเกษม ผู้ที่กำลังปฏิบัติกุศลกิจนี้กำลังอยู่ในภาคมนุษย์เช่นเดียวกับสมณะท่าน เมื่อสมณสามเณรกลับเข้าสู่กายมนุษย์แล้ว ไม่นานสมณสามเณรจะพบเขาผู้นั้น มนุษย์หนึ่งซึ่งมีนามสมมุติซ้อนอยู่ในนามสมมุติว่า “ดอกบัว” สามเณรจงให้ความกระจ่างถ่ายทอดภพและเหตุการณ์อันละเอียดประณีตที่ได้ปรากฏนิมิตทั้งในทิพยสถานและโลกภพแก่เขาผู้นั้นเพื่อนำไปเผยแผ่ต่อไปเถิด”

    พร้อมทั้งเทพธิดาผู้มีนาม “วิลาสินี” ก็แสดงกระแสทิพย์ชี้แนะแจ้งให้ปรากฏเพื่อกิจปวารณา
    สามเณรเฝ้ารอคอยนาย “ดอกบัว” มาหลายวันแล้ว ยังไม่มีผู้ใดปรากฏในนามนั้น
    “คุณธรรมเบื้องสูง ในสุคติสู่มนุษยชาติ”
    สามเณรพึงพิจารณาจากกระแสแจ้งบางตอนของเทพธิดาวิลาสินีอีกครั้ง
    “ก็ทิพยสถานมหาราชิกา...ที่เราเคยสถิตและละลงมาสู่โลกภพ ทิพยสถานมหาราชิกา...ทิพยสถานมหาราชิกา...เราจะเป็นผู้นำสุคติภพอันประณีตในเบื้องนี้เผยแผ่แก่มนุษย์บ้าง”

    พึงพิจารณาธรรมารมณ์เพื่อกุศลธรรมต่อไป
    “ในครั้งกระนั้น สมัยพุทธกาล ท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระผู้สร้างสมภารคือบุญและญาณ เพื่อเป็นพระอัครสาวกของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า บำเพ็ญสาวกบารมีมาโดยลำดับถึง 1 อสงไขยกำไรแสนกัปถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณหมดสิ้น ซึ่งมีคุณพิเศษมีอภิญญา 6 และปฏิสัมภิทา 4 มีปัญญาแตกฉาน เป็นบริวารดำรงอยู่ในตำแหน่งอัครสาวกรูปที่ 2 อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ในเหล่าสาวกผู้มีฤทธิ์...กาลอันสมควรคราวหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เกิดปริวิตกว่า ปัจจุบันมนุษย์ทั้งหลาย แม้ทำบุญไปตามบุญตามกรรมโดยมิได้คำนึงถึงของสิ่งใดที่ควรให้ในการทำบุญ ทำบุญโดยมิได้คำนึงถึงบุคคลหรือสมณะใดอันควรทำทานเพื่อผลอันเจริญ ทำบุญโดยมิได้น้อมใจศรัทธาเลื่อมใสในการทำบุญเป็นที่ตั้งก็ดี มนุษย์เช่นนั้นเมื่อสิ้นอายุขัยไปจากโลกภพ ก็ยังได้ไปสู่สุคติในเทวโลกเสวยสมบัติอันโอฬารได้ด้วยผลบุญเป็นปกติวิสัย ถ้าเราจะจาริกไปในเทวโลก นำทิพยเหตุการณ์ในแดนทิพยสถานเหล่านั้นของเทพเทวดาชั้นต่างๆ มาเป็นประจักษ์พยานในการกล่าวบุญตามที่เทพเทวดาแต่ละท่านได้สร้างสมไว้แก่มนุษยชาติทั้งหลาย แม้สักนิดหน่อยบางประการก็ยังมีผลอันโอฬารเสริมศรัทธาความเชื่อต่อเนื่องน้อมจิตมนุษย์ให้รู้สึกศรัทธาเชื่อมั่นอย่างแท้จริง ก็จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลอนุเคราะห์แก่หมู่ชนมุ่งตั้งปณิธานในกิจกุศลได้ตรงจุดมากขึ้น ทั้งประโยชน์ก็จะส่งถึงเทพเทวดาไปพร้อมกันด้วย จึงได้กราบทูลความประสงค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว พระมหาโมคคัลลานะเข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็เข้าทิพยสถานในเบื้องสุคติภพทันทีทำการสอบถามถึงบุญกรรมตามที่เทวดาทั้งหลายสร้างสมเอาไว้ แล้วจารึกจำหลักลงมาประกอบในการบอกบุญแก่มนุษยชาติเป็นมหากุศลสืบมา”

    กิจปวารณาของเราตามที่ได้รับแจ้งจากสภาสวรรค์ เป็นกุศลปณิธานในลักษณะเดียวกับท่านพระมหาโมคคัลลานะครั้งพุทธกาลพระเถระผู้ปรารถนานำทิพยสถานมาแสดงเป็นประจักษ์พยานแด่มนุษยชาติเพื่อน้อมจิตในการทำบุญให้ทานให้ได้ผลตรงตามจุดมากขึ้นจะยังผลกุศลเป็นโอฬาร มิใช่สักแต่ว่าทำไปตามบุญตามกรรมตามประเพณีตามแบบฉบับโดยมิได้ศรัทธาเลื่อมใสอย่างสมบูรณ์ ทำให้น่าเสียดายในผลที่สูญเปล่าไปเป็นอันมาก ความปริวิตกเช่นนี้ที่มีต่อมนุษย์ ท่านท้าวธตรฐมหาราชก็ได้รายงานแด่จอมเทพท้าวสักกะเมื่อคราวประชุมกิจในโลกบาลตรวจโลกที่ผ่านมาว่า

    “ความจริงในพุทธประเทศเช่นสยามประเทศมีผู้ทำบุญมากขึ้นแต่กระทำพอเป็นพิธี บ้างกระทำเพื่อเอาหน้าเอาตา บ้างกระทำเพื่อหวังผลเฉพาะตน กระทำเพื่อประโยชน์ในทางอกุศล ผู้ที่กระทำเพื่อคุณอันบริสุทธิ์จากจิตและใจจริงมีน้อยลงพระเจ้าข้า”

    สามเณรรำพึงรำลึกด้วยความสลด แล้วเกิดปีติอีกครั้งหนึ่งเมื่อรำลึกถึงคำพยากรณ์ของเทพธิดาวิลาสินี ว่าจะมีผู้ช่วยถ่ายทอดเหตุการณ์อันละเอียดประณีตจากสุคติสู่มนุษยชาติ

    ในคืนอันดึกสงัด สามเณรน้อยเจริญวิปัสสนากรรมฐานอธิษฐานตั้งจิตน้อมสัมผัสบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ นมัสการฉัพพรรณรังสีแห่งพระพุทธโคดม ดวงธรรมอันสถิตอยู่ในวิสุทธิสถานพลางอธิษฐานขอพุทธานุญาตต่อพระพุทธองค์ในการจักแสดงปรากฏนิมิตจากทิพยสถานบางประการเพียงที่ได้ทราบแล้ว ได้เห็นแล้ว ได้สัมผัสแล้วแม้เพียงน้อยนิด เพื่อผลประโยชน์อันโอฬารแก่มนุษยชาติในการที่จะทำบุญให้ทานโดยจิตศรัทธาเลื่อมใสแท้จริงเฉกเช่นอรหันตปณิธานของท่านพระมหาโมคคัลลานะผู้นิพพานแล้วนั้นต่อไป

    “พึงกระทำได้ในสัจธรรมที่ชอบที่ถูกที่ต้องที่ตรง ที่เป็นไปตามสมมุติและบัญญัติตามกุศลกรรมแห่งทิพยสถานอันปรากฏแด่กุศลนิมิตของเทพเทวดานับในระหว่างช่วงหนึ่งๆ แห่งกรรมเฉพาะเทพทั้งวิมานสถานเฉพาะองค์นั้นๆ เมื่อแสดงกิจปวารณาสู่ผู้ร่วมถ่ายทอดแล้ว พึงแจ้งแด่สมณเทพจิตตังผู้มีปฏิสัมภิทาเพื่อหาวิธีเฉพาะแก้การแสดงธรรมอันล้ำเลิศอุตตริมนุสธรรมอันจักไม่สมควรให้เป็นการสมควรต่อไปเถิด”
    กระแสทิพย์แห่งความสำนึกเช่นนั้นก็ปรากฏก้องอยู่ในโสตประสาท เป็นพุทธานุญาตด้วยเงื่อนไขข้อแก้อันควรแก่กุศล สมณะสามเณรจึงตระหนักไว้เป็นสำคัญเพื่อปฏิบัติ

    บ่ายคล้อยย่างยามเย็นวันรุ่งขึ้น ปลายเดือนธันวาคม 2534 เป็นงานในพิธีศพ “พันโทจำนวน จันทรี” ซึ่งจัดอยู่ที่ศาลาหน้าป่าช้าเยื้องเข้ามาทางหลังวัด ที่อาศรมพระครูจิตตังและพระเยอรมันไม่มีผู้ครองอยู่ เพราะไปช่วยจัดเตรียมงานพิธีที่ศาลา สามเณรน้อยซึ่งว่างจากกิจทั้งปวง ได้หลีกเร้นมานั่งพิจารณาความวิเวกแต่องค์เดียวอยู่ที่ระเบียงแคร่ด้านล่างของอาศรมท้ายป่าช้านั้น

    ในความวิเวกสงบเงียบสงัด บุรุษวัยกลางคนก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ ผ่านสุสานตรงมายังอาศรม ในมือมีดอกบัวตูมสีขาวดอกหนึ่งถือติดมาด้วย สามเณรเห็นก่อนแต่ไกลก็สนใจพุ่งจิตอยู่ที่ดอกบัวของบุรุษนั้น ชายผู้นิยมความสงัดยังคงเดินเพลินชมนกชมไม้ สุสานและหลุมฝังศพผ่านเข้ามาเกือบถึงศาลากุฏิสถานที่สามเณรนั่งอยู่ แต่ก็หาเห็นสามเณรไม่

    “สวัสดี...โยมดอกบัว” สามเณรทักทายด้วยเสียงพอได้ยิน
    “โยมดอกบัว...ดอกบัวอีกแล้ว”
    บุรุษผู้นั้นชะงัก รำพึงกับตัวเองด้วยเสียงพอได้ยินเช่นกัน แล้วค่อยๆ เหลียวมาทางเสียงทัก เมื่อเห็นสามเณรก็ประนมมือไหว้ทั้งดอกบัวในฝ่ามือ สามเณรยืนขึ้นรับและเชิญชวนให้เข้ามาที่แคร่พัก ทั้งคู่นั่งคนละมุมแคร่ในลักษณะอันควรซึ่งกันและกัน
    “โยมไม่ได้ชื่อดอกบัว...แต่โยมมีอะไรเกี่ยวข้องกับดอกบัว”
    สามเณรกล่าวอธิบายเชิงถามในประโยคเดียวกัน
    “คุณชอบดอกบัวหรือเปล่าคะหรือคุณชื่อดอกบัวหรือเปล่า...หมายถึงคุณมีอะไรที่เกี่ยวกับดอกบัวหรือไม่”
    บุรุษกลางคนย้อนคำนึงถึงคำถามนี้เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว
    “ผมชอบดอกบัว แต่ผมไม่ได้ชื่อเช่นนั้น...แต่...แต่มีสินะ ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับดอกบัวนามข้างท้าย นามปากกาสมัครเล่นของผมมีความหมายว่าดอกบัว”

    คำตอบซึ่งเขาได้ตอบกับสุภาพสตรีที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเมื่อหลายสิบปีมาแล้วนั้น
    เมื่อมาเจอคำถามลักษณะคล้ายคลึงกันอีกในคราวนี้จากสามเณรในป่าช้า ความฉงนใจก็บังเกิดขึ้นกับเขาอีก จึงได้เล่าแจ้งสิ่งที่คิดคำนึงอยู่เป็นคำตอบเบื้องต้นแก่สามเณรผู้ถาม
    “สุภาพสตรีนั้นเธอชื่อ วิลาสินีหรือ”
    สามเณรคาดคะเนด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ
    “ใช่แล้วสามเณร เธอคือวิลาสินี...เทพธิดาวิลาสินี”
    บุรุษตอบรับในความสงสัยที่เต็มไปด้วยปีติ พลางจ้องมองหน้าสามเณรด้วยแปลกใจและสาธยายต่อ
    “เทพธิดาวิลาสินี ผู้ดลใจให้ผมเขียน “ทิพยนิยายแดนดาวดึงส์” สามเณรทราบเรื่องหนังสือแดนดาวดึงส์ของผมได้อย่างไรครับ เพราะผมยังไม่ได้พิมพ์ออกเผยแพร่”
    “อ้อ...โยมเขียนแดนดาวดึงส์แล้วหรือ”
    คำย้อนถามกลับของสามเณรแสดงว่ามิได้ทราบมาจากการอ่านแดนดาวดึงส์ที่เขาเขียนไว้ ถ้าเช่นนั้นสามเณรรู้จักเทพธิดาวิลาสินีได้อย่างไร บุรุษเริ่มประหลาดใจอีก
    “สามเณรรู้จักเทพธิดาวิลาสินีได้อย่างไร” บุรุษย้ำ
    “ก็คงจะคล้ายๆ โยมที่ได้รู้จัก” สามเณรตอบเลี่ยงๆ
    “ผมรู้จักเธอสมัยที่เธอเป็นมนุษย์ หลายสิบปีมาแล้ว และเธอก็ละโลกนี้ไปก่อนที่สามเณรจะมาเกิดในโลกเสียอีก สามเณรรู้จักคุณวิลาสินีได้อย่างไร”
    “อาตมาไม่รู้จักคุณวิลาสินี แต่อาตมาได้พบและรู้จักเทพธิดาวิลาสินี”
    คำตอบเป็นนัยเพื่อกุศลของสามเณรทำให้บุรุษผู้สงสัยเข้าใจจ้องหน้าสามเณรน้อยด้วยจิตพิจารณา
    “สามเณรท่านนี้ไม่ใช่ธรรมดา”
    รำพึงในความรู้สึก เมื่อสิ้นวิจิกิจฉาก็สิ้นคำถามในส่วนนี้ลงเสียต่างฝ่ายต่างเข้าใจซึ่งกันและกันแล้วเป็นเบื้องต้น
    “เป็นอันว่าโยมมีนามสมมุติอยู่ในนามสมมุติที่มีความหมายว่าดอกบัว”
    “ครับผม สามเณร...เรียกผมว่าดอกบัว ก็แล้วกัน”
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ล่วงภพข้ามทวีป

    “โยมดอกบัวเท่านั้นที่จะเป็นผู้บันทึกจารึกจำหลักเหตุการณ์อันประณีตละเอียดอ่อนแม้ในทิพยสถานมหาราชิกาและโลกภพอันอาตมาได้ทราบ ได้รู้ ได้สัมผัสด้วยกระแสสมาธิเพื่อนำไปถ่ายทอดเป็นวรรณกรรมอันเกษมสู่มนุษยชาติบ้างก็จะเป็นมหากุศลอย่างยิ่ง...อาตมาได้ถ่ายทอดให้โยมจนหมดสิ้นแล้ว ขอโยมดอกบัวจงบันทึกให้เสร็จเรียบร้อยเถิดเพราะเมื่อกิจปวารณาของอาตมาเสร็จสิ้นในส่วนนี้ อาตมามีกระแสรู้สึกว่าทั้งอาตมา หลวงพ่อ และหลวงแม่ จะมีโอกาสพบกับโยมได้ยากมาก แม้ทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหล่านี้ก็อาจรำลึกไม่ได้เลยว่าเคยมีอาตมา หลวงพ่อ หลวงแม่ และเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ การบันทึกจารึกจำหลักในวรรณกรรมอันเกษมของโยมดอกบัวเท่านั้นจะเป็นพยานหลักฐานที่ปรากฏในลักษณะของ “ทิพยคดี” สืบไป”

    สามเณรได้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบหมดสิ้นให้บุรุษผู้ได้รับนามว่าดอกบัวบันทึกไว้เป็นสำคัญ
    ตอนสุดท้ายมีบันทึกที่สำคัญปรากฏเป็นบทสรุปว่า

    “.....หลังจากที่สามเณรน้อยได้ถ่ายทอดเหตุการณ์อันละเอียดประณีตให้โยมดอกบัวเรียบร้อยแล้ว ก็แจ้งแก่พระครูจิตตังได้รับทราบ พระครูพึงพิจารณาแล้วเรียกแม่ชีสุดคนึงมาร่วมประชุมพร้อมกันทั้งสามองค์ แจ้งกิจปวารณาแต่เบื้องมหาราชิกาของแต่ละองค์ตามที่ได้สัมผัสมาด้วยกัน ได้ปฏิบัติกิจในเบื้องต้นส่วนหนึ่งแล้ว และจะต้องปฏิบัติต่อไปอีก แต่ว่ามีข้ออันเป็นการไม่สมควรอยู่ประการหนึ่ง เนื่องจากตัวตนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับกิจปวารณาของทั้งสามองค์เป็นเหตุการณ์ของธรรมอันยิ่งยวดล้ำเลิศเกินกว่าที่มนุษย์ส่วนใหญ่จะพึงเข้าใจโดยทั่วไป อันอาจเป็นผลให้เกิดอกุศลแก่มนุษย์ในส่วนนั้นก็หาเป็นบุญไม่ อุตริมนุสธรรมเช่นนี้พระพุทธองค์ทรงเตือนไว้ว่ามิควรแสดงแก่มนุษย์ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ และในกรณีที่มีความจำเป็นจักต้องแสดง ก็ควรแสดงเพื่อคลายมิจฉาทิฏฐิของมนุษย์ในส่วนใกล้จะถึงธรรมแต่ยังมีทิฏฐิติดอยู่บ้างเท่านั้น ไม่ควรแสดงเพื่อล่อใจให้บุคคลใดเข้ามานับถือ เพราะจะเป็นการนับถือศรัทธาโดยการล่อใจ ไม่บริสุทธิ์เท่ากับการนับถือศรัทธาด้วยการน้อมจิตด้วยเหตุผลที่ชอบของตนเอง

    พระครูจิตตังจักต้องหาวิธีแก้การแสดงธรรมอันล้ำเลิศอุตริมนุสธรรมอันจักไม่สมควรนี้ให้เป็นการสมควรเสีย
    อภิญญาสมาบัติและปฏิสัมภิทา ซึ่งพระครูจิตตังพอจะมีอยู่ จำต้องพึงแก้ไขในประการต่อไปนี้
    เมื่อได้ถ่ายทอดอุตริมนุสธรรมเช่นนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งตัวตนและเหตุการณ์ต้นตอแห่งธรรมอันยวดยิ่งยังปรากฏอยู่หาสมควรไม่พระครูจิตตังจึงรำพึง

    อันตัวอาตมาก็ได้สำเร็จกิจปวารณาในเบื้องต้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดในโลกิยภพที่จะต้องกังวลอีก แม่ชีสุดคนึงก็ได้ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ในฐานะภิกษุณีเป็นเบื้องต้นสมกิจปวารณาแล้ว สามเณรน้อยก็ปฏิบัติถึงกุศลนำคุณธรรมเบื้องสุคติภพสู่มนุษยชาติโดยการถ่ายทอดเรื่องราวของหมู่เราให้แก่ผู้ปฏิบัติกิจกุศลรับทอดไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองท่านยังจะมีสิ่งใดเป็นกังวลห่วงใยในโลกิยภพอันหยาบนี้อยู่อีกหรือไม่...ถ้าไม่มีเราทั้งสามพร้อมที่จะนำสังขารล่วงเข้าไปหลีกเร้นอยู่ในภพที่ประณีตยิ่งกว่าชมพูทวีปนี้หรือไม่....ทั้งนี้

    เมื่อเราทำสมาบัตินำสังขารล่วงไปจากภพนี้แล้ว พร้อมกันเราก็ทำสมาบัติลบเลือนเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายทั้งปวงแก่บุคคลทั่วไปและสถานที่กาลเวลาซึ่งปรากฏขึ้นแล้วจริงให้พ้นออกไปจากความทรงจำของบุคคลทั้งสิ้นเสีย เหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์ในส่วนสำคัญนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย คงปรากฏไว้แต่เหตุการณ์เบื้องปลายเช่นพระเยอรมันซึ่งถือวิเวกอยู่ในกุฏิท้ายป่าช้าแต่เพียงผู้เดียวแทนเรา...ทิพยคดี ทิพยสถานมหาราชิกา ซึ่งโยมดอกบัวเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นต้น เพียงเท่านั้นเหตุการณ์ขานไขที่โยมดอกบัวจะถ่ายทอดสู่มนุษยชาติต่อไปก็จะเป็นเพียงเรื่องเล่าขานซึ่งมีของจริงประกอบอยู่บ้างเท่านั้น ผู้ที่มิพึงเข้าถึงธรรมอันยอดยิ่งล้ำเลิศเกินมนุษย์จะพึงเข้าถึง อ่านแล้วก็จะได้รับความสนุกเพลิดเพลินเจริญใจในลักษณะนิยาย ส่วนมนุษย์ผู้เข้าถึงธรรมอันประณีตนี้เมื่ออ่านแล้วพึงพิจารณาด้วยสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวณามยปัญญา พร้อมกันไปก็สามารถน้อมจิตถึงทิพยสถานสรวงสวรรค์ พรหม และพระนิพพานอย่างแท้จริงต่อไปได้ว่าเป็นสัจธรรม

    การแก้เช่นนี้จะเป็นการแก้ในเหตุอันไม่สมควรให้เป็นการสมควรได้
    กิจกุศลที่หมู่เราตั้งปณิธานจะปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างบารมีจะยังดำเนินต่อไป การนำสังขารหลีกเร้นล่วงภพหยาบเข้าไปอยู่ในภพที่ละเอียดประณีตที่หมู่เราจะไปพำนักชั่วคราวคือ อุตตรกุรุทวีป อันซ้อนอยู่ในมิติละเอียด ณ สถานที่ที่เรากำลังประชุมอยู่นี่แหละ เราจะนำธรรมอันประณีตไปสู่แดนนั้นบ้าง และเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ ก็จะนำมาปรากฏเฉพาะกิจเฉพาะกาลในโลกภพเบื้องหยาบบ้างตามสมควร

    วิธีการที่เรารำลึกได้ด้วยบารมีแห่งพระพุทธองค์เช่นนี้ ยังจะมีผู้ใดรำลึกวิธีที่ดีกว่านี้ขึ้นไปอีกหรือไม่...ถ้าไม่มีเราพร้อมที่จะทำสมาบัติเช่นนั้นหรือไม่...ถ้าพร้อมแล้วเราจงรำลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ขอบารมีแห่งพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง ทำสมาธิเข้าสู่จตุตถฌานอันมีอภิญญาเป็นบาทออกจากจตุตถฌาณแล้วนำสังขารหยาบจากภูมินี้เข้าสู่ภพภูมิที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นเพียงอุตตรกุรุทวีปพร้อมทั้งลบเลือนเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายทั้งปวงอันเคยมีกับบุคคลทั่วไป ทั้งสถานที่ กาลเวลาที่เคยปรากฏขึ้นแล้วจงพ้นออกจากความทรงจำของบุคคลทั้งสิ้น เหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์ในส่วนนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย คงปรากฏไว้แต่เหตุการณ์เบื้องปลายเช่นพระเยอรมันซึ่งถือวิเวกอยู่ในกุฏิท้ายป่าช้า และทิพยคดีทิพยสถานมหาราชิกา ซึ่งผู้มีนามปากกาอันมีความหมายข้างท้ายหมายถึงดอกบัว ผู้รับสืบทอดในการเผยแผ่กิจกุศลนี้ต่อไป เป็นต้น...เทอญ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 เมษายน 2014
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ผู้ถ่ายทอด

    บุรุษวัยกลางคนเดินออกมาจากป่าช้าเมื่อเริ่มพลบค่ำแล้วแต่ผู้เดียว ด้วยความปีติซาบซ่านเหมือนเพิ่งลงมาจากสวรรค์หยกๆ ผู้นั้นคือ ข้าพเจ้าผู้เขียนเรื่องนี้
    ในมือข้าพเจ้ามีกระดาษปึกหนึ่งซึ่งบันทึกเหตุการณ์สำคัญแห่ง “ทิพยสถานมหาราชิกา” กลับออกมาด้วยความรู้สึกที่ยังงงๆ เหมือนตื่นจากฝันดี

    “อ้าว...กลับออกมาแล้วหรือ เข้าไปในป่าช้าเสียนานจนมืดค่ำ แล้วเอาดอกบัวไปถวายเทวดาแล้วหรือ”
    เพื่อนสนิทคนหนึ่งที่มาในงานศพ “พันโทจำนวน จันทรี” พี่เขยของข้าพเจ้า ทักถามขึ้นเป็นคนแรกเมื่อข้าพเจ้าเดินออกมาถึงศาลาสวดศพ
    “ดอกบัวอะไร...” ข้าพเจ้าจำไม่ได้
    “ก็ดอกบัวตูมสีขาวดอกหนึ่งที่นายหยิบเอาไปจากโต๊ะหมู่บูชาพระ ว่าจะเอาเข้าไปถวายเทวดาในป่าช้าก่อนที่จะเข้าไปเมื่อก่อนเย็น”
    ข้าพเจ้ารำลึกคลับคล้ายคลับคลา ก้มลงมองปึกกระดาษในมือที่ถืออยู่
    “แล้วกระดาษปึกนี้มาจากไหน”
    ข้าพเจ้าถามเพื่อนผู้นั้น
    “แล้วกัน เข้าไปคนเดียว ถือดอกบัวเข้าไปแล้วถือกระดาษออกมา แล้วยังมาถามเราว่าเอากระดาษมาจากไหน เราสิ...น่าจะเป็นคนถามนาย”
    เพื่อนย้อนถามกลับมาข้าพเจ้าก็ได้แต่คลับคล้ายคลับคลาอยู่เช่นนั้น
    ตอนดึก เมื่อกลับมานอนพักที่บ้านแม่ ก็ตรวจกระดาษปึกโตที่มีบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ของเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยลายมือของข้าพเจ้าเอง เมื่อย้อนรำลึกถึงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจากที่เพื่อนอ้างว่าข้าพเจ้าหยิบดอกบัวตูมสีขาวเดินเข้าป่าช้าไป ทั้งในบันทึกตอนท้ายเรื่องก็ตรงกันกับที่เพื่อนอ้างแล้วเดินกลับออกมาเมื่อพลบค่ำเป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ข้าพเจ้าจะบันทึกเรื่องราวเกือบทั้งหมดของเรื่องนี้เสร็จได้อย่างไรกัน
    “แปลก แต่จริง” ข้าพเจ้ายืนยัน
    ตอนสายวันรุ่งขึ้น เที่ยวตระเวนสอบถามทั้งท่านเจ้าอาวาสวัดเมืองปราณ พระในวัดอีกหลายองค์ ทั้งบุคคลใกล้ๆ นั้นอีกหลายคน ว่า
    “เคยมีพระครูจิตตัง แม่ชีสุดคนึง สามเณรน้อย และทั้งบุคคลที่มีชื่อเกี่ยวข้องที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของข้าพเจ้ามาก่อนหรือไม่”
    ทุกองค์ทุกท่านทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
    “ไม่เคยมี ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยทราบ นอกจากหนุ่มน้อยชาวเยอรมันที่มาบวชเป็นพระจำพรรษาอยู่ที่วัดเมืองในป่าช้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น อันเป็นที่ทราบดีกันอยู่ทั่วไป”
    ข้าพเจ้าเปิดดูบันทึกในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่ง ในการอธิษฐานทำสมาบัติล่วงภพข้ามทวีปของสมณะทั้งสามองค์
    “...คงปรากฏไว้แต่เหตุการณ์เบื้องปลาย เช่นพระเยอรมันซึ่งถือวิเวกอยู่ในกุฏิท้ายป่าช้าและทิพยคดี ทิพยสถานมหาราชิกา ซึ่งผู้มีนามปากกาอันมีความหมายข้างท้ายหมายถึงดอกบัว ผู้รับสืบทอดในการเผยแผ่กิจกุศลนี้ต่อไปเป็นต้น...เทอญ”


    ***** สิ้นสุดปฐมภาค *****
    บัญช์ บงกช ​
     
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ขึ้นสวรรค์ตามรอยพระพุทธเจ้า

    คำนำจากผู้เขียน (คุณบัญช์ บงกช)

    ทิพยสถานมหาราชิกา สิ้นสุดลงแล้ว เป็นการสิ้นสุดปฐมภาคของสวรรค์ แต่องค์ละครสำคัญทั้ง 3 องค์ ยังไม่สิ้นสุดลง

    บทสุดท้ายผู้ถ่ายทอด เพียงแต่ได้กระดาษปึกหนึ่งซึ่งเป็นบันทึกเหตุการณ์สวรรค์ดังกล่าวและนำมาเรียบเรียงพิมพ์สู่ท่านผู้อ่านแล้วนั้น ส่วนถัดไปอีกบทหนึ่งเป็นบทรองบทสุดท้ายในชื่อว่า “ล่วงภพข้ามทวีป” ซึ่งปรากฏสรุปว่าองค์ละครทั้งสามคือ ท่านพระครูจิตตัง สามเณรน้อย และแม่ชีสุดคนึง ได้ถ่ายทอดอุตริมนุสธรรมอันยวดยิ่งเพื่อประโยชน์แด่มนุษยชาติเรียบร้อยแล้วและได้ทำอภิญญาสมาบัตินำสังขารล่วงภพข้ามทวีปจากมนุษย์ชมพูทวีปเข้าสู่เมืองมนุษย์อุตตรกุรุทวีปพำนักเพื่อปฏิบัติกิจกุศลเป็นการชั่วคราว

    มนุษย์อุตตรกุรุทวีปเรียกได้ว่าเป็นเมืองคนทิพย์ ผู้คนที่นั่นปฏิบัติครบถ้วนด้วยปัญจศีล (ศีล 5) เป็นวิสัย เป็นมนุษย์กึ่งเทวดาคล้ายกายทิพย์ มนุษย์อย่างเรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น ซึ่งเคยมีเรื่องเล่ากันต่อๆ มาอยู่เสมอว่าบางคราวมีคนหลงทางเข้าไปในบ้านเมืองนั้นแล้วกลับออกมาไม่ได้ ได้อาศัยอยู่กินมีครอบครัวและลูกอยู่ในเมืองดังกล่าวนานพอสมควร วันหนึ่งได้พูดโกหกผิดศีลเข้า เช่น เมื่อลูกร้องไห้ไปหลอกว่าเดี๋ยวตุ๊กแกกินตับ อะไรทำนองนั้น ซึ่งไม่เป็นความจริง แม้ไม่ได้ตั้งใจก็ถูกขับไล่ให้ออกจากเมืองทันที บางคนเล่าว่าได้แอบหยิบทองแท่งเพื่อนำกลับมาด้วย แต่เมื่อมาถึงเมืองมนุษย์ชมพูทวีปโลกเรา ทองคำนั้นกลับกลายเป็นขมิ้นไปทั้งหมด ชาวบ้านมักจะเรียกบ้านเมืองเหล่านั้นว่าเมืองลับแล หรือมนุษย์บังบด

    ขึ้นสวรรค์เล่มที่ท่านกำลังติดตามอยู่นี้เป็นสวรรค์ในทวีปมนุษย์ที่เรียกว่าเมืองคนทิพย์ เมืองลับแล หรือเมืองบังบดดังกล่าว อุตตรกุรุทวีป เป็นทวีปมนุษย์ที่มีกล่าวไว้จริงในพระไตรปิฎกแต่ไม่ค่อยมีผู้ใดให้คำอธิบายไว้อย่างละเอียดเป็นเรื่องเป็นราว องค์ละครทั้งสามดังกล่าวได้นำผู้เขียนให้เขียนเข้าไปได้ถึงด้วยพุทธานุภาพเป็นที่ตั้ง

    ผู้เขียนขอเน้นย้ำท่านผู้อ่านในข้อความนี้ว่า ผู้เขียน (คุณบัญช์ บงกช) มิได้เป็นผู้นำองค์ละครเข้าไป แต่องค์ละครซึ่งมีบุญญาบารมีดังกล่าวแล้วเป็นพระ นำผู้เขียนเข้าไปในเมืองคนทิพย์เพื่อสัมผัสอย่างละเอียดละออทั้งสิ้น

    ขึ้นสวรรค์ทิพยสถานมหาราชิกา ปัจฉิมภาค อันเป็นภาคที่สุดนี้จะนำท่านผู้อ่านเข้าไปท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ที่ละเอียดประณีตซึ่งซ้อนมิติอยู่ในโลกเดียวกับโลกเรา เป็นโลกทิพย์ที่มีความสะดวกสบายด้วยวิสัยกุศลของมนุษย์เมืองนั้น คนเมืองนั้นมีอายุประมาณพันปีมนุษย์ ไม่มีคนแก่เฒ่า ทุกคนจะหยุดความงามอยู่ในสภาพคนหนุ่มสาววัยรุ่นจนหมดอายุขัย

    เมื่อผู้เขียน (คุณบัญช์ บงกช) ได้เรียบเรียงเป็นเรื่องราวหนังสือเล่มนี้จบลง ผู้เขียนจำรายละเอียดไม่ได้เลยและนึกไม่ออกว่าได้เขียนอะไรลงไปบ้างแต่รู้สึกว่าเป็นปรากฏการณ์อันละเอียดประณีตของภพมนุษย์กึ่งสวรรค์ที่นับเนื่องอยู่ในทิพยสถานมหาราชิกาที่น่าสนใจมาก เป็นดินแดนที่รื่นรมย์เพลิดเพลินสนุกสบายคล้ายทิพยกระแสจากภพล่วงมนุษย์แห่งนั้นเป็นตัวนำบันดาลให้ผู้เขียนถ่ายทอดออกไปในลักษณาการเผยแผ่ทิพยธรรมสู่มวลมนุษยชาติกายหยาบแห่งโลกชมพูทวีปให้เห็นแจ้ง

    แน่นอน...เมื่อหนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์ออกสู่สายตาท่านผู้อ่าน ผู้เขียนจะต้องติดตามเรื่องราวที่เป็นผู้ถ่ายทอดเองแต่จำไม่ได้นี้เพื่อจะได้สัมผัสภพประณีตที่เร้นลับมานานแสนนานเหมือนกับท่านผู้อ่านที่สนใจและติดตามอยู่เช่นเดียวกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...