พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้พระ ๙ วัด เพื่อความเป็นสิริมงคล
    http://www.dhammathai.org/watthai/wat9wat.php

    เกร็ดเสริม :: เที่ยวสิริมงคล ไหว้พระ 9 วัด


    เป็นเรื่องที่นิยมมาตลอดกับการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง ทัวร์ "ไหว้พระ 9 วัด" กลายเป็น "มงคล" ยอดฮิตที่คนไทยและต่างชาติกำลังให้ความสนใจ
    วัดทั้ง 9 ที่ว่ามี วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร, ศาลหลักเมือง, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว), วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์), วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร, ศาลเจ้าพ่อเสือ, วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง), วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
    บางคนเคร่งครัดจัดถึงขนาดที่จะต้องไปสักการะให้ครบทั้ง 9 แห่งในวันเดียว !!! ความฮิตดังว่าทำให้การททท.หยิบ "ทัวร์มงคล" นี้ใส่ในโปรเจ็กต์ดึงดูดนักท่องเที่ยวเพื่อให้หันมาสนใจท่องเที่ยวบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์กันมากขึ้น และเพื่อเป็นการดึงดูดใจเป็นทวีคูณ ททท. เหน็บเกร็ดความรู้ ความเชื่อและวิธีการสักการะแต่ละแห่งเพื่อเสริมความมงคลกันอย่างสูงสุด

    วัดชนะสงคราม ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ในพระอุโบสถ และ "สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท" ด้วย ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก มีความเชื่อว่า "จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง"

    ศาลหลักเมือง ไปสักการะ "เทพารักษ์ทั้ง 5" คือ พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระกาฬไชยศรี, เจ้าพ่อเจตคุปต์, เจ้าพ่อหอกลอง เพื่อ "ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี" ไหว้ เสาหลักเมืององค์จำลอง ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ผ้าแพร 3 สี ดอกบัว และไหว้องค์จริงด้วยพวงมาลัย

    วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปที่นี่ต้องไปไหว้ "พระแก้วมรกต" ด้วยธูป เทียน ดอกบัวคู่ เพื่อ "แก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา"

    วัดพระเชตุพนฯ ต้องไปไหว้ "พระพุทธไสยาสน์" เพื่อ "ความสงบสุขร่มเย็น" ด้วยธูป 9 ดอก เทียนแดงคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น

    วัดสุทัศน์ฯ เพื่อ "วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป" ต้องไปสักการะ "พระศรีศากยมุนี" ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม ดอกบัวหรือพวงมาลัย

    ศาลเจ้าพ่อเสือ ไปสักการะ เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่ทับทิม ฯลฯ เพื่อเสริม "อำนาจบารมี" ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ พวงมาลัย 1 พวง

    วัดระฆังฯ ต้องไปสักการะ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตพรหมรังสี) ด้วยธูป) 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 3 แผ่น หมากพลู และภาวนาด้วยคาถาชินบัญชร เพื่อ "ความนิยมชมชื่น มีชื่อเสียงโด่งดัง"

    วัดอรุณฯ ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ และต้องไปเดินทักษิณาวัตรรอบ "พระปรางค์" อีก 3 รอบ เพื่อ "ชีวิตรุ่งโรจน์"

    วัดกัลยาณมิตรฯ ไหว้ "พระประธานหรือหลวงพ่อซำปอกง" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ เพื่อ "ความสวัสดีมีชัย เดินทางปลอดภัย"
    การได้ไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนั้นไม่จำเป็นต้องไปในวันพิเศษทางศาสนาเท่านั้น หากสามารถไปนมัสการได้ทุกเมื่อ ซึ่งการไปนมัสการนี้ ไม่เพียงจะก่อให้เกิดความสบายใจเท
     
  2. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ท่องกรุงมุ่งสักการะ 9 รอยพระพุทธบาท
    http://www.manager.co.th/Travel/View...=9500000153375



    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>25 ธันวาคม 2550 17:32 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย : หนุ่มลูกทุ่ง




    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>รอยพระพุทธบาทจำลองวัดชนะสงคราม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>จากการที่ฉันได้ไปเยือนไปย่างรับบุญรับกุศลยังวัดต่างๆ มาหลายแห่งในเมืองกรุง สิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตคือ บางวัดนอกจากจะมีวิหาร อุโบสถแล้ว ยังมี
     
  4. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    คิคิ ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ อยู่ที่บ้านข้ามปีฟังเสียงฝนตก นี่ก็ยังไม่หยุดเลยครับ
    เพียงอยากพูด ซู่1000 น่ะ(deejai)
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ช๊อค !!! คำทำนายดวงประเทศไทยปี 2551
    http://palungjit.org/showthread.php?t=107080

    <TABLE class=tborder id=post894750 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 09:59 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>koymoo<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_894750", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:59 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2004
    สถานที่: นิสิตคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
    ข้อความ: 2,130 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 1,256 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 5,639 ครั้ง ใน 1,132 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 813 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_894750 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->[​IMG] ช๊อค !!! คำทำนายดวงประเทศไทยปี 2551
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    มีการพิเคราะห์ดวงเมืองไทย ปีชวด 2551 โดยหมอดู “โสรัจจะ นวลอยู่” จากหนังสือ “ศาสตร์แห่งโหร” สำนักพิมพ์มติชน ออกมาทำนายดวงเมืองปีชวด ไว้ล่วงหน้าว่า อาจเลวร้ายยิ่งกว่า กว่าปี 2550

    ก่อนหน้านี้ หมอดูผู้นี้สร้างความฮือฮาด้วย การทำนายเหตุการณ์ปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ไว้ล่วงหน้าจนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคม เช่นเดียวกับการทำนายเหตุการณ์ 9/11 เมื่อ 6 ปีก่อน จนได้รับสมญานามให้เป็น “นอสตราดามุสเมืองไทย” รวมถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมสึนามิ เมื่อ 26 ธันวาคม 2547

    หมอดู “โสรัจจะ” ทำนายว่า ดวงเมืองปี 2551 ว่า จะเป็นปีแห่งความอาเพศ ช่วงต้นปีบ้านเมือง จะมีการปฏิรูปเป็นการใหญ่ ธนาคารแห่งประเทศไทยคงถอยหลังอย่างกู่ไม่กลับ คนงาน ข้าราชการ ถูกปลดออกจากงานจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนแห่ถอนเงิน รัฐบาลจะล้มลุกคลุกคลาน เพราะเจออุปสรรคยุ่งยากเหลือประมาณ หุ้นตกแบบท้องร่วง กรุงเทพฯจะถูกก่อวินาศกรรม ครั้งใหญ่ สถานทูตและตึกรามบ้านช่องถูกทำลาย

    เมืองไทยจะตกอยู่ในภาวะคับขันรอบด้าน บุคคลในเครื่องแบบผู้ถืออาวุธที่ไม่อยู่ในศีลธรรมจะต้องเข้ามามีบทบาท แทรกเป็นยาดำใน คณะรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

    นอกจากนี้ ดาวเสาร์และราหูในทางโหราศาสตร์ไม่สัมพันธ์กับดวงของโลกและดวงของเมืองไทย ซึ่งเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง เกาะเล็กเกาะน้อยในอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น จีน และไทย บางส่วนอาจจมหายไปเนื่องจากภาวะโลกร้อน ทำให้ระบบน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ จนท่วมเกาะ อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้ผู้คนของโลกหลายล้านคนหิวโหย

    ชาวโลกและประเทศไทยยังเดือดร้อนเรื่องน้ำมันแพง อันเป็นผลจากกลุ่มชาติอาหรับได้รวมหัวกันขึ้นราคาน้ำมัน และเพิ่มราคาน้ำมันขึ้นทุกปีโดยไม่หยุดยั้ง ทำให้ชาติต่างๆ เดือดร้อน ตลอดทั้งปีน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นราคารวมทั้งแก๊ส หุงต้ม ทำให้ประชาชนปั่นป่วนเดือดร้อนอย่างมาก

    นอกจากนี้ยังเป็นปีแห่งการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและชีวิตมนุษย์ครั้งใหญ่ของประเทศ กรุงเทพฯ บางส่วนเริ่มถูกน้ำทะเลท่วมเข้ามาถึง อาจจะจมน้ำหายไปและจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอีกหลายปี ดังนั้นภาครัฐต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ โดยควรหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน

    โลกจะเข้าสู่ยุคเข็ญ สหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลางเริ่มเปิดฉากสงครามล้างเผ่าพันธุ์ เป็นสงครามปรมาณู มีการใช้ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์หรือสงครามไฮเทคนำมาใช้กัน ทำให้เกิดจุดวิกฤตการณ์ของโลกเขม็งเกลียว เป็นสงครามครั้งใหญ่ ผู้คนล้มตายเป็นผักเป็นปลาจำนวนมหาศาล และสงครามจะยืดเยื้อไปอีกหลายปี ส่วนประเทศไทยจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้ด้วย

    ราวกลางปี เกาะภูเก็ต กระบี่ พังงา จะถูกคลื่นสึนามิเหมือนกำแพงยักษ์ถล่มหนักกว่าครั้งแรก นอกจากนี้เชื้อโรคที่รุนแรงจะระบาดเหมือนไข้หวัดนกจะเข้ามาทำลายล้างชีวิตมนุษย์และสัตว์ หรือเป็นเชื้อไข้หวัดนกที่กลายพันธุ์ติดต่อมาถึงคน

    ส่วนปัญหาทางภาคใต้อิทธิพลของดาวเสาร์ให้เป็นปีแห่งการก่อการร้ายและการก่อวินาศกรรมทั้งปี มีการเคลื่อนไหวของผู้คนที่ไม่สามารถจะควบคุมได้ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ทำให้ผู้มีอำนาจขาดความเชื่อถือที่จะเหนี่ยวรั้งให้ผู้คนเหล่านั้นยุติความคิดของเขาได้ แต่ตามดวงเมืองแล้วไม่บ่งบอกว่าเราจะเสียดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ไป เนื่องจากดาวอังคารเดินแบบวิกล จะส่งผลให้ความร้อนแรงเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด เพราะดวงผู้นำประเทศไม่สัมพันธ์กับดวงเมืองปี 2551

    ในปลายปีจะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่น่าแปลกมหัศจรรย์ จะเกิด “หิมะตก” ในเมืองไทยไปทั่วทางภาคเหนือและอีสานบางส่วน ประชาชนทั้งคนไทยและทั่วโลกตื่นตกใจแทบช็อก แต่จริงๆ ในทางโหราศาสตร์ไทยถือว่าอาเพศ เป็นลางร้ายที่จะเกิดมหันตภัยตามมาไม่หยุดหย่อน ทั้งทางธรรมชาติ บุคคล การเมือง การปกครอง วัฒนธรรมประเพณี

    ส่วนตำราทางฮินดูทายไว้อีกนัยหนึ่งว่า ประเทศไทยจะประสบปัญหาภัยแล้งขาดแคลนน้ำอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน ภาคตะวันออกของประเทศมีสภาพแห้งแล้งทำให้ผู้คน และสัตว์เลี้ยงขาดน้ำ ภัยพิบัติทางธรรมชาติยัง ไม่หยุดยั้ง จะมีการสูญเสียแผ่นดินทางภาคใต้แถบฝั่งทะเลอันดามันตั้งแต่จังหวัดระนองลงมา

    ด้านเศรษฐกิจ “โสรัจจะ” ทำนายว่า เศรษฐกิจจะตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ก็ว่าได้ เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปคลอนแคลน ส่วนประเทศไทยจะเป็นปีแห่งความล้มละลายทางเศรษฐกิจ ธุรกิจสับสน คนว่างงานหรือถูกปลดออกจากงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับ เกิดสงครามไปทั่วโลก ธนาคารทั้งเล็กและใหญ่เริ่มล้มและปิดตัวเองลง ตลาดหุ้นถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก มีคนฆ่าตัวตายจำนวนมาก ถือได้ว่าเป็นปีแห่ง “เศรษฐกิจเลือด” ก็เป็นได้

    ประมาณปลายเดือนเมษายน ผู้บริหารบ้านเมืองควรจะระมัดระวังอย่างรอบคอบ เพราะจะเกิดความวุ่นวายปั่นป่วน บุคคลในเครื่องแบบจะมีบทบาททันที เกิดการจลาจล รัฐประหารครั้งใหญ่ เกิดการนองเลือด ผู้คนล้มตายเป็นเบือ ผู้มีอำนาจในแผ่นดินจากไปอยู่ยังแดนไกล ไร้ที่อยู่ หรือมิฉะนั้นจะหายหน้าไป ไม่ปรากฏในวงสังคมอีกต่อไป เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ

    นอกจากนี้กลางปีราวปลายเดือนพฤษภาคม จะมีคลื่นยักษ์เป็นกำแพง อันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวในหมู่เกาะสุมาตราพัดเข้าถล่มหมู่เกาะและชายฝั่งด้านอันดามันอีกครั้ง

    ถัดมา ปลายเดือนมิถุนายนบุคคลสำคัญของแผ่นดินจักเจ็บไข้ได้ป่วย และอาการจะรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง และอาจสูญเสียชีวิต
    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    **************************************************

    นำมาฝากกัน อ่านแล้วควรใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยครับ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ปตท.เตรียมขยับขึ้นราคาน้ำมันหลังปีใหม่ 40 สต./ลิตร พรุ่งนี้ "เบนซิน" ทำนิวไฮ
    http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9500000155705

    </TD><TD vAlign=baseline align=right width=85>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มกราคม 2551 19:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ปตท.เตรียมประกาศขึ้นราคาน้ำมัน 40 สต./ลิตร พรุ่งนี้ ดันเบนซินทำนิวไฮจ่อทะลุ 33 บาท/ลิตร ผู้เชี่ยวชาญชี้ น้ำมันปี 51 เสี่ยงก้าวสู่ภาวะวิกฤติ อุปทานตึงตัว สินค้าจ่อขึ้นราคาทุกรายการ

    วันนี้(1 ม.ค.) นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นวันเปิดทำการวันแรกของปี 2551 ปตท.จะพิจารณาความจำเป็นในการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกประเภทขึ้นอีก 40 สตางค์ต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับขึ้นตั้งแต่ก่อนช่วงปีใหม่ จากหลายสาเหตุ รวมทั้งกรณีการลอบสังหารนางเบนาซีร์ บุตโต อดีตนายกรัฐมนตรีของปากีสถาน จึงทำให้ค่าการตลาดทั้งเบนซินและดีเซลติดลบ

    สำหรับราคาน้ำมัน ณ ปัจจุบัน เบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 32.89 บาท, เบนซิน 91 ลิตรละ 31.59 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 28.89 บาท และดีเซล ลิตรละ 29.34 บาท หากปรับราคาขึ้นอีกครั้งจะทำให้เบนซินทะลุลิตรละ 33 บาท

    ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในปี 2550 สาเหตุหลักมาจากความต้องการของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในระดับเกือบ 85.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ความต้องการน้ำมันทั้งโลกอยู่เพียงระดับ 6.2 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้น โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นเริ่มส่งสัญญาณนับตั้งแต่ช่วงปี 2547 ที่ความต้องการน้ำมันของโลกขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในรอบ 24 ปี อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเอเชีย

    ความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่กำลังการผลิตของโลกกลับไม่สามารถเติบโตก้าวกระโดดสอดคล้องกับความต้องการที่สูงขึ้นดังกล่าวได้ ทั้งนี้ การผลิตน้ำมันโลกในปี 2550 ของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันส่งออกโลก หรือกลุ่มโอเปก ที่ประกอบด้วยสมาชิก 13 ประเทศ อยู่ในระดับ 27.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน และที่เหลืออีกประมาณ 50 กว่าล้านบาร์เรลต่อวันอยู่นอกกลุ่มโอเปก เช่นเดียวกับโรงกลั่นที่กลั่นน้ำมันสำเร็จรูประดับใกล้เคียงกับความต้องการ เหตุผลนี้จึงผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น และนี่เป็นช่องว่างที่ทำให้บรรดากองทุนเก็งกำไร หรือเฮดจ์ฟันด์ เล็งเห็นแล้วปั่นราคาให้สูงขึ้นไปอีก

    ปัญหาการผลิตตึงตัว เมื่อเทียบกับความต้องการยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องติดตามใกล้ชิดในปี 2551 เพราะภาวะเศรษฐกิจโลก ภาพรวมชี้ให้เห็นถึงความต้องการว่าจะเพิ่มมากน้อยเพียงใด แต่หลายฝ่ายก็คาดว่าอย่างน้อยๆ ความต้องการก็จะเพิ่มอีกประมาณ 1.37 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยความต้องการรวมจะปรับเพิ่มเป็น 87.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ศักยภาพการผลิตของกลุ่มโอเปกมีโอกาสจะเพิ่มกำลังการผลิตในระดับไม่เกิน 5 แสนบาร์เรลต่อวัน และนอกโอเปกอีกราว 8 แสนบาร์เรลต่อวัน ดังนั้นก็จะเห็นว่าการผลิตยังไม่ทิ้งห่างจากความต้องการไปมากนัก

    **ราคาเฉลี่ย 90-100เหรียญฯ

    จากสถานการณ์การผลิตที่ตึงตัว จึงเป็นแรงกดดันสำคัญที่จะยังคงทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกในปี 2551 ไม่ต่างไปจากปี 2550 มากนักโดยราคาจะคงระดับสูง และค่อนข้างผันผวน เพราะเหตุผลสำคัญที่ไม่ใช่เพียงกำลังผลิตตึงตัว แต่หากกลุ่มโอเปกเองก็พอใจราคาน้ำมันในระดับสูง 90-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องจับตาการประชุมโอเปค วันที่ 1 ก.พ. 51 ว่าจะตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตอีก 5 แสนบาร์เรลต่อวันหรือไม่ โดยหลายฝ่ายคาดว่า หากราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงกว่าระดับ 90 เหรียญต่อบาร์เรลเป็นไปได้สูงที่โอเปคจะไม่เพิ่มการผลิตอีก

    ทั้งนี้ ปัจจัยที่โอเปกอาจไม่เพิ่มกำลังผลิตเพราะต้องยอมรับว่า หลายประเทศที่ผลิตน้ำมันมีกำลังการ ผลิตน้ำมันดิบลดลง การพัฒนาแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ทำได้ยากขึ้น และใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง โดยสำรองน้ำมันในโลกที่ยังพอเห็นมีเพียง 3 ประเทศคือ ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และอิรัก แต่ประเทศอื่นๆ สำรองเริ่มไม่เหลือแล้ว และในประเทศดังกล่าวการจะเพิ่มผลิตได้ทันทีมีเพียงซาอุดิอาระเบียเท่านั้น ดังนั้นประเทศที่มีแหล่งน้ำมันของตัวเองจึงต้องทำให้ราคาแพงเข้าไว้ เพื่อหารายได้ให้มากที่สุด เก็บเงินเอาไว้ใช้ในช่วงที่ไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ในอนาคต

    **ปัจจัยเสี่ยงที่อาจก้าวสู่วิกฤติ

    แม้ว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 2 ใน 3 จะมาจากปัจจัยทางพื้นฐาน แต่คงไม่อาจมองข้ามที่กรณีค่าเงินสหรัฐอ่อนค่าลง ก็ส่งผลต่อราคาสูงขึ้นถึง 1 ใน 3 ดังนั้น เมื่อเฮดจ์ฟันด์ผสมโรงเก็งกำไรจากปัจจัยเสี่ยง ก็จะทำให้ราคาน้ำมันมีความผันผวนในระยะสั้นๆ และปี 2551 อาจได้เห็นทะลุ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามที่สำคัญคือ ความมั่นคงของประเทศในตะวันออกกลาง ทั้งปัญหา อิหร่าน อิรัก ไนจีเรีย เหล่านี้จะมีผลต่อการผลิตน้ำมันค่อนข้างมาก

    อย่างไรก็ตาม กรณีปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน ดูจะยังเป็นประเด็นสำคัญสุดที่ต้องตามบทบาทของสหรัฐฯ ในปี 2551 ในเวทีโลกเพราะแม้ว่าจะมีรายงานผลสรุปว่า นิวเคลียร์ที่อิหร่านดำเนินการนั้นเป็นไปเพื่อระบบสาธารณูปโภคไม่ใช่สร้างอาวุธนิวเคลียร์แต่สหรัฐฯ ก็ยังประกาศขึงขังที่จะเดินหน้าให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คว่ำบาตรขั้นรุนแรงกับอิหร่าน ดังนั้น หากสหประชาชาติดำเนินการเช่นนั้นจริง สิ่งที่น่าสนใจสุดคืออิหร่านจะตอบโต้ดังเช่นที่ นาย
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ตะลึง!!ตากล้องสมัครเล่นผู้ดีถ่ายติดภาพ'UFO'ไม่รู้ตัว
    http://www.manager.co.th/Around/View...=9500000155729
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 มกราคม 2551 04:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>ภาพที่เคลวินถ่ายได้</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>เคลวิน บาร์เบรี เจ้าของภาพนี้</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>เดอะ ซัน - เดอะ ซัน สื่อมวลชนของอังกฤษ นำภาพถ่ายของตากล้องสมัครเล่นที่สามารถจับภาพวัตถุหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ คล้ายกับยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านUFO ชี้เป็นภาพที่แสดงวัตถุลึกลับได้ดีที่สุดที่เคยถ่ายได้อังกฤษและเชื่อว่ามนุษย์ไม่อยู่ตามลำพังในจักรวาลนี้

    เคลวิน บาร์เบรี เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ถ่ายภาพวัตถุลึกลับนี้ได้บริเวณแถวฝั่งทะเลใกล้กับเมืองฟัลเมาท์ และน่ายิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เมื่อ เคลวิน วัย 55 ปี บอกว่าเขาไม่เห็นวัตถุดังกล่าวตอนที่ถ่ายรูป

    โดย เคลวิน เล่าว่าเขาเพียงต้องการถ่ายรูปทะเล แต่เมื่อโหลดรูปจากการ์ดของกล้องดิจิตอลลงคอมพิวเตอร์ ในภาพปรากฎยานโลหะลอยอยู่ตรงกลาง ห่างออกไปราว 2 ไมล์

    เคลิน กล่าวว่า "มีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำอยู่ในทะเล ผมคิดว่ามันทำให้ภาพดูสวยงามมาก ไม่มีสิ่งอื่นอยู่ในทิวทัศน์ตอนนั้นและผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่ข้อบกพร่องของกล้อง"

    "เมื่อผมกลับบ้าน ผมแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ถ่ายมาได้ โอ้..ผมไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ผมไม่เคยเชื่อเรื่องยูเอฟโอ แต่ตอนนี้ผมไม่มั่นใจแล้ว"

    ด้าน นิค โป๊บ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของอังกฤษ กล่าวว่าภาพภ่ายดังกล่าวถือว่าเป็นรูปที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็นมา

    โป๊บ อดีตหัวหน้าโครงการยูเอฟโอของกระทรวงกลาโหมอังกฤษ ในปี 1991-1994 กล่าวว่า "ถ้าผมอยู่ที่นั่น ผมอยากจะเข้าไปดูมันใกล้ๆ วัตถุดังกล่าวดูเป็นรูปเป็นร่าง มีสัดส่วนและทำจากโลหะ ชายคนนี้สามารถถ่ายภาพอะไรบางอย่างที่น่าสนใจทีเดียว"

    ก่อนหน้านี้กระทรวงกลาโหมแห่งอังกฤษเตรียมเผยแพร่เอกสารลับสุดยอดกว่าหมื่นแฟ้ม ที่บันทึกรายงานการพบเห็น "ยูเอฟโอ" ตลอดเกือบ 60 ปีที่ผ่านมา จุดประเด็นข้อถกเถียงว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ประกาศสำนักพระราชวัง:สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯสิ้นพระชนม์
    http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9500000155737

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 มกราคม 2551 06:05 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ประกาศสำนักพระราชวัง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2550 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น

    แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 2 นาฬิกา 54 นาที วันที่ 2 มกราคม 2551 รวมพระชันษา 84 ปี

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาประสาท ในพระบรมมหาราชวัง

    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์มีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป

    อนึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 13 นาฬิกา ถึงเวลา 16 นาฬิกา วันพุธที่ 2 มกราคม 2551
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2008
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ขัติยราชนารีผู้ทรงคุณแห่งแผ่นดิน
    http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9500000153425
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>2 มกราคม 2551 06:27 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=380 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=380>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประสูติเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ณ เมืองเอดินบะระ ประเทศอังกฤษ เป็นพระธิดาพระองค์แรกใน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=257 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=257>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อแรกประสูติทรงพระนามในสูติบัตรว่า May ตามที่โรงพยาบาลตั้งถวาย ต่อมาเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตั้งพระนามว่า หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา มหิดล (คำว่า "วัฒนา" ในพระนาม ทรงตั้งตามพระนามาภิไธยของสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=376 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=376>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **ความผูกพันครอบครัว “มหิดล” **

    ในปี พ.ศ.2467 สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จพร้อมกับครอบครัวเล็ก ๆ ไปยังประเทศเยอรมนี เพื่อรักษาพระองค์ และในวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ.2468 พระอนุชาพระองค์แรกได้ประสูติ ณ โรงพยาบาลเมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี และได้รับพระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “หม่อมเจ้าอานันทมหิดล”


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=406 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=406>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ได้ตรัสถึงพระอนุชาซึ่งทรงเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวในหนังสือ “เจ้านายเล็ก ๆ –ยุวกษัตริย์” ว่า
    “ข้าพเจ้าเองจำเหตุการณ์สำคัญนี้ไม่ได้เลย เพราะอายุเพียง 2 ขวบ 4 เดือน แต่คงยินดีอย่างมากที่ได้น้อง ซึ่งคงไม่เป็นเรื่องธรรมดานัก เพราะในหลายครอบครัวลูกคนโตมักจะอิจฉาน้องที่อ่อนกว่าไม่มากนัก เพราะพ่อแม่มักให้ความสำคัญแก่ลูกคนใหม่ แต่ทูลหม่อมฯแม่และแหนน (นางสาวเนื่อง จินตตุล พระพี่เลี้ยง ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ท้าวอินทรสุริยา”) คงได้อธิบายเรื่องน้องที่จะเกิดไว้อย่างดี ข้าพเจ้าจึงรู้สึกรักและอยากช่วยเลี้ยงน้อง”


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=420 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=420>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ต่อมาในปี พ.ศ.2469 ครอบครัวราชสกุลมหิดลเสด็จยังสหรัฐอเมริกา สมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาต่อจนได้รับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต มีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระอนุชาพระองค์ที่สองได้ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2470 ณ โรงพยาบาลเคมบริดจ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้พระราชทานพระนามว่า “ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช”
    ทั้งสามพระองค์พี่น้องในราชสกุลมหิดล ต่างสนิมสนมรักใคร่ผูกพันทรงเติบโตขึ้นท่ามกลางความเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงอบรมดูแลให้ทุกพระองค์ช่วยเหลือตนเอง มีระเบียบวินัย และเอื้อเฟื้อต่อผู้ด้อยโอกาสกว่า จนเป็นพื้นฐานสำคัญในพระอุปนิสัยของทุกพระองค์
    ในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2472 สมเด็จพระบรมราชชนกประชวนและทรงจากครอบครัวไป
    “ทูลหม่อมฯสิ้นพระชมน์เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2472 ข้าพเจ้าจำวันนี้ได้ดี ข้าพเจ้ากำลังเล่นอยู่ที่หน้าตำหนัก โดยเดินอย่างดัง ๆ บนขอบถนน...ก็มีคนมาบอกให้เงียบ ๆ และให้ขึ้นไปหาแม่ที่ห้องแต่งตัวของแม่ แม่นั่งอยู่บนม้ายาวหน้าหน้าต่าง แม่ดึงตัวข้าพเจ้าไปกอด และพูดอะไรที่ข้าพเจ้าจำไม่ได้ และร้องไห้ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้ไปด้วย เพราะความตกใจที่เห็นแม่ร้องไห้มากกว่าอื่น”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **“พระพี่นางของ 2 พระมหากษัตริย์” **

    ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ ด้วยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรได้อัญเชิญพระวงวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชย์
    ด้วยเหตุนี้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา จึงทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ”ในรัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี
    และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2487 ท่ามกลางสถานการณ์ที่หนักหน่วงเกินกว่าพระหทัยดวงหนึ่งจะรับไหว สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอในพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ทรงเป็นกำลังใจสำคัญเคียงข้างสมเด็จพระบรมราชชนนีและพระอนุชาพระองค์เล็ก ซึ่งต้องรับพระราชภาระแห่งบ้านเมืองในฐานะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเจริญพระชนมายุครบ 72 พรรษา เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายในเป็นพระองค์แรกในรัชกาล ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **การศึกษา**
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเข้ารับการศึกษาชั้นต้นที่อนุบาลปาร์คสกูล( Park School) ระหว่างปี พ.ศ.2469-2471 ในช่วงที่ตามเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก ซึ่งเสด็จไปทรงศึกษาวิชาการแพทย์ และรักษาพระองค์ที่บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
    ในชั้นเรียนมีการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับพระองค์ท่าน นักเรียนพระองค์น้อยนี้จึงไม่รับสั่งอะไรเลยเป็นเวลานาน ครูผู้สอนมีจดหมายถึงสมเด็จพระบรมราชชนนีในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2471 ว่า ช่วงแรกทรงไม่เข้าพระทัยในสิ่งที่ครูและนักเรียนในชั้นพูดกัน แต่ทรงเรียนรู้ได้เร็ว และสามารถตรัสคำว่า “Yes” , “No” , “Good morning” และ “Good-bye” ได้ แต่ยังไม่สามารถที่จะรับสั่งเป็นประโยคยาว ๆ ได้ ทรงเล่นอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง มีหิมะตก ทรงตื่นเต้นและรับสั่งคำว่า “ Snow” ออกเมื่อคราวตามเสด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนีกลับมาประทับในเมืองไทย เมื่อช่วงพ.ศ.2471-2476 ทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนราชินี ซึ่งเคยรับสั่งเล่าถึงช่วงที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนราชินีว่า เสด็จไปเรียนเพียงครึ่งวัน เพราะสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงเห็นว่าเด็กยังต้องนอนพักผ่อน และในตอนบ่ายก็ทรงจัดให้ครูมาสอนภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะไม่ทรงลืม
    ในช่วงแรกทรงเรียนตามเพื่อน ๆ ไม่ค่อยทัน แต่เมื่อปรับตัวได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทรงเรียนอยู่จนถึงชั้นประถมปีที่ 3 สอบได้ที่ 2 ได้รับรางวัลจากกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระเป๋าผ้าน้ำมัน ซึ่งสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าทรงส่งตามไปให้ภายหลัง เมื่อเสด็จประทับอยู่กับสมเด็จพระบรมราชชนนีที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
    หลังจากที่เสด็จจากประเทศไทยกลับมาประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้ว พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนาทรงศึกษาต่อในระดับเตรียมมัธยมที่โรงเรียนเมียร์มองต์ ( Miremont) ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะทรงสอบเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมัธยมสตรีประจำเมืองเลซาน Ecole Superieure de Jeunes Filles de la Ville de Lausanne ซึ่งเป็นของรัฐบาล เมื่อพ.ศ.2478

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=209 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=209>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในปีพ.ศ.2485 ทรงศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมี มหาวิทยาลัยโลซาน แม้จะถนัดด้านศิลปะศาสตร์ แต่ทำคะแนนทางวิทยาศาสตร์ได้ดีกว่า จึงเลือกสาขาวิชาเคมี และได้รับ diplome de chimiste et pedagogiques ไปพร้อมกัน อันประกอบด้วยวิชาต่าง ๆ ในสาขาการศึกษา วรรณคดี ปรัชญา และจิตวิทยา

    มาเป็นคำแรก และตามด้วยอีกหลายประโยคในเวลาต่อมา จนรับสั่งเป็นภาษาอังกฤษได้คล่องที่สุด และไม่ทรงลืมภาษาอังกฤษอีกเลย

    **ชีวิตสมรส**

    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงสมรสกับพันเอก อร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ มีพระธิดาหนึ่งคนจากการเสกสมรสกับพันเอกอร่าม คือท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม
    ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯทรงเสกสมรสอีกครั้งกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช (พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธารดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย และหม่อมระวี ไกยานนท์)

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=252 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=252>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในฐานะพระมารดาทรงเลี้ยงดูพระธิดาด้วยพระองค์เองโดยให้ความรักและดูแลเอาพระทัยใส่อย่างใกล้ชิด และเมื่อท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ได้สมรสกับนายสินธู ศรสงครามมีบุตร คือร้อยเอก จิทัศ ศรสงคราม ในฐานะ “สมเด็จยาย” ของพระนัดดา พระองค์ก็ทรงให้ความรักและห่วงใยเสมอมา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **พระปณิธาน**

    ด้วยพระปณิธานอันแน่วแน่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตลอด 84 ปีที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงมีพระกรณียกิจที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อส่วนรวมในหลายแขนง ตั้งแต่เสด็จกลับเมืองไทยในปี พ.ศ.2493 ทรงเริ่มต้นเป็นอาจารย์สอนนิสิตนักศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ อีกหลายแห่ง
    ภาพที่ประชาชนไทยต่างคุ้นเคยและอยู่ในความทรงจำมาจนทุกวันนี้ คือเมื่อครั้งที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังทรงเจริญพระชนชีพ ได้เสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรตามท้องถิ่นทุรกันดารอยู่เสมอ พร้อมกับทรงนำแพทย์อาสาไปให้การรักษาผู้เจ็บป่วย โดยมีสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตามเสด็จอยู่เคียงข้าง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แม้เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว นอกจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จะทรงสืบพระปณิธานแล้ว ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ทรงอุปถัมภ์ บางองค์กรทรงก่อตั้งด้วยพระองค์เอง รวม 63 มูลนิธิ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขแห่งปวงราษฎรไทยสืบไปทั้งสิ้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ข้อมูลและภาพจาก : หนังสือ “แสงหนึ่งคือรุ้งงาม” หนังสือเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในโอกาสเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    "ความเรียบง่าย" พระจริยวัตรอันงดงาม สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ





    เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพสกนิกรว่า พระจริยวัตรและพระกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ยังประโยชน์ให้ชาวไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากโครงการในพระอุปถัมภ์หลากหลายโครงการทั้งด้านการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ สัตว์เลี้ยง

    อาทิ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) แห่งประเทศไทย, มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิควิชาการ และพัฒนาการมาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย มูลนิธิขาเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ เป็นต้น

    ไม่เพียงแต่พระเมตตาที่เป็นที่ชื่นชมแล้ว พระจริยวัตรในการดำเนินพระองค์ด้วย "ความเรียบง่าย" ก็เป็นที่ประจักษ์เช่นเดียวกัน

    นายจิทัศ ศรสงคราม บุตรชายของท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็น "หลาน" บอกเล่าความประทับใจต่อ "สมเด็จยาย" ว่า แม้พระองค์จะไม่ค่อยทรงแนะนำอะไร แต่ลูกหลานจะสามารถซึมซับความงดงามในพระจริยวัตรได้จากการดำเนินพระองค์ ทั้งเรื่องการเสวย ของใช้ส่วนพระองค์ ทรงกระทำทุกอย่างอย่างเรียบง่าย และสมถะ ไม่หวือหวาฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ท่านทรงเน้นย้ำกับครอบครัว คือ การวางตัวให้เหมาะสมถูกกาละเทศะ การตรงต่อเวลาอย่าทำให้ผู้อื่นคอย และความถูกต้องตามขั้นตอนพิธีการ

    จากพระปรัชญาด้านความเรียบง่าย ทำให้กลายเป็นแนวคิดสำคัญในการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ในโอกาสที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จะทรงเจริญพระชันษาครบ 84 ปี ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2550 โดยมี "ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม" พระธิดา เป็นประธานคณะกรรมการจัดงาน และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ในรูปแบบมัลติมีเดีย ผสมผสานเทคนิคแสง สี เสียง ดนตรี ในระหว่างวันที่ 4-13 พฤษภาคม 2550 ณ ศูนย์การค้าพารากอน

    เนื้อหาภายในนิทรรศการได้รับการบอกเล่าจาก นางภัทราวรรณ พูลทวีเกียรติ ผู้รับผิดชอบการจัดทำเนื้อหาของนิทรรศการว่า จะเป็นการร้อยเรื่องราวในลักษณะ "เล่าเรื่องด้วยภาพ" แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.พระประวัติ และ 2.พระกรณียกิจ ซึ่งพระฉายาลักษณ์ที่นำมาจัดแสดงนั้น เป็นภาพที่หาดูได้ยาก และไม่เคยเปิดเผยที่ใดมาก่อน มีจำนวนกว่า 1,000 กว่าภาพ ได้รับความอนุเคราะห์จากอัลบั้มส่วนพระองค์ และผู้ถวายงานใกล้ชิด

    "หลังจากได้รับโจทย์ในการจัดนิทรรศการ ทำให้ต้องสืบค้นข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับพระองค์ ยิ่งค้นก็ยิ่งทำให้ประทับใจพระจริยวัตรที่ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อประชาชน ทรงดำรงพระองค์อย่างสมถะและทรงรักษาความเป็นไทยไว้ได้อย่างเต็มพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ประสูติและศึกษาที่ต่างประเทศ และจากคำบอกเล่าของผู้ถวายงานทำให้ทราบว่าเมื่อทรงจะต้องดำรงพระอิสริยยศเป็นพระพี่นางฯ ของกษัตริย์ 2 พระองค์ ก็ทรงมีปรัชญาว่า ฿ความรับผิดชอบเป็นธรรมชาติของครอบครัว และจะทรงทำอะไรให้ประเทศไทยได้บ้าง฿ หลากหลายความสำเร็จของประเทศ ทรงเป็นผู้ริเริ่ม เช่น นักเรียนไทยที่คว้ารางวัลโอลิมปิควิชาการทุกปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงเป็นผู้ออกราชทุนทรัพย์เป็นทุนให้นักเรียนโอลิมปิครุ่นแรก"

    สำหรับนิทรรศการครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯเท่านั้น แต่ยังมีการหมุนเวียนไปยังภูมิภาคต่างๆ ตามมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่ อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาขอนแก่น มหาวิทยาบูรพา และสุดท้ายจะนำไปจัดที่พระตำหนักดอยตุง จ.เชียงราย

    คลิกดูภาพเพิ่มเติมที่นี่

    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01lif06160350&day=2007/03/16&sectionid=0132 <STYLE type=text/css><!--td.attachrow { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #000000; border-color : #000000; }td.attachheader { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #000000; border-color : #000000; background-color: #D1D7DC; }table.attachtable { font: normal 12px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : #000000; border-color : #000000; border-collapse : collapse; }--></STYLE>


    <HR width="95%">​
    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=attachheader align=middle width="175%">
    </TD></TR><TR><TD align=middle>

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=attachheader align=middle width="175%">
    </TD></TR><TR><TD align=middle>

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ภาพที่ทรงพระสิริโฉมงดงามมากๆ
    <HR width="95%">​
    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=attachheader align=middle width="175%">
    </TD></TR><TR><TD align=middle>

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>สิ่งที่ไม่ใคร่มีผู้ใดทราบคือ ทรงมีพระปรีชาสามารถในการขับเครื่องบินปีก 2 ชั้น
    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=attachheader align=middle width="175%">
    </TD></TR><TR><TD align=middle>

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตำนาน 12 นักษัตร
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01pra02020151&day=2008-01-02&sectionid=0131

    [​IMG]

    "นักษัตร" หมายถึงชื่อรอบเวลากำหนด 12 ปี เป็น 1 รอบ เรียกว่า 12 นักษัตร

    โดยกำหนดให้สัตว์ 12 ชนิด เป็นเครื่องหมายแต่ละปี เริ่มจากปีชวด-หนู, ฉลู-วัว, ขาล-เสือ, เถาะ-กระต่าย, มะโรง-งูใหญ่, มะเส็ง-งูเล็ก, มะเมีย-ม้า, มะแม-แพะ, วอก-ลิง, ระกา-ไก่, จอ-สุนัข, กุน-หมู

    ส่วนเรื่องที่ใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์แต่ละปีนั้น หาตำนานได้ยากมาก เพราะเรื่อง 12 นักษัตรเป็นเรื่องดึกดำบรรพ์นานมาก

    ตามตำนานการตั้งจุลศักราช กล่าวว่า ได้เริ่มต้นใช้จุลศักราช 1 เมื่อรุ่งเช้าวันอาทิตย์ ขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีกุนเอกศก ซึ่งตรงกับพุทธศักราช 1182

    การที่กล่าวว่า เริ่มจุลศักราชในปีกุนนั้นแสดงว่าปีนักษัตรมีมาก่อนจุลศักราช แต่มีเมื่อไหร่ ไม่ทราบได้ เพราะหาหลักฐานยากมาก

    สำหรับประเทศไทยได้แบบอย่างการใช้นักษัตรมาจากไหน ในหนังสือพงศาวดารไทยใหญ่ พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

    ".. 12 นักษัตรข้างไทยสยามนั้น น่าจะเลียนนามสัตว์ประจำองค์สาขาปีมาจากเขมรอีกต่อ จึงไม่ใช้นามปีตามภาษาไทยเหมือนไทยใหญ่ กลับไปใช้ตามภาษาเขมร..ฝ่ายไทยใหญ่ก็ไพล่ไปเลียนนามปีและนามองค์สังหรณ์จากไทยลาว หาใช้นามปีของตนเองไม่ และไทยลาวน่าจะถ่ายแบบมาจากจีนอันเป็นครูเดิมอีกต่อ แต่คำจะเลือนมาอย่างไรจึงหาตรงกันแท้ไม่ เป็นแต่มีเค้ารู้ได้ว่า เลียนจีน.."

    ข้างฝ่ายจีนมูลเหตุ 12 นักษัตรก็เล่าตามนิทานว่า เกิดขึ้นเมื่อเริ่มมีมนุษย์--จากไอฟ้าและดินมากระทบกันแล้วกลายเป็นศิลากลมก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วแตกไปเป็นก้อนเล็กๆ อีก 12 ก้อน เกิดเป็นคนขึ้น 13 คน ก้อนใหญ่นั้นคือ "เทียนอ่องสี" แปลว่าเป็นเจ้าแผ่นดิน

    ครั้งนั้นยังไม่มีเดือนมีตะวัน มนุษย์พึ่งแสงสว่างด้วยรัศมีพระและเทวดามาช่วยอุปถัมภ์ ขณะนั้นก็ยังไม่มีชื่อ แซ่ แล้วต่างแยกย้ายกันไปอยู่ทุกทิศ

    อยู่มาวันหนึ่งเทียนอ่องสีเรียกน้องชายทั้ง 12 มาชุมนุมกัน แล้วว่าเราจะตั้งให้มีปี 12 ปีบรรจบเป็นหนึ่งรอบ จะให้ท่านทั้ง 12 คนเป็นชื่อปีกำกับกันทั้ง 12 ปี น้อง 12 คนได้ฟังก็มีความยินดียอมรับแล้วต่างคนต่างไปที่อยู่ของตนดังเดิม..ต่อมาบังเกิดสัตว์ประหลาดรูปร่างเหมือนม้ามีเกล็ด มีปีก สะพายหีบแดงขึ้นมาจากแม่น้ำเม่งจิ๋น มีอักษรจารึกไว้ที่หีบ ว่า ห้อโตลกจือ เป็นตำราโหราศาสตร์ แจ้งวัน เดือน และคืน ตลอดจนมี 12 นักษัตร มีศก แต่ยังไม่มีชื่อเรียกปี

    อย่างไรก็ตาม "สังข์ พัฒโนทัย" กล่าวไว้ในหนังสือ "จีนสมัยก่อนพุทธกาล" ว่า น่าเชื่อว่านักปราชญ์ของฮวงตี้เป็นผู้ประดิษฐ์ปีนักษัตรขึ้นตามชื่อสัตว์ต่างๆ อย่างที่เรียกกัน การที่เอาปีชวดเป็นปีแรกก็เพราะเป็นปีแรกที่ฮวงตี้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ

    นี่เป็นตำนานในเมืองจีน

    ยังมีตำนานของที่อื่นๆ อีก เช่น ตำนานของชาวไทยลื้อ ซึ่งคล้ายกับตำนานนางสงกรานต์ของไทย ที่พระพรหมมีลูกสาว 12 คน เมื่อพระพรหมถูกตัดเศียร ลูกสาวทั้ง 12 มีหน้าที่เชิญพานรองรับเศียรออกมาแห่ทุกปี โดยผลัดกันปีละคน และแต่ละคนจะมีพาหนะต่างๆ กัน เช่น นางที่ 1 ขี่หนู นางที่ 2 ขี่วัว ขี่เสือ ขี่กระต่าย ขี่พญานาค ฯลฯ พาหนะที่นางทั้ง 12 ขี่จึงถูกนำมาเรียกเป็นชื่อปี

    "โดยสรุปการเรียกชื่อปีเป็น 12 นักษัตร มีในประเทศต่างๆ คือ ไทย เขมร มอญ ญวน จาม ทิเบต ญี่ปุ่น จีน และในจารึกภาษาโบราณของตุรกี สันนิษฐานว่าจีนได้จากตุรกี เพราะเป็นตาดสาขาหนึ่ง แล้วญี่ปุ่นก็ได้จากจีน รวมทั้งเกาหลีด้วย แต่เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกเป็นภาษาของตนเอง"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเตรียมรถยนต์ก่อนออกเดินทาง
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=15127&catid=33


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ยาง สิ่งจำเป็นที่ต้องหมั่นตรวจสอบ ต้องเป็นยางที่อยู่ในสภาพดี และสิ่งที่ไม่ควรลืมก็คือยางอะไหล่ ที่ต้องเตรียมให้พร้อมอยู่เสมอ

    เบรก ตรวจตราให้มีความสมบูรณ์ และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรตรวจเช็คน้ำมันเบรก จานเบรก ปั๊มลม และควรมีน้ำมันเบรกสำรองไว้ด้วย

    น้ำในหม้อน้ำ ให้อยู่ในระดับมาตรฐานเสมอ

    น้ำกลั่นในหม้อน้ำแบตเตอรี่ ให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ ควรมีน้ำสำรองเก็บไว้ด้วย

    กระจกมองข้างทั้ง 2 ด้าน และกระจกมองหลังให้อยู่ในสภาพที่มองเห็นได้ชัดเจน

    น้ำมันเครื่อง ควรตรวจสอบว่าขาดหรือพร่องไปหรือไม่ ควรเติมให้ถึงขีดมาตรฐาน และควรมีสำรองติดรถไว้ด้วย

    น้ำมันเชื้อเพลิง ควรเติมให้เต็ม และควรคาดคะเน ตามเข็มวัดน้ำมัน และจำเป็นต้องเติมในจุดที่เหมาะสม

    เครื่องมือประจำรถและอะไหล่ต่างๆ ต้องมีติดรถไว้ให้พร้อมเสมอ

    เครื่องมือพยาบาล ติดรถไว้กรณีฉุกเฉิน หรือในกรณีเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย

    - ข้อคิดยามเดินทางไกล

    ควรแจ้งกำหนดการ ให้ผู้ที่อยู่ทางบ้าน และปลายทางทราบเสมอ เมื่อต้องการเดินทางไกล เพื่อตรวจสอบ เมื่อมีเหตุ หรือเห็นว่าผิดปกติ เช่นล่าช้ากว่ากำหนด และเมื่อถึงปลายทางแล้ว ควรแจ้งให้ทางบ้านทราบด้วย

    ข้อเตือนใจสำหรับนักเดินทาง ถ้าเส้นทางใดท่านไม่คุ้นเคย หรือต้องเดินทางตามลำพังในที่เปลี่ยว ไม่ควรไปในเส้นทางนั้น

    อย่าหยุดรถ หรือแวะรับคนข้างทางในที่เปลี่ยวโดยไม่จำเป็น

    นักเดินทางหลายรายเคยพบสิ่งไม่คาดคิด เมื่อคนร้ายอาจจะแกล้งขับรถชนท้ายรถท่านเพื่อให้ลงมาเจรจา แล้วใช้อาวุธปืนจี้ ปล้น เมื่อ เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ไม่ควรหยุดรถ แต่ควรเดินทางต่อไปจนถึงป้อมตำรวจ

    ศึกษาเส้นทาง หรือสอบถามเส้นทางจากผู้รู้ให้ละเอียด เพื่อที่จะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางย้อนกลับทางเดิม

    การแซงรถ ควรปฏิบัติตามกฎจราจรเสมอ ไม่ควรแซงตรงทางแยก บนเนินเขา บนทางโค้ง และบนสะพาน

    - ข้อปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

    กรณีกระจกแตก เมื่อถูกก้อนหิน ก้อนกรวดกระเด็นมาถูกกระจกแตก ข้อควรปฏิบัติคือ ชะลอความเร็วของรถ แล้วเข้าข้างทางทันที ถ้าเป็นกระจก 2 ชั้นยังพอจะขับต่อไปได้ หรืออาจจะทุบกระจกรถเก่าออกให้หมด แล้วโกยเศษแก้วออกมาให้มากที่สุด เมื่อต้องการจะขับรถต่อไปอีก ให้ไขกระจกข้างขึ้นจนมิด เพื่อป้องกันอาการส่ายของรถบนถนน

    กรณีสุนัขวิ่งตัดหน้า ถ้าชะลอไม่ทันอาจจำเป็นต้องตัดสินใจชน มิฉะนั้นรถอาจเสียหลักได้ ถ้ากรณีที่เป็นสัตว์ใหญ่ไม่ควรบีบแตร เพราะจะทำให้สัตว์เหล่านั้นตกใจ และย้อนมาทำอันตรายได้

    กรณีหม้อน้ำรั่ว ถ้าหาอู่ไม่ได้ ให้ใช้วิธีการ โดยนำเอาสบู่ มาอุดรูรั่วไว้ก่อน เติมน้ำจนเต็ม แล้วขับไปให้อู่ซ่อมแซม

    กรณียางระเบิด เมื่อยางระเบิดกะทันหัน ต้องพยายามถือพวงมาลัยไว้ให้มั่นคง และพยายามบังคับรถเข้าข้างทางอย่างปลอดภัย และไม่ควรใช้เบรกอย่างกะทันหัน เพราะจะทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำ ควรใช้เกียร์เป็นตัวชะลอความเร็ว โดยเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำทันที กรณียางระเบิดที่ล้อหลังท้ายรถจะส่าย ควรถือพวงมาลัยให้มั่นคง และรักษาทิศทางให้ตรง ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ พยายามย้ำเบรกหลายๆ ครั้งติดกัน เพื่อให้น้ำหนักตกอยู่ข้างล้อที่ใช้งานได้ กรณียางระเบิดที่ล้อหน้า พยายามจับพวงมาลัยให้มั่นคง ใช้เบรกให้เบาที่สุด ถ้าแฉลบไปทางใดต้องคืนพวงมาลัยกลับมาให้ตรงทิศทาง จนกว่าจะนำเข้าข้างทางเรียบร้อย

    กรณีคันเร่งน้ำมันค้าง ให้ใช้เบรกช่วยโดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคลัตช์ เพราะเมื่อเหยียบคลัตช์ จะทำให้รอบเครื่องยนต์สูงขึ้นทันที อาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ จะใช้คลัตช์ในกรณีที่เปลี่ยนเกียร์เท่านั้น และเมื่อลดความเร็วลงมาอยู่ในอัตราที่ปลอดภัยแล้ว ใช้ปลายเท้าสอดเข้าไปใต้คันเร่งแล้วงัดขึ้นมา ถ้าคันเร่งไม่ขึ้น ก็พยายามนำรถเข้าข้างทาง แล้วปิดสวิตช์การทำงานทันที

    - ข้อควรระวัง

    การปิดสวิตช์กุญแจ ควรปิดไว้ที่ตำแหน่ง OFF อย่าปิดที่ LOCK เพราะจะทำให้พวงมาลัยทำงานไม่ได้

    กรณีฝากระโปรงรถเปิดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ฝากระโปรงเปิดจนปิดกระจกบังลมหน้า การแก้ไขควรชะลอ และมองดูรถคันหลังด้วยว่า กระชั้นชิดหรือไม่ อย่าหยุดรถกะทันหัน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นำรถเข้าข้างทาง แล้วปิดให้เรียบร้อย

    เมื่อความร้อนขึ้นสูงผิดปกติ ให้รีบลดความเร็ว แล้วนำรถเข้าข้างทาง ตรวจดูรอยรั่วของหม้อน้ำ และข้อต่อต่างๆ สายพาน ถ้ามีน้ำพอ ให้ใช้น้ำราดลงหม้อน้ำได้เลย แต่ถ้ามีน้ำไม่พอ คอยให้เครื่องเย็น แล้วจึงเติมน้ำลงในหม้อน้ำ

    ถ้าที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงาน พยายามนำรถเข้าหาอู่ หรือถ้าฝนตกหนักควรจอดพักดีกว่า

    กรณีรถสตาร์ตไม่ติด เกิดจากแบตเตอรี่ไม่มีไฟ ให้พยายามลาก หรือเข็น แล้วสตาร์ตกระตุก โดยให้ใช้เกียร์ 2 เหยียบคลัตช์ เมื่อความเร็วได้ที่ปล่อยคลัตช์ แล้วเหยียบคันเร่ง หรือให้ใช้สายแบตเตอรี่พ่วงกับรถคันอื่น แล้วสตาร์ต

    - อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ยามเดินทางไกล

    อุปกรณ์สำหรับการเปลี่ยนยาง แม่แรง กากบาทถอดล้อ

    อุปกรณ์ส่องสว่าง ประเภทไฟฉาย ควรติดรถไว้ตลอด

    อุปกรณ์สำหรับการลากจูง

    อุปกรณ์สำหรับการพ่วงไฟ เช่น สายพ่วงแบตเตอรี่

    หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน ทั้งตำรวจทางหลวง และตำรวจท่องเที่ยว

    น้ำเปล่าสำหรับเติมหม้อน้ำ

    น้ำมันเครื่อง
    ที่มา คอลัมน์ คาร์ทิป
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สกู๊ป-พระเจ้าพี่นางเธอฯ เจ้าฟ้าพระอุปถัมภ์การศึกษา การแพทย์ นักประพันธ์ สิ้นพระชนม์แล้ว

    http://www.matichon.co.th/news_title.php?id=1083

    [​IMG]

    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2550 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์ เมื่อเวลา 2 นาฬิกา 54 นาที วันที่ 2 มกราคม 2551 รวมพระชันษา 84 ปี

    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์แรกในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี โดยทรงมีพระอนุชา 2พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ 9

    [​IMG] [​IMG]
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ณ เมืองเอดิน เบอระ สก็อตแลนด์ ประเทศอังกฤษ พระองค์คือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ เมื่อยังทรงพระเยาว์

    สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงย้ายครอบครัวไปพำนัก ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อการศึกษาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงสำเร็จการศึกษา วิทยาศาสตร์ด้านวิชาเคมี ควบคู่กับวิชาการศึกษา วรรณคดี ปรัชญา และจิตวิทยา แล้วเสด็จนิวัตประเทศไทย ระหว่างพุทธศักราช 2493-2501 ทรงเป็นพระอาจารย์ในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงสอนวิชาสนทนาภาษาฝรั่งเศสและวรรณคดีฝรั่งเศส

    ขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จไปทรงเรียนวิชาแพทย์อยู่ที่เอดินเบอระ ในประเทศสก๊อตแลนด์ โดยทรงมีพระนามในสูติบัตรอังกฤษว่า "เมย์" (MAY) ตามที่สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จไปทรงจดทะเบียนเกิด ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา"
    ต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2470 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงสถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา และในรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อพ.ศ. 2478 ทรงเฉลิมพระเกียรติยศเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา

    ครั้นเมื่อ สมเด็จพระพี่นางเธอฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 72 พรรษา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2538 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า เฉลิมพระเกียรติยศเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เนื่องจากทรงมีพระราชดำริว่าสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ซึ่งเป็นพระโสทรเชษฐภคินีเธอพระองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2 พระองค์ด้วยทรงรับราชการพระองค์ทรงสนองพระเดชพระคุณพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นคุณประโยชน์ แก่ประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์มาโดยลำดับทรงเป็นที่รักเทิดทูนของปวงประชาชนชาวไทยทั่วไป

    ชีวิตการศึกษา
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเริ่มการศึกษาระดับประถมศึกษา เมื่อพระชนมายุได้ 6 - 10 พรรษาที่โรงเรียนราชินี กรุงเทพมหานคร หลังจากนั้น เมื่อสมเด็จพระราชบิดาเสด็จทิวงคตใน พ.ศ.2474 พระองค์ได้เสด็จไปประทับยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระราชมารดาและพระเจ้าน้องยาเธอทั้ง ๒ พระองค์ ได้ทรงเข้ารับการศึกษาต่อจนจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ที่เมืองโลซาน โดยพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการศึกษา ในการสอบเลื่อนชั้นแต่ละปี ทรงทำคะแนนได้ผลดีมาก โดยในปี 2485 ทรงสอบผ่านชั้นสุดท้ายเทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลายได้ดีเยี่ยมเป็นที่ 1 ของโรงเรียน และที่ 3 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
    พระองค์ทรงศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษา เมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ก็ทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซาน จนได้รับปริญญาตรีในวิชาเคมี เมื่อ พ.ศ. 2491 หลังจากนั้นทรงศึกษาต่อในวิชาการศึกษาวรรณคดี ปรัชญา จิตวิทยาและภาษา จนทรงมีความรู้ในภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และอักษรศาสตร์เป็นอย่างดี

    พระราชกรณียกิจ
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติ เพื่อแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มาโดยตลอด ซึ่งทรงมีโครงการในพระอุปถัมภ์หลายร้อยโครงการ ทั้งด้านการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ สัตว์เลี้ยง ฯลฯ
    นอกจากนี้ยังทรงพระอัจริยภาพในด้านการประพันธ์ พระนิพนธ์ที่มีชื่อเสียง เช่น เวลาเป็นของมีค่า แม่เล่าให้ฟัง เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์ จุฬาลงกรณ์ราชสันตติวงศ์ มหามงกุฎราชสันตติวงศ์ และพระนิพนธ์เกี่ยวกับประเทศต่างๆ ที่เสด็จประพาส
    ปีพุทธศักราช 2512 ทรงรับเป็นอาจารย์ประจำที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทรงสอนและทรงงานด้านการบริหารในหน้าที่หัวหน้าสาขาวิชาการภาษาต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น จีนและรัสเซีย ทรงเป็นผู้ดูแลและจัดทำหลักสูตร ดูแลการสอนของอาจารย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
    ปีพุทธศักราช 2516 ทรงจัดทำหลักสูตรปริญญาตรีสาขาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศสสำเร็จด้วยการผสมผสานความรู้ด้านภาษาและวรรณคดีให้เข้ากันอย่างเหมาะสม ทรงเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 8 ปี จากนั้น จึงทรงขอเป็นอาจารย์พิเศษอย่างเดียวด้วย ต้องทรงติดตามพระราชภารกิจในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้านหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
    น้ำพระหฤทัยในความเป็นครูนั้นเปี่ยมล้นมิเหือดหาย ทรงรับเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ขอมาตลอด ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เชียงใหม่ สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หลายรุ่นและด้วยประสบการณ์และพระปรีชาญาณในการสอนภาษาฝรั่งเศสเป็นเวลาอันยาวนาน พุทธศักราช 2520 จึงทรงก่อตั้ง สมาคมครูสอนภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความรู้ในการแก้ไขการสอนให้กับบรรดาครูทั้งหลายทรงได้รับการถวายพระเกียรติจากรัฐบาลฝรั่งเศส ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญตราชั้นสูงสุด ด้านศิลปะและอักษรศาสตร์ เมื่อพุทธศักราช 2522
    ทรงสนพระทัยการศึกษาของเยาวชน ได้อุปถัมภ์โครงการ โอลิมปิควิชาการ เพื่อการแข่งขันและพัฒนาวิชาการวิทยาศาสตร์ในประเทศให้ก้าวทันสากล ทรงสร้างสื่อการเรียนให้แก่เด็กเล็กในโรงเรียนชายแดน ที่มิได้มีโอกาสเรียนชั้นอนุบาล เพื่อสามารถอ่านเขียนทันเด็กที่เรียนล่วงหน้าไปก่อนเกณฑ์ และร่วมสร้างโรงเรียนในความดูแลของตำรวจตระเวนชายแดน ส่วนเด็กในกรุงเทพมหานครนั้น ทรงให้ความอนุเคราะห์เด็กเล็กในสลัมต่างๆ
    เมื่อทรงหยุดการสอน พระกรณียกิจส่วนใหญ่ จึงเป็นงานสังคมสงเคราะห์ ทั้งด้านการแพทย์ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม นอกจากช่วยโครงการแพทย์อาสาในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ พอ.สว.แล้ว มีมูลนิธิ กองทุน สมาคม ศูนย์สงเคราะห์ อีกจำนวนมากกว่า 30 รายการ ที่พระองค์ทรงมีภาระในการบริหาร เช่น มูลนิธิโรคไต มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ มูลนิธิขาเทียม มูลนิธิสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม มูลนิธิโลกสีเขียว กองทุนหมอเจ้าฟ้า กองทุนการกุศล กว. กองทุนการกุศล สมเด็จย่า สมาคมปราบวัณโรคเชียงใหม่ สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทย ศูนย์เด็กอ่อนวัยก่อนเรียน ณ ศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์เนื้อเยื่อชีวภาพกรุงเทพ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เป็นต้น

    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงได้รับการอภิบาลให้ทรงมีพระจริยวัตรโปรดการอ่าน การศึกษามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ สั่งสมประสบการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี สิ่งแวดล้อม และทรงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองตลอดเวลา ด้วยความสนพระทัยในศาสตร์ทั้งหลาย จึงทรงเป็นทั้งเจ้าฟ้านักประพันธ์ และเจ้าฟ้านักวิชาการ มีหนังสือพระนิพนธ์จำนวนมาก ที่จัดพิมพ์ขึ้นให้ได้ศึกษาหาความรู้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่อง แม่เล่าให้ฟัง หรือ ยุวกษัตริย์ มิใช่เป็นเรื่องประวัติบุคคลด้านเดียว หากแต่ให้ความเข้าใจทั้งประวัติศาสตร์ ประเพณี การเมือง อันเป็นวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งมีความสนุกสนานสอดแทรกไว้อย่างกลมกลืน หรือสารคดีข่าวเกี่ยวกับการเสด็จไปทัศนศึกษาในต่างถิ่น เป็นสิ่งที่ชาวไทยโชคดีได้มีโอกาสเห็น เสมือนร่วมเดินทางไปกับพระองค์ด้วย โดยจะทรงพิถีพิถันให้จัดทำเป็นสารคดีท่องเที่ยวสั้นๆ ที่มากด้วยความรู้ นำเผยแพร่เกือบทุกครั้ง ทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสไปถึง ได้รับทราบและรับความรู้อย่างกว้างขวางไปด้วย

    โดยใน พ.ศ. ๒๕๒๕ รัฐบาลฝรั่งเศสได้ทูลเกล้า ฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสูงคือ Commandeur de L Ordre des Arts et Lettres (Insignia of Commander in theOrder of Arts and Letters) แด่พระองค์พระเกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน ก็คือ ทรงได้รับเหรียญ วิคเตอร์ ฮิวโก จากผู้อำนวยการยูเนสโก แห่งสหประชาชาติ ในงานจัดนิทรรศการขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ(ยูเนสโก) ที่กรุงปารีส เพราะด้วยการที่พระองค์ได้ทรงส่งเสริมศิลปวิทยาการและทรงบำเพ็ญประโยชน์เป็นอเนกประการในด้านสังคมสงเคราะห์ต่าง ๆ

    ด้านการศึกษา
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงมีรับสั่งว่า "ฉันชอบการสอนหนังสือตั้งแต่เด็กๆ ...และตอนนั้นคิดจะเรียนเรื่องการเป็นครูเหมือนกัน..." (หนังสือพลอยแกมเพชร) ดังนั้น เมื่อทรงจบการศึกษาแล้ว ก็ได้เสด็จกลับมาเป็นอาจารย์สมดังพระทัยที่ตั้งไว้ โดยทรงเริ่มปฏิบัติงานเป็นอาจารย์พิเศษในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ.2495 โดยทรงสอนวิชาวรรณคดีฝรั่งเศส และการสนทนาภาษาฝรั่งเศส แก่นิสิตปีที่ 2, 3 และ 4 จนถึงปี พ.ศ. 2501 และในปี พ.ศ.2512 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กราบทูลขอพระราชทานพระกรุณา จึงทรงรับเป็นหัวหน้าสาขาภาษาต่างประเทศ ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน และรัสเซีย รวมถึงยังทรงสอนภาษาฝรั่งเสสให้กับนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอีกหลายๆ แห่ง ทั้ง จุฬาลงกรณ์หมาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    และโดยที่ทรงตระหนักถึงความต่อเนื่องในการศึกษาภาษาฝรั่งเศสในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา จึงทรงก่อตั้งสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2520 และในฐานะที่พระองค์ทรงปฏิบัติงานด้านการสอนมาจนถึงเดือน มกราคม 2521 จึงทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่ง "ศาสตราจารย์" ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงรัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ตระหนักถึงพระปรีชาสมารถอันเป็นเลิศ และที่ทรงได้บำเพ็ญพระองค์เป็นแบบอย่างอันดีงาม จึงได้ถวายเหรียญตราชั้นสูงสุดทางด้ารนศิลปะและอักษรศาสตร์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2522
    นอกจากจะทรงอุทิศพระองค์ให้แก่งานทางวิชาการแล้ว สมเด็จพระพี่นางเธอ ยังทรงประทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเป็นทุนสำหรับจัดซื้อหนังสือและอุปกรณ์การเรียนการสอน และประทานทุนการศึกษาระดับต่างๆ แก่ศิษย์และเยาวชนที่ด้อยโอกาสอีกด้วย
    สำหรับพระปรีชาสามารถที่มีนอกเหนือไปกว่าเรื่องทั่วไปนั้น คือ ทรงมีพระปรีชาสามารถในการขับเครื่องบินปีก 2 ชั้น และทรงขับเฮลิคอปเตอร์ได้อีกด้วย

    ด้านการแพทย์
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากลัยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงสนพระทัยต่อทุกข์สุข และสวัสดิภาพของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง โดยเมื่อสมเด็จพระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนีเสด็จสวรรคตแล้ว พระองค์ได้สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในโครงการมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) โดยทรงรับเป็นอุปนายิกากิตติมศักดิ์มูลนิธิแพทย์อาสา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งเป็นโอกาสให้ทรงรับทราบข้อมูลต่าง ๆ จากการออกเยี่ยมข้าราชการ ทหาร ตำรวจ อาสามาสมัคร และประชาชนตามท้องถิ่นธุรกันดารทุกหนทุกแห่งจากการเสด็จตามสมเด็จพระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนีเพื่อสอบถามทุกข์สุขของราษฎร
    พระองค์ทรงศึกษาและสังเกตชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างใกล้ชิด จึงทรงรับภาระในการช่วยเหลือประชาชน ด้านการส่งเสริมสุขภาพ รักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสุขภาพ ในการส่งเสริมสุขอนามัยแก่ประชาชน โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพชีวิตแม่และเด็ก ซึ่งทรงห่วงใยในสวัสดิภาพเด็กและครอบครัวในชุมชนแออัดต่างๆ ด้วยการลงพื้นที่ไปเยี่ยมชุมชนแออัดด้วยพระองค์เอง และทรงรับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมไว้ในพระอุปถัมภ์ และทรงพระเมตตาประทานทุนทรัพย์ช่วยเหลือกิจการต่างๆ ของมูลนิธิมาโดยตลอด
    นอกจากนี้ ยังทรงดำรงตำแหน่ง ประธานมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย ซึ่งได้ทรงมีพระดำริช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ที่ไม่มีเงินฟอกไตเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก โดยทรงเล็งเห็นว่า พระบรมราชชนก็ทรงประชวรด้วยโรคนี้มาก่อน ซึ่งการดำเนินงานของมูลนิธิโรคไตเป็นไปอย่างครบวงจร ทั้งการให้ความรู้ในการปฏิบัติตัว การรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยบุคคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้รักษาผู้ป่วยให้ดีกว่าเดิม ทั้งยังทรงเป็นประธานมุลนิธิหม่อมเจ้าบุญจิราธร (ชุมพล) จุฑาธุช ซึ่งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการให้ทุนการศึกษาแพทย์ตามโครงการแพทย์ชนบท

    ชีวิตสมรส
    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงอภิเษกสมรสกับ พันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ (ถึงแก่กรรม) โดยมีพระธิดาคนเดียว คือท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม (สมรสกับนายสินธู ศรสงคราม มีบุตร คือคุณจิทัศ ศรสงคราม)
    ต่อมา พระองค์ทรงอภิเษกสมรสอีกครั้งกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช (พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย และหม่อมระวี ไกยานนท์)
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    4ภาพวิทยาศาสตร์แห่งปี จาก"เนชันแนลจีโอกราฟฟิก"
    http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHdNUzB3TWc9PQ==

    [​IMG]
    รูป 1 ภาพสาหร่ายภาพนี้แสดงให้เห็นความซับซ้อนของสาหร่าย แม้ว่ามันจะเป็นพืชที่มีโครงสร้างง่ายๆ สาหร่ายพันธุ์นี้เป็นพันธุไอริชมอส หรือ "คอนดรัส คริสพัส" เป็นสาหร่ายที่หาได้ทั่วไปในแอตแลนติก และนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ภาพเป็นฝีมือการถ่ายของนายแอนเดรีย ออตทีเซ่น จากยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ แมรี่แลนด์


    [​IMG]
    รูป 2 อาจจะดูแปลกๆ ว่า เป็นภาพแมลงหรือไร ที่จริงแล้วเป็นภาพของซีทีสแกน ที่เปิดเผยถึงโครงสร้างอันละเอียดอ่อนของจมูกมนุษย์ ตรงที่คล้ายกับถุงมีหลายๆ สีนั้นคือช่องที่เรียกว่า "พารานาซัล ไซนัส" ที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ ถ่ายภาพโดยนายฟุง ไค-ฮุง จากโรงพยาบาลพาเมล่า ยูดี เนเธอร์โซล อีสเทิร์น เกาะฮ่องกง ขณะที่ทำการตรวจต่อมไธรอยด์ในผู้ป่วยหญิงชาวจีนวัย 33 ปี



    รูป 3 ดูคล้ายกับเป็นรูปริบบิ้น เป็นฝีมือการถ่ายภาพของนายอดัม ซีเกล นักศึกษาคณะวิศวกรรมและนายจอร์จ เอ็ม. ไวท์ไซด์ส แห่งฮาร์เวิร์ด ยูนิเวอร์ซิตี้ ทั้งสองถ่ายรูปนี้ขึ้นมาโดยฉีดอัลลอยด์หลอมเหลวเข้าไปในช่องซิลิโคนเล็กๆ เมื่ออัลลอยด์แข็งตัวทำให้เกิดรูปโครงสร้างเหล็กที่มีความอ่อนช้อย ซึ่งมีความยืดหยุ่นจนสามารถนำมาผูกเป็นปม แต่ยังคงการนำไฟฟ้าได้



    รูป 4 เป็นรูปแอนิเมชั่น 3 ดี แสดงให้เห็นถึงนิโคตินที่สามารถกระตุ้นประสาทได้อย่างไร เป็นฝีมือการถ่ายของดอนน่า ดีสเมต และเจสัน กัวเรโร จากเฮิร์ดสตูดิโอส



    รูป 5 เป็นการสร้างภาพในวิดีโอเรื่อง "Mobius Transformations Revealed" ของนายดักกลาส เอ็น. อาร์โนลด์ และนายโจนาธาน ร็อกเนส จากยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ มินเนโซต้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างคณิตศาสตร์ในรูปแบบง่ายๆ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10สุดยอดรูปภาพ เนชันแนลจีโอกราฟฟิก2550
    http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHdNUzB3TWc9PQ==


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>อันดับ 1 ปลาหมึกยักษ์ถูกจับได้ที่แอตแลนติก

    เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 เรือประมงนิวซีแลนด์จับปลาหมึกยักษ์ได้ที่ทะเลรอส ในมหาสมุทรแอตแลนติก มันมีน้ำหนักถึง 450 กิโลกรัม ดวงตาใหญ่กว่าจานข้าว ลูกเรือต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงถึงจะจับมันได้ จากนั้นลูกเรือนำซากปลาหมึกไปแช่แข็งและนำส่งให้นักวิทยาศาสตร์ที่อ็อกแลนด์ ยูนิเวอร์ซิตี้ไปศึกษา และถ้านำปลาหมึกตัวนี้ไปทำอาหารจานเด่น "คาลามารี" หรือนำปลาหมึกหั่นเป็นแว่นแล้วทอด จะได้ปลาหมึกชิ้นเท่าล้อรถยนต์เลยทีเดียว

    อันดับ 2 สัตวแพทย์ชาวไต้หวันถูกจระเข้งับมือขาด

    เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2550 ที่สวนสัตว์เมืองเกาสง เกาะไต้หวัน นายสัตวแพทย์ชาง โป-หยู ให้ยากล่อมประสาทจระเข้พันธุ์ไนล์ แต่ยากล่อมประสาทดูท่าจะไม่เพียงพอ เพราะออกฤทธิ์น้อยเกินไป ทำให้จระเข้น้ำหนัก 200 กิโลกรัมตัวนี้งับมือซ้ายของสัตวแพทย์ผู้นี้จนขาดเป็นที่สยดสยองของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ โชคดีที่มือไม่เละ แพทย์สามารถต่อมือซ้ายใหม่ให้ได้โดยใช้เวลาผ่าตัดนาน 7 ชั่วโมง สำหรับจระเข้พันธุ์ไนล์เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาว 5 เมตร และสามารถฆ่าคนได้ประมาณ 200 รายต่อปี

    อันดับ 3 จับปลาชราอายุ 100 ปีที่อลาสก้า

    เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2550 ชาวประมงที่ทะเลแบริ่งในอลาสก้า จับ "ปลาชอร์ตเทรกเคอร์ร็อกฟิช" ตัวเชื่องได้ และนำไปให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจ เมื่อดูไปดูมา นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันบรรยากาศและทะเลแห่งสหรัฐหรือ NOAA ฟันธงว่า ปลาร็อกฟิชตัวนี้เป็นเพศเมีย มีอายุราว 90-115 ปี โดยการดูอายุปลานั้นดูจากวงแหวนของกระดูกหูในปลา มันมีลำตัวยาว 112 เซนติเมตร น้ำหนัก 27 กิโลกรัม และมีพุงที่ใหญ่มากๆ จากสถิติพบว่า "ปลาชอร์ตเทรกเคอร์ร็อกฟิช" ที่ตัวใหญ่สุดเท่าที่เคยจับได้มีความยาว 119 เซนติเมตร ส่วนตัวที่ชราที่สุดคือตัวที่มีอายุ 157 ปี <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อันดับ 4 ปลาหมึกยักษ์ขึ้นมาเกยตื้นตาย

    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2550 ที่ชายฝั่งทัสมาเนีย ของออสเตรเลีย ผู้ที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาที่ชายหาดทางทิศตะวันตกของเกาะทัสมาเนียแจ้งว่า พบซากปลาหมึกยักษ์หรือ "ว็อปเปอร์" จากนั้นนักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ทัสมาเนียทำการตรวจสอบพบว่า หมึกยักษ์มีน้ำหนัก 250 กิโลกรัม ความยาวทั้งหมด 8 เมตร หรือเท่ากับรถโรงเรียนคันใหญ่ๆ

    อันดับ 5 จับปลาฉลามก็อบบลินได้ที่ญี่ปุ่น

    เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2550 ที่อ่าวโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น พนักงานของอุทยานน้ำโตเกียวซีไลฟ์พาร์กและชาวประมงจับปลาฉลามก็อบบลิน ซึ่งเป็นปลาที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้ ฉลามตัวนี้มีความยาว 4.3 ฟุต ว่ายอยู่ในระดับความลึก 500-650 ฟุต จากนั้นอีก 2 วันมันก็ตาย นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยทราบรายละเอียดของฉลามพันธุ์นี้มากนัก แต่ส่วนใหญ่มันจะอาศัยอยู่ใกล้กับพื้นทะเล <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อันดับ 6 ถ่ายภาพ "นกยิ้ม" ที่โคลัมเบีย

    นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมญานามนกพันธุ์บุชเบิร์ดที่มีจะงอยปากโค้งว่า "โมนาลิซ่าแห่งนก" เป็นการถ่ายภาพได้ครั้งแรกในรอบ 40 ปี มันอาศัยอยู่แถวเวเนซุเอลาและทางตะวันออกเฉียงเหนือของโคลัมเบีย เหตุที่นกพันธุ์นี้หายหน้าหายตาไปนานเป็นเพราะสภาพป่าเสื่อมโทรมและมีการเผาป่าเพื่อทำไร่ ทำให้นกต้องย้ายถิ่นไปในที่ห่างไกล

    อันดับ 7 พบฟอสซิลจระเข้โบราณสมัยจูราสสิก

    เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2550 นักวิทยาศาสตร์จากยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ โอเรกอน เปิดเผยว่า พบฟอสซิลของจระเข้พันธุ์ ธาลัตโตซูเชีย (Thalattosuchia) ที่เทือกเขาบลูเมาเท่น ทางตะวันออกของรัฐโอเรกอน มันมีอายุราว 150-180 ล้านปี ตามปกติแล้วฟอสซิลจระเข้พันธุ์นี้พบในเอเชีย ตั้งแต่ญี่ปุ่นไปจนถึงติมอร์ตะวันออก แต่การที่มันปรากฏให้เห็นในอเมริกาเหนือคาดว่า เกิดขึ้นจากการขยับตัวของแผ่นเปลือกโลกแปซิฟิกชนกับแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ ทำให้ฟอสซิลนี้มาอยู่ที่เทือกเขาบลูเมาเท่น

    อันดับ 8 พบเสือดาวพันธุ์ใหม่

    เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2550 นักวิทยาศาสตร์จากเนชันแนลมิวเซียมสกอตแลนด์ หรือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ ประกาศว่า เสือดาวที่พบในเกาะบอร์เนียวและเกาะสุมาตรา เป็นเสือดาวพันธุ์ใหม่ เนื่องจากพบพันธุกรรมที่แตกต่างไปจากเสือดาวพันธุ์อื่นๆ เสือดาวพันธุ์บอร์เนียนคลาวด์ (the Bornean clouded leopard) มีน้ำหนักประมาณ 23 กิโลกรัม มันชอบกินกิ้งก่า จิ้งเหลน ลิง ไปจนถึงกวางตัวน้อยๆ คาดว่าพวกมันราว 8,000-18,000 ตัวอาศัยอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ของเกาะบอร์เนียว

    อันดับ 9 ฟอสซิลกบต้นไม้ในแท่งอำพัน

    ชาวเหมืองในรัฐไชอาพาส ประเทศเม็กซิโก พบฟอสซิลกบในอำพันจึงขายให้กับนักสะสม ต่อมานักสะสมนำส่งให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสิ่งแวดล้อมและประวัติศาสตร์ธรรมชาติไชอาพาส ระบุไปเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ พ.ศ.2550 ว่า ฟอสซิลกบต้นไม้หรือ "ทรี ฟร็อก" นี้ อาจมีอายุถึง 25 ล้านปี ส่วนอายุกบขณะที่ตายนั้นยังไม่ทราบ

    อันดับ 10 นกฮูกประหลาด

    เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2550 นักฮูกพันธุ์ Xenoglaux ได้รับสมญานามว่า "นกฮูกประหลาด หรือ strange owl" เนื่องจากเป็นพันธุ์หายาก โดยพบที่เขตเทือกเขาในเปรู นักวิทยาศาสตร์พบนกฮูกพันธุ์นี้เป็นครั้งแรกเมื่อพ.ศ.2519 มันเป็นนกตัวเล็ก มีตาสีส้มสุกใส
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ........ขอน้อมส่งเสด็จสู่ชั้นฟ้าสวรรคาลัย.......

    แสงหนึ่ง...คือรุ้งงาม <!--MsgFile=10-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วของเวบไซด์หนึ่งที่ลงประกาศ...
    [​IMG]
    [​IMG]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="80%" border=0><TBODY><TR><TD width=200>
    ชื่อพระที่ต้องการส่งเข้าประมูล :


    </TD><TD>เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ </TD></TR><TR><TD>
    ราคาเปิดประมูล :


    </TD><TD>5000 บาท</TD></TR><TR><TD>
    ราคาสูงสุด ขณะนี้:


    </TD><TD>บาท</TD></TR><TR><TD>
    ราคาที่ต้องเพิ่มขึ้น ขั้นต่ำ :


    </TD><TD>500 บาท
    <TABLE style="PADDING-BOTTOM: 25px" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD style="PADDING-RIGHT: 15px"><TABLE class=ProductPictureBorder height=80 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=80 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><!-- End Picture --></TD><TD>เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ
    รหัสสินค้า: 000036
    ราคา 8,000.00 บาท
    รายละเอียด: เบี้ยแก้หลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระคาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐม

    <!-- Main -->คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม
    นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมัง อิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรัง
    สมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม
    ------------------------------------------------------
    สวดอย่างน้อย ๙ จบ ตลอดเวลา

    นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้า ขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก ได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณ ลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใส หลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ


    คุณประโยชน์ของการอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตให้สรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลกไปกับฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์แรกเริ่มมีดังนี้

    ๑. โปรดช่วยสรรพสัตว์ได้ แดนเปรต อสุรกาย มนุษย์โลก สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและเป็นภูมิผีวิญญาณเร่ร่อน แผ่ไปทั่วเทวโลก พรหมโลก ได้รับโมทนาบุญกับเรา การแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก รวมถึงเจ้ากรรมนายเวร จงทำทุกวัน จงตัดเวรตัดกรรม ให้อโหสิกรรมต่อกัน ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเราโกรธตอบจะเพิ่มภพชาติให้เกิดมาใช้หนี้เวรกรรมกันอีก

    ๒. สวดด้วยจิตศรัทธาแท้ เทพ พรหมรักใคร่ สรรเสริญ เมตตาติดตามรักษาเราให้อยู่เย็นเป็นสุข

    ๓. สวดตลอดเวลา คิดปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง

    ๔. สวดตลอดเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาวนาจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสะอาดปราศจากนิวรณ์

    ๕. จิตสะอาดสว่างไสว จิตหลุดพ้นจากการหลงยึดติดในขันธ์ ๕ จิตเป็นจิตประภัสสร เป็น จิตพระอริยบุคคลได้ง่าย เพราะเป็นจิตที่มีเมตตา เคารพบูชา พระรัตนตรัยมองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร เป็นจิตฉลาดไม่มีอวิชชา เป็นจิตที่มีพระนิพพานเป็นกรรมฐานได้ ๕ กรรมฐาน คือ

    ๑) พุทธานุสสติกรรมฐาน
    ๒) ธรรมนุสสติกรรมฐาน
    ๓) สังฆานุสสติกรรมฐาน
    ๔) พรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    ๕) อุปสมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดียิ่งของพระนิพพาน

    ๖. เป็นการอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ตัดเวรตัดกรรม ยกเป็นอภัยทาน ถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเจ้าโกรธก็เป็นการเพิ่มภพเพิ่มชาติ

    ๗. การอุทิศแผ่กุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก จงทำทุก ๆ วันละอย่างน้อยสวด ๙ จบ ช่วยทั้งคนทั้งผี ทั้งสัตว์โลก สัตว์นรก ช่วยเทพเทวดา มีโอกาสโมทนากับพวกเราด้วย







    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ๘. พระคาถาสวดพระนามพระพุทธเจ้านี้ พระท่านให้ไว้แก่มวลมนุษย์มาจากเบื้องบนพระนิพพาน ให้สวดทุกวัน เพื่อช่วยมวลเวไนยสัตว์ และตนเองก็หลุดพ้นจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องได้เกิดในแหล่งอบายภูมิ ๔ อย่างนี้ เป็นการเสริมบารมีให้แก่ตนและผู้อื่น

    ๙. การแผ่พลังจิตให้เป็นพลังไปรอบทิศจักรวาลทั้ง ๓ โลกนั้น ทำจิตให้ว่างจากขันธ์ ๕ ว่างจากกิเลสตัณหา ทำบุญกุศลทุกอย่าง ขอถวายทางจิตให้องค์สมเด็จพระบรมครูพระพุทธเจ้าโปรดโมทนาบุญกุศลทุก ๆพระองค์ เพื่อประโยชน์สูงสุดแด่มวลสรรพสัตว์ทุกจิตดวงธรรมญาณได้รับผลบุญที่ลูกแผ่ไปให้ทุกดวงจิตธรรมญาณเทอญ การขอแรงพลังจิตขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการขอแรงคลื่นวิทยุของท่านผู้เป็นใหญ่บุญบารมีใหญ่ ช่วยอีกแรงหนึ่งเพื่อให้สรรพสัตว์ ๓ โลก ได้ยินคลื่นวิทยุได้ดียิ่งขึ้น จิตของสัตว์อบายภูมิน้อยนักที่จะได้รับได้ยินเหมือนคนตาบอด แต่ถ้าเขาโมทนายินดีรับกับการอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาไปให้กับเขา ก็ทำให้เขาเป็นสุข พ้นทุกข์จากอบายภูมิได้ทุกคน เราต้องทำจิตให้สะอาดทำจิตว่างจากขันธ์ ๕ ปล่อยพลังจิตไปทั่วรอบทิศจักรวาล

    ๑๐. สวดพระคาถาพระนามองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากบุญกุศลไว้กับท่านท้าวยมราชได้แน่นอน โปรดสัตว์ได้ทั่วทั้ง ๓ ไตรภพ แล้วแต่จะกำหนดจิตโปรดได้หมดทุกประเภท ทั้งชาติกำเนิด ๔ คือ(เกิดในไข่ เกิดในคูต เกิดเป็นตัว เกิดขึ้นเอง เช่น ผี เทพ พรหม ) ภูมิวิถี ๖ คือ

    ๑) สัตว์นรก
    ๒) เปรต
    ๓) อสุรกาย
    ๔) สัตว์เดรัจฉาน
    ๕) คน
    ๖) เทวดา พรหม

    โปรดสัตว์ได้ตามวาระจิตของวิญญาณใด ถึงพร้อมย่อมสามารถเข้าถึงสุขติภูมิ คือ สวรรค์ และคนชั้นสูงมีความสุขตามฐานะ กฎของกรรมต่าง ๆ ที่คอยกีดกั้นขวางงาน เป็นเมตตาบารมี กฎของกรรมก็ตามไม่ทัน เพราะบุญใหญ่ เวลาการบำเพ็ญบารมีของแต่ละท่านก็แตกต่างกันคือ พระสาวกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๑ อสงไขยกับแสนกัป พระอัครสาวก ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๒ อสงไขยกับแสนกัป พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๒ อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๔ อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๘ อสงไขยกับแสนกัป พระพุทธเจ้าวิริยะธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีนาน ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป

    (คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมและอานิสงค์การสวดคาถาแผ่เมตตานี้ได้มาจากท่านพระยายมราช)
    http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...roup=2&gblog=6<!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...