ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. มีนัม

    มีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +5,750
    ถ้ายังทัน ผมขอจองชุด10 หนึ่งดวงครับ
     
  2. anantapats

    anantapats เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,199
    จองดวงแก้วชุดที่ ๑๐ ๑ ดวงครับ
     
  3. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    บูชาดวงแก้วจุลจักรพรรดิพระปัจเจกพุทธเจ้า ชุดที่ ๙ ดวงที่ ๘
    โอนปัจจัยเข้าบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ เลขที่ ๐๘๐๒๕๒๖๔๗๒ วันนี้ เวลา ๒๐:๒๗ น. จำนวน ๙๙๙.๙๙ บาท

    เพื่อร่วมบุญ
    ๑. สร้างพระพุทธวิปัสสีโภครัศมีโชติ ขนาด ๔ ศอก
    ๒. ทาสีโบสถ์ วัดโพธิญาณรังสี อ.เมือง จ.สุรินทร์

    ขอน้อมจิตร่วมยินดีในบุญกุศลของทุกท่านทั้งหมดทั้งมวล สาธุ


    ระหว่างออกไปโอนปัจจัยรู้สึกได้ว่าจิตผ่องใสเบิกบาน จึงภาวนาพระคาถาเงินล้านระหว่างทางตลอดค่ะ
    ภาวนาออกเสียงให้ตัวเองได้ยิน เวลาเดินไปใกล้ๆ คนอื่นก็จะภาวนาในใจแทน ทั้งก่อนโอน ขณะโอน
    และหลังโอน ภาวนาด้วยดวงจิตเบิกบาน...(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2014
  4. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,341
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,286
    [​IMG]

    สุขสันต์วันเกิดครับ พี่น้ำใส

    ขอให้มีความสุขมากๆ และสมหวังทุกประการครับ
     
  5. เอ๋ปากน้ำ

    เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้บูชาดวงแก้วจุลจักรพรรดิพระปัจเจกพุทธเจ้า ในครั้งนี้ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ


    ดวงแก้วจุลจักร หมดในเวลาอันรวดเร็วจริงๆค่ะ สาธุๆ

    จันทรกาล
     
  6. KoKoWalK

    KoKoWalK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +7,888
    โอนค่าบูชาดวงแก้วจุลจักรพรรดิ์พระปัจเจกพุทธเจ้า ชุดที่ ๙ จำนวน ๑ ดวง
    จำนวน ๘๘๘.๘๘ บาท ครับ วันที่ ๑๙/๐๔/๒๕๕๗ เวลา ๙.๕๖ น.

    ดวงแก้วของฝากไว้ที่พี่น้ำใสก่อนครับ

    ขออนุโมทนาบุญกุศลของทุกๆท่านด้วยครับ
     
  7. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขอขอบคุณมากค่ะ สำหรับคำอวยพร วันเกิดครบรอบ 44 ปี อิอิ

    ขอบุญที่พี่กระทำมาด้วยความบริสุทธิ์ มีผลกับพี่เพียงใด ขอพึงส่งผลให้น้องธรรมวิวัฒน์ และทุก ๆ ท่านเพียงนั้น สาธุ..

    Numsai
     
  8. Giant 1

    Giant 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1,014
    ค่าพลัง:
    +9,211
    แจ้งโอนบูชาดวงแก้วจุลจักรพรรดิพระปัจเจกพุทธเจ้า ชุดที่ ๘ ดวงที่ ๕
    โอนปัจจัยเข้าบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ เลขที่ ๐๘๐๒๕๒๖๔๗๒ วันนี้ เวลา ๑๐.๓๕.๔๔ น. จำนวน ๙๘๙.๙๙ บาท

    ขออนุโมทนาในบุญกุศลของทุกๆท่านทั้งหมดทั้งมวล สาธุ
     
  9. Callme Zupta

    Callme Zupta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +2,292
    ธรรมะ: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปนิพพาน โดยพระราชพรหมญาณ

    /\ สวัสดีปีใหม่ไทยพุทธศักราช ๒๕๕๗ กับสมาชิกกองบุญพระพุทธวิปัสสีทุกท่านครับ /\

    วันนี้ผมได้พบเจอเลยได้มีโอกาสอ่านธรรมะดีๆจากหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ เลยอยากจะนำมาเผยแพร่ให้กับทุกท่าน เผื่อบางท่านยังไม่เคยอ่านหรือทราบเรื่องราวดีๆอันเป็นกุศลเช่นนี้มาก่อน ขอจงได้สดับทัศนาดังนี้ครับ...

    การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก

    “..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์จะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดทานว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเหมาะ เพราะเมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้นก็คือ ตถาคต ฉะนั้นเมืองใดที่เคยมีจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์ท่านเสนอก็คือเมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนั้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แต่เนื้อแท้จริงๆ การที่พระองค์จะทรงไปนิพพานที่นั่นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย เพราะคนที่เกิดมาจะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้เพราะวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ ท่านสุภัททะปริพาชก

    เวลากลางคืนก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมครูจะเข้าสู่พระนิพพานในวันรุ่งขึ้นเวลาใกล้รุ่งอรุณ ก็ปรากฏว่ามีท่านๆ หนึ่งคือ สุภัททะปริพาชก ต้องการจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เพราะเวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพโสตญาณ เมื่อพระองค์ทรงทราบก็บอกพระอานนท์ให้ปล่อยเข้ามา “ว่าการที่ตถาคตมาที่นี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้น” จะเห็นว่าตอนก่อนจะมาพระองค์ตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน พระองค์จึงให้เหตุผลคนละอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกก็สอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้เป็นพี่น้องกันกับ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาทำบุญจะเริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา ส่วนพี่ชายคือท่านสุภัททะปริพาชกทำบุญเมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จแล้ว

    ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จแล้ว จึงบรรลุมรรคผลหลังสุดคือพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกก็เข้ามา พระองค์จึงถามถึงความประสงค์แล้วก็ตรัสว่า “เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้นการถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด”

    พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า “จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้ว ก็เป็นทุกขัง เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริง” รวมความว่า ไม่ให้สนใจในรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปของเรา

    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไปปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล...”

    พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก

    “..คืนวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐น. อากาศก็เริ่มร้อน อาตมามีอาการปวดท้องอย่างหนักมีอาการคล้ายเป็นบิด รู้สึกอุจจาระแข็งมาก เพราะไปซอยสายลมมาทุกคราวโรคที่มีอยู่ก็ทวีขึ้น ๓-๔ เท่า เนื่องจากต้องนั่งเครียดทั้งวันและมีการพูดตลอดเวลาที่รับแขก ต้องใช้ขันติอย่างหนัก ถ้าถามว่า “ใช้ได้อย่างไร” ก็ขอตอบว่า “ใช้ได้เท่าที่พึงจะใช้ได้ ถ้าเกินวิสัยจริงๆ ก็ลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน” ดูอย่างท่าน พระอัสสชิ ซึ่งเป็นพระสาวกรุ่นแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพาน ท่านก็เป็นโรคกระเพาะอย่างหนัก ทั้งปวดทั้งเสียด อึดอัดทนไม่ไหว ท่านจึงคิดในใจว่าเวลานี้เราเสื่อมจากความดีแล้วหรือ จึงให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามา เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จมาท่านจะลุกมาจากที่นอน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัสสชิ นอนตามนั้นเถิด ตถาคตจะนั่งในที่ที่เขาจัดให้นั่งตามสมควร” ท่านก็กราบทูลพระองค์ว่า “เวลานี้ทุกขเวทนาหนักพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทนไม่ไหว” พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่อยู่หรือ” หมายถึงใช้อานาปานุสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตเป็นสมาธิตามสมควร ทุกขเวทนาจะคลายตัว ท่านก็กราบทูลว่า “ทนไม่ไหวพระเจ้าข้า ระงับไม่อยู่ ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้ว คงจะสลายตัวไปแล้ว” พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า “อัสสชิ เธอถือว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ” ท่านก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า” พระองค์ถามว่า “หรือว่าเธอเห็นว่าเธอมีในร่างกาย” พระอัสสชิก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า” ก็รวมความว่า ท่านอัสสชิยังถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เมื่อท่านตอบอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อัสสชิ ความดีของเธอไม่เสื่อม ความดียังทรงตนอยู่” หลังจากนั้นเมื่อพระอัสสชิพบองค์สมเด็จพระบรมครูแล้วไม่นานก็นิพพาน

    แสดงให้เห็นว่าขึ้นชื่อว่า ขันติ มันจะทนได้ก็แค่พอจะทนไหว ถ้าเกินกำลังเมื่อไร อาตมาก็เช่นเดียวกับพระอัสสชิ แต่ทว่าท่านเป็นพระอรหันต์ในสมัยตอนต้นพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังยิ่งยวดมาก เพราะยังไม่มีใครเป็นตัวอย่างเป็นแบบฉบับของพระอรหันต์ ฉะนั้นการเป็นอรหันต์เวลานั้นต้องใช้กำลังใจสูงมาก มีความฉลาดมาก มีความอดทนมาก มีความเข้มแข็งมาก

    ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีความเข้าใจในร่างกายเป็นสำคัญ วิปัสสนาญาณทุกข้อก็คือร่างกาย ให้พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเป็นโทษ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเบื่อหน่าย ร่างกายนี้เราควรจะวางเฉย เพราะว่าขืนเอาจิตใจติดตามร่างกายคิดว่า ร่างกายจะไม่แก่มันก็ต้องแก่ คิดว่าร่างกายจะไม่ป่วยไข้ไม่สบายมันก็ต้องป่วย คิดว่าร่างกายจะไม่มีทุกขเวทนามันก็ต้องมีทุกข์ ถ้ากำลังใจเราฝืนเราก็มีทุกข์ กำลังใจเราไม่ฝืนก็ไม่มีทุกข์ ยอมรับมัน ถ้าความแก่เข้ามาถึงก็ยอมรับความแก่ เมื่อความป่วยเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันจะป่วย ความตายจะเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าเป็นธรรมดาของร่างกายมันต้องตาย และก็พยายามหนีร่างกายด้วยการคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดอย่างนี้จะมีกับเราชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย ต่อไปการเกิดมีร่างกายที่ประกอบไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราจะไม่มีอีก

    พระวักกลิบวชเพราะต้องการเห็นความสวยของพระพุทธเจ้าแต่ไม่สนใจปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงขับแล้วเป็น

    “..ในวันที่พระพุทธเจ้าไปเทศน์ในหมู่บ้านของ ท่านวักกลิ ท่านเห็นพระพุทธเจ้าสวย มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏออกรอบพระวรกาย ท่านเลยติดใจในความสวยสดงดงามของพระพุทธเจ้าจึงขอบวช เวลาบวชแล้วก็ไม่ต้องการทำอะไร ฉันข้าวเสร็จก็มานั่งใกล้ๆ พระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ก็มานั่งดูแบบนั้นจนกว่าพระพุทธเจ้าจะกลับเข้าพระวิหาร พอตอนเช้าท่านก็ทำอย่างนั้น บำเพ็ญบารมีอย่างนี้มาเป็นเวลา ๓ ปี แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ว่าเพราะท่านติดใจในรูปก็ฟังเสียงเทศน์มา ๓ ปีถึงแม้ว่าจะไม่สนใจก็ตาม เปรียบเหมือนเขาบังคับให้เรากินข้าว เรากินบ้างไม่กินบ้าง กินวันละน้อยๆ มันก็มาก หรือนํ้าฝนที่ตกลงมาในตุ่มทีละหยดๆ มันไม่มาก แต่พอนานๆเข้านํ้าก็เต็มตุ่มได้เหมือนกัน

    เมื่อเวลาผ่านไป ๓ ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่า พระวักกลิควรจะเป็นพระอรหันต์แล้ว แสดงว่าพระองค์ทรงสอนให้พระวักกลิปฏิบัติธรรมในด้านวิปัสสนาญาณแล้วไม่มีผล แต่พระวักกลิก็ยังติดอยู่ในพระรูปพระโฉมของพระองค์คือยังติดในร่างกายของพระองค์ ฉะนั้นจะช่วยให้พระวักกลิเป็นพระอรหันต์ได้ง่าย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสขับไล่พระวักกลิออกจากสำนัก ถือว่าเธอเป็นโมฆบุรุษ เป็นบุรุษผู้ไม่ได้หวังความดีอะไร จงออกไปจากสำนักของตถาคตเดี๋ยวนี้

    พระวักกลิเมื่อถูกพระพุทธเจ้าทรงขับก็เสียใจ จะกลับบ้านก็อายเพื่อนบ้าน จะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าทรงขับ จึงตัดสินใจเราตายดีกว่า จึงขึ้นไปที่เงื้อมผาปรารถนาจะกระโดดเขาให้ตาย พอจะกระโดดเขา พระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีพุ่งไปปรากฏเฉพาะหน้าเหมือนพระองค์นั่งอยู่ข้างหน้าพระวักกลิ ทรงกล่าววาจาว่า

    “วักกลิ บุคคลใดเห็นธรรม บุคคลนั้นชื่อว่าเห็นตถาคต”

    เพียงเท่านี้ พระวักกลิก็สำเร็จพระอรหันต์

    การที่พระวักกลิตัดสินใจกระโดดเขาให้ตาย ก็แสดงว่าท่านไม่ห่วงใยในร่างกายแล้ว คนที่จะเป็นพระอรหันต์นั้น เป็นที่ไม่ห่วงในร่างกายนั่นเอง ถ้าเราตัดสักกายทิฐิได้ตัวเดียว เราก็เป็นพระอรหันต์ได้..”

    พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว พระพุทธเจ้าเสด็จมาเช็ดนํ้าเหลืองให้แล้วเข้านิพพานในวันนั้น

    บุพกรรมของพระติสสะ

    “..ในสมัยพระพุทธกัสสป ท่านติสสะ เป็นคนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจำ คือยิงนกมาแล้วก็แกงขายบ้าง ขายเป็นบ้าง ขายตายบ้าง ถ้าวันไหนได้นกมามาก ขายวันนั้นไม่หมดก็หักแข้งหักขา หักกระดูกปีก เกรงว่านกจะบินหนีไป เอาไว้ขายสดๆ ในวันพรุ่งนี้ ท่านทำอย่างนี้มาตลอดกาล คำว่าบุญกุศลไม่เคยทำเลย ต่อมาวันหนึ่งก่อนที่ท่านจะไปหานกในตอนเช้า วันนั้นบังเอิญพระอรหันต์มาบิณฑบาตองค์เดียว ท่านเองก็ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ ก็คิดในใจว่าในชีวิตของเราทั้งชีวิตขึ้นชื่อว่าการทำความดีที่จะทำบุญกุศลไม่เคยมีในเรา เรามีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทุกวัน วันนี้ขอทำบุญตอนเช้า เมื่อเห็นพระเดินมาก็ออกไปรับบาตรกล่าวคำนิมนต์ แล้วก็นำพระเข้าบ้าน สั่งแม่บ้านแกงนกที่มีอยู่ให้แกงอย่างดีที่สุด เมื่อแกงเสร็จก็นำมาใส่บาตรพระ พระท่านก็ให้พรแล้วท่านก็กลับ หลังจากนั้นมาท่านก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดมา

    เป็นอันว่าในชีวิตของท่านทำบุญครั้งเดียวในชีวิต แต่เป็นการบังเอิญทำบุญกับพระอรหันต์ซึ่งมีอานิสงส์มาก แต่ไม่เท่าสังฆทาน ก่อนที่จะตายท่านก็นึกถึงการทำบุญ ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ครั้นหมดบุญวาสนาบารมี ในสมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านก็กลับมาเกิดเป็นคน อาศัยที่เคยทำบุญทำกุศลมาแล้วครั้งเดียวในชีวิต คือถวายทานกับพระอรหันต์ จึงไปพบพระพุทธเจ้าเข้ามีความเลื่อมใส ตั้งใจฟังเทศน์ เมื่อฟังเทศน์จบก็มีจิตเลื่อมใสอยากจะบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเห็นวิสัยว่าเขาจะเป็นอรหันต์ได้ จึงอนุญาตให้บวช เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็เจริญฌานสมาบัติแต่ว่ายังไม่ได้ฌานโลกีย์ ท่านก็เกิดอาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นในร่างกาย ตามตัวมีการพุพองเม็ดเล็กๆ ตลอดทั้งตัว ต่อไปการพุพองเม็ดเล็กๆ ก็โตขึ้นๆ จนกระทั่งเท่าผลส้ม ในที่สุดก็แตกมีนํ้าเหลืองรอบตัว กระดูกต่างๆ ในร่างกายก็หัก มีทุกขเวทนามาก พระที่พยาบาลอยู่เห็นเข้าก็ทนไม่ไหวจึงทิ้ง เพราะท่านขยับตัวไม่ได้ยังไงก็ต้องตายกันแน่แล้ว

    คืนวันนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ว่า วันพรุ่งนี้จะมีใครได้บรรลุมรรคผลบ้าง ก็ทรงทราบว่าพระติสสะเวลานี้ป่วยหนักและการตายของเธอจะเข้ามาถึงในวันพรุ่งนี้ ถ้าเราไปสงเคราะห์เธอ เธอจะได้เป็นพระอรหันต์พร้อมกับนิพพาน ฉะนั้นในตอนเช้าพอฉันข้าวเสร็จเรียบร้อย พระพุทธเจ้าจึงเสด็จออกจากพระมหาวิหารเดินเรื่อยๆ ไปไม่บอกใคร เมื่อบรรดาพระทั้งหลายเห็นพระพุทธเจ้าเดินก็เดินตาม

    พอไปถึงกุฏิของ พระติสสะ พระองค์ก็แวะเข้าไปเห็นนํ้าเหลืองไหลเกรอะเปื้อนผ้า ก็ทรงเปลื้องผ้าทั้งหมดเอาไปจะต้มนํ้าร้อน พระทั้งหลายก็รับอาสาว่า การต้มให้นํ้าเหลืองหมดเป็นหน้าที่ของข้าพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เอาผ้ามาชุบนํ้าอุ่นๆ เช็ดร่างกาย พระติสสะ จนกระทั่งนํ้าเหลืองแห้ง ร่างกายก็มีอาการปลอดโปร่ง ผ้าที่เอาไปต้มนั้นก็แห้งพอดี พระพุทธเจ้าก็สั่งให้นุ่งผ้าให้ พระติสสะ พระก็ห่มให้

    แล้วพระองค์ก็ทรงยืนอยู่ข้างๆ บอกว่า

    “ติสสะ ร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายนี้ก็ต้องถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์”

    หมายความว่าจิตใจจะพ้นไปจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วร่างกายของเราก็ไร้ประโยชน์ เป็นของที่ชาวบ้านเขาจะทอดทิ้งเขาไม่ต้องการ สู้ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้ พระติสสะฟังเพียงเท่านี้ อานิสงส์ที่เคยถวายทานกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็เป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณทันทีและก็นิพพานทันทีในวันนั้น

    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงสั่งให้พระสงฆ์ทำฌาปนกิจศพคือเผาศพ แล้วก็ให้ทำสถูป หมายความว่าพูนดินขึ้นมาคล้ายๆ กับบาตรควํ่าเป็นโคกพูนไว้เอากระดูกไว้ในนั้น บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงเข้ามากราบทูลถามว่า “เวลานี้พระติสสะตายแล้วไปไหน”

    พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “พระติสสะ ตายจากความเป็นคนไปนิพพานแล้ว”

    พระทั้งหลายจึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “อยากจะทราบว่าพระติสสะเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เมื่อไร”

    พระองค์ก็ตรัสว่า “พระติสสะ เป็นพระอรหันต์เมื่อเราพูดจบ”

    บรรดาพระทั้งหลายก็เลยถามว่า “พระติสสะ ทำบุญอะไรไว้จึงเป็นอรหันต์ง่าย”

    พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป พระติสสะ ทำแต่บาปอย่างเดียวไม่เคยทำบุญ หมายถึงทำบุญอย่างชาวบ้านธรรมดาๆ นี่ไม่เคยทำ มีหน้าที่ยิงนกดักนกเอามาขายแก่ชาวบ้าน ถ้าวันไหนนกเหลือมาก ตัวไหนมันใกล้จะตายก็ย่าง นกย่างขายได้ราคาถูกกว่านกเป็นๆ ถ้านกเป็นๆ มีมากเกินไปก็เกรงว่านกจะบินหนีก็หักกระดูกแข้งเสียบ้าง หักกระดูกปีกเสียบ้าง ผลอันนี้เป็นปัจจัยให้ท่านติสสะเมื่อบวชเข้ามาแล้ว จึงมีร่างกายเป็นตุ่มทั้งตัว และตุ่มนั้นค่อยๆ โตมาทีละน้อยจนกระทั่งแตกเป็นนํ้าเหลืองเยิ้ม และกระดูกร่างกายที่หักก็เพราะเคยหักกระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกปีกนก เพราะกฎของกรรมอย่างนี้มาสนอง แต่อาศัยที่พระติสสะได้ ทำบุญกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต เพราะอานิสงส์นี้เองทำให้พระติสสะเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เมื่อตถาคตเทศน์จบ”

    เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน

    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความรู้สึกว่าการเกิดเป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราจะเกิดไปอีกกี่ชาติ เราก็จะพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก และคิดว่าการตายของเราคราวนี้จะเป็นการตายครั้งสุดท้าย ฉะนั้นทุกคนก่อนจะหลับให้คิดง่ายๆ ดังนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเราอีก การตายคราวนี้เราขอไปพระนิพพาน และก็ภาวนาต่อท้ายสักเล็กน้อยว่า

    “นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง”

    ภาวนาอย่างนี้สัก ๓ ครั้งด้วยความเต็มใจ การทำอย่างนี้ได้ชื่อว่า เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน เวลาที่ท่านจะตายบุญกุศลทั้งหลายที่ทำแล้วจะรวมตัวทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้มโนมยิทธิ คืออภิญญาและวิชชาสามควบกัน ก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน เอาจิตไปตั้งไว้ที่พระนิพพาน ไปที่วิมานพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือไปที่วิมานของเราก็ได้ ถ้าไปที่วิมานของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก็จะพบท่านทันที แล้วตัดสินใจว่าถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น เพียงเท่านี้ แต่ต้องทำทุกวันนะ ตายเมื่อไรไปพระนิพพานเมื่อนั้น..”

    ท่านปุตตะภิกขุ ( โอภาสี ) ได้บรรลุอรหัตผลเข้าสู่พระนิพพาน

    พระนิพพาน เมื่อไปถึงแล้วก็นมัสการพระตามลำดับที่เคยนมัสการเป็นปกติ เมื่อไหว้แล้วก็กราบถามท่านว่า “ท่านโอภาสีเป็นใคร” พระท่านเรียกพระแก้วองค์หนึ่งมาหาพระองค์นี้ตัวสวยเหมือนแก้วที่ถูกแสงอาทิตย์สาด สวยมาก ท่านชี้ให้ดูแล้วบอกว่า “องค์นี้แหละที่ชาวโลกเรียกว่า “โอภาสี” บอกท่านสวยสมชื่อจริงๆ “โอภาสี” แปลว่า “มีแสงสว่างเป็นปกติ” ท่านสว่างสมชื่อ เมื่อพบกันแล้วก็ถามชื่อแซ่กันตามธรรมเนียม ท่านตอบว่า “เมื่อเป็นพระคนท่านชื่อ ปุตตะภิกขุ เป็นลูกชาวเมืองปาฐา เป็นหัวหน้าคณะพระ ๓๐ รูป ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าจนพระพุทธเจ้ามีพระพุทธานุญาตให้พระนางวิสาขาถวายกฐินเป็นรายแรกในศาสนานี้”

    เมื่อก่อนบวชท่านได้พบพระสารีบุตร เลื่อมใสท่านพระสารีบุตรแล้วบวชกับท่าน แต่อาศัยที่เป็นพระโพธิสัตว์มีบารมีขั้นปรมัตถบารมีหลายอันดับ เป็นเหตุให้ท่านพระสารีบุตรไม่สามารถสอนให้บรรลุมรรคผลได้ ท่านพวกสาวกพุทธภูมินี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่จะสอนได้ เมื่อออกพรรษาท่านพระสารีบุตรพามาหาพระพุทธเจ้า เมื่อพบพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านลาออกจากพุทธภูมิ ท่านศึกษาไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อนิพพานแล้วเพราะอาศัยที่เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อนก็เลยโปรดคนตามอัชฌาสัย ให้นามตัวเองว่า “โอภาสี” แปลว่า “มีปกติฉายแสงสว่าง”ถามว่า “เมื่อเป็นพุทธสาวกทำไมเล่นเผาของ ทำให้ศาสนาเสื่อม คนหลงผิดกันตั้งหลายเมือง” ท่านบอกว่า “ท่านมาเฉพาะธรรม เรื่องเผาของเป็นเรื่องของคนอยากดัง เขาเล่นกลกันเอง” ถามว่า“บางวาระคนที่ทรงก็มีผีอื่นปลอม ทำไมไม่ห้ามผีอื่น” ท่านตอบว่า “ร่างของเขา เจ้าของมีสิทธิ์จะให้ใครทรงก็ได้ ท่านมาเฉพาะธรรม อย่างอื่นไม่เกี่ยว” ถามว่า “เรื่องกองทานมาจากใคร” ท่านบอกว่า “มาจากพวกอยากดัง” กลับลงมาบันทึกเมื่อเวลา ๐๔.๓๒ นาฬิกา..”

    ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน

    “..เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๔ อาตมาทราบจากคุณนิด (อรอนงค์ อรรถไกวัลวที) ว่าท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายก ตาย เวลานั้นพอดีเจ้าท้องมันทำพิษต้องใช้ยาระบาย มันเพลียเลยขี้เกียจเที่ยว อาศัยการปลงสังขารรู้สึกว่าสบายดี แต่ก็แปลกใจอยู่หน่อยหนึ่ง คืนที่กลับมาค้างบ้านครูนนทา กำลังปลงสังขารพอสบายก็ปรากฏแสงสว่างเกิดพุ่งมาทางศีรษะ มีแสงสว่างมากแต่ก็ไม่คิดสงสัย เพราะขณะใดที่มีอารมณ์สบายจะปลากดว่ามีพระพุทธรัศมีแบบนั้นปลากดเสมอ แต่ทว่าวันนั้นเป็นแสงสว่างธรรมดาไม่มีแสงอื่นผสมก็เลยคิดว่าคงเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมา สงเคราะห์ มันเพลียมากก็เลยปล่อยไปไม่ได้สนใจอะไรอีก ตอนกลางวันฉันยาแก้หวัดเข้าไปเลยนอนหลับตื่นขึ้นเวลา ๑๕.๐๐ น. รู้สึกสบายใจมีกำลังทางร่างกายดี เก็บงานเล็กๆน้อยๆ เสร็จแล้วก็คิดว่าคืนนี้จะออกเที่ยวสักที นานมาแล้วไม่ได้เที่ยว

    พอถึงเวลา ๑๙.๕๕ น. ก็เตรียมสมาทานพระกรรมฐานกันตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีสมาทานก็ปลงสังขารตามเคย เวลาผ่านไป ๓๐ นาทีคือถึงเวลา ๒๐.๓๐ น. ได้ยินเสียงนาฬิกาให้สัญญาณว่าเหลืออีก ๓๐ นาทีจะหมดเวลาแล้ว จึงออกจากกายพบ สมเด็จองค์ปฐม ท่านมายืนคุม ได้กราบทูลถามว่า “ท่านเทพประสิทธินายกไปไหน” ท่านบอกว่า “ไปพระนิพพาน” ถามท่านว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ระดับไหน” ท่านบอกว่า “เป็นพระอรหันต์ระดับวิชชาสามและทรงมโนมยิทธิ แต่ทิพย์จักขุญาณใสเป็นพิเศษ” เลยลาท่านจะไปตามดูท่านเทพประสิทธินายก ท่านก็บอกว่า “ไปเถอะ ทางนี้ฉันดูเอง” หมายถึงคุมคนที่กำลังเจริญพระกรรมฐานกันอยู่

    เมื่อไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เข้าพบโยมคือท่านปู่พระอินทร์กับท่านย่า เห็นบรรดานางสาวสรรค์เข้าเวรกันมาก จึงถามท่านว่า “มาหาบ่อยๆ โยมรำคาญไหม” ท่านบอกว่า “ไม่รำคาญ มาบ่อยๆ ดี ใจจะได้ไม่ต่ำ เวลาตายจะได้ไม่ไปอบายภูมิเพราะจิตเกาะกุศล” อาตมามองดูแม่สาวๆ วันนี้ไม่สวมชฎาปล่อยผมมาปรกหลัง ได้ถามว่า “ทำไมไม่สวมชฎา” ตอบว่า “อยู่เวรปกติไม่ต้องสวมชฎา เวลาท่านผู้ใหญ่ประชุมเทวดาจึงจะสวมชฎา” คุยกับโยมแล้วก็ลาท่านไปพระจุฬามณี ความจริงก็มีสถานที่ติดกันนั่นเอง ท่านบอกว่า “นิมนต์ตามสบาย จะมาหาท่านเทพฯ ใช่ไหม” ตอบท่านว่า “ใช่” ท่านบอกว่า “ท่านเทพฯกำลังมาที่พระจุฬามณี” อาตมาจึงเดินเข้าพระจุฬามณีทางประตูทิศตะวันตก เมื่อผ่านท่านมเหสักขาที่ยืนเป็นยามเฝ้าประตู ท่านเป็นเทวดาอนาคามี

    ท่านมเหสักขาบอกว่า “หลวงพ่อครับ ท่านเทพฯ ที่หลวงพ่อต้องการพบท่านกำลังจะออกมาแล้ว” ก็เลยเดินสวนเข้าไปพบท่านเทพฯ เดินสวนออกมาพอดี ท่านสว่างมากเหลือเกิน ท่าทางสง่างดงามมาก พอถึงกันท่านก็จับมือบอกว่า “ตามฉันทำไม” ตอบท่านว่า “ไม่ทราบว่าไปทางไหนแต่ก็ลองตามดู” ท่านบอกว่า “ดีแบบนี้ดี ทำไปเป็นปกติเถอะ มีประโยชน์แก่ตัวเองมาก” ถามท่านว่า “ท่านมีทิพย์จักขุญาณแจ่มใสมาก ผมทำไม่ได้อย่างท่าน เมื่อท่านตายแล้วผมก็หนัก ยิ่งแก่มากผมก็ยิ่งหนัก เพราะคนก็จะรวมตัวเข้ามา ขอให้ผมแจ่มใสอย่างท่านบ้างได้ไหม” ท่านบอกว่า “รักษาสมาธิที่ศูนย์ไว้เป็นปกติก็แล้วกัน มันจะคล่องตัวเอง และชำระใจให้สะอาดมันจะสว่างมากเอง” แล้วต่างก็ลากันไปท่านไปที่ของท่าน อาตมาเข้าไปนมัสการพระ พอเข้าไปพระท่านก็บอกว่า “คุณไม่มานานแล้วควรมาเป็นปกติ การปลงสังขารเป็นของดีแต่ญาณเครื่องรู้จะผิด เวลานี้เรามีศิษย์จำเป็นต้องใช้ญาณ ควรหันกลับเข้าใช้ญาณตามเดิม ความรู้จะได้ว่องไวตามเดิม” และท่านก็สอนมาก ต่อจากนั้นท่านก็ให้ไปเฝ้า สมเด็จพระสมณโคดม ที่พระนิพพาน

    พอขึ้นไปก็เห็นท่านใสสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เข้าไปนมัสการท่านที่พระบาท ท่านตรัสเตือนเรื่องใช้ญาณอีก ท่านว่า “เธอปล่อยมากเกินไป การปลงเป็นสมบัติส่วนตัว การทำญาณให้คล่องเป็นเครื่องมือช่วยศิษย์ เธอต้องทำให้คล่องตามเดิม” และท่าน พระมหากัจจายนะ อาจารย์สอนญาณเครื่องรู้ก็เข้ามาหา สมเด็จท่านบอกให้ท่านพระมหากัจจายนะเป็นพี่เลี้ยงเดินนำทางไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป” ความจริงไม่ต้องนำก็แวะอยู่แล้ว อาตมากราบถามท่าน สมเด็จพระสมณโคดม ว่า “ทำไมข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องมีท่านมหากัจจายนะเป็นผู้ควบคุม องค์อื่นคุมไม่ได้หรือ” ท่านตรัสว่า “เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ท่านมหากัจจายนะก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน คนที่ปรารถนาพุทธภูมิจนเข้าถึงบารมีปลายจะเอาพระประเภทสาวกปกติคุมไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำให้เลื่อมใสได้ ต้องเป็นพวกพุทธภูมิด้วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องพระพุทธเจ้าโดยตรงจึงจะทำให้เชื่อและเลื่อมใสได้”

    พบพระนิพพานครั้งแรก

    เมื่อไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านก็เตือนเรื่องใช้ญาณและให้หมั่นขึ้นไปเพราะเวลานี้ขาดเฝ้ามานาน การเฝ้าท่านมีประโยชน์จากการได้รับพระพุทธบัญชา บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้แล้วเอามาแนะนำต่อๆ ไป ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก เมื่อพระองค์ทรงตักเตือนพอสมควรแล้วก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ไปที่อยู่โดยมีพระมหากัจจายนะ พระอาจารย์เป็นผู้ควบคุม เมื่อจะเข้าประตูวิมานอาตมาเห็นยักษ์ ๔ ตนยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูเป็นปกติ ยักษ์พวกนี้เป็นยักษ์อนาคามี เป็นลูกเป็นหลานเก่า พอเห็นเข้าเขาก็ดีใจ พอเข้าประตูไปด้านในมีพรหม ๔ ท่าน เป็นพรหมอนาคามีเหมือนกันเป็นยามด้านใน เมื่อสนทนาปราศรัยกันตามสมควรแล้วก็เดินเข้าสู่สถานที่อยู่ พอไปถึงหอระฆังหน้าที่อาศัยก็จำได้ว่า เมื่อตายครั้งหลังในชาตินี้มาตรงนี้และพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน ท่านได้ตรัสว่า “เธอคิดไหมว่าชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้” ได้กราบทูลว่า “ไม่เคยคิดว่าจะมาได้” ท่านทรงถามว่า “เพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้น” ได้กราบทูลท่านว่า“วิปัสสนาอ่อนมากและสนใจน้อย” ท่านถามว่า “เธอทราบไหมว่านิพพานอยู่ไหน” กราบทูลท่านว่า “ไม่ทราบ” ท่านตรัสว่า “นี่ตรงนี้เขาเรียกอะไร” กราบทูลท่านว่า “ไม่ทราบ” ท่านถามว่า “เทวดาและพรหมทุกชั้นเธอรู้จักหมดไหม” กราบทูลท่านว่า “รู้จักหมด” ท่านถามว่า “ที่ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหม” กราบทูลว่า “ไม่ใช่เทวดาและพรหมทั้งสองอย่างเพราะพรหมมีชั้นที่ ๑๖ เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้ว” ท่านตรัสว่า “ที่ตรงนี้เขาเรียกว่า นิพพาน” จึงกราบทูลท่านว่า “ตามที่เรียนมานั้นครูบาอาจารย์ท่านสอนว่านิพพานไม่มีรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรปรากฏ” ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า “เธอมาถึงนิพพานแล้วยังสงสัย”

    เป็นอันว่าในที่สุดท่านรับรองว่า นิพพานมีสถานที่ มีรูป มีความสุข เป็นสถานที่มีอารมณ์ปกติ ไม่มีอารมณ์ความรัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ขัดข้องใดๆ เลย เป็นอารมณ์ว่างสบายด้วยประการทั้งปวง ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ขั้นสุดท้ายท่านก็นิรมิตไม้ขึ้น ๑๐ ท่อน ท่านบอกว่า “คนที่จะมานิพพานได้จะแบกไม้นี้ไหว ถ้าแบกไม่ไหวก็จะมานิพพานไม่ได้” แล้วท่านก็เรียกพระที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมา ๙ องค์ ปรากฏว่ามี หลวงพ่อปาน เป็นองค์ที่ ๔ ทุกองค์มาถึงก็แบกไม้ขึ้นบ่าไม่มีท่าทางแสดงว่าหนักเลย เหลืออีกท่อนหนึ่ง ท่านตรัสว่า “ท่อนนี้เธอแบก” ตอนนั้นกำลังใจไม่มีเลย ใจมันบอกว่าไม่ไหว แต่เกรงพระบารมีก็จำต้องเข้าไปหยิบไม้ท่อนที่เหลือท่อนเดียวนั้น ตั้งท่ายักแย่ยักยันออกแรงเสียสุดแรงเกิด พอหยิบเข้าจริงไม้ท่อนนั้นไม่มีนํ้าหนักเลย มีนํ้าหนักคล้ายเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ เท่านั้นเอง รู้สึกว่าเบาก็เลยออกเดินตามพระที่แบกก่อนไปพอเดินไปได้หน่อยเดียว ท่านก็เรียกให้เอาไม้มาวางที่เดิมและให้กลับมานั่งที่เก่า ท่านบอกว่า “เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนายังอ่อน กลับไปซ้อมวิปัสสนาให้เข้มข้นเสียก่อน เธอจะมานิพพานได้ในชาตินี้ สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัยอานิสงส์ที่สร้างวิหารทาน (สร้างที่อยู่อาศัยเป็นสาธารณะประโยชน์)

    การป่วยคราวนั้นมีอารมณ์ตัดหมด คิดว่าเราไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีญาติ ร่างกายไม่ใช่ของเรา ห้ามคนที่มาเยี่ยมพูดถึงทรัพย์สินและเรื่องอื่นทั้งหมด พูดได้อย่างเดียวธรรมปฏิบัติ ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าอารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณและเป็นอารมณ์ของพระที่เข้าถึงพระ นิพพาน ทำส่งเดชแต่ด้วยใจจริง เข้าทำนองที่ท่านกล่าวว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง เมื่อหวนคิดถึงความหลังครั้งนั้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่นั่งตรงที่พระพุทธเจ้าท่านนั่ง จึงนั่งลงข้างล่างกราบตรงนั้นสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นเห็นท่านมานั่งที่เดิมอีกและก็ตรัสว่า “วีระ เธอคิดถึงความหลังหรือ” จึงกราบทูลว่า “คิดอย่างนั้นพระเจ้าข้า” พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า “ดีแล้ว ต่อไปนี้จงซ้อมญาณให้คล่องตามเดิมนะ จะได้เป็นที่อาศัยของศิษย์” พระองค์ทรงชี้ให้ดูสถานที่ว่าหลังนี้เป็นที่อยู่ของเธอเป็นแก้วมณีโชติ หลังนี้เป็นที่ประชุม หลังนี้เป็นที่พักการประชุมเป็นแก้วมณีโชติเหมือนกัน คงจะสงสัยว่าทำไมจึงเรียกว่าแก้วมณีโชติ เรียกแก้วมณีเฉยๆ ไม่ได้หรือ มันไม่เหมือนกัน แก้วมณีธรรมดามีสีใสแต่ไม่สว่าง มีแต่รัศมีออกเมื่อต้องแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ ส่วนแก้วมณีโชตินั้นมีแสงสว่างออกมาเองเหมือนโคมดวงใหญ่แต่สวยสดงดงามมาก

    เมื่อท่านทรงตักเตือนหมดเรื่อง อาตมาก็กราบทูลถามว่า “ท่านเทพประสิทธินายกอยู่ที่ไหน” ท่านก็ทรงชี้ให้ดูทางทิศตะวันออกของที่อยู่ว่า “นี่วิมานของเธอ ต่อไปนั่นเป็นสระโบกขรณีของเธอ ถัดสระไปเป็นวิมานของนนทาเทวี ห่างจากวิมานนนทาเทวีไปสามคาวุตก็ถึงวิมานของท่านเทพประสิทธินายก” ขณะนั้นท่านนั่งอยู่บนที่ของท่าน มองตามไปเห็นท่านนั่งสุกปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์ วิมานเป็นแก้วมณีล้วน ทูลถามท่านว่า “สามคาวุตของนิพพาน เทียบระยะความไกลของเมืองมนุษย์ได้เท่าไร” ท่านบอกว่า “ประมาณแสนโยชน์” พอตรัสเท่านี้ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่กุฏิให้สัญญาณบอกเวลา ๒๑.๐๐ น. พระองค์ตรัสว่า “ได้เวลาแล้ว ลูกศิษย์จะทรมานตัวเกินไป เธอกลับได้ อีก ๑๐ ปีเธอมีสิทธิ์มาที่อยู่ของเธอได้ตามความต้องการ แต่จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ก่อนเธอจะมาลูกศิษย์เขาจะทำตนเป็นคนเข้าถึงธรรมได้หลายคน เมื่อกลับไปพรุ่งนี้เธอเขียนเล่าเรื่องนี้ให้อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เขาอ่าน อ๋อยเขาเป็นคนมีศรัทธาจริตและพุทธจริต คือมีศรัทธาแต่เชื่อเหตุผลไม่งมงาย เล่าให้เขาฟัง เขาจะได้เร็วกว่าเดิม” และพระองค์ก็เสด็จกลับ อาตมาก็กลับลงมา..”

    หลวงปู่จันทร์ หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ขนมจีน(เส็ง) หลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปพระนิพพาน

    “..ปีพ.ศ. ๒๕๐๘ อาตมาย้ายจากวัดโพธิ์ภาวนาไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระครูวิชาญชัยคุณ ได้นิมนต์พระหลายวัดไปในวันไหว้ครู พระอรุณ อรุโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงสมัยนั้นก็ไปด้วย ได้พบอาตมาก็ชวนให้มาอยู่ที่วัด ขอให้มาช่วยในการก่อสร้าง ท่านรับรองว่าจะให้ความสะดวกทุกอย่าง อาตมาก็ไม่ได้รับปาก ต่อมาอาตมามาฉันเพลที่บ้านนายจัน ที่ตำบลท่าซุง ก็มานิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๒ อาตมาก็ไม่ได้รับปาก ต่อมาอาตมาย้ายไปอยู่ที่วัดสะพาน ก็ไปนิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๓ ก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ครั้งที่ ๓ นี้ เวลาตี ๒ กำลังนั่งพระกรรมฐานอยู่ ก็เห็นพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอ้วนใหญ่ และก็ไม่สูง เดินตุ๊ต๊ะๆๆ เข้ามาถึงก็บอกว่า “เขาเรียกผมกันว่า หลวงพ่อใหญ่ อยู่วัดท่าซุง วัดนี้ตั้งมานานแล้วก่อนกรุงศรีอยุธยาตั้งประมาณ ๓๐ ปี สมัยก่อนมีการรบราฆ่าฟันกัน วัดก็สลายตัวเป็นวัดร้าง เมื่อปีพ.ศ. ๒๓๓๒ หลวงพ่อใหญ่ท่านธุดงค์มาถึงตอนเช้ามาปักกลดที่นี่ ก็มีชาวบ้านขอให้อยู่ให้เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านจึงเป็นองค์แรกที่ทำนุบำรุงสร้างขึ้นมาใหม่ ชาวบ้านช่วยสร้างกุฏิ ๙ ห้อง ทำด้วยไม้ดีมาก”

    และท่านก็บอกอีกว่า “คุณเคยเป็นน้องของผม คุณเคยทำวัดนี้ให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ๒ สมัยในอดีตคือ สมัยพระเจ้าสามพระยากับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เวลานั้นวัดเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ว่าเป็นไม้เวลานี้มันผุพังหมดแล้ว สมัยนี้ขอให้มาช่วยสร้างใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นครั้งที่ ๓ และเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปคุณจะไม่มีโอกาสเกิดมาได้ทำอีกต่อไปแล้ว” จึงถามว่า “จะให้สร้างแบบไหน เจริญขนาดไหน” ท่านบอกว่า “ขนาดนี้” แล้วท่านก็ทำภาพให้ดู ปรากฏว่าเหมือนภาพวัดที่เห็นในปัจจุบันนี้เอง” ถามท่านว่า “ผมจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างครับ เวลานี้ตัวผมเองก็ยังเอาตัวไม่รอด คนที่มีศรัทธาจริงๆ ก็มีแต่มีปริมาณน้อย และคนที่มีอคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนามีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอาวาสก็มีอคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนา” ท่านบอกว่า“ไปอยู่เถอะ ทีแรกมันก็ยุ่งหน่อย ต่อไปมันจะดีเอง ผมจะช่วยและผมจะนิมนต์พระจะเชิญพรหม จะเชิญเทวดา ใครต่อใครก็ตาม ช่วยกันทั้งหมดทำให้เจริญรุ่งเรืองตามภาพที่ทำให้ดูนี้ให้ได้”

    ก็เป็นอันว่ารับปากท่าน ต่อมาอีก ๒-๓ วัน เจ้าอาวาสก็ไปนิมนต์ เวลาที่มานิมนต์ก็อยู่พร้อมหน้ากันหลายคน มี พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต กับภรรยาคือ คุณสิริรัตน์ โรจนวิภาต รวมอยู่ด้วย หลังจากนั้นจึงมาดูวัด ก่อนที่จะเข้ามาวัดก็อธิษฐานก่อนว่า “ถ้าหากที่นี้ควรจะมาอยู่ ก็ขอมีอะไรสักอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏ” วันนั้นเมื่อฉันเพลเสร็จ หลังเที่ยงแล้วก็ปรากฏมีฝนตกขณะแดดกำลังจัด ไม่มีแต่ฝนเท่านั้นแต่ยังมีลูกเห็บก้อนโตกว่าหัวแม่มือหล่นลงมาเกลื่อนซ้อนกันเต็มบริเวณวัดทั้งหมดเลย พอมาดูสภาพของวัดก็มีกุฏิเจ้าอาวาสที่อยู่ได้เพียงหลังเดียว กุฏิอีกหลังหนึ่งคนเดินมาก็มองเห็นเพราะฝาโปร่ง นกบินมาก็มองเห็นเพราะหลังคาโปร่ง หอสวดมนต์ก็เย้จะพับฐาน ศาลาก็โย้จะล้ม วิหารก็หลังคาผุ โบสถ์ก็จะพัง ไม่มีอะไรดีเลยมีสภาพเหมือนกับวัดร้าง ในฐานะที่หลวงพ่อใหญ่ท่านมาบอก จึงยอมรับว่าจะมาช่วยก่อสร้าง

    หลวงพ่อมาอยู่ที่วัดท่าซุง

    วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ เจ้าอาวาสกับคณะได้เอาเรือยนต์ขนาดใหญ่ไปรับ ช่วยขนของมาอยู่ที่วัดท่าซุง การมาก็มีเณรมา ๒ องค์ มีสุนัข ๑๒ ตัว พอมาถึงวัดตามลีลาที่หลวงพ่อปานท่านไปไหน ต้องเข้าพระอุโบสถก่อน จะไปช่วยสร้างวัดไหนก็ตาม ท่านต้องเข้าพระอุโบสถไปไหว้พระในพระอุโบสถก่อนแล้วจึงขึ้นศาลา ตามระเบียบของท่านอาตมาก็ทำตามนั้น เมื่อเข้าไปไหว้พระแล้วก็อธิษฐานว่า “ถ้าอยู่ที่วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง ก็ขอให้ท่านเจ้าของที่ เทวดาก็ดี พรหมก็ดี หรือพระก็ตาม ที่ท่านคุ้มครองสถานที่อยู่แสดงองค์ให้ปรากฏ” ก็ปรากฏว่ามีพระคือหลวงพ่อใหญ่เป็นหัวหน้าและก็มีพระอีกหลายองค์จำนวนมากมานั่งข้างหน้าเต็มไปหมด พอท่านแสดงให้เห็นและก็ยืนยันว่า “ท่านจะช่วย” แต่มีอีกองค์หนึ่งไม่ยอมเข้าโบสถ์เดินไปเดินมาวนอยู่หน้าโบสถ์ ไม่ยอมเข้าประตูมา ก็นึกแปลกใจจึงถามว่า “ท่านองค์นั้นมีความเห็นอย่างไรครับ เห็นว่าผมควรจะมาอยู่หรือไม่ควรมาอยู่ ถ้าท่านเห็นว่าผมควรจะมาอยู่ก็ขอให้เข้ามาในโบสถ์ ถ้าไม่ควรมาอยู่ก็อย่าเข้ามา และผมจะเดินทางกลับทันที”

    ท่านก็เข้ามาและบอกว่า “คุณควรมาอยู่แต่ว่าการอยู่ต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเงินที่นี่ ทั้งคนทั้งพระเขาต้องการเงิน ที่เขาให้คุณมานี่เขาหวังจะได้เงินจากคุณ แต่คุณเป็นคนตรงไปตรงมา จะไม่น้อมใจไปตามเขา ต่อไปเขาจะประกาศตนเป็นศัตรูกับคุณ เขาจะมีความดีกับคุณอยู่ประมาณครึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่มีดีอีกแล้วเพราะว่าเขาไม่ได้รับผลตามที่เขาต้องการ” ก็เลยถามท่านว่า “แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป” ท่านก็บอกว่า “ในที่สุดเขาก็จะแพ้ไปเอง คำว่าแพ้หมายถึงเขาจะเลิกราไปเอง เราก็จะเป็นอิสระ” ถามว่า “การจะเป็นอิสระ เขาจะแพ้ไปด้วยอำนาจอะไร” ท่านบอกว่า “จะมีพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ วัดไม่โตนักแต่ยศสูง รูปร่างผอม สูงโปร่ง เป็นพระผู้ใหญ่ตรงไปตรงมา เก่งในพระกรรมฐานมาก กำลังใจของพระองค์นี้เป็นพระที่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง จะเข้ามาอุ้มชูคุณให้เป็นไปตามความเป็นจริง” ถามว่า “เป็นเพราะอะไรครับ” ท่านก็บอกว่า “เพราะเขาจะร่วมมือกันฟ้องคุณ” และท่านก็บอกว่า “วัดที่คุณเห็นเวลานี้ ที่มันไม่พอจริงๆ และที่จริงๆ มันจดคลองยาง แต่เขาสร้างโรงเรียน ทางวัดกับทายกเลยยกให้เป็นที่ของโรงเรียนไป

    เป็นอันว่าวัดติดโรงเรียนไม่ใช่วัดติดคลองยาง และประการที่สองโบสถ์ชำรุดถ้าคุณจะสร้าง เขาก็ไม่ยอมให้สร้างเพราะเขารู้ว่าคุณสร้างก่อนจ่ายทีหลัง เขาไม่ได้เงินแน่ ต่อไปคุณก็จะซื้อที่ใหม่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่ความจริงถนนเขาตัดผ่านที่ของวัด ที่ฝั่งโน้นที่เป็นของชาวบ้านเวลานี้เดิมก็เป็นที่ของวัด แต่บรรดาเจ้าอาวาสที่สึกไปแล้วกับเจ้าอาวาสปัจจุบันร่วมมือกันขายแก่ชาวบ้าน ที่วัดจึงเหลือแค่ ๖ ไร่ เนื้อที่ของวัดจริงๆ มี ๓๗๐ ไร่” ถามว่า “ผมควรจะอยู่หรือควรจะไม่อยู่” หลวงพ่อใหญ่ ท่านยืนยันว่าควรจะอยู่แล้วเขาจะแพ้พ่ายไปเอง

    พบหลวงพ่อขนมจีน

    ตอนแรกที่มาอยู่ กุฏิที่เจ้าอาวาสให้อยู่มีแต่พื้นกับหลังคา ฝาก็ไม่มี ต่อมาต้องมาสร้างกระต๊อบอยู่โคนต้นโพธิ์ คืนแรกที่มาอยู่วัดท่าซุง เขามีลิเกฉลองให้ แต่อาตมามีนิสัยดูลิเก ดูละคร ดูหนัง ไม่สนุกมาตั้งแต่อายุ ๒๕ ปี จึงนอนเฉยๆ ก็มีพระองค์หนึ่งก้าวเข้ามาทางหน้าต่าง พูดสำเนียงเป็นเจ๊กชัดๆ จึงถามว่า “ท่านชื่ออะไร” ท่านตอบว่า “ชื่อเส็ง” (ที่อาตมาเรียกว่าหลวงพ่อขนมจีน ในอดีตท่านเคยเป็นน้อง” ถามว่า “ท่านอยู่ที่ไหน” ตอบว่า “ผมเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง รองจากหลวงพ่อใหญ่ เมื่อหลวงพ่อใหญ่ท่านมาอยู่ที่นี่ ท่านมาธุดงค์ปักกลดที่นี่ ชาวบ้านเขานิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาส ผมเป็นคนแจวเรือค้าขายมีความเลื่อมใส จึงมาอยู่กับท่าน ช่วยท่านในฐานะเป็นช่าง ต่อมาก็บวช เมื่อหลวงพ่อใหญ่มรณภาพไปแล้ว ท่านก็เป็นเจ้าอาวาสแทน”

    ท่านบอกอีกว่า “วัดที่ตั้งอยู่เวลานี้ ความจริงตั้งอยู่ในป่าช้าเก่า แม่น้ำสายเดิมจริงๆ เป็นแม่น้ำสายเล็ก ศาลาการเปรียญตั้งอยู่กลางแม่น้ำ เสาหงส์ก็อยู่กลางแม่น้ำในปัจจุบัน ต่อมามีเรือเมล์วิ่งรอกเข้าออก ลูกคลื่นก็ตีตลิ่งพังแม่น้ำจึงกว้างขึ้น เขาจึงต้องย้ายกุฏิมาอยู่ที่นี่ และเมื่อก่อนแม่น้ำสะแกกรังตอนหลังแล้ง น้ำก็แห้ง ก็ต้องกินนํ้าในบึงเล็กๆใกล้ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู เวลานี้คือตึกกลางน้ำสมัยนั้นเป็นบึงเล็กๆ” ถามว่า “ที่วัดนี้เคยมีพระอริยเจ้าบ้างไหม” ท่านตอบว่า “มี” ถามว่า “ตอนก่อนมีใครบ้าง” ท่านบอกว่า “ท่านไม่ทัน แต่ตอนหลังๆ หลวงพ่อใหญ่เป็นพระอริยเจ้าท่านเป็นพระอนาคามี แต่ว่าก่อนจะตายท่านเป็นพระอรหันต์” ถามว่า “หลวงพ่อละเป็นอะไร” ท่านบอกว่า “ข้าก็ไม่รู้ หลวงพ่อใหญ่ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละ”

    ก็เป็นอันว่าท่านยอมรับว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ถามว่า “หลังจากนั้นมีใครบ้างเป็นพระอริยเจ้า” ท่านบอกว่า “นับเรื่อยมาหลายสมัยจนกระทั่งถึงหลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้ สององค์พี่น้องในขณะที่ทรงชีวิตอยู่เป็นผู้ทรงฌาน แต่ก่อนจะตายทั้งสององค์เป็นพระอรหันต์ เพราะทุกขเวทนามันหนัก เห็นโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นโทษของร่างกายจึงเป็นพระอรหันต์ไป หลังจากนั้นต่อมาก็เป็นภิกขุพานิช หมายความว่า ขายกินกัน คือ ขายกุฏิ ขายฝากุฏิ ขายที่วัด รวมความว่าวัดนี้มีคนขโมยของวัดมาก”

    เมื่ออาตมามาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว เจ้าอาวาสไม่ยอมให้สร้างพระอุโบสถที่ทรุดโทรมมากแล้วที่ฝั่งเดิม ในที่สุดก็มาซื้อที่ฝั่งตรงข้าม ๑๒ ไร่ และก็ซื้อเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้มีที่ทั้งหมดจริงๆ ประมาณ ๒๐๐ไร่เศษ คนนั้นซื้อบ้าง คนนี้ซื้อบ้าง การสร้างวัดท่าซุงดังที่เห็นในเวลานี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบว่า อาตมาไม่ได้มีเงินก้อนมาจากไหน แต่มาจากศรัทธาของบรรดาท่านทั้งหลายมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธาที่ร่วมทำบุญกันมา

    หลวงพ่อจันทร์เจ้าของชื่อวัดจันทาราม(ท่าซุง) ท่านอยู่บนพระนิพพาน

    เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลาเย็นเกือบ ๑๘.๐๐ น. อาตมาป่วยมากมีอาการปวดและอืดอาเจียนเป็นเสมหะ ได้มีพระเนื้อเต็มรูปร่างสูงท่านหนึ่งมานั่งด้านขวามือ ท่านเอามือมาลูบที่อกไปมา ๒-๓ ครั้ง แล้วท่านก็พูดว่า “ร่างกายอย่ามีอันตรายนะ” จึงถามพระท่านนี้ว่า “ท่านชื่ออะไร” ท่านตอบว่า “ผมชื่อจันทร์” เจ้าของชื่อวัดจันทาราม (ท่าซุง) นั่นเอง

    หลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ ของวัดนี้ สมัยนั้นวัดนี้เจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงมากจึงให้นามว่า “วัดจันทาราม” สมัยก่อนนั้นชื่อวัดอะไรไม่ทราบเพราะว่าหลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นพระยาและเป็นนักรบเก่ามาก่อน คงจะแก่ถึงบวช เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็สอนวิชาความรู้ต่างๆ สอนกระทั่งวิชาการรบให้แก่ชาวบ้าน และมีผ้ายันต์สีแดง หนังเหนียวมาก ถ้าทหารไปพักที่วัดท่านจะแจกผ้ายันต์สีแดง พอแจกเสร็จก็ให้แทงกันเดี๋ยวนั้นทั้งกองทัพ โดยถอดเสื้อก่อน จะเห็นว่าคนสมัยนั้นไม่ว่าชาวบ้านหรือทหารคลุกคลีตีโมงอยู่กับวัด และวัดก็เต็มไปด้วยธรรมวินัย พระส่วนใหญ่ก็เป็นพระดี เพราะถ้าไม่ดีจริงๆ ก็อดตาย พระสมัยนั้นมีดีอยู่ ๒ อย่างคือ

    ๑) ดีเพราะสมณธรรมดี โดยมากคนเขาชอบฤทธิ์

    ๒) ถ้าสมณธรรมไม่ดี ก็ต้องมีวิชาความรู้พิเศษดี ความรู้พิเศษก็เช่น ทำนํ้ามนต์เก่ง ทำอิทธิฤทธิ์เก่ง ด้วยวิชาการ ต้องเก่งอย่างใดอย่างหนึ่ง

    การเก่งอย่างนั้นก็เกิดจากอารมณ์สมาธิ คืออารมณ์จิตต้องเป็นสมาธิ หลวงพ่อจันทร์ท่านบอกอาตมาว่า “ต่อมาภายหลังท่านได้เป็นพระอริยเจ้า คือเป็นพระอรหันต์”

    พระสงฆ์สององค์สมัยหลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้เป็นพระอรหันต์ก่อนตาย

    วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ตอนสายอาตมานอนภาวนา เห็นพระสงฆ์มายืนห่างๆ ๒ องค์เป็นพระหนุ่มผิวคล้ำทั้งคู่ คิดว่าผีจึงทำเฉยๆ ต่อมาคิดว่าผีพระจะมาทำไม จึงถามท่านว่า“ท่านเป็นใคร” ท่านตอบว่า “ผมไม่ใช่ผี ผมเป็นพระ” ถามท่านว่า “ท่านอยู่ที่ไหน” ท่านตอบว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ก่อนตาย” ถามว่า “ท่านเป็นพระสมัยไหน” ท่านตอบว่า “สมัยหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้” เมื่อพูดถึงหลวงพ่อทั้งสององค์ก็ปรากฏ หลวงพ่อเล่งท่านพูดว่า “คุณอย่าหนักใจคนแถวนี้เลยว่ามันขโมยของวัด เพราะว่ามันขโมยมาเป็นปกติอยู่แล้ว สมัยผมมันก็ขโมยไม่เลือก” ถามพระหนุ่ม ๒ องค์ว่า “สมัยหลวงพ่อทั้งสององค์มีพระอรหันต์ ทำไมวัดไม่เจริญ เพราะพระอรหันต์มีที่วัดไหน วัดนั้นจะเจริญถึงที่สุด เป็นกฎธรรมดา” พระทั้งสององค์ก็ตอบว่า “วัดเจริญครับ มีกุฏิ ๘ หลัง เรียงกับหอสวดมนต์ และมีกุฏิ ๙ หลังอยู่หนึ่งหลัง ศาลา พระอุโบสถ วิหาร สมัยนั้นเจริญ แต่เมื่อสิ้นพระอรหันต์แล้ว พวกเจ้าอาวาส ทายก ชาวบ้านช่วยกันขายหมด..”

    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    “..พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีองค์ไหนมีความประมาทในชีวิต ยกตัวอย่างพระอรหันต์ที่มรณภาพแล้วให้ฟังองค์หนึ่งว่า พระองค์นี้ก็คือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใครไปคุยกับท่าน ท่านก็คุยธรรมะ ถ้าใครไปชมท่าน ท่านก็บอกว่าท่านยังเลวอยู่มาก หลวงปู่ท่านบอกท่านไม่มีอะไรดีเลย แต่เวลาตายแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านไม่ไปนรก สวรรค์ก็ไม่ไป พรหมโลกก็ไม่ไป ท่านไปพระนิพพาน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไปพยากรณ์นะ คือว่าถ้าพระองค์ไหนก็ตามคิดว่าตัวไม่ดี องค์นั้นเป็นพระที่ดีที่สุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลใดมีความรู้สึกตัวเองว่าเป็นพาล ตถาคตกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นบัณฑิต” คำว่า “พาล” แปลว่า “โง่” คือรู้ตัวเองว่าไม่ดี

    ทีนี้หลวงปู่ดู่ท่านคิดว่าตัวท่านเป็นพาล แต่อารมณ์จิตของท่านผ่องใส ท่านเห็นแต่ความไม่ดีของร่างกาย หมายถึงร่างกายทุกส่วนมันไม่ดี..”

    หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มรณภาพแล้วท่านไปพระนิพพาน

    “..ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถาน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พอจะเข้าประตูก็พบพระอรหันต์องค์หนึ่งออกมา ท่านคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ถามท่านว่า “หลวงพ่ออยู่ที่ไหนครับ”ท่านบอกว่า “แกเสือกบอกเขาแล้วว่า ข้าไปอยู่นิพพาน แกมาถามข้าทำไม” ถามต่อว่า “หลวงพ่อไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไปผมโกหกเขานะ”

    ท่านตอบว่า “ไม่โกหกหรอก ข้าไปนิพพานแน่” เรื่องที่เขาพูดหาว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่ตั้งฐานกำหนดลมไว้ ๗ ฐาน เกินพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ ๓ ฐาน เขาเลยหาว่าข้าแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้า แต่ความจริงเจตนาข้ามันเป็นอย่างนี้ ไอ้คนจิตฟุ้งซ่าน ถ้าจะมีอารมณ์จิตเป็นสมาธิจะต้องจับหลายๆ แห่ง เพราะต้องระวังมากอารมณ์ถึงจะทรงอยู่ นี่เขาไม่สนใจกัน มีแกคนเดียวที่เข้าใจดี และกายเทพ กายพรหม กายธรรม กายนิพพานก็เหมือนกัน ก็มีแกคนเดียวที่เข้าใจข้า นอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า เอาเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาสอน”

    กายทิพย์ หมายความว่า ได้อุปจารฌานเล็กน้อย จัดเป็นกายทิพย์

    กายเทพ ก็เข้าถึงจุดอุปจารฌาน จะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้เหมือนกัน ถ้าพูดถึงกายภายในเหมือนกันหมด

    กายพรหม ก็เป็นที่ทรงฌานได้ครบองค์ฌาน พอตายแล้วไปเป็นพรหม ก็เลยเรียกว่ากายพรหม

    กายธรรม ก็หมายถึงว่า ได้อริยเจ้า

    กายนิพพาน ก็หมายถึงว่า คนนั้นได้อรหันต์แล้ว

    ท่านบอกว่า “มีแกคนเดียวที่พอพูดให้ชาวบ้านเขาฟัง มันตรงตามความประสงค์ของข้านอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้าๆ บอๆ บางคนหาว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ข้าก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอก”

    หลังจากนั้นอาตมาก็ลาท่านเข้าไปในพระจุฬามณี วันนี้พระอรหันต์เต็มเอี๊ยด พรหมออกมาหมดแล้ว เทวดาก็ยังไม่กลับ พระอรหันต์เหมือนเอาดาวไปวางไว้สวยสะพรั่ง ร่างกายเป็นเหมือนแก้ว พระอรหันต์นิพพานแล้วบ้าง พระอรหันต์คนบ้าง ก็สวยเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีต่างๆ สวยมาก..”
     
  10. Callme Zupta

    Callme Zupta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +2,292
    หลวงพ่อกล่าวถึงหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่

    “..คำว่า “คำแสนนุสรณ์” คำนี้อาจจะเป็นที่สะเทือนใจสำหรับผู้ที่เคารพนับถือหลวงปู่คำแสน ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้เขียนและท่านทั้งหลายอยู่บ้าง โดยท่านอาจจะคิดว่าเป็นวาจาที่ปรามาสเกินไป โดยเจตนาของผู้เขียนแล้ว กล่าวเพียงให้สั้นเข้าเท่านั้น ไม่มีเจตนาปรามาสแต่ประการใด ถ้าบังเอิญเป็นที่ไม่ถูกใจท่านผู้ใดบ้าง ผู้เขียนขอประทานอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
    หลวงปู่คำแสน เป็นพระที่น่ารักและเคารพมากของผู้เขียน มีความรู้สึกว่าท่านเป็นที่น่ารักและควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความรู้สึกและอาการสัมผัสแล้ว เข้าใจว่า

    ท่านเป็นพระที่สมบูรณ์ด้วยศีลาจารุวัตรครบถ้วน

    อารมณ์ก็แสนจะเยือกเย็น เป็นที่รักแก่ผู้ที่พบเห็น

    จริยาก็เรียบร้อย ไม่โดกเดกรุ่มร่ามเหมือนผู้เขียน

    ส่วนลึกของความสามารถ เรื่องนี้ถ้าจะพูดกันให้จบต้องใช้หนังสือสัก ๕๐๐ หน้า ก็ไม่แน่ว่าจะครบถ้วนตามความสามารถ ขอพูดโดยย่อว่า ท่านมีความสามารถดังนี้

    ๑) เป็นนักธุดงค์ที่มีความสมบูรณ์ในปฏิปทาธุดงค์จริงๆ

    ๒) การตัดอารมณ์ ตัดได้ดีตามที่พระพุทธเจ้าต้องการ

    ๓) ความสามารถพิเศษที่ท่านหวงและห้ามไม่ให้พูดก่อนท่านตาย คือ

    อารมณ์ทรงตัวในด้านตัดอารมณ์ เรื่องนี้ขอพูดย่อแต่เพียงว่า ท่านมีความสบายทุกอย่างในอารมณ์

    ความสามารถพิเศษ วันหนึ่งนั่งคุยกันตามลำพัง ท่านชวนเล่นสนุกกันสองต่อสอง ได้กราบเรียนท่านว่า ท่านเป็นพี่ขอให้ท่านเล่นให้ดูแต่ผู้เดียว ท่านค้านว่าถ้าอย่างนั้นน้องก็จะเอาเปรียบ

    เป็นอันว่าวันนั้นตกลงกันไม่ได้ ต่อมาอีกหลายเดือน เมื่อมีโอกาสพบกันครบคณะคือ หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่ทืม การพบกันคราวนั้นเป็นการพบกันอย่างบังเอิญ ไม่มีใครเจือปนอยู่เลย พบกันแบบนักบวชซุกซน ไปชนกันเข้าโดยที่มิได้ตั้งใจ แต่ละท่านต่างก็ปรารภเหตุและผลในการปฏิบัติรู้สึกดีใจที่ทุกท่านเปิดเผยความจริงอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เรื่องนี้พูดให้ฟังไม่ได้ ต่อมาท่านก็ทำสนุกให้ดู โดยหลวงปู่ชุ่มเริ่มต้นก่อน โดยท่านกล่าวหาว่าหลวงปู่คำแสนว่า มีดีแต่ชอบคุดดี เมื่อโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่งหลวงปู่คำแสนก็สรุปสั้นๆ ว่า เราโตแล้วอย่าเล่นอย่างเด็กเลย ท่านหนึ่งในที่นั้นก็พูดว่า คนที่ไร้ความสามารถเท่านั้นที่เขาจะพูดอย่างนี้ คนที่มีความสามารถไม่มีใครเขาพูดอย่างนี้ เพราะเวลานี้มีด้วยกัน ๔ คน หลวงปู่คำแสนท่านยิ้ม ไม่ยอมพูดอะไรทั้งหมด ท่านหาเรื่องคุยเรื่องอื่น เมื่อคุยกันไปสัก ๒ นาที ปรากฏว่าหลวงปู่คำแสนหายไปจากที่คุย กายหายแต่เสียงยังปรากฏ คุยกันตามปกติแต่มองไม่เห็นตัว ต่อมาปรากฏว่าหลวงปู่ชุ่มก็กายหายแต่เสียงมี สำหรับหลวงปู่ทืมก็กลายเป็นหนุ่มขาวสวยกว่าปกติมาก ผู้เขียนงงเต็มที่

    ในที่สุดเวลาผ่านไปสัก ๕ นาที ก็มีสภาพปกติ ถามท่านว่า หลวงปู่ทั้งสามเล่นกลแบบไหนครับ ท่านก็ตอบว่า เล่นแบบเด็กอมมือ ท่านถามว่า คุณทำไมไม่เล่น ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านตามความจริงว่า เล่นไม่เป็น ไม่เคยฝึกวิชากล แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ หลวงปู่ชุ่มท่านต่อว่า หลวงน้องเอาเปรียบหลวงพี่ คนอย่างนี้บาปหนัก จึงกราบเรียนท่านว่า บาปมันหนักมันก็วิ่งตามผมไม่ทัน ผมสามารถหนีมันพ้น เท่านี้ผมสบายใจแล้ว ท่านทั้งสามก็หัวเราะพร้อมกัน

    เป็นอันว่าหลวงปู่คำแสนท่านมีดีมาก เรื่องที่พูดให้ฟังนี้เป็นเกร็ดความดีที่พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นความดีที่มีสาระน้อย จึงห้ามติดและห้ามเล่นดีประเภทนี้ให้คนอื่นเห็น ท่านทรงห้ามนั้นดีแล้ว ถ้าไม่ห้าม ผู้ที่พบความดีประเภทนี้เพียงเล็กน้อยก็จะลืมตัว ในที่สุดก็จะเป็นเหยื่อความชั่วคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต้องจมอยู่ในวัฏฏะต่อไป มีอีกนิดหนึ่ง ความจริงมีมากแต่เกรงใจคนจัดพิมพ์จะต้องจ่ายเงินมาก ที่เขียนมานี้เห็นว่ามากเกินไปหรือไร้สาระ จะตัดทอนหรือทิ้งไปเลยไม่เอาลงพิมพ์เลยก็ได้ ด้วยคุณบุญรับไปหาขอให้เขียน น้ำกำลังเข้าท่วมวัด ขณะเขียนเป็นวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓ น้ำกำลังขึ้นเต็มที่ระบาดเข้ามาในที่นอน ขณะที่เขียนนี้นั่งแช่น้ำเขียนเป็นเรื่องหรือไม่เป็นเรื่องก็ช่าง เพราะแฉะก็แฉะ หนาวก็หนาว ไม่เขียนมาให้เกรงว่าคุณบุญรับจะเสียกำลังใจ มาว่าเรื่องของหลวงปู่กันต่อไป

    วันหนึ่งนั่งคุยกัน ท่านถามว่า บอกได้ไหมว่าได้อะไรไว้ ผู้เขียนได้กราบเรียนท่านว่า ผมไม่ได้อะไรเลย และก็ไม่อยากได้อะไร ท่านยิ้มแล้วท่านบอกว่า เท่านี้พอแล้ว ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจความหมายของท่าน ท่านคงไม่คิดว่า “ผู้เขียนเป็นพระอรหันต์” เพราะผู้เขียนเป็นเพียงพระกังหัน หมุนไม่หยุด ท่านอาจจะคิดว่าเจ้าเบื๊อกนี่คิดว่าจะดีที่แท้ก็เป็นลิงป่าธรรมดานั่นเอง คุยกันไปสักประเดี๋ยวท่านก็เล่นกลอีก ตอนนี้ไม่ขอบอกว่าเล่นอะไร เป็นการเล่นแบบทบทวนความรู้ ในที่สุดท่านก็ต่อว่า ว่าไม่ได้อะไรทำไมรู้ จึงกราบเรียนท่านว่า ผมอ่านหนังสือมาก ผมรู้ตามหนังสือเขียนไว้

    ท่านยิ้มแล้วพูดว่า ใครๆ เขาก็รู้ตามหนังสือเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ท่านทำท่าเหมือนไม่เชื่อ แต่ความจริงผู้เขียนไม่มีดีอะไรเลย ที่รู้ก็เพราะจากหนังสือจริงๆ สำหรับหลวงปู่ท่านจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน แต่คิดว่าท่านคงไม่คิดว่าผู้เขียนเป็นคนรู้ นอกจากจะเข้าใจถูกว่า เจ้าลิงป่าเอ๋ย จงเจียมตัวเจียมตนกับเขาบ้าง จะได้พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าท่านคิดอย่างนี้ก็ต้องขอบพระคุณท่าน ที่ท่านคิดตรง คิดถูกตามความเป็นจริง

    พูดมากรำคาญคนอ่าน ขอสรุปว่าหลวงปู่ที่รักท่านตายไปแล้ว อีกไม่นานผู้เขียนก็ตาย ท่านตายไปคงดีที่สุด อย่างนี้ก็เพราะไม่รู้ว่าท่านไปไหน แต่ด้วยความรักและเคารพในท่าน ก็เลยคิดเอาเองตามใจคนที่รักกัน คิดว่าท่านคงไปดี สำหรับผู้เขียนนี้ยังไม่แน่ใจเลยว่า เมื่อตายแล้วจะไปอยู่นรกขุมไหนดี

    ด้วยอำนาจพระพุทธบารมีและความดีของหลวงปู่ที่สั่งสมไว้มากและบำเพ็ญมานาน ขอให้หลวงปู่ช่วยดึงผู้เขียนให้พ้นจากนรกเมื่อผู้เขียนตายด้วย และอาศัยความดีที่หลวงปู่ประทานแสดงให้ปรากฏบางประการ และกรุณาแนะนำธรรมที่ควรปฏิบัติไว้หลายประการ ผู้เขียนจะขอน้อมเกล้ารับไว้ปฏิบัติตามจนวันตาย

    คณะกรรมการขอให้ผู้เขียนมาเป็นกรรมการด้วย พิจารณาตัวแล้วเห็นว่าไม่สมควร จึงขอเพียงเป็นผู้อุปถัมภ์ในงานศพ ในงานทำศพถ้าไม่ป่วยจะมาอยู่ตลอดงาน

    ขออนุโมทนาที่ทุกท่านเมตตาเจ้าภาพ ช่วยเป็นภาระและธุระกันคนละอย่างสองอย่างจนงานนี้ลุล่วงไปด้วยดี สมศักดิ์ศรีที่เป็นเชื้อชาติไทยแท้..”

    พระมหาวีระ ถาวโร

    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสุทัศน์ฯ ท่านบอกว่าท่านแก่แล้วไม่รู้จะไปไหน เลยตั้งใจไปนิพพาน

    “..สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จันทสิริ ) วัดสุทัศน์ฯ มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๖ หลังจากมรณภาพแล้วท่านมาหาอาตมา ได้ถามท่านว่า “เวลาตอนจะตายท่านรู้สึกอย่างไร” ท่านบอกว่า “ถามความรู้สึกไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง อาการมันเป็นอย่างนี้ ที่เขาว่าหัวใจข้าล้มเหลวนั้นที่จริงจิตใจข้าไม่ล้มเหลว แต่ก้อนเนื้อหัวใจมันล้มเหลว ไปนั่งดูมัน ดูจังหวะการเต้นของหัวใจมันไม่แน่นอน” ถามต่อว่า “ในช่วงนั้นมันก็หลายวันอยู่ นอกจากหัวใจล้มเหลวแล้วมันมีทุกขเวทนาอะไรอีกบ้าง” ท่านก็บอกว่า “ขันธ์ ๕ โดยทั่วไปมันดีนะ แล้วข้าก็นั่งดูมันไป คือเข้าไปดูข้างใน ต้องแยกจิตเข้าไปดูนะ ข้าก็เหมือนแก นั่งดูแล้วก็ดึงนั่นกระตุกนี่ เพราะหัวใจล้มเหลว ระบบประสาทต่างๆ มันก็ไม่ทรงตัว” ถามว่า “แล้วยังไงต่อไป” ท่านก็บอกว่า “ข้าก็ตัดสินใจได้ ไอ้คำปราศรัยของแกดีโว้ย ปรารภถึงนิพพานเรื่อย” ท่านหมายถึงเทปที่เคยสนทนากับท่านเมื่อหลายปีมาแล้ว ท่านบอกว่า “ข้าแก่แล้วไม่รู้จะไปไหน เลยตั้งใจไปนิพพาน”

    ท่านเป็นสมเด็จฯ แต่จิตท่านไม่เก็บอะไร พยายามวางโลกธรรม คนทั่วไปดูแล้วเห็นว่าบ้าๆบวมๆ จะเห็นว่ามีศักดิ์ศรีไม่สมที่จะเป็นสมเด็จฯ ใช่ไหม อย่างเมื่อคราวไปงานพิธีพุทธาภิเษกที่วัดสามพระยา ปีนั้นเป็นการทำบุญวันเกิด สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตอนนั้นท่านเพิ่งเป็นสมเด็จฯได้ปีเดียว พอตอนฉันเพลเขาจัดสำรับไว้ให้ ๓ สำรับ ของสมเด็จวัดสามพระยาสำรับหนึ่ง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์สำรับหนึ่ง ของอาตมาสำรับหนึ่ง ก็บอก “ผมไม่เอาละหลวงพ่อ เดี๋ยวผมไปฉันข้างนอกดีกว่า” ท่านก็ถาม “ทำไมล่ะ” ก็บอก “กินข้าวกับอาตมากินไม่สะดวก” ท่านก็บอก“เฮ้ย กินสำรับรวมกัน” บอก “ไม่เอาละ เดี๋ยวมองหน้ากันไม่ถูก เอามือไปจิ้มกะปิเข้าก็ยุ่ง” ว่าแล้วก็ลุกมาเลย ท่านก็ตามมาบ้าง ถามท่านว่า “หลวงพ่อไม่ฉันข้าวข้างในหรือ สมเด็จฯท่านจัดสำรับให้” ท่านก็บอก “วันนี้กินข้าวกับฤๅษีดีกว่าว่ะ” พอนั่งปุ๊บท่านก็บอก “มีแต่ก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่มีแห้งนี่หว่า” อาตมาก็กระเซ้าว่า “จะกินข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว” ท่านก็บอก “ก๋วยเตี๋ยวมันก็คือข้าวเหมือนกันว่ะ”

    ท่านวางตัวแบบนี้ ไม่ถือตัวทั้งๆที่เพิ่งเป็นสมเด็จฯ ได้ปีเดียว แสดงว่าท่านไม่ติดโลกธรรม เราต้องมองกันมุมนี้ ถ้ามองในแบบคนถือยศถือศักดิ์ จะกลายเป็นว่าสมเด็จฯ ไม่รักษาศักดิ์ศรี ย้อนมาคุยกับท่าน หลังจากที่ท่านตายแล้ว อดนึกไม่ได้ว่าตอนท่านเป็นหนุ่มๆ ท่านคิดอย่างไร เสียงบอกมาเลยว่า “หนุ่มๆ ข้าไม่ได้นึกโว้ย” ท่านบอกว่า “ยังไงๆ ข้าได้เปรียบต้องไปก่อนละ เพราะข้าแก่กว่าต้องโกยก่อน ได้เปรียบตอนแก่ก็เพราะว่าความวุ่นวายน้อย หากจะไปแต่งงานกับสาวๆ อีสาวจะอาเจียนตายเรื่องนี้เลิกได้ อยากจะรวยก็ไม่รู้จะเอาไปไหน จะโกรธจะไปฆ่าใครก็ไม่แน่ว่าเราจะฆ่าเขาหรือว่าเขาจะฆ่าเรา อย่างดีก็แค่ได้แต่แช่งในใจ”

    ท่านทำภาพให้ดูก่อนตาย ประสาทมันเต้นยึกๆ ยักๆ ท่านดูทุกขเวทนาข้างใน พอออกมาดูข้างนอก “ร่างกายนี่มันโสโครกทุกอย่าง ยิ่งข้างในยิ่งเลอะไม่เป็นเรื่อง ปกติไม่ป่วยก็เดินไม่ค่อยจะไหว ไม่ได้สติสตัง ไอ้ร่างกายนี่มันไม่มีอะไรดีเลย นึกอยู่ว่าได้เวลาก็จะไป” ก็เลยถามท่านว่า “แล้วทำไมไม่ไปเสียล่ะ” ท่านก็บอก “ยังไม่ไป ลอยมันบนดินเล่น” ถามท่านว่า “อยู่ที่ไหน” ท่านบอก “เขาลือกันว่าผมไปเป็นอรูปพรหม” ถามท่านว่า “แล้วเจริญอรูปฌานหรือเปล่า” ท่านบอกว่า “เปล่าโว้ย” มีคนเขาดูกันบอกไปเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นอรูปพรหมบ้าง ถามท่านว่า “แล้วจะไปไหน” ท่านก็บอก “ข้าไม่รู้จะไปไหนก็ไปที่แกอยากจะพูด ใครเขาจะโง่ ก็รู้แล้วว่าอรูปฌานมันเป็นฌานโลกีย์”

    สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓

    “..เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๐ อาตมาป่วยหนัก ไปนอนพักรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก ๑ เป็นห้องพิเศษ เวลาประมาณ ๔ ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและประตูก็ใส่กลอนแล้ว ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ ปรากฏว่ามีคนๆหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เป็นชายลักษณะเป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวเหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเหนือศอกหน่อย

    ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วยอยู่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย ก็นึกว่าในที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงขอพึ่งบารมีท่านให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็น ไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีจะแสดงตัวให้ปรากฏ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ ๑ ก็เลยถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ท่านผู้นั้นก็ถามว่า “เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร” ก็ตอบท่านว่า “นึกถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”

    ท่านก็บอกว่า “ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช” ก็เลยมองไปมองมา ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านถามว่า “มองอะไร” ก็บอกว่า “มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินมหาราช” ท่านถามว่า “เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช” ตอบว่า “ยังไม่เชื่อ ที่มองนี่เพราะยังไม่เชื่อ” ท่านถามว่า “ไม่เชื่อตรงไหน” ก็บอกว่า “ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้” ท่านถามว่า “กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน ๔ ทุ่มกว่าแล้วนะ” ก็บอกว่า “จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฏก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์” ท่านบอกว่า “ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้” พอพูดจบเครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า “เชื่อหรือยัง” ตอบว่า “ตอนนี้เชื่อแล้ว”

    ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ ๔ ทุ่มเศษๆ ถึงตี ๕ ครึ่ง คุยกันเรื่องในอดีต ความเป็นมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งแต่เป็นเด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั่งถึงขั้นวางแผนให้รัชกาลที่ ๑ เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ ๑ ประหารชีวิต เมื่อรัชกาลที่ ๑ ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว ก็นำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชท่านบวชเป็นพระแล้วนั่งคานหามไปส่ง ออกทางปากท่อตอนกลางคืนไปส่งที่ถ้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง เป็นการยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนจะสวรรคตเป็นพระสงฆ์ ไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่านพักก็ยังอยู่กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฏิที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุกกว่านั้น ออกจากถํ้าท่านก็มีที่พัก มีห้องพักแบบสบายๆ ความจริงท่านไม่ได้สั่งแต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง และก็เป็นคนแก่ด้วยก็หมดความรัก ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัดแต่ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า “เคร่งครัด” คือ “ปฏิบัติตรงไปตรงมาในมัชฌิมาปฏิปทา”

    ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า “ขอหวยสัก ๒ ตัวได้ไหม” ท่านบอกว่า “สมัยผมมีแต่หวยจับยี่กี หวยแบบเลขท้าย ๓ ตัว ๒ ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมมีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียงแค่ ๒๕ สตางค์ ผมขอถวายหมด” พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข ๒๕ ใสแจ๋ว พอตอนเช้าบรรดาพยาบาลและนายทหารประจำตึกมาถามว่า “เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ” ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอหวยท่าน ท่านบอกว่าไม่มี มีแต่เงินเหรียญ ๒๕ สตางค์ แล้วท่านก็โยนไปใต้เตียง ปรากฏว่าภายในวันนั้นข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่นเลขท้าย ๒ ตัว ถูกกันมาก

    ต่อมาวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะ พอตอนดึกเวลาประมาณสัก ๖ ทุ่ม เวลาจะนอนก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า “มาทำไม” ท่านบอกว่า “ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำให้มันหน่อย” ถามว่า “ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง” ท่านก็บอกว่า “ประโยชน์มี”

    หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า “เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง” ท่านบอกว่า “ยังไม่ได้ลา” จึงถามว่า “ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ” ท่านบอกว่า “เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด” ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหม” ท่านบอกว่า “ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน”

    เมื่อไปถึงกราบท่านแล้วก็ถามว่า “เวลานี้เทวดาสินเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร หลังจากพระศรีอารย์ไปแล้ว” พระท่านก็บอกว่า “จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังพระศรีอารย์นิพพานแล้ว” ก็เล่นเอาเทวดาสินต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระท่านว่า “ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน” ท่านบอกว่า “เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ” ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า “เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นวิสุทธิเทพ

    นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า “ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร” ก็บอกว่า “ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร”คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอกแต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ...”

    พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า “หญิงขอลาไปนิพพาน”

    “..เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนทางภาคใต้กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมานอนพักที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่าเมื่อคืนที่แล้วก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษ ที่คลองปางมีเรื่องตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิง วันนี้ก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษอีก ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอะไรอีก พอตื่นขึ้นมาแล้วก็นอนไม่หลับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำสมณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาประมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า “วิภาวดี เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก” คำว่า “เสร็จกิจ” ก็หมายถึง “กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล้วที่จะต้องทำ” เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์ พูดกันตามทัศนะถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อเสียงหมดไปภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับเพราะไม่อยากจะหลับ ก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป ปรากฏว่าเวลา ๔ นาฬิกามีภาพประหลาดเกิดขึ้น เป็นภาพดวงไฟเล็กดวงนิดเดียวมีความร้ายแรงมากร้อนจัด และมีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟแต่ไม่ไหม้ แล้วภาพไฟก็หายไป เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเกิดกับเราแล้ว และก็เป็นเหตุร้ายที่เราแก้ไขไม่ได้เพราะภาพไฟที่ปรากฏร้ายแรงมาก พยายามดับเท่าไรก็ไม่ดับ ความร้ายแรงของไฟไม่สลายตัวและก็ไม่ย่อหย่อนลงไป

    ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น อุพเพงคาปีติ สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปัสสนาญาณ เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถภาวนาด้านสมาธิจิตซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปัสสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต

    จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ตรัสเป็นปกติว่า “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ความหมายของท่านก็คือ “พระนิพพาน” ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ “ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข” ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก

    การเจริญพระกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา “ต้องการพระนิพพาน” ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า “ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน” แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ

    รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมนต์ที่พักของท่านหญิงวิภาวดี ก่อนขึ้นฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคียนซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่ไปเมื่อวันวาน และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไปกับฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำรวจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้องลงเช่นเดียวกัน ขอให้ฮ. ไปรับโดยเฉพาะแล้วนำตำรวจบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับมารับพวกเราประมาณเที่ยง หลังจากฉันเพลที่กองร้อย ๓ ตชด.แล้ว พวกเราจะไปเคียนซากับพระแสง ไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า “วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อวานนี้เราสู้เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้งของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอาวุธ เราก็กล้าลง แต่วันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นวันเปิดเราสู้เขาไม่ได้”

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า คนเราที่บอกว่าเก่ง หนังเหนียว เนื้อเหนียว กระดูกเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้าก็ตาม ทั้งๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตายได้ถ้าเป็นวันเปิด เป็นอันว่าถ้าวันเปิดประสบกับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็ทราบว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ดี ที่เคียนซาหรือที่พระแสงก็ดี อาตมาเองก็จะถูกยิงที่ขาต่ำกว่าเข่า ไม่ถูกกระดูกแต่ถูกเนื้อตรงน่อง แต่ก็ตั้งใจว่าเมื่อพูดว่าจะไปแล้วก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ซีซี ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกาย เพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่มีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเลือดเพราะรู้แล้วว่าถ้าไปก็เสียเลือดตัวเอง จะคุ้มครองไม่ได้

    สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมาก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัดว่าอย่างไรก็ตาม “วันนี้ท่านหญิงวิภาวดี จะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ” ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า “ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน” การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไร

    ฉะนั้น “การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ” อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อน ถ้าพระองค์ตรัสว่า “เอหิภิกขุ” แปลว่า “เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเธอจะบวช ขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้วตถาคตจะบวชให้” แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้าทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทุกที จะนิพพานโดยลักษณะนั้น สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตาย ท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์จะต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำให้ตาย เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่มีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง เมื่ออาตมาทราบอย่างนี้ก็เลยเตือนท่านว่า “ท่านหญิง วันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไงๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร้อย ๓” ท่านก็ตกลง

    เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหมด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่าท่านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดูถาม พระครูบาธรรมชัย ที่ไปด้วยกันว่า “หลวงปู่ ท่านหญิงไม่ลงรึ” เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า “ท่านหญิงเขียนจดหมายใส่ย่ามมาให้” ขณะกำลังอ่านอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้งว่า “หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง” พอเขาบอกเท่านั้นก็บอกเขาไปว่า“เราเสียท่าเขาแล้ว”

    ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์มารับอาตมาไปที่เครื่องบินลงที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินถูกยิง ๙๘ รู แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิงวิภาวดี เมื่อรู้ว่า ฮ.ถูกยิงทุกคนก็เข้าล้อมท่านหญิงหมด แต่จุดที่คนล้อมกระสุนไม่เข้าแต่ไปเข้าจุดว่าง เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิงนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระ “ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่าน” เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ จึงถามว่า “ท่านหญิงปวดไหม” ท่านก็ตรัสว่า “ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ”

    แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า “โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน” แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า “หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า “นิพพาน นิพพาน นิพพาน” นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า “โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านสิ้นลมปราณ

    การที่นำเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า อาตมาทราบได้อย่างไรว่าท่านหญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้อย่างไรนี้ตอบไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัยการเปล่งวาจาของท่านเป็นเหตุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกับคนนอนหลับแบบสบายๆ แต่พอไปถามเข้าว่า “เจ็บไหม” ท่านก็บอกว่า “เจ็บมากและก็มีหายใจขัดๆ” เวลาพูดเสียงก็ปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่งวาจาว่า “ขอไปนิพพาน” โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่า “สว่างแล้ว สว่างแล้ว” เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเหมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่นเริง หน้าตาสดชื่น พระสุรเสียงดังชัดมากแสดงอาการดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันจึงรู้ว่า เวลาท่านดีใจท่านมีเสียงแบบไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด เมื่อท่านบอกว่า ท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปพระนิพพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน

    และก็มีคนถามว่า “ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน” อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า “มันเรื่องอะไร” ก็ทราบว่า “กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง” ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

    เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้..”

    โยมน้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรกของหลวงพ่อ

    “..ตอนที่อาตมามาอยู่ที่วัดท่าซุงใหม่ๆ นั้น มีลูกศิษย์รุ่นแรกอยู่ ๓ คนคือ โยมน้อย โยมพวง และโยมทองดี เป็นทายกทายี่กาประจำวัด เอากล้วย อ้อย ผักบ้าง ปลาบ้าง ส่งมาถวายเป็นประจำ ถ้าย้อนอดีตของ ๓ ท่านนี้ ขอดู จุตูปปาตญาณ ในสมัยพระยากาญจนบุรี (ท่านขุนแผน) เวลายกทัพต้องไปพักที่วัดจันทาราม (ท่าซุง) และทั้ง ๓ ท่านนี้ สมัยนั้นก็เป็นหัวหน้าเกณฑ์ชาวบ้านให้เอาอาหารมี ปลา เนื้อ ผัก มาให้กองทัพ สมัยนั้นชื่อวัดจันทารามมีชื่อเสียงมาก เพราะหลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นพระยาและเป็นนักรบเก่ามาก่อน มาบวชอยู่ที่วัดนี้ได้ฝึกวิชาทหารให้แก่ชาวบ้านและมีผ้ายันต์แดง หนังเหนียวมาก ถ้าทหารที่ไปพักที่วัดท่านจะแจกผ้ายันต์สีแดง พอแจกเสร็จก็ให้แทงกันเดี๋ยวนั้นทั้งกองทัพ โดยถอดเสื้อก่อน พอมาชาติปัจจุบันนี้ ทั้ง ๓ ท่านมาเกิดก่อนอาตมา เวลาที่อาตมามาอยู่วัดท่าซุง ทั้ง ๓ ท่านก็มาเจริญพระกรรมฐานและเอาอาหารมีผัก ปลา มาถวายเป็นประจำ

    โยมน้อย แก้วแดง มีความเข้มแข็งในทาน ศีล เจริญภาวนาครบทุกอย่าง และเจริญพระกรรมฐานเก่งมาก เวลานั้นก็เจริญพระกรรมฐานกันอยู่ ๓ คน เป็นประจำแน่นอน บางวันก็มีคนอื่นมาร่วมด้วยบ้าง ต่อมาโยมน้อยเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะ ก่อนที่อาตมาจะเข้ากรุงเทพฯ หนึ่งวันได้ไปเยี่ยมท่านที่บ้าน เห็นท่านนอนเฉยไม่แสดงอาการอะไรทั้งหมด ไม่เคยครางไม่เคยบ่น ถามว่า“โยมปวดไหม” ท่านตอบว่า “ปวดมากเจ้าค่ะ” ถามว่า “เวลานี้โยมนึกถึงอะไร” ก็ตอบว่า “นึกถึงพระนิพพานอย่างเดียวเจ้าค่ะ” ถามว่า “โยมเห็นพระไหม” ตอบว่า “เห็นเจ้าค่ะ” ถามว่า“เห็นรูปร่างเป็นอย่างไร” ตอบว่า “รูปร่างใสเป็นแก้ว” ถามว่า “พระองค์นั้นเป็นใคร โยมทราบไหม” ตอบว่า “ทราบ” ถามว่า “ใครล่ะ” ตอบว่า “พระพุทธเจ้า เจ้าค่ะ” บอกว่า “พรุ่งนี้อาตมาต้องไปกรุงเทพฯ เพราะว่าจะต้องไปสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลมบ้านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์” ท่านก็พยักหน้า อาตมาทราบแล้วว่าอีก ๒ วัน โยมน้อยจะตาย ที่ไม่ครางเลยเพราะจิตเป็นฌานจับพระนิพพานเป็นปกติ จึงบอกว่า “อย่าลืมพระนิพพานนะ” ท่านตอบว่า “ไม่ลืมเจ้าค่ะ เห็นเสมอเป็นปกติ ที่นิ่งไม่ครางเพราะจิตจับที่พระนิพพาน อารมณ์เป็นสุข”

    เวลา ๒ ทุ่ม อาตมาสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลมที่กรุงเทพฯ พอเริ่มอาตมาเห็นขบวนๆ หนึ่ง มีรถแก้วแพรวพราวเป็นระยับ มีขบวนนางฟ้า เทวดา และพรหมล้อมรอบ ลอยผ่านหน้า และได้ยินเสียงเรียก “หลวงพ่อเจ้าคะๆ ขอลาไปพระนิพพาน” พอกลับวัดโยมพวงมาเล่าให้ฟังว่า โยมน้อยตายตอนยามต้น ตอนนั้นโยมพวงกำลังนั่งเจริญพระกรรมฐานอยู่ เห็นภาพขบวนรถแห่โยมน้อยในอากาศลอยมาใกล้ผ่านหน้าเห็นชัดมาก มีเสียงตะโกนลงมาว่า “พวงเอ๊ย พวง นิพพานนะน้องนะ” จำได้แต่เสียงแต่ตัวจำไม่ได้เพราะสวยมาก โยมพวงบอกอาตมาว่า “ขี่เกวียนสวยเหลือเกิน แต่เกวียนไม่มีม้าเทียมไม่มีโคเทียม เป็นงอนข้างหน้ามีเทวดาลาก”

    และคืนเดียวกันนั้นเองมีเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ในตลาดอุทัย ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยไม่เคยรู้จักกันเลย คืนนั้นเธอนอนฝันเห็นขบวนรถแห่โยมน้อยในอากาศชัดมากเหมือนที่โยมพวงเห็น เด็กคนนี้ไม่เคยมาที่วัดเลยบอกว่า “โยมน้อยนั่งเกวียนไปสวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ มีเทวดา นางฟ้า มีพรหมล้อมรอบ” และได้บอกว่าจำได้แต่เสียงเพราะท่านสวยเหลือเกิน มีชฎาใส่ ทั้งตัวแพรวพราวไปหมด คนในขบวนที่มาก็มีสภาพเดียวกัน สวยพรรณนาไม่ไหว

    เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ อาตมาไปพบโยมน้อย แก้วแดง กับคุณตานา ท่านแต่งตัวสวย ทั้งสองท่านมีความสุขไปนานแล้ว ท่านโยมน้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรกที่อาตมาสอนพระกรรมฐาน ส่วนคุณตานา นั้นก่อนตายบูชาพระเจริญพระกรรมฐานเป็นปกติ เมื่อป่วยมากได้นิมนต์พระมาสวดพระปริตร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าต่อนาม เมื่อพระเริ่มสวดกราบพระเสร็จ กำลังฟังพระสวดก็ตายเวลานั้น..”

    ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปอยู่บนแดนพระนิพพาน

    “..ท่านโยมพัวที่เราจะไปเผาพรุ่งนี้ เราเผาแต่ซากเท่านั้น ตัวจ่าพัวเราเผาไม่ได้ เพราะร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายของจ่าพัวไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ความจริงโยมพัวท่านไม่เคยเจริญฌานสมาบัติ ท่านจดหมายมาเสมอว่า วิตกเหลือเกินเกรงว่าตายแล้วจะตกนรก ไอ้คนกลัวตกนรกมันตกไม่ได้ เพราะจดหมายทุกฉบับปรารภเรื่องนี้เป็นสำคัญ อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าท่านทำอะไรไว้บ้าง เมื่อกี้ท่านมานั่งคุยให้ฟังว่า สมัยที่เป็นตำรวจเอาหนักเหมือนกัน เพราะเป็นมือปราบคนหนึ่ง และมีอีกข้อหนึ่งคือว่าภาษาของโบราณ รถไฟ เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ นอกจากปราบแล้วยังเจ้าชู้อีกด้วย ท่าทางตอนหนุ่มๆ ท่านคงเป็นคนรูปหล่อและกรุ้มกริ่ม เรื่องเจ้าชู้นี่ท่านคุยให้ฟัง เมื่อผมมีชีวิตอยู่อยากจะคุยให้อาตมาฟังมันก็ไม่ถนัด ผมวิตกเรื่องนี้มันหนัก และสมัยปราบปรามครั้งใหญ่ โจรดังบ้าง บางทีก็จับมาได้ ๔-๕ คนยิงตายเลย ปราบจริงๆ และแถมเจ้าชู้จริงๆ เสียด้วย เป็นกรรมหนักที่ท่านหนักใจ แต่ว่าก็อาศัยจิตของท่านน้อมในกุศลนับตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นมาที่มาพบอาตมา อย่าง “หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน” โยมพัวให้เงินค่าพิมพ์เป็นคนแรก และเคยเขียนจดหมายมาบอกว่า “ท่านเป็นคนตาเหล่ ไม่เหล่ก็ตาบอด เพราะเวลานี้ไม่เห็นที่อยู่ของท่านเวลาตายไปแล้ว” อาตมาก็เป็นแต่เพียงแนะนำบอกว่า “ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความมั่นใจ” ท่านก็มีความมั่นใจพร้อมๆ กับความสะเทือนใจเพราะเกรงว่าไอ้บาปตัวนี้มันจะเข้ามายุ่ง

    ตอนบั้นปลายชีวิตของท่านทำทุกอย่างเพื่อหนีบาปตัวนี้ ตอนนี้ตัวจาคะก็เกิดตัดใหญ่ ถวายเงินมาที่วัดนี้แสนกว่า ที่วัดอื่นอีก ลูกท่านก็ดีไม่มีใครขัดคอ พ่อจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ เข้าใจว่าท่านคงจัดทรัพย์สินต่างๆ ให้ลูกหมดแล้ว ตามส่วนสิทธิที่เขาจะพึงได้ ท่านก็ทำทุกอย่างในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจตัดกายได้ มาในขั้นสุดท้ายท่านป่วยหนัก อาตมาไปเยี่ยมโยมพัว ไปครั้งแรกไปนั่งอยู่ตอนบวงสรวง พระท่านมาเตือนว่า “จะมากักเขาไว้ดาวดึงส์ได้อย่างไร ในเมื่ออารมณ์เขาจะเข้าถึงได้” ก็เลยบอกให้ท่านภาวนาว่า “นิพพานัง” จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ พอไปเยี่ยมครั้งที่สอง ท่านบอกขึ้นไปได้แล้ว ตอนนี้ตู้โต๊ะในบ้านไม่เอาไว้แล้วส่งเข้าวัดหมด

    จาคะตัวเดียวเป็นตัวสำคัญ ในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจตัดกายได้ มาถึงขั้นสุดท้ายตอนป่วยหนักและตายไป เมื่อตายแล้วท่านมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ตอนป่วยมากใกล้จะตายก็ไม่นึกว่าตัวเองจะไปไหนได้หรอก ก็นั่งฟังเทปนอนฟังเทป ฟังไปฟังมา อารมณ์ใจค่อยละเอียดไปทีละน้อยๆ เพราะความมั่นใจยังไม่มี จนกระทั่งเวลาใกล้จะสิ้นชีพ อารมณ์ใจรวบรวมหนักเพราะทุกขเวทนามันบีบหนัก จนกระทั่งมีอารมณ์จิตเป็นสุข พอจิตเป็นสุขก็เห็นพระ พระองค์แรกที่โยมพัวเห็นคืออาตมา

    ต่อมาพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมา แนะนำบอกว่า “องค์นี้เป็นพระพุทธเจ้า” เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรัศมีกายผ่องใส สวยสดงดงามมาก จิตที่เกาะอะไรทั้งหมดก็ตัดหมดทันที ท่านโยมพัวก็เข้าไปกอดพระบาทพระองค์แน่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ไปพระนิพพานกับพ่อไหมลูก” ท่านตอบว่า “ไปครับ แต่ผมกลัวไปไม่ได้” พระองค์ทรงชี้ให้ดูร่างกายของโยมพัวในเมืองมนุษย์และตรัสว่า “เป็นทุกข์ไหม” ท่านตอบว่า “ทุกข์ครับ” ตรัสต่อไปว่า “ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่อีกเหรอ” ท่านตอบว่า “ไม่รักครับ” พระองค์จึงตรัสว่า “งั้นก็ไปพระนิพพานกับพ่อ” เพียงเท่านี้เอง ท่านก็ทิ้งร่างกายเนื้อตามพระพุทธเจ้าไปอยู่บนแดนพระนิพพานทันที เพราะจิตท่านเกาะเฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียว จึงไม่เกาะร่างกาย

    ท่านบอกอาตมาว่า เมื่อเห็นร่างกายหยุดทำงานแล้ว ก็มองดูร่างกายเห็นว่าน่าเกลียดขนาดนี้หรือนี่ อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุด คิดไม่ถึงว่าในชีวิตความสุขใหญ่ขนาดนี้จะมีกับผม คิดแต่เพียงว่าถ้าอยู่ดาวดึงส์ก็บุญตัวแล้ว ท่านขอบคุณอาตมาที่ช่วยท่าน

    เป็นอันว่า เราได้บุคคลตัวอย่างคือ ท่านโยมพัว ชระเอม ก่อนตายท่านมีอารมณ์โปร่ง ท่านเกาะพระ จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด อาตมา “นึกว่าจะไปบังสุกุลท่าน” แต่ท่านโยมพัวบอกว่า เล่นแต่ซากไปเถอะ ตัวผมนี่ไม่ได้แล้ว...”

    หลวงพ่อเขียนไว้อาลัยในงานพระราชทานเพลิงศพคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยาเรื่องอ๋อย

    “..เรื่องนี้ ที่ให้ชื่อว่าเรื่องอ๋อยก็เพราะว่าคุณอ๋อย หรือว่า เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ไม่มีใครเรียกว่าเฉิดศรี ทุกๆ คนเรียกว่าอ๋อย เด็กก็อ๋อย ผู้ใหญ่ก็อ๋อย เพื่อนกันก็อ๋อย แถมอาตมาเองก็อ๋อยเหมือนกัน ไม่เคยเรียกคุณอ๋อยว่าคุณเฉิดศรี คราวหนึ่งย่องไปเขียนจดหมาย จ่าหน้าซอง จะใช้คำว่าเฉิดศรี กลับเผลอเอาตัว บ ใส่ลงไปให้ กลายเป็นเฉิบศรีไป เป็นเหตุให้เด็กๆ ล้อเลียนกันว่า คุณเฉิบศรี

    ความจริงการที่จะเขียนเรื่องของคุณอ๋อย ให้นามว่า “อ๋อย” นี้ท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารผู้เป็นสามีได้ปรารภกับอาตมาวันที่ไปเผาคุณอ๋อยว่า หนังสืออนุสรณ์ในงานศพคุณอ๋อยยังไม่ได้จัดพิมพ์ เพราะยังไม่ได้เขียน อยากจะเขียนสำหรับแจกจ่ายโดยให้บัตรไว้ก่อน บอกว่าหลังจากวันเผาไปแล้ว ๓ เดือนจะมีหนังสือแจกให้ผู้มีบัตรมีสิทธิ์มารับหนังสือได้ อยากจะให้อาตมาเขียนสักเรื่องหนึ่ง อาตมาก็ไม่มีเวลาอยู่ หลังจากกลับมาจากงานคุณอ๋อยแล้ว ก็เดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปแจกของกับคนจนที่อยู่ในแดนทุรกันดาร แต่ว่าการแจกแบบป่าวประกาศ ท่านทั้งหลายจะถือเอาแก่นกันจริงๆน่ะไม่ได้ มันก็มีทั้งเปลือกบ้าง แก่นบ้าง กระพี้บ้าง ไปตามเรื่องตามราว ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะทราบว่าเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ส่งข่าวไปกระชั้นเกินไป อาตมาเองก็เป็นคนใหม่ สำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่เคยไปเลยในชีวิต มันก็เป็นเรื่องที่แปลกที่สุด ทุกจังหวัดไปได้ แต่ว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่เคยไปก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ถ้าอ๋อยยังมีชีวิตอยู่จังหวัดนี้อ๋อยก็มีโอกาสจะไปด้วย แต่ว่าในชีวิตของเธอ เธอจะได้เคยไปบ้างหรือเปล่า อาตมาไม่ทราบ เพราะพ่อของเธอเคยเป็นนายอำเภอ แล้วต่อมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด อาจจะเคยมีโอกาสไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาก่อนก็ได้

    เวลากลับมาวันที่ ๑ ถึงวัดก็ลุกไม่ขึ้น จังหวัดแม่ฮ่องสอนนี่มันสอนให้อาตมารู้จักจริงๆ สิ่งที่น่ารู้จักนั่นก็คือความหนาว มันหนาวเย็นจับใจจริงๆ คนที่เคยนอนอยู่ในห้อง ในตู้น้ำแข็งบ่อยๆ ถ้าไปที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในฤดูหนาว ไม่ต้องเอาตู้น้ำแข็งไปด้วย ระวังมันจะเย็นจนเราแข็งก็แล้วกัน ความเย็นของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตออบหลวง หรือจังหวัดอะไรก็ไม่ทราบ ออบหลวงนี่บ้านของท่าน พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ ท่านเป็นผู้นำในการไปแจกของ เพราะอาตมาไม่เคยรู้จักจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่ท่านเคยเป็นผู้แทน ท่านก็รับอุปการะดี ให้บ้านพัก เป็นผู้นำทาง ให้คำแนะนำทุกอย่างในเรื่องของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และได้ความอุปการะจาก พ.อ.(พิเศษ) ชวาล จัดการในระหว่างการเดินทาง และเลี้ยงอาหารในขณะที่ไปจังหวัดเชียงใหม่ ไปพักที่จังหวัดเชียงใหม่คืนแรกเมื่อวันที่ ๒๗ ตอนเย็น ภรรยาของท่านพ.อ.ชวาล เอาอาหารมาเลี้ยงคนทั้งหมด ที่มีจำนวนหลายสิบคน แล้วตอนเช้าก็เลี้ยงอีก เพราะคนไปทั้งหมดจริงๆ แยกกันเป็น ๒ ขบวน จำนวนทั้งหมด ๑๓๖ คน ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะถามว่ายกขบวนกันไปทำไม ก็ขอตอบว่า ต้องการจะให้คนทั้งหลายทราบว่าของที่ทำบุญมากับอาตมาเพื่อแจกจ่ายคนจนนั้น อาตมาไม่ได้เอาไปขายเพื่อซื้อกางเกง เป็นแต่เพียงเอาไปแจกเท่านั้นให้เขาเห็น คนจำนวนมากที่ไปนี้ ไม่ได้เปลืองเงินอาตมาเลย ไม่หนักทั้งแรง ไม่หนักทั้งเงิน เพราะแต่ละคนเขาช่วยการเดินทางกันทั้งหมด

    การเดินทางคราวนี้อาตมาต้องจ่ายเองไปสามหมื่นสามพันบาทเศษ ต้องเช่ารถบัส ๒ คัน สองหมื่นแปดพันบาท นอกนั้นก็ค่าอาหารการบริโภคและอื่นๆ จุกๆ จิกๆ รวมทั้งหมดแล้วสามหมื่นสามพันบาทเศษ แต่ท่านทั้งหลายช่วยกันมาจริงๆ สามหมื่นสองพันบาทเศษนิดหนึ่ง อาตมาคงจ่ายไปจริงๆ ประมาณพันบาท จะถึงหรือไม่ถึงก็ไม่ทราบ แล้วทุกคนก็ดีแสนดี

    เห็นทุกคนเขาดีมีการคล่องตัวก็นึกถึงอ๋อย มีคนบางคนเขาให้สมญาคณะที่ไปนี้ว่าคณะกองทัพลิง ทำงานว่องไวคล้ายลิงทำจริงๆ บอกว่าเวลานี้จะเคลื่อนที่ละนะ ของมีเท่าไรขนให้หมด แหม.. ของนี่มากจริงๆ อาตมานั่งมองแล้ว คิดว่าครึ่งชั่วโมงนี่แกจะขนหมดหรือไม่หมด แต่ทั้งผู้หญิงผู้ชายสาวแก่แม่ม่ายไม่รู้ วิ่งขนกันพึ่บพั่บๆ ไม่ถึง ๑๐ นาทีเรียบร้อย อาตมาเห็นก็ตกใจ แต่ว่าคนทั้งหลายที่จะรวดเร็วได้อย่างนี้ก็คิดถึงอ๋อย เพราะอ๋อยเป็นกำลังใหญ่ในการก่อสร้างศรัทธากับบรรดาประชาชน เนื้อแท้นั้นคนเราเกิดมาจะให้เป็นที่นิยมของคนทุกคนมันก็แสนยาก ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าต่างคนต่างก็มีความพอใจไปคนละอย่าง บางคนชอบขู่ บางคนก็ชอบปลอบ คนไหนชอบปลอบ ถ้าไปขู่เข้าก็ลาน คนที่ชอบขู่พูดจานุ่มนวลเกินไปก็ชักจะขึ้นหน้าขึ้นตา ใช่ไม่ได้

    ฉะนั้น คุณอ๋อยจึงไม่ชนะใจคนทุกคนได้ จะหาคนชมอย่างเดียวโดยไม่มีใครติก็ถือว่าไม่ได้เกิด แต่เกิดมาแล้วไม่มีใครชมเลยก็ถือว่าไม่ได้เกิดเหมือนกัน เพราะว่าคำติและคำชมเป็นธรรมดาของโลก ฉะนั้น คุณอ๋อย เมื่อสมัยมีชีวิตอยู่จึงมีทั้งคนติและคนชม เมื่อคุณอ๋อยตายไปแล้ว ท่านเจ้าภาพ คือ พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารผู้สามีและบรรดาลูกหลานและญาติทั้งหมดและเพื่อนที่จัดงานคราวนี้ก็ต้องมีทั้งคนชมและคนติ อาตมาเข้าไปในงานศพก็มีทั้งชมและติเหมือนกัน

    ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็มีท่านชายสองคนมานั่งอยู่ข้างหน้า ความจริงคนเขาไปเขามาก็ทักกันอยู่ไม่ขาดสาย ก็ต้องหันไปทักคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง คนละคำครึ่งคำ บางคนก็ไม่ได้ทักเลย แล้วก็มีคน ๒ คนไปนั่งหน้าๆ ไม่ทราบว่านั่งทำไม ถามว่ามีธุระอะไรเธอก็ยิ้ม อาตมาก็ไม่มีเวลาทักเธออีก เพราะว่าคนไปก็นั่งไหว้ คนมาก็นั่งไหว้ ทักคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ปรากฏว่าเธอลุกออกมาแล้ว มีคนมาแจ้งข่าวว่าเธอแสดงความไม่พอใจมาก ก็ต้องขอขอบคุณท่านที่ท่านไม่พอใจ ทำไมจึงขอบคุณ ก็เพราะว่าวันนั้น ถ้ามีคนไหว้จริงๆ มีแต่คนยิ้มแย้มแจ่มใส โลกธรรมที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสก็ผิด มันต้องมีคนติบ้างถึงจะถูก แต่คนติอาจจะไม่เพียงคนสองคน อาจจะหลายคนก็ได้ นั่นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นอันว่าการเกิดมาในโลก ท่านทั้งหลาย เราไม่พ้นจากการติและการชม ทำยังไงเราจึงจะพ้นความจริง เรื่องพ้นจากการติและการชมเป็นของไม่ยาก ให้ใช้คาถาภาวนาไว้บทหนึ่งว่า “ช่างมัน” ช่างมันๆ ว่าไว้เรื่อยๆ ใครมาชมก็ยิ้ม ใครมาติก็ยิ้ม ยิ้มดะ เขาพูดด้วยก็ยิ้ม เขาไม่พูดด้วยก็ยิ้ม เอ๊ะ ตอนนี้ท่าจะไม่ดี ตอนไม่พูดด้วยแล้วยิ้มนี่ ดีไม่ดีพวกจะจับส่งโรงพยาบาลบ้า ก็ถ้าเรายิ้มทางปากไม่ดี เราก็ยิ้มในใจว่า เออ นี่รู้จักกันดีๆ วันนี้เจอะหน้ากันเขาไม่ยักพูดกับเรา เราก็ยิ้ม ยิ้มเพราะอะไรยิ้มเพราะว่าวันนี้สบาย ไม่ต้องเหนื่อยด้วยการพูด ถ้าเขามาพูดจาปราศรัยด้วยเราก็ยิ้ม ใจบอกว่า เออ วันนี้ดี ได้พูดถ้าใครเขานินทาว่าร้ายว่าเราไม่ดียังงั้นไม่ดียังงี้ เราก็ยิ้ม ยิ้มเพราะว่าโลกธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี่เป็นความจริง เป็นสัจจธรรม

    ท่านบอกว่า นินทาปสังสา เป็นโลกธรรม ธรรมดาของชาวโลก ถ้าใครเขาสรรเสริญเราก็ยิ้ม ยิ้มทำไม ยิ้มเพราะว่าคนสรรเสริญนี่ ถ้าสรรเสริญด้วยเจตนาดีก็ดีไป แต่ดีไม่ดีอาจจะสรรเสริญเอาเราไปใช้เป็นทาสเสียก็ได้ เราก็ยิ้มอีก ถ้าเราถูกเขาใช้ด้วยความไม่จำเป็น คือสิ่งที่เขาใช้ไม่มีความจำเป็นสำหรับเราเลย แต่ว่าเป็นความจำเป็นสำหรับเขา ประโยชน์อะไรที่เราจะได้รับจากการใช้ของเขานั้นไม่มี เราก็ยิ้ม ทำไมจึงยิ้ม ยิ้มเพราะว่าเรามีโอกาสช่วยเขา เขามีโอกาสได้ใช้เรา เรามีโอกาสได้ทำงานให้แก่เขา เป็นสาธารณประโยชน์ ถ้าอยู่ดีๆ ใครเขาโกงสตางค์ไป เราก็ยิ้ม ทำไมจึงยิ้ม การที่ยิ้มก็เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า อทินนาทานาเวรมณี ว่าในโลกนี้มันมีขโมยมาก ถ้าเราไม่ถูกลัก ถูกโกง ถูกขโมยเลยพระพุทธเจ้าก็พูดผิด

    เป็นอันว่าการที่ประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสามิสรนี่ถูกแล้ว ที่สมเด็จพระประทีปแก้วท่านบอกว่าโลกนี่มันมีขโมย โลกมันมีคนคดโกง ถ้าเราไม่ถูกโกงเสียบ้าง เราไม่แน่ใจว่าขโมยมันจะมีหรือไม่มี เป็นแต่เพียงข่าวลือว่าเขาปล้นกันที่นั่นขโมยกันที่นี่ เราไม่ถูกเลยมันก็ไม่แน่ใจ แล้วก็ไม่มีความรู้สึกว่าคนที่ถูกโกง ถูกขโมยเขามีความรู้สึกเป็นยังไง เป็นการศึกษาไปในตัวเสร็จ เมื่อได้รับการศึกษาแล้วเราก็ยิ้ม ว่าโลกนี้มีขโมยหนอ ถ้าเราถูกโกหกมดเท็จให้จับได้ เราก็ยิ้ม ยิ้มเพราะคำโกหกมดเท็จนั้นไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเราและสำหรับเขา ถ้าเราไม่เชื่อเสียอย่างเดียว โกหกจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราเชื่อมันก็เป็นผลร้ายสำหรับเรา เราไปเชื่อเขาทำไม ไปโทษเขาทำไม มันไม่ถูก เราไม่เชื่อเขาเสียมันก็หมดเรื่อง

    เป็นอันว่า เรื่องของธรรมดาของโลก ถ้าเราจะเห็นว่าโกหกเป็นของดี การลักการขโมยเป็นของดี การนินทาว่าร้ายเป็นของดีนี่เป็นปัจจัยให้เรายิ้มได้ก็เพราะเรามีความรู้สึกอยู่ว่าของอย่างนี้มันเป็นธรรมดาของโลก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นธรรมดา ใจเราก็ยอมรับนับถือว่า มันเป็นธรรมดาจริงๆ โลกทั้งโลกไปที่ไหนก็ไปเถอะ ที่จะเว้นจากการเบียดเบียนทางกายซึ่งกันและกันนั้นไม่มี ที่จะเว้นจากการเบียดเบียนกันในทรัพย์สินนั้นไม่มี จะเว้นจากการละเมิดความรักกันนั้นไม่มี จะเว้นจากการเบียดเบียนกันด้วยวาจานั้นไม่มี คนทั้งโลกที่ไม่เมาไม่มี บางคนก็เมาเหล้า บางคนก็เมารัก บางคนก็เมายศ บางคนก็เมาความร่ำรวย บางคนก็เมาจน เมารวยนี่ดี เมารักก็ดี เมาเหล้าก็ดี แต่เมาจนนี่แย่หน่อย ถ้าคนจนจริงๆเขาไม่เมา เขารู้จักว่าจนนี่มันเป็นทุกข์ แต่ว่าคนรวยแล้วนึกว่าจนนี่ยุ่ง เขาเรียกว่าเมาจน มีเงินสักร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แสนล้านก็ไม่พอ นี่เขาเรียกว่าเมาจน ไม่ได้เมารวย มีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามีเงินสักเท่าไรก็ไม่พอ มันยังจนอยู่เสมอ อันนี้เป็นปัจจัยให้มีความทุกข์

    ทีนี้ถ้าเราคิดว่าจะไม่เมาเลย ทำยังไงมันก็เป็นของไม่ยาก จะยกตัวอย่างให้ดูสัก ๒ คน นั่นก็คืออ๋อยและพระองค์หญิงวิภาวดี ๒ คน นี่ลืมเมาโลก เป็นยังไง? ความจริงตอนก่อนทั้งสองท่านนี้อาจจะเมาทั้งโลก จะเมาโลกมากกว่าเมาธรรม แต่ว่าตอนท้ายปลายมือของทั้งสองนี่มีคติคล้ายคลึงกัน คือขี้เกียจเมาโลก แต่ไปหวานธรรมธรรมะนี่เขาไม่เรียกเมา เขาเรียกหวาน หวานตรงไหน สำหรับ พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต เจริญพระกรรมฐานมาประมาณ ๘ เดือน แต่ท่านจะเริ่มทำมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ ดูจริยาที่ท่านทรงมีความเมตตาปรานี สงเคราะห์คนที่อยู่ในถิ่นกันดาร เงินส่วนกลางไม่มีก็สละทรัพย์ส่วนพระองค์ไปแจกจ่ายช่วยโรงเรียน ช่วยการประกอบอาชีพ ช่วยอะไรทุกอย่าง อาตมาเคยร่วมทางกับท่าน ท่านลืมเมาชีวิต ลืมเมาศักดิ์ศรี เวลาไปกับท่าน คำว่าหม่อมเจ้าไม่มีสำหรับท่าน ท่านนั่งตีเข่ากับชาวบ้านได้ทุกคน เป็นกันเองทุกอย่าง เวลาจะบริโภคอะไรต้องดูก่อนว่าอะไรที่ท่านมี คนอื่นมีไหม ถ้าไม่มีท่านแจกทันที ของอะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าดีจะไม่ทรงครองแต่ผู้เดียว องค์ท่านเองไม่มีไม่เป็นไร ขอให้คนอื่นมีก็แล้วกัน คนยากจนเข็ญใจจะแต่งตัวปุปะมาประการใดก็ตาม ไม่ทรงมีความรู้สึกรังเกียจ เข้าคลุกคลีจับมือไม้ได้ทันที แล้วพระอารมณ์ของพระองค์หญิงตอนท้ายก็ทรงเปล่งพระวาจาอยู่เสมอ ว่าชีวิตไม่มีความหมาย ทรัพย์สินในวังวิทยุไม่มีความหมาย เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน ท่านตรัสเรื่องพระนิพพานเป็นปกติจนมีอารมณ์ชิน ในเวลาท่านสิ้นชีพิตักษัย ในเวลานั้นก็ทรงเปล่งคำว่า นิพพานๆ ๆ แล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วลมหายใจก็หมดไป เป็นอันว่าพระองค์หญิงวิภาวดีเป็นคนหวานธรรมไม่เมาโลก

    เรา..คือ..จิต

    สำหรับ คุณอ๋อย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเมาโลกละก็บ้าไปนานแล้ว ก่อนจะตายนี่บ้าไปหลายปี เพราะอะไร เพราะว่าวาจาที่เข้ามากระทบโสตประสาทนี้ก็ดี จดหมายก็ดี แม้อาตมาเองก็ได้รับจดหมายในนามของคุณอ๋อย สวดไม่ใช่อย่างพระสวด สวดอย่างชาวบ้านสวด สวดกันอย่างหนัก อาตมาอ่านจดหมายแล้วก็ยิ้ม อ๋อยได้รับอ่านจดหมายอ๋อยก็ยิ้มเหมือนกัน ไม่ทราบว่าไปเรียนมาจากไหน ยิ้มทำไม? เธอถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา รู้จักคนว่าคนที่เขาด่าเรามันถูกเราหรือเปล่ามันไม่ถูก ด่าเรานี่เขาด่าเนื้อด่าหนัง ไอ้ “เรา” น่ะคือใจ เหมือนกับคนสวมเกราะลงไปแล้ว คนเอาไม้มาตีมันไม่ถูกตัว มันถูกเกราะ คำด่าก็เหมือนกัน “เรา” คือจิต เขาด่าเราไม่ถูกจิต ถูกแต่ที่กาย ความจริงเขาด่ากายเขาไม่ได้ด่าใจ เขาไม่ได้มองเห็นเนื้อแท้ของใจ นี่ถ้าคนเราเกิดมาไม่ถูกด่าเสียเลย เราก็เอาดีไม่ได้ ไม่มีการระมัดระวังตัว การด่ามันดีหรือไม่ดีเราไม่รู้ ถ้าเราไม่ถูกด่า เราก็อยากด่าชาวบ้าน คิดว่ามันโก้มันเก๋ดี ถ้าถูกด่าเข้าสักทีแล้วยั้งใจไม่อยู่มันก็จะเกิดโทสะ โทสะมันเกิดขึ้นมามันก็กลุ้ม ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ แต่เราถูกด่าแล้วยิ้มได้นี่มันเป็นประโยชน์ ฉะนั้น คนที่ถูกด่าบ่อยๆ อารมณ์จิตจะชิน ชินกับการถูกด่า หรือถ้าถูกตีบ่อยๆ หนังมันก็ด้าน

    เมื่อศึกษาธรรมะจิตใจก็รู้เท่าทันสภาวการณ์ เราก็ยิ้มให้กับคนด่าได้ ถ้าเขาด่ามาเมื่อไร เราว่าโอ้ เอาแล้วซิ มาเจอะลูกน้องอดีตหลวงวิเชียรเข้าแล้ว หลวงวิเชียร สมัยนั้นท่านอยู่ปากคลองสาน โรงพยาบาลคนบ้า ถ้าเราไปสำนักคนบ้า เราจะได้ยินเสียงด่ากันทุกวัน ไอ้การด่ากัน การว่ากัน การทะเลาะกันนี่มันเป็นปกติของคนบ้า ถ้าใครเขามาด่าเรา เขามาว่าเรา เราก็ยิ้มได้ บอกว่าโอหนอ แล้วเราจะไปลงโทษคนบ้าที่มาด่าเราด้วยเรื่องอะไร เราก็ยิ้มได้ว่า โอ..คนนี้บ้ามากกว่าเรานะ เราก็ว่าบ้ามากอยู่แล้ว นี่เขาบ้ามากกว่าเรา เราบ้าลดน้อยกว่าเขา ยิ้มได้อีก ถ้าหากว่ามันลดไปได้เมื่อไรเราก็ยิ้ม ลดไปนิดหนึ่งก็ยิ้ม ลดไปอีกหน่อยเราก็ยิ้ม ยิ้มเพราะลดตัวเองจากความบ้าลงได้

    แล้วก็ในขั้นสุดท้าย อ๋อยทำยังไง โรคอย่างนี้ท่าน พระครูหลวงน้ามหาอำพัน บอกว่า ท่านประสบของจริงมา ๒ ท่าน ท่านที่ ๑ คือท่านเจ้าคุณ นร. คนที่ ๒ ก็คือคุณอ๋อย อ๋อยก็ดี ท่านเจ้าคุณ นร.ก็ดี ท่านบอกว่าโรคนี้มันปวด สองท่านนี้ไม่เคยบ่นไม่เคยครางเรื่องนี้เป็นความจริง มีวันหนึ่งอาตมาไปพักอยู่ที่บ้านอ๋อย ทุกวันอยากจะเยี่ยมอ๋อย แต่พอไปถึงญาติโยมทั้งหลายมาหาจนหาเวลาว่างไม่ได้ ปลีกตัวไปเยี่ยมไม่ได้ หมดเวลาตอนเย็นขึ้นไปพักหน่อยหนึ่ง ถึงเวลาทุ่มครึ่งก็ลงไป บางทีไม่ทันหายเหนื่อย ใจยังริกๆ เพราะความเหนื่อย แต่ญาติโยมพุทธบริษัทมีมาจำนวนมากก็ลง เวลาที่จะเยี่ยมอ๋อยได้ก็ตอนเช้า พอเช้าจริงๆ มีแขกมาตัดตอน วันนั้นก็ไม่ได้เยี่ยมอ๋อยทั้งวัน มีวันหนึ่ง หนุ่ยมาบอกว่าแม่วันนี้ท่าทางไม่ค่อยดีกระสับกระส่ายมาก เมื่อคืนนอนไม่หลับ อิดโรยมาก อาตมาจึงถือโอกาสว่า วันนี้ใครจะมาก็ช่าง ต้องขึ้นไปเยี่ยมอ๋อยให้ได้ อยู่แค่นี้ไปเยี่ยมอ๋อยไม่ได้

    พอขึ้นไปแล้วดูท่าทางเธออิดโรยจริงๆ พอเห็นหน้า เธอก็ยิ้ม ยิ้มแล้วทำท่าจะลุก อาการเพลียดูจะหายไป ทั้งนี้เพราะอาศัยธรรมปีติเป็นสำคัญ คำว่า ธรรมปีติ นี่ก็หมายถึงความปลื้มใจ ความเต็มใจ ความอิ่มใจ ทำให้ทุกขเวทนามันหาย ทำท่าจะลุกก็เลยบอกว่าอ๋อยไม่ต้องลุก คุยกันตรงนี้ดีกว่า เธอก็คุย การคุยเธอก็ปรารภเรื่องพระนิพพานเป็นสำคัญ นิพพานอยู่ที่ไหนไม่จำเป็น ไม่ต้องสนใจ สนใจอย่างเดียวว่าเราจะไปนิพพานก็แล้วกัน ไปได้ไม่ได้เราก็ตั้งใจไปนิพพาน ถ้าตั้งใจไปนิพพานจริงๆ ก็ตั้งใจไปนิพพานไว้ ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ให้อภัยแก่คนทำผิด เราทำดี เขาด่ายิ้ม เราทำชั่ว เขาด่าเราก็ยิ้ม ทำดีเขาด่าเราก็ยิ้มน่ะ ยิ้มทำไม ยิ้มก็เพราะว่าคนนั้นเขาตาบอด เราทำดีเขาหาว่าชั่ว แสดงว่าเขาชั่วมากกว่าเรา

    อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพราหมณ์ พราหมณ์โมโหโทโสพระพุทธเจ้าในฐานะที่คนรับใช้ของเขาไปมีความเคารพในพระพุทธเจ้ามากกว่าเขา เพราะเขาเป็นคณาจารย์ จึงไปด่าองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ที่ประทับในพระวิหารไปยืนด่าอย่างคนพาลด่า พระพุทธเจ้าก็นั่งยิ้ม พอด่าไปเหนื่อยแล้วก็เลิก ชี้หน้าพระพุทธเจ้า บอกว่า “พระสมณโคดม ท่านแพ้ฉันแล้ว ฉันด่าท่าน ท่านไม่ด่าตอบนี่ท่านแพ้” พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ เห็นไหม ถูกด่าแล้วก็ยังยิ้ม เขาถามว่า “หัวเราะทำไม” ทรงตอบว่า “ทำไมจะไม่ยิ้มล่ะ เธอด่าฉันหาว่าฉันแพ้นี่ ความจริงฉันไม่ได้แพ้เธอนะ เธอนั่นแหละเป็นผู้แพ้” เขาถามว่า “ทำไม” ทรงตอบว่า “คนที่ด่าเราแล้วนั่นนะ ถ้าเราไปด่าตอบก็แสดงว่าเราน่ะเลวกว่าคนที่เขามาด่า การที่เรายับยั้งอดใจได้ เราตัดเสียได้ไม่โกรธในคำด่า ตัดความโกรธได้เด็ดขาด ถือว่าเป็นผู้ชนะ แล้วก็เป็นผู้ชนะชนิดไม่กลับแพ้”

    พราหมณ์นั้นฟังก็ตกใจ คิดว่าด่าจะได้ผล กลับไม่ได้ผล กลับหมอบราบคาบแก้วองค์สมเด็จพระทศพลว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ตรัสถูกแล้ว มีเหตุมีผลดี คนด่านี่เป็นคนชั่ว ถ้าเขาโกรธเรามา แล้วเราโกรธตอบก็แสดงว่าเราก็เลวมากกว่าเขา

    อ๋อยที่ยิ้มไปจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยแนะนำแต่เธอก็ยิ้มได้ทั้งๆ ที่เขาด่าเขาว่าเขานินทา อดทนยิ้มได้ทั้งๆ ทุกขเวทนามีมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีวิตบั้นปลายของเธอ เธอก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ฟังเทปเรื่องพระนิพพานเป็นปกติ

    เป็นอันว่าอ๋อย เวลานี้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่ตายก็คือขันธ์ ๕ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่า เตสังวู ปสโม สุโข แปลว่า การเข้าไปสงบกาย นั้นชื่อว่ามีความสุข อ๋อยปล่อยกายไว้แล้ว กายเขาจะทำยังไงอ๋อยไม่เคยบ่น จิตใจของอ๋อยคงจะมีความสุข เพราะเธอปรารภธรรมอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะตายก็ฟังเสียงธรรมทุกวันจากเทปบันทึกเสียง คนที่สดับธรรมอยู่อย่างนี้ ดูตัวอย่างท่านงูเหลือมก็ดี ท่านค้างคาวก็ดี เป็นสัตว์เดรัจฉาน ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา จากเทวดามาเป็นคน ฟังเทศน์ครั้งเดียวเป็นอรหันต์ได้ฉันใด สำหรับอ๋อยเป็นคนมีความพอใจอยู่ในธรรมะ มีความรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความเมตตาปรานี รู้จักเกื้อกูลแก่บุคคลทั้งหลายไม่เลือกหน้า ถ้าอ๋อยนี่ต้องตายไปตกนรกอาตมาจะดีใจมาก ดีใจตรงไหน ดีใจเพราะอาตมาเองก็ต้องลงนรกตามอ๋อยเหมือนกัน ถ้าคนรับคำสอนจากอาตมาไป เขาทำใจขนาดนั้นเขาลงนรก ตัวครูตายไปแล้วมันก็ต้องลงนรกตามลูกศิษย์ แล้วอาจจะตกลึกกว่าเพราะว่ามีความรู้มากกว่า

    เอาละ ท่านทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของธรรมดา เราจะไปยุ่งอะไรกับชีวิต คนทุกคนเกิดเท่าไร ตายเท่านั้น มีคนเขาถามว่า อ๋อยจะตายรู้ล่วงหน้าหรือเปล่า ก็บอกว่าทราบ รู้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าอ๋อยต้องตาย ถ้าจะถามว่า ทราบจากฌานอะไร ก็ต้องตอบว่าทราบจากฌานธรรมดา คือที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “คนมีความเกิดเป็นเบื้องต้น มีความแก่ในท่ามกลาง มีความตายในที่สุด มนุษย์และสัตว์เป็นอย่างนี้ เกิดเท่าไรตายทั้งหมด” จะต้องใช้ฌานอะไร.

    หมายเหตุ คืนวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๑ เป็นคืนวันที่คุณอ๋อยตายและเป็นวันที่ตั้งศพสวดพระอภิธรรมคืนแรกที่บ้านซอยสายลมนั้น อาตมามาถึงตอนเกือบ ๒ ทุ่ม พอมาถึงใครๆ ก็เข้าไปรุมถาม อาตมาให้คำตอบว่า พระท่านสั่งมาว่าถ้าใครถาม เรื่องนี้ให้ตอบว่า “กายใสเป็นแก้ว จิตเป็นประกายพรึก”

    หลวงพ่อเขียนไว้อาลัยในงานพระราชทานเพลิงศพคุณจันทนา วีระผล จันทนานุสรณ์

    “..เมื่อคืนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๐.๓๕ นาที กำลังฉันยารักษาโรคเพราะกลับจากสอนกรรมฐานที่ซอยสายลมใหม่ๆ ทุกคราวที่กลับจากซอยสายลม ต้องปรับปรุงร่างกายไม่น้อยกว่าหนึ่งอาทิตย์ ร่างจึงจะทรงตัวได้ ขณะฉันยา ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์พรนุชพูดกับมาลินีบุตรสาวเจ๊จันทนา ได้ยินว่าอยากให้อาตมาเขียนคำไว้อาลัย หนังสือจะพิมพ์อยู่แล้ว ฟังแล้วก็เห็นใจ ตั้งใจเขียนเท่าที่ควรจะเขียน เพราะเขียนแล้วต้องส่งข่าวกันทางโทรศัพท์ เขียนมากก็ไม่ได้ เป็นอันว่าเขียนกันตามที่คิดว่าควรเขียน

    เจ๊จันทนา วีระผล ที่เขียนว่าเจ๊ ก็เพราะปกติเรียกอย่างนั้น เจ๊จันทนาเป็นคนมีศรัทธาสูงมาก หลายปีมาแล้ว เมื่อรู้จักกันใหม่ๆ จำไม่ได้ว่าใครแนะนำให้รู้จัก เจ๊ทำบุญเป็นปกติเดือนละหลายพันบาท บางเดือนหลายหมื่นบาท ต่อมาไม่นานนัก อาตมาจะสร้างมณฑปเป็นเจดีย์ห้ายอด ประดับกระจกทั้งหลัง ที่บรรดานักบุญทั้งหลายเรียกว่า พระจุฬามุณี เจ๊จันทนาถามว่าค่ากระจกเท่าไร อาตมาก็ตอบไป ได้บอกว่าทำบุญตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน เจ๊ตัดสินใจทำบุญนิดๆ หน่อยๆ เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ ขอทำบุญนิดๆ หน่อยๆ หนึ่งแสนบาท อาตมาฟังแล้วตะลึง เพราะไม่เคยรับเงินแสนจากใครมาก่อนเลย ต่อมาเจ๊ก็ทำบุญทุกเดือน มาทราบภายหลังว่า ทำบุญประจำเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ส่วนที่ทำพิเศษเป็นแสนนั้นมีสลับหลายครั้ง

    มาตอนหลังใกล้มรณภาพนี้ ทำบุญสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร และพระพุทธชินราชหลายแสนบาท ต่อมาก็ดำริสร้างโคมไฟในวิหาร รวมสร้างทั้งโคมใหญ่และโคมเล็ก ๒๓ โคม และช่วยให้ซื้อโคมไฟได้ถูกลงมาก โคมใหญ่ราคาปกติที่ร้านค้าขายราคาโคมละ ๓ แสนบาท แต่เจ๊ขอร้องทางร้านค้าให้เอาเพียงโคมละหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท โดยขนาดย่อมราคาปกติโคมละหนึ่งแสนบาท เจ๊ขอร้องไห้ลดลงมาเหลือโคมละห้าหมื่นบาท ต่อมาเมื่อใกล้มรณะ ขอลดโคมขนาดย่อมได้อีก ๒,๐๐๐ บาท เหลือโคมละ ๔๘,๐๐๐ บาท ทำให้วิหารมีโคมไฟฟ้ามากขึ้น เพราะราคาถูกลง

    นอกจากจะมีเจตนาเป็นมหากุศลแล้ว ทุกครั้งที่พบกัน จะต้องปรารภเรื่องไปนิพพานเป็นปกติ เวลานี้เธอมรณะไปแล้ว จะไปนิพพานได้หรือไม่ เป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ของใจไม่มีกำลังใจที่จะพยากรณ์ได้

    ปติปูชิกา

    ในพระธรรมบทมีเรื่องๆ หนึ่งที่น่าสนใจ คือท่านปติปูชิกา ก่อนตายท่านปรารภอยากไปอยู่ในสำนักของสามี ทำบุญคราวไรเป็นอธิษฐานขอให้ไปเกิดในสำนักสามี เมื่อตายแล้วพระพุทธเจ้ายืนยันว่า เธอไปเกิดในสำนักของสามีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ทว่าเจ๊จันทนาปรารถนานิพพาน สูงมากกว่าท่านปติปูชิกา ความประสงค์ของท่านจะสมหวังหรือไม่เป็นเรื่องของกำลังใจ

    ในที่สุดนี้ อาตมาขออวยพรให้คณะผู้จัดงานศพ และท่านที่มาในงานศพทุกท่านจงมี ความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด

    พระสุธรรมยานเถระ

    เจ๊จันทนาตาย

    เมื่อคืนวานนี้มีคนโทรศัพท์มาว่า “แม่เขาตาย” คนที่ตายคือ คุณจันทนา วีระผล เมียเฒ่าแก่ สุวรรณ วีระผล คือว่าถ้ามาทุกครั้ง แกต้องมาทำบุญตอนเช้ามาถวายสตางค์ มาถวายอาหารเป็นประจำ ทีนี้ลูกสาวเขาโทรศัพท์ไปบอกว่าแม่เขาตาย แต่เขาไม่ได้บอกว่าแม่เขาตาย บอกแม่เขาเสีย ฉันก็นึก เอ คนดีๆ มันจะเสียยังไงหว่า ถามว่าอาการเป็นยังไงมาก่อน เขาบอกว่าไม่มีอาการมาก่อน ก็พอดีตอนพูดอยู่นั่นตัวแกก็ปรากฏ เขาบอก “ฉันไม่ได้ตาย ฉันไปเอง” ถามว่า “อาการโรคที่จะต้องตายมันเป็นโรคอะไร” แกบอกว่า “ต้องเป็นโรคไม่ตรงกับหมอพิสูจน์” หมออาจพิสูจน์ตามตำรา ตามวิชาความรู้ ถ้าไปไหนไม่รอดก็บอกหัวใจวาย คนที่หัวใจไม่วายไม่ตายหรอก ก็เลยถามว่า “ไม่ตายเอง หมายความว่าอย่างไร” แกบอกว่าอย่างนี้ คืนแรกก่อนจะตายแกไปเยี่ยมศพน้องชาย น้องชายตาย เมื่อเห็นศพก็มีความรู้สึกว่า น้องของเราเกิดทีหลังเราเขายังตาย แล้วเราล่ะ ชีวิตของเราก็ต้องตายเหมือนกัน ตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่แน่ ความตายจะมาเมื่อไรก็ได้ มันไม่เลือกนะ แกก็มานั่งนึกถึงตัวแก แกเจ็บตา แกคิดถึงร่างกายแก ร่างกายก็ไม่ดี ไม่ปกติ ถ้ามันจะตายก็เรื่องของความตายมาถึง

    ทีนี้ต่อมาขณะเดินจงกรม เดิมไปเดินมา เดินมาเดินไป ลูกสาวบอกขณะเดินจงกรม เด็กเข้าไปมองแกไม่เห็น คือว่าจิตกำลังตั้งอยู่ในอารมณ์ฌาน คือจิตไม่สนใจอะไร จิตไม่ต้องการจะมองใครเวลานั้น จิตตั้งจุดเดียวคือหวังพระนิพพาน คนนี้เจอะหน้าทีไรบอกต้องการนิพพาน เคยไปถามฉันที่วัด แกชี้มือไปข้างบนบอก “ฉันจะขึ้นไปข้างบนได้ไหม” ไอ้กุฏิฉันมัน ๒ ชั้น ถาม “เจ๊จะขึ้นไปทำไมชั้นบน” บอก “ไม่ช่าย จะขึ้นไปบงโน้ง” บนโน้นคือนิพพาน

    หลังจากตอนเช้าเดินจงกรมแล้ว ตอนสายก็เอนตัวลงนอนพักผ่อน พอพักผ่อนไปจิตมันเป็นสุขมาก มีปีติมาก อะไรต่ออะไรมันเกิดให้เห็นเยอะเต็มจักรวาลไปหมด สวยสดงดงามบอกไม่ถูก เทวดาบ้าง พรหมบ้าง นางฟ้าบ้าง พระอริยะบ้าง เห็นไปหมดทุกชั้น แกบอกอย่างนั้นนี่คนจะตายบุญมาก สังเกตจะเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ คนที่จะตายถ้ามีบุญเข้าสนองจะเป็นแบบนี้ทุกคน เวลานั้นแกบอกว่ามีปีติมาก ก็มีท่านผู้มีเกียรติ ๒ ท่าน คือ ๒ ลุง ท่านพระยายมราชกับท่านนายบัญชี ท่านมา ท่านถามว่า “เอ็งจะอยู่ต่อไปหรือว่าจะตายวันนี้หรือจะไปวันนี้” ท่านก็เปิดบัญชีบอกว่า “ถ้าเอ็งจะอยู่ต่อไปยับยั้งใจไว้แค่นี้นะ อีกนิดหนึ่งไว้ต่อปีที่ ๑๒ เอ็งจะอยู่ต่อไปได้ ๑๒ ปี หากว่าเอ็งจะไปวันนี้ ขยับใจไว้นิดหนึ่งจะถึงจุดนี้”

    เจ้าของร่างกายถามว่า “ถ้าฉันอยู่ร่างกายจะเป็นอย่างไร” เวลานี้แกก็เบื่อร่างกายเต็มที เดี๋ยวป่วยๆ คนก็ไม่แก่สาวน้อยแล้ว ๗๐ กว่า คือไม่มีความแก่แล้วมีแต่หง่อม ลุงก็บอกว่า “ร่างกายก็มีสภาพแบบนี้ ดีบ้างไม่ดีบ้าง” แล้วลุงก็บอกว่า “บ้านเอ็งหลังนี้นะ” บอกมันสวยสดงดงาม พอชี้ให้ดูมันใกล้เหลือเกิน บ้านมีเยอะแยะ วิมานก็เยอะแยะ บ้านของแกมันสวย ท่านบอกว่า “ออกจากร่างกายวันนี้ ร่างกายจะเป็นแบบนี้” เห็นเลย แกก็เลยตัดสินใจว่าไปดีกว่า ไปแล้วมีความสุข พอตัดสินใจไปดีกว่า ก็ขยับจิตออกนิดหนึ่ง แค่ ๒ นาทีก็ถึง ถึงแล้วจิตก็ออกจากร่าง จิตออกจากร่างตัวก็นอนเฉย กว่าลูกสาวจะไปเห็นก็ ๕ โมงเย็น เห็นว่าแม่นอนสายเกินไป ก็เข้าไปปลุก ตัวแข็งแล้ว เลยถามว่า “ตอนที่ไปเองหมายความว่าอย่างไร” บอก “ฉันออกไปเอง ไม่ได้ป่วยตาย”ถามว่า “ออกไปแล้วมันเป็นอย่างไรต่อไป” แกบอกว่า “เมื่อจิตออกจากร่างแล้ว ร่างกายค่อยๆ ลดตัวลง ปอดทำงานน้อยลงๆ แล้วก็ดับไปเอง”

    เป็นอันว่า ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วย จิตขยับนิดเดียว ไปถึงจุดนั้นก็ไม่ยาก คือจิตไม่ต้องการทุกอย่าง ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องนึกอะไร ไม่ต้องการร่างกายอย่างเดียว การเกิดไม่ต้องการอีกเท่านั้นแหละ การทำพระกรรมฐาน สิ่งที่ต้องการง่ายๆ ก็คือ

    มรณานุสติกรรมฐาน ให้มีความรู้สึกตามความจริงว่า ร่างกายจะต้องตาย นึกไว้เสมอ

    ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์

    มีศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์

    ก็มีเท่านี้ อันดับแรกของพระนิพพาน ถ้าเข้าจุดนี้ได้ก็เข้าใจไม่ยากนิพพาน คือมีเริ่มต้นแค่นี้ ทำให้ได้ แค่นี้ก็หวังนิพพานได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..”

    หลวงพ่อไปพบลูกศิษย์ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน

    “..วันหนึ่งไปที่วิมานบนพระนิพพาน พอไปถึงก็นั่งเล่นนอนเล่นตามสบาย นึกว่าไม่มีใครมา ปกติท่านไปทุกวัน วันละหลายๆ เที่ยว ถ้าว่างเมื่อใดก็ไปเพราะจิตเป็นสุข วันนั้นพอไปแล้วก็มีคนเกิน ๒๐๐ คนมาหาแต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับเต็มอัตราพระนิพพาน ก็สงสัยว่าพวกนี้มาได้อย่างไรก็เลยถามว่า

    “ในสภาพที่เป็นมนุษย์มีรูปร่างแบบไหน ทำให้ดูซิ”

    ท่านก็ทำให้ดูสมัยเป็นมนุษย์นุ่งโสร่งก็ขาด ใส่เสื้อก็เก่าแสนเก่ามีผ้าข้าวม้าพาดไหล่ ผอมๆ สูงๆ อาตมาจำได้เคยไปที่วัดบ่อยๆ ถามว่า

    “โยม มานิพพานได้อย่างไร การมานิพพานได้ต้องเป็นพระอรหันต์”

    โยมตอบว่า “อรหันต์ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า อยู่ที่ใจ”

    ถามว่า “โยมฝึกพระกรรมฐานถึงขั้นไหน”

    ตอบว่า “ผมฝึกไม่มากครับ ไปฝึก มโนมยิทธิ ได้ ๒ ครั้ง แต่ไปพระนิพพานได้ และอาตมาบอกว่าทุกวันให้ไปพระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้าตายเมื่อใดขอไปพระนิพพาน ผมก็กำลังป่วยหนัก เห็นพระนิพพานใสชัดเจนมาก วิมานก็สวย คนก็สวย อยู่ใกล้ๆ แค่มือเอื้อม เมื่อจิตออกจากร่างเลยเข้าวิมานไปเลย แล้ววิมานก็พาลอยไป”

    เป็นอันว่าการจะไปพระนิพพานได้ ไม่ใช่มีความรู้มาก ต้องจิตสะอาดมาก ความสำคัญขณะที่ป่วยหนักหรือป่วยไม่หนักก็ตาม พอเริ่มป่วยถ้าคนมีจิตเป็นกุศลอยู่แล้ว เขาก็จับนิพพานแล้ว..”

    หลวงพ่อพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน

    “..วันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ อาตมานั่งทำจิตสบายสักประเดี๋ยว อารมณ์ก็เป็นสุขคิดว่า ไอ้เกิด ไอ้แก่ ไอ้ตาย มันไม่มีความหมาย เกิดก็แค่นั้น แก่ก็แค่นั้น ตายก็แค่นั้น มันจะตายก็ตาย มันจะอยู่ก็อยู่ ไม่เห็นมีอะไร สักครู่เดียวโยมพ่อในชาติปัจจุบันท่านมา เดิมมาถึงก็พูดว่า “ไง คุณสบายดีหรือ” ตอบท่านว่า “สบายดี โยมเป็นสุขหรือเป็นทุกข์” ท่านก็ตอบว่า “ฉันสุขมาก” ถามว่า “สุขมากสุขอย่างไร ทำไมถึงสุข เมื่อโยมมีชีวิตอยู่ โยมทำแต่ความดีอย่างเดียวหรืออย่างไร ถึงได้สุข” ท่านก็เลยถามว่า “ท่านองคุลีมาล ทำความดีอย่างเดียวหรืออย่างไรถึงไปพระนิพพานได้” หมายความว่าท่านองคุลีมาลน่ะ ร้ายกาจกว่าท่านมาก ทำกรรมที่เป็นอกุศลมากกว่าท่านมาก ท่านยังไปพระนิพพานได้ ทำไมท่านจะเป็นสุขไม่ได้ ถามท่านว่า “โยมไปพระนิพพานนานแล้วหรือ” ท่านตอบว่า “ยัง ท่านอยู่ชั้นยามา” ท่านมาในรูปเดิมตอนแรก แต่พอบอกเป็นสุขอยู่ชั้นยามาเท่านั้น รูปเดิมหายไป ตอนนี้สวยเช้งวับเลย ท่านมีเครื่องประดับขาวทั้งชุด ซึ่งเป็นสีของเครื่องประดับชั้นยามา

    โยมพ่อท่าน “พุทโธ” เป็นปกติ ก่อนจะตายท่านห่มสไบเฉียงกราบบูชาพระแบบสบาย ท่านเรียกอาตมาแล้วพูดว่า “นิมนต์คุณมานี่หน่อย” พอเข้าไปท่านก็ยกมือขอขมา จึงถามท่านว่า“โยมขอขมาอะไร” ท่านก็ตอบว่า “ฉันขอขมาพระรัตนตรัย” ท่านชี้มือไปที่พระพุทธรูปแล้วบอกว่า “นั่นพระพุทธ คุณมานั่งเป็นพระสงฆ์เป็นพยานให้ครบหน่อย” จึงถามว่า “พระธรรมอยู่ที่ไหน” ท่านตอบว่า “คุณเป็นพระสงฆ์ต้องมีพระธรรม จึงจะเป็นพระสงฆ์ ฉันมีไตรสรณคมณ์ครบ” แล้วท่านก็ขอขมาพระรัตนตรัย พอเสร็จท่านก็บอกว่า “เสร็จกิจแล้ว” คำว่า “เสร็จกิจ” ของท่านหมายความว่าหมดธุระของท่านแล้ว หลังจากนั้นท่านก็นั่งพิงฝาพนมมือ เวลานั้นเป็นเวลาสักบ่าย ๓ โมง มองดูเห็นท่านนั่งสบายๆ จึงไม่กวนใจอะไรท่าน สักประเดี๋ยวกลับมาดูโยมก็ยังไม่เลิกนั่ง จึงบอกคนอื่นว่าอย่าทำเสียงดังเพราะโยมกำลังนั่งภาวนาอยู่ จนกระทั่งเย็นถึงเวลากินข้าว พี่สาวอาตมาขึ้นไปจะบอกให้ไปกินข้าว พอไปดูที่ไหนได้เข้าฌานเลย ๔ ไปหน่อยเพราะฌาน ๔ นี่ไม่ปรากฏลมหายใจ จึงมาดูเห็นโยมพ่อเข้าฌานละเอียดมาก พอเหลียวไปเห็นท่านไปยืนอยู่ข้างหน้าเลยบอกพี่สาวว่า “โยมเข้าฌานละเอียดมากไปหน่อยแล้ว ไม่ต้องเรียกกินข้าวเพราะท่านไม่กินแล้ว” โยมพ่อท่านบอกว่า “ก่อนจะตายตัวท่านชา” อาตมาถามว่า “การสืบต่อกุศลของท่านไปถึงไหนแล้ว” ท่านตอบว่า “การต่อกุศลข้างบน เวลานี้เป็นพระอนาคามีแล้ว”

    เมื่อโยมพ่อพูดจบแล้ว โยมแม่ในชาติปัจจุบันก็เข้ามาหาอาตมาบอกว่า “โยมเป็นสุข” อาตมาถามว่า “โยมเป็นสุขเพราะอาศัยอะไรเป็นปัจจัย” ท่านก็ตอบว่า “คุณจำได้ไหมเวลาก่อนที่ฉันจะตาย ฉันทำอย่างไร” ก็เลยจำได้ว่า “โยมนั่งตาย” ก็เห็นท่านเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นยามาเหมือนโยมพ่อ

    อาตมาพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน

    วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ วันนี้อาตมาป่วยมาก หลังจากไปสั่งงานให้นายช่างทำมณฑปพระยืน ๘ ศอก เสร็จแล้วก็กลับมานอนพัก รู้สึกว่างงมากและเหนื่อยมาก มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้คงจะทรงตัวได้ไม่นาน อาจจะตายภายในไม่ช้านี้ก็ได้ จึงได้รวบรวมกำลังใจขึ้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าที่วิมานบนพระนิพพาน คำว่า นิพพาน นี้ใครจะว่าสูญก็เป็นเรื่องของท่าน แต่อาตมามีความรู้สึกว่าไม่สูญ ความจริงเรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะอ่านกันแต่เพียงหนังสืออย่างเดียว ก็คงไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาแน่นอนนัก เพราะความเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางที่ดีก็ควรจะค้นคว้าด้วยวิธีปฏิบัติ แนวปฏิบัติมี ๔ อย่างคือ

    ๑) สุขวิปัสโก

    ๒) เตวิชโช

    ๓) ฉฬภิญโญ

    ๔) ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    ถ้าเราทำได้ครบทุกอย่าง ก็จะไม่สงสัยในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่ออาตมาไปถึงพระนิพพานแล้ว ก็ไปนั่งที่ที่เคยนั่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับอยู่หลายองค์ ไปถึงก็กราบนมัสการท่าน ท่านก็ตรัสว่า “คุณ เทวดา นางฟ้า พรหม เขาคอยอยู่ที่เทวสภาเต็มหมด ทำไมไม่ไปแวะที่นั่นก่อน กลับไปที่เทวสภาก่อน” จึงได้กราบท่านแล้วมาที่เทวสภา พอมาถึงก็เห็นท่านผู้มีพระคุณคือ บิดามารดาเดิม ครูบาอาจารย์ ท่านย่า ท่านปู่ใหญ่ ท่านผู้มีคุณทั้งหลายรวมทั้งในชาติปัจจุบัน ก็ถือว่า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมด เป็นผู้มีคุณทั้งหมด เพราะว่างานทุกอย่างทุกประเภทท่านช่วย ที่ทำสำเร็จขึ้นมาได้ก็เพราะพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดา นางฟ้า และท่านย่ากรุณาส่งลูกแก้วให้ แก้วจักรพรรดิพิมานหรือแก้วเพชรจักรพรรดิก็ตาม ตามใจจะเรียก องค์นี้หลวงปู่ชุ่มให้ไว้ก่อน

    ต่อมาท่านย่านำองค์เล็กมาให้บอกว่า เป็นองค์น้อง มีไว้ ๒ องค์ งานทุกอย่างจะสำเร็จหมดตามประสงค์ เมื่อกราบขอบคุณท่านเสร็จ อาตมาก็บอกว่า “ต่อนี้ไปอาตมาจะไปพระนิพพาน มีท่านผู้ใดบ้างจะไปพระนิพพานกับอาตมา เชิญไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิมานหลังใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ทุกท่านไปพักได้ทุกเวลา โดยไม่ต้องมีอาตมานำไป บริเวณทั้งหมดกว้างใหญ่ไพศาลา เดินเล่นตามสบาย หลังจากนั้นต่างองค์ต่างมีวิมานบนพระนิพพานอยู่แล้ว ทุกท่านจะไปวิมานของท่านก็ได้ หรือจะไปเที่ยววิมานของอาตมาก็ได้”

    เมื่อพูดจบอาตมาก็ลุกจากที่ เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็ตามมา พอมาถึงอาตมาก็นั่งที่เดิมนมัสการพระพุทธเจ้า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็นั่งที่วิมานหลังใหญ่ สำหรับวิมานหลังที่อาตมานั่งก็มีญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดนั่งอยู่เต็ม พอดีหันไปทางขวาพบโยมพ่อในชาติปัจจุบันท่านนั่งอยู่ด้านขวา จึงถามท่านว่า “โยมขึ้นมาบนสวรรค์ได้อย่างไร ในเมื่อโยมมีบาปมากเพราะอาศัยความรักลูกเป็นห่วงลูก เกรงว่าลูกจะอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีล ๔ ข้อโยมครบถ้วน แต่ศีลข้อที่ ๑ คือ ปาณาติบาต โยมจับสัตว์คือปลามาให้ลูกกิน มันก็บาป แล้วโยมทำไมจึงมาสวรรค์ได้” โยมก็ตอบว่า“ขณะที่ผมหนุ่มๆ ผมทำอย่างนั้นจริง และไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่การปฏิบัติในศีลในธรรมทุกอย่างครบถ้วน เว้นไว้แต่ปาณาติบาต เหล้าก็ไม่กิน ฝิ่นก็ไม่สูบ บุหรี่ก็ไม่สูบ ทุกอย่างครบถ้วน แต่ทว่าตอนแก่ตัว คุณอยู่ที่วัดบางนมโคก็ดี อยู่ที่กรุงเทพฯก็ดี ผมมีความเป็นห่วงคุณเป็นอันมาก ทุกวันทุกคืนนึกถึงแต่คุณองค์เดียวว่า อยู่ไกลจากพี่จากน้องจะมีความลำบาก นึกถึงอย่างนี้จนกระทั่งถึงป่วย ยิ่งเวลาป่วยยิ่งนึกถึงมากขึ้น เพราะอาศัยนึกถึงคุณเป็นอารมณ์อย่างนี้อย่างเดียวโดยเฉพาะ อย่างนี้เรียกว่าเป็น “สังฆานุสติ” คือนึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ พอตายจากความเป็นคนโยมก็ขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา” ตามปกติสมัยเป็นมนุษย์โยมก็ชอบบูชาพระ สวดมนต์อยู่เสมอ ถึงวัดจะไม่ค่อยได้ไปก็ไม่เป็นไรแต่ทำที่บ้าน จึงถามว่า “วิมานของโยมบนพระนิพพานมีแล้วหรือยัง”โยมก็ตอบว่า “มี” และชี้มือไปทางด้านขวาบอกว่า “วิมานของโยมตั้งด้านขวาวิมานของคุณด้านโน้น” อาตมาก็เหลียวไปดูก็เห็นวิมานของโยมสวยสดงดงามมาก

    หลังจากนั้นอาตมาได้ถามโยมผู้หญิงในชาติปัจจุบันว่า “โยม ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เป็นนักบุญชอบบูชาพระ ชอบไปวัดชอบฟังเทศน์ไม่ขาดเกือบทุกวันพระ เรื่องเกี่ยวกับบุญเกี่ยวกับอะไรก็ตาม สนใจทุกอย่าง เวลานี้โยมอยู่ชั้นไหน” โยมผู้หญิงตอบว่า “อยู่ชั้นยามาเหมือนกับโยมพ่อ แต่ว่าฉันชอบบูชาพระ ทุกวันจะให้นางฟ้าก็ดี ฉันก็ดี จะช่วยกันเก็บดอกไม้ในวิมานเป็นดอกไม้สีขาว ชั้นยามานี้สีขาวหมด แล้วนำมาบูชาพระ” อาตมาถามว่า “ดอกไม้ที่เหลือจากการบูชาพระมันไม่เหี่ยวไม่แห้งหรือ” ท่านก็บอกว่า “ไม่เหี่ยวไม่แห้ง ถ้าเราไม่ต้องการดอกไม้ก็หายไป ไม่ต้องเอาไปทิ้งแล้วก็ไปเก็บมาใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวัน” ถามว่า “ในเมื่อโยมเป็นนักบุญแบบนี้ เวลานี้โยมมีวิมานบนพระนิพพานแล้วหรือยัง”

    ท่านตอบว่า “ยัง” อาตมาแปลกใจ ถามว่า “โยมผู้ชายความจริงเสียเปรียบโยมผู้หญิง เพราะทำปาณาติบาตมาก แต่โยมผู้หญิงไม่ค่อยได้ทำปาณาติบาต บาปไม่ค่อยได้ทำ ทำแต่บุญ ทำไมจึงไม่มีวิมานบนพระนิพพาน พระพุทธเจ้าเทศน์ตั้งหลายครั้ง โยมจำไม่ได้หรือ” ท่านบอกว่า “จำเหมือนกันแต่มันเพลินความสุข ไม่เคยคิดว่าจะจุติ ไม่เคยคิดว่าจะตายจากวิมานนี้” จึงบอกว่า“นับว่ามีความประมาทมาก ถ้าอย่างนั้นขอให้โยมออกมานั่งข้างหน้า” ท่านก็มานั่งข้างหน้า อาตมาบอกให้ท่านหันหน้าไปทางพระพุทธเจ้า ท่านก็หันหน้าไปทางพระพุทธเจ้าแล้วกราบพระพุทธเจ้า สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงเทศน์ว่า “เจ้าผู้เจริญ เจ้ายังไม่มีวิมานอยู่บนพระนิพพานใช่ไหม” โยมผู้หญิงก็ตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ” พระองค์ตรัสต่อว่า “ทั้งนี้เพราะเจ้ามีความประมาทมากเกินไป มีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ถือตัวว่ามีบริวารมาก มีวิมานใหญ่ มีความสุขตั้งใจบูชาพระ แต่การบูชาพระของเธอเป็นการบูชาพระแต่ผิวเผิน เป็นการเข้าถึงพระแบบผิวเผินไม่ใช่ลึกซึ้งนัก ฉะนั้นจึงไม่มีวิมานอยู่บนนิพพาน เธอจงทบทวนถึงความจริงของเธอในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอมีบาปอะไรบ้าง” โยมก็ตอบว่า “มีบาปหลายอย่างเจ้าค่ะ” ท่านก็ถามว่า“เธอรู้จักนรกไหม” โยมก็ตอบว่า “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “เธอเชื่อไหมว่ามีนรก” โยมก็ตอบว่า “เชื่อเจ้าค่ะ” ท่านตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอจงดู” แล้วท่านก็ชี้มือลงเบื้องต่ำ เห็นนรกแดงฉานไปหมด มีตั้งหลายขุม ขุมใหญ่ ๘ ขุม ขุมเล็กรวมแล้ว ๔๐๐ กว่าขุม

    ท่านบอกว่า “บาปของเธอที่มีอยู่ ตถาคตจะพูดให้ฟัง บาปอย่างนี้ในเมื่อเธอจุติจากชั้นยามา จะพุ่งหลาวลงนรกขุมนี้ เธอจงดูการลงโทษ การถูกเผาไฟจะมีอย่างนี้ตลอดเวลา ไฟนรกโชติช่วง พื้นเหล็กก็แดงฉาน ทั้งหอกทั้งดาบ ดาบก็ฟัน หอกก็แทง ค้อนก็ทุบ เมื่อพ้นบาปขุมนี้แล้วต่อไปก็ลงขุมที่ ๒ ไม่ใช่นับ ๑,๒,๓ ตามลำดับขุมนรกนะ เป็นขุมที่ ๒ ที่ต้องลง เมื่อลงแล้วก็ต้องลงขุมที่ ๓ จากนั้นก็มาขุมที่ ๔ ขุมที่ ๕ ลงหลายขุม เธอจงจำไว้ว่า การที่เธอมาเกิดเป็นนางฟ้าชั้นยามานี่เพราะอาศัยบุญเล็กน้อย ที่ชอบการบูชาพระ ชอบให้ทาน ชอบรักษาศีล ชอบเจริญภาวนา แต่กำลังใจของเธอไม่มีความจริงจัง ทำตามประเพณีเสียส่วนมาก เห็นผู้ใหญ่เขาทำก็ทำ จิตใจมีความไม่มั่นคงนัก เพราะอาศัยบุญเล็กน้อยที่เธอนึกถึงก่อนตาย บันดาลให้เธอมาเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา จงอย่าลืมว่าในอีกไม่ช้านัก เธอก็จะหมดบุญ ในเมื่อหมดบุญแล้วก็จะต้องลงนรก เธอกลัวไหม” เธอก็บอกว่า “กลัวเจ้าค่ะ”

    ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าท่านจะซีด ผิวพรรณไม่ค่อยผ่องใสแสดงว่ากลัวนรก สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ดูก่อน หญิงผู้เจริญ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตถาคตจะแนะนำให้ตัดนรกดีไหม เอาไหม ถ้าปฏิบัติได้ นับแต่นี้ไปเธอจะไม่ลงนรก จะไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ต้องเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า ไม่ต้องเกิดเป็นพรหม จะมานิพพานเลย ความเป็นมนุษย์ เธอก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทรัพย์สินที่หามาได้มันก็ไม่ค่อยจะพอใช้ ตัวเองน่ะเหลือใช้แต่ลูกๆ บ้าง เพื่อนบ้านใกล้เคียงบ้างช่วยกันใช้บ้าง เธอก็มีแต่ความหนักใจ ความเป็นมนุษย์ก็มีความแก่เป็นประจำ เธอก็ไม่นึกถึงความแก่ ความเป็นมนุษย์มีความป่วยเป็นประจำ เธอก็ลืมนึกถึงความป่วย ความเป็นมนุษย์ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นประจำ พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย น้องตาย ลูกตาย หลานตาย เห็นอยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยนึกว่าจะตาย

    อาศัยที่เป็นคนประมาทในสมัยที่เป็นมนุษย์ มาเป็นนางฟ้าก็เป็นนางฟ้าประมาท เพลิดเพลินในทิพยสมบัติมากเกินไป มีวิมานหลังใหญ่ มีบริวารมาก มีความสุข ไม่มีการงาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยความเป็นทิพย์ มีความสุขมากเกินไปจนลืมนึกถึงความตายจากการเป็นนางฟ้า ถ้าตายจากความเป็นนางฟ้าเมื่อไรต้องลงนรกเมื่อนั้น ต่อไปนี้ตถาคตจะแนะนำว่า ถ้าเธอปฏิบัติได้จะไม่ต้องลงนรกต่อไป บาปทั้งหมดจะไม่ให้ผล มีอย่างเดียวคือก้าวเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าเธอตัดสินใจได้ตามนั้น วิมานจะปรากฏบนนิพพาน”

    หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ ๕ ข้อคือ ข้อ ๑ “เธอจงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง การเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม จะไม่มีอายุอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย สักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะต้องตายหรือที่เรียกว่า “จุติ” ศัพท์ชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย เธอเข้าใจและแน่ใจไหม” โยมก็ตอบว่า “แน่ใจเจ้าค่ะ จุติแน่แต่ไม่รู้เวลา” ท่านก็บอกว่า “ใช้ได้ ให้มั่นใจว่าวันหนึ่งจะต้องจุติ วิมานหลังที่เธออยู่ทั้งหมดจะหายไป สมบัติปัจจุบันจะไม่มีสำหรับเธออีกเหมือนกับสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอสะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก แต่เธอตายจากความเป็นมนุษย์แล้วคนอื่นเข้ามาปกครอง เวลานี้สมบัติเป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นตอน จากชิ้นใหญ่เป็นชิ้นเล็ก บางชิ้นก็ถูกขายไปบ้าง เธอก็ไม่สามารถจะห้ามปรามเขาได้ เธอเหน็ดเหนื่อยมากฉันใด ทรัพย์สมบัติส่วนนั้นเธอก็ไม่สามารถปกครองระวังรักษาได้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น ขอเธอจงนึกว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า วิมานที่สวยสดงดงามของเธอ บริวารของเธอ ร่างกายที่เป็นทิพย์ของเธอจะสลายตัว นั่นคือตาย” ท่านถามว่า “นึกออกไหมและมีความมั่นใจไหม” โยมก็ตอบว่า “มีความมั่นใจเจ้าค่ะ คราวนี้มั่นใจแล้วว่าต้องจุติ เพราะเทวดา นางฟ้า พรหม เคยจุติให้เห็นอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ค่อยคิดว่าตัวจะต้องจุติ เวลานี้คิดแล้วเจ้าค่ะ”ท่านถามว่า “เธอมั่นใจรึ” โยมก็ตอบว่า “มั่นใจเจ้าค่ะ”

    ข้อที่ ๒ “ต่อไปนี้เธอจงกลับใจเสียใหม่ การบูชาพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่เธอทำอยู่เป็นของดีแต่ว่าความมั่นคงยังมีน้อย ยังมีความเคารพตามแบบประเพณีนิยม หลังจากนี้ไป จงตัดกำลังใจว่า เราจะมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง เคารพในพระธรรมอย่างยิ่ง เคารพในพระอริยสงฆ์อย่างยิ่ง หมายความว่าจิตเราจะไม่ปล่อยพระพุทธเจ้า ไม่ปล่อยพระธรรม ไม่ปล่อยพระอริยสงฆ์ จิตจะจดจ่ออยู่ที่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นปกติ” ท่านถามว่า “เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้แล้วเจ้าค่ะ เวลานี้มีความมั่นใจเพราะอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ต่อหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ และต่อหน้าพรหม เทวดาทั้งหมด ทุกอย่างมีความมั่นใจหมด”

    ข้อที่ ๓ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “เธอต้องการมาพระนิพพานไหม” โยมก็ตอบว่า “ต้องการอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ทีแรกไม่เคยทราบเลยว่านิพพานมีอยู่” ท่านก็ถามว่า “ลูกชายของเธอพาเทวดา นางฟ้า พรหม มาอยู่เสมอ ทำไมจึงไม่ตามมา” โยมตอบว่า “ไม่อยากจะไปไหนมีความสุขกับ วิมาน มีความสุขกับการบูชาพระ เวลาบูชาพระแล้วไม่อยากเลิกนั่งอยู่ข้างหน้าพระ” ท่านบอกว่า “ทีหลังเอาใหม่ เอากายนั่งที่นี้ เอาใจนั่งไว้ที่พระ กายจะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินก็ได้ แต่ใจนั่งไว้ที่พระ คือใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรม ใจนึกถึงพระอริยสงฆ์เป็นนิจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ก่อน เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “มั่นใจแล้วเจ้าค่ะ”

    ข้อที่ ๔ ต่อไปท่านก็บอกว่า “ศีล ๕ เธอสามารถรักษาได้ไหม” โยมตอบว่า “เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ศีล ๕ บางสิกขาบทบกพร่องเจ้าค่ะ” สมเด็จองค์ปฐมจึงตรัสว่า “นี่เธอ ฉันถามในฐานะที่เป็นนางฟ้านะ ไม่ใช่ถามถึงความเป็นมนุษย์ เวลานี้ความเป็นมนุษย์หมดไปแล้ว เรื่องบาปประเภทนั้นไม่ต้องคิดถึงมัน เวลานี้เราไม่มีบาปจะทำมีทำอย่างเดียวคือบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดา นางฟ้า ชั้นยามา ได้เปรียบกว่าชั้นอื่นนอกจากชั้นดุสิต นั่งบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลตลอดเวลา” แล้วท่านก็ถามว่า “มีความมั่นใจไหมว่า จะรักษาศีล ๕ ได้ครบ” โยมก็นิ่ง ท่านก็บอก

    ๑ “ปาณาติบาต การไม่ฆ่าสัตว์เธอทำได้ไหม” โยมนิ่งประเดี๋ยวก็ตอบว่า “ได้เจ้าค่ะ”

    ๒ “อทินนาทาน การไม่ลักทรัพย์เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”

    ๓ “กาเมสุมิจฉาจาร เธอจะไม่ละเมิดความรักของผู้อื่นทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”

    ๔ “มุสาวาท จะไม่กล่าวเท็จทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”

    ๕ “สุราและเมรัย เราจะไม่ดื่มทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราเมรัย การพนัน ในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ทำอยู่แล้ว”

    สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ความจริงการเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ก็มีศีล ๕ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะการฆ่าสัตว์ก็ไม่มีสัตว์จะฆ่า การขโมยทรัพย์ก็ไม่มีความจำเป็นจะขโมย ถ้าไม่ใช่ทรัพย์สินของเรา เราเอามาไม่ได้ เพราะที่นี่มีแต่ความเป็นทิพย์ ความรักในระหว่างเพศก็ไม่มี การพูดมุสาวาทก็ไม่มี เพราะไม่มีความจำเป็น การดื่มสุราเมรัยก็ไม่มีจะดื่ม รวมความว่าการเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม มีศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว”

    ข้อที่ ๕ “ต่อนี้ไปเธอจงตัด ทำลายอวิชชาคือความโง่ เธอนึกว่ามนุษยโลกดีหรือไม่ดี” โยมก็ตอบว่า “ไม่ดีเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “ไม่ดีเพราะอะไร” โยมตอบว่า “เพราะว่า เกิดแล้วก็แก่ มีการงาน มีการป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องตาย ตายแล้วก็ไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติที่หามาได้ติดตัวไป และความเป็นมนุษย์ก็วุ่นวายเรื่องการงาน เหน็ดเหนื่อยอยู่เสมอ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ” ท่านบอก “ก็ถูกแล้ว เธอต้องการเป็นมนุษย์อีกไหม” โยมบอกว่า “ไม่ต้องการเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “การเป็นนางฟ้า เทวดา พรหม จะต้องจุติเธอต้องการอีกไหม” โยมก็ตอบว่า “ไม่ต้องการเจ้าค่ะ”

    ท่านก็ถามว่า “การมาอยู่ที่นิพพานนี่ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องจุติ ไม่มีการป่วย ไม่มีกิจการงานใดๆ อะไรก็ตามถ้าเป็นความเหมาะสมก็จะปรากฏขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องจับ ไม่ต้องนึก เธอต้องการไหม” โยมตอบว่า “ต้องการเจ้าค่ะ” และท่านก็บอกว่า “ให้เธอนิ่งสักประเดี๋ยวหนึ่ง ตัดสินใจว่าทั้ง ๕ ข้อนี้จะทำได้ไหม” โยมก็นั่งนิ่งสักอึดใจหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า “ตัดสินใจได้แล้วเจ้าค่ะ พร้อมแล้วที่จะมานิพพาน ร่างกายในความเป็นทิพย์นั้นจะจุติเมื่อไรไม่เสียดาย ขอมานิพพานอย่างเดียว” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ก็จบแค่นี้” พอท่านบอกว่าจบแค่นี้ วิมานก็ปรากฏทันที ท่านชี้ให้ดูทางด้านขวามือของท่าน ท่านหันหน้าไปทางทิศใต้บอกว่า “โน้น วิมานของเธอปรากฏแล้ว สวยสดงดงามอย่างยิ่ง หลานหญิงคือ พรทิพย์ กับ พวงทิพย์ พาย่าไปชมวิมานซิ” โยมก็บอกว่า “ยังไม่ไปเจ้าค่ะ พระพุทธเจ้ายังอยู่ที่นี่ก็ยังไม่ขอลุกไปก่อน”

    หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าวิมาน เทวดา นางฟ้า และพรหมทั้งหมด ต่างคนต่างเข้าวิมาน แยกย้ายไปสู่วิมานของตนในนิพพาน ที่ยังไม่มีวิมานก็กลับที่เดิมและบอกว่า ตั้งใจจะปฏิบัติให้ได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อกี้นี้เป็นของไม่ยาก ต้องพยายามมีวิมานให้ได้..”
     
  11. Callme Zupta

    Callme Zupta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +2,292
    ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปพระนิพพาน

    “..บันทึกเสียงเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ย้อนไปพูดถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ วันนั้นปรากฏว่าป่วยหนักมีอาการไข้ซ้อน ท้องก็เสีย ปรากฏว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืดไม่สามารถจะไปพระนิพพานได้ มีอาการเป็นอย่างนี้อยู่ถึง ๒ วัน ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่งไข้ลดตัวลง จึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับ

    กราบทูลถามท่านว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้และไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ถ้าตายจะพลาดนิพพานไหม”

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า “ภิกขุ ดูก่อนภิกขุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ ถ้าเธอตายเวลานั้นก็ไม่สามารถจะพลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานได้แน่นอน”

    หลังจากนั้นก็นมัสการกราบทูลถามพระองค์เรื่องของกระแสจิต ท่านก็ตรัสว่า “เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนก็ดี ยามปกติก็ตามให้ถือว่าเราต้องการนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ถึงแม้ว่าอาการป่วยเกิดขึ้นจิตจะมัวไปบ้างจิตไม่เกาะนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตก็สามารถจะไปพระนิพพานได้ทันทีในเมื่อออกจากร่าง” ต่อจากนั้นก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะไปเทวสภาก่อน” สมเด็จองค์ปฐมก็ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย” พระพุทธเจ้าก็เสด็จ อาตมาก็ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาที่เทวสภา

    พอมาถึงที่ประทับพระองค์ก็ประทับบนธรรมมาสน์สูง อาตมานั่งแท่นต่ำแต่รู้สึกว่าจะสูงกว่าเทวดานิดหน่อย เวลานั้นปรากฏว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ทุกชั้นมาหมด เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาด้วย เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งพนมมือหันหน้าไปทางเทวดานางฟ้ากับพรหมบอกว่า “ท่านทั้งหลายที่มีพระคุณ ที่เคยเป็นบิดามารดาบ้าง เป็นญาติผู้ใหญ่บ้าง เป็นผู้มีคุณต่างๆ บ้าง เป็นครูบาอาจารย์บ้าง และก็ทุกองค์ทุกท่านที่มีคุณกับอาตมาทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะว่างานการทุกอย่าง ท่านช่วยทุกอย่างการสร้างวัด การจะไปไหนก็ตาม ทุกท่านเมตตาปรานี พยายามป้องกันภยันตรายต่างๆ อาตมาขอขอบคุณทุกท่าน”

    หลังจากนั้นเทวดากับพรหมทั้งหมดก็กราบพระพุทธเจ้า ก็หันไปทางพระพุทธเจ้าเหมือนกันยกมือพนม ท่านก็เทศน์ว่า “ดูก่อน ท่านทั้งหลายที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงการจุติ เพราะว่าเวลานี้ยังมีเทวดากับนางฟ้าบางส่วนมีความเพลิดเพลินในทิพยสมบัติเกินไปหลังจากที่มาจากมนุษย์ อยู่ที่เมืองมนุษย์มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่เมื่อมาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้นหมายความว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นเป็นปกติ ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง หมายความว่าจะไปทางไหนก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะว่าอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติคือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดแม้แต่ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ เมื่อการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย” พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดา นางฟ้าก็พรหม เห็นเงาบาปอยู่ภายในหนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ต่างคนต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า มาเป็นพรหมได้ และก็ดูตัวเอง เวลานั้นร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน

    ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อนจึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน้นนรก” ท่านชี้พระหัตถ์ลง เห็นนรก ไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด “ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรกเพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ต้องชำระหนี้บาปกว่าจะเกิดมาเป็นคนก็นานหนักหนา ถ้ามาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะว่าเป็นคนแล้วอาจจะทำบาปใหม่ กลับลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่บนสวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของพระนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน” เวลานั้นเทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพานใสสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือสีแก้วแพรวพราวเป็นระยิบระยับคือแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมด เห็นหมด และองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ตรัสกับเทวดา นางฟ้าใหม่ว่า

    “ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีขึ้นคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่เกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปพระนิพพานนี้ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดา นางฟ้าเก่าๆ ก็ดี ตถาคตไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงพรหม เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ อย่าหลงความเป็นทิพย์ หมายความว่ายังมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าอยากจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพานนั่นคือ

    ๑) จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ เรื่องอาการของชีวิตเป็นของไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง

    ๒) เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่ ๒ ที่ท่านจะไปนิพพานได้

    ๓) หลังจากนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม

    พอท่านพูดมาถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า “ฤๅษี เทวดาไม่ต้องบวชอย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ถึง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่มีอาบัติ สิ่งที่เป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี” และท่านก็หันหน้ากลับไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหม ตรัสว่า “ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งใจเฉพาะศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดในศีล

    ๔) หลังจากนั้นจงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยงและจะต้องมีการจุติในวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้นอารมณ์อย่าเป็นทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วทรงชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินอย่างไรก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายใน แต่ว่าเมื่อตายแล้วถ้ากลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิมท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลยทั้งๆ เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ทำเอาไว้ทุกอย่าง ท่านยังไม่มีสิทธิ์ ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องตะเกียกตะกาย ดูภาพมนุษย์ทั้งหลายไม่มีใครหยุดต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวันเพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียวคือเงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน”

    ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็ตรัสต่อว่า “จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายของมนุษย์ เห็นว่ามนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีความทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุดและจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้า และพรหมก็อยู่ในสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้นก็มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา และมีการจุติในที่สุด ทุกคนหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณาคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็เราจะต้องจุติในวันหน้า”

    “ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดา นางฟ้า พรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว หมายถึง ปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไปแล้วมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี้เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และก็บาปใหญ่ที่ขังอยู่ในตัวของเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติจากความเป็นเทวดาในภพนี้ สรุปแล้วทุกคนต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่ามีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่ น่ารัก มันไม่น่าอยู่ ไม่น่ารัก จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานนอกจากจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์แล้ว ก็ดูเทวดา นางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์เคยเป็นเทวดา นางฟ้าและเคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้เฉพาะ จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด”

    พระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ก็จบ อาตมาจึงกราบพระองค์ท่านแล้วทูลว่า “จะไปพระนิพพาน” ท่านตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ชวนเทวดากับพรหมไปด้วยซิ เขาจะได้รู้ว่าพระนิพพานมีความสุขอย่างไร แต่เทวดา นางฟ้า พรหมก็มีหลายท่านที่เคยไปเที่ยวพระนิพพานมาแล้วและที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านรู้ แต่ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้าจะยังไม่ทราบ” อาตมาจึงหันหน้ามาชวนเทวดา นางฟ้ากับพรหม หลังจากนั้นก็ตามพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน เห็นวิมานแพรวพราวเป็นระยับ จึงคิดในใจว่า “วิมานขององค์อื่นมีหลังเดียว แต่ทำไมของเราจึงต้องมี ๓ หลัง”

    ท่านสหัมบดีพรหมเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า “วิมาน ๓ หลังต้องใช้อย่างนี้ วิมานหลังหนึ่งที่คุณมาทุกวันคุณใช้เป็นปกติ อันนี้เป็นวิมานประจำตัว วิมานหลังตรงหน้าออกไปที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกันนั้นเป็นวิมานที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับวิมานหลังใหญ่ยาวหลังนั้นเป็นวิมานที่ประทับหรือเป็นที่นั่งของเทวดา นางฟ้า พรหม และพระอรหันต์ที่มาประชุมกัน”อาตมามองดูเทวดา นางฟ้า และพรหม รู้สึกว่ามีจำนวนนับเป็นสิบๆ ล้าน เมื่ออยากจะทราบว่าวิมานหลังนั้นโตก็จริง แต่ถ้าเทียบกับเทวดา นางฟ้ากับพรหมที่มา เทียบกันไม่ได้

    ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ประเดี๋ยวก็รู้” เมื่อขึ้นไปถึงที่ก็ปรากฏว่าวิมานที่ตั้งอยู่เคยมีฝาทึบก็โป่รง เคยเล็กไปหน่อยก็ใหญ่ยาว กว้าง ลึกมาก มีแท่นเป็นที่ประทับของเทวดา นางฟ้าและพรหมทั้งหมด เป็นแท่นแก้วแพรวพราวเป็นระยิบระยับเท่ากับสภาพเป็นทิพย์ของเทวดา นางฟ้ากับพรหม วิมานหลังหน้าสมเด็จองค์ปฐมเป็นหัวหน้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็เสด็จประทับสวยงามเป็นระยับ สง่าผ่าเผยใหญ่โตมาก จับใจ อาตมาก็มานั่งที่วิมานบนแท่นแก้วแต่ต่ำกว่าแท่นของพระพุทธเจ้า

    หลังจากนั้นสมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ฤๅษี ที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เมื่อตอนต้นเธอถามว่า ถ้าจิตมัวไม่นึกถึงพระนิพพานก่อนตาย เธอจะมาพระนิพพานได้ไหม ขอให้เธอปฏิบัติตามนี้ คือทุกครั้งที่มีความว่างจากการงาน จงมาที่นิพพานมานั่งที่ที่ประทับของเธอ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านว่างท่านก็จะมาสงเคราะห์เธอ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ว่างก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสีมาแทนพระองค์ก็เหมือนกับพระองค์มาเอง นอกจากนั้นบริวารของเธอที่มานิพพานแล้วมากมาย เขาก็จะได้มาคุยมาสนทนาด้วย จิตใจของเธอก็จะมีแต่ความชุ่มชื่น พระนิพพานมีแต่อารมณ์แห่งความสุข ไม่มีอารมณ์ความทุกข์ ไม่มีความวุ่นวาย พระนิพพานมีความสุขมาก เวลานี้เธอมีความรู้สึกอย่างไร”

    ก็ตอบท่านว่า “ไม่มีกังวล คำว่ากังวลคือความห่วงใยใดๆ ทั้งหมดไม่มี แต่ความจริงอยากจะมานิพพานนานแล้ว” สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสว่า “ช้าก่อน รอเวลานิดหน่อย ให้การงานของฉันเสร็จและคนที่จะพึงช่วยเหลือได้ยังมีอยู่ที่เขายังไม่มายังมีอยู่ จงอยู่รอการช่วยเหลือเขาก่อน เมื่อช่วยเหลือเขาเสร็จแล้วเมื่อไหร่ ก็จะมานิพพานได้เมื่อนั้น ให้มีความสุขใจว่า ถ้าเราตายจากความเป็นคน เราจะมีความสุขที่สุดคือนิพพาน ในระหว่างที่เราเป็นคนอยู่ เราก็จะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคนอื่น” ท่านหมายความว่าเป็นความสุขของคนอื่นไม่ใช่ความสุขของตัวเอง

    พระองค์ตรัสต่อว่า “เธอทั้งหลายจงดูเทวดา นางฟ้ากับพรหมที่สวยสดงดงามทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าจะเคยมานิพพานแล้วทุกองค์ มีบางส่วนเท่านั้นที่รู้จักนิพพานคือขึ้นมาได้นั่นคือความเป็นพระอริยเจ้า ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าจะมาไม่ได้ นี่อาศัยความดีของเธอ ท่านสงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่าน เธอชวนมานิพพานท่านจึงมากันได้ การกระทำอย่างนี้จงทำเป็นปกติ จงสงเคราะห์ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดา ทั้งนางฟ้าและพรหม เทวดานางฟ้าและพรหมท่านก็สงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่านเป็นการตอบสนองกัน เป็นความดีเข้าหากัน สำหรับวันนี้ฤๅษี จวนจะเพลแล้ว ฉันก็จะกลับที่อยู่ เธอก็จงกลับเมืองมนุษย์ เทวดา นางฟ้าและพรหมก็จงกลับวิมานของเธอ” หลังจากนั้นท่านก็ลุก พวกเราก็กราบท่าน

    เป็นอันว่าเรื่องการมานิพพานเป็นปกติของอาตมา ถ้ายามว่างเมื่อไรแม้แต่มีเวลาเพียง ๕ นาที ๑๐ นาที ก็จะมานิพพานทันที เพื่อความอยู่เป็นสุขของจิต เมื่อเข้าถึงพระนิพพานเมื่อไรจิตก็มีความสุขเมื่อนั้น..” จบครับ /\ /\ /\
     
  12. Giant 1

    Giant 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1,014
    ค่าพลัง:
    +9,211
    HAPPY BIRTHDAY



    สุขสันต์ในวันคล้ายวันเกิด

    ขอพรเทพเทวาทุกชั้นฟ้า

    บันดาลให้สุขสวัสดิ์พิพัฒน์ผล

    ขอพรหมเทพเทวดาบันดาลดล

    ให้ลาภยศโภคทรัพย์นั้นเพิ่มพูน

    บารมีเสริมบุญส่งมงคลหนุน

    หมู่ญาติธรรมมีจิตเกื้อการุณย์

    คอยค้ำจุนบุญผลเพิ่มพูนเอย


    yimm HBDs yimm
     
  13. ขาล

    ขาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +4,466
    วันนี้ร่วมบุญสัปทน 2 คัน 200 บาท ธนาคารกรุงไทย เวลาประมาณ 10.50 น. ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
     
  14. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    ผมได้โอนเงินเข้าธนาคารไทยพาณิชย์ # 080-252647-2 แล้ววันที่ 20 เมษายน 2557 สถานที่ K04090 เวลา 19.17 น. จำนวนเงิน 1,850 บาท สำหรับการร่วมบุญจองดวงแก้วจุลจักรพรรดิ์พระปัจเจกพุทธเจ้า ชุดที่ ๘ จำนวน ๑ ดวง ชุดที่ ๙ จำนวน ๑ ดวง


    กรุณาจัดส่งดวงแก้วตามที่อยู่เดิม

    ขออนุโมทนาบุญครับ
     
  15. เพชร2545

    เพชร2545 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    454
    ค่าพลัง:
    +4,248
    โอนค่าบูชาดวงแก้ว 2 ดวง 2580 บาทเวลา13.15 น. 20/4/2557 ค่าส่ง 80 บาท อนุโมทนาบุญทุกท่านค่ะ
     
  16. winaiwon

    winaiwon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +6,577
    ขอแจ้งยอด งานบุญถวายสัปทน 2 วัด คือวัดขุมเงิน จ.ลำพูน และ สถานที่ปฎิบัติธรรม ฯ จ.อุท้ยธานี ตั้งแต่คุณน้ำใส ได้กรุณา ประกาศบอกบุญแล้วที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 9-20 เมษายน 2557 (ปรับยอดวันนี้ วันที่ 20 เมษายน 2557 เวลาประมาณ 18.30น.) ได้ปัจจัย เป็นเงิน 8,459.29บาท ครับ ผมพยายามจะนำภาพการปรับยอดของสมุดบัญชีให้กับทุกท่านได้อนุโมทนาบุญกัน แต่ไม่สามารถ upload file ระบบแจ้งว่า Upload of file failed. ครับ ^^

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
    สาธุ ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 เมษายน 2014
  17. Tingpkt

    Tingpkt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +2,712
    วันนี้เปิดทำงานเต็ม ๆ วันแรกผมขอน้อมนำบุญมาฝากครับ
    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้ทำบุญที่วัดใกล้บ้านถวายอาหารพระภิกษุสงฆ์ และปล่อยปลาดุกไปสามกิโล ครับ
    เมื่อสักครู่ได้โอนเงินร่วมทำบุญสร้างหอฉันท์ ที่วัดท้ายเหมือง จ.พังงา
    และโอนเงินร่วมทำบุญกับวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  18. Youkai

    Youkai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,683
    ร่วมบุญสัปทนล้านนา 80 บาท และร่วมบุญอุณาโลม 80 บาท
    ขออนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ​
     
  19. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    คุณพัชรี เลิศคงคาทิพย์ บูชาดวงแก้วจุลจักรพรรดิพระปัจเจกพุทธเจ้า ชุดที่ ๑๐ ดวงที่ ๕
    โอนปัจจัยเข้าบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ เลขที่ ๐๘๐๒๕๒๖๔๗๒ วันนี้ เวลา ๑๒:๑๔ น. จำนวน ๙๕๐ บาท
    แบ่งเป็นค่าบูชา ๘๘๘ บาท และค่าส่ง ๖๒ บาท

    เพื่อร่วมบุญ
    ๑. สร้างพระพุทธวิปัสสีโภครัศมีโชติ ขนาด ๔ ศอก
    ๒. ทาสีโบสถ์ วัดโพธิญาณรังสี อ.เมือง จ.สุรินทร์

    ขอน้อมจิตร่วมยินดีในบุญกุศลของทุกท่านทั้งหมดทั้งมวล สาธุ

    ปอลิง..ขอส่งชื่อที่อยู่ทาง pm นะคะ
     
  20. ROJKAJORN

    ROJKAJORN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,350
    เมื่อวันศุกร์ร่วมบุญโอนเงินสร้างสัปปทน200บาทและอุณาโลม200บาทแล้วครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...