*ทิพยนิยาย*

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพอัปสร

    ในแหล่งชุมชนแออัดหรือที่เคยเรียกว่าสลัมแห่งหนึ่ง ครูอัปสรเปิดห้องเรียนสอนเด็กๆ อยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ริมน้ำ ห้องเรียนของเธอก็คือลานกว้างภายใต้ร่มเงาร่มโพธิ์นั่นเอง เธอมิได้จบหลักสูตรวิชาครูมาจากสถาบันใดหรอก เพียงแต่จบชั้นประถมจากโรงเรียนวัดใกล้บ้านหรือที่เรียกว่ากระต๊อบมีหลังคาหลบแดดฝนนอนพักอาศัยได้ ที่ยายของเธอปลูกสร้างขึ้นเองด้วยลังไม้เก่าๆ เอามาปะติดปะต่อพอนอนไปคืนๆ หนึ่งในสลัมใกล้ต้นโพธิ์นั้น

    ยามกลางวัน พวกผู้ใหญ่ออกไปทำงานประเภทหาเช้ากินค่ำกันหมด เหลือเด็กๆ หลายคนที่เข้าวัยศึกษาแล้ว แต่ไม่มีที่เรียนถูกปล่อยทอดทิ้งอยู่กันตามลำพังมีจำนวนไม่น้อย แน่นอนเด็กเหล่านี้ถ้าไม่มีใครคอยอบรมสั่งสอนช่วยชักจูง อบายกรรมจะต้องมาชักจูงเขาไปเป็นแน่ วันหนึ่งขณะที่จบโรงเรียนมาใหม่ๆ ยายออกไปรับจ้างหาเช้ากินค่ำตามเคย อัปสรแม้จะมีอายุเพียง 12 ขวบ อยู่เฝ้าบ้าน ว่าที่จริงก็ไม่มีอะไรจะให้เฝ้า แต่ที่อยู่เพราะยังไม่มีงานทำ ไม่รู้จะไปไหนยายจึงให้เฝ้าบ้านไปพลางๆ ก่อน

    เธอค้นหาหนังสือเรียนที่ได้เก็บสะสมไว้ออกมาอ่านเล่น
    เมื่อมีเพื่อนรุ่นน้องๆ มาชวนเล่นชวนคุยด้วย เธอก็เปิดหนังสืออ่านเรื่องราวได้เด็กๆ ฟัง เรื่องราวในหนังสือเรียนนั่นแหละ สนุกกว่านิยายเสียอีก เด็กที่ไม่เคยไปโรงเรียน ไม่เคยเบื่อกับหนังสือเรียน ก็เห็นเป็นของสนุก วันต่อๆ มาจึงวนเวียนมาฟังเรื่องราวจากหนังสือที่อัปสรอ่านให้ฟังอีก

    นั่นคือที่มาของการเปิดลานโพธิ์เป็นห้องเรียนกลางแจ้งของเธอ
    เด็กหญิงอัปสร หลานยายฟัก จึงกลายเป็นครูอัปสรไปโดยปริยาย
    ครูก็นึกสนุกและภูมิใจในการสอน นักเรียนก็สนุกสนานในการเรียน ทำไปทำมาเด็กซึ่งไม่เคยไปโรงเรียนเหล่านั้นก็อ่านหนังสือออกเขียนได้ เมื่อใครเฉลียวฉลาดเก่งกว่าคนอื่นหน่อย ครูอัปสรก็ให้รางวัลโดยยกย่องและแต่งตั้งคนผู้นั้นเป็นครูช่วยสอนคนอื่นๆ ต่อไป คนอื่นๆ ก็พยายามตั้งใจเรียนให้เก่งบ้างเพื่อจะได้รับการแต่งตั้งเป็นครูผู้ช่วย กลายเป็นครูลูกโซ่ไปเรื่อยๆ

    “ภูมิใจและโก้เก๋จะตายไป เมื่อผู้ใดได้รับการประกาศให้เป็นครูขึ้นมา”
    วิลาสินีเฝ้าสังเกตความภาคภูมิใจของเด็กๆ เหล่านั้นในวันเสาร์วันหนึ่งขณะที่เธออยู่บ้านที่เช่าที่ดินวัดปลูกอยู่ใกล้ๆ สลัม
    “ชีวิตที่น่าสนใจมากอยู่ที่ข้างบ้านเรานี่เอง”

    หญิงสาวคิด เสียดายที่มิได้สนใจชีวิตเช่นนี้มาก่อนเลย เมื่อเห็นเป็นแหล่งสลัมคนส่วนใหญ่มักจะมีความรู้สึกมองทางลบและพยายามที่จะเบือนตาหนีจากภาพเหล่านั้นไม่อยากให้เข้ามากระทบสายตาให้เสียอารมณ์เปล่าๆ
    “อย่างน้อยก็เคยเป็นความรู้สึกของเราเองในบางครั้งเช่นนั้น”
    เธอคิดตำหนิตัวเองเมื่อคิดได้
    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาเมื่อมีเวลาว่าง วิลาสินีจะเฝ้าสังเกตศึกษาและสอบถามจากคนอื่นถึงพฤติกรรมอันดีงามของหนูน้อยอัปสรเสมอมาโดยมิให้เธอรู้ตัว
    เด็กสาวมีจุดมุ่งหมายต่อไปในการเรียนการสอนนอกสังกัดของเธอคือจุดหมายที่จะสอนให้เด็กเหล่านั้นเป็นคนมีศีลธรรม ประพฤติดี อดทน และต่อสู้

    “การต่อสู้ของพวกเราจะต้องไม่เหมือนของคนอื่นๆ เราจะต่อสู้ด้วยคุณธรรม ด้วยความดี เป็นต้นว่า เมื่อเราเดินไปพบกับเด็กเกเร เด็กเกเรท้าเราต่อยเราจะทำอย่างไรดี ใครคิดได้บ้าง เราไม่หนี เราจะต่อสู้ แต่จะต่อสู้ด้วยคุณธรรม จะทำอย่างไรดีเอ่ย”

    “เราก็ยกมือไหว้เขาซีครับแล้วบอกว่าเรายอมแพ้”
    เด็กชายเปี๊ยกวัย 9 ขวบออกความเห็น
    “เรายืนให้เด็กเกเรต่อยเราทีหนึ่งก่อนแล้วเราก็ต่อยตอบเอาบ้างเพราะมารังแกเราก่อน”
    นายเบิ้มออกความเห็นบ้าง
    “เราก็ต่อยมันเลยเพราะมาท้าเราก่อน เราไม่ใช่เป็นฝ่ายหาเรื่อง”
    เด็กผู้ชายต่างก็ออกความเห็นไปต่างๆ กัน แต่ให้อยู่ในความรู้สึกที่ว่าต้องต่อสู้ด้วยคุณธรรมความดี คือไม่ใช่เป็นผู้ผิด แต่ละคนก็ใช้ความคิดความเห็นกันอย่างสนุกและกล้าแสดงออก

    ครูอัปสร จึงเอานิทานแต่งเองเรื่องหนึ่งขึ้นมาอ่านให้ฟัง
    “มีเด็กเกเรคนหนึ่งเป็นฝ่ายมาร เดินไปแกล้งชนเด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายธรรม แล้วเด็กเกเรก็ท้าเด็กดีว่าเราจงมาต่อยกันเถิด ถ้าใครเก่งกว่าก็จะเป็นผู้ชนะเป็นลูกพี่ เมื่อโตขึ้นจะได้เป็นเจ้าพ่อและจะได้เป็น รอ มอ ตอ ด้วย”

    เด็กดีเป็นลูกผู้ชายและเป็นนักสู้คนหนึ่ง เขาไม่เกรงกลัวเด็กเกเรซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าแต่เขาเป็นคนซื่อจึงตอบไปซื่อๆ ว่า
    เราอยากจะต่อยกับท่าน เราไม่กลัวท่านหรอก แต่เรายังไม่ได้หัดต่อยยังไม่ได้หัดชกมวยมาเลย เราจะต่อยกับท่านได้อย่างไร และอีกอย่างหนึ่งเราไม่อยากเป็นเจ้าพ่อ เราอยากจะเป็นหลวงพ่อเหมือนหลวงตาที่วัดมากกว่า และเราก็ไม่อยากเป็น รอ มอ ตอ เพราะรอ มอ ตอ มักจะถูกคนเขาด่าว่าขี้โกง

    เด็กเกเรก็กล่าวต่อไปว่าเราเองก็ไม่ได้หัดชกมวย เราต่างคนต่างไม่ได้หัดชกมวย เรามาต่อยกัน ใครเก่งกว่าและชนะก็เป็นการยุติธรรมแล้ว
    เด็กดีมีความคิดดีจึงกล่าวคัดค้าน คนไม่ได้หัดมวยมาต่อยกันไม่สนุกหรอก คนดูเขาไม่ชอบ ถ้าเราอยากจะต่อยกันให้สนุก เราทั้งสองจงไปหัดมวยกันก่อนดีกว่า เมื่อต่อยมวยเป็นแล้วเราค่อยมาชกกัน
    แล้วเด็กทั้งสองคนก็พากันไปหาครูมวย และขอเป็นลูกศิษย์หัดต่อยมวยกับครูมวย

    คนดี มีความคิดดี มีความตั้งใจดี จึงตั้งใจหัดมวยกับครูมวยจนมีความเก่งกล้าในการต่อยมวย ส่วนคนเกเรมีความคิดเกเร มิได้ตั้งใจในการหัดมวยจึงไม่มีความเก่งกล้าขึ้นมา เมื่อครูสอนให้จบแล้วเด็กเกเรก็ไม่กล้าท้าเด็กดีต่อยกันอีกเลยเพราะรู้แล้วเห็นแล้วว่าจะต่อยสู้เด็กดีไม่ได้
    เรื่องนี้ก็จบลงเท่านี้ แสดงให้เห็นว่าคนดีเป็นคนไม่กลัวคน แต่ต้องต่อสู้ด้วยความดี ต้องต่อสู้ด้วยหลักการ คนดีจะไม่นิยมเจ้าพ่อ แต่จะนิยมหลวงพ่อที่วัด คนดีถ้าเป็น รมต.ก็จะเป็น รมต.ที่ดีไม่ขี้โกง บ้านเมืองก็จะดีมีความเจริญ...พวกเราอยากเป็นเด็กเกเรหรือเด็กดีกันเอ่ย”

    แน่นอนเด็กทุกคนทั้งหญิงและชายต่างก็อยากเป็นเด็กดีด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนยกมือพรึ่บอยากเป็นเด็กดีและจดจำตัวอย่างไว้ในใจที่จะทำตามต่อไป
    ครูอัปสร ครูนอกสังกัด นักเรียนนอกหลักสูตรที่ลานโพธิ์ริมน้ำจึงกลายเป็นกลุ่มพัฒนาทั้งความรู้และจิตใจของเด็กสลัม โดยความสมัครใจสอนสมัครใจเรียนกันเองฉันเพื่อนฝูง มิได้ค่าตอบแทนเป็นทรัพย์สินแต่ทุกคนรักใคร่กลมเกลียวต่างให้ค่าตอบแทนเป็นน้ำใจซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถึงเป็นเด็กสลัมก็มีจิตใจสูงส่งเพราะได้รับการอบรมกันมาในด้านคุณธรรมด้วยความสมัครใจ

    ครูอัปสรมักจะอาศัยหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งค้นหาได้จากหนังสือในวัดมาเป็นหลักในการสอนและพยายามสอนให้คนรักความสงบอย่างแท้จริง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น อดทนและทนอดโดยไม่เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น นอกจากจิตใจของตนเองที่จะร้องขอให้ช่วยตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
    “การนำผู้คนไปสู่ความสงบเป็นบุญ การนำผู้คนไปสู่ความวุ่นวายเป็นบาป”
    เธอตั้งสุภาษิตขึ้นมาด้วยความรู้สึกเช่นนั้น

    อีกยามหนึ่งที่ธรรมถอดกายทิพย์ขึ้นเฝ้าจอมเทพแดนดาวดึงส์
    “อาคันตุกะ ท่านมาทันเวลาพอดี ท่านกำลังจะได้เห็นสิ่งใกล้ตัวในโลกภพ จงพิจารณาวิมานทองที่เนินเมฆ แล้วรำลึกไว้”

    ธรรม มองตรงไปยังวิมานที่เงียบสงบลอยโดดเด่นอยู่ ไม่มีเทพสถิตในวิมานนั้น เพียงชั่วครู่เดียววิมานนั้นก็เปล่งประกายรัศมีวูบวาบขึ้นอย่างประหลาด สวยสดตระการตาและปรากฏนางฟ้าเทพธิดาสถิตพร้อมด้วยบริวารอย่างกะทันหันเหมือนจอภาพยนตร์ที่ว่างเปล่าแต่แรกแล้วปรากฏภาพขึ้นทันทีเมื่อเริ่มฉาย ที่เบื้องหลังวิมานที่โล่งเตียน บัดนี้ปรากฏต้นโพธิ์ทองใหญ่สลัดใบทองคำตระหง่านง้ำปกคลุมวิมานอยู่ เทพธิดาผู้ปรากฏเป็นเจ้าของวิมานงดงามยิ่งนัก สร้อยสายถนิมอาภรณ์เปล่งประกายสดใสสว่างไสวกว่าเทพธิดาใดๆ ในวิมานนั้น องค์เธอปีติอิ่มเอิบ และถูกซักถามจากเทพบริวารแวดล้อมเหมือนได้จากไปที่อื่นและเพิ่งกลับมาใหม่ๆ ในยามนี้


    แดนดาวดึงส์
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    “เธอคือเทพอัปสร ผู้เพิ่งสิ้นชีวิตมาจากโลกมนุษย์หลังจากที่ลงไปประกอบกุศลกิจเมื่อครู่นี้ เธอขออนุญาตลงไปเพียงประเดี๋ยวเดียวเพื่อสร้างเสริมบารมี เธอกลับมาแล้วพร้อมด้วยบารมีมากขึ้น วิมานของเธอสว่างไสวขึ้น มีโพธิ์ทองวาบวับมหึมานิมิตขึ้นด้วย แน่นอนเธอจะต้องลงไปทำอะไรไว้ที่ต้นโพธิ์ก่อนที่จะอาสาปวารณาลงไปจุติ เธออธิษฐานว่าจะไปช่วยชี้ทางถูกให้เด็กๆ ผู้ทุกข์ยาก”

    ท้าวสักกะตรัสแจ้งถึงความเปลี่ยนแปลงของวิมานที่กายทิพย์กำลังพิจารณา
    “กิจของเทพที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มีอยู่ทุกวาระหรือจอมเทพ”
    “มีอยู่เป็นปกติ ตามแต่ทิพยจิตของเทพที่รำลึกได้”
    “หมายความว่าอย่างไร ที่ว่าจิตของเทพพึงรำลึกได้”

    “วิสัยของเทพก็คล้ายคลึงมนุษย์ คือการติด เทพส่วนใหญ่จะติดการเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ จะไม่ไปไหนแม้แต่วินาทีเดียวก็เสียดาย เทพส่วนใหญ่จึงเพลิดเพลินอยู่ในความรื่นรมย์ไม่ขาดตอน อิ่มเอมอยู่ในผลบุญเช่นนั้น สำราญอยู่ในความรู้สึกตลอดเวลา ยิ่งจะรำพึงถึงโลกมนุษย์ที่เปรียบเสมือนบ่อคูถด้วยแล้ว เทพผู้เพลิดเพลินจะไม่รำพึงเลย น่ารังเกียจ น่ากลัว มักจะหนีจิตไปให้ห่างไกลเพราะเทพมีวิสัยเช่นนี้ สักวันหนึ่งเทพก็จะหมดบุญ เมื่อนั้นกรรมเก่าจะเข้าครอบงำเช่นเดิม นั่นเป็นบุพนิมิตถึงการมรณะคือจุติของเทพ เทพจะปริวิตกยิ่งนัก แม้แต่เราท้าวสักกะก็เคยประสบมาแล้ว เทพผู้ใดไม่ประมาทพึงรำลึกได้ถึงธรรมชาติเช่นนี้ จะพึงแสวงหาบารมียิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยการสละการเสวยสุขเพียงชั่วครั้งชั่วครู่บนสวรรค์จุติลงไปทนทุกข์เวทนาในเมืองมนุษย์ตามกาลเวลาเพื่อสร้างสมกุศลบารมีในประการต่างๆ ตามที่ได้อธิษฐานลงไป ก็จะเป็นการสร้างสรรค์ต่อบุญกุศลยืดยาวต่อไปอีกในแดนนี้ เราจึงกล่าวว่าเทพที่มีจิตรำลึกได้จะลงไปสร้างสมบารมีเป็นปกติ”

    “ข้าแด่จอมเทพ ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วที่พระองค์กล่าวว่าเรื่องของเทพอัปสร ผู้สถิตในวิมานโพธิ์ทองอันกำลังปรากฏเป็นเรื่องใกล้ตัวข้าพเจ้า และเพิ่งจะปรากฏขึ้นเมื่อครู่ เรื่องของเทพเธอเบื้องล่างข้าพเจ้าจะมีโอกาสได้พบเห็นบ้างหรือไม่ จอมเทพ”

    “เป็นสักขีจากดาวดึงส์ ที่ท่านจะได้พบเมื่อลงไปในยามนี้”
    เช้าวันรุ่งขึ้น ธรรมโทรศัพท์ไปหาวิลาสินีแต่เช้าตรู่เพราะหญิงสาวเคยนำพฤติกรรมของเด็กสาวในสลัมที่สอนหนังสือเด็กๆ ซึ่งไม่มีที่เรียนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำมากล่าวให้ฟังในระยะหลัง
    “เด็กสาวในสลัมที่เป็นครูนอกสังกัดที่เปิดโรงเรียนใต้ต้นโพธิ์เธอชื่ออะไรหรือ”
    เขากรอกเสียงถามด้วยไม่แน่ใจ
    “อัปสร หนูน้อยอัปสร...แต่เธอได้ตายเสียแล้วเมื่อกลางดึกที่ผ่านมานี่เอง”
    วิลาสินีตอบด้วยเสียงเศร้าสร้อย
    “ยายฟักบอกว่า เมื่อตอนดึกลมแรงฝนเริ่มตก เธอวิ่งออกไปเก็บกองหนังสือที่โคนต้นโพธิ์เพื่อจะเอาไว้สอนเด็กๆ ต่อไป เธอถูกงูเห่ากัดตาย”
    หญิงสาวสะอื้น ธรรมรำลึกความทรงจำในสมาธิถึงเทพอัปสร
    “เทพอัปสร”
    และกล่าวเบาๆ ไปตามสายโทรศัพท์”
    “อะไรหรือคะ คุณว่าอะไรคะ”
    “เทพอัปสร ผู้มีวิมานทองสดสวยใต้ต้นโพธิ์ทิพย์อันอร่ามเรืองยิ่งนัก...คุณวิบันทึกผลงานของเธอไว้ให้ละเอียดเพราะนั่นคือวัตถุดิบที่คุณจะเขียนต่อไปได้ นั่นเป็นสักขีพยานใกล้ตัวที่ท่านท้าวสักกะปรากฏนิมิตให้ผมสัมผัสเมื่อยามดึกสงัดเวลาเดียวกับที่หนูน้อยอัปสรตายพอดี”

    แล้วในเย็นวันนั้นธรรมก็ไปงานศพของหนูน้อยที่วัดกับวิลาสินี หนูน้อยในนามครูอัปสรได้ตายจากไปแล้ว คงทิ้งความดี ศีลธรรม คุณธรรม และพุทธธรรมไว้ให้เด็กๆ สลัม ผู้เป็นทั้งเพื่อนทั้งน้องและลูกศิษย์ในชุมชนแห่งนั้นกันอย่างถ้วนทั่ว เพราะในเย็นวันนั้นเอง เด็กผู้ชายทุกคนที่เคยมาเป็นลูกศิษย์ของเธอพากันโกนหัวบวชเณรต่อหน้าศพกันเป็นแถว เห็นแล้วน่าปลื้มใจยิ่งนัก
    “ผมตั้งใจจะบวชไม่สึกเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ครูอัปสรครับ”

    สามเณรส่วนใหญ่กล่าวเช่นนั้นด้วยรอยคราบน้ำตาและดวงตาที่แสดงความจริงจังในคำพูด พ่อแม่ญาติมิตรทั้งสมณเจ้าในวัดทุกองค์ก็พากันอนุโมทนาสาธุและสนับสนุนเด็กน้อยๆ จากแหล่งสลัมที่พากันปฏิญาณตนเพื่อจะเดินทางไปสู่สวรรค์ตามคุณครูผู้ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่า
    “นั่นคือเทพธิดาผู้อาสาจุติลงมาครู่หนึ่งเพื่อชี้ทางสวรรค์แก่เด็กๆ ผู้ทุกข์ยาก”
    ธรรม บำรุงศีล กล่าวอย่างแผ่วเบาด้วยสีหน้าปีติอิ่มเอมด้วยผลบุญที่ทราบแล้วว่าเทพอัปสรได้รับเพิ่มพูนขึ้นบนสวรรค์ ก่อนจะกลับจากงานคืนนั้น ทั้งสองได้พากันไปไหว้ล่ำลายายฟักซึ่งนั่งร้องไห้มิได้หยุดเพราะแกมีหลานสาวคนเดียวอยู่ด้วยกันก็มาด่วนตายจากไปในวัยอันไม่ควร

    “คุณยาย หนูน้อยอัปสรไปบังเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์แล้ว คุณยายทำบุญรำลึกถึงเธอชื่อเทพอัปสร สถิตอยู่ในวิมานใต้ต้นโพธิ์ทองที่สวยงามมาก เธอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของท้าวสักกเทวราช นึกถึงเธอเถิด สักวันหนึ่งคุณยายก็จะได้ไปอยู่กับเธอ”
    ยายฟักมองเขาอย่างงงๆ ด้วยไม่เคยรู้จักมาก่อน แกก็คิดไปตามประสาว่าเป็นการปลอบใจคนแก่กันตามธรรมดาตามธรรมเนียม แกหยุดร้องไห้ประเดี๋ยวเดียว เมื่อนึกขึ้นได้แกก็ร้องไห้โฮขึ้นมาอีกอย่างน่าเวทนา

    วิลาสินี บันทึกเรื่องราวของครูอัปสร ไว้เป็นตอนหนึ่งในข้อเขียนแดนดาวดึงส์ของเธอ เทพธิดาผู้อนุเคราะห์เกื้อกูลโลก การให้สิ่งใดไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการให้ธรรมะ การอบรมคนน้อมจิตเข้าบวชในพระพุทธศาสนาได้แม้เพียงสามเณร ยิ่งใหญ่กว่าการอบรมให้คนไปเป็นนายกรัฐมนตรี และนี่เธอเทพอัปสร สามารถชักจูงเด็กชาวสลัมเป็นจำนวนมากให้บวชเป็นสามเณรชนิดที่ปฏิญาณตนว่าจะไม่สึกตลอดไป อานิสงส์เช่นนี้ย่อมเป็นอานิสงส์สูงสุด

    “เทพธิดาอัปสรมาท่องเที่ยวในโลกมนุษย์เพียงอายุ 12 ขวบ แล้วก็กลับสู่ดาวดึงส์สู่วิมานที่เปล่งปลั่งและเครื่องถนิมอาภรณ์ที่สดใสขึ้นกว่าเดิม ชาวสวรรค์พากันสาธุอนุโมทนาเมื่อเทพเธอกลับมาสถิตในวิมานอีกครั้งหนึ่ง เทพผู้ไม่ประมาทรำลึกได้ปฏิบัติเช่นนั้น มนุษย์ผู้ไม่ประมาทถ้ารำลึกได้ และปฏิบัติเช่นเดียวกันก็จะไปบังเกิดในภพภูมิทิพยสถานเช่นเดียวกัน”

    “หญิงสาวพยายามเขียนเน้นให้มนุษย์พึงปฏิบัติตัวอย่างอันดีงามซึ่งเทพพึงปฏิบัติและประสบผลแล้ว มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ใครเลยจะรู้ตนเองว่าที่จริงตัวคือเทพที่กำลังปฏิบัติกุศลกิจ
    “คนทำดีแน่นอนเป็นวิสัยของเทพ จงทำต่อไปอย่าย่อท้อให้แก่ความเลว ถึงโลกมนุษย์ไม่เห็น โลกสวรรค์ย่อมเห็นอยู่แน่นอน”
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วิทยานิพนธ์เทพยดา

    วิทยานิพนธ์อาศัยข้อมูลจากท้าวสักกะของเธอยังคงดำเนินการเรียบเรียงไปเรื่อยๆ ธรรมาเทพบุตรที่เธอให้นามล้อเลียนเขาเป็นสื่อกลางจากสวรรค์ชี้นำให้เธอเขียนได้มากมายมาถึงเพียงนี้ และยังหาที่จะจบลงยังไม่ได้ง่ายๆ เธอเขียนไปพลางคิดคำนึงไป ถ้าข้อเขียนของเธอยังไม่จบ น่าจะมีใครมาเขียนต่อให้จบลงหรือไม่ เข้าสู่มัชฌิมยาม วิลาสินีหลับลงแล้วและฝันไป เธอฝันว่าได้ขึ้นมาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีก เธอไม่เห็นองค์เทพท้าวสักกะแต่ได้ยินเสียงพลิ้วพรายไพเราะจับใจยิ่งนัก
    “นี่เข้ามาถึงกาลเที่ยงวันบนดาวดึงส์แล้วมิใช่หรือ”
    จอมเทพส่งกระแสเสียงไถ่ถามมาตามบรรยากาศ
    “เจ้าค่ะ” หญิงสาวนอบน้อมตอบ
    “ยังทำงานไม่เสร็จหรือ”
    “ยังเจ้าค่ะ”
    “ขออนุญาตไปแค่เที่ยงมิใช่หรือ”
    “เจ้าค่ะ”
    “ถึงเวลากลับแล้ว เทพในวิมานกำลังรอรับอยู่แล้ว”
    “งานยังไม่เสร็จนี่เจ้าคะ”
    “ธรรมาเทพบุตรยังมีเวลาดำเนินต่อไป กุมุทเทพบุตรจะรับช่วงงานนี้ต่อจากเทพเธอ เทพธิดาวิลาสินี เตรียมตัวกลับได้แล้ว”
    หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้น
    “เทพธิดาวิลาสินีเตรียมตัวกลับได้แล้ว”
    เสียงกังวานแจ่มใสของจอมเทพยังดังก้องอยู่ในโสตนักศึกษาสาวปริญญาโทวัยเบญจเพสขนลุกซู่ มีความรู้สึกสับสน กึ่งดีใจและกริ่งเกรงกลัว
    “รึเราจะเป็นเทพธิดาบริจาริกาองค์นั้น...รึธรรม บำรุงศีล จะเป็นธรรมาเทพบุตรจริงๆ เทพที่เจ้าตัวเองมิอาจได้ยินชื่อตัวเองเมื่อท้าวสักกะทรงกล่าว”
    ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน อีกใจหนึ่งปีติถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเศร้าสร้อยถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
    “ถ้าเป็นจริงเราก็จะต้องตายแล้ว วัย 25 ปี มนุษย์มันเท่ากับช่วงเวลาเช้าถึงเที่ยงพอดีบนดาวดึงส์สวรรค์”
    เธอคิดคำนวณ มันเป็นเช่นนั้นตรงกัน

    “ถ้าเป็นจริงเช่นนั้นเราก็น่าจะดีใจที่จะได้กลับไปเสวยสุขต่อไป แต่งานของเรายังไม่เสร็จ จอมเทพบอกว่า ธรรมาเทพบุตรยังมีเวลาดำเนินต่อไป ธรรมาเทพบุตรจะกลับไปเมื่อยามเย็น ถ้าธรรม บำรุงศีลเป็นเทพองค์นั้น ขณะนี้เขาอยู่ในวัย 30 เศษ เวลาจากเช้าถึงยามเย็นบนดาวดึงส์ เขาก็จะมีเวลาอยู่ต่อไปจนถึงอายุ 50 ปี กุมุทเทพบุตร ผู้จะมีอายุยาวกว่าเทพทั้งสองจะรับช่วงงานนี้ต่อไป...แต่ เอ...เรายังนึกไม่ออกว่าใครคือ กุมุทเทพบุตรอันมีความหมายถึงดอกบัวสายสีขาวองค์นั้น”
    หญิงสาวคิดทบทวนวกวนแล้วก็ลุกขึ้นสวดมนต์เพื่อให้จิตใจสงบลง
    เช้าวันรุ่งขึ้นที่มุมมหาวิทยาลัย วิลาสินีรีบเดินจะไปยังตึกเรียน บังเอิญเกือบจะชนเข้ากับชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินเลี้ยวมุมมาจ๊ะเอ๋กันพอดี แฟ้มเรื่องแดนดาวดึงส์ของเธอตกลงไปกับพื้น ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเธอผู้มิได้อยู่ในเครื่องแบบนักศึกษาผู้นั้นกล่าวขอโทษและรีบก้มลงเก็บแฟ้มให้
    ชั่วแวบหนึ่งที่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหัวชื่อเรื่องที่เขียนไว้หน้าแฟ้ม
    “แดนดาวดึงส์”
    ความสนใจบังเกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที ชายหนุ่มเหลือบตามองชื่อเรื่องซ้ำอีกและกลับมามองหน้าเธอ
    “แดนดาวดึงส์”
    เขาอ่านช้าๆ ขณะที่ส่งแฟ้มคืนมาให้
    “ชื่อนิยาย วิชาเรียน หรือสารคดีอะไรหรือ”
    ชายหนุ่มถามเชิงปรารภ
    หญิงสาวรับแฟ้มคืนมาแนบอก เห็นเขาสนใจจึงตอบไปตามตรง
    “นิยายค่ะ นิยาย...ทิพยนิยาย...”
    “ช่างไพเราะเหลือเกิน ทิพยนิยาย”
    เขาทวนคำ จ้องตาจับอยู่ที่แฟ้มอย่างไม่ลดละ
    “ทิพยนิยาย...แดนดาวดึงส์”
    รำพึงขึ้นมาอีกเหมือนคนละเมอ จนหญิงสาวชักจะรู้สึกขวยเขินถดถอยหลังออกมา
    “ผมเป็นนักหนังสือพิมพ์ และเป็นนักเขียนสมัครเล่น ยังไม่เคยคิดเขียนคำนี้ขึ้นมาก่อนเลย ทั้งๆ ที่ผมใฝ่ฝันที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์มานานแล้ว”
    หญิงสาวรู้สึกสะดุดใจในประโยคสุดท้ายของเขา
    “ผมใฝ่ฝันที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่อสวรรค์มานานแล้ว”
    เธอคำนึงถึงคำกล่าวของท้าวสักกะในฝันก็ดี จากที่ธรรมสัมผัสมาเล่าให้ฟังก็ดีว่าเทพองค์ที่จะรับช่วงงานต่อไปคือ กุมุทเทพบุตร
    “คุณชอบดอกบัวหรือเปล่าคะ หรือคุณชื่อดอกบัวหรือเปล่า...หมายถึงคุณมีอะไรที่เกี่ยวกับดอกบัวหรือไม่”
    วิลาสินีถามตรงๆ อันเกี่ยวเนื่องมาจากความคิดคำนึงของเธอ
    ชายหนุ่มผู้มีแววตาซื่อ มีสีหน้าเซ่อ เพราะงงที่หญิงสาวถามเช่นนั้น
    “ผมชอบดอกบัว แต่ผมไม่ได้ชื่อเช่นนั้น...แต่...แต่ มีสินะ ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับดอกบัวนามข้างท้ายของนามปากกาสมัครเล่นของผมมีความหมายว่าดอกบัว”
    หญิงสาวมีแววตาแจ่มใสขึ้นทันที แต่แรกดูเธอรู้สึกดีใจมากแต่ชั่วครู่ต่อมาดูเธอมีแววเศร้าและสีหน้าหม่นหมองลง
    “ดิฉันชื่อวิลาสินี เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ตึกเรียนนี่...คุณจำไว้ด้วย ถ้าดิฉันเป็นอะไรไป เช่นตายน่ะ คุณดอกบัวช่วยไปที่งานศพดิฉันและถามหาคนชื่อธรรมา เอ๊ย...ชื่อ ธรรม บำรุงศีล”
    เธอกล่าวตะกุกตะกักแล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนเข้าห้องเรียนที่ได้เริ่มเรียนแล้ว


    ----ข้อเขียนของเธอจบลงเพียงนั้น----
    แต่เรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไป

     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพธิดาวิลาสินี

    “ดิฉันชื่อวิลาสินี เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ตึกเรียนนี่... คุณจำไว้ด้วย ถ้าดิฉันเป็นอะไรไป เช่นตายนะ คุณดอกบัว ช่วยไปที่งานศพดิฉันและถามหาคนชื่อธรรมา เอ๊ย...ธรรม บำรุงศีล”

    ข้าพเจ้า “นายดอกบัว” ที่เธอตั้งชื่อให้ รู้สึกเซ่อ และงงอีกตามเคยกับคำบอกกล่าวคำขอร้อง และคำสั่ง ที่พร่างพรูออกมาจากปากของเธอ แม้จะตะกุกตะกักอยู่บ้างมันก็แปลกดีที่อยู่ๆ มีคนที่เราไม่รู้ที่มาที่ไปของเธอมาบอกกล่าวแนะนำตัวและลาตาย
    “แล้วเธอก็หายวับรีบเร่งลับมุมตึกไปเหมือนกับจะรีบไปขึ้นสวรรค์วิมานที่กำลังรอรับอยู่อะไรทำนองนั้น”
    ข้าพเจ้าเดินคิดเรื่อยเปื่อยด้วยจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน

    รุ่งขึ้น เมื่อพบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งถึงกับใจหายวาบ
    “นักศึกษาสาวปริญญาโทนั่งเขียนหนังสือตายในห้องสมุดมหาวิทยาลัย”
    ข้าพเจ้ารีบอ่านรายละเอียดทันที
    “ใช่จริงๆ เธอคือวิลาสินี ผู้นั้นนั่นเอง”
    รู้สึกงุนงงอย่างบอกไม่ถูก ในเนื้อข่าวบรรยายละเอียดว่าเธอกำลังค้นคว้าถึงสิ่งเร้นลับเกี่ยวกับสวรรค์ เทพเทวดา เพื่อจะทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่อง “ความเป็นไปได้ของสิ่งเร้นลับ” เธอตายไปแล้วจริงๆ หลังจากที่พบกับเราโดยบังเอิญในตอนสายของเมื่อเช้าวานไม่นานนัก

    ข้าพเจ้าคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นเหตุการณ์ประหลาด เข้ามาเกี่ยวข้องเกี่ยวพันโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
    “แน่นอนเราจะต้องติดต่อให้ทราบเพื่อจะไปงานศพของเธอตามที่เธอได้ขอร้องไว้”
    ค่ำวันนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นแขกแปลกหน้าไปในงานสวดพระอภิธรรมศพของเธอที่วัดแห่งหนึ่ง ในงานมีญาติมิตรไม่กี่คนที่มาร่วมกันไว้อาลัย นอกจากนั้นก็มีนักศึกษาร่วมคณะเรียนอีกจำนวนหนึ่งที่มากันเป็นกลุ่มในเครื่องแบบ หลังจากขึ้นไปไหว้พระไหว้ศพแล้ว ข้าพเจ้าก็ลงมาเลี่ยงไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังสุด สังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบๆ
    ที่ด้านซ้ายสุดของเก้าอี้แถวหน้า หนุ่มใหญ่อาวุโสกว่าข้าพเจ้าพอประมาณนั่งสงบนิ่งอยู่ด้วยสีหน้าวางเฉย สมถะ เยือกเย็นดูน่าเลื่อมใส

    “ธรรม บำรุงศีล”
    ข้าพเจ้าคิดเอาเองในใจ ด้วยรู้สึกว่าน่าจะไม่ผิด เพราะรูปร่างบุคลิกพร้อมด้วยวิสัยอารมณ์เพียงเห็นผิวเผินเบื้องนอกก็น่าจะเหมาะสมกับชื่อและนามสกุลอันเป็นมงคลของเขา เขานั่งที่เก้าอี้ซ้ายสุดในแถวหน้า ส่วนข้าพเจ้านั่งเก้าอี้ขวาสุดในแถวหลัง เราอยู่ทแยงมุมกันพอดี ข้าพเจ้าจ้องมองเบื้องข้างด้านหลังของเขาอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หันหลังจ้องมองมาทางข้าพเจ้าเหมือนรู้ตัว เราสบตากันในระยะไกล ต่างคนต่างมองกันอยู่ครู่หนึ่งเหมือนเป็นคนรู้จักกัน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รู้จักกันเลย แล้วเราต่างก็เบนสายตาขึ้นไปที่รูปถ่ายหน้าศพของหญิงสาว ซึ่งเธอกำลังยิ้มรับรองและมองตรงมาทางเราทั้งสองคนในแต่ละมุมมองคนละด้าน

    “ขอโทษครับคุณพี่ ถ้าผมเดาไม่ผิดคุณพี่คือ คุณธรรม บำรุงศีล ใช่หรือไม่”
    ข้าพเจ้าเอ่ยถามเมื่อพระสวดพระอภิธรรมจบในเที่ยวที่สามขณะเดินไปเปลี่ยนอิริยาบถและดื่มกาแฟที่เจ้าภาพจัดเลี้ยงอยู่ใกล้ๆ กัน
    “ครับ...ใช่แล้วครับ ผมคือธรรม บำรุงศีล คุณรู้จักผมหรือ”
    ชายหนุ่มอาวุโสตอบเรียบๆ ด้วยรอยยิ้มเมตตา
    “คุณวิลาสินี สั่งไว้ในตอนเช้าก่อนตายให้มาถามหาคุณพี่”
    “คุณเป็นเพื่อนกับเธอหรือ”
    “ไม่เชิงครับ ผมเพิ่งรู้จักเธอโดยบังเอิญ และเธอก็สั่งผมไว้เช่นนั้นเหมือนรู้ตัวว่าเธอกำลังจะเป็นอะไรไป”
    หนุ่มใหญ่ใคร่ครวญพิจารณาข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้วยิ้มให้แบบกันเองเหมือนรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน
    “คุณชื่อ...”
    “วิลาสินีเรียกผมว่า ดอกบัว ครับ”
    ข้าพเจ้ารีบตอบด้วยรู้สึกชอบชื่อที่เธอตั้งให้ขึ้นมาทันที
    “เรียกผมว่าดอกบัวก็แล้วกัน”
    และข้าพเจ้าก็ยืนยันต่อไปเช่นนั้นอีก
    “อ้อ...สวัสดีครับคุณดอกบัว”
    คุณพี่ธรรม ยินดีเรียกเต็มปากเต็มคำอย่างเป็นกันเอง

    เมื่อพระเริ่มสวดเที่ยวที่สี่สุดท้าย เราก็นั่งประนมมือฟังสวดอยู่ข้างกันในแถวหน้าที่ชายหนุ่มอาวุโสนั่งอยู่ก่อน
    ธรรม บำรุงศีล นั่งพนมมือพลางย้อนมโนภาพไปถึงข้อเขียนของวิลาสินีที่ญาติผู้ใหญ่ของเธอนำมามอบให้กับเขาไว้เมื่อตอนเย็นวานนี้ ข้อเขียนในตอนท้ายๆ ก่อนจะเสียชีวิตมีกล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างที่ธรรมเองก็เพิ่งจะรำลึกขึ้นได้ในสิ่งที่เขาได้แสวงหา

    “ท้าวสักกะตรัสในฝันกับเธอว่า...ถึงเวลากลับแล้วเทพในวิมานกำลังรอรับอยู่แล้ว...งานยังไม่เสร็จนี่เจ้าคะ...ธรรมาเทพบุตรยังมีเวลาดำเนินต่อไป กุมุทเทพจะรับช่วงงานนี้ต่อจากเทพเธอ...เทพธิดาวิลาสินี เตรียมตัวกลับได้แล้ว”
    หนุ่มใหญ่ยิ้มน้อยๆ ด้วยความปีติ

    “เทพธิดาวิลาสินี เธอคือเทพธิดาองค์นั้น เทพองค์ที่สองที่ปวารณาอาสาลงมาเกื้อกูลมนุษย์ที่เรากำลังแสวงหาอยู่ เราได้พบเธอแล้ว แต่กว่าจะรู้เธอก็เหลือแต่เพียงสังขารที่เตรียมจะเผาบนเชิงตะกอนในอีกสองสามวันนี้ เธอกลับไปสถิตในวิมานทองอันตระการตาเสวยสุขยิ่งขึ้นต่อไปเถิด”

    ทุกคนในงานศพต่างก็เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของหญิงสาวตามธรรมดามนุษยชาติ นอกเสียจากชายหนุ่มที่ชื่อ ธรรม เท่านั้นทำใจเป็นอุเบกขาเสียได้เพราะรู้เท่าทันถึงความจริงแล้ว เขาย้อนนึกถึงข้อเขียนก่อนตายของเธอต่อมาอีก

    “ถ้าเป็นจริงเช่นนั้นเราก็น่าจะดีใจที่จะได้กลับไปเสวยสุขต่อไปแต่งานของเรายังไม่เสร็จ...จอมเทพบอกว่า...กุมุทเทพบุตร ผู้จะมีอายุมากกว่าเทพทั้งสองจะรับช่วงงานนี้ต่อไป แต่เอ...เรายังนึกไม่ออกว่าใครคือ กุมุทเทพบุตรองค์นั้น”
    และอีกตอนหนึ่งเธอเขียนไว้ว่า

    “ผมเป็นนักหนังสือพิมพ์ และเป็นนักเขียนสมัครเล่นยังไม่เคยคิดเขียนคำนี้ขึ้นมาก่อนเลยทั้งๆ ที่ผมใฝ่ฝันที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์มานานแล้ว”
    ในอีกตอนหนึ่งที่ชายหนุ่มซึ่งพบกันโดยบังเอิญตอบว่า
    “ผมชอบดอกบัว แต่ผมไม่ได้ชื่อเช่นนั้น แต่ แต่ มีสินะ ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับดอกบัว นามข้างท้ายนามปากกาสมัครเล่นของผมมีความหมายว่าดอกบัว”
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    นายดอกบัวขาว

    หนุ่มอาวุโสคิดมาถึงตอนนี้จึงหันหน้ามามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งบอกว่าให้เรียกเขาว่าดอกบัวก็แล้วกันอีกครั้งหนึ่ง ด้วยรอยยิ้มลึกๆ และกระแสรับรู้อยู่ภายใน
    พระสวดจบลง เมื่อเสร็จพิธีถวายผ้าบังสุกุล แขกก็ทยอยกลับ ธรรม บำรุงศีล จึงได้สนทนาเป็นเรื่องเป็นราวกับหนุ่มน้อยนักเขียนสมัครเล่น

    “คุณดอกบัว บอกว่าสนใจที่จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ใช่ไหม”
    “เคยคิดเคยจะเขียน แต่มันเขียนไม่ออก เขียนได้แต่คำว่าสวรรค์แล้วก็มักจะจบลงที่ตรงนั้น”
    ข้าพเจ้าตอบตรงๆ ตามที่ได้มีประสบการณ์มา
    “และอยากจะเขียนต่อไปอีกไหม” คุณพี่หยั่งถามต่อไปอีก
    “เขียนแน่ครับถ้ามีสิ่งดลใจให้เขียนออกนะครับ”
    ข้าพเจ้าตอบอย่างมั่นใจและยังมีความพยายามอยู่เสมอมา

    “ถ้าเช่นนั้น คุณรับแฟ้มข้อเขียนของคุณวิลาสินีไว้ เธอเขียนเกี่ยวกับสวรรค์แดนดาวดึงส์มามากแล้ว แต่ยังไม่จบ คุณลองเอาไปอ่านดูแล้วช่วยเขียนต่อไปให้จบที ถ้าเขียนไม่ออกและต้องการจะทราบแนวทางที่จะเขียนต่อไปให้ตั้งเป็นคำถามมา แล้วบางที บางทีผมจะช่วยคุณได้บ้าง”

    คุณพี่ธรรม บำรุงศีล มอบแฟ้มของวิลาสินีที่ข้าพเจ้าหยิบจากพื้นดินส่งให้เธอเมื่อเช้าวานนี้ เมื่อพบกันครั้งแรกและครั้งสุดท้ายมาให้ข้าพเจ้าด้วยดวงตาเชื่อมั่น ข้าพเจ้าเองเสียอีกรับแฟ้มมาด้วยความดีใจแต่มิได้เชื่อมั่นในตัวเองที่จะเขียนต่อไปได้เลย

    “ผมจะลองพยายามนะครับ เผื่อบุญกุศลจะช่วยเสริมดลใจให้เขียนได้บ้างกระมัง”
    “คุณเขียนต่อไปสำเร็จแน่ ผมรับรอง”
    ชายหนุ่มผู้อาวุโสให้กำลังใจ แต่น้ำเสียงของเขาดูจริงจังและเชื่อมั่นเช่นนั้น

    ข้าพเจ้าหอบแฟ้มทิพยนิยายแดนดาวดึงส์ของเธอขึ้นไปกราบเคารพศพเพื่อลากลับพร้อมทั้งอธิษฐานขอดวงวิญญาณของเธอจงขึ้นสถิตบนสรวงสวรรค์ที่เธอกำลังเขียนแล้วช่วยดลจิตใจให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องที่เธอปรารถนาสำเร็จลงด้วยดีด้วยเถิด

    ฉับพลัน...กลิ่นหอมฟุ้งเยือกเย็นและสดชื่นอย่างมิเคยได้กลิ่นชนิดนี้มาก่อนเลยก็หอมตลบอบอวลขึ้นในบริเวณที่ข้าพเจ้าและคุณพี่ธรรมกำลังปักธูปลงกระถางเสร็จ กลิ่นหอมประหลาดขจรอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วก็เจือจางหายไปเหลือแต่เพียงกลิ่นธูปควันเทียนตามเดิม

    “คุณจะสำเร็จตามคำอธิษฐาน”
    คุณพี่ธรรมกล่าวเสริมกำลังใจให้อีก
    “แต่...คุณพี่รู้ได้ยังไงว่าเรากำลังอธิษฐานอะไร”
    ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจ

    เมื่อหอบแฟ้มต้นฉบับข้อเขียน “แดนดาวดึงส์” กลับมาถึงบ้านก็ค่อยๆ พลิกอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจสัมผัสภพภูมิซึ่งอยู่ในความเร้นลับของมนุษยชาติตลอดมา ข้าพเจ้าเริ่มอ่านตั้งแต่อักษรตัวแรกจนถึงตัวสุดท้ายที่วิลาสินีได้เขียนไว้ทั้งหมด ดังปรากฏแต่ต้นของหนังสือเล่มนี้มาจนถึงเมื่อพบข้าพเจ้าโดยบังเอิญ

    “สิ่งที่เป็นไปได้ประการแรกก็คือ ถ้าเธอคือเทพธิดาองค์ที่อาสาลงมาอนุเคราะห์เกื้อกูลมนุษย์ เธอขออนุญาตท้าวสักกะเมื่อตอนเช้า ท้าวสักกะประทานเทวานุญาตให้ลงมาจนถึงเที่ยง กาลเวลาบนดาวดึงส์ว่ากันว่าร้อยปีมนุษย์เท่ากับวันหนึ่งกับคืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นนี้ ฉะนั้น ช่วงเช้าถึงเที่ยงบนดาวดึงส์ก็จะเทียบได้เท่ากับ 25 ปี ของมนุษย์พอดี วิลาสินีมีอายุครบเบญจเพสตรงตามเวลาที่ท้าวสักกะโปรดประทานไว้จึงกลับไปสู่วิมานดาวดึงส์ตรงกัน”

    ข้าพเจ้าได้ไปสอบถามคุณพี่ธรรมก็ดี ญาติสนิทของวิลาสินีก็ดีว่าเธอรู้ตัวว่าเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งจะทำให้เสียชีวิตง่ายๆ เช่นโรคหัวใจหรือโรคอย่างอื่นในทำนองนี้มาก่อนบ้างหรือไม่ ก็ได้ความว่าเธอเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เธอมิได้เป็นโรคร้ายแรงเช่นนั้นมาก่อน และสาเหตุการตายของเธอ แพทย์ก็ลงความเห็นว่าหัวใจวายฉับพลัน แสดงว่าเธอมิได้รู้ตัวมาก่อนหน้านี้ว่าจะตายจึงได้เขียนข้อเขียนดักหน้าไว้ให้ตรงกันกับอายุเช่นนั้นได้
    “ถ้าเธอเป็นนางฟ้าชาวสวรรค์จริงๆ สวรรค์ก็จึงมิใช่เรื่องเหลวงไหล” ข้าพเจ้าได้แต่ครุ่นคิด
    “ความฝันครั้งแรกของเธอที่เธอฝันว่าได้ไปพบบุญมาเทพบุตรได้บอกว่าให้เธอกลับมาถามเพื่อนชายคือ ธรรม ว่ารู้จักกัน เป็นญาติของบุญล้อมเทพบุตร เราได้ไปถามคุณพี่ธรรมดูแล้ว คุณพี่ก็ยืนยันมั่นเหมาะว่าไม่เคยบอกให้วิลาสินีทราบมาก่อนว่ามีคุณลุงชื่อบุญล้อม และคนสนิทชื่อบุญมา และทั้งสองคนได้ตายไปแล้วในขณะนั้น ความฝันของเธอก็ตรงกับความจริงมิผิดเพี้ยนโดยมิทราบเรื่องมาก่อน”

    ข้าพเจ้าพยายามพิจารณาหาเหตุผลอีกหลายอย่างจากข้อเขียนของเธอ พิจารณาถึงความเป็นไปได้ พิจารณาหาเหตุที่จะจับผิด จับจุด จับความเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เห็นชัดๆ ออกมาก็ยังหามิได้ ข้อเขียนของเธอช่างสอดคล้องต้องกันจนน่าเชื่อว่า น่าจะเป็นความจริงเช่นนั้น แม้เมื่อตอนที่พบกับข้าพเจ้าโดยบังเอิญ เธอเพิ่งเริ่มรู้ตัวว่าจะตายจากความฝันเมื่อกลางคืน เธอจึงรีบบอกกับข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่เธอเข้าใจว่าน่าจะใช่เป็นผู้ที่ช่วยต่อข้อเขียนซึ่งยังไม่จบของเธอต่อไปได้

    ซึ่งก็มาตรงกับความรู้สึกของเราที่มีความใฝ่ฝันจะเขียนเรื่องเช่นนี้จริงๆ
    ข้าพเจ้าจึงเกิดความศรัทธาขึ้นมามากกว่าที่จะลดความศรัทธาลงไปในยามนี้ เพราะดูอะไรๆ มันช่างมาบังเอิญสอดคล้องต้องกันไปเสียหมด โดยมิได้มีการนัดแนะนัดหมายกันมาก่อน เนื่องจากไม่เคยรู้จักมักจี่หรือได้ยินชื่อเสียงเรื่องราวกันมาก่อนเลย นี่เป็นอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าทึ่งอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะเขียนต่อเรื่องนี้ให้จบเรียบร้อยสมบูรณ์แบบลงไปได้

    “ก็คงเหมือนเธอ...วิลาสินี เมื่อตอนแรก เธอหยิบปากกาขึ้นมาทีไรก็ได้แต่จิ้มแห้งอยู่อย่างนั้น จนเมื่อคุณพี่ธรรม บำรุงศีล ผู้มีกระแสสัมผัสมาถ่ายทอดให้เธอก็เขียนออกมาได้เป็นเรื่องเป็นราวสืบเนื่องกัน เราคงจะต้องติดต่อกับคุณพี่ผู้อาวุโสทั้งคุณพี่ก็ได้ชี้ช่องไว้ให้แล้ว”

    ข้าพเจ้าจึงรำลึกถึงคุณพี่ผู้มีบุคลิกที่น่าเลื่อมใสเป็นที่พึ่ง
    “ถ้าเขาเป็นธรรมาเทพบุตรจริง เขายังจะมีอายุอยู่ต่อไปจนถึงวัย 50 ปี
    ข้าพเจ้านึกถึงดวงตาทั้งคู่ที่มีแววเมตตาและจริงใจอยู่ในส่วนลึกของบุรุษที่ชื่อธรรม นึกถึงน้ำเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาแต่มีกังวาน นึกถึงใบหน้าที่วางเฉยเป็นอุเบกขาสมถะ เป็นบุคลิกของเทพบุตร ซึ่งให้ความเยือกเย็นสบายใจแก่ผู้ได้พบเห็นและสนทนาด้วย

    “แต่ตัวคุณพี่ผู้นั้นก็คงมิได้มีความมั่นใจว่าตัวเองเป็นเทพบุตรองค์แรกที่อาสาลงมา คุณพี่มิได้กล่าวอ้างแสดงสิ่งใดออกมา นอกจากนั้นในข้อเขียนของวิลาสินีที่ต่างก็แสวงหาเทพทั้งหมดนั่นอยู่ แสดงว่าตัวของเขาเองและเธอไม่ได้หวนคิดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่าเป็นเทพที่เขากำลังแสวงหานั่นเลย”
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ยิ่งคิดทบทวนข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกศรัทธาในตัวหญิงสาววิลาสินีและคุณพี่ธรรม บำรุงศีล มากขึ้น
    “แต่เขาทั้งสองน่าจะเป็นเทพทั้งสอง คือเทพบุตรองค์แรกและเทพบริจาริกาที่ขอประทานเทวานุญาตท้าวสักกเทวราชลงมาเป็นแน่ บางที... บางที จะมีนักเขียนดังๆ นักประพันธ์ใหญ่ๆ สักคนในวงการหนังสือที่จะเป็นกุมุทเทพบุตร ผู้รับช่วงงานประพันธ์ที่ยังไม่จบของเทพธิดาวิลาสินีเราจะลองแสวงหาผู้รับช่วงตัวจริงผู้นั้นดูก่อน...”

    ในแวดวงนักเขียนนักประพันธ์หลายคน ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักข้าพเจ้าได้ไปพบพี่ๆ และเพื่อนๆ เหล่านั้น เมื่อมีโอกาสก็จะพยายามหยิบยกเอาเรื่องแดนดาวดึงส์ขึ้นมาพูดเพื่อแสวงหาผู้ที่สนใจ
    “คุณพี่ครับ พี่เคยเขียนกล่าวอ้างถึงสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ในนวนิยายผมอ่านแล้วสนุกจังเลย อยากจะอ่านนิยายของคุณพี่ที่เกี่ยวข้องกับสวรรค์มากๆ เช่นเรื่องดาวดึงส์ทั้งเรื่องเลยทำนองนั้น ไม่เพียงแต่เอามาอ้างอิงนิดๆ หน่อยๆ เป็นเพียงฉากประกอบเรื่อง พี่คิดจะเขียนทำนองนี้บ้างไหม”

    นักประพันธ์สตรีผู้อาวุโสนามโด่งดังผู้หนึ่งมองหน้าข้าพเจ้าเหมือนเวทนา
    “ไม่ได้หรอกน้อง เขียนอย่างนั้นทั้งเรื่องน่ะมันเขียนได้แต่พระท่านจะว่าเอา จะว่าไปแย่งท่านเขียน”
    “เราเขียนแบบนักประพันธ์ ไม่ใช่เขียนธรรมะ มันคนละแบบกับพระท่านนะคุณพี่”
    “แล้วจะให้ใครอ่านล่ะ”
    “คนน่ะสิครับ คนไม่เคยเห็นสวรรค์น่าจะลองอ่านดู”
    “จะให้ใครพิมพ์ล่ะ”

    “โรงพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์ที่คุณพี่สังกัดนั่นน่ะสิครับ มีตั้งมากมายหลายแห่งที่พี่ลงอยู่”
    “น้องเอ๋ย...มนุษย์เขาชอบอ่านเรื่องมนุษย์ด้วยกัน มันอยู่ใกล้ตัวเห็นจริงเห็นจังจำมาเป็นแบบอย่างได้ มีทุกข์มีสุขมีเศร้าโศกเสียใจดีใจระคนกัน อ่านแล้วมันจึงจะสะใจถึงใจเหมือนตัวเองเข้าไปอยู่ในละคร ถ้าจะเขียนถึงสวรรค์ซึ่งอยู่ที่ไหนไม่รู้ มีหรือไม่มีไม่รู้ จริงหรือไม่จริงไม่รู้ แล้วก็เป็นเรื่องของเทพเทวดาซึ่งเอาแต่อยู่ในวิมานเสวยทิพยสุขแต่เพียงอย่างเดียว มันไม่มีรสชาติ มีแต่ความสุขอย่างเดียวคนก็เบื่อเขาไม่อ่านกัน เราต้องเขียนให้คนเขาอ่าน โรงพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์เขาจึงจะลงให้ ถ้าพี่เขียนแบบเธอว่า ไส้แห้งอดตาย”

    พี่สาวเขาพูดถูก ไม่เหมือนข้าพเจ้าที่ชอบเขียนเรื่องประเภททวนกระแสความต้องการคนอ่าน ที่เห็นว่าดีและสร้างสรรค์คุณธรรมจึงเขียนได้ คนอ่านก็ว่าดีแต่ไม่ดัง ขายไม่ออก
    ข้าพเจ้าจึงแสวงหาเทพบุตรองค์นั้นต่อไป
    “ต้องเป็นผู้ชาย เพราะมาจากเทพบุตร”
    ข้าพเจ้าคิดถึงเทพผู้รับช่วงงานต่อไปอีก
    “พี่ครับ เดี๋ยวนี้เห็นพี่มาเขียนเรื่องเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องพระเรื่องเจ้า แฟนอ่านติดกันงอมแงม พี่ลองเขียนเรื่องเทพเทวดาหรือสวรรค์บ้างหรือเปล่า ผมว่าน่าจะลองเขียนบ้างนะ ชื่อของพี่ถ้าเขียนเรื่องประเภทนี้คนจะติดตามอ่านมากมายเลย”

    นักประพันธ์ใหญ่สุภาพบุรุษ ผู้ถนัดเขียนนวนิยายทุกประเภทหันมาชื่นชมข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าได้กล่าวชื่นชมผลงานของเขา

    “ที่แฟนเขาติดกันมาก เพราะคนเดี๋ยวนี้ขาดที่พึ่งทางใจ ถ้าเราเขียนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้เห็นจริงเห็นจังให้เขาตามอย่างไปทำเองได้ เช่นมีคาถาอาคมปลุกเสกเหล็กไหลได้ มีคาถาเวทมนตร์ให้เขาท่องให้แคล้วคลาดจากศาตราวุธได้ หรือเขียนถึงพระก็ต้องเขียนถึงพระเครื่องที่ขลังจริงๆ ขนาดปืนเอ็ม 16 ยิงแชะๆ ไม่ออกทั้งตับอะไรทำนองนั้น คนอ่านก็พยายามจำไปใช้และติดตามหาพระเครื่องประเภทนั้นๆ ที่เรากล่าวถึง มันเป็นเรื่องให้คนอ่านหยิบได้จับได้ ถ้าพี่หันไปเขียนถึงเทพเทวดาสวรรค์วิมานบนฟ้า เขาเอื้อมไม่ถึง หยิบไม่ได้ จับไม่ถูก พี่ก็เจ๊ง คนก็เซ็ง ใครจะไปอ่านกันเล่า มันเรื่องสูงเกินเอื้อมเกินไป”

    ก็จริงของเขา พี่ชายเขาพูดก็ถูกเช่นนั้น
    “มันเป็นเรื่องสูงเกินเอื้อม สู้เขียนเรื่องต่ำๆ ไม่ได้ คนอ่านไขว่คว้าจับต้องได้จนพากันเหนี่ยวรั้งลงไปสู่ที่ต่ำกันจนจะไม่มีเหลือหรออยู่แล้ว” ข้าพเจ้ายังไม่พบเทพบุตรที่แสวงหา
    เพื่อนอีกคนหนึ่ง เป็นนักเขียนไฟแรงเริ่มจะมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในวงการประพันธ์ ข้าพเจ้าจึงไปพบ

    “นี่เพื่อน เดี๋ยวนี้คนที่สนใจบาปบุญคุณโทษ สนใจสวรรค์นิพพานมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแยะ จะเห็นตามร้านหนังสือมีหนังสือประเภทธรรมะ ประเภทบุญกุศล ประเภทสวรรค์วิมานทำนองนั้นขายดีนะ เพื่อนไม่ลองเขียนเกี่ยวกับนิยายบนสวรรค์ดูบ้างหรือ กันว่าเป็นแนวแปลกและใหม่ ถ้าเขียนให้ผู้อ่านอ่านสนุก มันต้องขายดีแน่และยิ่งกว่านั้น ข้อเขียนอย่างนี้ถ้าใส่เหตุผลและมีอุดมการณ์ที่เป็นไปได้สักนิด ก็จะเป็นข้อเขียนที่สร้างสรรค์ โน้มจิตใจให้คนทำดียิ่งขึ้น กันว่าน่าลองนะ”

    ข้าพเจ้าเลียบเคียงเพื่อจะหยั่งความรู้สึกของเพื่อน
    “มันเพ้อฝันและเพ้อเจ้อเกินไป กันยังไม่กล้าเขียนอย่างนั้นหรอก เพิ่งเริ่มจะดังประเดี๋ยวก็จะดับเท่านั้น”
    หมดสิทธิ์ไปอีกคนหนึ่ง เขาไม่ใช่เทพบุตรที่จะมารับช่วงงานของวิลาสินี

    ข้าพเจ้าจึงไปหาพรรคพวกซึ่งเป็นนักเขียนอยู่ในค่ายนิตยสารเกี่ยวกับโลกพระ โลกเจ้า แต่หนังสือค่ายที่พรรคพวกสังกัดอยู่ ก็มีแนวที่ต้องการพระซึ่งมีตัวตนอยู่จริง หรือเจ้าก็เป็นเจ้าที่อยู่ในความเลื่อมใสศรัทธาของคนทั่วไป และต้องบันดาลความต้องการให้คนที่ไปขอพึ่งได้อย่างจะจะเรื่องคุณธรรม อุดมคติ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นนามธรรม ไม่อยู่ในแนวหนังสือของเขา พรรคพวกนักเขียนในค่ายนั้นจึงแบ่งรับแบ่งสู้เกี่ยวกับเรื่องที่ข้าพเจ้าหยิบยกขึ้นมาเพื่อจะทราบความรู้สึกของเขา

    “จริงสินะ เกิดมาเป็นมนุษย์มันก็ต้องอยู่อย่างมนุษย์ บทประพันธ์ที่ขายดิบขายดีเขาเขียนเพื่อขายมนุษย์นี่เขาก็ต้องเขียนให้ถูกต้องเป็นไปตามวิสัยมนุษย์ เจาะลึก ดึงกระชากลากความชั่วช้าสารเลวจากสันดานมนุษย์ขึ้นมาตีแผ่ได้มากเท่าไร เรื่องนั้นดี สนุก เป็นที่นิยมชมชอบของคนอ่านทั่วๆ ไป ถ้าเขียนเรื่องสูงๆ เช่นสวรรค์อย่างที่เราเพ้อฝัน คนพิมพ์คนขายเขาก็กลัวจะดิ่งต่ำลงสู่นรก กลัวขายไม่ออก มันก็น่าเห็นใจสัตว์โลก...”
     
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพธิดาพาสัมผัส

    “...เทพธิดาวิลาสินี ถ้าเทพเธอมีจริง องค์เธอจะช่วยดลใจให้เราดำเนินงานของเธอต่อไปอย่างไรดีเจ้าประคู้น”
    ข้าพเจ้าหมดปัญญาจึงรำลึกถึงเธอก่อนที่จะนอนพักผ่อนในคืนอันมืดมิด
    จะว่าฝันก็ไม่ใช่ฝัน จะว่าตื่นก็ไม่ใช่ตื่น เพราะข้าพเจ้ายังนอนไม่หลับ แต่ข้าพเจ้ามิได้ลืมตาอยู่ ข้าพเจ้าเห็นความสว่างไสวในม่านตาที่หลับอยู่นั้น เป็นความสว่างมากกว่าที่เวลาเราเคยเผลอไปสบตาเข้ากับดวงอาทิตย์ แต่เป็นความสว่างที่เยือกเย็นไม่จัดจ้าเหมือนแสงตะวัน

    มันมิใช่เป็นแสงสว่างที่เคยเห็นในโลกภพ เป็นความโปร่งใสเบาบางอันรุ่งโรจน์ น่าจะคล้ายคลึงความสว่างในสมาธิที่นิ่งสนิทของผู้เจริญวิปัสสนาตามที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินได้ฟังจากผู้ปฏิบัติธรรมเคยกล่าวถึง

    เหมือนถูกผีอำ ทั้งๆ ที่รู้สึกอยู่แต่ขยับตัวจะลืมตาก็ไม่ได้ เหมือนอยู่ในมนต์สะกดแห่งแสงประหลาดนั้น ความสว่างเยือกเย็นมีอานุภาพให้ข้าพเจ้าต้องยอมจำนนอยู่ในภาวะสงบนิ่งโดยอัตโนมัติ จิตใจไม่วอกแวกไปที่อื่น ความรู้สึกทั้งหลายในประสาทสัมผัสดูเหมือนจะรวมมาเป็นจุดเดียวอยู่ที่ดวงแสงซึ่งทรงมหิทธิ

    “ข้าพเจ้าเข้าอยู่ในฌานสมาธิโดยมหิทธานุภาพภายนอกเป็นตัวกำหนด”
    ความรู้สึกบอกข้าพเจ้าเช่นนั้น
    รู้สึกว่าตัวเองเบาบางไร้น้ำหนักล่องลอยออกจากร่างของตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงไปในดวงแสงประหลาดที่ห่อหุ้มเป็นวงกลมล้อมรอบอยู่
    ดินแดนที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสในวาระต่อมา ช่างปลอดโปร่งพิสุทธิ์สดใส ไร้สิ่งบีบคั้นแม้เท่าละอองอณูของอากาศในโลกเรา ข้าพเจ้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่มีอากาศเพราะเราไม่ต้องหายใจ แต่ที่นี้ก็ไม่ใช่เป็นอวกาศเพราะเรามิได้ลอยเคว้งคว้างเหมือนมนุษย์นอกโลกดังที่เคยเห็นในโทรทัศน์

    บนภพภูมิแห่งนี้ไม่ใช่ผืนแผ่นดิน มันเป็นผิวพื้นของหมู่เมฆก็ได้ถ้าจิตเรารำลึกเช่นนั้น เป็นผิวพื้นราบละเอียดอ่อนนุ่มด้วยละอองทองคำก็ได้เมื่อจิตเรานึกให้เป็นไป เป็นเนินไศล ทุ่งหญ้า หรือแผ่นน้ำตามจิตประสงค์
    “เป็นดินแดนแห่งจิตนิมิตที่มีตัวตนสัมผัสได้”
    ข้าพเจ้าพิจารณาจำกัดความรู้สึก
    ข้าพเจ้าพิจารณาถึงความรู้สึกแห่งตน มีความรู้สึกว่าเห็นด้วยตาอยู่ ได้ยินด้วยหู หอมหวนด้วยจมูก การรู้รสในทางลิ้นยังมิได้สัมผัส กายที่อยู่ในรูปโปร่งเบาก็รู้ตัวอยู่ ความรู้สึกนึกคิดที่เรียกว่าใจ ก็ยังมีอยู่ครบถ้วน

    “เป็นดินแดนที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันเป็นทิพย์ เพราะตาเนื้อในกายหยาบของเรายังนอนอยู่บนเตียงและหลับตาอยู่ หู จมูก ลิ้น สังขารหยาบนั้นมิได้มาด้วย แต่ใจซึ่งถ้าหมายถึงความรู้สึกนึกคิดนั้นติดตามมา แม้จะไม่มีหัวใจสี่ห้องที่อยู่ในหน้าอกเบื้องซ้ายปรากฏก็ตาม”
    ถูกแล้ว...ข้าพเจ้ากำลังวิเคราะห์สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังสัมผัส

    ขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังลอยตัวในลักษณะยืนเรี่ยพื้นไปเรื่อยๆเหมือนเมื่อเรากำลังยืนอยู่บนรถเมล์ขณะที่รถวิ่งไป แต่ไม่มีรถเมล์หรือสิ่งรองรับที่พาเราเคลื่อนที่ไปเช่นนั้น จะให้ช้าให้เร็วให้หยุดให้สูงให้ต่ำอยู่ที่จิตของเรากำหนด ข้าพเจ้าคิดขึ้นได้ว่าความรู้สึกทั้งห้าได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ตามภาวะของมันหมดแล้ว คงเหลือการสัมผัสรสชาติในทางลิ้นเท่านั้นที่ยังขาด จึงปรารถนาลิ้มรสอาหารทิพย์

    พลันรูปกายของข้าพเจ้าก็หยุดอยู่บนพื้นที่เป็นละอองทองอ่อนนุ่มนั้น ปรากฏอาหารนานาชนิด ขนม นมเนย ข้าว ผลไม้ ที่เคยรู้จักในโลกมนุษย์นั่นแหละปรากฏขึ้น ล้วนแต่เป็นประเภทที่ข้าพเจ้าเคยชอบๆ ทั้งนั้น ประเภทที่ไม่ชอบไม่มีเลย ปรากฏอยู่ข้างตัวพร้อมจะจับต้องได้ทันที
    “ลองกินขนมตาลที่นึ่งฟูหอมกรุ่นชิ้นนั้น”
    ข้าพเจ้านึกเพราะชอบกินขนมตาลร้อนๆ มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ

    ยังมิทันที่มือตัวเองอันปรากฏอยู่ในรูปโปร่งเบาจะเอื้อมไปหยิบ ขนมชิ้นนั้นก็ลอยเข้ามาเองสู่ส่วนที่ปรากฏว่าเป็นปาก ขนมตาลสลายซาบซ่านเข้าไปในรูปกายเองโดยมิต้องอ้าปาก มิต้องเคี้ยว มิต้องกลืน แต่ไปปรากฏในความรู้สึกอิ่มเอมด้วยรสชาติที่หวานหอมนุ่มนวลละมุนละไมเหมือนที่เคยติดใจในรสชาติที่รู้สึกว่าอร่อยมาก อร่อยจริงๆ อร่อยอย่างเป็นสุขในโลกมนุษย์

    “ความอร่อยในรสจากลิ้น ความสวยงามที่เห็นจากตา เสียงเพราะพริ้งที่ได้ยินจากหู กลิ่นหอมสดชื่นที่ลอยมาเข้าจมูก แต่ละอย่างจะเข้าสู่ความรู้สึกในจุดเดียวกันแปรเป็นความสุขหฤหรรษ์ ปีติอิ่มเอมในจิตที่อยู่ในรูปโปร่งใสอันถือเป็นตัวตนของเราในภาวะนี้”
    ข้าพเจ้าชักจะโน้มจิตกระจ่างชัดขึ้นในสิ่งที่มิเคยรู้สึกมาก่อน
    “ทิพยสัมผัสเป็นเช่นนี้เอง”

    มันเป็นความสัมผัสทั้ง 6 ที่รู้สึกเหมือนในโลกมนุษย์นี่แหละ แต่ปราศจากความบีบคั้นทางอารมณ์ ปราศจากความหยาบกระด้างทางรูปสัมผัส จับต้องได้ในความรู้สึกเหมือนความรู้สึกของมนุษย์ทุกอย่างในโลก แต่ลัดขั้นตอนกว่า เช่นตัวอย่าง มนุษย์เมื่อเห็นความสวยงามทางตา ประสาทจะรับรู้ว่าสวย และส่งไปในความรู้สึกของอารมณ์ทำให้เกิดความอารมณ์พึงพอใจ เมื่ออารมณ์พอใจก็จะกลายเป็นความสุข ความสบาย ความสำราญในดวงจิต เมื่อกินอาหารที่ชอบที่อร่อยมือก็จะหยิบใส่ปาก ปากก็จะเคี้ยว ลิ้นจะรู้รสอันพึงพอใจเข้าใจสู่อารมณ์แปรสภาพเป็นความสุข ความสบาย ความสำราญในดวงจิต เช่นเดียวกับเมื่อได้ยินเสียงไพเราะที่พึงพอใจ ได้กลิ่นหอมหวนที่พึงพอใจ

    สิ่งเหล่านั้นก็จะเข้าสู่อารมณ์แล้วแปรสภาพเป็นความสุข ความสบาย ความสำราญในดวงจิตที่อยู่ในกายเป็นจุดสุดท้ายอยู่ที่ความสุขทั้งสิ้นแต่ในดินแดนภพภูมิที่กำลังสัมผัสนี้เมื่อรู้สึกเห็น รู้สึกได้ยิน รู้สึกได้กลิ่น รู้รส แล้วจะลัดขั้นตอนเข้าสู่ความปีติอิ่มเอมแห่งดวงจิตทันที เพราะตัวตนที่นี่มีแต่รูปและจิตเท่านั้นไม่มีอวัยวะอย่างอื่นเช่นมนุษย์ที่จะต้องรับรู้สัมผัสเป็นขั้นตอนตามลำดับ ทิพยสัมผัสจึงเป็นความสัมผัสที่เกิดสุขโดยทันทีทันใด ตามธรรมชาติอันอยู่ในภาวะเช่นนั้น
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    “ข้าพเจ้าจึงวิเคราะห์ได้ว่า นั่นเป็นธรรมชาติของภาวะในภพภูมินั้น เป็นธรรมดาของภูมิทิพย์ เป็นความจริงในภพของเขา ซึ่งมนุษย์ในโลกภพมีความเป็นอยู่ในภาวะที่แตกต่างกันจึงมิสามารถสัมผัสกันได้ในภาวะมนุษย์”
    ข้าพเจ้าหวนจิตกลับมาพิจารณารูปของตัวเองในขณะนี้

    “มันก็เป็นรูปร่างของตัวเราในโลกมนุษย์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั่นเอง แต่เบาและโปร่งใส ไม่มีอวัยวะภายในหรือภายนอกที่เป็นเนื้อหนังมังสาทั้งสิ้น มันเป็นเพียงรูปปรากฏเท่านั้นเอง และมีจิตอันเป็นดวงความรู้สึกดังกล่าวแทรกอยู่ในรูปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รูปและจิตเช่นนี้นี่เองที่เรียกกันว่า กายทิพย์”

    กายทิพย์ไม่มีน้ำหนัก แผ่นพื้นสรวงสวรรค์ไม่มีแรงดึงดูด จึงเลื่อนลอยไปได้เองเป็นอิสระโดยมีจิตเป็นเครื่องบังคับ ข้าพเจ้าเลื่อนลอยต่อไปผ่านต้นไม้แก้วมีดอกผลเป็นรัตนะหลากสีสันพันธุ์พฤกษ์ไม้ที่สัมผัสเห็นเป็นแก้วรัตนะนั้นมิใช่แข็งกระด้างโด่เด่ แต่พลิ้วพรายไหวโอนระบัดใบระริกเริงร่าเปล่งประกายดูวูบวาบเพลิดเพลินเจริญตา ไม้ผลมีผลกลมเท่าๆ กัน แผ่เป็นรัศมีอยู่รอบพุ่มสีเหลือง แดง ขาว ม่วง น้ำเงิน น้ำตาล ส้ม แสด อยู่ดาษดื่น เห็นสีส้มคิดว่าส้มจึงลองลิ้ม ทันใดไม้ผลกลมเหมือนส้มสุกลูกนั้นก็ลอยเข้ามาสลายหายไปในปากซาบซ่านด้วยรสส้มแสนอร่อยยิ่งนัก และปีติอิ่มเอมในรสนั้นอย่างมิเคยประสบมาก่อน

    “อาหารทิพย์ก็ดี ผลไม้ทิพย์ก็ดี เมื่อเรานึกก็เกิด ก็เข้าสัมผัสให้อิ่มเอม ใครเป็นผู้เนรมิตให้เราหนอ”
    ข้าพเจ้าวิเคราะห์ต่อไป
    “กุศลของท่านนิมิตให้ท่าน ใครสร้างกุศลใดไว้ ผู้นั้นจะได้รับนิมิตตามกุศล”
    เป็นเสียงของสุภาพสตรี แจ่มใสและกังวานขานขึ้น แต่ไม่ปรากฏตัวตนให้สัมผัส เสียงนั้นรู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง
    “อาหารทิพย์บนภพภูมินี้ มีเช่นเดียวเหมือนในโลกมนุษย์หรือ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสแล้วข้าพเจ้าเคยเห็นในโลกมนุษย์”
    ข้าพเจ้าดีใจที่ได้คู่สนทนา
    “ขึ้นชื่อว่าอาหารทิพย์ ของทิพย์ มีทุกอย่างทุกประเภทเหมือนในโลกมนุษย์ก็มี เหมือนในโลกอื่นๆ ก็มี แต่สิ่งที่ท่านได้สัมผัสเป็นสิ่งที่ท่านได้เห็นมาแล้วในโลกมนุษย์ก็เพราะกุศลนิมิตของท่านเป็นกุศลนิมิตที่ติดมาจากโลกมนุษย์”
    “กายทิพย์ที่นี่ มีรูปลักษณะเดียวกันหรือ เช่นเทพเทวดาที่มีถนิมอาภรณ์สร้อยสายแบบเทวดาไทยก็จะมีรูปลักษณะเช่นเทวดาไทยเหมือนกันหมด หรือว่ามีแบบลักษณะอื่นๆ อีกบ้าง”

    “มีรูปลักษณะทุกชนิด อย่างที่กล่าวมาแล้ว ของทิพย์มีทุกอย่าง ทุกประเภท จะปรากฏเป็นรูปลักษณะใด ขึ้นอยู่กับกุศลนิมิตของผู้ที่เป็นเจ้าของกุศล กุศลนิมิตของรูปจิตที่มาจากคนไทยก็จะมีนิมิตแบบไทยๆ กุศลนิมิตของชนชาติใดก็จะมีรูปแบบในลักษณะชนชาตินั้นๆ กุศลนิมิตเกิดขึ้นจากความรำลึกในความรู้สึกที่ฝังแน่นอยู่ภายในอันสะสมไว้เองโดยธรรมชาติในขณะที่ประกอบกรรมดีนั้นๆ เอาไว้”

    “ข้าพเจ้าฟังแล้วอยากจะใช้คำว่า บรรลุ เข้าใจทันทีเลยในปัญหาที่เคยถกเถียงกันอยู่ในหมู่มนุษย์ที่ว่า สวรรค์มีหลายแบบหลายอย่างตามความศรัทธาเชื่อถือของแต่ละชาติศาสนาเพราะเทวดาที่ปรากฏในโลกมนุษย์ไม่เหมือนกัน เทวดาฝรั่งก็อย่างหนึ่ง เทวดาไทยก็อย่างหนึ่ง เทวดาจีนก็อีกอย่างหนึ่งจนทำให้คิดไปว่า สวรรค์ที่มนุษย์พูดกันนั้นเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละเหล่าที่จินตนาการกันขึ้นมา อาศัยวิสัยแวดล้อมของหมู่ตนเป็นที่ตั้งจนดูเหมือนว่าสวรรค์ของใครก็เป็นของคนนั้นสวรรค์มิใช่ของกลาง จึงดูไม่น่าเชื่อว่าสวรรค์ซึ่งเป็นของกลางมีอยู่จริงๆ”

    จากคำอธิบายอันกระจ่างแจ้งที่ได้สัมผัส โดยมิเคยได้รับอธิบายจากผู้ใดในโลกมนุษย์เช่นนี้มาก่อน ทำให้ข้าพเจ้าเห็นชัดขึ้นมาทันทีว่า สวรรค์ที่แท้จริงมีอยู่เป็นภพภูมิเดียวกันของมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกเชื้อชาติศาสนา แม้ในโลกมนุษย์และโลกอื่น เมื่อประกอบกุศลคือกรรมดีแล้ว กรรมดังกล่าวนั้นจะเป็นตัวชักนำขึ้นมาสู่สวรรค์ในมิติเดียวกัน แต่กายทิพย์ที่ปรากฏหรือวิมานสถานสิ่งของส่วนประกอบต่างๆ จะผิดแผกแตกต่างกันไปตามกุศลนิมิตของผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งจะนิมิตบังเกิดขึ้นในรูปแบบที่รำลึกจากความรู้สึกฝังแน่นภายในของแต่ละบุคคลอันติดมาจากสถานสุดท้ายที่เขาเคยมีชีวิตอยู่ ผู้ที่กำลังตอบคำถามของข้าพเจ้าให้เข้าใจกระจ่างแจ้งได้ขณะนี้ต้องเป็นเทพเทวดาแน่ๆ

    “ท่านที่กรุณาตอบปัญหาให้ข้าพเจ้าทราบชัดแจ้งเช่นนี้ท่านคงเป็นเทวดาแน่ๆ ท่านคือเทพธิดาใช่หรือไม่”
    ไม่มีคำตอบจากคำถามนี้ คงมีแต่เสียงหัวเราะขันๆ กังวานแผ่วๆ พลิ้วพรายผสมผสานอยู่ในเสียงระบัดใบของพฤกษาสวรรค์เท่านั้น
    “ข้าพเจ้าประสงค์จะถามท่านต่อไป ถ้าท่านจะกรุณา”
    “พึงถาม สิ่งที่ท่านพึงประสงค์ในกิจของท่านเถิด”
    เสียงกังวานแจ่มใสของเทพธิดารับรองและขีดวงจำกัดเข้ามา
    “ข้าพเจ้ากำลังอยู่ในสถานใด”
    “ทิพยสถาน...แดนดาวดึงส์”
    “แดนดาวดึงส์ที่ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาผู้ซึ่งจะมารับช่วงเขียนต่อจากวิลาสินีนั่นน่ะหรือ”
    “แดนดาวดึงส์ในจักรวาลนี้มีอยู่แห่งเดียวที่ท่านกำลังสัมผัส กิจของท่านไม่มีใครจะทำได้หรอกนอกจากท่านแต่ผู้เดียว”
    สิ้นเสียงอันแจ่มใสในประโยคที่สุด พลันความสว่างไสวรอบกายก็อันตรธานไปสิ้น ข้าพเจ้ารู้สึกตัวเองว่านอนอยู่บนเตียงตามเดิมจึงลืมตาขึ้นพลิกกายได้ หลุดพ้นจากพันธนาการประหลาดนั้นแล้วลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ ห้องที่มีแต่ความมืด
    “ข้าพเจ้าไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝันไป แต่ข้าพเจ้าได้สัมผัสประสบการณ์เช่นนั้นจริงๆ”
    เป็นคำกล่าวยืนยันของข้าพเจ้าอย่างหนักแน่นเสมอมาและเมื่อรู้สึกตัวตามเดิมแล้วนั้นก็เพิ่งมีความรู้สึกได้ว่าเสียงเทพธิดาที่ว่าฟังคุ้นๆ หู
    “คือเสียงของวิลาสินีนั่นเอง”
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพปฏิพัทธ์

    “จริงๆ หรือ ผู้ที่จะรับช่วงงานของเทพธิดาวิลาสินีคือข้าพเจ้า จริงๆ หรือ”
    ข้าพเจ้าไม่อยากจะเชื่อมั่นเช่นนั้น มันเหมือนจะทำให้ตัวเองเดินไม่ติดพื้นแผ่นดินไป ผู้ใดล่วงรู้เข้าก็คงจะมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่แปลกประหลาด ถ้าคนที่ไม่จิตสัมผัสน้อมโน้มถึงสิ่งละเอียดประณีตดังกล่าวแล้ว ก็คงจะมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เป็นห่วงในสุขภาพจิตและบางคนที่ไม่ใช่เป็นมิตรแท้นัก ก็คงจะสวดส่งเลยว่าข้าพเจ้าเข้าขั้นฟั่นเฟือนอย่างกู่ไม่กลับต่างๆ เหล่านั้นเป็นความคิดที่ข้าพเจ้าวิตกวิจารณ์

    “แต่ก็มันอยู่ในความรู้สึกของเราคนเดียวนี่นะ”
    ข้าพเจ้าคิดที่จะไม่นำสิ่งเหล่านั้นออกแพร่งพรายอย่างเด็ดขาด
    “แต่ เอ...ถ้าเขียนเรื่องนี้เสร็จ พิมพ์ออกสู่สายตาผู้อ่านแน่นอน จะต้องมีคนที่รู้จักกับข้าพเจ้าได้อ่านบ้าง เมื่อนั้นความเร้นลับที่จริงหรือไม่จริงของข้าพเจ้าก็ต้องถูกเปิดเผย”
    ก็วิตกวิจารณ์ต่อไปอีก ดูเริ่มจะเข้าขั้น
    “แต่วิลาสินี ผู้มองการณ์ไกลก็ได้ป้องกันเอาไว้ให้แล้วที่เธอใช้ชื่อว่าทิพยนิยายไว้ข้างหน้า ให้เห็นว่านี่คือนิยาย นิยายคือเรื่องอ่านเล่น ผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วไปไม่มีใครใส่ใจจริงจังนักหรอก จริงสินะ...นี่เป็นเพียงนิยาย เราคิดมากไปเอง”

    เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เบาใจลง จึงลองเขียนต่อ ว่าที่จริงมันเป็นการบันทึกประสบการณ์ประหลาดดังกล่าวแล้วมากกว่า
    “และถ้าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้บันทึก ข้าพเจ้าจะเขียนต่อไปเองได้อย่างไร”
    เริ่มวิตกวิจารณ์อีก
    ข้าพเจ้าได้พบกับคุณพี่ธรรม บำรุงศีล เขาให้ความเมตตาเช่นเคย ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกศรัทธาเลื่อมใสเขามากขึ้น เราต่างคนต่างจ้องพิจารณากันและกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ แน่นอน ในใจคงจะต้องคิดในสิ่งเดียวกัน แต่เราทั้งสองมิกล้าที่จะกล่าวถึงสิ่งที่กำลังคิดนั้น
    “คุณดอกบัว คุณเริ่มข้อเขียนของคุณบ้างหรือยัง”
    คุณพี่เป็นฝ่ายเอ่ยทักถามขึ้นมาก่อน ข้าพเจ้ายังมิอยากจะเปิดเผยถึงสิ่งที่ได้สัมผัสและกระทำมาบ้างแล้ว
    “ผมกำลังแสวงหา แสวงหาผู้ที่จะมารับช่วงงานของวิลาสินีซึ่งเป็นผู้รับทอดตัวจริง”
    “หาพบแล้วหรือยังล่ะ”
    “เข้าใจว่าคงจะพบในไม่ช้าครับ”
    คุณพี่ธรรมเหม่อสายตาทอดไปยังกระแสน้ำกลางแม่น้ำเจ้าพระยา เรานั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหารเล็กสุดในมุมหนึ่งของร้านอาหารริมน้ำนั้น
    “เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงนะ ดูเหมือนจะมีกล่าวเป็นสัจธรรมของพระพุทธองค์ไว้ด้วยว่าการค้นหาผู้อื่นจะพบได้ไม่ยากแต่การค้นหาตนเองยากนักที่จะพบได้”
    หนุ่มใหญ่อาวุโสกล่าวขึ้นยิ้มๆ
    ข้าพเจ้านิ่งเสียไม่อยากจะแสดงรับรู้ความหมายของผู้อาวุโสแต่กำลังคิดว่าจะได้วัตถุดิบอะไรหรือไม่จากคุณพี่ผู้เป็นต้นตอแห่งข้อเขียนที่กำลังดำเนินอยู่เพื่อเป็นแนวทางที่จะเขียนต่อไป

    ขณะนั้น ฝรั่งหนุ่มสาวคู่หนึ่งพากันเดินเข้ามาในร้านและนั่งที่โต๊ะใกล้ๆ สั่งเครื่องดื่มแล้วประคองกอดกันอยู่ ทั้งคู่นั่งใกล้ชิดติดกัน คงจะเป็นหนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในความรักหรือไม่ก็ประเภทสามีภริยาที่เพิ่งจะข้าวใหม่ปลามัน ธรรมเนียมของเขาไม่ถือว่าการกอดจูบด้วยความเสน่หากันในที่สาธารณะเป็นเรื่องน่าอับอาย ดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกตรงข้ามเสียด้วยซ้ำที่ถือว่าเป็นสิ่งน่านิยมที่ได้แสดงความรักดูดดื่มให้ผู้อื่นได้รับรู้รับเห็นไว้ด้วย ฝรั่งคู่นั้นดูจะมีกาลเทศะน้อยไปหน่อยที่ลืมคำนึงถึงว่า ที่นี่เมืองไทย เมืองที่ผู้คนเขาถือกันว่าการกระทำสิ่งนั้นเป็นสิ่งน่าอับอาย จึงกอดจูบกันใหญ่ด้วยปากต่อปาก ด้วยอ้อมกอดโดยมิแคร์สายตาคนไทยที่จ้องมองอยู่รอบด้าน

    ธรรม บำรุงศีล มองภาพของฝรั่งคู่นั้นด้วยความรู้สึกที่อุเบกขาได้เพราะดูเขามองแล้วก็เฉยๆ มิได้แสดงอาการตื่นเต้น นิยมหรือตำหนิ ดูคุณพี่เฉยๆ จริงๆ ผิดกับข้าพเจ้ามันมีความรู้สึกที่อยากจะตะโกนออกไปดังๆ ว่า
    “เฮ้ ! ยู นี่มันไทยแลนด์นะโว้ย”
    ข้าพเจ้ามักจะเลือดร้อนเมื่อเห็นสิ่งใดไม่ถูกต้องเสมอแต่ก็สะกดใจไว้ได้ เมื่อหันมาทางคุณพี่ซึ่งเบนสายตามองท้องน้ำดีกว่า ข้าพเจ้าก็มองตามคุณพี่บ้าง สายน้ำเจ้าพระยาช่วยทำให้เลือดในกายหยาบของข้าพเจ้าเย็นลงได้จริงๆ แล้วเกิดความคิดแวบหนึ่งขึ้นมา

    “มนุษย์เราอยู่ในสังขารกายหยาบ ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเมื่อมีความรักใคร่เสน่หา อันเกิดจากกามคุณ ก็แสดงออกทาง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายซึ่งกันและกันแล้วนำไปสู่ความสุขสุดยอดเป็นธรรมชาติ ส่วนกายทิพย์เทวดาซึ่งก็มีเพศชายเพศหญิงคือเทพบุตรเทพธิดาและยังเป็นผู้ที่อยู่ในกามภพเช่นกัน ย่อมมีความรักใคร่สิเน่หากันได้ เทพเทวดาจะแสดงความรักอันเป็นทางนำไปสู่ความสุขสุดยอดในลักษณะใด”

    ความคิดพิสดารเกิดขึ้นเพราะฝรั่งคู่นี้แท้ๆ เพียงแต่คิดอยู่ในใจไม่กล้าถามพี่ชายผู้วางเฉย เกรงว่าจะถูกครหาได้ว่าเป็นความคิดพิเรนท์ๆ
    “ถูกแล้ว เทพเทวดาก็มีความรักใคร่เสน่หากัน ที่เรียกว่า เทพปฏิพัทธ์ เพราะเทวดายังอยู่ในกามภพ คือภพของผู้เสพกาม”
    คุณพี่ธรรม บำรุงศีล เอ่ยรับขึ้นมาทั้งๆ ที่ข้าพเจ้ายังมิได้ถามสิ่งที่คิดอยู่ในใจคนเดียว ความงงงวยเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ทบทวนความรู้สึกตนเองว่าได้เผลอถามออกไปหรือเปล่าก็แน่ใจว่าไม่ได้พูดออกไปแน่ๆ
    “เอ...แล้วคุณพี่แกรู้ได้อย่างไร”
    ข้าพเจ้าจ้องหน้าคุณพี่ด้วยรอยยิ้มและสงสัย คุณพี่ก็ยิ้มตอบแล้วกล่าวต่อไป
    “มองตาก็รู้ใจ พี่รู้ก็เพราะใจเธอถาม”
    เอาอีกแล้ว ข้าพเจ้ายังมิได้ถามออกไปว่าคุณพี่รู้ได้อย่างไร คุณพี่ก็รู้อีกแล้วและตอบมาแล้ว
    “คุณพี่รู้ความในใจผม”
    ข้าพเจ้าโพล่งออกไปอย่างตื่นเต้น
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    “เหตุการณ์มันบอกน่ะ”
    หนุ่มใหญ่กล่าวอย่างเยือกเย็นตามเคย ข้าพเจ้าชะงักใคร่ครวญ
    “ธรรมาเทพบุตร จริงสินะ คุณพี่ธรรม บำรุงศีล คงจะเป็นเทพบุตรองค์นั้นจริงๆ”
    คิดคำนึงอยู่ในใจ คราวนี้เขามิได้แสดงรับรู้ว่าข้าพเจ้าคิดเช่นนั้นกับเขา ข้าพเจ้าจึงกล่าวทบทวนคำที่น่าสนใจซึ่งคุณพี่กล่าวเมื่อครู่นี้
    “เทพปฏิพัทธ์”
    “ถูกแล้ว ความผูกพันเสน่หาของเทพ เรียกว่าเทพปฏิพัทธ์”
    “ปฏิพัทธ์กันอย่างไรหรือครับคุณพี่”

    “เอ้อ...สิ่งนี้พี่ก็ยังไม่เคยสัมผัสด้วยตนเอง พี่มีความรู้มาว่าเป็นการสัมผัสปีติยินดีซึ่งกันและกันในจิต ไม่เป็นการหยาบกระด้าง น่าละอายเหมือนผัสสะของกายหยาบต่อกายหยาบหรอกนะ เพราะเทพเทวดานิมิตอยู่ด้วยจิตกับรูปเป็นตัวตน และความสิเน่หารักใคร่ของเทพก็คงมิใช่เกิดจากวิสัยสืบพันธุ์แบบชลาพุชะซึ่งตัวตนเกิดจากครรภ์มารดาเช่นมนุษย์ เทพบังเกิดขึ้นในลักษณะโอปปาติกะ ปรากฏขึ้นเองแล้วโตฉับพลัน ฉะนั้นเทพปฏิพัทธ์จึงตัดผลเพื่อการสืบพันธุ์ออกไปได้”

    “จะเป็นการน่าเกลียดไหมครับคุณพี่ ถ้าผมประสงค์สัมผัสประสบการณ์เทพปฏิพัทธ์เพื่อนำมาเล่าสู่กันฟังในข้อเขียนของวิลาสินี”

    “เป็นการเจาะลึกถึงพฤติกรรมของเทวดา วิสัยของเทพถ้าไม่เป็นสิ่งลามกอนาจารเหมือนของมนุษย์ชาติก็น่าจะทำได้มิใช่หรือ”

    “ถ้าสัมผัสได้และกอปรด้วยเหตุผลน่าจะเป็นข่าวใหญ่ของมนุษย์ชาติทีเดียว”
    เลือดหนังสือพิมพ์ยังเข้มข้นอยู่ ข้าพเจ้ามองภาพพจน์เหมือนการเจาะหาข่าวที่น่าสนใจและแปลกประหลาดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อจูงใจผู้อ่านให้ติดตาม แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นความเร้นลับที่อยู่ในความเร้นลับ จะสัมผัสเปิดเผยขึ้นได้อย่างไรหรือไม่ คงจะเป็นเรื่องยากมาก แต่ก็มีความรู้สึกอุ่นใจอยู่ ที่มีพี่ชายใหญ่ซึ่งให้ความเห็นรับรองไว้เป็นที่พึ่งอยู่เบื้องหน้า

    “ก็ต้องหารือและอาศัยประสบการณ์สัมผัสของคุณพี่นี่แหละในเรื่องนี้ คงมิสามารถไปค้นหาจากหนังสือตามห้องสมุด หรือสอบถามผู้ใดได้แน่”

    ธรรม บำรุงศีล หลับตาลงชั่วขณะหนึ่งเหมือนทำขณิกสมาธิแล้วลืมตาขึ้น
    “ไม่ใช่เรื่องลามกอนาจารแต่อย่างไร เป็นกุศลธรรมอย่างหนึ่งย่อมสัมผัสได้”
    คุณพี่พยักหน้าช้าๆ ให้คำรับรองและพิจารณาใบหน้าข้าพเจ้า
    “คืนนี้เมื่อล่วงเที่ยงคืนไปแล้วเธอทำจิตให้เป็นสมาธิก่อนหน้านั้นให้รับประทานอาหารมื้อเย็นแต่น้อย อย่าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม ทำร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ พยายามรวมจิตให้เป็นหนึ่งแล้วอธิษฐานขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอบารมีท้าวสักกเทวราช ท้าวจาตุมหาราช เพื่อขอสัมผัสแดนดาวดึงส์เพียงเพื่อขอประสบการณ์วิสัยเทพดังที่เธอประสงค์ โดยมีจุดหมายที่จะนำมาเผยแผ่ในส่วนหนึ่งของข้อเขียนที่จะเป็นเครื่องโน้มจิตน้อมใจมนุษย์ให้เกิดความประณีตละเอียดอ่อนเข้าถึงบุญกุศล รำลึกสวรรค์ นิพพาน อันจะทำให้เกิดความเผื่อแผ่เมตตาอนุเคราะห์เกื้อกูลกันและกันในสังคมมนุษย์ให้มากขึ้นต่อไป คุณดอกบัว คุณลองปฏิบัติเช่นนั้น พี่จะเจริญวิปัสสนากรรมฐานเข้าช่วยเสริมด้วย บางที บางทีอาจประสบผลในคืนนี้ก็ได้”

    เมื่อเลยเที่ยงคืน ข้าพเจ้าก็นั่งในท่าสมาธิบนเตียงนอนกระทำตามที่คุณพี่ธรรมได้แนะนำไว้ทุกประการ แล้วจิตที่รวมเป็นหนึ่งก็เพ่งเข้ายังดวงแสงสว่างที่ข้าพเจ้าได้เคยสัมผัสครั้งแรก เมื่อจิตนิ่งดวงสว่างก็ปรากฏทันที ข้าพเจ้าโน้มจิตเข้าไปอยู่กลางดวงแสงสว่างไสวแต่เยือกเย็น พลันก็รู้สึกว่าตัวเองเบาบางไร้น้ำหนักล่องลอยออกจากร่างของตัวเองที่นั่งอยู่บนเตียงไปในดวงแสงที่ห่อหุ้มเป็นวงกลมล้อมรอบอยู่อย่างง่ายดาย

    ลอยละล่องเข้ามาในภพภูมิของอาณาจักรที่มีบรรยากาศคล้ายใกล้สนธยา รัศมีสีส้มหมากสุกกระจายเหมือนปลายแสงอาทิตย์โปรยปรายอยู่ทั่วไป ในแสงสว่างดุจยามเย็นแต่กลับพิสุทธิ์สดใสกระจ่างตาสว่างกว่ายามเที่ยงในวันที่อากาศปลอดโปร่งของโลกเราเสียอีก คงจะเป็นเพราะไม่มีละอองหยาบใดๆ แทรกแฝงอยู่ในบรรยากาศนั่นเอง

    “ภพที่ละเอียดประณีตจริงๆ เป็นภพที่โปร่งใสอยู่เช่นนั้นคงจะสว่างไสวอยู่ในตัวของมันเองโดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างจากที่อื่นเลย”
    ข้าพเจ้าใคร่คิด
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    “แต่ที่นี่แดนดาวดึงส์ ยังมีแสงอาทิตย์เข้ามาสัมผัสได้บ้างเพียงปลายแสง จึงผสมคลุกเคล้ากับความสว่างไสวอันเกิดจากความพิสุทธิ์ในตัวเอง จนดูเป็นความสว่างแจ้งที่อยู่ในบรรยากาศคล้ายยามสนธยาบาตรในโลกภพ”

    ประสงค์พยายามจะบรรยายบรรยากาศที่ได้สัมผัสอยู่ มันแปลกประหลาดอยู่ในปรากฏการณ์เช่นนั้น ซึ่งไม่เคยมีปรากฏในโลกมนุษย์

    “ข้าพเจ้ากำลังจะพยายามอธิบายถึงความรู้สึกสัมผัสต่อไป อันเกี่ยวกับความสว่างที่ไม่ต้องอาศัยแสงสว่างดังได้กล่าวในประโยคต้น ในขณะนี้ข้าพเจ้านั่งหลับตาหยาบอยู่บนเตียงนอนในโลกเรา ตาหยาบเมื่อหลับลงเสียแล้วแสงสว่างใดๆ ภายนอกก็มิอาจสัมผัสได้ แต่ความสว่างที่เกิดจากความโปร่งใสแห่งจิต เข้าสัมผัสความสว่างที่เกิดจากความพิสุทธิ์ของภพภูมิต่างๆ แม้กระทั่งภพภูมิที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่าดาวดึงส์ เช่น ยามา ดุสิต เป็นภพภูมิที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ดวงใดก็แล้ว แต่ในจักรวาลมิอาจส่องเข้าไปถึงในความละเอียดประณีตนั้นได้ ที่นั่นจะสว่างกว่าภพภูมิที่แสงอาทิตย์ส่องถึงเสียอีก เพราะความละเอียดประณีตของภพภูมิยิ่งประณีตเท่าไร ยิ่งโปร่งใสเท่านั้น ตัวความโปร่งใสนั่นเองคือตัวแสงสว่างที่เกิดขึ้นในตัวเอง เป็นความสว่างที่เย็นสบาย ไม่ร้อนเหมือนแสงอาทิตย์เพราะมิได้เกิดขึ้นจากมวลสารความร้อนเช่นดวงอาทิตย์”

    ข้าพเจ้ารู้สึกยืนยันเนื่องจากกำลังประสบความสว่างบนดาวดึงส์ในสองประการและวิเคราะห์แยกแยะออกจากกันได้ จึงคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นโดยธรรมชาติ
    “ความสว่างอันเป็นทิพย์ย่อมเย็นสบาย เพราะมิได้เกิดจากความร้อนจึงย่อมจะไม่มีความหนาว เป็นอุเบกขา เป็นกลาง เป็นความเย็นสบายคงที่มิเปลี่ยนแปลงไป”
    ข้าพเจ้ากำลังล่องลอยไปในความเย็นสบายในแดนดาวดึงส์ จิตมัวมุ่งวิเคราะห์อยู่กับบรรยากาศเสียพักใหญ่ จึงได้พบแต่บรรยากาศดังที่ได้กล่าว

    “ข้าพเจ้าประสงค์สัมผัสภาวะ เทพปฏิพัทธ์ ดังที่คุณพี่ธรรม บอกกล่าวเมื่อตอนกลางวันว่า เป็นภาวะของกุศลธรรมแห่งเทพ”

    “ดูก่อน...อาคันตุกะผู้ถึงบุญ ท่านจะได้สัมผัสภาวะกุศลธรรมของเทพตามที่ได้ประสงค์ ท่านจงสถิตนิ่งอยู่เบื้องนั้น จงน้อมจิตอยู่ในกายทิพย์ให้รู้สึกว่าเป็นกระแสรู้สึกของเทพแล้วย้อนเพ่งทิพยจักษุลงสัมผัสอสัทธรรมในการสมสู่กันของสัตว์ในโลกมนุษย์”
    เสียงกังวานแจ่มใสของเทพบุตรปรากฏขึ้นแต่มิได้เห็นองค์เทพผู้กล่าว ข้าพเจ้ารู้สึกสัมผัสว่าคงเป็นองค์ท้าวสักกเทวราชปรากฏนิมิตพระสุรเสียง

    ข้าพเจ้าปฏิบัติตามเทวบัญชาโดยดุษณีภาพ เมื่อน้อมความรู้สึกเข้าสู่ภาวะจิตของเทพเบื้องแรกรู้สึกว่ามีความอุเบกขาเกิดขึ้น จนเมื่อกระแสรู้สึกค่อยๆ แปรไปเป็นความเมตตาสงสารสัตว์โลกที่ยังจมอยู่ในห้วงเหวแห่งกิเลสอันเปรียบเสมือนห้วงน้ำมูตรคูถ จึงเพ่งทิพยจักษุหวนกลับเข้าพิจารณาเหมือนเรากำลังเหลียวมองสัตว์เลี้ยงที่น่ารักกำลังตกและว่ายวนอยู่ในบ่อน้ำครำหวังจะช่วยดึงขึ้นมาด้วยเมตตาและสงสาร ข้าพเจ้าเห็นภาพมนุษย์กายหยาบสมสู่กัน เห็นภาพสัตว์เดรัจฉานทั้งน้อยใหญ่ แม้กระทั่งสัตว์เลื้อยคลานและแมลงตัวเล็กๆ สู่สมกัน เป็นการกระทำที่น่าสงสาร น่าเวทนา น่าเกลียดน่าชัง น่าสังเวชเหมือนกันทั้งสิ้น ทั้งมนุษย์สัตว์ตามอย่างแบบเดียวกันทั้งหมดปรารถนาเริ่มแรกเกิดด้วยความอยาก ความใคร่ ในรสชาติของผัสสะ ปรารถนาที่สองก็คือเพื่อการสืบพันธุ์ และประการสุดท้ายที่สำคัญก็คือต้องการให้เกิดความสุขสันต์ของคู่เสน่หากันและกัน ซึ่งในประการหลังนี้เป็นความสุขสมมุติที่เกิดขึ้นด้วยความหลงของมนุษย์ทั้งมวล ที่จริงมันคือความทุกข์ที่ติดตามมาต่างหาก

    จิตในภาวะของเทพเทวดามีความรู้สึกขยะแขยงในการเสพอสัทธรรมของมนุษย์และสัตว์เหมือนกับความรู้สึกของมนุษย์เราที่รู้สึกขยะแขยงสุนัขกินมูตรคูถ สุนัขมันมีความรู้สึกอร่อยในรสชาติในสิ่งสกปรกโสโครกเช่นไร มนุษย์ชาติก็รู้สึกอร่อยชื่นชอบในการเสพอสัทธรรมเช่นนั้น นั่นเป็นความรู้สึกในจิตของเทพต่อมนุษย์ เมื่อยกจิตที่ขยะแขยงเข้าสู่อุเบกขาได้ ความสงสารจึงติดตามมาอีกครั้งหนึ่ง

    “ทำไมมนุษย์จึงหลงมัวเมาอยู่ในสิ่งโสโครกเช่นนั้นเล่า”
    เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่อยู่ในความพิศวงของชาวสวรรค์อยู่ทั่วๆ ไปตลอดมา
    แล้วภาพอันน่าสลดสังเวชของมนุษย์ในโลกภพก็อันตรธานหายไป
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เทพธิดาบุณฑริกา

    ในยามนี้ข้าพเจ้ารู้สึกตนว่าในกายทิพย์ของตนเองแปลกไปจากคราวที่แล้ว เพราะเป็นกายทิพย์ของเทพบุตรที่มีถนิมอาภรณ์เปล่งแสงเป็นประกายสดใส ข้าพเจ้าเลื่อนลอยไปยังวิมานทองคำซึ่งประดับด้วยแก้วรัตนะหลากสีใหญ่โตตระการตา ตั้งตระหง่านอยู่กลางสระบัวสายสีขาวล้วน อันเป็นบัวเพชรมีประกายกลอกกลิ้งพลิ้วระริกอยู่ดาษดื่นทั่วทั้งสระกว้างที่รื่นรมย์ยิ่งนัก ข้าพเจ้าเข้าไปปรากฏในวิมานที่คุ้นเคยในกระแสสัมผัส องค์เทพธิดาบุณฑริกายังคงสถิตประทับอยู่บนบุษบกบัลลังก์ทองในที่เดิม ทั้งองค์เธอและเทพบริวารที่แวดล้อมน้อมกายนมัสการ

    เรามิได้กล่าวอันใดกัน เป็นแต่เพียงในดวงจิตต่างมีความปีติยินดีซึ่งกันและกันที่ได้ประสบกันในยามนี้
    กระแสความรู้สึกอันเกิดขึ้นเองในจิต ข้าพเจ้าประจักษ์ว่าบุณฑริกาเทพธิดาดูมีประกายแสงจากกายทิพย์อันโปร่งใสและประกายสร้อยสายถนิมอาภรณ์อ่อนลงกว่าเดิมมากนัก แน่นอนในลักษณาภาพเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นจากความเศร้าหมองในจิตเธอที่โทมนัสออกมานอกอุเบกขา มิสมควรในวิสัยเทพจะพึงมี เทพธิดาอันเป็นที่รักแห่งเรามิสมควรเศร้าสร้อยลงไปเช่นนั้น ความหม่นหมองใดอันเกิดขึ้นในจิตเทพนั่นเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหมือนเจ้าของดวงแก้วอันพิสุทธิ์แจ่มใสประมาทเผอเรอปล่อยให้ฝุ่นละอองมาเกาะติดจนเลือนรัศมีลงไปประการฉะนั้น

    ความเมตตาของเราที่มีต่อเทพเธออันเป็นที่รักก็บังเกิดปรารถนาจะให้เธอมีความสุขขึ้น ความกรุณาสงสารที่จะช่วยปลดเปลื้องความบีบเค้นในจิตที่ตกต่ำให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ข้าพเจ้าจึงเพ่งทิพยจิตแห่งความรู้สึกผิดชอบในวิสัยเทพเข้ากระทบ กระตุ้น ประเล้าประโลมด้วยทิพยสัมผัสให้จิตของเทพธิดารำลึกหลุดพ้นจากห้วงแห่งความหม่นหมองเข้าสู่อุเบกขา แล้วยกจิตให้สูงขึ้นไปอีกสู่ความสบายสำราญรื่นรมย์กำหนดอุเบกขาให้อยู่ในสภาพอันเป็นสุขเสมอไป

    พลันประกายแสงในกายทิพย์และถนิมอาภรณ์ของเทพธิดาก็เปล่งปลั่งสดใสขึ้น วูบวาบสว่างไสวเห็นทันที บุณฑริกาเทพธิดาประคองอัญชลีสักการะเราอยู่ในลักษณาการเช่นนั้นรับกระแสกระตุ้นให้รำลึกได้จากทิพยจิตแห่งเราจนในที่สุดองค์เธอก็ปรากฏความสุขสุดยอดเข้าสู่อุเบกขา มีความสุขสุดยอดอยู่เช่นนั้น มิเปลี่ยนแปลงไปเหมือนเช่นแต่ก่อน

    “จิตของเธอสูงขึ้นเข้าปกติวิสัยแห่งเทพโดยสมบูรณ์อีกวาระหนึ่งแล้ว”
    ดวงจิตของข้าพเจ้าเกิดความปีติอิ่มเอมแช่มชื่นเบิกบานเป็นมุทิตา เมื่อเห็นเทพธิดาอันเป็นที่รักเข้าสู่ความสุขสมดังเดิม
    ทั้งเทพเธอและเทพบริวารในวิมานทองคำต่างก็กระทำสาธุการแสดงความปีติยินดีด้วย ต่างประคองอัญชลีแล้วนมัสการเรากันอย่างถ้วนทั่ว

    “นั่นคือสัทธรรมที่เทพพึงปฏิบัติด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในการกระทำกิริยาเทพปฏิพัทธ์ต่อกัน”
    เสียงกังวานแจ่มใสของท่านท้าวสักกะปรากฏขึ้นอีกวาระหนึ่งเป็นอรรถาธิบายในสิ่งที่ข้าพเจ้าพึงประสงค์สัมผัส

    “ข้าแด่จอมเทพ ข้าพเจ้าขอรำลึกพระคุณบารมีแห่งจอมเทพ ขอพระองค์จงทรงถึงซึ่งกุศลบารมียิ่งๆ ขึ้นไปพระเจ้าข้า”
    แล้วความสว่างในจิตสมาธิสัมผัสของข้าพเจ้าก็วูบหายไป รู้สึกตัวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนตามเดิม ข้าพเจ้ารำลึกบูชาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อีกวาระหนึ่งก่อนที่จะลืมตาออกจากสมาธิ

    “เทพปฏิพัทธ์เป็นกุศลธรรมดังที่คุณพี่ธรรม บำรุงศีล รับรองไว้ทุกประการ”
    ข้าพเจ้าจึงบันทึกประสบการณ์สัมผัสลงในข้อเขียน แดนดาวดึงส์ของวิลาสินีด้วยประการฉะนี้เป็นอีกช่วงตอนหนึ่งดังปรากฏ
    เช้าวันรุ่งขึ้น คุณพี่ธรรม บำรุงศีล โทรศัพท์มาแต่เช้า
    “เมื่อคืนเธอไปเร็วเหลือเกิน พี่ไปไม่ทันเธอ เมื่อพี่สัมผัสกระแสที่กายหยาบปรากฏว่าเธอถอดกายทิพย์ออกไปก่อนแล้ว พี่จึงปล่อยเธอไปแต่ผู้เดียวเพราะมั่นใจว่าเธอประสบผลสำเร็จ”
    “ครับผมพี่ ผมได้สัมผัสสัทธรรมเป็นกุศลธรรมตรงตามที่คุณพี่บอกไว้ทุกประการ ผมได้บันทึกไว้ครบถ้วนแล้ว ขอบพระคุณมากครับคุณพี่”
    “มั่นใจและเข้าใจแล้วใช่ไหม งานนี้เธอเท่านั้นที่จะรับช่วงทำต่อไปได้สำเร็จ”
    คุณพี่ถามย้ำ คงจะติดตามผลงานที่เป็นห่วง
    “พอจะเห็นทางรำไรบ้างแล้วครับคุณพี่ แต่คุณพี่ต้องช่วยผมต่อๆ ไป”
    “อย่าเป็นห่วง จิตเธอสัมผัสตรงได้แล้ว ถ้าปฏิบัติตนให้อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญาได้เสมอต้นเสมอปลายหรืออย่างน้อยในวันที่จะปฏิบัติ”
    “ครับคุณพี่ ผมจะพยายาม”
    หลังจากวางหูโทรศัพท์ ข้าพเจ้าจึงใคร่ครวญพิจารณาประสบการณ์สัมผัสด้วยตนเอง เมื่อดึกสงัดคืนนี้เพื่อวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง

    “เทพปฏิพัทธ์”
    เป็นความเกี่ยวเนื่องผูกพันรักใคร่ของเทพคู่ปฏิพัทธ์ อันผูกพันเชื่อมโยงมาบังเกิดเป็นคู่ครองกันอีกในเบื้องบนสวรรค์ด้วยกุศลกรรมแต่ปางบรรพ์ที่เคยก่ออธิษฐานร่วมกันไว้ เทพเทวดายังเป็นผู้อยู่ในกามภพ ภพแห่งวัฏสงสาร ยังอยู่ในวงจรเวียนว่ายตายเกิด ยังเป็นผู้เสพกามคือยังมีความใคร่ความอยาก ความปรารถนา แต่การเสพสมความปรารถนาซึ่งกันและกันเป็นการกระทบกระตุ้น โลมเล้า ผัสสะด้วยทิพยจิตเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งรำลึกได้ถึงบุญ ถึงกุศล เพื่อให้ได้รับความสุขสุดยอดอย่างแท้จริงยิ่งๆ ขึ้นไป

    มนุษย์ก็มีความปรารถนาเช่นนั้นในการเสพสม ประการหนึ่งเพื่อต้องการให้คู่เสน่หาได้บรรลุถึงความสุขสุดยอดเช่นเดียวกับตน แต่ความสุขสุดยอดที่มนุษย์สมมุติขึ้นเองนั้นมันไม่ใช่ความสุขอันแท้จริงในความหมายของฝ่ายกุศล มันเป็นความสุขจอมปลอม เป็นความสุขอกุศลต่างหาก เพียงแวบเดียวที่มีความรู้สึกวาบหวิว ซาบซ่าน แผ่วโผย เบาสบาย ชั่วครู่แล้วกลายเป็นความอ่อนเปลี้ยเหนื่อยล้าเปรอะเปื้อนแล้วตามติดมาด้วยปฏิสนธิ ชลาพุชะ เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายเป็นวัฏฏะอยู่เช่นนั้นรอบแล้วรอบเล่าไม่จบสิ้นเลยจึงมิใช่ความสุขอย่างแท้จริงเป็นแน่

    “พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่าการสู่สมของมนุษยชาติเป็นการเสพอสัทธรรม”
    “สัทธรรมแปลว่าธรรมที่ดี ธรรมที่แท้ อสัทธรรมก็มีความหมายไปในทางตรงกันข้าม”
    ความจริงมนุษย์ทุกวันนี้ที่ครองชีวิตคู่สามีภรรยา ในลักษณะคล้ายเทพปฏิพัทธ์ก็พอมีอยู่ เป็นต้นว่า คู่สามีภริยาที่มีความเห็นอกเห็นใจกัน มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา กันเป็นที่ตั้ง ปรารถนาให้สามีภริยาของตนเป็นคนดีที่แท้อยู่ในศีลธรรม มีปฏิปทาในทางทาน ศีล สมาธิ เกื้อกูลกันและผู้อื่นเสมอๆ การเสพอสัทธรรมก็เพียงเพื่อการปฏิสนธิบุตรธิดาตามสมควรในวิสัยมนุษย์

    บุคคลใด สังคมใดที่มีกรอบประเพณีป้องกันอสัทธรรมในการเสพ มิให้ประเจิดประเจ้อ มิให้ถือว่าเป็นสรณะในการดำรงชีพ มิให้จิตของมนุษย์ตกลงไปหมกมุ่นอยู่ในกามวิสัย ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมชักจูงให้สูงขึ้นมาสู่สัทธรรมวิสัย บุคคลและสังคมนั้นมีภาวะห่างไกลสัตว์ดิรัจฉานใกล้ชิดเทพเทวดา จะมีแต่ความสุขความเจริญเป็นกุศล บุคคลใดสังคมใด ถือว่ากรอบประเพณีเช่นนี้เป็นของคร่ำครึโบราณล้าสมัย มีแต่จะนำอสัทธรรมมาแสดงแจ้งอวดชักจูงดึงจิตให้ดิ่งลงไปหมกมั่วอยู่ในเกมกาม บุคคลและสังคมนั้นก็มีแต่จะใกล้ชิดคล้ายคลึงสัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกายและสัตว์นรกเข้าไปทุกทีจะมีแต่ความเสื่อมเป็นที่สุด

    “เทพปฏิพัทธ์” จึงเป็นตัวอย่างที่มนุษย์น่าจะปฏิบัติตามได้
    นับจากที่ได้สัมผัสประสบการณ์ประหลาดถึงสองครั้งสองคราว ในคราวแรกเกิดขึ้นด้วยบุญญานุภาพจากภายนอก ครั้งหลังเกิดจากกระทำสมาธิตามแนวของคุณพี่ธรรม บำรุงศีล ผลจากการสัมผัสที่ได้มาตรงกับความประสงค์ที่ได้อธิษฐานทั้งสองประการ ครั้นได้พิจารณาวิเคราะห์ด้วยเหตุผลนานาประการทั้งทางโลกและทางธรรมที่พอมีอยู่บ้างแล้ว เห็นว่าเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นมิใช่เนื่องจากเป็นการบังเอิญหรือจิตนาพาไปเป็นแน่
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    ผู้อนุเคราะห์สื่อสวรรค์

    “เชื่อเถอะ สวรรค์ไม่มีจริงหรอก”
    นักเขียนนวนิยายบู๊ ล้างผลาญ รุ่นพี่ผู้หนึ่งออกความเห็นส่วนตัวในคราวเสวนาคบคุยกันในทัศนะเกี่ยวกับความรู้สึกที่คนเราผูกพันอยู่กับสิ่งเร้นลับ นรก สวรรค์
    “ถ้ามีจริง เทวดาคงไม่ใจร้ายปล่อยให้มนุษย์ถกเถียงกันมาหลายพันปีแล้วว่าสวรรค์มีจริงไม่จริง คงอดรำคาญไม่ได้และเหาะลงมาบอกนานแล้วแหละว่า สวรรค์มีจริง สวรรค์มีจริง”

    “ลองหลับตา หุบปาก ปิดหู แล้วเปิดจิตเข้าสิ ไม่นานหรอกคงจะได้เห็น”
    ข้าพเจ้าบอกเพื่อนรุ่นพี่ผู้นั้นเพียงในใจ
    เพราะเชื่อแน่เหลือเกินว่า ถ้าบอกกล่าวออกไป พวกจะต้องหัวเราะเยาะกันครื้นเครง
    นี่เป็นอีกรายหนึ่ง เพื่อนที่ข้าพเจ้าพบโดยตั้งใจ ว่าที่จริงเขาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ซึ่งซื้อต้นฉบับนักประพันธ์พิมพ์หนังสือเล่มออกขายเป็นอาชีพ ข้าพเจ้าพบเขาเพื่อหยั่งเชิงดูว่าจะมีแนวโน้มที่จะพิมพ์หนังสือ “แดนดาวดึงส์” ที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนต่ออยู่บ้างหรือไม่ แต่ข้าพเจ้ายังมิได้บอกเขาตรงๆ เป็นเพียงลองเลียบเคียงสนทนากันถึงข้อเขียนที่เกี่ยวกับสวรรค์เท่านั้น

    “ก็เห็นแล้วว่า ประตูโรงพิมพ์ของเขายังไม่เปิดรับข้าพเจ้าเช่นเคย”
    แล้วข้าพเจ้าก็ล่ำลากลับ โดยมิได้หารือถึงต้นฉบับแดนดาวดึงส์ในแฟ้มที่หอบอยู่
    “เจ้าประคู้น...เทพธิดาวิลาสินี”
    ก็ได้แต่วิงวอนผู้เป็นต้นตอของงานนี้อีกนั่นแหละ
    เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นทันที คุณพี่ธรรม บำรุงศีล นั่นเองโทร.มา แต่คราวนี้มาแปลกเพราะคุณพี่โทร.มานัดให้ไปกินข้าวเย็นที่ร้านเหล้าร้านข้าวต้มหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพูเย็นพรุ่งนี้
    ที่ว่าแปลกเพราะคุณพี่แกเป็นคนไม่นิยมเหล้า แต่กลับนัดข้าพเจ้าไปที่นั่น

    ตกตอนกลางคืน ดึกสงัดข้าพเจ้าหลับสนิทและฝัน
    ฝันเห็นวิลาสินี เธออยู่ในชุดนักศึกษาที่พบกันครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ใบหน้าเธอสดสวยเปล่งปลั่งงดงามยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดา
    “คุณดอกบัว งานของคุณงานแรกใกล้จะเสร็จลงแล้ว เมื่อเสร็จแล้วเก็บต้นฉบับไว้ให้ดี ไม่ต้องเร่งร้อนที่จะพิมพ์ ยามนี้มนุษย์ยังไม่สนใจและไม่เห็นคุณค่าหนังสือดี แม้กระทั่งหนังสือแปลคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาซึ่งจรรโลงมาเกือบสองพันห้าร้อยสิบปี ยังไม่มีการแปลเป็นภาษาไทยครบถ้วน นั่นเป็นหนังสือสูตรสำเร็จรูปสำหรับผู้ปรารถนาสวรรค์นิพพานโดยแท้ ล้ำค่ายิ่งนัก ยังไม่มีผู้ใดกล้าพิมพ์ออกมาเลย

    อีกชั่วครู่ใหญ่ๆ เมื่อถึงเวลาอันสมควรหลังจากที่มีการแปลคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมาเป็นภาษาไทยค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบแล้ว จะมีผู้อ่านในกลุ่มกุศลให้ความสนใจกันมาก เมื่อนั้นเทพอีกองค์หนึ่งที่ได้อาสาลงไปเพื่อการนี้เป็นองค์ที่ 4 จะมีส่วนอนุเคราะห์ให้คุณดอกบัวดำเนินการพิมพ์หนังสือแดนดาวดึงส์ออกเผยแพร่ได้สำเร็จ อีกสักพักหนึ่งงานชิ้นนี้จะสำเร็จสมบูรณ์”
    คราวนี้เธอมาในฝัน วิลาสินีบอกไว้อย่างชัดแจ้งมั่นเหมาะทำให้ข้าพเจ้าเชื่อและจะรอดูผลต่อไป

    เย็นวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้ชวนเพื่อนๆ และพี่ๆ นักหนังสือพิมพ์ร่วมสำนักเดียวกันไปด้วยสี่ห้าคน เพราะข้าพเจ้าพอมีเงินในกระเป๋าอยู่พอสมควร ตั้งใจว่าจะขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารมื้อนี้แก่พี่ๆ เนื่องจากเขาเคยเป็นเจ้ามืออยู่บ่อยๆ ข้าพเจ้าไปถึงเห็นคุณพี่ธรรม ผู้อาวุโสนั่งดื่มน้ำส้มขวดรอยู่ก่อนแล้วข้าพเจ้าจึงแนะนำพี่ๆ และเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ให้รู้จัก

    “คุณพี่มานานแล้วหรือครับ และก้อ...คุณพี่เคยมาทานอาหารที่นี่บ่อยหรือครับ”
    ข้าพเจ้าถามเมื่อนั่งร่วมโต๊ะเรียบร้อย
    “ว่าที่จริงพี่ยังไม่เคยมาร้านนี้เลย นี่เป็นครั้งแรก”
    “อ้าว แล้วทำไมคุณพี่นัดผมที่นี่”
    “มันยังไงไม่รู้นะ พี่มีความรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังจะได้พบอะไรสักอย่างหนึ่งที่นี่ในคืนนี้”
    คุณพี่ธรรมป้องปากบอกเฉพาะข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว
    พี่ๆ และเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ที่มาด้วยกันก็มีสนั่น ธำรงรัตน์, วิรัช วิเศษศิริ, สมรรถชัย จารุภา, นพพร เลขกะ และอากรอง เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา ข้าพเจ้าแจ้งความประสงค์ขออนุญาตเป็นเจ้ามือแล้วจึงสั่งเหล้ายาปลาปิ้ง กับแกล้ม เครื่องดื่มตามอัธยาศัยอย่างรู้ใจกัน

    นอกจากคุณพี่ธรรม บำรุงศีล แต่เพียงผู้เดียวที่ขอตัวขอเอาเปรียบไม่เบียดเบียนตนดื่มแต่น้ำส้ม นอกนั้นทั้งพี่ ทั้งเพื่อนและข้าพเจ้าก็ฝึกหัดดื่มน้ำพรรค์อย่างว่าเข้าไปพอหน้าตึงๆ นิดๆ บรรยากาศชักจะเบลอหน่อยๆ แต่คุณพี่ธรรมก็วางตัวและพูดคุยสนทนากันได้อย่างสนิทสนม วางใจเป็นอุเบกขาและคล้อยตามสนุกสนานร่วมวงกันได้อย่างจริงใจแม้จะไม่ได้ปลุกเร้าอารมณ์ด้วยน้ำดีกรีเหมือนพวกเรา

    “ผู้มีอุเบกขาโดยธรรมชาติ อยู่ในสถานใดก็มีความสุขเสมอ”
    ข้าพเจ้าพิจารณารำลึก พลางจ้องมองตามสายตาคุณพี่ที่กำลังสนใจอยู่กับสิ่งๆ หนึ่งที่ริมรั้ววัดนั้น
    ริมรั้ววัดบวรนิเวศ มีต้นกระถินไทยอยู่ตามแนวรั้วหลายต้นกำลังออกยอดและฝักอ่อนอยู่ทั่วไป ข้าพเจ้าเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมคนหนึ่งกำลังเด็ดยอดกระถินและฝักอ่อนใส่ปากเคี้ยวอยู่ที่ริมรั้ววัดนั้น แต่แรกข้าพเจ้าคิดว่าเขาคงเด็ดยอดกระถินกินเล่น แต่เมื่อเฝ้าดูไปๆ ยอดแล้วยอดเล่า ฝักแล้วฝักเล่าเหมือนจะกินเพื่อให้อิ่มท้องเสียด้วยซ้ำ

    ข้าพเจ้าขอตัวลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินเลี่ยงออกมาข้างถนนที่รั้ววัดเลียบเคียงสังเกตเด็กหนุ่มผู้กำลังเก็บยอดกระถินกินอยู่กร้วมๆ อย่างไม่รู้ตัวว่ากำลังมีคนจ้องมองดูอยู่ใกล้ๆ
    “นั่นไอ้น้อง...กินยอดกระถินเปล่าๆ ไม่ขมแย่หรือ”
    หนุ่มน้อยหันมามองข้าพเจ้าด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ นัยน์ตาของเขาดูมีแววเศร้าอยู่ในส่วนลึก เขาโยนก้านกระถินในมือทิ้งไปและกลืนกินฝักกระถินที่เคี้ยวอยู่ในปากเป็นคำสุดท้าย
    “ก็ขมๆ มันๆ ผสมกัน แต่มันเป็นยาอย่างดีนะคุณพี่”
    “เป็นยาอย่างดี ยาแก้อะไรหรือน้อง”
    ซักไซ้ต่อไปเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ายอดกระถินเป็นยาแก้อะไรได้
    “ยา...ยาแก้หิวน่ะคุณพี่”
    เขาโพล่งตอบออกมาพร้อมกับหัวเราะแปร่งๆ และถอนหายใจเฮือกใหญ่
    “หมายความว่าน้องกินใบกระถินแก้หิว”
    “ครับ คราวใดผมอด ผมก็กินยอดกระถินนี่แล้วดื่มน้ำตามมันก็ทำให้อิ่มได้บ้างตามสมควร คนเขาบอกว่าใบกระถินมีโปรตีน”
    ข้าพเจ้าจ้องพิจารณาเด็กหนุ่มครู่หนึ่งโดยมิได้ซักไซ้ไล่เลียงต่อไป
    “น้องกำลังหิวข้าว พี่รู้ เพราะนัยน์ตาน้องบอก มาเถอะ ตามพี่มา ไปกินข้าวต้มกัน พี่เลี้ยงเอง”
    ข้าพเจ้าต้องออกแรงดึงมือเด็กหนุ่มจากข้างรั้ววัดบวรฯ เชิงบังคับกลายๆ ถูลู่ถูกัง จูงข้ามถนนกลับมาที่โต๊ะในร้านข้าวต้ม ซึ่งพี่ๆ ผู้อาวุโสยังนั่งโจ้กันอยู่
    เมื่อสั่งกับแกล้มมาเพิ่ม พร้อมด้วยข้าวต้มข้าวสวยอีกคะยั้นคะยออยู่เป็นนาน จนพี่ๆ ในที่นั้นช่วยกันสนับสนุนและให้ความเป็นกันเองเพื่อให้เด็กหนุ่มลดทิฐิและความเกรงใจลง
    "วิชย์" เมื่อถูกคะยั้นคะยอหนักเข้าและเห็นความจริงใจจากพวกพี่ๆ จึงค่อยลดความกระดากและเกรงใจลง เขาจึงฉลองศรัทธากินข้าวมื้อนั้นจนอิ่มท้องแล้วเล่าความเป็นมาให้พวกพี่ๆ ซึ่งสนใจไต่ถามตามประสานักข่าวว่า เขาเป็นเด็กวัดอยู่กับพระไม่ค่อยมีเงิน ตอนเย็นบางวันอาหารไม่มีเหลือเงินก็หมดจึงต้องอาศัยยอดกระถินริมรั้ววัดกินประทังความหิว
    คุณพี่ธรรม บำรุงศีล จ้องพิจารณาใคร่ครวญเด็กหนุ่มผู้นั้นเงียบๆ มากกว่าใคร และเป็นผู้เดียวที่มิได้เอ่ยปากซักไซ้ไต่ถามเขาเลย แต่ดูนัยน์ตาของคุณพี่จะมีความมั่นใจอะไรอยู่ในส่วนลึก
    “อนุเคราะห์กันไว้ให้ดีเถิด”
    คุณพี่ธรรม กระซิบสั่งข้าพเจ้าที่ข้างหูอย่างหนักแน่นขณะชำเลืองไปดูเด็กหนุ่มที่ชื่อ “วิชย์” ก่อนที่เราจะแยกย้ายจากกันในตอนดึกพอสมควร

    นับจากคืนนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ได้เพื่อนเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ชื่อ “วิชย์” อีกคนหนึ่ง ขณะนั้นข้าพเจ้ายังเป็นนักหนังสือพิมพ์ เมื่อไปสืบเสาะข่าวที่ไหนก็ชักชวนเขานั่งตระเวนไปด้วย เพื่อจะคอยหาจังหวะฝากเข้าทำงานในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายวันที่ข้าพเจ้าประจำอยู่ บางครั้งก็ชวนไปอาศัยพักนอนกินอยู่ที่บ้านเช่าตามมีตามเกิด ตามประสายากของนักข่าวจนๆ คนหนึ่ง และเด็กวัดผู้น่าสงสารอีกคนหนึ่ง แม้เราจะยากจนและดิ้นรนต่อสู้เพื่อปากเพื่อท้องเพียงไร แต่เราก็ถือคติรักศักดิ์ศรีของตนเอง รักศักดิ์ศรีของนักหนังสือพิมพ์ ประพฤติปฏิบัติในหลักจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด ทำข่าวเขียนหนังสือเพื่อสร้างสรรค์จรรโลงคุณธรรมอยู่เสมอมา

    แม้หลายครั้งหลายหนเราจะพากันอดอยากนับไม่ถ้วน พวกเราก็ยืนหยัดมั่นคงในอุดมคติอย่างเสมอต้นเสมอปลาย พวกเรารวมกลุ่มจรรยาบรรณอยู่ในกลุ่มของอากรอง ผู้ได้รับรางวัลจรรยาบรรณคนแรกของประเทศไทย
    จากนั้นอีกไม่นานนัก หนังสือพิมพ์รายวันที่ข้าพเจ้าสังกัดอยู่ก็ปิดตัวเองลงตามหลัก เมื่อมีการเกิดก็ย่อมมีการดับเป็นธรรมดา
    ต่างคนต่างแยกย้ายต่อสู้กระเสือกกระสนไปตามวิถีทางของแต่ละคน

    “วิชย์” พบกับข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับนำข่าวดีมาบอกว่า
    “พี่ ผมสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวตรอกจันทร์ได้แล้ว”
    ข้าพเจ้าดีใจกับเขาอย่างจริงใจ นับจากนั้นเป็นต้นมาเราก็มิได้พบกันอีกเลย
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สู่ยามเย็นบนดาวดึงส์

    “แดนดาวดึงส์” ที่ข้าพเจ้าเขียนต่อจากวิลาสินี ได้ต้นฉบับพอที่จะรวบรวมเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้แล้ว แต่ข้าพเจ้ายังไม่เห็นทางที่จะตีพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ออกสู่สายตาผู้อ่านได้อย่างไร พบพวกพ้องนิตยสารหรือเจ้าของโรงพิมพ์ต่างๆ ก็ได้แต่หยั่งเชิงเลียบเคียงความสนใจที่เขาจะมีต่อนิยายประเภทนี้อย่างไรหรือไม่ ทุกคนก็พากันพูดเป็นคำเดียวเหมือนกันว่า มันสูงไป มันห่างไกลตัวเกินไป ไม่อยู่ในแนวหนังสือที่ผู้พิมพ์อาชีพให้ความสนใจกันเลย

    ข้าพเจ้าจึงต้องเก็บต้นฉบับไว้ตามที่วิลาสินีเคยบอกกล่าวไว้ในฝัน คงจะเป็นความจริงที่เธอกล่าวว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควรที่จะพิมพ์ออกเผยแพร่ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งมันอาจเป็นเพียงเรื่องลมๆ แล้งๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วโดยบังเอิญ แต่เมื่อถึงคราวจะเอาจริงเอาจังก็มิได้เป็นไปตามที่ว่าไว้ก็ได้
    กาลเวลาผ่านไปอีกเกือบ 20 ปี คงจะเป็นชั่วพักหนึ่งบนดาวดึงส์ ในสวรรค์ชั้นนี้ก็คงจะย่างเข้าสู่ยามเย็นแล้วสินะ เพราะข้าพเจ้าทราบข่าว
    “คุณพี่ธรรม บำรุงศีล ตายเสียแล้ว ขณะมีอายุครบ 50 ปี พอดี
    ข้าพเจ้าไปงานสวดศพคุณพี่ 3 คืน แล้วเผาเลยที่วัดตะพานดินแดน

    “มันก็ตรงตามกำหนดที่วิลาสินีเขียนไว้ตั้งนานแล้วนั้นอีก”
    ข้าพเจ้าหวนคิดถึงต้นฉบับแดนดาวดึงส์ สัมผัสฌานสมาธิของคุณพี่ธรรม ข้อเขียนของวิลาสินีสัมผัสสดๆ และความฝันของข้าพเจ้าทุกอย่างตามขั้นตอนเป็นจริงเช่นนั้นตลอดมา เหลือเพียงประการสุดท้ายอย่างเดียว คือการพิมพ์หนังสือออกเผยแพร่ จะมีโอกาสได้เมื่อไหร่ สำหรับความเป็นอยู่ส่วนตัวของข้าพเจ้า ก็เพียงมีเลี้ยงชีพโดยสุจริตไปได้วันๆ หนึ่งโดยไม่เดือดร้อนตามฐานานุรูปเท่านั้น ไม่สามารถที่จะจัดการลงทุนพิมพ์หนังสือได้เอง เมื่อผู้พิมพ์อาชีพเขาไม่สนใจเราก็น่าจะจ้างเขาพิมพ์เอง ข้าพเจ้าเคยคิดหลายครั้งแต่ยังไม่ถึงโอกาสอันควรอย่างว่า เหตุเพราะเงินทุนเป็นอุปสรรค

    อย่างที่ข้าพเจ้าเคยบอกวิลาสินีว่า ข้าพเจ้าชอบดอกบัว ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่งดงามพิสุทธิ์สวยยิ่งกว่าไม้ดอกอย่างใดๆ ทั้งสิ้น ที่บ้านข้าพเจ้ามีสระบัวเล็กๆ เคยเอาบัวหลากๆ สีมาปลูก เช่น บัวแดง บัวม่วง บัวเหลือง บัวขาว สารพัดบัว ในที่สุดคงเหลือบัวขาวแต่เพียงอย่างเดียวที่ออกดอกโผล่พ้นน้ำขึ้นมานานทุกๆ วัน

    “คุณดอกบัว”
    วิลาสินี เป็นผู้ตั้งชื่อให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองก็ทึ่งในชื่อนี้ คุณพี่ธรรม บำรุงศีล ก็รู้จักและเรียกชื่อนี้ของข้าพเจ้าอย่างสนิทปาก
    เป็นสิ่งยืนยันให้กับตนเองได้อีกประการหนึ่งในเรื่องความผูกพันกับดอกบัว ตรงกับที่วิลาสินีคาดคิดเมื่อพบข้าพเจ้า

    ที่คิดคำนึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว มาตรงกันกับข้อมูลหลายอย่างในข้อเขียนจนทำให้มีความรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากในสัจธรรมตามข้อเขียนนั้น มิใช่พอใจเพราะตนเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเป็นสำคัญ ที่สำคัญที่สุดในความหวังที่อยากเห็นให้เป็นจริงก็คือ ต้องการให้ข้อเขียนได้มีโอกาสตีพิมพ์สู่สายตาท่านผู้อ่านบ้างเท่านั้น ปรารถนาให้ท่านผู้อ่านเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องบุญเรื่องกุศลเรื่องสวรรค์ มิใช่เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ อย่างที่ข้าพเจ้าเองก็เคยคิดประชดยามท้อแท้ใจมาแล้ว

    “ถ้าสวรรค์มีจริง ท้าวสักกเทวราชคือพระอินทร์มีจริง โดยเฉพาะธรรมาเทพบุตร และวิลาสินีเทพธิดา ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องผูกพันอยู่กับข้อเขียนแดนดาวดึงส์อย่างใกล้ชิดก็น่าจะดลบันดาลให้การจัดพิมพ์หนังสือออกมาได้ไม่ใช่เป็นเรื่องเคราะห์ให้เป็นไปได้เล่า"
    ข้าพเจ้าลองตั้งสมมุติฐานถามตัวเองขึ้นมาอีก

    “...เมื่อถึงเวลาอันสมควร เทพอีกองค์หนึ่งซึ่งได้อาสาลงไปเพื่อการนี้เป็นองค์ที่ 4 จะมีส่วนอนุเคราะห์ให้คุณดอกบัวดำเนินการพิมพ์หนังสือแดนดาวดึงส์ออกเผยแพร่ได้สำเร็จอีกสักพักหนึ่ง งานชิ้นนี้จึงจะสำเร็จสมบูรณ์”

    พลันประโยคดังกล่าวที่วิลาสินีเคยบอกไว้ในฝันก็ดังแว่วขึ้นในโสตประสาทเตือนย้ำขึ้นมาอีก
    “อีกสักพักหนึ่งของเธอจะเป็นเวลาอีกสักเท่าใด นี่ก็ล่วงเข้ามาเกือบ 20 ปีแล้วเทพธิดา”

    ข้าพเจ้าก็ได้แต่คิดวนเวียนอยู่เช่นนั้นและรอต่อไป
    อีกใจหนึ่งก็มีความปริวิตก กังขาว่า
    “ตัวเราอาจมีกุศลน้อย มิใช่เป็นผู้ที่จะรับถ่ายทอดสิ่งประณีตละเอียดบรรจงจากภพภูมิแดนดาวดึงส์มาสู่เพื่อนมนุษยชาติได้หรอกกระมัง...”
     
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อนุโมทนากับน้องมินต์ด้วยจ้า..
    มีชื่อปุณฑริกา คล้ายกันด้วย แต่นี่เป็นชื่อของพระสูตรหนึ่งในฝ่ายมหายาน
    ..

    แต่ก็เคยฝันว่ามีคนเขาเอาชื่อ(ตัวเอง) เขียนใส่กระดาษมาให้ดู
    อาจเพราะไปถามหลวงปู่องค์หนึ่ง ว่าตัวเองเป็นใครกันนะ
    ในฝันทราบว่าเป็นชื่อตัวเองที่ชั้นดุสิต โอ้..ก็แค่ฝันนะ
    เป็นชื่อแบบพระ.. ก็นะ.. ฝันไปโน่นเลย ก็ยังจำชื่อได้อยู่
    เพราะมันชัดขนาดอ่านชื่อแล้วตื่นขึ้นมา.. แต่.. ก็แค่ความฝัน..
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    อนุโมทนาสาธุกับคุณปุณฑ์ บางทีความฝันก็อาจบอกอะไรแก่เราบางอย่างที่เรานึกไม่ออกจำไม่ได้ แต่รู้สึกมีกำลังใจที่จะทำความดีสร้างกุศลต่อไป บางครั้งสิ่งที่เราฝันเห็นก็มีอยู่จริงในอีกภพภูมิหนึ่ง เคยมีประสบการณ์ในความฝันของคนสองคน ที่ฝันเห็นในสิ่งเดียวกัน บุคคลในความฝัน ลักษณะการแต่งกาย สถานที่ สิ่งแวดล้อม บรรยายได้ตรงกันโดยมิได้นัดหมายกันมาก่อน :d
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เมืองทิพย์

    อีกครั้งหนึ่งเมื่อต้นปี พ.ศ.2534 วันนั้นตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ 28 กุมภาพันธ์ วันอุโบสถ ขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันมาฆบูชา
    ราตรีแห่งปุรณมี ดิถีเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง สว่างไสวทั่วท้องนภากาศ
    ล่วงเข้ามัชฌิมยาม เลยเที่ยงคืนแล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเหมือนเคยปรากฏเมื่อครั้งแรกที่ผ่านมาเมื่อ 20 ปีเศษ

    จะว่าฝันก็ไม่ใช่ฝัน จะว่าตื่นก็ไม่ใช่ตื่นเพราะข้าพเจ้ายังนอนไม่หลับแต่มิได้ลืมตาอยู่ หลังจากที่ปิดม่านตาลงแล้วครู่ใหญ่ๆ ข้าพเจ้าเห็นความสว่างจ้าในม่านตาที่หลับอยู่นั้น เป็นความสว่างมากกว่าที่เวลาเคยเผลอไปสบกับดวงอาทิตย์เข้า สว่างกว่าแสงฟ้าแลบฟ้าผ่า แต่เป็นความสว่างที่เยือกเย็นไม่จัดจ้าเหมือนแสงเหล่านั้น เป็นแสงสว่างที่ไม่เคยเห็นในโลกภพ เป็นความโปร่งใสเบาบางอันรุ่งโรจน์เรืองรอง

    เหมือนถูกผีอำเช่นเคย ทั้งๆ ที่รู้สึกอยู่แต่ขยับตัวจะลืมตาก็ไม่ได้ เหมือนอยู่ในมนต์สะกดของแสงประหลาด ความสว่างเยือกเย็นมีอานุภาพให้ข้าพเจ้าจำนนอยู่ในภาวะสงบนิ่งโดยอัตโนมัติ จิตคงที่ไม่วอกแวก ความรู้สึกทั้งหลายในประสาทสัมผัสรวมเป็นจุดเดียวอยู่ที่ดวงแสงซึ่งทรงมหิทธิ
    “ข้าพเจ้าเข้าอยู่ในฌานสมาธิ โดยมหิทธานุภาพภายนอกเป็นตัวกำหนด”
    ความรู้สึกภายในบอกเช่นนั้น

    รู้สึกว่าตัวเองเบาบางไร้น้ำหนัก ล่องลอยออกจากร่างของตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงไปในดวงแสงประหลาดที่ห่อหุ้มเป็นวงกลมล้อมรอบอยู่
    ข้าพเจ้าล่องลอยเรี่ยระแมกเมฆอันเกิดจากปุยทองคำเป็นพื้นเบื้องล่าง บรรยากาศรอบข้างเป็นความสว่างโปร่งใสพิสุทธิ์ซ้อนอยู่ในบรรยากาศคล้ายใกล้สนธยาแห่งโลกเรา รูปกายเบาของข้าพเจ้าถูกกำหนดให้เคลื่อนตรงไปๆ เบื้องหน้าจุดมุ่งที่เห็นอยู่ไกลๆ เป็นกลุ่มแสงสว่างไสวยิ่งกว่าความสว่างซึ่งห่อหุ้มข้าพเจ้าในเบื้องแรก ปรากฏอยู่เหนือผิวพื้นปุยทองคำอันกว้างใหญ่หาขอบเขตมิได้ ใกล้เข้าไปอย่างรวดเร็วด้วยจิตตนรู้สึกเร่งจะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

    ฉับพลัน ความรู้สึกสัมผัสชัดขึ้นในจักษุทันที ปรากฏเป็นเสากลมแก้วประกายรัตนโดรณ เป็นเสาระเนียดแก้วเรียงราย ระยะแถวถี่เหมาะสมเหมือนรั้วล้อมกว้างยาวสุดลูกหูลูกตามหาปริมณฑลซึ่งกว้างใหญ่กว่าพื้นราบแห่งโลกภพในอาณาจักรอันโอฬารปรากฏมหาปราสาทอวดยอดมณฑป ยอดปรางค์ทรงกลม ทรงแหลมเหนือจตุรมุขที่สลับซับซ้อนเหลื่อมลดสูงขึ้นไปเป็นเชิงชั้นตามลำดับนับแสนยอด แม้เทียบกับยอดปรางค์ยอดฟ้ามหาปราสาทที่โผล่พ้นขอบขัณฑสีมาของวัดพระศรีรัตนศาสดารามเรียงรายใหญ่สูงทวีคูณสักแสนเท่าแล้วก็ตามก็ยังจะเล็กกว่าน้อยกว่าเป็นอันมาก นัยว่าจะกว้างใหญ่ไพศาลกว่าพื้นปฐพีในพิภพ สูงตระหง่านนับพันโยชน์เลยสวรรค์

    ใกล้เข้าไปๆ จนต้องเงยแหงนสัมผัสความวิจิตรตระการตาอันแสนจะประณีตงดงาม
    หน้าบันอภิมหาทิพยปราสาททุกเชิงชั้นประกอบด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ตัวลำยอง คันทวย แปลาน กระจัง ฐานพระ แผงแรแปหัวเสา ลายหน้าอุด เชิงกลอน บัวปลายเสา ตีนผี ตะพานหนู เต้าแปหัวเต้า ลายอุดเต้า และพุกล่างล้วนประดับประดาด้วยทองนพคุณและรัตนนพเก้า ระยิบระยับวาบวับแวววาวทอรัศมีสว่างไสวด้วยประกายเพชรทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิลน้ำเงิน มุกดา เพทาย และไพฑูรย์ ระคนหลากสีเล่นแสง เปล่งประกายใสสุด คือเพชรดาวดึงส์กระจ่างนำ ตามติดด้วยรัศมีสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีน้ำเงิน สีหมอกอ่อน และสีชมพูใส แห่งทิพยรัตนะจำนวนมากมายสุดประมาณ

    เป็นมหาปราสาทที่ปรากฏสดสวยตระการตาด้วยทองคำและแก้วรัตนะทั้งเก้าอันเป็นทิพย์
    “ถ้าทิพยสถานแห่งนี้อยู่ในดาวดึงส์ มหาปราสาทตระหง่านเงื้อมแทบทะลุฟ้าถึงพรหมโลกก็คงจะเป็นมหาปราสาทหรือวิมานไพชยันต์ของท้าวสักกะ”
    ข้าพเจ้ารำลึกอยู่ในผัสสะที่ 6
    เหนือมหาปราสาทแต่ละกลุ่มที่เหลื่อมล้ำต่ำสูงขึ้นไปเป็นลำดับแลลิบลิ่วสุดสรวงมีธงทิว ธงทิพย์ชูยอดสูงขึ้นไปอีกประดับอยู่ทุกยอดหลากๆ สี พลิ้วสะพัดโบกโบย โรยประกายระยิบระยับเพิ่มแสงสีวิจิตรแพรวพราวเป็นทวีคูณ
    “ความสว่างที่นี่เกิดขึ้นด้วยประกายทองคำและรัตนะจากมหาปราสาทจอมเทพเป็นองค์สำคัญประกอบด้วยอีกประการหนึ่งดังปรากฏ”

    จำหลักบันทึกที่มาแห่งความสว่างไสวไว้ในความรู้สึกเพิ่มขึ้นในความทรงจำ
    ความใหญ่โตมโหฬารของทิพยปราสาทที่กำลังสัมผัสสุดคะเนว่าคงจะใกล้เคียงขนาดซึ่งพระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้เป็นพิสดาร
    “ปราสาทไพชยันต์ของท้าวสักกเทวราชองค์นี้มีความสูงของตัวปราสาทตั้ง 700 โยชน์ ทิพยธงทิวสูงขึ้นไปอีก 300 โยชน์ รวมสูง 1,000 โยชน์ถึงปลายธง สถิตอยู่ในอาณามหาปริมลฑลเทพนครอันกว้างยาวด้วยเขตขัณฑสีมารัตนโดรณระเนียดแก้วเรียงรายโดยรอบถึงหมื่นโยชน์ มีสุธรรมาเทวสภากว้างใหญ่ 300 โยชน์ เป็นสภาประชุมเทพในเทวกิจที่สำคัญ ต้นมหาปาริฉัตรสูง 100 โยชน์ให้ร่มเงาอันร่มรื่นเป็นปริมลฑลโดยรอบ 300 โยชน์ ลำต้นกว้าง 15 โยชน์ อยู่ในอุทยานบุณฑริกวัน อันมีสระบัวขาวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมหานคร ครบรอบร้อยปีบนดาวดึงส์ดอกจะแย้มบานสะพรั่งแดงฉานตระการตาไปทั่วทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมอวลไปทั่วบริเวณอันไกลแสนไกลยังความปีติให้แก่เหล่าทวยเทพโดยทั่วไป...”

    ข้าพเจ้าล่องลอยไปทางด้านข้างมหาปราสาทใหญ่ มีปราสาทหลังคากลมประกอบด้วยยอดโดมสูงที่เบื้องบน ขนาดเล็กกว่าองค์แรกสักเท่าตัว ปราสาทส่วนแยกออกมาโดยเฉพาะมีเสาทองคำเหลืองอร่ามเรียงรายไปตามรูปวงกลมโดยรอบเป็นเหมือนท้องโถงศาลาใหญ่ที่ประกอบการสำคัญแยกออกมาจากปราสาทองค์ประธาน ที่ยอดโดมกลมมนเหนือสุดเป็นเงินบริสุทธิ์เนื้อละเอียดใสเรียบราวแผ่นกระจก ถัดลงมาส่วนปีกของหลังคากลมโดยรอบนั้นเป็นทองคำโค้งชายลงมาจรดเสาทองแต่ละต้นที่เรียงรายอยู่ ภายใต้ส่วนหลังคาทั้งด้านข้างบางส่วน ซึ่งเป็นจันทัน เพดาน และขอบหน้ามุขประดับด้วยแก้วหลากสีแพรวพราว 7 ประการ

    ในส่วนที่เป็นผนังภายในจากขอบเสาระหว่างช่องโปร่งโดยรอบเป็นแก้วอินทนิลสีม่วงแดงม่วงชมพูสลับสีอ่อนแก่คั่นกันไปจำเริญตา ระหว่างโครงหลังคาและมุมเสาบนส่วนที่เชื่อมกับผนังเป็นรูปเลื้อยลายเถาด้วยแก้วประพาฬสีแดงอ่อนกลมกลืนกัน เบื้องล่างแผ่นพื้นฐานมหาศาลานี้ประกอบด้วยแก้วผลึกสีขาวสลัวคล้ายหินอ่อน อ่อนนุ่มมิกระด้างเลย
    ข้าพเจ้าเข้าไปสัมผัสทั้งภายในภายนอกแล้วรำลึกได้เองว่า
    “นี่คือ สุธรรมาเทวสภานั่นเอง”

    ฉับพลัน เมื่อรำลึกแล้วเช่นนั้น ผัสสะจักษุก็สัมผัสเห็นเทพเทวดานางฟ้าเทวบุตรปรากฏอยู่เต็มไปหมด
    จิตในกายทิพย์แจ้งแก่ตนเองว่าขณะนี้กำลังมีการประชุมสุธรรมาเทวสภาแห่งดาวดึงส์ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ข้าพเจ้าจะพึงได้พิจารณาสหเทพอันเป็นทิพยบริษัทซึ่งมาร่วมประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้
    ณ จุดศูนย์กลางมหาสภา เป็นบัลลังก์ทองอยู่ภายใต้มหาเศวตฉัตร องค์ท้าวสักกเทวราชองค์ประธานประทับอยู่ล้อมรอบด้วยบัลลังก์ทอง เป็นวงกลมล้อมอยู่รอบในสุด 33 บัลลังก์ เทพผู้เป็นใหญ่ร่วมสำนัก 33 องค์ ประทับพร้อมดุจดังองค์เทพมนตรีที่ปรึกษาแวดล้อม

    ถัดออกมาพอประมาณเป็นวงกลมอีกรอบหนึ่ง เป็นที่ประทับของเทพสำคัญชั้นดาวดึงส์ ประทับอยู่เป็นจำนวนมากเป็นองค์ประชุม รอบถัดออกมาอีกเป็นที่ประทับของเทพสำคัญชั้นจาตุมหาราชิกาประทับอยู่เป็นจำนวนมากพอกันประทับล้อมรอบเป็นองค์ประชุมร่วม
    ในแนววงกลมรอบต่อจากนั้นเป็นบัลลังก์ที่ประทับของท้าวจาตุมหาราชพร้อมทั้งบริวารอยู่ในตำแหน่งสี่ทิศของสภา

    ด้านทิศตะวันออกของสภา เป็นบัลลังก์แก้วแกมทองของท้าวธตรฐผู้เป็นใหญ่แห่งเทพคนธรรพ์ ท้าวธตรฐพร้อมด้วยบริวารคนธรรพ์ประทับหันพระพักตร์สู่องค์ประธานสักกเทวราช ซึ่งประทับอยู่เบื้องตะวันตกมหาราชธตรฐทอดพระเนตรมองผ่านเบื้องหลังองค์ประชุมเทพมหาราชิกาและเทพดาวดึงส์สู่เทพผู้เป็นใหญ่ทั้ง 33 แล้ว จึงจะถึงจุดองค์ประธานที่ศูนย์กลาง ในกลุ่มที่ประทับของท้าวธตรฐบริวารคนธรรพ์ถือแผ่นทองคำขนาดใหญ่ เป็นแผ่นจารึกรายงานการประชุม

    ด้านทิศตะวันตกของสภาเป็นบัลลังก์แก้วมณีแดงของท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นใหญ่แห่งนาค ท้าววิรูปักษ์พร้อมด้วยบริวารเทวนาคาประทับหันพระพักตร์สู่องค์ประธาน ซึ่งประทับอยู่ทางทิศตะวันออก เทวนาคาบริวารถือแผ่นมณีสีแดงขนาดใหญ่เป็นแผ่นจารึกรายงานการประชุม
    ด้านทิศเหนือของสภา เป็นบัลลังก์แก้วประพาฬแดงอ่อนของท้าวเวสวัณผู้เป็นใหญ่แห่งยักษ์ ท้าวเวสวัณพร้อมด้วยบริวารเทพจำพวกยักษ์ ประทับหันพระพักตร์สู่องค์ประธานซึ่งประทับอยู่ทางทิศใต้ บริวารยักษ์ถือแผ่นแก้วประพาฬสีแดงอ่อนขนาดใหญ่เป็นแผ่นจารึกรายงานการประชุม

    ด้านทิศใต้ของสภาเป็นบัลลังก์แก้วแกมเงินของท้าววิรุฬหกผู้เป็นใหญ่แห่งกุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหกพร้อมบริวารเทพจำพวกยักษ์กายเขียว ประทับนั่งหันพระพักตร์สู่องค์ประธานซึ่งประทับอยู่ทางทิศเหนือ บริวารกุมภัณฑ์ถือแผ่นเงินขนาดใหญ่ เป็นแผ่นจารึกรายงานการประชุม
    บริเวณรอบถัดออกมาอีก ในมหาวิหารสภาอันกว้างใหญ่ เป็นที่ประทับของทวยเทพเทวดาต่างๆ อีกจำนวนมาก ในรูปลักษณ์และถนิมอาภรณ์ต่างๆ กัน หลายกลุ่มหลายเหล่ามาร่วมฟังการประชุมเพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ปวารณาเพื่อกิจอันเป็นกุศลแก่เทพทั้งหลาย

    ข้าพเจ้าน้อมจิตนมัสการสักการะองค์ที่ประชุมทั้งปวงของสุธรรมาสภาด้วยความปีติ แม้จะรู้สึกว่าอยู่ภายนอกไกลแสนไกลองค์ประธานท้าวสักกะมาก แต่ในกระแสความรู้สึกแจ้งว่านี่คือสัมผัสอันเป็นประโยชน์ยิ่งที่องค์จอมเทพทรงเมตตานิมิตให้ประสบสัมผัสในกาลอันเป็นมงคลนี้
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    บัญช์ บงกช
    (บัญชา ยังพะกูล)
    จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    เคยประกอบอาชีพเป็นทนายความ ช่วยเหลือผู้เป็น
    คดีความด้วยความเป็นธรรม เป็นนักเขียน เป็นนัก
    หนังสือพิมพ์ ใช้ความรู้ความสามารถ ใช้คุณธรรม
    และจริยธรรมดำเนินชีวิตมาตลอด จนบัดนี้ได้เห็น
    สัจธรรมแห่งชีวิต จึงได้หันมาเขียนหนังสือธรรมะ
    เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า อันเป็นคำสอนที่
    วิเศษสุด หากผู้ใดได้ปฏิบัติแล้วจะได้พบกับความสงบ
    กิเลสใดๆ ที่รุมเร้าในทางโลกจะไม่สามารถทำให้ผู้นั้น
    รุ่มร้อน ทุรนทุรายกับความทุกข์ได้เลย
    “ทิพยนิยาย แดนดาวดึงส์” เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่เปิดเผย
    ดินแดนสวรรค์ชั้นที่ 2...ซึ่งผู้ปฏิบัติที่มุ่งสู่นิพพานจะต้อง
    ผ่านมิติเรืองรองงดงามแห่งนี้ แดนดาวดึงส์ดูเหมือน
    เป็นทิพยนิยาย แต่ผู้เขียนขอยืนยันว่าไม่ได้เขียนขึ้น
    จากจินตนาการ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    มหามงคลมาฆมาศ

    “จงวิเคราะห์ให้เป็นประโยชน์แก่จิตตนเถิด...มิใช่แต่มนุษย์ในโลกภพเท่านั้นที่ยังห่างไกลกุศล ไกลสวรรค์ ดังที่ท่านประสบอยู่ เทพเทวดาในแดนดาวดึงส์ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ยังห่างไกลกุศลไกลนิพพาน เทพอีกหลายพวกยังไม่คุ้นเคยและเข้าถึงธรรมะขององค์พระบรมศาสดาพระสมณโคดมผู้ปรินิพพานแล้ว เทพอีกหลายหมู่หลายกลุ่มยังมิได้น้อมจิตสักการะพระพุทธองค์ ยังมิเข้าถึงวิสุทธิธรรมอันสุดยอด ยังมิทราบพระคุณของพระพุทธเจ้า การประชุมคราวนี้ซึ่งเป็นวาระมหามงคลสมัยตรงกับมาฆมาสแห่งพระพุทธศาสนา เราประสงค์จะแจ้งย้ำถึงพระคุณของพระพุทธองค์ให้เป็นที่พึงรู้จักและน้อมสักการะแก่เทพ

    ย่อมเป็นจุดประสงค์ใกล้เคียงกับท่านที่กำลังปฏิบัติอยู่เพื่อมนุษยชาติ จะน้อมจิตรำลึกสวรรค์ได้บ้าง จงเพียรต่อไป กิจกุศลของท่านใกล้จะได้เวลาอันสมควรที่จะบรรลุผลได้บ้างเบื้องแรก จงตัดความปริวิตกออกเสีย ท่านปวารณาเพื่ออนุเคราะห์มนุษย์ให้น้อมมนสิการถึงกุศลถึงสวรรค์อยู่ การประชุมสุธรรมาเทวสภาครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จงสัมผัสให้เต็มที่เถิดแล้วจำหลักจารึกในจิตสมาธิให้มั่นนำลงไปถ่ายทอดให้มนุษย์เห็น จะช่วยเกื้อกูลกิจกุศลของท่านได้มากขึ้น”

    ท้าวสักกเทวราชส่งทิพยกระแสสู่ความรู้สึกข้าพเจ้าเช่นนั้นแล้วพระองค์ผู้มีรัศมีสีเขียวอมน้ำเงินจากพระวรรูปเรืองรองกว่าเทพทุกองค์ ผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์ทองเหนือสุดท่ามกลางมหาสันนิบาตแห่งทวยเทพทั้งสองสวรรค์ ก็เปิดการประชุมเข้าจุดตามพระประสงค์ทันที

    “ดูก่อน เทพทั้งหลายที่ได้มาร่วมประชุมเพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ปวารณาในครั้งนี้ เทพทั้งหลายยังจะเห็นเทพใหม่บางพวกที่ได้มาบังเกิดในแดนนี้เมื่อไม่นานมาบ้างหรือไม่ คือเทพที่นั่งอยู่แถวหน้าขององค์ประชุมแห่งเทพดาวดึงส์ เทพใหม่ผู้นิรทุกข์เหล่านี้มีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งเทพเหล่าอื่นๆ พระยศยิ่งใหญ่กว่า ทั้งอายุก็จะยาวนานด้วยกุศลที่ยั่งยืนเป็นเพราะเหตุใด เทพทั้งหลายพึงทราบหรือไม่”

    เทพทั้งปวงในที่ประชุมต่างมองไปยังเทพเหล่านั้นที่นั่งอยู่ในแถวหน้าสุด ใกล้เบื้องบัลลังก์เทพผู้เป็นใหญ่ทั้ง 33 องค์ ข้าพเจ้ามองตามกระแสสัมผัสจากจิตสัมผัส เห็นธรรมาเทพบุตรและเทพธิดาวิลาสินีรวมอยู่ด้วย
    “พวกเทพเหล่านั้นรุ่งเรืองล่วงเทพเหล่าอื่น โดยรัศมี โดยยศ โดยอายุ”
    เทพทั้งปวงสัมผัสทราบ รู้ เห็น แล้วกระทำสาธุการอนุโมทนายินดีด้วยกับกุศลของเทพซึ่งองค์ประธานหยิบยกขึ้นสรรเสริญ

    “พึงทราบด้วยเราจะแจ้งต่อไป พวกเทพใหม่ผู้มีรัศมี มียศ มีอายุ ล่วงเทพเหล่าอื่นเพราะได้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระสุคต เป็นสาวกของพระผู้มีปัญญาขององค์ตถาคตพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และผู้ประพฤติปฏิบัติชอบตามหลักธรรมของพระองค์จึงเป็นผู้มีรัศมีรุ่งโรจน์ มียศยิ่งใหญ่ และอายุจะยืนยาวด้วยกุศลยิ่งเทพเหล่าอื่น ด้วยประการฉะนี้”
    จอมเทพองค์ประธานทรงอรรถกถา

    “ข้าแด่จอมเทพ องค์ตถาคต พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น คือองค์พระสมณโคดมซึ่งบังเกิดเมื่อไม่นานมานี้ ใช่หรือไม่พระเจ้าข้า”
    เทพองค์หนึ่งประคองอัญชลีน้อมสักการะถาม
    “กล่าวชอบ รำลึกชอบ เป็นการถูกต้องแล้ว พระตถาคตเจ้าพระองค์นั้นเป็นผู้มีพระคุณบริสุทธิ์ หมดจด เป็นผู้มีพระเดชที่ไม่มีใครเทียบได้ เป็นผู้มีพระยศที่ยิ่งใหญ่สูงสุด แม้เพียงผู้เป็นพุทธบริษัทในพระองค์ ประพฤติดี ประพฤติชอบ แม้ยังไม่บรรลุมรรคผลขั้นสูงก็มาบังเกิดเป็นเทพในชั้นดาวดึงส์ มีรัศมีรุ่งเรืองยิ่ง เทพชั้นดาวดึงส์ทั้งหลายที่ยังห่างไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า จะสำคัญข้อความพระคุณของพระองค์อันทรงมีเพื่อจะยังน้อมกระแสรำลึกโน้มจิตมนสิการสักการะพระพุทธองค์ จักเป็นการเสริมกุศลบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปตามสมควรจากเราหรือไม่”

    “เป็นมหากรุณาธิคุณยิ่งพระเจ้าข้า ขอจอมเทพได้โปรดเมตตาตรัสถึงพระคุณอันยิ่งยอดของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นอีกสักครั้งเพื่อกุศลแก่พวกเราเถิดพระเจ้าข้า”
    ทวยเทพทั้งหลายทั้งปวงในที่ประชุมสุธรรมาสภา ณ วันปุรณมีดิถีเพ็ญมาฆมาสต่างปีติยินดี และอ้อนวอนเทวสักกะให้กล่าวถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าเพราะมิเคยล่วงรู้มาก่อนก็มี ที่พึงรู้บ้างแล้วก็มี ที่รู้แจ้งอยู่ก็มี เทพทั้งหลายต่างปรารถนาจะรู้ จะรู้ซ้ำ และจะรู้อีกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์กันถ้วนทั่ว เพราะนั่นคือกุศลบารมีของเทพที่จะบังเกิดเสริมทวียิ่งๆ ขึ้นไปอีก

    “ถ้าเช่นนั้น จงฟังธรรมกถาจากเรา...ว่าด้วยพระคุณ 8 ประการ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ตามควรแก่กุศลต่อไปเถิด
    พระคุณของพระพุทธองค์ในประการที่ 1 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระคุณเนื่องด้วยพระองค์ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มากเพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลกและเทพเทวดาทั้งหลายทั้งปวง พระองค์ทรงปฏิบัติเช่นนั้นมานานนักหนาแล้ว หลายชาติหลายภพ หลายอสงไขยหลายกัปนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งในพระชาติสุดท้ายซึ่งเกิดเป็นพระสมณโคดมก็ได้ทรงเสียสละความสุขทางโลกเพียรแสวงหาสัจธรรมด้วยความยากลำบากแสนสาหัสด้วยพระองค์เองจนบรรลุตรัสรู้อมตธรรมรสดังที่เทพหลายองค์ ณ ที่นี้ก็มีส่วนร่วมเสริมกุศลกิจในการนั้น สัจธรรมที่พระองค์ทรงแสวงหามาได้เป็นธรรมะอันยิ่งยอดที่พระองค์ปรารถนาให้ไว้เป็นสรณะแด่มวลมนุษยชาติและเทพเทวดาจนถึงพรหมโลกทั้งสิ้น พระคุณของบรมศาสดาองค์นี้ เรายังไม่เคยเห็นศาสดาองค์ใดได้ปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนเลย พระพุทธองค์ทรงเป็นพระผู้ที่ทวยเทพควรจะพึงน้อมมนสิการรำลึกสักการะหรือไม่...

    พระคุณของพระพุทธองค์ในประการที่ 2 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระคุณเนื่องด้วยพระองค์ทรงบัญญัติธรรมคำสั่งสอนซึ่งตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่พึงเห็นได้จริงเห็นได้เอง ผู้ใดปรารถนาน้อมเอามาใช้ได้ทุกเมื่อทุกกาล ทุกประโยชน์แก่การกุศลซึ่งเราไม่เคยเห็นพระธรรมคำสั่งสอนของศาสดาใดจะมีคุณประโยชน์ยิ่ง สามารถน้อมมาใช้ได้เสมอสำหรับผู้พึงประสงค์ทุกเมื่อ เช่นธรรมะของพระองค์ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ทวยเทพควรจะพึงน้อมมนสิการรำลึกสักการะหรือไม่...

    พระคุณของพระพุทธองค์ในประการที่ 3 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระคุณเนื่องด้วยพระองค์ทรงบัญญัติธรรมคำสั่งสอนซึ่งตรัสไว้ให้ความกระจ่างชัดเป็นอย่างดีละเอียดประณีตในทุกเรื่องทุกอย่างแยกแยะให้เห็นแตกต่าง อย่างนี้เป็นกุศล อย่างนี้เป็นโทษ อย่างนี้ไม่เป็นโทษ อย่างนี้พึงเสพย์ อย่างนี้ไม่พึงเสพย์ อย่างนี้เลว อย่างนี้ประณีต อย่างนี้ดำ อย่างนี้ขาว เป็นต้น พระองค์ทรงบัญญัติไว้ด้วยความประณีตบรรจงมาก เราไม่เคยเห็นศาสดาองค์ใดบัญญัติธรรมะได้ชัดแจ้งละเอียดประณีตถึงปานนี้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ทวยเทพควรจะพึงน้อมมนสิการรำลึกสักการะหรือไม่...

    พระคุณของพระพุทธองค์ในประการที่ 4 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระคุณเนื่องด้วยพระองค์ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับไปถึงพระนิพพานแก่สาวกไว้อย่างชัดแจ้งกลมกลืนและเป็นข้อปฏิบัติที่จะสามารถกระทำได้เป็นอย่างดี สมณะภิกษุใดพึงปฏิบัติตามที่พระองค์บัญญัติไว้ ด้วยความบริสุทธิ์ และหมดจดจริงๆ ในแนวที่พระองค์แนะนำไว้ให้สมณะภิกษุนั้นจะถึงพระนิพพานได้จริงๆ เราไม่เคยเห็นศาสดาองค์ใดบัญญัติข้อปฏิบัติแก่สาวกอย่างหมดสิ้นหมดเปลือกถึงเช่นนี้เลย พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ทวยเทพควรจะพึงน้อมมนสิการรำลึกสักการะหรือไม่...

    พระคุณของพระพุทธองค์ในประการที่ 5 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระคุณเนื่องด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้มีพระทัยเปี่ยมล้นเต็มใจที่จะให้คำแนะนำปรึกษาข้อปฏิบัติแก่พระสมณะภิกษุทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจดีแล้ว ให้ความกระจ่างอย่างชัดแจ้งไม่ปิดบังเลย และไม่ทรงติดยึดมั่นว่าผู้ที่กำลังปฏิบัติ หรือได้ปฏิบัติบรรลุแล้วก็ดี เป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนแนะนำมา พระองค์ไม่ทรงติดอยู่กับบุคคลเหล่านั้นทรงตามประกอบความเป็นผู้มี ความเป็นผู้เดียว เป็นที่มายินดีอยู่ เราไม่เคยเห็นศาสดาใดที่มีความยินดีสันโดษเช่นนี้เลย พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ทวยเทพควรจะพึงน้อมมนสิการรำลึกสักการะหรือไม่...

    พระคุณของพระพุทธองค์ในประการที่ 6 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระคุณเนื่องด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ไม่มัวเมาประมาท แม้จะได้รับลาภสักการะและเกียรติยศชื่อเสียงศรัทธาจากมนุษย์ทั้งหลายและเทพเทวดาทั่วไปพากันสรรเสริญในพระคุณอันเนื่องด้วยผลบุญที่ได้สร้างสมมานานนับสี่อสงไขยแสนกัป พระองค์ก็ไม่ทรงติดเสพย์หรือบริโภคอยู่กับลาภยศสรรเสริญอันเปรียบเสมือนห้วงน้ำใหญ่ที่มีอยู่รอบพระองค์นั้น พระพุทธองค์ก็ทรงพิจารณาละลาภยศสรรเสริญนั้นเสีย ทรงปฏิบัติจิตและธรรมเป็นพิสุทธิ์เสมอต้นเสมอปลายเพื่อเป็นที่พึ่งโดยแท้ของมนุษย์และเทพเทวดาโดยตลอด เราไม่เคยเห็นศาสดาองค์ใดที่ปราศจากความเมาบริโภคลาภยศสรรเสริญเช่นพระองค์มาก่อนเลย พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ทวยเทพควรจะพึงน้อมมนสิการรำลึกสักการะหรือไม่...

    พระพุทธคุณของพระพุทธองค์ในประการที่ 7 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระคุณเนื่องด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ตรัสอย่างไร ทำอย่างนั้น ทรงสอนธรรมแก่บุคคลอื่นเช่นไร ทรงปฏิบัติธรรมด้วยพระองค์เองเช่นนั้น ทุกอย่างทุกประการทรงปฏิบัติอย่างไร ก็ทรงสอนอย่างนั้นทุกอย่างทุกประการ เราไม่เคยเห็นศาสดาองค์ใดที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอย่างนี้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ทวยเทพควรจะพึงน้อมมนสิการรำลึกสักการะหรือไม่...

    พระคุณของพระพุทธองค์ในประการที่ 8 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระคุณเนื่องด้วยพระองค์ทรงตั้งพระทัยบำเพ็ญคุณความดีมาตลอดหลายชาติหลายภพ เพื่อปรารถนาให้เป็นที่พึ่งของมนุษย์และเทพเทวดาได้อย่างแท้จริง จนประสบความสำเร็จด้วยอริยมรรคตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยพระองค์เองในสิ่งที่ไม่ทรงได้ฟังมาก่อนและทรงบรรลุความเป็นผู้ทรงรู้ทุกอย่างในสิ่งเหล่านั้น และเชี่ยวชาญชำนาญในธรรมที่บรรลุแล้วนั้น เราไม่เคยเห็นพระศาสดาองค์ใดปราศจากความเคลือบแคลง สิ้นสุดความดำริ เกี่ยวกับอัชฌาสัยข้อปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์อย่างนี้เลย พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ทวยเทพควรจะพึงน้อมมนสิการรำลึกสักการะหรือไม่...

    ทวยเทพทั้งปวงในที่ประชุมสุธรรมาเทวสภา ได้สดับพระธรรมกถา พระคุณของพระพุทธเจ้าทั้ง 8 ประการ เสร็จสิ้นแล้วต่างก็ประคองอัญชลีขึ้นนมัสการกระทำการสาธุการ
    “สาธุ...ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขออนุโมทนาพระคุณองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตามที่จอมเทพท้าวสักกเทวราชได้โปรดเมตตาแสดงธรรมกถามาแล้วโดยตลอด ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมจิตรำลึกสักการะพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน พร้อมทั้งสาวกทั้งหลายผู้ประพฤติดีประพฤติชอบโดยทั่วกัน”

    สิ้นเสียงอนุโมทนาสาธุการของทวยเทพทั่วสภา พลันประกายรัศมีของเทพทุกองค์ก็ทอประกายโชติช่วงขึ้นกว่าเดิมมาก และปรากฏอยู่เช่นนั้นตลอดไป เช่นเดียวกับประกายทองคำนพคุณ รัตนนพเก้าอันประกอบเป็นสุธรรมาสภา และมหาปราสาทไพชยันต์พร้อมด้วยแก้วมณี แก้วประพาฬ แก้วผลึก แก้วประกายต่างๆ และปุยทองคำอันรวมตัวกันเป็นม่านเมฆภาคพื้นมหาอาณาจักรเทพนครทั้งมวลก็เปล่งรัศมีเป็นประกายรุ่งโรจน์สว่างไสวยิ่งขึ้นกว่าแต่เดิมอีกมากมาย สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็เพิ่มความวิจิตรชัชวาลด้วยมหากุศลแห่งพระพุทธคุณเป็นอัศจรรย์ ทิพยสังคีตก็ประโคมก้องทำนองเสนาะมารอบทิศ กลีบไม้ดอกมณฑารพ อาสาวดี กัลปพฤกษ์ ปาริฉัตตกะ บัวสวรรค์ ก็ปลิวว่อนดารดาษตลบอบอวลด้วยจุรณจันทน์สุคนธชาติหอมฟุ้งขจรขจายไปทั่วภาคพื้นดาวดึงส์สวรรค์

    ทวยเทพต่างบันเทิงเริงรื่น ชื่นจิต โสมนัส ปีติยินดีกันถ้วนทั่ว
    แล้วท้าวสักกเทวราชและทิพยบริษัททั้งสิ้นทั้งปวงต่างประคองอัญชลีนมัสการพระพุทธองค์อีกครั้งหนึ่งพร้อมด้วยคำตรัสพร้อมกัน
    “ขอน้อมรำลึกสักการะ พระตถาคตพระองค์นั้น และพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ซึ่งตรัสไว้ดีตรัสไว้ชอบแล้วพระพุทธเจ้าข้า...”

    พลันความสว่างรุ่งโรจน์ก็อันตรธานไปสิ้น ข้าพเจ้ารู้สึกตัวเองซึ่งนอนอยู่บนเตียงตามเดิมจึงลืมตาขึ้นและพลิกกายได้ หลุดพ้นจากพันธนาการสวรรค์นั้นแล้วลุกขึ้นและมองไปรอบๆ ห้องที่มัวซัวแล้วมองออกไปทางหน้าต่าง จันทร์กระจ่างฟ้าคล้อยต่ำลงทางทิศตะวันตก เสียงนาฬิกาตีขึ้น 4 ครั้ง เช้าตีสี่แล้ว ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากเตียงไปไหว้พระพุทธรูปนั่งสวดมนต์ด้วยความปีติอิ่มเอมอยู่จนกระทั่งสว่าง

    “ข้าพเจ้าไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝันไป แต่ข้าพเจ้าได้สัมผัสประสบการณ์เช่นนั้นจริงๆ อีกวาระหนึ่ง”
    นั่งทบทวนเหตุการณ์และบันทึกจารึกไว้ได้อย่างละเอียดดังได้ประสบ
     
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    สู่ปฐมกาลอันสมควร

    เช้าวันต่อมา ข้าพเจ้าได้ไปใส่บาตรทำบุญที่วงเวียนใหญ่ หลังจากทำบุญแล้วก็ได้แวะเข้าไปนั่งรับประทานอาหารเช้าในตลาดวงเวียนใหญ่ มีคนขอทานทั้งผู้ใหญ่และเด็กแวะเวียนเข้ามาขอทานหลายคน ข้าพเจ้าไม่ให้เงินแต่ถามเขาว่าจะกินข้าวหรืออาหารเช้าอะไรไหม ข้าพเจ้าจะเลี้ยงเป็นอาหารแต่ขอให้สั่งกินตรงนี้ กินให้หมดกินให้อิ่ม คนขอทานเหล่านั้นที่เป็นขอทานจริงๆ ก็สั่งอาหารตามที่เขาพอใจกินกันคนละอิ่มทั้งของคาวของหวานตามที่ข้าพเจ้าได้อนุญาตแล้วบอกคนขายให้มาคิดเงินที่ข้าพเจ้า ถือว่าได้ทำบุญแล้วก็ทำทานควบคู่กันไปในเช้าวันเดียวกัน

    อานิสงส์บังเกิดขึ้นทันตา เมื่อเข้าไปสำนักงานที่ทำงานอยู่ก็ได้รับโทรศัพท์จากธนาคารกรุงเทพสาขาใกล้บ้านที่ข้าพเจ้าเปิดบัญชีไว้ แจ้งว่ามีผู้นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของข้าพเจ้าจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันบาทและเจ้าของบัญชีที่โอนเงินเข้าแจ้งว่าจะนำเข้าให้เป็นประจำติดต่อกันไปทุกๆ เดือน ในอัตราดังกล่าวเรื่อยๆ ไป
    “ผู้โอนเงินเข้าบัญชีข้าพเจ้าคือบริษัท.....ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่มากในประเทศไทย”
    เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกข้าพเจ้าเพียงเท่านั้น

    ข้าพเจ้าทบทวนแล้วทบทวนอีกก็นึกไม่ออกว่าเคยมีส่วนเกี่ยวพันกับบริษัทดังกล่าวนั้นอย่างไร ที่นึกได้แน่ๆ คือไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างไรเลย
    “แล้วเขาเอาเงินให้เราทำไมถึงเดือนละหมื่นห้า เดือนละหมื่นห้า”
    ข้าพเจ้าก็ได้แต่งงเพราะหาเหตุผลไม่ได้
    หลายวันต่อมา ข้าพเจ้าได้สืบหาเหตุผลที่บริษัทเจ้าของเงินโอนเข้าบัญชีข้าพเจ้า ก็ได้ความสั้นๆว่า
    “เป็นเงินเดือนค่าตอบแทน เนื่องจากบริษัทได้อนุมัติแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษาประจำตัวผู้บริหารกิจกรรมพิเศษของบริษัท”

    “ใครกัน...ผู้บริหารกิจกรรมพิเศษของบริษัทยักษ์ใหญ่เช่นนั้น”
    คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเพราะไม่เคยรู้จักจริงๆ
    เมื่อสืบสวนถึงต้นตอได้ในที่สุดก็ปรากฏความจริง
    “ผู้บริหารกิจกรรมพิเศษ และที่ปรึกษาประธานใหญ่ของบริษัทยักษ์ระดับโลก...เขาผู้นั้นคือ วิชย์ นั่นเอง”

    เมื่อได้พบกันในห้องทำงานอันโอ่อ่าของเขา วิชย์ได้เล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ได้ต่อสู้ดิ้นรนและเข้าทำงานบริษัทนี้ที่ตรอกจันทน์และไม่ได้พบกันอีกตลอดมา 20 กว่าปีแล้ว จากการที่มีความจริงใจและจริงจังในการทำงาน ชีวิตของเขาจึงประสบผลสำเร็จจนได้รับความไว้วางใจและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงจากท่านประธานบริหารของบริษัท เขาคิดถึงและได้ติดตามหาข้าพเจ้าจนทราบที่อยู่และบัญชีเงินฝากในธนาคารใกล้บ้านแล้วโอนเงินเข้าบัญชีให้เป็นเงินเดือนในฐานะที่ปรึกษาของเขาดังกล่าว

    ข้าพเจ้าละอายใจ ปฏิเสธที่จะรับเงินเดือนนั้น เพราะยังมิได้ทำประโยชน์ให้บริษัทผู้จ่ายเงินเดือนแต่ประการใด
    “คุณพี่อย่าคิดมากไปเลย เงินนิดหน่อยเพียงเดือนละเท่านี้มันมีค่าน้อยกว่าข้าวต้มกุ๊ยชามนั้นเป็นไหนๆ นะพี่”
    วิชย์ กล่าวปลอบใจและยืนยันหนักแน่นแก่ข้าพเจ้า
    ล่วงเข้าต้นปี พ.ศ.2535 บัญชีเงินฝากของข้าพเจ้ายังได้รับเงินโอนเข้าเป็นประจำทุกๆ เดือนมิได้ขาด บางส่วนข้าพเจ้าแบ่งเอาไปทำบุญเพราะถือว่าเป็นเงินที่ได้มาจากบุญแล้วก็อนุโมทนาแบ่งผลบุญให้แก่วิชย์และผู้เกี่ยวข้องในบริษัทเป็นประจำเสมอมา

    ด้วยความเกรงใจบริษัทและวิชย์เป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าจึงแจ้งความประสงค์แก่วิชย์ที่จะไม่รับเงินค่าตอบแทนดังกล่าวนั้นต่อไป
    วิชย์ยังคงยืนยันเหมือนเดิม พี่อย่าคิดมากเช่นเคยและมีคำหนึ่งที่วิชย์กล่าวออกมาลอยๆ
    “ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา...พี่มีสัญญาอะไรกับใครอยู่ที่จะต้องใช้เงินเป็นทุนอะไรสักอย่างหนึ่ง พี่เก็บเงินนี้ไว้ทำทุนก็แล้วกัน...”

    ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าและครอบครัวได้นำเงินที่ได้มาจากวิชย์จำนวน 16,730 บาท สร้างพระไตรปิฎกฉบับครบ 200 ปี แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ดำเนินการจัดพิมพ์ฉบับอรรถกถาแปลออกมา 1 ชุด รวม 91 เล่มใหญ่ ประเภทปกแข็งถาวร สร้างถวายเป็นกุศลสมบัติแก่วัดเมืองปราณบุรี ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดที่ข้าพเจ้าเคยบวช

    พระคุณเจ้า ท่านเจ้าอาวาสให้ศีลให้พรและแจ้งอานิสงส์ว่า
    “การถวายพระไตรปิฎกมีอานิสงส์มากนัก เกิดชาติหนึ่งชาติใดจะเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันธรรมะ จะรู้แจ้งในสัจธรรมของพระพุทธองค์ จะเป็นผู้เข้าถึงสวรรค์นิพพานได้ในที่สุดเพราะสวรรค์นิพพานมีปรากฏชัดแจ้งอยู่ในพระไตรปิฎกอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดีแล้ว สมัยก่อนยังไม่มีการแปลพระไตรปิฎกออกมาเป็นภาษาไทยนอกจากพระผู้ศึกษาในทางบาลีเท่านั้นที่จะรู้พระไตรปิฎกได้ รู้สวรรค์นิพพานได้ แต่สมัยนี้จากหนังสืออรรถกถาแปลนี้ฆราวาสที่สนใจมาอ่านมาศึกษาก็รู้ได้ หนังสือนี้จึงมีคุณค่ามากเพราะจะทำให้มนุษย์ทั่วไปน้อมจิตเข้าถึงบุญถึงสวรรค์ได้ง่ายขึ้น ที่วัดนี้ยังไม่มีใครถวายพระไตรปิฎกฉบับแปลมาก่อน โยมจึงเป็นบุคคลแรกที่นำทางสว่างไสวมาสู่พระสงฆ์และประชาชนทั่วไปจึงถือเป็นอานิสงส์สูงสุด”

    ข้าพเจ้าก้มนมัสการกราบรับศีลรับพรจากพระคุณเจ้าอาวาสด้วยความปีติอิ่มอาบซาบซ่านใจยิ่งนัก และหวนรำลึกได้ในฉับพลันถึงคำกล่าวของเทพธิดาและเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นลำดับ
    “...ยามนี้มนุษย์ยังไม่สนใจและไม่เห็นคุณค่าหนังสือดีแม้กระทั่งหนังสือแปลคัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาซึ่งจรรโลงมาเกือบสองพันห้าร้อยสิบปีแล้วยังไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย นั่นเป็นหนังสือสูตรสำเร็จรูปสำหรับผู้ปรารถนาสวรรค์นิพพานโดยแท้ล้ำค่ายิ่งนัก ยังไม่มีผู้ใดกล้าพิมพ์ออกมาเลย อีกชั่วครู่ใหญ่ๆ เมื่อถึงเวลาอันสมควรหลังจากที่มีการแปลคัมภีร์พระไตรปิฎกออกมาเป็นภาษาไทยค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบแล้ว จะมีผู้อ่านในกลุ่มกุศลให้ความสนใจกันมาก เมื่อนั้นเทพอีกองค์หนึ่งที่ได้อาสาลงไปเพื่อการนี้เป็นองค์ที่ 4 จะมีส่วนอนุเคราะห์ให้คุณดอกบัวดำเนินการพิมพ์หนังสือแดนดาวดึงส์ออกเผยแพร่ได้สำเร็จอีกสักพักหนึ่งงานชิ้นนี้จึงจะสำเร็จสมบูรณ์”

    วิลาสินีเคยกล่าวไว้ในฝันกับข้าพเจ้าเช่นนั้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วมา
    เธอกล่าวย้ำในโสตประสาทข้าพเจ้าหลังจากที่คุณพี่ธรรม บำรุงศีล เสียชีวิตใหม่ๆ เมื่อ 7-8 ปีที่แล้วมา
    “มันยังไงไม่รู้นะ พี่มีความรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังจะได้พบอะไรสักอย่างหนึ่งที่นี่ในคืนนี้”
    คุณพี่ธรรม เคยป้องปากบอกเฉพาะข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัวในคืนที่ไปกินข้าวต้มกุ๊ยที่ร้านหน้าวัดบวรฯ และได้พบกับวิชย์เป็นครั้งแรกในคราวนั้น ก่อนจะจากกันคุณพี่ธรรมยังกระซิบสั่งเหมือนกำชับว่า
    “อนุเคราะห์กันไว้ให้ดีเถิด”
    หมายถึงวิชย์...เหมือนคุณพี่จะรู้อะไรอยู่แล้วในส่วนลึกแต่ข้าพเจ้ามิได้ฉงน
    “ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา...พี่มีสัญญาอะไรกับใครอยู่ที่จะต้องใช้เงินเป็นทุนอะไรสักอย่างหนึ่ง พี่เก็บเงินนี้ไว้ทำทุนก็แล้วกัน...”

    วิชย์กล่าวแก่ข้าพเจ้าเมื่อคราวไม่ยอมงดจ่ายเงินเดือนให้ข้าพเจ้าตามที่ข้าพเจ้าขอร้องให้งดด้วยความเกรงใจ
    “จริงสินะ พี่มีสัญญาอะไรกับใครอยู่...กับวิลาสินีนั่นเอง เคยคิดว่าถ้ามีทุนสักจำนวนหนึ่งจะพิมพ์หนังสือแดนดาวดึงส์ออกเผยแพร่ตามประสงค์ของเธอ จะทุนอะไรเสียเล่าที่เราคิดจะทำ ก็ทุนสำหรับพิมพ์หนังสือนี่เท่านั้น...แต่เราก็ไม่เคยบอกให้วิชย์รู้”
    ข้าพเจ้าระลึกได้แล้ว เงินจำนวนหนึ่งที่วิชย์จ่ายเข้าบัญชีตลอดมายังพอเหลือที่จะเป็นทุนสำหรับพิมพ์หนังสือแดนดาวดึงส์ได้อย่างพอเพียงทีเดียว

    บัดนี้...ถึงเวลาอันสมควรแล้วซึ่งข้าพเจ้าพร้อมที่จะพิมพ์หนังสือทิพยนิยาย...แดนดาวดึงส์ออกสู่มนุษยชาติเป็นเบื้องแรก
    เพื่อนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในวงการหนังสือทราบความประสงค์ของข้าพเจ้าได้รีบช่วยประสานงานตั้งแต่การออกแบบปก จัดรูปเล่มหนังสือ ติดต่อสำนักพิมพ์ เพื่อดำเนินการให้หนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดด้วยความเต็มใจพร้อมกับสนับสนุนอย่างเต็มที่ที่จะเห็นผลงานจากทิพยสถานถ่ายทอดมาสู่มนุษยโลกเพื่อเป็นวิทยกุศลต่อไป

    และเพื่อนผู้เห็นดีเห็นชอบให้ความช่วยเหลืออย่างยิ่งดังได้กล่าวผู้นี้ เป็นมนุษย์ธรรมดาร่วมสมัยและร่วมวงการน้ำหมึกมาช้านาน ข้าพเจ้าเพิ่งจะฉุกใจระลึกขึ้นมาได้ในขณะนี้ว่าเขาอาจไม่ใช่คนธรรมดาก็ได้เพราะใครๆ เรียกเขาว่า “เทพ”
    ใช่แล้ว...ผู้ร่วมสร้างสรรค์ทิพยนิยาย...แดนดาวดึงส์อีกผู้หนึ่งนี้มีนามจริงว่า “เทพ”

    ทั้งเหตุการณ์ บุคคล และประสบสัมผัสต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบจึงสอดคล้องต้องกันเป็นลูกโซ่สืบทอดเกี่ยวเนื่องผูกพันเข้ามาเองโดยมิได้นัดหมายหรือเตรียมการไว้ล่วงหน้าแต่ประการใด อันเป็นสิ่งประหลาด มหัศจรรย์ ข้าพเจ้าถือว่าเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นจากองค์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดนับแต่องค์พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระเทวคุณ ทรงมีพระเมตตากรุณาอนุเคราะห์เกื้อกูลในกุศลกิจของข้าพเจ้าให้บรรลุผลสำเร็จเรียบร้อยสมความประสงค์ อานิสงส์แห่งผลบุญซึ่งปรากฏขึ้นทั้งนามธรรมและรูปธรรมนี้ ขอจงประสบแด่องค์เทพและมนุษย์ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน พร้อมผู้อ่านทั้งหลายทั่วทุกคนจงถึงบุญถึงกุศลและทิพยสถานด้วยกันโดยถ้วนทั่วเทอญ.


    แดนดาวดึงส์
    โดย...บัญช์ บงกช
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...