*ทิพยนิยาย*

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 27 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    พุทธกาลมงคลสมัยเทพเสริมพุทธบารมี

    เทวกรณียกิจในกิจกรรมพิเศษที่จอมเทพท้าวสักกะพึงยินดีร่วมสร้างกุศลบารมีในคราวที่พระโคดมบังเกิดและจะเริ่มบำเพ็ญเพียรเพื่อหาทางตรัสรู้อมตธรรมให้เป็นสรณะแก่ชาวโลกและชาวสวรรค์ กิจอันใดที่จะนิมิตแสดงเสริมบารมีเจ้าชายสิทธัตถะเพื่อให้มนุษย์พึงส่งเสริมในการบำเพ็ญเพียรและมีจิตศรัทธาในพระองค์พึงเป็นกิจอันควรที่เทวราชจักแสดง

    “บัดนี้ เจ้าชายสิทธัตถะเริ่มเจริญพระชนมายุขึ้นมาตามสมควรแล้ว ใกล้เวลาที่จะตรัสรู้เข้ามาอีก ในวันอันเป็นมงคลเช่นนี้น่าที่จะพึงบังเกิดนิมิตอัศจรรย์สักประการหนึ่ง”
    ท้าวสักกะตรัสหารือกับเทพผู้ใหญ่ร่วมสำนัก
    “วันนี้เป็นวันที่พระราชาเสด็จเพื่อจรดพระนังคัลในที่กสิกรรมเป็นวันพระราชพิธีวัปปมงคล ในที่กสิกรรมนั้นมีต้นหว้าใหญ่ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาอันร่มรื่น พระราชาเสด็จมาทรงพาพระโอรสเสด็จด้วย ที่ต้นหว้ามีเงาร่มเย็นแห่งนี้จะเป็นที่พำนักของพระโอรสเป็นเวลานานตามสมควร เหตุอัศจรรย์เพื่อเสริมบารมีน่าจะปรากฏตรงนั้นได้” เทพร่วมสำนักออกความเห็น
    “ดีละ เรารู้แล้วว่าเหตุอัศจรรย์ในบริเวณนั้นตามที่ท่านพึงเห็นว่าสมควร เราเห็นสมควรด้วย”
    เทพสักกะเห็นคล้อยตาม และเล็งทิพยเนตรเข้าไปในภูมิภาคนั้น
    พระเจ้าสุทโธทนะเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยราชบริพารกลุ่มใหญ่ ทรงพาพระโอรสเสด็จไปด้วย ณ ที่กสิกรรม มีต้นหว้าใหญ่ให้เงาทึบร่มเย็นน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ทรงให้พระโอรสพำนักใต้เงาร่มหว้าพร้อมหมู่อำมาตย์ราชบริพารส่วนหนึ่งแล้วพระราชากับหมู่อำมาตย์อีกส่วนหนึ่งก็ได้เข้าไปเป็นองค์ประธานในพิธีที่กสิกรรม พระราชาทรงถือพระนังคัลทอง เหล่าอำมาตย์ถือหางไถเงินประกอบราชพิธีจรดพระนังคัลตามพระราชประเพณี

    เจ้าชายสิทธัตถะกุมารพอพระทัยในเงาร่มแห่งหว้าใหญ่นี้เป็นที่ยิ่ง พระองค์ทรงนั่งอยู่ที่โคนใหญ่แห่งไม้สำคัญทรงรู้สึกว่าเหมือนเคยนั่งอยู่ที่โคนไม้เช่นนี้มานานนักแล้ว นั่งมาหลายครั้งหลายหน ทั้งพระองค์ยังทรงรำลึกถึงลักษณะการนั่งได้ด้วย ขณะนั้นเมื่อทรงแลดูข้างซ้ายข้างขวาเห็นนางพระพี่เลี้ยงและพรรคพวกพากันเลี่ยงออกไปดูพระราชพิธีที่พระราชบิดากำลังกระทำอยู่ เห็นเป็นเวลาปลอดคนเงียบสงบจึงทรงนั่งขัดสมาธิที่รู้สึกว่าเคยชินและกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ มิได้สนใจในพิธีเบื้องนอกเลย สักครู่หนึ่งปฐมฌานก็บังเกิด

    เวลาผ่านไปนานพอสมควร จนกระทั่งพระราชพิธีใกล้จะเลิก ดวงอาทิตย์คล้อยบ่ายลงมากแล้วจนร่มเงาไม้ต้นอื่นๆ ทุกต้นในบริเวณนั้นเคลื่อนคล้อยกลับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับดวงตะวัน สิทธัตถะกุมารยังคงสงบนิ่งอยู่ในสมาธิเช่นนั้นที่ใต้ต้นหว้าใหญ่นี้ เมื่อพระพี่เลี้ยงและราชบริพารพากันกลับมาก็พบพระองค์ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่มเงาหว้าใหญ่แต่เพียงร่มเดียวที่พระองค์ประทับยังคงร่มคงที่อยู่ที่ใต้ต้นกำบังแสงอาทิตย์ให้ความร่มรื่นเป็นปริมณฑลโดยรอบเจ้าชายมิได้เคลื่อนคล้อยไปตามทิศทางตรงข้ามกับดวงตะวันเหมือนเงาไม้ร่มอื่นๆ ทั่วไปแต่ประการใด

    พระพี่เลี้ยงนางนม อำมาตย์ ราชบริพารในส่วนนั้นเห็นเป็นอัศจรรย์ด้วยกันทั้งหมดจึงวิ่งไปกราบทูลพระราชาที่กำลังจะเสด็จมา พระราชารีบเสด็จมาเห็นปาฏิหาริย์เช่นนั้นด้วยพระเนตรก็เกิดศรัทธาสัมปทายิ่งนัก จึงยกพระหัตถ์ประนมไหว้พระโอรสอีกครั้งหนึ่ง
    “นี่พ่อไหว้ลูกเป็นหนที่สองแล้วนะ”
    พลางพระองค์ตรัสรำพึงเป็นที่ได้ยินกันไปทั่วอำมาตย์ที่แวดล้อม
    ธรรมบุรุษกายทิพย์ ผู้สถิตเห็นเหตุการณ์ร่วมสมัยอยู่ในอาณาจักรเทพนครแห่งดาวดึงส์ยกมือประนมนมัสการสิทธัตถะกุมารแล้วถามขึ้นด้วยคารวะ
    “นั่นเป็นนิมิตจากจอมเทพหรือพระองค์”
    ท้าวสักกะและเทพผู้เป็นใหญ่ร่วมสำนักทั้ง 33 องค์ ต่างยกมือกระทำอนุโมทนาในพระบารมีของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะตรัสอธิบาย
    “มิใช่เป็นนิมิตจากเราให้ร่มเงาไม้ใหญ่ปรากฏเป็นกลดกั้นอยู่คงที่เช่นนั้น แต่เป็นด้วยพระบารมีของพระองค์เองที่ทำให้แสงอาทิตย์มิส่องเป็นเส้นตรงเข้ากระทบพระวรกายกลับสะบัดขึ้นบนยอดไม้เสียกลายเป็นร่มเงาลงสู่เบื้องล่างเหมือนยามเที่ยง เราเพียงแต่ปรากฏนิมิตให้ผู้แวดล้อมมาเห็นเหตุอัศจรรย์เพื่อโจษจันเช่นนั้น”
    จอมเทพอธิบาย
    “ดูพระราชบิดาจะมีจิตศรัทธาในพระโอรสมากขึ้นมาอีก”
    ธรรมบุรุษออกความเห็น
    “ยิ่งศรัทธามากขึ้นก็ยิ่งกริ่งเกรงมากขึ้นด้วย พระราชายิ่งกริ่งเกรงว่าพระโอรสจะออกบวชเสียแทนที่จะรับสืบทอดราชสมบัติต่อไป ความปรารถนาทางโลกของพระราชบิดามีมากกว่าที่จะศรัทธาในทางธรรม”
    เทพตรัสด้วยปริวิตกในวิสัยของมนุษยชาติเช่นนี้
    เป็นความจริงเช่นนั้น พระเจ้าสุทโธทนะใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลาเห็นว่าคำทำนายของกาฬเทวลดาบสน่าจะเป็นไปได้อย่างมากเพราะเหตุอัศจรรย์ปาฎิหาริย์อันเกิดแก่พระโอรสไม่ใช่เป็นปกติวิสัยของมนุษย์ธรรมดา พระโอรสมีปาฏิหาริย์ของเทพเทวดาปรากฏอยู่ ถ้าโน้มจิตออกบวชเสียก็น่าเสียดาย ถ้าพระโอรสอยู่ในเศวตฉัตรสืบทอดราชสมบัติต่อไปก็คงจะเป็นพระมหาจักรพรรดิอย่างแน่แท้ดังคำที่พราหมณ์บัณฑิตประจำสำนักทั้ง 8 ทำนายไว้ เพราะเป็นผู้มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหนือกษัตริย์อื่นๆ
    “เราจำจะต้องหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้พระโอรสโน้มจิตไปในทางออกบวช โดยการโน้มจิตลูกเราให้เพลิดเพลินอยู่กับโลกิยสมบัติเสีย”
    พระราชามีพระราชดำริได้เคยสดับฟังคำของพราหมณ์บัณฑิตว่าสิ่งที่จะดลบันดาลใจให้พระโอรสออกบวชก็คือ การเป็นบุพนิมิต 4 เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระราชาจึงตรัสสั่งผู้ใกล้ชิดเกี่ยวข้องระมัดระวังที่จะไม่ให้ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช เข้ามาใกล้โอรสเป็นอันขาด
    “อันเป็นวิสัยธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่บังเกิดขึ้นมาแล้วในโลกภพโลกธาตุ สวรรค์ได้จารึกไว้แล้วนิมิต 4 ประการ เป็นนิมิตดลใจให้พระพุทธองค์ออกบวชก็คือ การแก่ การเจ็บ การตาย และนักบวช เป็นบุพนิมิต ทำให้เกิดความทุกข์ พระพุทธองค์จะออกบวชด้วยเหตุนิมิตนั้น ถ้าถูกขวางกั้นจากมนุษย์ เราผู้เป็นใหญ่ในสองสวรรค์จึงมีหน้าที่เนรมิตให้ปรากฏตามสัจธรรมแห่งวิสัยธรรมดานี้”

    เทพท้าวสักกะตรัสปรารภ เวลาผ่านพ้นไปอีกเสี้ยวหนึ่งของวันในสวรรค์ ในโลกภพก็ผ่านไปหลายปี เจ้าชายสิทธัตถะรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ในปราสาท 3 หลัง พร้อมด้วยอัครมเหสี และพระนางสนมนาฏงดงามล้วนถึงสี่หมื่นนางก็บรรลุพระชันษาเข้า 29 พรรษา

    ใกล้เวลาตรัสรู้เข้ามาเต็มทีแล้ว เป็นโอกาสอันควรย่างเข้าวันที่เจ้าชายสิทธัตถะมีพระประสงค์จะเสด็จไปชมอุทยาน ท้าวสักกะจึงมีบัญชาให้ท้าวจาตุมหาราชจัดเทวดาในชั้นนั้นร่วมกิจกุศลครั้งยิ่งใหญ่ไปแสดงบุพนิมิต 4 ประการ เพื่อพระโพธิสัตว์เจ้าจะรำลึกจิตมั่นสู่กาลอภิเนษกรมณ์

    “ในโอกาสอันเป็นมหามงคลเช่นนี้ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่จงร่วมสร้างกุศลอันจะเกิดขึ้นในไม่ช้า จัดเทวดาที่ชำนาญการนิมิตให้แสดงปรากฏแด่องค์โพธิสัตว์ของเราถึงวิสัยธรรมดาของพระพุทธเจ้าที่จะออกบวช ให้พระองค์เห็นภาวะคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และคุณลักษณะของนักบวชที่รัดรึงใจ ยังผลที่จะเสริมความมุ่งมั่นในการสละโลกย์ออกบวชโดยเร็ว”

    มหาราชทั้งสี่แห่งแดนมหาราชิกา พึงเข้าใจความประสงค์จอมเทพปีติยินดียิ่งในการร่วมกิจกุศลด้วยอีกครั้งหนึ่ง รับเทวบัญชาไปปฏิบัติโดยพลัน
    ในวันแรกขณะที่เจ้าชายประทับนั่งรถเทียมม้า 4 ตัว สารถีชักม้าขับไปยังอุทยานตามพระประสงค์ ขณะรถพระที่นั่งวิ่งไปยังไม่ทันถึงอุทยานพลันก็ปรากฏชายชราผู้มีเนื้อหนังเหี่ยวย่น ฟันหัก ผมหงอก หลังโกง ถือไม้เท้าด้วยมือที่สั่นเทาเดินกระย่องกระแย่งเงอะงะผ่านตัดหน้าราชรถไปอย่างเชื่องช้า เจ้าชายไม่เคยเห็นคนในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงถามสารถีด้วยความแคลงพระทัยว่า
    “บุรุษผู้นั้นทำไมเป็นเช่นนั้น ไม่เห็นเหมือนบุรุษอื่นๆ ที่เราเคยเห็นมาแต่ก่อนแล้วเลย”
    “คนแก่พระเจ้าค่ะ คนเราแก่แล้วก็เป็นเช่นนี้แหละพระเจ้าค่ะ”
    สารถีตอบด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    “น่าสงสารจริงหนอที่คนเราเกิดมาต้องแก่เฒ่าเช่นนี้”
    เจ้าชายรำพึงสังเวชพระทัยแล้วสั่งสารถีให้ชักรถกลับเข้าสู่ปราสาทด้วยความสลด
    ลุล่วงมาอีกวันหนึ่ง เจ้าชายจะเสด็จไปยังอุทยานอีก เทวดามาเนรมิตคนเจ็บให้ปรากฏเป็นที่เวทนาชัดแจ้งอีก พระองค์สังเวชจึงเสด็จกลับปราสาทเหมือนเช่นเดิม
    อีกครั้งหนึ่งเป็นวันที่สาม พระองค์ประสบเห็นคนตาย ญาติพี่น้องพากันร้องไห้แบกหามมาเป็นที่สุดแสนจะเวทนาก็สังเวชยิ่งนักเสด็จไปไม่ถึงอุทยานตามพระประสงค์
    วันที่สี่เสด็จใหม่คราวนี้ทรงเห็นนักบวชเดินจงกรม สงบ สมถะ ไปอย่างแช่มช้อยมั่นคงดูเป็นสง่าเยือกเย็น ทำให้เกิดความศรัทธารัดรึงใจในอาการอันสำรวมทุกย่างก้าวของนักบวชยิ่งนักมีความปีติรื่นเริงใจจึงสั่งให้สารถีขับรถไปถึงอุทยานอันร่มรื่น ทรงชมไม้ชมพฤกษ์สรงสนานในสระโบกขรณีแล้วประทับเหนือพระแท่นศิลาทรงแต่งพระองค์เพื่อจะเสด็จกลับจนอาทิตย์ใกล้อัสดงคต
     
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    แต่งพระองค์ครั้งสุดท้าย

    เป็นคราวแต่งพระองค์ครั้งสุดท้ายในสังขารมนุษย์ที่ยังอยู่ในโลกิยสมบัติ ท้าวสักกะจอมเทพทราบด้วยทิพยญานแน่ชัดถึงวาระเริ่มต้นแห่งการบำเพ็ญเพียรในชาติอันเป็นที่สุดของพระโพธิสัตว์ย่างเข้ามาถึงแล้ว อีกสักครั้งหนึ่งที่พระองค์จะทรงแต่งพระองค์ เราจอมทวยเทพจะสร้างเสริมส่งพระสิริลักษณ์ในสังขารมนุษย์ของพระองค์ให้สง่างามยิ่งจำหลักไว้เป็นอนุสรณ์แก่มนุษยโลก
    จึงมีเทวบัญชารับสั่งให้วิสสกรรมเทพบุตรเข้าเฝ้า

    “ท่านวิสสกรรม ท่านผู้ชำนาญในการแต่งองค์ บัดนี้ถึงเวลาอันเป็นมหามงคลซึ่งพระโพธิสัตว์เจ้าเบื้องโลกภพ กำลังแต่งพระองค์เพื่อจะเสด็จกลับปราสาทในเวียงวัง ต่อจากนี้ไปในค่ำคืนอันดึกสงัดพระองค์ก็จะทรงออกอภิเนษกรมณ์ ไม่มีการแต่งองค์ทรงเครื่องในสังขารมนุษย์กายหยาบอีกต่อไป ฉะนั้นในขณะที่กำลังทรงแต่งพระองค์เป็นปัจฉิมวาระอยู่ในอุทยานยามโพล้เพล้เช่นนี้ ท่านเวสสกรรมเทพบุตรจงร่วมสร้างกุศลเสริมบารมีเนรมิตพระสิริโสภาคย์ให้เด่นชัดยิ่งขึ้นเป็นอนุสรณ์รูปลักษณ์แห่งมหาเทพในโลกภพครั้งนี้เถิด”
    วิสสกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาน้อมสักการะแล้วปฏิบัติเทวกิจโดยพลัน

    ทรงแต่งพระองค์เสด็จตามธรรมดาเพื่อจะเสด็จกลับแต่เป็นที่ตะลึงพรึงเพริดของสารถีขณะยังประทับอยู่บนแท่นศิลา สารถีที่คุ้นเคยอยู่แต่เดิมกลับจ้องสายตาเหลือบมองเจ้าชายด้วยสายตาแปลกประหลาดแล้วก้มลงกราบแล้วกราบอีก กราบอยู่เช่นนั้น

    “สารถีมิตรเรา วันนี้ดูท่านแปลกๆ ไป กราบเราแล้วกราบเราอีก ท่านประสงค์จะขอสิ่งใดจากเราเป็นพิเศษหรือ”
    สารถีหยุดชะงัก จ้องพระพักตร์เจ้าชายแล้วยิ้มเจื่อนๆ
    “มิได้พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์ตาฝาดไปกระมัง เนื่องจากเป็นเวลาโพล้เพล้พลบค่ำแล้วข้าพระองค์เห็นพระองค์เป็นเทวดามีเครื่องแต่งองค์ด้วยพัสตราภรณ์และสร้อยสังวาลรัศมีเปล่งปลั่งงดงามมากอย่างที่ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อนขณะนี้พระองค์ก็ยังทรงอยู่ พระองค์คือเจ้าชายจริงๆ หรือพระเจ้าค่ะ”
    “เจ้ามากับเราเพียงสองคน ถ้าไม่ใช่เราแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า”
    สารถีคนสนิทก้มลงกราบอีกครั้งหนึ่ง พลางขยี้ตาตัวเองแล้วจึงกลับมาเตรียมราชรถตามที่เจ้าชายรับสั่งเพื่อเสด็จกลับ
    ขากลับ สารถีซึ่งกำลังอยู่ในจิตอารมณ์พิศวงงงงวยตลอดทางรู้สึกว่าราชรถที่ตนกำลังชักม้าขับมาตามถนนทำไมมันถึงเบาบางเหมือนเหาะลอยเหนือพื้นดิน เจ้าชายที่นั่งประทับอยู่ได้รับเนรมิตจากวิสสกรรมเทพบุตรด้วยเครื่องประดับอลังการที่เป็นทิพย์ เจ้าชายจึงทรงอยู่ในรูปลักษณ์ของเทพเทวดาเบื้องสูงงดงามสิริโสภาคย์ยิ่งกว่าเทพอื่นๆ บนสวรรค์ สารถีเหลียวมองแล้วมองเล่าด้วยกริ่งเกรงว่าจะเป็นเจ้าชายองค์จริงของเขาแน่หรือเปล่าหนอ
    ด้วยเป็นเวลาเข้าพลบค่ำแล้ว เจ้าชายยังไม่เสด็จกลับ ข้าราชบริพารพากันเป็นห่วงเตรียมออกมาตามนอกพระนครเป็นหมู่ใหญ่ ครั้นเห็นราชรถของพระองค์เสด็จมาก็พากันดีใจ เมื่อใกล้เข้ามาทุกคนเห็นจอมบุรุษที่ประทับทรงรถอยู่นั้นก็แปลกใจไปตามๆ กัน แต่แรกจำไม่ได้ว่าเป็นเจ้าชายแต่เมื่อใกล้เข้ามาอีกก็จำได้ว่าเป็นเจ้าชายของพวกเขาแต่พระองค์งดงามทั้งด้วยพระวรกายผุดผ่องและเครื่องประดับเป็นรัตนะที่แปลกประหลาด ทั้งหมดพากันน้อมกราบไหว้ด้วยความยินดีและแห่แหนห้อมล้อมรถทรงเข้าสู่พระนคร
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    แว่วเสียงนิพพาน

    ขณะนั้นนางกีสาโคตมี สะใภ้เศรษฐีใหญ่อันมีนิวาสถานอยู่ในพระนคร เห็นเจ้าชายพระองค์งดงามดั่งเทวดา เพียงเห็นด้วยสายตาครั้งแรกด้วยไม่เคยเห็นมาก่อน เนื่องจากเจ้าชายมิได้เสด็จออกมาจากพระนครบ่อยนัก ความงดงามของพระองค์ก่อให้เกิดความเยือกเย็นใจขึ้นอย่างประหลาด นางกีสาโคตมีมีความปีติโสมนัสถึงกับอุทานขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างดัง
    “นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูน โส ปิตา
    นิพฺพุตา นูน สา นารี ยสฺสาย อีทิโส ปติ.
    บุรุษเช่นนี้เป็นบุตรของมารดาผู้ใด มารดาผู้นั้นก็มีความเยือกเย็นใจยิ่ง เป็นบุตรของบิดาผู้ใด บิดาผู้นั้นก็เยือกเย็นใจนัก เป็นสามีของนารีผู้ใด นารีผู้นั้นก็เยือกเย็นใจแน่”
    เจ้าชายทรงสดับได้ยินคำอุทานของสตรีจากคฤหาสน์ข้างทาง คำหนึ่งนั้นเป็นที่พอพระทัยพระองค์ยิ่ง
    “นิพพาน...ความเยือกเย็นใจ นิพพาน...ความเยือกเย็นใจ เรากำลังแสวงหานิพพานอยู่ทีเดียว”
    พระองค์ทรงอาวัชนาการอยู่ภายใน
    “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป นับแต่ขณะนี้เป็นต้นไป ควรที่เราจะละทิ้งฆราวาสวิสัยแล้วออกบวชแสวงหานิพพาน”
    ทรงรำพึงทบทวนมุ่งมั่นพระทัยขึ้นไปอีก แล้วเหลียวพระพักตร์ทอดพระเนตรมาทางสตรีผู้เปล่งอุทาน นางกีสาโคตมีถวายความเคารพอยู่เบื้องข้าง
    “การจะละเพศฆราวาสเพื่อบำเพ็ญจิตให้หลุดจากกิเลสเราควรที่จะละทิ้งสมบัติอันเป็นกิเลสประดับกายเพื่อบูชาอาจารย์สำหรับนางผู้นี้ นางผู้กล่าวถูกใจเราถึงคำว่านิพพานในขณะนี้”
    เจ้าชายทรงเปลื้องแก้วมุกดาหารมีค่ามากออกจากพระศอส่งให้แก่นางกีสาโคตมีเป็นการพระราชทานทาน และทรงปลดปล่อยโลกิยสมบัติเป็นเบื้องต้น
    “ผู้ร่วมเสริมกุศลกิจในการออกบำเพ็ญเพียรของพระพุทธองค์เช่นนางกีสาโคตมีผู้นี้เพียงเปล่งวาจาสะกิดพระทัยเจ้าชายโดยมิได้ตั้งใจ ต่อไปภายภาคหน้าพระนางเธอจะเป็นผู้หนึ่งที่บรรลุธรรมของพระพุทธองค์ กระแสอานิสงส์ของพระนางส่องเหนือขึ้นไปยิ่งกว่าดาวดึงส์มาก”
    ท้าวสักกะตรัสบอกแก่ธรรมบุรุษ ธรรมรำลึกในสมาธิ
    “ข้าแด่จอมเทพ ในสมัยปัจจุบันของข้าพเจ้าในโลกภพ ข้าพเจ้าทราบว่าพระนางกีสาโคตมีเป็นพระเถรีสำคัญองค์หนึ่งและบรรลุอรหัตแล้ว เป็นผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางทรงจีวรเศร้าหมอง”
    กายทิพย์ธรรมบุรุษยืนยันรับสมอ้างจอมเทพ
    “เราขออนุโมทนา”
    ท้าวสักกะทรงกระทำสักการะด้วยความยินดี
    ขณะเดียวกัน ท้าวสักกะได้ทรงประชุมปรึกษาเทพผู้เป็นใหญ่ในวิมานทั้ง 33 องค์ และเทพสำคัญอื่นๆ พร้อมด้วยท้าวจาตุมหาราชิกาเพื่อเตรียมการร่วมรับกาลอันเป็นมหามงคลยิ่งในค่ำคืนนี้แห่งโลกภพและในที่สุดได้ตรัสสั่งเทพบริวารใน 2 ประการ
    “จงเตรียมผอบรัตนะสำหรับเรา และทิพยภูมิภาคอันเหมาะสมเพื่อจะสถาปนามหาเจดีย์สำคัญ ทั้งสถานวิมานสำหรับเทพบุตรใหม่นามกัณฐกะ”
    ธรรมบุรุษพึงปีติยินดีและกระทำอนุโมทนาสาธุการต่อกาลสมัยมงคลที่ย่างเข้ามาแล้ว
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    บ่วงเกิดแล้ว

    เบื้องโลกภพ ขณะนี้เป็นเวลาในปีก่อนเริ่มพุทธศักราช 41 ปี
    เจ้าชายพระวัย 29 พรรษา พระบรมโอรสาแห่งพระเจ้าสุทโธทนะมหากษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จกลับจากอุทยานเข้าพระนครสู่มหาปราสาทราชมณเฑียร ก็ทราบข่าวว่าพระนางพิมพาอัครมเหสีประสูติโอรสแล้ว ครั้งแรกก็ทรงดีพระทัยตามวิสัยมนุษย์ เพียงชั่วครู่ก็รำลึกได้จึงระงับความรู้สึกเสีย ทำพระทัยให้วางเฉยแล้วใคร่คิด
    “ลูกอันเป็นที่รักของพ่อแม่ เปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่จะผูกพันจิตไม่ให้ทิ้งทอดไปหนไหน คราวที่แล้วเรารำลึกได้ว่าได้นำลูกเมียอันเป็นสุดที่รักแห่งดวงใจเข้าไปตกระกำลำบากบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าใหญ่ เพราะความห่วงหวงและสงสารลูกที่ไอ้บุรุษเฒ่าชูชกมาขอแล้วยังข่มเหงต่อหน้า เราจึงมีจิตระส่ำระสายไม่บรรลุ ลูกเปรียบเสมือนโซ่ตรวนผูกพันจิต”
    พระราชบิดาสุทโธทนะได้ยินเจ้าชายรำพึงจึงตรัสถาม

    “ลูกกล่าวอย่างไรนะ”
    “เครื่องผูกพันพระเจ้าค่ะ เครื่องผูกพันเกิดแล้ว”
    “อ้อ...ดีแล้วหลานเราได้ชื่อว่า “ราหุล” อันหมายถึงโซ่ทอง ห่วง บ่วง ตามที่พ่อเขาเตรียมตั้งชื่อไว้ให้”
    พระเจ้าสุทโธทนะทรงทึกทัก ทรงตั้งพระนามพระหลานว่า “ราหุล”
    ค่ำคืนนี้ ด้วยพระวรกายที่สง่างามอยู่แล้วกลับงามยิ่งขึ้นด้วยถนิมอาภรณ์แห่งทิพยอลังการของวิสสกรรมเทพบุตร เมื่อเสด็จขึ้นบนปราสาทอันรื่นรมย์จึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของนางสนมนาฏทั้งหลายยิ่งขึ้นเหมือนจะเป็นสิ่งดลใจอย่างหนึ่งที่จะทำให้เจ้าชายได้เห็นเป็นนิมิตเพื่อพิจารณาต่อไป เหล่าสตรีรุ่นทั้งหลายล้วนงดงามหมดจดน่ารักน่าใคร่ทุกคน ริมฝีปากแดงเรื่อน่าลิ้มลอง ฟันขาวสะอาดเรียบราวไข่มุก ดวงตาเป็นประกายแจ่มใสเป็นสีคราม มวยผมรับกับคิ้วโก่งดังวงจันทร์ เต้านมอิ่มเอิบเป็นพุ่มพวงน่าคลึงเคล้า สะโพกผายย้ายยักดูคล่องแคล่วเปรียบเสมือนหมู่เทพธิดาบนสวรรค์จับหมู่เริงระบำรำฟ้อนขับร้องบรรเลงดนตรีอันไพเราะพากันห้อมล้อมมหาบุรุษให้ทรงรื่นเริงบันเทิงใจ
    แต่วันนี้ผิดกับวันก่อนๆ เจ้าชายทรงเฉยเมยด้วยอุเบกขา
    “เรารู้สึกเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำไป”
    พระองค์ทรงรำพึงในพระทัยเงียบๆ และปลีกองค์เข้าห้องบรรทมเสีย
    “เจ้าชายของเราสง่างามราวกับเทพบุตร แต่แปลกไป กลับทรงเคร่งขรึมผิดปกติ”
    สนมนาฏทั้งหลายบ่นกันพึมพำ น้อยอกน้อยใจเมื่อเห็นพระองค์ทรงหลีกเข้าห้องบรรทมจึงพากันหมดกำลังใจหยุดฟ้อนรำทำเพลงวางเครื่องดนตรีไว้ในห้องโถงนั้นดูระเกะระกะเต็มไปหมด
    “พระองค์เข้าบรรทมแล้ว เราจะเล่นกันต่อไปไย เลิกเล่นและนอนกันดีกว่า นอนกันตรงนี้แหละ นอนในห้องโถงหน้าห้องบรรทมนี่แหละ”
    นางฟ้าทั้งหลายในโลกภพก็พร้อมใจกันนอนหลับประชดเจ้าชายอยู่ภายในห้องโถงท้องพระโรงอันเคยเป็นเวทีสำราญเต็มไปหมด
    เจ้าชายเสด็จเข้าห้องบรรทมแล้วทรงประทับนั่งรำลึกหวนย้อนกลับไปถึงภาพคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวชในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมาติดติดกัน
    “การแก่ การเจ็บ การตาย เป็นทุกข์ทั้งสิ้น นักบวชเท่านั้นที่ดูแล้วนิรทุกข์”
    พระองค์ทรงรำพึงรำลึก
    “ทำไมจึงมีการแก่ การเจ็บ การตาย”
    เมื่อนึกขึ้นได้ถึงโอรสซึ่งเพิ่งเกิด
    “อ้อ...ก็เพราะการเกิดนี่เอง การเกิดนี่เองเป็นต้นตอแห่งความทุกข์”
    พระองค์ทรงรำลึกย้อนไปเมื่อตอนย่ำค่ำ
    “ก่อนจะเกิดมารดาก็ต้องลำบากต้องเจ็บปวด ทารกผู้เกิดออกมาก็ทุกข์ยากเหลือแสนกว่าจะคลอดออกมาได้ เกิดแล้วก็ต้องมาโตมาแก่มาเจ็บและตายในที่สุด การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น”
    พระองค์พิจารณาจับจุดแห่งต้นตอที่ทำให้เกิดทุกข์เหล่านั้นและพิจารณาหาวิธีที่จะดับทุกข์เป็นเครื่องแก้
    เจ้าชายทรงพิจารณาค้นหาวิธีดับทุกข์มิใช่เพียงเพื่อทุกข์อันเกิดแก่ตนเท่านั้น แต่ทรงปรารถนาหาวิธีให้มวลชีวิตสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงซึ่งล้วนแต่ตกอยู่ในห้วงแห่งความสงสารด้วยกันทั้งสิ้น
    “นักบวชผู้ละเรือนเพื่อแสวงหาสัจธรรมความจริงจากธรรมชาติเท่านั้นที่จะรู้ถึงวิธีดับทุกข์เหล่านี้ได้”
    พระองค์ทรงครุ่นคิดถึงป่าเขาอันสงัดและอากัปกิริยาอันสงบของนักบวชที่พึงพบเมื่อยามกลางวัน
    “เราจะละเรือนไปอยู่ป่าอันเป็นสถานวิเวกที่จะสำรวมจิตให้เกิดสมาธิปัญญาเพื่อค้นหาวิธีดับทุกข์ให้มวลชีวิตและมนุษยชาติทั้งหลาย”
    ทรงย้อนคิดถึงโอรสที่เพิ่งเกิดมาและมเหสีอันเป็นที่รักยิ่งพลางทบทวนความรู้สึกในเจตสิกอันย้อนไปในอดีตชาติอีกครั้งหนึ่ง
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ตัดบ่วงมิใช่ตัดลูก

    “คราวที่แล้วมันเป็นความเขลาของพ่อเองที่ตัดบ่วงไม่ได้ เอาลูกและเมียไปตกระกำลำบากด้วย ดวงธรรมอันพิสุทธิ์จึงมิอาจบรรลุได้ในปางนั้น บัดนี้ชาตินี้พ่อจะต้องตัดบ่วงแต่มิได้ตัดลูก พ่อจะตัดบ่วงซึ่งเป็นห่วงแห่งความหวงแหนที่จะเอาลูกและเมียไปลำบากด้วยในป่าเขาเหมือนชาติที่แล้ว พ่อจะไม่เอาเจ้าไปทั้งลูกและแม่ พ่อจะหนีเจ้าไปลำพังแต่ผู้เดียว พ่อจะออกไปแสวงหาสัจธรรมที่จะดับทุกข์เพื่อเจ้า แม่เจ้า และมวลชีวิตทั้งหลาย พ่อจะหนีเจ้าไป จะหนีทั้งเจ้าและแม่เจ้าไป บ่วงเกิดแล้ว บ่วงเกิดแล้ว เราจะต้องรีบตัดใจไปก่อนที่เจ้าจะเข้ามาคล้องคอพ่อไว้”

    ในห้องโถงแดนสำราญ เทวะจากชั้นจาตุมหาราชิกาพร้อมด้วยเทวดาอันสถิตประจำจอมปราสาทร่วมนิมิตเข้าด้วยกันสะกดเหล่านางสนมนาฏให้หลับใหลไร้สติถ้วนทั่ว ทุกนางเสริมนิมิตให้เจ้าชายซึ่งกำลังจะเสด็จออกมาพบเห็นได้ปลงสภาพอันแท้จริง
    ดึกสงัด มัชฌิมยามได้ล่วงพ้นไปแล้ว
    เจ้าชายสิทธัตถะค่อยๆ เปิดประตูออกมาจากห้องบรรทมทรงเห็นสตรีทั้งหลายนอนเกลื่อนกลาด บ้างทับเครื่องดนตรีน้ำลายไหลเยิ้มหยาดไปที่แก้มแสนจะสกปรก บ้างกัดฟันเสียงกรอดๆ บ้างกรนดังครอกๆ บางคนละเมอเพ้อพก บ้างอ้าปากหวอ บ้างผ้าผ่อนหลุดลุ่ย บ้างผมเผ้าสยายยุ่ง ยิ่งทำให้เกิดความหน่ายในกามคุณสุดประมาณ พื้นห้องโถงของมหาปราสาทอันตกแต่งไว้งดงามเหมือนในมหาปราสาทของท้าวสหัสนัยน์แดนดาวดึงส์ แต่ก็กลายเป็นป่าช้าผีดิบด้วยซากปฏิกูลของนางสนมที่หลับใหลไร้สติเหมือนคนตายที่ถูกนำมาทิ้งไว้ระเกะระกะ

    “วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ”
    ทรงพร่ำบ่นเช่นนั้นทั้งๆ ที่บรรยากาศอยู่ในอาการสงบเงียบ พระหฤทัยน้อมเข้าหาการบรรพชายิ่งขึ้น มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว

    “ได้เวลาแล้วที่เราจะออกอภิเนษกรมณ์”
    ตั้งพระทัยมั่นเป็นที่สุด ทรงละหลีกจากที่นั้นเข้าสู่ห้องที่ประทับของมเหสีและพระราหุลหวังล่ำลาลูกรักเมียขวัญเป็นครั้งสุดท้าย

    ภายในห้องบรรทม ประทีปน้ำมันหอมยังติดโพลงตามไฟอยู่ พระมารดาบรรทมวางพระหัตถ์ไว้เหนือกระหม่อมพระโอรสบนที่บรรทมเกลื่อนกล่นด้วยดอกมะลิ เจ้าชายเสด็จย่างเหยียบแผ่วเบาเข้าไปใกล้หวังจะจูบลาลูกรักเมียขวัญสักครั้งหนึ่ง เมื่อโน้มพระวรกายได้เล็กน้อยพระสติก็เตือนไว้ให้ชะงักใจเสียก่อน เกรงว่าทั้งสองจะตื่นขึ้นมาเป็นอุปสรรคแก่การออกอภิเนษกรมณ์ คงแต่ทรงจ้องมองอยู่ในระยะใกล้ด้วยความอาวรณ์อาลัยเหลือแสนจนน้ำพระเนตรเอ่อท้นออกมาเองทั้งสองข้างโดยมิรู้พระองค์ เมื่อรวมพระสติระงับกลั้นความรู้สึกไว้ได้จึงรำพึงรำพันแผ่วเบา

    “เมียขวัญ...ลูกรักเอย พ่อกำลังจะจากเจ้าไป แต่พ่อมิได้หนีเจ้าทั้งสองไปไหน เพียงแต่พ่อนกกำลังจะบินออกไปในโลกกว้างเพื่อเพียรแสวงหาเหยื่ออันโอชะกลับมาป้อนลูกและเมีย ทั้งสรรพชีวิตทั้งหลายในโลกนี้ก็จะได้ลิ้มรสเหยื่ออันเป็นอมตธรรมรสโดยทั่วถึงกัน...จงอยู่สุขเถิดลูกเอ๋ย เมียเอ๋ย พ่อจะไปหาอาหารอันเป็นอมตธรรมรสกลับมาเพิ่มความสุขอันมิรู้หมดให้แก่เจ้าทั้งหลาย”

    แปรสภาพสายโซ่แห่งความผูกพันจากความอาลัยเศร้าหมองให้กลับกลายเป็นอานุภาพแห่งความมุ่งมั่นที่จะออกไปแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าที่มีอยู่ในโลกิยวิสัยมาให้ลูกรักเมียขวัญและสรรพสัตว์เป็นการทดแทน ก็ทำให้จิตอารมณ์ผ่องใสแข็งกล้ามีกำลังมั่นคงขึ้นดังเดิม เจ้าชายทรงก้าวถอยออกจากห้องด้วยหัวใจที่เบิกบานและภาคภูมิไม่มีกระแสเศร้าเคล้าเจืออยู่แม้แต่นิด
    “เราจะบินไปหาอาหารอันโอชะมาให้พวกเขา”
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    มาร

    เสด็จย้อนกลับมาทางสาวสนมที่หลับใหลอีกครั้ง พลันสายพระเนตรก็ทอดไปกระทบภาพนิมิตของพญามารที่เริ่มเข้ามาขัดขวางโดยนิมิตสตรีรุ่นผู้หนึ่งนอนทอดกายสยายอยู่ ผ้าพันกายหลุดลุ่ยอวดโฉมสรีระอันเปล่งปลั่ง
    พระองค์ก็ปลิดปลง
    “เรือนร่างสังขารอันเปล่งปลั่งยามนี้ยามหน้าก็จะเหี่ยวแห้งร่วงโรยเป็นซากศพ ไม่มียาขนานใดรักษาสภาพให้คงมั่นอยู่ได้หรอก แม่นางเอย...เราจะออกไปแสวงหายาขนานวิเศษมาให้เจ้า”
    ฝ่ายมารนิมิตก็พ่ายแพ้ด้วยอำนาจพิจารณาของพระองค์
    “เทวปุตมารเริ่มต้นเข้าขัดขวางแล้ว”
    สักกะเทวราชตรัสบอก ธรรมบุรุษยังสงสัยอยู่
    “ข้าแต่จอมเทพเหตุใดฤาพญามารจึงจ้องที่จะทำลายผู้ที่จะบำเพ็ญเพื่อแสวงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่”
    “เป็นธรรมชาติวิสัยของโลกธาตุ เมื่อมีฝ่ายธรรมก็มีฝ่ายอธรรม เทพบุตรผู้หลงผิดชื่อว่าพญาวสวัตดีมาร สถิตอยู่ฉกามาพจรชั้นที่สุดหลงอำนาจว่าตนย่อมเป็นใหญ่สุด เมื่อเห็นผู้ใดจะแสวงหาคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ขึ้นไปก็เกรงว่าอำนาจที่ตนหลงอยู่นั้นจะด้อยกว่า จึงจะคอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งผู้จะบำเพ็ญความเพียรเพื่อการนั้นเสียเมื่อเห็นเป็นโอกาสทุกเมื่อ”
    ธรรมบุรุษพึงเข้าใจชัดขึ้นด้วยเหตุผลดังกล่าวของจอมเทพ
    “พญาวสวัตดีมาร มีพวกมากหรือจอมเทพ”
    “มีพวกมาก คือเทวดาผู้หลงผิดติดอำนาจประเภทเดียวกัน”
    “อ้อ...เทวดาก็คือผู้ยังติดอยู่ในฉกามาพจร คือติดในกามย่อมมีจิตเป็นอธรรมอยู่ฝ่ายหนึ่งเป็นธรรมดา”
    กายทิพย์ธรรมบุรุษพึงระลึกได้
    “ด้วยเหตุเช่นนี้ พระผู้ที่จะอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าทรงรู้เท่าทันจึงปรารถนาหลุดพ้นชาติภพต่างๆ ทั้งหลายเสีย”
    ท้าวสักกะวิสัชนาเพิ่มความกระจ่างต่อไป
    เจ้าชายเสด็จออกประตูสุดท้ายเบื้องนอก ขณะทรงก้าวข้ามธรณีประตูพลันทันใดพระบาทข้างหนึ่งก็สะดุดเข้ากับร่างชายผู้นอนขวางตรงธรณีประตูอยู่ประจำ

    “อ้อ ฉันนะเพื่อนรัก เพื่อนผู้เป็นทั้งสารถีข้าทาสผู้จงรักยอมอุทิศตนพลีชีพเพื่อเราได้ทุกขณะแม้แต่การหลับนอนทุกค่ำคืนก็อุตส่าห์มานอนขวางที่ธรณีประตูโดยหวังป้องกันภัยพิบัติมิให้ผ่านพ้นกล้ำกลายเข้าถึงเรา เพื่อนเอ๋ย...จงไปผูกม้ากัณฐกะเครื่องพร้อมมาให้เราโดยด่วนเราจะไปแล้ว จะออกบวชเพื่อแสวงหาสัจธรรมอันเป็นเครื่องบำบัดทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งปวง”

    นายฉันนะคู่ใจสะดุ้งสลดแสดงคารวะแด่เจ้าชายมหาบุรุษและทัดทาน
    “ข้าแต่ท่านผู้เป็นที่รักของปวงเรา พวกเราบ่าวไพร่เฝ้ารอคอยเวลาตามโหราจารย์ได้เคยทำนายไว้ว่า จอมบุรุษจะทรงเป็นมหาจักรพรรดิราชาครอบครองแว่นแคว้นใหญ่น้อยเป็นมหาอาณาปริมณฑลใหญ่ยิ่งต่อไป เหตุไฉนพระองค์ท่านจึงจะละทิ้งพวกเราไปเพียงเพื่อจะถือกะลาขอทานทนทุกข์เวทนาเฉกนักบวชที่พระองค์ทรงประสบเมื่อยามกลางวันเช่นนั้นเล่า”

    เจ้าชายทอดสายพระเนตรเยือกเย็นมั่นคงจ้องจับใบหน้าข้าและเพื่อนผู้จงรัก
    “เพื่อนเอ๋ย...กะลาแห่งคนขอทานในมือของนักบวช ที่เราจะไปถือบ้าง นั่นคือนิมิตหมายที่จะนำจิตของเราไปสู่สมาธิปัญญา บรรลุสัจธรรมอันเป็นเครื่องบำบัดทุกข์ทั้งมวลมาสู่โลกจงรีบไปนำม้ามาให้เราโดยเร็วเถิด”

    นายฉันนะเพื่อนและทาสยังมิยอมหยุดยั้ง ยกแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาเหนี่ยวรั้งเจ้านายผู้แสนรักด้วยใจอันบริสุทธิ์ แต่มิสามารถจะทัดทานได้ด้วยประการทั้งปวง ในที่สุดก็จำต้องไปจัดม้าทรงให้ตามพระประสงค์

    ม้าต้นอันปราดเปรียวเมื่อเห็นจอมบุรุษในระยะไกลเหมือนจะหยั่งรู้ความในใจของผู้เป็นเจ้าของที่จะออกเดินทางไปสู่มรรคผลแห่งดวงธรรม มันตื่นเต้นดีใจคำรนร้องตะกุยดินแทบจะปลุกผู้คนที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาแสดงความดีใจด้วยกัน โดยหารู้ไม่ว่านั่นจะเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ในการเดินทางครั้งสำคัญนี้ เมื่อเข้ามาถึงเจ้าชายทรงรีบเข้าประคองลูบลำคอทรงกระซิบบอกมันเบาๆ

    “จงนิ่งเงียบเสียเถิดม้าแก้วอันเป็นที่รักของเรา เรากำลังจะเดินทางไปสู่จุดหมายที่ไกลโพ้นซึ่งยากนักที่ผู้ใดจักไปถึง เราจะเดินทางไปหาสัจธรรมนำมาช่วยแม้กระทั่งสัตว์เช่นเจ้าด้วย จงเงียบนิ่งเสียเถิดให้เรานั่งบนหลังเจ้าแล้วจึงโผนโจนทะยานนำเราไปสู่เส้นทางสายมรรคผลทันที”

    ม้ากัณฐกะแสนรู้เงียบสนิท ยืนนิ่งสะบัดหางช้าๆ เตรียมพร้อมที่จะรับเป็นพาหนะนำจอมบุรุษเข้าสู่อาณาจักรธรรมอันยิ่งใหญ่
    “จงไปเถิด ไปตามทางที่มีมรรคผลแห่งดวงธรรมอยู่ที่ปลายวิถีนั้น”
    เมื่อทรงนั่งบนหลังม้าขาวปลอดเรียบร้อยพร้อมนายฉันนะคู่ใจที่แนบจับหางพร้อมแล้ว ม้าแก้วกัณฐกะก็พุ่งโจนทะยานวิ่งผ่านประตูเบื้องนั้นเหมือนวิ่งลิ่วปลิวละล่องไปในอากาศ
    เทพบริวารของพญาวสวัตดีมาร เทวปุตมารก็สำแดงนิมิตขวางกั้นอีก ปรากฏตนยืนตระหง่านกลางอากาศพลางกล่าวโน้มจิตเจ้าชายด้วยเสียงอันดัง
    “ท่านมหาวีระ อย่าออกอภิเนษกรมณ์เลย นับแต่นี้ไปอีก 7 วัน จักรรัตนทิพย์จะปรากฏแก่ท่านแน่นอน ท่านจะได้ครองราชย์แห่งทวีปทั้ง 4 มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร จงกลับไปเสียเถิดท่านจะเป็นมหาจักรพรรดิ”
    พระมหาบุรุษจึงตรัสถามด้วยพระอาการสงบ
    “ท่านเป็นใคร”
    “เราเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจ”
    “แต่เราจักเป็นพระพุทธเจ้า ผู้นำพิเศษในโลกบันลือลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ”
    มารมิอาจหยุดยั้งดวงจิตอันเด็ดเดี่ยวของพระองค์ รูปนิมิตจึงอันตรธานไปในพริบตา
     
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    เทพสาธุการ

    ราตรีนี้ คืนเพ็ญเดือนหก ดาวนักษัตรอุตตราสาฬหะและดวงจันทร์ปรากฏแจ่มใสเจิดจ้ากว่าเช่นเคย เจ้าชายทรงม้าเสด็จไปท่ามกลางหมู่แมกไม้ไพรพฤกษ์แห่งโลกภพ พลันกลีบมณฑารพและปาริฉัตตกะอันเป็นดอกไม้มีเพียงในสวรรค์ก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ดารดาษเป็นพรมพฤกษชาติปูนำไปในเส้นทางที่พระโพธิสัตว์ชักม้ามุ่ง ทิพยสังคีตจากสรวงสวรรค์ประโคมก้อง ทวยเทพทั้งหลายชูคบเพลิงนิมิตแสงสว่างไสวอยู่โดยรอบ พวงมาลัยดอกไม้หอมจุรณจันทน์ พัดจามรและธงทิพย์ห้อมล้อมเป็นขบวนไป พลันเสียงฟ้าคะนองสลับด้วยเสียงคำรามของอสุนีบาตฟาดลงมากลางฟ้าที่ไร้ฝนเป็นระยะๆ ท้องนทีแห่งห้วงมหาสมุทรเป็นระลอกคลื่นโหมกระหน่ำกระจายซัดฝั่งดังอึงมี่ พสุธาสะเทือนสะท้านไปทั้งโลกภพหมื่นโลกธาตุเป็นมหาอัศจรรย์ปรากฏนิมิตมหามงคลไปทั่วทั้งไตรภพ

    “พระองค์ทรงชนะแล้ว”
    เทพทั้งปวงแซ่ซ้องสาธุการสรรเสริญมารอบทิศ สรรเสริญในการชนะใจตนเองของจอมบุรุษที่ตัดห่วงรักห่วงอาลัยในลูกเมียเสียได้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำเร็จแล้วเพราะการชนะใจตนเองเป็นการชนะที่สุดยอด

    เดือนคล้อยต่ำลงในด้านอัสดงทิศ ใกล้รุ่งเข้ามา ดาวกัลปพฤกษ์ทอแสงสีนวลอยู่ทางทิศตะวันออก ลมเช้ายามอุษาโยคพัดโชยชายเอากลิ่นหอมเย็นของดอกเถาวัลย์ป่าจากชายน้ำสู่นาสิกชื่นหฤทัยยิ่งนัก ผิวพื้นน้ำในห้วงแม่อโนมาเป็นระลอกคลื่นน้อยๆ วิ่งไล่เรียงตามกันเป็นหมู่ๆ ไปตามทางที่สายลมผ่าน

    เจ้าชายสิทธัตถะทรงชักม้าย่างเหยาะมาถึงฝั่งมหานทีขวางกั้นอยู่เบื้องหน้าเปรียบเสมือนด่านป้อมกำแพงกิเลสมหึมา ชาติอาชาไนยผู้มีใจเข้มแข็งอยู่ในความอ่อนโยน ตั้งพระทัยอธิษฐานว่าถ้าเราจะวิ่งไปสู่มรรคผลแห่งสัจธรรมได้แท้จริงแล้วขอให้เราข้ามพ้นมหาอโนมานทีไปได้โดยสะดวกเถิด แล้วจึงกระตุ้นสีข้างม้าแก้วกัณฐกะเกร็งกายกระโดดผ่านพ้นฝั่งมหานทีไปได้ในพริบตาเป็นปาฎิหาริย์

    “เราข้ามพ้นโอฆสงสารได้ด้วยความเรียบร้อยแล้ว”
    ทรงรำพึงกับนายฉันนะคู่ใจด้วยความเบิกบานพระทัยเป็นที่ยิ่ง
    อรุณรุ่งอรุโณทัย ลำแสงสีทองฉาบที่ตีนฟ้าบูรพาทิศ เจ้าชายเสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนบนหาดทรายขาวสะอาด ทรงลูบแผงคอม้าแก้วขอบใจมันเป็นครั้งที่สุด มิรอชักช้าทรงเปลื้องเครื่องทรงชุดเดิมออกแล้วนุ่งห่มด้วยผ้าเนื้อหยาบย้อมฝาดแบบง่ายๆ จับพระขรรค์อันคมกริบด้วยพระหัตถ์ขวา รวบพระจุฬาพร้อมด้วยพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้ายแล้วทรงตัดจนติดพระเศียร พลางอธิษฐาน

    “ถ้าเราจักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ ผมนี้จงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าไม่เป็นไซร้ ก็จงหล่นลงเหนือพื้นดิน”
    แล้วทรงเหวี่ยงกำพระจุฬามณีของพระองค์ขึ้นไปในอากาศ
    พระจุฬามณีลอยละลิ่วปลิวไปเบื้องสูงแล้วตั้งตรงอยู่กลางอากาศเป็นอัศจรรย์

    พลันจอมเทพท้าวสักกะ ซึ่งเตรียมผอบรัตนะรอรับอยู่แล้วก็รับกำพระจุฬามณีที่ตั้งอยู่กลางอากาศในโลกภพประดิษฐ์เข้าไว้ในผอบแก้วและทรงสถาปนาเป็นพระมหาจุฬามณีเจดีย์ด้วยรัตนะ 7 ประการ ในแดนดาวดึงส์แห่งนี้โดยทันที

    เมื่อพระจุฬามณีอันตรธานไปกลางอากาศท่ามกลางสายพระเนตรของพระองค์และนายฉันนะซึ่งจ้องแหงนดูอยู่ เจ้าชายทรงปลื้มปีติพระทัยยิ่งนัก นายฉันนะงงงวย พระองค์ประทับนั่งสงบนิ่งอยู่ในเพศบรรพชิตบนพื้นหาดทรายเหนือฝั่งอโนมานทีด้านนี้แล้วทอดพระเนตรกลับไปยังฝั่งโน้น สูดนาสิกเอาลมบริสุทธิ์ยามเช้าเข้าภายในอย่างโล่งพระทัยสมพระทัย ครู่หนึ่งจึงหันไปทางฉันนะเพื่อนแก้ว และกัณฐกะม้าแก้ว กล่าวขอบใจพร้อมกับให้นำม้า เครื่องประดับและพระขรรค์กลับไปถวายพระราชบิดา

    ม้าแก้วกัณฐกะยืนฟังคำพระโพธิสัตว์เจ้าตรัสสั่งนายฉันนะอยู่ก็รู้ว่าบัดนี้เราจะไม่ได้พบไม่ได้เห็นนายของเราอีกต่อไป เมื่อก้าวเหยาะๆ เซื่องซึมมากับนายฉันนะพอลับสายพระเนตรของเจ้าชาย มิอาจทนวิปโยคทุกข์ได้ก็หัวใจแตกตายลงทันที

    เบื้องบนสวรรค์แดนดาวดึงส์ท้าวสักกะจอมเทพเคยตรัสสั่งเตรียมวิมานไว้รอรับเทพบุตรนามว่า “กัณฐกะเทพบุตร” เรียบร้อยแล้ว เมื่อม้าแก้วกัณฐกะสิ้นใจจากโลกภพจึงมาโอปปาติกะเป็นเทพผู้งดงามในวิมานดาวดึงส์ทันที

    เบื้องโลกภพ คงเหลือแต่นายฉันนะซึ่งกำลังเศร้าโศกที่เจ้านายอันเป็นสุดรักสุดบูชาได้พลัดพรากจากไปในโลกธรรมเมื่อชั่วครู่ มาบัดนี้ม้ากัณฐกะเพื่อนยากที่เห็นกันอยู่หลัดๆ มาพลัดพรากตายลงต่อหน้าต่อตาอีก สุดจะอดกลั้นได้จึงเดินพลางร้องไห้พลางคร่ำครวญเหมือนเด็กๆ กลับสู่พระนครแต่ผู้เดียวอย่างน่าเวทนา
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ทำบุญอย่างใดจึงสู่ดาวดึงส์

    นับเนื่องจากกายทิพย์ย้อนเข้าสัมผัสอยู่ในสมัยอดีตกาลเสียหลายครั้ง เพราะประสงค์จะทราบจะเห็นความแท้จริงในกาลก่อนสมัยพุทธกาลพึงจะทราบเหตุแห่งเหล่าเทพเทวดาทุกสวรรค์ที่ผูกพันเข้าเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเป็นมูลฐาน พึงรู้แจ้งเพื่อขจัดข้อข้องใจมนุษยชาติในยุคปัจจุบันร่วมพุทธศักราช 2508 ที่แคลงใจกันเป็นส่วนมากถึงภพสวรรค์ ถึงภาวะของเทพเทวดา แคลงใจกันเสียจริงจังว่าสวรรค์มีจริงฤา เทพเทวดามีองค์อยู่จริงฤา มิใช่เป็นเพียงฉากและตัวละครสมมุติอันเกิดจากจินตนาการของเหล่าบุพพาจารย์ที่ร่วมกันสร้างพระคัมภีร์พระศาสนาขึ้นมา

    ก่อนที่จะทูลลาจอมเทพท้าวสักกะ กลับเข้าสู่ยุคปัจจุบันสมัยสักครั้งหนึ่งก่อน ธรรม บำรุงศีล ได้ขอเทวานุญาตเที่ยวไปในแดนดาวดึงส์ตามสมควรเพื่อจำหลักมาเป็นสักขีแก่พวกพ้องในโลกภพที่เกี่ยวข้องบ้าง น่าจะเป็นกุศลเพิ่มขึ้น

    “ข้าแต่จอมเทพ ข้าพเจ้าพึงเข้าใจชัดแจ้งในกาลอดีตแห่งสวรรค์และโลกภพแล้ว เข้าใจความผูกพันเกี่ยวข้องระหว่างเทพและพระพุทธศาสนาเข้าใจภาวะแดนดาวดึงส์และจอมเทพท้าวสักกะผู้ปรากฏเกี่ยวพันมากมายในพุทธประวัติตามสมควร ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะขอทูลลากลับไปสู่ยุคปัจจุบันของข้าพเจ้า จึงขออธิษฐานท่องเที่ยวในดาวดึงส์อีกสักนิดและขอประสบการณ์ที่จะเป็นสักขีแต่มนุษยโลกว่าข้าพเจ้าได้มาท่องเที่ยวในแดนดาวดึงส์ที่ท่านเป็นใหญ่”

    ท้าวสักกะทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ทรงอาวัชนาการชั่วครู่
    “ท่านอาคันตุกะ ท่านถอดกายทิพย์มาสัมผัสอดีตกาลของท่านแต่เป็นปัจจุบันสมัยของเราหลายครั้งหลายคราว นั่นเป็นเพียงภาวะอธิษฐานขอบารมีจากพระพุทธองค์ แต่ความจริงปัจจุบันก็คือปัจจุบันเท่ากันทั้งในโลกภพและโลกธาตุ กาลเวลาเป็นของกลางของธรรมชาติ แต่ชีวิตในโลกภพเท่านั้นที่สิ้นสุดและบังเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าหลายวาระในช่วงพุทธกาลจนล่วงถึงพุทธศักราช 2508 ต่อไป ส่วนเราท้าวสักกะก็ยังเป็นสักกเทวราชองค์เดิมที่ท่านได้สัมผัสอีกสักครู่ถึงสมัยที่พระพุทธองค์ตรัสรู้อมตธรรมบทแล้ว เราเกือบถึงภัยมรณะเพราะเห็นบุพพนิมิต 5 ประการ เกิดโทมนัสที่จะต้องจากดาวดึงส์แห่งนี้ไป ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหา เมื่อพระองค์ตรัสไวยากรณ์สักกปัญหสูตร ธรรมจักษุได้พึงบังเกิดขึ้นแก่เราพร้อมทั้งทวยเทพยดาอีกแปดหมื่นองค์ เราและทวยเทพเหล่านี้บรรลุดำรงอยู่ในโสดาปัตตผลด้วยอำนาจวิสัชนาอุเบกขาของพระพุทธองค์ เราจึงกลับอุบัติเป็นท้าวสักกเทวราชเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง... ณ บัดนี้ทั้งเราและท่านจงน้อมจิตอธิษฐานขอบารมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเข้าสู่ยุคปัจจุบันสมัยในโลกภพโลกธาตุร่วมกันเถิด

    ทั้งเทพสักกะและธรรมบุรุษกายทิพย์ ต่างประคองอัญชลีน้อมมโนสิการ อธิษฐานขอบารมีแห่งพระพุทธองค์เข้าสู่ปัจจุบันร่วมสมัยในภาวะเดียวกันในที่สุด
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    สวรรค์ร่วมสมัย

    ธรรมบุรุษและท้าวสักกะยังสนทนาอยู่ในตำแหน่งเดิมบนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ แท่นหินอันอ่อนนุ่มสีเหลืองเลื่อมพรายด้วยทองคำเปล่งแดงหมากสุก สถิตอยู่ใต้ต้นปาริฉัตตกะใหญ่
    “เราพึงยินดีจะนิมิตสักขีตามที่อาคันตุกะขอเมื่อแต่กี้ ท่านยังพึงรำลึกได้อยู่มิใช่หรือถึงมหาเศรษฐีที่ชื่อบุญล้อม ญาติท่านในโลกภพและนายบุญมา คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์”

    “ธรรมรำลึกถึงผู้เป็นลุงชื่อบุญล้อม มีฐานะร่ำรวยแต่ตระหนี่ไม่ค่อยศรัทธาในการทำบุญกุศลนักแต่ก็มิได้งดเว้นการให้ทานทำบุญเสียเลย คงทำอยู่เสมอๆ มิได้ขาด มักจะใช้นายบุญมาคนสนิทไปทำบุญให้ทานเป็นประจำ”

    “ข้าแด่จอมเทพ เศรษฐีบุญล้อมเป็นลุงของข้าพเจ้าเอง”
    “ทั้งลุงของท่านและนายบุญมาสิ้นชีวิตจากโลกภพในเวลาไล่เลี่ยกัน มาบังเกิดในภพสวรรค์ทั้งคู่ ท่านจงท่องเที่ยวไปตามความประสงค์เถิด เมื่อพบวิมานแต่ละวิมานมีเทพบุตรสถิต ในฐานะแตกต่างกันอยู่แต่ละสถาน ท่านจงชมจำหลักแต่อย่าได้ถามว่าเป็นผู้ใดเลย แล้วเราจะเฉลยให้ท่านนำไปเป็นสักขีในโลกภพ”

    บัดดล แท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ และจอมเทพก็อันตรธานไปคงเหลือแต่ธรรมบุรุษยืนอยู่แต่ผู้เดียวบนภาคพื้นปุยทองคำเปล่งแสงสีหมากสุกอันอ่อนนุ่มรองรับอยู่
    ความสว่างไสวอันเกิดจากรัตนะถนิมอาภรณ์ในกายทิพย์ท้าวสักกะพึงอันตรธานไปด้วย เบื้องดาวดึงส์ยามนี้จึงอยู่ในภาวะความสว่างของแสงผีตากผ้าอ้อมใกล้อัสดงปรากฏคล้ายแดนอาทิตย์เที่ยงคืนที่ส่องสาดมาถึงเพียงปลายแสง

    กายทิพย์ของธรรมโปร่งเบาเลื่อนลอยตรงไปเบื้องหน้า บรรยากาศสวรรค์เย็นชื่นพิสุทธิ์แจ่มใส มีกลิ่นหอมอวลคล้ายกลิ่นกุหลาบคละเคล้าอยู่เบาบาง สองข้างทางที่ผ่านไปเป็นแมกเมฆม่านไม้อันผลิดอกออกผลและกิ่งใบล้วนเป็นแก้วเพชรนิลจินดาหลากสีสัน ทับทิม โอปอล บุษราคัม ประดับประดาล้อแสงอำพันระริกเล่นเป็นประกายวูบวาบตระการตา

    ที่เนินเมฆสีหมากสุกแก่ ปรากฏวิมานทองอร่ามเรืองล่องลอยเด่นประกายแก้วรัตนะที่ยอดวิมานนับร้อยนับพันยอด ส่องรัศมีวาบวับตัดกันพุ่งขึ้นไปเบื้องบนเบื้องข้างรอบทิศเหมือนละอองเพชรเต้นเร่าๆ ครอบคลุมเหนือวิมานอยู่เป็นอาจินต์

    ใกล้เข้าไปๆ ภายในวิมานนั้นล้วนตกแต่งด้วยแก้วรัตนะเป็นอุปกรณ์ มีสระโบกขรณี มีสวนขวัญขนาดย่อม มีแท่นทองที่โคนไม้ใหญ่ คล้ายอาณาจักรมหาไพชยันต์จำลองมา เทพบุตรผู้น่าจะเป็นเจ้าของวิมานประทับบนบุษบกเหนือเทพอื่น มีกายทิพย์โปร่งแสงออกเขียวเรืองประกายอ่อนกว่าจอมเทพท้าวสักกะ มีเทพบริวารทั้งเทพบุตรเทพธิดาห้อมล้อมลดหลั่นเป็นลำดับพอประมาณ ธรรมสัมผัสพิจารณาอยู่ภายนอกรู้สึกรื่นรมย์สำราญใจและเป็นสุข

    “อาณาจักรสวรรค์เป็นเช่นนี้ แม้เพียงเห็นก็เป็นสุข ไม่ผิดกับคนนอนหลับแล้วนิมิตฝันเห็นวิมานสวรรค์ก็รู้สึกอิ่มเอมปีติ เมื่อตื่นขึ้นก็ยังสดชื่นเป็นสุขอยู่ฉะนั้น”
    เพียงแต่รำพึงอยู่เบื้องนอก มีใจปีติยินดีกับเทพทั้งหลายที่เสวยสุขมิรู้จบต่อไปอีกนานนัก กายทิพย์ธรรมบุรุษค่อยๆ เลื่อนลอยผ่านไป

    ธรรมบุรุษรู้สึกว่ากายทิพย์ของเขาผ่านเข้ามาในบรรยากาศที่กระด้างขึ้น ความโปร่งใสลดน้อยลง แมกเมฆปุยทองก็หยาบเข้า บนเนินเมฆสีทองอ่อนปรากฏวิมานเงินมียอดน้อยปรากฏอยู่ ประกายแวววาวจากยอดวิมานไม่วาบวับเหมือนยอดวิมานทองที่ผ่านมาเมื่อครู่ ใกล้เข้าไปยังวิมานจนพิจารณาเห็นภายในชัดเจน ภายในวิมานเป็นเงินล้วน ปราศจากอุปกรณ์เครื่องประดับประดาตกแต่งอันตระการตางดงามเพียงเงินที่โปร่งแสงเป็นประกายสุกใสเท่านั้น เทพบุตรเพียงองค์เดียวประทับอยู่ กายทิพย์โปร่งแสงประดับด้วยถนิมอาภรณ์ที่เรืองรองน้อยแต่ก็ดูเป็นสุขสมถะอยู่อย่างสันโดษ ที่หน้าวิมานมีไม้ทิพย์ต้นพอประมาณสถิตเป็นเพื่อนวิมาน ผลิดอกออกผลเป็นแก้วกลมขาวปะปนอยู่ระหว่างช่อดอกสีเหลืองอ่อนอย่างเจือจาง

    “จงจำหลักวิมานและเทพบุตรที่สถิตซึ่งแตกต่างกันแต่ละสถาน”
    ธรรมรำลึกและเห็นสิ่งแตกต่างดังที่เทพท้าวสักกะกล่าวไว้แล้ว
    “ทั้งสองคือลุงบุญล้อมญาติเรา และนายบุญมาคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์”
    ธรรมบุรุษจ้องมองเข้าไปในวิมานเงินอันว่างเปล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง เห็นแต่เทพบุตรผู้สถิตเฉยไม่เหมือนทั้งลุงบุญล้อมหรือนายบุญมาเลย ไม่มีเค้าอยู่สักนิด พลางคิดและเลื่อนลอยไป

    อีกครั้งหนึ่ง ที่ลอยกลับเข้ามาในบรรยากาศละเอียดประณีตดังเดิมบนแทนทิพย์ทองคำ ท้าวสักกะประทับอยู่ในลักษณะเดิม ธรรมลอยเข้าไปในตำแหน่งเก่า
    “วิมานทั้งสองที่อาคันตุกะสัมผัสคือวิมานของเศรษฐีลุงท่านและนายบุญมาคนสนิท”
    ท้าวสักกะตรัสบอก เว้นระยะนิดหนึ่งเหมือนจะให้ธรรมทายเอาเองว่าใครเป็นใคร
    “เจ้าของเงิน เจ้าของสมบัติทรัพย์สิน เจ้าของข้าวปลาอาหาร เป็นผู้ให้ผู้รับใช้ไปทำบุญทำทานเสมอๆ อีกทอดหนึ่ง คนหนึ่งไปบังเกิดในวิมานทอง อีกคนหนึ่งไปบังเกิดในวิมานเงิน”
    ธรรมพิจารณา
    “แต่ลุงเราเป็นผู้ตระหนี่เป็นวิสัย ที่ทำบุญทำทานก็ทำไปยังงั้นเพื่อไม่ให้คนติฉินนินทา เพราะเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มากมายเหลือเฟือ ทำแบบไม่ใช่เกิดจากศรัทธาอันแท้จริง ส่วนนายบุญมาเท่าที่เคยได้พิจารณาสังเกต แกมักจะมีความศรัทธาเลื่อมใส มีความปีติอิ่มเอมทุกครั้งแม้จะเป็นผู้รับใช้จากลุงให้เป็นผู้ไปทำแทน ทั้งเมื่อแกไปวัดก็ดี ไปร่วมในพิธีศาสนาใดๆ ก็ดีก็มักจะเป็นผู้ที่มีน้ำใจเอื้ออำนวยความสะดวกแก่อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เป็นผู้นำสวดมนต์ เป็นผู้นำในพิธีต่างๆ อยู่เสมอมา น่าจะเป็นเทพบุญมาที่สถิตในวิมานทอง มีเทพบริวารแวดล้อมเป็นอันมาก ผิดกับเทพที่สถิตในวิมานเงินอันว่างเปล่าเพราะทำสักแต่ว่าทำ แต่มิได้ทำด้วยตนเอง มิได้เกิดด้วยศรัทธาเป็นที่ตั้ง มิได้เข้าร่วมในพิธีบุญกับใครเขาอันตรงกับวิสัยของลุงเรา เทพในวิมานเงินน่าจะเป็นเทพบุญล้อมลุงเรานั้นเอง”

    “ถูกต้องแล้วอาคันตุกะ เป็นเช่นที่ท่านได้พิจารณา”
    ท้าวสักกะตรัสยืนยันตามความรู้สึกภายในของธรรมโดยธรรมมิต้องกล่าวตอบ
    “การทำบุญทำดีข้อสำคัญต้องทำด้วยความศรัทธาและจริงใจจึงจะได้บุญสมบูรณ์แบบ”
    ทรงเสริมยืนยันอีกครั้งหนึ่งในอานิสงส์แห่งการทำบุญทำทาน
    “ข้าแด่จอมเทพ ข้าพเจ้าขอทูลลากลับไปโลกภพ คงต้องไปงานศพคุณลุงบุญล้อมที่กำลังจัดงานและปรากฏสักขีจำหลักถึงความแตกต่างในผลบุญของผู้กระทำที่ข้าพเจ้าจะนำไปเล่าขานสู่ผู้พึงสนใจต่อไป”

    “ท่านพึงพิจารณาหรือยังว่าสองสถานที่ที่ท่านพึงได้สัมผัสในเวลาอันใกล้เคียงกันสถานที่ใดคือแห่งใด เราพึงจะบอกกล่าว สถานวิมานทองอันตระการตานั้นอยู่ในดาวดึงส์นี่เอง แต่สถานวิมานเงินที่ท่านสัมผัสอยู่ในมหาราชิกาเบื้องหยาบอันเป็นวิมานของเทพผู้ถึงบุญน้อยที่ชื่อว่า เสรีสกวิมาน อยู่ในดงสวรรค์ชั้นนั้น ชื่อดงวัฏฏนี คือแดนลับแลระหว่างจาตุมหาราชิกาและโลกภพก้ำกึ่งกัน”
    จอมเทพแห่งดาวดึงส์ให้ความกระจ่างชัดแจ้งขึ้นเป็นที่ปีติยินดีของธรรมบุรุษที่ได้ทราบอย่างครบถ้วน
    “ขอนมัสการ ขอจอมเทพจงถึงมหากุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2014
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    สู่โลกภพปัจจุบัน

    กายทิพย์ซ้อนเข้าในสังขารการหยาบภายในห้องพระ ธรรมกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอีกครั้งหนึ่งนี้ตามกุศลพิธี รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมงานศพคุณลุงบุญล้อมซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกเขตหนึ่งแต่เช้า

    “แต่ก็แปลกไม่ยักมีใครบอกให้ทราบกันบ้างเลย ทั้งลุงและคนสนิทตายตั้งสองคนทำไมจึงไม่รีบโทรมาบอก”
    เขาคิดอยู่ในใจเมื่อค่อนคืนและหลับพักผ่อนเพื่อเอาแรง
    ธรรม โทรไปยังบ้านคุณลุงแต่เช้าปรากฏว่าไม่มีคนรับโทรศัพท์ เขาจึงรีบแต่งตัวขับรถตรงไปที่บ้านคุณลุงบุญล้อมซึ่งอยู่แถวบางกะปิ เมื่อไปถึงประตูใหญ่ก็พบรถของคุณป้าภรรยาคุณลุงจอดอยู่เตรียมจะเข้าไปในบ้านพอดี คุณป้านั่งอยู่ในรถแต่งตัวด้วยเสื้อดอกสีแดง คนขับรถก็ใส่เสื้อยืดสีสดเช่นกัน

    “สวัสดีครับคุณป้า...อ้าว ทำไมใส่เสื้อสีแดงล่ะครับ”
    เขาทักถามเมื่อเปิดประตูรถลงไป
    “อ้าว ก็มันวันอาทิตย์นี่พ่อหลานชาย รึว่าป้าแก่แล้วใส่ไม่ได้”
    คุณป้าตอบอย่างอารมณ์ดี และเชิญชวนให้ขับรถเข้าประตูตามมา
    “คุณลุงล่ะครับ คุณลุงอยู่สบายดีหรือ”
    เขาถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักเมื่อเข้ามาในห้องรับแขก
    “สบายดีแบบคนแก่นั่นแหล่ะ ตอนนี้ก็ไม่อยู่ชวนนายบุญมาให้ขับรถไปเที่ยวเชียงใหม่สามสี่วันแล้ว ไปดูบ้านที่ซื้อไว้เชิงเขาด้วยกันยังไม่เห็นกลับมา”
    “ไปสามสี่วันแล้ว โทร.กลับมาบ้างหรือเปล่าคุณป้า”
    “เงียบจ้อยไปเลย”
    หญิงชราอารมณ์ดีกล่าวเป็นปกติ หนุ่มใหญ่จ้องเข้าไปในดวงตาคุณป้าซึ่งไม่มีวี่แววถึงเหตุร้ายที่ได้เกิดขึ้นแล้วอย่างไรเลย

    ธรรม เชื่อมั่นในกระแสนิมิตในการวิปัสสนาของเขาเสมอเพราะสิ่งที่เขาสัมผัสในกระแสสมาธิทุกครั้งเป็นสัจจะแต่ครั้งนี้เขาอยากให้มันผิดเพี้ยนสักครั้ง

    “มีโทรศัพท์หรือยังที่บ้านเชิงเขา...คุณป้า” เขาถามร้อนรน
    “คงจะยังหรอกหลาน เพราะอยู่แถวชานเมือง”
    “จะติดต่อไปก็ไม่ได้ จะติดต่อมาก็ไม่มี” ธรรมบ่นพึมพำ
    “มีธุระด่วนอะไรกับคุณลุงเขาหรือหลานชาย”
    ธรรมนิ่งไม่ทราบว่าควรจะบอกหรือไม่บอกสิ่งที่เขาได้สัมผัสมากับหญิงสูงอายุ เขาได้แต่จ้องหน้าคุณป้าอยู่

    ทันใดเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คุณป้าเป็นผู้ไปรับสาย
    “นี่โทร.ทางไกลจากเชียงใหม่ครับ”
    “อ้อ โทร.มาพอดี”
    “นั่นคุณป้าภรรยาของคุณลุงบุญล้อมหรือครับ”
    “ จ้ะ ”
    “คุณป้าครับ ทำใจดีๆ ไว้นะครับ ผมโทร.มาจากสถานีตำรวจเชียงใหม่ คุณป้าครับคุณลุงบุญล้อมเสียชีวิตมา 3 วัน แล้วครับ”
    หญิงชรานิ่งอึ้ง ใบหน้าซีดลง มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเทา
    “คุณลุงตายมา 3 วันแล้ว”
    อุทานเบาๆ ขณะหันมองมาทางหลานชาย แล้วคุณป้าก็ค่อยๆทรุดนั่งลงบนโซฟา ธรรมรีบเข้าไปรับหูโทรศัพท์ที่กำลังทำท่าจะหลุดลงจากมือของหญิงชรา
    “คุณป้าทำใจดีๆ ไว้นะครับ” ประคองคุณป้าให้นั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้วสอบถามต่อ
    “ฮัลโหล นั่นคุณเป็นเจ้าหน้าที่หรือ”
    “ครับ ผมร้อยตำรวจโท...คุณลุงบุญล้อมกับคนรถชื่อนายบุญมา ถูกไฟฟ้าช็อตตายอยู่ให้ห้องบ้านเชิงเขาเสียชีวิตทั้งคู่ สันนิษฐานว่าตายมาประมาณ 3 วันแล้ว คนเพิ่งเข้าไปพบศพเมื่อเช้านี้ เข้าใจว่าทั้งสองจะเข้าไปซ่อมสายไฟเลยถูกไฟดูดเสียชีวิตในเวลาใกล้เคียงกัน ให้รีบมาติดต่อที่สถานีตำรวจเชียวใหม่ด่วน”

    กระแสสมาธิของเขาไม่ผกผันอีกตามเคย
    “ท้าวสักกะนิมิตสักขีพยานให้ปรากฏชัดแจ้งแก่เรา”
    ธรรมค่อยๆ วางหูโทรศัพท์แล้วพนมมือขึ้นท่วมศีรษะ

    ธรรม คุณป้า และญาติได้พากันเดินทางไปเชียงใหม่ด่วนเพื่อรับศพทั้งสองกลับมากรุงเทพฯ จัดงานตามประเพณี สอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สันนิษฐานเหตุการณ์ตายของคุณลุงและนายบุญมาได้ความว่านายบุญมาคงจะจัดการซ่อมสายไฟอยู่และถูกไฟดูด คุณลุงอยู่ใกล้ๆ คงเข้าช่วยเหลือจึงถูกไฟดูดตายทั้งคู่ในเวลาไล่เลี่ยกันตรงตามที่ท้าวสักกะตรัสบอกธรรมไว้
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ศพของทั้งสองถูกนำมาบำเพ็ญพิธีทางศาสนาที่วัดใกล้บ้านคู่กัน ในงานศพธรรมได้แต่กล่าวปลอบประโลมใจคุณป้าและลูกหลานว่าคุณลุงไปสบายแล้ว ไปบังเกิดเป็นเทพแล้ว แต่มิกล้าเล่าความจริงดังที่ได้สัมผัสมาเกรงว่าจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของลูกหลานและญาติมิตรที่การบังเกิดของคุณลุงในสวรรค์นั้นมีฐานะต่ำต้อยกว่าของนายบุญมาผู้รับใช้มากนัก ธรรม บำรุงศีล ได้แต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดีที่จะให้พวกเขาเหล่านั้นรำลึกได้และมีความศรัทธาในการทำบุญทำทานให้ถูกต้องเพื่อจะได้กุศลสมบูรณ์แบบกันแต่ก็ได้แต่คิดคงจะบอกกล่าวเล่าขานในขณะที่ทุกคนยังอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้าคงจะไม่เป็นการสมควร

    “ข้าแต่จอมเทพท้าวสักกะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะเล่าขานประสบการณ์ที่ได้สัมผัสจากจอมเทพเพื่อให้เป็นอนุสติเตือนใจพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่อาจทำได้ เกรงว่าจะไม่เป็นที่พอใจแก่ลูกหลานญาติมิตรของคุณลุง ไม่ทราบจะทำอย่างไรดีขอให้ท้าวสักกะกรุณานิมิตเหตุการณ์สักอย่างอันเป็นกุศล ถ้าไม่อยู่นอกเหนือเทวกิจมากเกินไปขอความกรุณาจอมเทพได้โปรดด้วยเถิด”

    ธรรม จุดธูปเทียนบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วรำลึกขอนิมิตจากเทพผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์ต่อหน้าโต๊ะหมู่บูชาในงานศพในวันฌาปนกิจ
    วันนั้นมีการนิมนต์พระผู้ใหญ่ขึ้นธรรมาสน์เพื่อแสดงธรรมเทศนา
    ขณะที่พระผู้ใหญ่องค์เทศนากำลังเทศน์เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ จากพระคัมภีร์ถืออยู่ในมือทั้งสองยังไม่ทันจบเรื่องพลันพระคุณเจ้าก็ปิดคัมภีร์นั้นลงเสียแล้วหลับตาเปลี่ยนเรื่องเทศน์ด้วยปากเปล่าสดๆ

    “บัดนี้อาตมาจะได้แสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัวเพื่อจะได้เป็นอนุสติเตือนใจแก่ญาติโยมผู้พึงปรารถนาทำบุญทำทานพึงปรารถนาโน้มจิตศรัทธาในเรื่องบาปบุญคุณโทษ พึงปรารถนารำลึกถึงโลกนี้โลกอื่น พึงปรารถนาถึงเทพ สวรรค์ ดังที่อาตมาจักได้ยกตัวอย่างเรื่องของพระยาปายาสิ มาเทศนาเล่าขานสู่กันฟัง

    ในสมัยพุทธกาล มีพระยาผู้หนึ่งชื่อ พระยาปายาสิ ผู้ครอบครองเสตัพยนคร อันเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่เดิมพระยาผู้นี้เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อว่ามีสวรรค์นรก ไม่เชื่อว่ามีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ จนอยู่มาวันหนึ่งสมณกุมารกัสสปสาวกของพระสมณโคดมจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป มาถึงเสตัพยนคร อาศัยอยู่ ณ สีสปาวันทางทิศเหนือเสตัพยนคร กิตติศัพท์อันงามของพระสมณกุมารกัสสปนั้นขจรไปว่าท่านเป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูต กล่าวธรรมได้วิจิตร มีปฏิภาณดี เป็นผู้รู้และเป็นพระอรหันต์ ผู้คนในเมืองทราบข่าวก็เข้าเฝ้าฟังธรรมเป็นจำนวนมาก

    พระยาปายาสิเกิดความสนใจเข้าเฝ้าบ้างและสนทนาซักถามถึงเรื่องโลกนี้โลกอื่น การเวียนว่ายตายเกิด ผลของการทำบุญทำบาป พระสมณกุมารกัสสปได้อรรถกถาและยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เหตุผลมากมายเพื่อให้เห็นว่าโลกนี้โลกหน้ามีสัตว์ที่ผุดเกิดมีวิบากกรรมของสัตว์ทำดีทำชั่วมี ซักถามอยู่นานมากจนในที่สุดก็โน้มจิตศรัทธาตามสมควรและขอเข้าเป็นอุบาสกถึงพระโคดมเป็นสรณะ

    ตั้งแต่นั้นมา พระยาปายาสิก็เริ่มทำบุญทำทาน แต่การทำบุญทำทานของท่านพระยามิได้ทำด้วยความศรัทธาตั้งใจเท่าที่ควร มิได้ทำด้วยความเคารพเท่าที่ควร มิได้ทำด้วยมือตนเองตามสมควรมักจะใช้ให้อุตตรมาณพ เป็นผู้จัดการนำไปทำอีกทอดหนึ่งเสมอๆ และก็มิได้ทำด้วยข้าวของอย่างดี เช่นให้นำปลายข้าวที่เหลือๆแล้ว ไปทำบุญทำทาน ให้เอาผ้าผืนเล็กที่เปื้อนน้ำอ้อยไปทำบุญทำทาน จนกระทั่งอุตตรมาณพผู้รับใช้ไปทำบุญทำทานถึงต้องออกปากและขอร้องขอให้พระยาปายาสินำเอาสิ่งของดีๆ ไปทำบุญทำทานบ้าง และในที่สุดพระยาก็เชื่อมาณพ ยอมนำสิ่งของดีๆ ให้ไปทำบุญทำทานแต่ก็มิได้ไปทำด้วยมือตัวเอง

    เมื่อตายไป พระยาปายาสิก็ไปบังเกิดเป็นเทพชั้นจาตุมหาราชสถิตอยู่ในเสรีสกวิมานอันว่างเปล่า ส่วนอุตตรมาณพผู้จัดการในการทำบุญทำทานของพระยาปายาสิไปบังเกิดในวิมานทองอันตระการตาในแดนดาวดึงส์
    ในสมัยหนึ่ง พระควัมปติเถระ พระอรหันต์ในพระสมณโคดมได้กระทำสมาบัติไปพักกลางวัน ณ เสรีสกวิมานอันว่างเปล่าเนืองๆ ปายาสิเทพบุตรเข้าเฝ้าท่านพระควัมปติกราบแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระควัมปติจึงถามว่า

    “ผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร”
    “ข้าพเจ้าคือพระยาปายาสิเจ้าข้า”
    “อ้อ...ท่านคือผู้ที่มีความเห็นแต่ก่อนว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มีผู้นั้นนะหรือ”
    “ใช่เช่นนั้นเจ้าข้า แต่ต่อมาข้าพเจ้าถูกพระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสปเปลื้องเสียจากความเห็นอันชั่วนั้นแล้วพระเจ้าข้า”
    พระควัมปติเถระ รำลึกถึงผู้ที่เคยถูกสมณกุมารกัสสปกล่าวให้ฟังคือ อุตตรมาณพผู้เป็นคนจัดการในการทำทานของพระยาผู้นี้จึงถามว่า
    “ท่านมาบังเกิดที่นี่ ส่วนท่านอุตตรมาณพ ผู้จัดการในทานของท่านเขาไปเกิดที่ไหนเล่า”
    เทพบุตรปายาสิรำลึกขึ้นไปในภพที่ละเอียดประณีตกว่า
    “อุตตรมาณพ ผู้จัดการทานของข้าพเจ้าให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตนเอง ให้ทานโดยนอบน้อม ให้ทานโดยไม่ทิ้งๆ ขว้างๆ ครั้นตายแล้วก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์สถิตในวิมานทองอันตระการตาพระเจ้าข้า”
    “อ้อ เป็นเช่นนั้น” พระเถระรับฟังเทพบุตรพึงกล่าวต่อไป

    “ส่วนข้าพเจ้าให้ทานโดยไม่เคารพ ให้ทานโดยมิใช่โดยมือของตนเอง ให้ทานโดยไม่นอบน้อม ให้ทานทิ้งๆ ขว้างๆ ครั้นตายแล้วเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทพชั้นจาตุเสรีสกวิมานอันว่างเปล่าเช่นนี้ ท่านพระควัมปติเจ้าข้า เมื่อพระคุณเจ้ากลับมนุษยโลกแล้ว โปรดบอกกล่าวคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า...พวกท่านจงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานโดยมือของตนเอง จงให้ทานโดยนอบน้อม จงให้ทานอย่าทิ้งๆ ขว้างๆ เพราะผู้ให้ทานอย่างพระยาปายาสิ เมื่อตายแล้วถึงจะมาบังเกิดในสวรรค์ก็เป็นเพียงสวรรค์เบื้องหยาบ อยู่ในวิมานเงินอันว่างเปล่า สำหรับผู้ที่ทำบุญทำทานโดยเคารพทำด้วยมือของตนเอง ทำด้วยความนอบน้อม ทำแบบไม่ทิ้งๆ ขว้างๆ ตายแล้วก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายของเหล่าเทพชั้นดาวดึงส์สถิตในวิมานทองอันสวยงามเช่นอุตตรเทพบุตร”

    นอกจาก ปายาสิเทพบุตรจะเข้าเฝ้าปรากฏแก่พระควัมปติเถระดังกล่าวแล้ว ในวันดีคืนดี ปายาสิเทพบุตรมักจะแสดงปรากฏแก่เหล่าพ่อค้าทั้งหลายที่เดินทางผ่านเสมอๆ แล้วกล่าวกรรมดังที่ตนได้กระทำเพื่อเป็นอนุสติแด่มนุษย์พึงปรารถนาสวรรคสมบัติอยู่เนืองๆ

    พระสงฆ์ผู้ใหญ่เทศน์จบตรงกับความประสงค์ของธรรม บำรุงศีล ที่อธิษฐานขอนิมิตจากท้าวสักกะ ทั้งคุณป้าลูกหลานของคุณป้าลุงบุญล้อมและญาติมิตรนายบุญมานั่งฟังอย่างสงบเรียบร้อยด้วยความเคารพศรัทธาต่างก้มลงกราบ เมื่อพระเทศนาจบลงแล้วต่างค่อยๆ วิพากษ์วิจารณ์ถึงวิสัยของคุณลุงและนายบุญมา เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่แล้วนำไปเปรียบเทียบกับพระยาปายาสิ และอุตตรมาณพช่างใกล้เคียงกันเหลือเกิน ต่างก็จำเป็นตัวอย่างที่จะนำไปปฏิบัติต่อไป
     
  12. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ผู้ถ่ายทอด

    ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสปราศจากเมฆหมอก ในเวลากลางวันถ้าแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็จะเห็นดวงอาทิตย์เจิดจ้า ในยามค่ำคืนก็จะเห็นดวงดาวและดวงเดือนส่องแสงกระจ่าง แต่วันไหนมีเมฆหมอกปกคลุมก็จะมองไม่เห็นสิ่งดังกล่าวนั้น เช่นเดียวกับในวันที่จิตสมาธิบริสุทธิ์ปลอดโปร่ง ถ้ามองขึ้นไปในภพที่ละเอียดประณีตก็จะเห็นสวรรค์วิมานและเทพเทวดา ถ้าวันใดจิตสมาธิถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งกิเลสก็ไม่สามารถจะมองเข้าไปในภพทิพย์เหล่านั้นได้

    ธรรม บำรุงศีล บันทึกไว้ในความทรงจำในคืนที่เขากลับมาจากงานเลี้ยงสังสรรค์ และดื่มสุรามาหลายแก้ว ด้วยวิสัยของผู้ที่เคยปฏิบัติจิตสมาธิอยู่เป็นประจำก่อนจะเข้านอนถึงดื่มสุรามาก็อดที่จะทำสมาธิสักนิดหนึ่งก่อนนอนมิได้ สุรามีคุณสมบัติหรือโทษสมบัติก็แล้วแต่ฉีดโลหิตในร่างกายให้ไหลแรงขึ้นกว่าปกติ ประสาทสัมผัสซึ่งอาศัยกระแสเลือดเป็นน้ำหล่อเลี้ยงคอยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเมื่อกระแสธาราไหลเร็วขึ้น กังหันแห่งความรู้สึกก็หมุนเร็วขึ้นตามตัว เมื่อกังหันใหญ่หมุนเร็วผิดปกติกว่าที่เคยหมุน กังหันเล็กอันเป็นจักรกลฟันเฟืองประกอบก็จะเดินเร็วเกินจังหวะไปด้วย

    การใดที่เกิดจากความหย่อนความตึง การนั้นจะไม่พอดี สิ่งที่ไม่พอดีไม่เป็นมัชฌิมาไม่เป็นสิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ถ้าจะเปรียบเป็นธรรมะได้จะเป็นธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ มีความผิดเพี้ยนได้มากไม่เป็นสัจธรรมอันแท้จริง

    จิตสมาธิที่อยู่ในภาวะมีความรู้สึกอันเกิดจากแรงกระตุ้นเกินรอบด้วยอาสวกิเลสต่างๆ เช่น ความโลภ ความหลง ความโกรธ ความรัก เป็นจิตที่ไม่มัชฌิมา ไม่อุเบกขา ฉะนั้นผู้ที่ประสงค์จะสัมผัสสวรรค์อันแท้จริงต้องทำจิตให้เป็นกลางเสียก่อน

    ธรรม ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน เขาพยายามสำรวจภาวะจิตของตนเองเสมอว่าเวลาใด สถานใด จิตสมาธิจึงจะอยู่ในภาวะอุเบกขาได้ขณะที่จิตสมาธิเป็นอุเบกขาเท่านั้นสัจธรรมคือความจริงในสิ่งที่สัมผัสด้วยกระแสจึงจะเที่ยงแท้แน่นอนและประสบการณ์สัมผัสของเขามิเคยบอกกล่าวแก่ผู้ใดนอกจากคราวหนึ่งที่เขาเผลอพูดเกี่ยวกับอายุของเทพให้เพื่อนหญิงผู้หนึ่งฟัง

    “เป็นเทพเทวดา มีอายุยืนยาวนานเหลือเกินเช่นนั้นเทวดาไม่เบื่อตนเองบ้างหรือ”
    วิลาสินี เพื่อนหญิงที่สนิทมานานถามขึ้นเมื่อสนทนากันถึงเรื่องสวรรค์และเทวดาตามที่เธอชอบซักถามเขาเมื่อได้โอกาสอันควร ธรรมจ้องหน้าเธอนิดหนึ่งเพื่อจับความรู้สึกเช่นเคย
    “นี่วิถามจริงๆ นะ ชักอยากจะศึกษาเพื่อความเป็นไปได้ ไม่ได้แซวจริงๆ ด้วย”
    หญิงสาวทำหน้าจริงจัง ชายหนุ่มยิ้มเยือกเย็น
    “รู้แล้วว่าคุณวิกำลังจะทำวิทยานิพนธ์เรื่องความเป็นไปได้ของสิ่งเร้นลับ”
    “เอ้อ รู้ตรงเผง วิยังไม่ได้บอกคุณเลย ทำไมรู้ล่ะ”
    “ก็คุณบอกผมเมื่อกี้ยังไงว่าจะศึกษาเพื่อความเป็นไปได้”
    “ก็วิไม่ได้บอกว่าจะรู้ไปเพื่อทำวิทยานิพนธ์นี่”
    “ก็เมื่อศึกษาก็ต้องเกี่ยวกับการเรียนของคุณแน่ๆ”
    “แล้วทำไมรู้ว่าทำเกี่ยวกับเรื่องสิ่งเร้นลับ”
    “ก็สิ่งที่คุณกำลังถามเป็นสิ่งที่เร้นลับนี่”
    “แปลกจริง คุณธรรมมักจะรู้อะไรล่วงหน้าเสมอ วิจึงศรัทธาคุณ”

    “ความจริงมันเป็นสิ่งธรรมดานี่เอง ในเมื่อเราฝึกจิตสมาธิให้มั่นคงอยู่เสมอ จิตสมาธิเป็นกลางเป็นอุเบกขา เมื่อมีสิ่งใดในลักษณะเช่นไรเข้ามาสัมผัสสักนิดหนึ่งจิตก็จะรู้ถึงสิ่งนั้นตลอดเอง เช่น สมมุติว่าเมื่อเราพบกันในเวลาเที่ยงวันเราทั้งสองกำลังเดินผ่านร้านอาหารข้าวแช่ที่คุณชอบ ถ้าคุณถามผมว่าผมทานอาหารกลางวันมาเรียบร้อยแล้วหรือยัง...ผมก็จะทราบได้ทันทีว่าคุณกำลังนึกอยากจะทานข้าวแช่ที่ร้านนี้”

    “ถ้าสมมุติว่า วิได้ทานข้าวแช่เรียบร้อยแล้วก่อนที่คุณจะมาถึงนี่เองมันก็ไม่ถูกน่ะซีที่คุณคิด”
    “ถ้าคุณทานข้าวแช่เรียบร้อยแล้วคุณก็คงจะไม่เจาะจงมาถามที่หน้าร้านข้าวแช่นี้ เพราะที่เดินผ่านมาหลายร้านก็เป็นร้านอาหารทั้งนั้น”

    เที่ยงวัน ธรรม และวิลาสินี เดินมาถึงตรงหน้าร้านข้าวแช่พอดี โดยไม่ต้องถามตอบให้เมื่อยปาก ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในร้าน หญิงสาวสั่งข้าวแช่เหมือนครั้งก่อนๆ ส่วนธรรมสั่งก๋วยเตี๋ยวยอดผักตามเดิม

    “อายุเทพเทวดายาวนานนักจริงๆ หรือ ทำไมจึงนานกว่ามนุษย์มาก และท่านไม่เบื่อหรอกหรือ”
    หญิงสาววกเข้าคำถามเริ่มแรก
     
  13. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    กายทิพย์

    “ถ้าอยากทราบจริงๆ ก็จะตอบจริงๆ แล้วพิจารณาด้วยเหตุผลเอาเอง...เทวดาเป็นกายทิพย์ คือมีรูปนิมิตกับจิตโปร่งใสไม่มีอวัยวะภายในเกิดขึ้นด้วยการโอปปาติกะ คือเกิดปุ๊บโตปั๊บ น่าจะเรียกว่าบังเกิดหรือปรากฏขึ้นด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรม เมื่อกายทิพย์ไม่มีอวัยวะที่จะให้เสื่อมง่ายจึงเสื่อมยาก เชื้อโรคต่างๆ จะเบียดเบียนก็ไม่ได้ โรคภัยไข้เจ็บจะเบียดเบียนก็ไม่ได้ กายทิพย์นั้นจึงไม่อาจเสื่อมสลายได้ด้วยโรคภัย จึงมีอายุยืนยาวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสื่อมสลายลงไปเองด้วยธรรมชาติแห่งกุศล

    ตัวอย่างคล้ายภาพถ่ายของคนเราหรือภาพยนตร์ที่บันทึกรูปร่างคนไว้ ตัวจริงตายไปนานแล้วแต่รูปนิมิตในภาพยังไม่เสื่อมสลายหายไปเสียที จนกว่าภาพนั้นหรือฟิล์มภาพยนตร์นั้นจะค่อยๆ เสื่อมจืดจางและเลือนหายไปเองในที่สุด ซึ่งก็กินเวลานานเหลือเกิน กายทิพย์ต่างกับภาพถ่ายหรือภาพที่บันทึกในฟิล์มภาพยนตร์ก็ตรงที่ว่าในกายทิพย์ซึ่งเป็นรูปนิมิตนั้นมีจิตอยู่ด้วย ส่วนภาพในฟิล์มนั้นไม่มีจิต”

    “จิตที่ว่าคือหัวใจหรือเปล่าคะ”
    “ไม่ใช่...จิตคือความรู้สึกนึกคิด สัมผัสสิ่งต่างๆ ได้แต่ไม่มีตัวตนเช่นหัวใจ”
    “รูปนิมิตที่มีความรู้สึกได้เอง” วิลาสินีสรุป
    “ถูกต้องแล้ว กายทิพย์คือรูปนิมิตที่มีความรู้สึกได้เอง”
    “ใครเป็นผู้นิมิตเล่าคะ”
    “ต้องโยนให้กุศลกรรมของผู้นั้น คือกรรมดีที่เขาสร้างสรรค์เอาไว้เป็นผู้นิมิตให้เขาไปบังเกิดในรูปเทพเทวดา”

    “กรรมคือการกระทำ กรรมดีคือการกระทำดี เป็นนามธรรม จะมีพลังอานุภาพนิมิตสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร”
    “นามธรรมจะนิมิตสิ่งต่างๆ ไม่ได้นอกจากนิมิตนามธรรมด้วยกัน กายทิพย์หรือเทพเทวดาเป็นนามธรรมสำหรับมนุษย์ แต่เป็นรูปธรรมสำหรับเทวดาด้วยกันเอง คือมนุษย์จะสัมผัสเทวดาได้ก็ด้วยกระแสจิตอันเป็นนามธรรมเท่านั้น ส่วนเทพเทวดาด้วยกันจะสัมผัสกันได้ด้วยผัสสะอันเกิดจากจิตซึ่งกันและกัน”

    “รูปที่มีจิต...รูปที่มีความรู้สึก”
    หญิงสาวทบทวนคำนี้ เธอจดบันทึกลงไว้ในสมุดโน้ตด้วยความพึงใจในคำสรุป
    “ส่วนคำถามที่ว่าเทวดามีอายุยืนยาวนานเหลือเกิน ไม่เบื่อบ้างหรือนั่นก็เป็นธรรมชาติของเทวดา ท่านอยู่ในภาวะวิสัยเช่นนั้น ท่านก็เคยชินไปเช่นนั้น เหมือนคนเรามีอายุอยู่ถึง 100 ปี ถ้ามดปลวกซึ่งมันมีอายุเพียงไม่กี่วัน มันอาจมีความรู้สึกถามกันเองก็ได้ว่า มนุษย์มีอายุนานเช่นนี้ไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร ธรรมชาติของใครเป็นอย่างไรความรู้สึกของเขาก็รับภาวะเช่นนั้นเป็นธรรมดาของเขาซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเฉพาะตัว”

    “เทวดาเป็นผู้มีบุญจริงหรือ”

    “ธรรมชาติของเทวดาเป็นเช่นนั้น ถ้าคำว่าบุญ หมายถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกื้อกูลกันไม่เบียดเบียนกัน เทวดาเป็นผู้ไม่เบียดเบียนก็ย่อมถือว่าเป็นผู้มีบุญ เราลองมาพิจารณาให้ลึกลงไปว่ามนุษย์และสัตว์ทำไมจึงชอบเบียดเบียนกัน ก็จะเห็นที่มาของสิ่งเหล่านี้ คือมนุษย์และสัตว์มีกายหยาบต้องกินอาหารอันเป็นของหยาบ การกินนั่นเองคือต้นตอแห่งการเบียดเบียนกัน ส่วนเทวดาไม่ต้องกินของหยาบเช่นมนุษย์ จึงตัดการเบียดเบียนกันในส่วนนี้ออกไปเสียได้หนึ่ง

    การอยู่มนุษย์ต้องอยู่ด้วยการอาศัยของหยาบให้ความสะดวก ต้องมีบ้าน มีรถยนต์ มีเครื่องใช้สอยต่างๆ ที่จะอำนวยความสะดวกในความเป็นอยู่จึงต้องแสวงหาอันเป็นการเบียดเบียนกัน ส่วนเทวดาอยู่ในวิมานที่กุศลแห่งตนได้นิมิตไว้ให้ จะไปไหนก็เหาะเหินเดินลอยไป ไม่ต้องอาศัยรถยนต์หรือเครื่องบิน จะทำอะไรก็เนรมิตเอาตามกุศล จึงไม่ต้องมีเครื่องใช้ไม้สอยอันเป็นของหยาบที่จะต้องแสวงหาเช่นมนุษย์

    การเบียดเบียนในประการนี้ก็จึงไม่มีเป็นประการที่สอง มนุษย์ต้องการทรัพย์สินที่ถือเป็นของมีค่าเช่นเพชรนิลจินดา เงินทองโลหธาตุอันมีจำกัด ก็ต้องแย่งชิงเบียดเบียนกัน ส่วนเทวดาเนรมิตได้ด้วยกุศลโดยไม่มีขีดจำกัด จึงไม่ต้องเบียดเบียนกันอย่างนี้ เป็นต้น ธรรมชาติของเทวดาจึงเป็นผู้มีบุญ”

    “เทวดาเป็นผู้มีจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำไมจึงไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้มนุษย์ทุกคนร่ำรวยไม่ช่วยมนุษย์ให้มีความสุขสบายให้โลกอยู่อย่างสันติสุขเหมือนสวรรค์บ้างเล่า”

    “ความจริงธรรมชาติของสวรรค์ของเทพ โดยวิสัยช่วยปกป้องคุ้มครองดูแลโลกเราอยู่แล้ว เช่นสวรรค์ชั้นต้นที่ชื่อว่าจาตุมหาราชิกาก็มีท้าวจาตุโลกบาลสี่องค์ปกครองดูแลอยู่ ถ้าเราจะพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าผู้ปกครองดูแลคือ ท้าวจาตุโลกบาล มิใช่ท้าวจาตุสวรรค์บาลแต่ประการใด หมายความว่าเทพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้มีหน้าที่ปกครองดูแลโดยตรงในโลกเราด้วย ซึ่งตรงกับคำว่าโลกบาล จะเห็นว่าสวรรค์ดูแลคุ้มครองปกปักรักษาโลกมนุษย์อยู่โดยหน้าที่ จึงเป็นการเอื้อเฟื้ออย่างใหญ่หลวงอยู่แล้ว”

    หญิงสาวถามพลางบันทึกสรุปพลาง รู้สึกว่าเธอมีความรู้สึกคล้อยตามและศรัทธาในเหตุผลต่างๆ ที่ธรรมอธิบายตามธรรมชาติได้อย่างมีเหตุผล ดูเหมือนว่าคำถามของเธอจะมีอยู่อีกมากมาย และชายหนุ่มก็ไม่ย่อท้อที่จะตอบต่อไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน

    “ถ้าวิจะมีความรู้สึกในทางลบ ถือว่าสิ่งที่คุณธรรมอธิบายมาแล้วทั้งสิ้นเป็นเพียงจินตนาการอันละเอียดลึกซึ้งของคุณที่สามารถอ้างเหตุผลประกอบได้ตามสมควร น่าเชื่อฟัง แต่ที่จริงสิ่งเหล่านั้นไม่มีตัวตนจริงๆ อยู่แล้ว มันก็เป็นเพียงความเพ้อฝันของคุณเท่านั้น คุณจะว่าอย่างไร”

    “ผมก็จะบอกว่า ถูกแล้วมันเป็นความเพ้อฝันของผม นามธรรมเป็นสิ่งที่รู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อันอยู่ในภาวะหยาบ แต่จะรู้ได้เฉพาะทางจินตนาการเท่านั้น จินตนาการของใครก็ย่อมเป็นของใคร ใครจะเชื่ออย่างไรก็ย่อมเป็นของใครเช่นกัน”

    “ก็เท่ากับคุณเองก็ไม่ยืนยันว่าสิ่งเหล่านั้นมีจริง” หญิงสาวรุกไล่อีก
    “ผมยืนยันว่า นามธรรมในสมาธิของผมเป็นสัจจธรรม”
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    สวรรค์มีจริง

    “สวรรค์เป็นนามธรรม นามธรรมเป็นสัจธรรม สัจธรรมคือความจริงแท้ก็เท่ากับคุณยืนยันว่าสวรรค์มีจริงๆ น่ะซี”
    “แน่นอนครับ เป็นความจริงแท้ตามธรรมชาติอันเกิดขึ้นมาเองในภาวะเช่นนั้น”

    “เอาละ วิได้ชื่อเรื่องแล้ว และเริ่มต้นได้เสียที...ชื่อเรื่องคือ “ความเป็นไปได้ของสวรรค์” สวรรค์เป็นนามธรรมของมนุษย์เราแต่เป็นรูปธรรมของเทพเทวดาด้วยกันมนุษย์จะสัมผัสสวรรค์และเทวดาได้ด้วยกระแสจิตสัมผัสอันเป็นนามธรรมเท่านั้น แต่เทวดาจะสัมผัสกันได้ด้วยผัสสะอันเกิดจากจิตซึ่งกันและกัน
    เทวดาเป็นกายทิพย์ คือเป็นรูปนิมิตที่มีจิตรู้สึกได้

    เปรียบเสมือนภาพถ่าย หรือภาพที่บันทึกลงในฟิล์มภาพยนตร์แต่เป็นภาพหรือรูปที่มีจิตรู้สึกอยู่ได้เอง
    สวรรค์เป็นนามธรรม นามธรรมที่สัมผัสด้วยสมาธิอันมั่นคงเป็นสัจธรรม สัจธรรมเป็นความจริงแท้ ฉะนั้น...สวรรค์จึงเป็นของจริงแท้ตามธรรมชาติอันเกิดขึ้นเองในภาวะเช่นนั้น...”

    วิลาสินี จึงเริ่มบันทึกวิทยานิพนธ์ของเธอเป็นเรื่องเป็นราวต่อไปด้วยอารมณ์ร่วมในจินตนาการอันประกอบด้วยเหตุผลที่เป็นไปได้
    ธรรม บำรุงศีล จึงกล่าวกระเซ้าแหย่ทำนายว่า

    “ผมขอทำนายไว้ล่วงหน้าว่า วิทยานิพนธ์ของคุณวิจะได้คะแนนเต็มเพราะผู้ให้คะแนนไม่สามารถจะจับผิดถึงเหตุการณ์ในสวรรค์ได้ว่าไม่ตรงกับความเป็นจริงบนสวรรค์ตรงไหน หรือไม่ก็จะได้คะแนนศูนย์ไปเลยเพราะเขียนเรื่องที่เพ้อเจ้อเหลวไหลไม่สามารถพิสูจน์ได้มากล่าวอ้าง”

    “ถ้าได้ศูนย์ หรือ สูญ ก็ดีสิคะ แสดงว่าจิตเราว่างเปล่าสมบูรณ์แบบ สมาธิกำลังจะเกิดขึ้นเต็มดวงแล้วใกล้จะบรรลุ”
    หญิงสาวรับลูกด้วยความสนุก แล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะเรียกเจ้าของร้านมาเก็บเงินค่าอาหารมื้อกลางวัน
    ล่วงเข้าค่ำคืนนี้ วิลาสินีเขียนบันทึกวิทยานิพนธ์ตอนแรกยังมิทันจบก็ดึกดื่นเข้ามามากเธอเขียนค้างไว้มาถึงตอนที่ว่า

    “จินตนาการแต่เพียงฝ่ายเดียวของผู้บันทึกจะเขียนให้วิจิตรประณีตเพียงใดก็คงเป็นความเพ้อฝันอันเลื่อนลอย ยากนักที่จะก่อให้เกิดศรัทธาเชื่อถือขึ้นมาในตนได้ แม้แต่เพียงตนยังมิมีความเชื่อถือศรัทธาในข้อเขียนของตนเอง ไยเล่าผู้อื่นที่มาอ่านข้อเขียนนี้จะพึงบังเกิดความเชื่อถือหรือโน้มจิตเห็นจริงตามไปด้วยได้ ผู้เขียนมิใช่นักปฏิบัติสมาธิ ไม่ใช่นักปฏิบัติสมถกรรมฐาน หรือ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน อันจะรวมจิตให้เป็นดวงเดียวเพื่อส่งกระแสสมาธิเข้าสัมผัสภพภูมิแห่งนั้นได้แล้วจะมีวิธีใดบ้างที่ผู้เขียนจะพึงรู้ พึงสัมผัสให้เห็นจริงแม้แต่น้อยนิดก็ยังดี...”

    เธอหลับลงเสียก่อนเมื่อบันทึกได้มาถึงเท่านี้ แผ่นกระดาษและปากกาลูกลื่นยังคงหล่นทับอยู่บนทรวงอกของเธอ

    ในนิทรารมณ์อันบรมสุข วิลาสินี รู้สึกว่าตัวเองล่องลอยขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นที่สอง อันมีชื่อว่าดาวดึงส์ หญิงสาวได้สัมผัสปราสาทไพชยันต์ของพระอินทร์ในระยะห่างๆ และทราบด้วยความรู้สึกว่ามหาปราสาทอันมหึมานั้นเป็นสถานวิมานที่สถิตของท้าวสักกเทวราช เธอล่องลอยผ่านต้นปาริชาติผ่านสวนขวัญอุทยานต่างๆ ไป เข้ามาถึงวิมานทองขนาดกลางของเทพผู้มีกายทิพย์สีเขียวอ่อนองค์หนึ่ง

    “เราผู้ปรากฏนามว่า บุญมาเทพบุตร สถิตอยู่ในวิมานทองพร้อมเครื่องอลังการและเทพบริวารตามสมควร เราได้รับเทวบัญชาจากท้าวสักกะจอมเทพให้ปรากฏนิมิตในกระแสแห่งความฝันของท่านผู้ปรารถนาสัมผัสสวรรค์ และพึงหาเหตุที่จะเสริมความเชื่อมั่นในจิตตนว่าเป็นความจริงเพียงใด กิจอันเป็นกุศลเช่นนี้ จอมเทพได้ประทานเทวานุญาตให้ประพฤติได้ตามสมควรแก่กุศล เราพึงพิจารณาเห็นว่าท่านมีจิตบริสุทธิ์เพียงเพื่อจะสัมผัสประสบการณ์อันเป็นเครื่องดลใจให้จารึกบันทึกข้อเขียนด้วยความเชื่อมั่นในจิตตน เราจึงปรากฏนิมิตให้ท่านสัมผัส ณ เบื้องนี้ และเพื่อให้เห็นว่ามิใช่เป็นความฝันอันเกิดจากอารมณ์ฟุ้งซ่าน ขอให้ท่านได้สอบถามเพื่อนชายผู้อธิบายภพสวรรค์ผู้นั้น ชายผู้นั้นรู้จักเราและเป็นหลานของเทพบุตรบุญล้อม เมื่อท่านได้สอบถามแล้วจะทราบว่าความฝันของท่านเป็นสัจธรรม”

    หญิงสาวสะดุ้งตื่นเมื่อเทพกล่าวจบ เธอประหลาดใจที่ฝันเป็นตุเป็นตะและชัดเจนจำคำกล่าวของเทพได้ทุกคำกล่าว
    “คงจะเป็นเพราะจิตประหวัดจากข้อเขียนที่กำลังเขียนค้างอยู่นี่เอง ทำให้เกิดมโนภาพปรากฏขึ้นในความฝันดังกล่าว แต่ เอ...เทพท่านบอกว่าชื่อ บุญมาเทพบุตร รู้จักกับธรรม บำรุงศีล และยังแนะนำถึงเทพบุตรบุญล้อมด้วย ถ้าธรรมเพื่อนชายรู้จักจริงๆ ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์แน่ละ”

    วิลาสินียังอยู่ในอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
    รุ่งเช้าเมื่อเธอตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ เธอจึงโทร.ไปหาธรรม บำรุงศีล และเล่าความฝันให้ฟัง
    “คุณลุงบุญล้อมเป็นลุงของผมเอง ส่วนนายบุญมาเป็นคนสนิทของคุณลุงแต่ทั้งสองเสียชีวิตไปแล้วทั้งสองคนเมื่อเร็วๆ นี้”

    ชายหนุ่มบอกกล่าวยืนยันเพียงเท่านั้นพลางรำลึกถึงจอมเทพท้าวสักกะ
    “ความฝันของคนเราก็คือจินตนาการที่ล่องลอยไปตามอารมณ์กระทบในยามหลับ ความรู้สึกเช่นนั้นบางครั้งไปตรงต่อความเป็นจริง ในทางพระท่านเรียกว่าเทพนิมิต ฉะนั้นท่านผู้ใดมีประสบการณ์เช่นนี้จึงพิจารณาในทางบวกให้แก่ตนเองบ้างว่านั่นเป็นการสัมผัสจากเทพ”

    ชายหนุ่มปรารภขึ้นเบาๆ หลังจากวางหูโทรศัพท์ลงแล้ว
    ต่อจากนั้นมาอีกสองสามวัน ธรรม บำรุงศีล ได้พาวิลาสินีเพื่อนหญิงไปเยี่ยมเยียนคุณป้าภรรยาคุณลุงบุญล้อมถึงที่บ้านบางกะปิ ได้สนทนาปราศรัยถึงคุณลุงและนายบุญมาที่ได้เสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกันเพื่อจะพิสูจน์ให้เพื่อนหญิงเห็นว่าความฝันของเธอเป็นความจริงน่าเชื่อถือเพียงใด

    “ความเร้นลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สวรรค์เทวดาเป็นสิ่งที่อยู่เหนือวิสัยมนุษยชาติธรรมดาจะพึงเชื่อถือ การบอกกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้แม้จะกับญาติสนิทมิตรสหายหรือผู้ใกล้ชิดเพียงใดก็เป็นสิ่งไม่พึงบังควรเว้นแต่จากประสบการณ์ของผู้ใดได้สัมผัสเองมาบ้างแล้วช่วยเสริมให้เขาเห็นจริงขึ้นมาได้เช่นนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน”

    ธรรม ถือคติเช่นนี้อย่างระมัดระวัง ฉะนั้นทุกวันนี้เขาจึงอยู่ในสังคมได้เต็มที่ในแบบฉบับของมนุษย์เช่นคนอื่นๆ ทั่วไป จริงอยู่ประสบการณ์สวรรค์ที่เกิดกับเขาแม้จะทุกครั้งเป็นประสบการณ์ที่แน่นอน แม้ตนเองจะเชื่อมั่นสักปานใดเพราะเป็นผู้เห็นจริงแล้ว ถ้านำไปบอกกล่าวเล่าสู่ให้ผู้อื่นที่สงสัยฟัง ตัวผู้เล่าเองนั่นแหละจะถูกสงสัยว่ายังสมบูรณ์ดีอยู่หรือเป็นแน่ไม่เป็นกุศลเลย

    ความปริวิตกในลักษณะเช่นนี้แม้กระทั่งพระพุทธองค์ขณะที่ตรัสรู้ธรรมวิเศษใหม่ๆ ยังทรงปริวิตกว่ามนุษย์จะไม่สามารถรับสอนธรรมอันล้ำลึกเหล่านี้ได้ เกือบจะละเว้นที่จะแสดงธรรมอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งเมื่อค่อยๆ พิจารณาถึงบัวสี่เหล่าที่เทพทั้งหลายมาเนรมิตให้เห็นความเหลื่อมล้ำของจิตมนุษย์ที่มีขีดความรับรู้ต่างๆ กัน พระพุทธองค์จึงทรงยึดถือหลักพิจารณาบุคคลที่จะรับสอนได้เป็นเบื้องต้นเสียก่อนทุกครั้งก่อนที่จะทรงแสดงธรรมโปรดแด่ผู้ใดเสมอมา

    “จงอย่าเชื่อเพราะเห็นว่าผู้สอนเป็นบรมศาสดา แต่จงเชื่อด้วยเหตุผลแห่งตนที่ได้พิจารณาเองให้ถ่องแท้เสียก่อนว่าน่าเชื่อ จึงควรเชื่อ”
    ถึงสอนแล้วก็ยังให้หลักเกณฑ์ผู้รับฟังไว้เช่นนั้นด้วย
    “ซึ่งเท่ากับทรงเตือนไว้ว่าให้ใช้เหตุผลเป็นสิ่งสำคัญในการเชื่อถือ”
    ธรรม ให้ทัศนะแห่งความศรัทธาตามหลักของพระพุทธองค์แก่เพื่อนหญิงผู้ซึ่งกำลังหันเข้าสัมผัสธรรมะมากขึ้น
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    พระยาผู้ไม่เชื่อสวรรค์

    “มีบ้างหรือไม่ในสมัยพุทธกาล ที่มีผู้ดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์แล้วจะมีวิธีการอย่างไรที่จะให้เขาเชื่อได้”
    วิลาสินีสนใจซักถามต่อด้วยความศรัทธาอันจะนำไปปฏิบัติ
    “มีอยู่มากมาย แต่ที่มากเรื่องหน่อยเห็นจะเป็น ความทิฐิของพระยาปายาสิ ที่พยายามซักไซ้ไล่เลียงพระกุมารกัสสปเถระ พระเถระผู้มีความสามารถในการกล่าวสอนจะแสดงอย่างไรๆ พระยาผู้นี้ก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่เชื่อ ไม่เชื่ออยู่แต่เพียงอย่างเดียว ถ้ายังไม่เบื่อเสียก่อนผมจะเล่าให้ฟัง”

    “พร้อมแล้วที่จะฟังและจะบันทึกไว้เป็นสำคัญด้วยเจ้าค่ะ”
    หญิงสาวเตรียมสมุดบันทึกและปากกาถือไว้ในมือนั่งเท้าคางเตรียมตัวอย่างเต็มที่

    “ในสมัยหนึ่ง ท่านพระกุมารกัสสป สาวกของพระสมณโคดม ที่เรียกติดปากกันมาว่า กุมาร ก็เนื่องจากท่านบวชตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กวัยรุ่น แม้ขณะที่อายุมากแล้วก็ยังเรียกพระกุมารกัสสปเรื่อยมา ครั้งนั้นพระกุมารกัสสปเถระจาริกไปในแคว้นโกศล ซึ่งมีพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นกษัตริย์ปกครองอยู่ พระเถระพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์อีก 500 รูป เดินทางมาถึงเสตัพยนคร อันเป็นเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้พระยาปายาสิปกครองดูแลอยู่

    กลุ่มภิกษุสงฆ์ผู้จาริกโปรดสัตว์เข้าอาศัยอยู่ ณ ป่าสีสปาวัน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือเมืองเสตัพยะ เนื่องจากกิตติศัพท์อันงามของพระสมณกุมารกัสสป ขจรไปว่าท่านเป็นบัณฑิตฉลาด มีปัญญาเป็นพหูสูต กล่าวธรรมได้วิจิตรมีปฏิภาณดีเป็นผู้ตรัสรู้และเป็นพระอรหันต์ ชาวเมืองเสตัพยะจึงพากันไปนมัสการเป็นจำนวนมาก

    พระยาปายาสิทราบข่าวก็เข้านมัสการเพื่อสนทนาธรรมกับพระคุณเจ้า
    ปกติพระยาปายาสิผู้นี้เป็นผู้มีทิฐิแรงกล้า มีความเชื่อมั่นว่าโลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี อันหมายความว่าไม่เชื่อว่ามีสวรรค์นรกไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีบาปบุญคุณโทษทั้งสิ้น

    เมื่อเข้าเฝ้าพระกุมารกัสสป จึงเรียนถามว่า
    “ท่านกัสสปผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าโลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี”
    พระกุมารกัสสปจึงย้อนถาม
    “ท่านพระยา อาตมาได้ยินว่าท่านเชื่อเช่นนั้น อาตมาจะย้อนถามท่านในข้อนี้บ้าง ท่านพึงตอบตามที่เห็นควร ท่านพระยาจะพึงเข้าใจในข้อนี้อย่างไร พระจันทร์พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่นเป็นเทวดาหรือมนุษย์
    พระยาปายาสิตอบไปตามความเห็นควรที่น่าจะเป็น
    “พระจันทร์พระอาทิตย์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้อยู่ในโลกอื่น ไม่ใช่เป็นมนุษย์แน่ ถ้าจะเป็นก็ต้องเป็นเทวดา”
    “โดยปริยายเช่นนี้แหละ ท่านพระยา โลกอื่นจึงมี สัตว์ผุดเกิดจึงมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วจึงมี”
    “ถึงท่านพระกัสสปกล่าวอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันในความเห็นเดิมของข้าพเจ้าอยู่”
    “ท่านมีสิ่งใดที่เชื่อมั่นเช่นนั้นหรือ”

    “มีสิ พระคุณเจ้า ตัวอย่างเช่น ข้าพเจ้าเคยพบผู้ที่เคยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มักได้ ปองร้ายเขา อันเป็นการเห็นผิด เมื่อเขาป่วยหนักใกล้จะตาย ข้าพเจ้าได้สั่งว่าพฤติการณ์ที่คนผู้นั้นมีชีวิตและได้กระทำไปเป็นผิด มีสมณะพวกหนึ่งบอกว่าคนทำผิดเช่นนี้ผิดเป็นบาป เมื่อตายไปจะเกิดในอบายภูมิ ทุคติ สู่นรก ถ้าตัวท่านตายไปแล้วพึงไปเกิดในอบายภูมินรกจริง ขอจงกลับมาบอกข้าพเจ้าทีเถิดว่านรกมีจริง ก็ไม่เคยเห็นผู้นั้นกลับมาบอกหรือส่งผู้ใดมาบอกเลยจึงไม่น่าเชื่อว่านรกมีจริงพระคุณเจ้า”

    พระกุมารกัสสป แย้มยิ้มน้อยๆ
    “ท่านพระยา นี่แน่ะ ถ้าเจ้าหน้าที่ของท่านได้จับโจร ผู้กระทำความผิดมาเพื่อให้ท่านลงโทษท่านเห็นแล้วว่าผิดหนักจึงให้ลงโทษประหารเสีย โจรจึงขอร้องท่านว่า ขอท่านจงรอข้าพเจ้า จนกว่าข้าพเจ้าจะไปแจ้งแก่มิตรสหายก่อนว่า ข้าพเจ้าถูกจับอยู่ในคุกตะรางจะถูกตัดศีรษะอยู่แล้ว ท่านพึงจะยอมปล่อยโจรไปตามนั้นหรือ”
    “มิยอมเช่นนั้นพระคุณเจ้า”
    “ก็เช่นเดียวกัน ผู้กระทำความชั่วทำบาปไปบังเกิดในนรกภูมิแล้วไฉนนิรยบาลจึงจะยินยอมให้คนผู้นั้นกลับมาบอกท่านเสียก่อนเล่า”
    “ถึงเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันความเชื่อแต่เดิมของข้าพเจ้าอยู่พระคุณเจ้า”
    “ท่านพระยามีสิ่งใดยืนยันความเชื่อเช่นนั้นอีกหรือ”
    “มีสิ พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าเคยพบผู้ที่ประพฤติชอบละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น เมื่อป่วยหนักใกล้จะตายข้าพเจ้าสั่งว่ามีสมณะพวกหนึ่งบอกว่าผู้ประพฤติชอบเช่นนี้เมื่อตายไปจะบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ถ้าท่านไปเกิดในโลกสวรรค์จริงก็ขอท่านจงกลับมาบอกข้าพเจ้าทีเถิด คนเหล่านั้นรับคำข้าพเจ้าแล้วก็ไม่เคยเห็นกลับมาบอกหรือให้ใครมาบอกเลย จึงไม่น่าเชื่อว่าสวรรค์มีจริงพระคุณเจ้า”

    “ท่านพระยา เปรียบเสมือนผู้ที่จมอยู่ในบ่อคูถ (อุจจาระ) มิดศีรษะ มีคนช่วยคนผู้นั้นขึ้นมาชำระล้างความสกปรกทั้งหลายทั้งปวงจนสะอาดหมดจดประแป้งแต่งตัวใส่เครื่องหอมให้ทั่วกาย ขึ้นไปอยู่บนปราสาทชั้นบนมีความสุขสมบูรณ์เต็มที่แล้ว บุคคลผู้นั้นยังจะกลับลงมาในบ่อคูถ เพียงเพื่อจะมาแจ้งแก่ท่านเช่นนั้นหรือ”

    “ไม่หรอกพระคุณเจ้า ถึงเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ยังมีความเห็นเช่นเดิม”
    พระยาปายาสิได้กล่าวสาธยายต่อไปว่า

    “พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าเคยได้ยินพระสมณะกล่าวว่า ผู้ที่รักษาศีล 5 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุราเมรัย เมื่อตายไปจะได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ข้าพเจ้าเคยพบบุคคลเช่นนั้นใกล้จะตายจึงสั่งว่าเมื่อท่านตายไปบังเกิดในแดนดาวดึงส์แล้วกรุณากลับลงมาบอกเราด้วยเถิดว่าสวรรค์ดาวดึงส์นั้นมีจริง ก็ไม่เห็นผู้รักษาศีล 5 ที่ได้ตายไปแล้วกลับลงมาบอกสักทีว่าได้ไปเกิดในดาวดึงส์แล้ว”

    “ดูก่อน ท่านพระยา เนื่องด้วยร้อยปีในโลกมนุษย์เท่ากับวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ เมื่อมนุษย์ผู้รักษาศีล 5 ตายไป เพียงสถิตอยู่ที่นั่นสักวันหนึ่งหรือสองวันแล้วจะกลับมาบอกว่าเขาอยู่ที่ดาวดึงส์แล้วก็ไม่ทราบว่าท่านพระยาไปอยู่ที่ไหนเสียแล้วเพราะเป็นเวลาเกินร้อยปีมนุษย์ไปมาก”

    “ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี ใครบอกพระคุณเจ้าเล่าว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอยู่ หรือเทวดามีอายุและวันเวลายาวถึงปานนั้น ข้าพเจ้าจึงยังไม่เชื่อท่านกัสสปดอก”

    “ท่านเจ้าพระยา อาตมาจะอุปมาให้ฟัง คนที่ตาบอดมาแต่กำเนิดไม่เคยเห็นสีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง ไม่เคยเห็นดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ แล้วคนคนนั้นกล่าวว่า สีดำ สีขาว สีเขียว สีเหลือง สีแดง ไม่มี ดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ ไม่มี เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็นจึงว่าสิ่งนั้นไม่มี ดังนี้ คนคนนั้นเชื่อว่าพูดถูกหรือไม่ท่านพระยา”
    “ไม่ถูกดอกท่านกัสสป เพราะสิ่งเหล่านั้นมีอยู่และข้าพเจ้าก็เห็น ส่วนสวรรค์ไม่มีมนุษย์คนใดเคยเห็นเพราะไม่มีอยู่จึงไม่มีผู้ใดได้เห็น”
    พระยาปายาสิก็ย้อนตอบ

    “ท่านพระยา โลกอื่นหรือสวรรค์นรกไม่พึงเห็นได้ด้วยตาเนื้อนี้หรอก สมณพราหมณ์ที่อาศัยเสนาสนะป่าอันสงัดเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจมุ่งมั่นต่อพระนิพพาน ชำระจิตให้บริสุทธิ์จะพึงเกิดทิพยจักษุ คือตาทิพย์ ย่อมเห็นโลกอื่น สวรรค์ นรก สัตว์ผุดเกิดและวิบากกรรมได้ ผู้มีตาทิพย์จึงเห็นสิ่งเหล่านั้นอยู่ เหมือนคนตาดีเห็นสีดำแดง เหลือง พระจันทร์ พระอาทิตย์ จึงบอกว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง แต่คนตาบอดไม่เห็น เหมือนคนทั่วไปที่ไม่มีทิพยจักษุจะพึงกล่าวว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่หาถูกไม่”
    พระเถระ จึงชี้แจงเหตุผลให้ตระหนัก แต่พระยาก็ยังยืนยันไม่เชื่ออยู่ดี

    “ท่านกัสสป สมณพราหมณ์ก็เถอะ ข้าพเจ้าเคยเห็นสมณพราหมณ์ในโลกนี้มีศีลมีกัลยาณธรรม ก็ยังอยากเป็นไม่อยากตายอยู่ ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้นมีตาทิพย์ เห็นและรู้ว่าถ้าตายไปเสียจากโลกนี้แล้วจะไปบังเกิดในแดนสวรรค์อันบรมสุขกว่าเป็นไหนๆ ทำไมสมณพราหมณ์จึงไม่พากันรีบตายรีบฆ่าตัวตายให้เร็วๆ เพื่อจะได้ไปอยู่ในโลกที่มีความสุขประเสริฐยิ่ง แต่ที่จริงก็ยังไม่อยากตายด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เชื่อว่าสมณพราหมณ์มีทิพยจักษุเห็นว่าสวรรค์มีจริง”

    พระยาปายาสิยังยืนยันด้วยเหตุผลของตนต่อไป
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    “มิใช่เช่นนั้นหรอกท่านพระยา คนเขลาที่ไม่ฉลาดเท่านั้นที่จะชิงสุกก่อนห่าม การฆ่าตัวตายหรืออยากตายเร็วๆ เพื่อหวังจะไปบังเกิดในสวรรค์ สวรรค์จะไม่มีสำหรับคนเขลาเช่นนั้น เช่นเดียวกันที่ไม่มีผลไม้ใดจะสุกโดยธรรมชาติโดยไม่ห่ามเสียก่อน เหล่าสมณพราหมณ์ผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมทั้งหลายเป็นบัณฑิตย่อมรู้ธรรมชาติ ย่อมไม่เป็นผู้ชิงสุกก่อนห่าม แต่รอเวลาสุกเต็มที่ต่างหากจึงจะตายไปเองตามอายุขัย การที่สมณพราหมณ์ยังดำรงชีวิตอยู่ยิ่งนานเพียงใดก็ยิ่งเพิ่มพูนบุญมากขึ้นเพียงนั้นเพราะเป็นผู้ปฏิบัติตนเพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลกเกื้อกูลมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย การยังมีชีวิตอยู่ของสมณพราหมณ์มิใช่ยังอยากเป็น ไม่อยากตาย แต่อยู่เพื่อสร้างสมบุญดังได้กล่าว”

    “ท่านกัสสป คนเราเมื่อตายถ้ามีจิตวิญญาณที่จะออกจากร่างไปเกิดอีก ก็น่าจะเห็นจิตวิญญาณที่จะออก ข้าพเจ้าเคยสั่งเจ้าหน้าที่ลงโทษประหารชีวิตโจรให้เอาโจรที่ยังมีชีวิตอยู่ในหม้อปิดปากเอาหนังรัดแน่น เอาดินพอกให้หนาจนมิดชิดให้ยกหม้อขึ้นตั้งเตาไฟต้มจนเดือด เมื่อโจรในหม้อตายแล้วจึงกะเทาะเอาออกเพื่อจะดูจิตวิญญาณของโจรที่ออกมาจากร่างติดอยู่ในนั้นบ้าง ก็ไม่เห็นมีจิตวิญญาณออกมาจากตัวเลย จึงไม่น่าเชื่อว่าจะมีจิตวิญญาณเพื่อจะไปเกิดใหม่อีก”

    “ดูก่อนท่านพระยา ยามกลางวันที่มีผู้คนข้าทาสบริวารอยู่ใกล้ๆ กับท่านแล้วท่านนอนหลับเคยฝันไปเที่ยวในสวนที่รื่นรมย์ ในป่าที่ร่มรื่นในภูมิภาคที่สวยงามบ้างไหม”
    “รู้สึกว่าเคยมีเหมือนกันท่านกัสสป”
    “ตอนที่ท่านหลับและฝันนั้นพวกบ่าวไพร่ที่อยู่ใกล้ๆ ท่านเห็นจิตวิญญาณของท่านตอนที่กำลังออกเพื่อไปเที่ยวสวน ไปเที่ยวป่า หรือไปเที่ยวในภูมิภาคที่สวยงามเช่นนั้นบ้างไหม”
    “ไม่เคยเห็นดอก ไม่มีใครบอกว่าเคยเห็นจิตวิญญาณของเราออกไปเที่ยวในยามนั้น”

    “ก็เมื่อท่านพระยายังมีชีวิตเป็นๆ อยู่ เมื่อจิตออกจากร่างไปเที่ยวในฝัน ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดยังไม่เห็น ยิ่งเป็นจิตวิญญาณของคนตายด้วยแล้วท่านจะเห็นได้อย่างไร”
    “ถึงเช่นนั้นก็ดี ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อว่าโลกอื่นมีอยู่เหมือนเดิม”
    “ท่านพระยายังจะมีเหตุผลอย่างไรอีกหรือ”

    “มีสิท่านกัสสป ถ้าจิตวิญญาณมีอยู่ในคนเป็น เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณไม่มีอยู่ ทำไมคนเป็นจึงมีน้ำหนักเบากว่าคนตาย ข้าพเจ้าเคยให้เจ้าหน้าที่ประหารชีวิตโจร ก่อนจะประหารขณะที่โจรมีชีวิตอยู่ให้ชั่งน้ำหนักไว้ก่อนจดบันทึกไว้ เมื่อถูกประหารตายแล้วด้วยเอาสายธนูมารัดคอให้ขาดใจตายแล้วนำไปชั่งน้ำหนักใหม่ ปรากฏว่าน้ำหนักเมื่อโจรตายแล้วกลับมีน้ำหนักมากกว่าเมื่อตอนมีชีวิตเสียอีก ซึ่งเมื่อมีชีวิตมีจิตวิญญาณรวมอยู่ด้วยน่าจะหนักมากกว่า ครั้นตายแล้วจิตวิญญาณออกไปแล้วน่าจะเบาลง แต่นี่กลับตรงกันข้าม ข้าพเจ้าจึงไม่เชื่อว่ามีจิตวิญญาณดังท่านกัสสปกล่าวจริง”

    “ท่านพระยา อาตมาจะอุปมาเหมือนก้อนเหล็กร้อนที่เผาไฟจนโชติช่วง ขณะร้อนนั้นแท่งเหล็กมีทั้งเหล็กและไฟคือความร้อนอยู่รวมกัน ครั้นเมื่อปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นลงเหลือแต่เหล็กอย่างเดียวความร้อนไม่มีอยู่ด้วย อย่างไหนจะหนักเบากว่ากัน”

    “เหล็กเมื่อร้อนจะมีน้ำหนักเบากว่าเมื่อเย็นลงสิ ท่านกัสสป”
    “ก็เปรียบเหมือนคนเราเช่นนั้น เมื่อมีชีวิตอยู่มีไออุ่น มีวิญญาณ มีความอ่อนนุ่มและเบากว่าเมื่อตายแล้ว ย่อมจะแข็งกระด้างและหนักกว่า แท่งเหล็กที่มีความร้อนมีเตโชธาตุและวาโยธาตุอยู่ย่อมเบาและอ่อนฉันใด คนเราเมื่อมีชีวิตก็ย่อมมีเตโชธาตุ วาโยธาตุ ทำให้เบาและอ่อนฉันนั้นนั่นย่อมแสดงว่าจิตวิญญาณมีอยู่”

    จะยกเหตุผล จะอุปมาอุปมัย จะสาธยายสำแดงอรรถอย่างใดพระยาปายาสิก็อ้างยืนยันเสมอต้นเสมอปลายว่าไม่เชื่ออยู่เช่นนั้น อ้างว่าเชื่อตามความเห็นเดิม คือโลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี วิบากกรรมไม่มี

    “พระคุณเจ้า คราวหนึ่งมีนักโทษถูกลงโทษประหาร ข้าพเจ้าสั่งเจ้าหน้าที่ผู้ทำการประหารกระทำโดยมิให้ผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูกบอบช้ำ เมื่อนักโทษผู้นั้นเริ่มจะตายได้ให้เจ้าหน้าที่จับร่างนักโทษให้นอนหงายเพื่อจ้องดูจิตวิญญาณที่จะออกจากร่างทางใดก็ไม่เห็นออกมา ให้พลิกร่างนั้นคว่ำหน้าเพื่อจะเห็นออกทางด้านหลังก็ไม่มี พลิกด้านข้างซ้ายข้างขวาก็ไม่มี ดูจนรอบทุกส่วนทุกกระเบียดนิ้ว ว่าจิตวิญญาณจะออกมาทางไหนก็ไม่มีผู้ใดเห็นเลย จนกระทั่งนักโทษผู้นั้นตายสนิทแล้วก็ไม่เห็นมีจิตวิญญาณออกมาเลย แสดงว่าจิตวิญญาณไม่มีจริงที่จะล่องลอยออกไปผุดเกิดอีกดังที่ท่านกัสสปกล่าว”

    “ท่านพระยา เคยมีตัวอย่างชายผู้หนึ่งถือสังข์เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วเป่าสังข์ขึ้น 3 ครั้ง และวางสังข์ลงไว้กับพื้น ผู้คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงที่ไพเราะจับใจทั้ง 3 ครั้ง ต่างออกมามุงดูชายผู้นั้นที่นั่งอยู่กลางหมู่บ้านถามว่า
    พ่อมหาจำเริญ เมื่อกี้เสียงอะไรดังขึ้น ช่างไพเราะจับใจเสียเหลือเกิน เสียงนั้นมาจากไหนพ่อคุณ
    เสียงสังข์จ้ะ ชายหนุ่มตอบพลางชี้มือไปที่สังข์ซึ่งวางอยู่กับพื้นนั้น
    ผู้คนก็พากันมะรุมมะตุ้มเลียบเคียงอยู่กับสังข์ บางคนก็เอื้อมมือมาจับ มาหยิบ คว่ำบ้าง หงายบ้าง ตะแคงซ้าย ตะแคงขวา ยกขึ้นตั้ง เอาหัวทิ่มลง ดูรอบทุกส่วนของตัวสังข์
    พูดซิพ่อสังข์ ส่งเสียงออกมาซิพ่อสังข์ ทำเสียงให้ไพเราะเหมือนเมื่อกี้ซิพ่อสังข์
    ทุกคนเฝ้าดูเฝ้าฟังให้เสียงสังข์ดังขึ้นอีก จะขอร้องอ้อนวอนเท่าใดพ่อสังข์ก็ไม่ส่งเสียงให้ฟังสักที...
    นั่นแหละท่านพระยา ผู้คนเหล่านั้นพยายามค้นหาเสียงสังข์โดยไม่ถูกทาง ไม่ถูกวิธีแล้วจะพบได้อย่างไรกัน”

    “ข้าพเจ้าก็คิดว่าคงไม่ถูกวิธีดังที่ท่านกัสสปกล่าว อีกคราวหนึ่งข้าพเจ้าจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังจะประหารนักโทษประหารโดยการเฉือนเนื้อหนัง เฉือนเอ็น เฉือนกระดูก แม้กระทั่งเยื่อในกระดูกก็ผ่าออกมาดูให้ละเอียดถ้วนทั่วเพื่อจะค้นหาดูเจ้าตัวจิตวิญญาณของนักโทษผู้นั้นก่อนที่เขาจะตายสนิทก็ไม่พบอีกนั่นแหละ ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าจิตวิญญาณไม่มีออกจากร่าง”

    “ก็อีกนั่นแหละท่านพระยา เหมือนชฎิลกับเด็กน้อย ชฎิลผู้บูชาไฟเก็บเด็กน้อยที่คนเอามาทิ้งไว้ไปชุบเลี้ยง พอโตขึ้นประมาณ 10 ขวบ ชฎิลจะออกจากอาศรมเพื่อไปยังที่แห่งอื่น จึงสั่งเด็กให้คอยบำเรอไฟไว้อย่าให้ไฟดับนะลูก แต่ถ้าเกิดไฟดับขึ้นมาก็จงเอามีด เอาไม้ตัดมาติดไฟให้ลุกต่อไปและบำเรอไว้นะลูก
    เมื่อชฎิลออกไปแล้ว เด็กน้อยเล่นเพลินจนไฟดับและนึกขึ้นได้ว่าพ่อชฎิลได้สั่งไว้ถ้าไฟดับให้เอามีด เอาไม้ ตัดมาติดไฟให้ลุกขึ้นใหม่ เด็กน้อยจึงเอามีดตัดไม้ ถากไม้ ผ่าไม้เพื่อจะพบไฟให้ติดขึ้นมาใหม่ ไฟก็ไม่ติดจึงผ่าไม้ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยสับจนละเอียดและเอาใส่ครกตำไฟก็ไม่ติด ทำอย่างไรไฟก็ไม่ติด เมื่อชฎิลกลับมาเห็นไฟดับก็ถามเด็กน้อย เด็กน้อยเล่าให้ฟังว่าทำอย่างไรๆ สับก็แล้ว โขลกก็แล้วไฟก็ไม่เกิด ชฎิลจึงเห็นว่าเจ้าเด็กน้อยนี่ช่างเขลาเสียจริงจึงตัดเอาไม้สองอันมาสีกันจนไฟติดให้เด็กดูก็เท่านั้นท่านพระยา”

    พระกุมารกัสสป ยังได้กล่าวร้องขอความเมตตาต่อพระยาปายาสิ
    “ท่านพระยา โปรดละความเห็นชั่วนั้นเสียเถิด ขอความเห็นชั่วนั้นอย่าได้มีแก่ท่านพระยา เพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย”

    “ท่านกัสสปแสดงธรรม สาธยาย ร้องขอข้าพเจ้าเช่นนี้ก็ดี ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่อาจสละความเห็นชั่วนี้ได้ดอก เพราะทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศล ทั้งพระราชาอื่นๆ ทั่วไปได้รู้จักข้าพเจ้าในฐานะผู้มีความเห็นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี พระองค์รู้จักข้าพเจ้าในฐานะผู้มีความเชื่อมั่นในความเห็นเช่นนั้นถ้าข้าพเจ้าจะสละความเห็นอันมั่นคงของข้าพเจ้าเสียแล้ว พระราชาทั้งหลายจะตำหนิข้าพเจ้าได้ว่าเป็นผู้โลเล โง่เขลา ไม่ฉลาด งมงายอยู่ในความเห็นที่เพ้อเจ้อได้”

    “ท่านพระยา ท่านผู้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นหัวหน้าคนหมู่มาก ถ้าท่านยังเห็นผิดอยู่ไม่เฉพาะท่านแต่ผู้เดียวที่จะถึงความทุกข์ พวกผู้คนอันเป็นชาวประชาข้าบริวารของท่านที่เชื่อท่านจะพลอยพินาศย่อยยับไปด้วย ท่านจะเป็นผู้นำพวกเขาไปสู่ความทุกข์ในที่สุดเพราะทิฐิที่ชั่ว ท่านพระยาโปรดสละความเห็นชั่วนั้นเสียเถิด ขอความเห็นชั่วนั้นอย่าได้มีแก่ท่านพระยาเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนานเลย”

    พระยาปายาสิก็อ้างยืนยันเหมือนอย่างเดิมอยู่ต่อมาแม้พระเถระจะยกตัวอย่างอุปมาอุปมัยขึ้นให้ฟังให้เห็นอีกมากมายหลายเรื่องเพื่อโน้มจิตให้พระยามีความเห็นคล้อยตามในความเชื่อความเห็นที่เป็นกุศล เป็นสิ่งเกื้อกูลอนุเคราะห์โลก เป็นความสุขแห่งจิตอย่างแท้จริงดังกล่าว พระยาปายาสิก็อ้างยืนกระต่ายขาเดียวอยู่นั่นเอง จนกระทั่งตัวอย่างสุดท้ายที่พระกุมารกัสสปยกขึ้นมาอุปมาอุปมัยด้วยความเมตตา กรุณา อุเบกขา

    “อาตมาจะอุปมาให้ฟังต่อไปอีก ท่านพระยาคงยังไม่เบื่อที่จะฟังต่อไปเสียก่อนนะ”
    “ไม่หรอกพระคุณเจ้า ข้าพเจ้ายินดีที่จะฟังต่อไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
    พระยาปายาสิกล่าวตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ และเยือกเย็นเหมือนเคย

    “นี่เราก็เดินทางเข้ามาเพื่อแสวงหาสมบัติแห่งชีวิตในหลายเรื่อง หลายราว หลายตำแหน่ง แหล่งที่ หลายเวลาวาระ อาตมาจะอุปมาเรื่องราว ของสหายสองคนชวนกันเดินทางไปตามชนบทต่างๆ เพื่อแสวงหาสมบัติ เมื่อเริ่มต้นเดินทางเข้าไปถึงหมู่บ้านแรก ได้พบป่านเป็นอันมากที่ชาวบ้านเขาทิ้งแล้ว สหายทั้งสองก็เก็บป่านนั้นมัดเป็นห่อคนละห่อแบกเดินทางต่อไป เมื่อไปถึงหมู่บ้านที่สองพบด้ายป่านเป็นอันมากที่ชาวบ้านทิ้งแล้ว สหายคนที่หนึ่งก็บอกว่าเราพบด้ายป่านดีกว่าป่านจึงทิ้งห่อป่านเสียแล้วเก็บด้ายป่านรวบรวมเป็นห่อแบกต่อไป

    ส่วนสหายอีกคนหนึ่งบอกว่าเราแบกห่อป่านมาไกลแล้วทั้งมัดไว้อย่างดีแล้วด้วยจึงไม่ยอมทิ้งห่อป่านที่ได้แบกมาตั้งแต่ต้นและไม่ยอมรับเอาด้ายป่านเช่นสหายคนแรก ทั้งสองพากันเดินทางต่อไปถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง พบผ้าป่านเป็นอันมากที่ชาวบ้านเขาทิ้งแล้ว สหายคนแรกก็บอกว่าเราพบผ้าป่านซึ่งดีกว่าด้ายป่านเสียอีก เราจึงยอมทิ้งด้ายป่านเพื่อเอาผ้าป่านไปแทน ว่าแล้วก็มัดผ้าป่านขึ้นแบกแทน และทิ้งด้ายป่านไป ส่วนสหายอีกคนหนึ่งก็อ้างตามเดิมว่า ได้แบกห่อป่านมาไกลแล้วจึงไม่ยอมทิ้งห่อป่านนั้น และไม่ยอมรับเอาผ้าป่านเช่นเคย ทั้งสองก็พากันเดินทางต่อไปอีก

    ถึงอีกหมู่บ้านหนึ่งได้พบสิ่งของที่มีค่าและดีกว่าขึ้นเรื่อยๆ เช่นพบ โลหะ พบดีบุก พบเงิน จนในที่สุดก็พบทองคำ สหายคนแรกทิ้งสมบัติที่ได้มาแต่แรกเป็นลำดับ แบกสมบัติที่มีค่าแทนไปเรื่อยๆ แต่สหายอีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้งห่อป่านตั้งแต่แรกเลย และไม่ยอมรับเอาสมบัติใหม่ถึงจะมีค่าดีกว่าเพียงใดก็ตาม แม้กระทั่งเมื่อพบทองคำ สหายคนแรกจึงทิ้งถุงเงินเสียและเอาทองคำใส่ถุงแทนและแบกถุงทองคำกลับมาบ้าน ส่วนเพื่อนผู้เขลาเอาแต่แบกสมบัติบ้าคือห่อป่านห่อเดิมกลับมาบ้านโดยไม่ยอมรับเอาทองคำซึ่งได้พบที่หมู่บ้านแหล่งสุดท้ายนั้นและกลับมาถึงบ้านของตนพร้อมกัน

    เมื่อกลับมาถึงบ้านพบบิดามารดา ภริยา บุตร มิตรสหายก็พากันดีใจกับสหายคนแรกยิ่งนักที่ได้สมบัติมีค่าที่สุดกลับมาบ้าน อันตรงข้ามกับเพื่อนของเขาซึ่งได้สมบัติกลับมาเช่นกันแต่เป็นสมบัติบ้าเพราะความทิฐิโง่เขลาเบาปัญญาดังได้กล่าวมาโดยละเอียดแล้วท่านพระยา”

    พระยาปายาสิผู้ครองนครเสตัพยะและประชาชนชาวเมืองทั้งหลายซึ่งนั่งฟังอยู่อย่างเงียบกริบต่างยกมือขึ้นพนมพร้อมกันและพากันอนุโมทนาสาธุเห็นจริงเห็นจังเห็นด้วยกับพระกุมารกัสสป พระผู้มีเมตตา กรุณา อุเบกขาเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด เมื่อเห็นชาวเมืองเสตัพยะพร้อมทั้งพระยาผู้เป็นผู้นำน้อมจิตเช่นนั้นพระเถระก็เกิดความมุทิตาตามมาด้วยความปีติ

    พระยาปายาสิก้มลงกราบ 3 ครั้ง อย่างนอบน้อม
    “พระคุณเจ้า ท่านกุมารกัสสปเถระ ความจริงข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสศรัทธาตั้งแต่พระคุณท่านยกข้ออุปมาขึ้นมาแสดงตั้งแต่ข้อแรกแล้ว ที่ข้าพเจ้ายังยืนยันถือความคิดเห็นเช่นเดิมของข้าพเจ้าเรื่อยมานั้นก็เนื่องจากประสงค์จะพึงฟังปฏิภาณแห่งปัญญาอันวิจิตรของพระคุณท่าน ปัญหาปฏิภาณของพระคุณเจ้าช่างไพเราะจับใจจริงๆท่านกัสสป ประกาศธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก แจ่มแจ้งเหมือนหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด ชี้ทางแก่ผู้หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหมายใจจะให้ผู้มีจักษุมองเห็นรูปได้ชัดเจน ฉะนั้นท่านกัสสป ข้าพเจ้านี้ขอถึงท่านพระโคดมทั้งพระธรรมทั้งพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านกัสสปโปรดทรงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสก ถึงสรณะตลอดชีวิตนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

    แล้วท่านพระยาปายาสิก็ก้มลงกราบเบ็ญจางคประดิษฐ์อีก 3 ครั้ง น้อมมนสิการเข้าถึงสรณะในคติของพระพุทธศาสนานับแต่นั้นเป็นต้นมา
    วิลาสินีฟังธรรมกล่าวจบก็ยกมือขึ้นพนมจบที่หว่างหน้าผาก
    “สาธุ...พระคุณเจ้า”
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ท้าวโลกบาลตรวจโลก

    นับจากที่วิลาสินีได้สัมผัสกับประสบการณ์สวรรค์ดาวดึงส์ในความฝัน และปรากฏเป็นความจริงตามที่เทพบุตรในฝันบอกกล่าวเกี่ยวกับคุณลุงบุญล้อมและนายบุญมา ซึ่งธรรม เพื่อนหนุ่มของเธอเป็นญาติกันและรู้จักดี เธอมาคิดทบทวนปะติปะต่อความฝันกับความจริง เธอฝันในขณะที่กำลังปรารถนาจะสัมผัสสวรรค์เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตนที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ต่อไป แล้วเธอก็ได้สัมผัสจริงๆ โดยความฝันและก็มาตรงกับความจริง เทพบุตรบุญมาบอกว่าท่านท้าวสักกะให้ปรากฏสัมผัส

    แม้กระทั่งท่านกุมารกัสสป สาวกของพระโคดมพุทธเจ้าก็ยืนยันกับพระยาปายาสิอย่างมั่นคง ถึงโลกอื่นหมายถึงสวรรค์มีจริง
    ร้อยปีมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันคืนดาวดึงส์
    “ร้อยปีของโลกมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันกับหนึ่งคืนของแดนดาวดึงส์เท่านั้น”
    หญิงสาวรำพึงขึ้นมาเบาๆ กับตัวเอง
    “เราจะเริ่มที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นตัวอย่าง แต่ เอ...จะขึ้นต้นให้เห็นบรรยากาศสวรรค์ชั้นนั้นอย่างไรดี และที่มาของจอมเทพท้าวสักกะหรือพระอินทร์ ผู้ปกครองสวรรค์ในแดนนี้มีความเป็นมาอย่างไรกัน...”

    แค่หยิบปากกาจะเริ่มต้นอย่างจริงจังก็ต้องจิ้มแห้งอีกแล้ว เป็นการยากมากที่จะเขียนถึงสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นสิ่งไกลตัว สิ่งที่เอ่ยอ้างกันแต่เพียงในมโนภาพว่าสวรรค์ แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดวาดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเรื่องเป็นราวปะติดปะต่อได้ใจความมาก่อน
    “ก็คงจะไม่พ้น ธรรม บำรุงศีล เจ้าเก่าอีกนั่นแหละ”
    หญิงสาวจึงต้องนัดพบชายหนุ่มอีกตามเคย
    “ช่วยเริ่มต้นให้ทีเถอะ บรรยากาศของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และต้นตอที่มาของท้าวสักกเทวราช มีความเป็นมาอย่างไรหรือไม่ มิใช่อยู่ดีๆ สวรรค์ก็ลอยอยู่อย่างนั้น เทวดาก็ปรากฏอยู่อย่างนั้น วิมานสวรรค์ก็ปรากฏมีอยู่แล้ว ดูมันเลื่อนลอยไม่น่าเชื่อเสียจริงๆ”
    ธรรม มีความเต็มใจเพราะมีความปรารถนาอยู่บ้างแล้วที่จะเผยแพร่จิตสัมผัสของเขาออกมาเป็นตัวหนังสือบ้าง บางทีใครสักคนหนึ่งได้อ่านและเกิดโน้มจิตไปในทางสร้างสรรค์ก็จะเป็นกุศลไม่น้อยทีเดียว

    “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะบรรยายตั้งแต่เริ่มต้นไปเลย บรรยายไปเรื่อยๆ คุณบันทึกเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้วนำไปปรุงแต่งภาษาอักษรอีกทีหนึ่งก็แล้วกัน ผมเต็มใจจะช่วยคุณอย่างเต็มที่”
    หญิงสาวดีใจยิ่งนัก หยิบกระดาษร่างปึกโตขึ้นมาเตรียมร่างร่ายยาวดาวดึงส์สวรรค์จากชายหนุ่มที่เธอศรัทธามากที่สุด ธรรมนั่งหลับตาเบาๆ สบายๆ เข้าสู่สมาธิกลายๆ แล้วเริ่มบรรยายไปช้าๆ พอที่วิลาสินีจะจดทัน

    “ทิพยสถานแห่งนี้ลำแสงสุริยะทั้งหลายส่องสาดมาถึงเพียงปลายแสง ใช่ว่าจะอยู่ห่างไกลโดยระยะทางจนแสงส่องมาเกือบจะไม่ถึงเพียงเท่านั้นก็หามิใช่ แต่เป็นภพภูมิที่ละเอียดประณีต ลึกล้ำเข้ามาเหนือความหยาบแทบจะไม่มีละอองอณูใดๆ เป็นสื่อกลางรับสัมผัสลำแสงให้ปรากฏได้อีกด้วยต่างหาก ความสว่างเยือกเย็นปรากฏเพียงแดดอ่อนผีตากผ้าอ้อมใกล้อัสดงคต คล้ายเคียงดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนถิ่นขั้วโลก คลุกเคล้าด้วยรัศมีสีทองเปล่งปลั่ง และประกายแก้วรัตนะระยิบระยับแห่งภูมิภพแต่งแต้มอาณาเขตทิพยสถานดูวาววับเรืองรองอยู่ทั่วไป
    ที่นี่คือภพภูมิสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ละเอียดประณีตล้ำลึกขึ้นมายิ่งกว่ามหาราชิกาจตุราชเจ้าในแดนแรกมากนัก...”

    ธรรม บำรุงศีล บรรยายไปเรื่อยๆ ถึงที่มาของปราสาทไพชยันต์และเทพนครถึงท้าวสักกะและเทพบุตร 33 องค์ ถึงที่มาของต้นปาริชาติฉัตตกะ และแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เทวสภาสุธรรมา สระโบกขรณีนันทา และอุทยานสวนจิตลดาวัน เขาบรรยายเรื่อยมาถึงความเกี่ยวพันระหว่างเทพพรหมทั้งหลายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการประชุมใหญ่สภาสวรรค์ครั้งสำคัญเพื่อสรรหาเทพโพธิสัตว์ที่มีเทพสมบัติพร้อมที่จะอัญเชิญจุติเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ความเป็นมาของพระสมณโคดมที่บังเกิดขึ้นเพื่อตรัสรู้อมตธรรมเกื้อกูลโลกธาตุย่างเข้าสู่โลกภพปัจจุบันที่ชีวิตมนุษย์เปลี่ยนไปมิหยุดหย่อน แต่ท้าวสักกะจอมเทพองค์เดิมก็ยังสถิตอยู่ จิตสัมผัสของชายหนุ่มก้าวเข้าสู่กาลร่วมสมัยของตนเอง เขาได้ทิพยสักขีจากท้าวสักกะเกี่ยวกับเรื่องอานิสงส์ของการทำบุญใดที่จะนำสู่สวรรค์ดาวดึงส์ได้ แม้กระทั่งเมื่อมาพบหญิงสาววิลาสินีปรารถนาเริ่มต้นสร้างกุศลโดยจะเขียนบันทึกความเป็นไปได้ของสวรรค์เป็นวิทยานิพนธ์ในการศึกษาของเธอ

    จิตนิมิตในความฝันที่ธรรมบอกว่าเป็นสัญญาณจากเทพสักกะเทวราชปรากฎให้เธอเชื่อมั่นเพื่อจะเขียน แม้กระทั่งอุทาหรณ์อุปมาอุปไมยจากคัมภีร์พระไตรปิฎกของพระกุมารกัสสปที่แสดงแก่พระยาผู้มีทิฐิแรงกล้าจนเกิดศรัทธาในที่สุด

    ได้รายละเอียดมากมายมาถึงตอนนี้ วิลาสินีก็เชื่อมั่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ว่า เรื่องราวสวรรค์ช่างมีเยอะแยะเสียจริงๆ เธอคงเขียนได้เล่มใหญ่เป็นแน่ว่าที่จริงเป็นประสบการณ์สัมผัสของธรรมเพื่อนชายของเธอต่างหาก แม้เธอจะเป็นเพียงผู้จดบันทึกเธอก็ได้ชื่อว่ามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์หนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเท่านั้น
    “เมื่อเขียนจบแล้ววิควรจะแจ้งว่า ธรรม เป็นผู้ประพันธ์ และวิเป็นผู้จดบันทึกถึงจะถูกต้องนะนี่”
    หญิงสาวท้วงติงตัวเอง

    “คุณนั่นแหละเป็นผู้ประพันธ์ทั้งหมด ผมอนุญาต ว่าที่จริงเป็นความตั้งใจของผมอยู่ทีเดียวที่จะมีผู้ช่วยแพร่กระแสสัมผัสแลการค้นคว้าของผมให้เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาเพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติบ้าง แต่ไม่มีใครกล้าที่จะพิมพ์เรื่องราวของผมออกไป เจ้าของโรงพิมพ์สั่นหัว หนังสือพิมพ์ส่ายหน้า เขาบอกว่าเรื่องเช่นนี้มันฉีกแนวหนังสือของเขา ขืนพิมพ์ขายก็ไม่มีคนอ่าน หนังสือเขาก็จะเจ๊ง ในที่สุดมันก็จบลงตรงนั้นหลายครั้งหลายคราว เมื่อคุณดำริจะทำวิทยานิพนธ์เช่นนี้ขึ้นมามันจึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ความปรารถนาของผมจะเป็นจริงขึ้นได้บ้าง อย่างน้อยถ้าคุณทำเสร็จก็จะมีคณะอาจารย์ของคุณผู้ตรวจสอบเป็นผู้อ่านบ้างเป็นแน่ ผมจึงยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่คุณวิลาสินีจะช่วยนำไปเรียบเรียงให้เป็นเรื่องเป็นราวในลักษณะบทประพันธ์ของคุณอย่างเต็มตัว ซึ่งต่อไปนี้ถ้าคุณยังต้องการรายละเอียดต่อไปให้ตั้งหัวข้อถามมาเพื่อให้เรื่องสวรรค์แดนดาวดึงส์ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”

    เมื่อความปรารถนาของทั้งสองคนมาตรงกัน อีกคนหนึ่งเป็นผู้สัมผัส อีกคนหนึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดมาเป็นตัวอักษรกุศลกิจจากแดนดาวดึงส์ซึ่งยังมิเคยมีผู้ใดร่วมกิจกรรมแสดงให้ปรากฏแก่มนุษยโลกมาก่อนก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง วิลาสินีบันทึกไปสนุกไป และมีจินตนาการคล้อยตามที่จะเป็นผู้ผูกเชื่อมขั้นตอนตัดต่อและเรียบเรียงให้สละสลวยเน้นเหตุผลน้ำหนักความเป็นไปได้เพื่อสู่จุดหมายคือสัจธรรม จากเรื่องซึ่งเธอเองคิดว่าไม่น่าจะเขียนมาได้มากมายถึงเพียงนี้ก็เป็นไปได้แล้ว เธอทบทวนอ่านแล้วอ่านอีกเพื่อหาข้อตำหนิที่ผู้อ่านจะทักท้วงว่าไม่น่าเป็นไปได้ ไร้เหตุผลและเพ้อเจ้อเลื่อนลอยลมๆ แล้งๆ ซึ่งแน่นอนย่อมจะมีผู้มีความคิดเห็นเช่นนั้นเป็นแน่

    “แต่เบื้องแรกตัวเราเองก็ได้ประสบการณ์จนเชื่อว่าน่าเป็นความจริงมาบ้างแล้วจึงได้แรงบันดาลใจให้เขียนด้วยความศรัทธาและหวังว่าจะเป็นกุศล...และเพื่อดูไม่ให้เป็นข้อยืนยันมั่นคงเกินไปสำหรับสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังพิสูจน์ไม่ถึง เราจะใช้ชื่อข้อเขียนนี้เป็นประเภทนิยายเสีย เราจะตั้งชื่อว่าทิพยนิยายเพื่ออย่างน้อยคนอ่านก็จะไม่ถือสาจริงจังอะไรขึ้นมาเพราะถือเป็นนิยาย ถ้าผู้ใดถือเป็นความรอบรู้เสริมในเชิงธรรมะก็พอจะเป็นข้ออ้างอิงได้บ้างตามสมควรเพราะมีอยู่หลายตอนที่ธรรมอ้างว่าได้ขยายความออกมาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก”

    เธอทบทวนไปคิดคำนึงไป
    “ทิพยนิยาย...วิจะใช้ชื่อเป็นประเภทนิยายให้ชื่อว่าทิพยนิยาย”
    หญิงสาวออกความเห็นเชิงหารือเพื่อนชาย
    “ก็เหมาะสมดี อย่างน้อยก็ถือเป็นนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น”
    “ทิพยนิยาย...แดนดาวดึงส์”
    วิลาสินีจึงตั้งชื่อเรื่องหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ซึ่ง ธรรม บำรุงศีลเห็นพ้องด้วยเป็นเอกฉันท์
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    เทวสภาเพื่อมนุษยโลก

    แดนดาวดึงส์ยังจะต้องถูกสัมผัสเพื่อนำมาเขียนต่อไปให้สมบูรณ์ตามสมควร หญิงสาวจึงใคร่คำนึงว่าควรจะเขียนตอนต่อไปให้มีความสัมพันธ์ใกล้ตัวมนุษย์ปัจจุบันมากขึ้น
    “ที่แล้วมา ผู้อ่านคงจะเข้าใจดาวดึงส์มากพอสมควรถึงที่มาที่ไปของสวรรค์และเทพเทวดาจากอดีตถึงปัจจุบัน และต่อไปนี้วิอยากจะได้จดบันทึกสัมผัสจากสมาธิของคุณต่อไปว่าทุกวันนี้บนสวรรค์มีสิ่งใดเกี่ยวข้องอยู่กับมนุษย์บ้าง”

    ในวาระต่อมาในกาลอันสมควร ธรรม บำรุงศีล นั่งสมาธิในที่อันสงัด สำรวมจิตนับพันดวงในกายเนื้อรวมเข้าสู่ความเป็นหนึ่งแห่งจิตดวงเดียวอย่างมั่นแม่น ทรงเป็นดวงสมาธิสัณฐานเท่าลูกมะขามป้อม หยุดอยู่ที่ความสงบ เพ่งเข้าสู่ความละเอียดภายในด้วยกำลังฌานนิ่งสนิท ปรับแปรอย่างบรรจงให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กำหนดจุดละเอียดที่จิตเพ่งนั้นให้เล็กลง เล็กลงจนไม่มีละอองธุลีแห่งความละเอียดเหลืออยู่เลย

    ณ เบื้องหน้าในจิตสมาธิเป็นความว่างเปล่าโปร่งใส ความว่างเปล่าค่อยๆ ขยายขึ้นแผ่เป็นปริมณฑลรอบกาย รอบอาณาเขต ขยายกว้างออกเป็นมหาปริมณฑลครอบคลุมความหยาบกระด้างของโลกภพจนหมดสิ้น เป็นมิติโปร่งใส เบาบางไร้ขอบเขต อธิษฐานโน้มจิตสมาธิดวงเดียวสถิตที่ศูนย์กลางกระหม่อมเป็นฐานมั่นแล้วบรรจงเคลื่อนเข้าสู่รูปกายทิพย์อันซ้อนอยู่ในกายหยาบ ยกกายทิพย์ประกอบด้วยจิตสมาธิออกมาจากกายหยาบเสีย พร้อมกับนำสายใยแห่งผัสสะหรือโผฏฐัพพะ คือเครื่องรับความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ติดขึ้นมาด้วยเพื่อบันทึกจารึกจำหลักทิพยสถานแห่งนี้นำกลับลงไปเล่าขานสู่กันฟังต่อไป

    กายทิพย์ธรรมเข้าเฝ้าท้าวสักกะ ณ สุธรรมาสภา
    ขณะมีการประชุมเทวสภาทั้งสองสวรรค์ ท้าวสักกเทวราชทรงเป็นประธานในที่ประชุมมีเทพบุตรชั้นผู้ใหญ่ 33 องค์ เป็นเทวที่ปรึกษา ท้าวมหาราชทั้งสี่อันมี ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวกุเวรหรือเวสสวัณ เป็นเทพมนตรี เทพบุตรเทพธิดาผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมเป็นองค์ประชุมเป็นปกติ

    ธรรม บำรุงศีล กายทิพย์จากโลกมนุษย์เป็นอาคันตุกะผู้ได้รับเกียรติเข้าสัมผัสในเทวสภา
    “นี่เป็นเทวกิจโดยปกติ เป็นการประชุมเทวสภาในกิจของท้าวโลกบาลตรวจโลก”
    องค์เทพประธานตรัสแนะ อาคันตุกะผู้ประสงค์ทราบความเกี่ยวพันในปัจจุบันสมัยของเทพทั้งสองชั้นกับโลกมนุษย์

    “เทพบุตรทั้งสองชั้นมีหน้าที่ดูแลเกื้อกูลโลกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา เราท้าวสักกะได้บัญชาแก่ท้าวมหาราชทั้งสี่ เพื่อดำเนินการตรวจตราดูแลโลกมนุษย์ ในวัน 8 ค่ำ วัน 14 ค่ำ วัน 15 ค่ำ เป็นประจำ นัยว่าในวัน 8 ค่ำ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้บัญชาให้เทพบริวารออกตรวจโลกมนุษย์ให้ทำการจดชื่อและโคตรของมนุษย์ผู้ที่ทำบุญกุศลจารึกในแผ่นทองคำนำมาแสดงแก่เทวสภา วัน 14 ค่ำ ท้าวมหาราชบัญชาให้เทพบุตรซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ไปทำการนั้นแทนและวัน 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันพระใหญ่ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ลงมือตรวจตราด้วยพระองค์เองอยู่เช่นนี้เสมอมา”

    จอมเทพสักกะ ทรงประทับเหนือบัลลังก์ทองคำอันตระการตาภายใต้มหาเศวตฉัตรอันวิจิตรทอดทิพยเนตรแจ้งแก่ผู้มาเยือน พลางเอ่ยเอื้อนด้วยน้ำเสียงอันไพเราะต่อไป
    “คราวใดมีรายงานขึ้นมาว่าในหมู่มนุษย์คนที่เกื้อกูลมารดาบิดา บำรุงสมณพราหมณ์อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุลอธิษฐานอุโบสถ ถือปฏิชาครอุโบสถมีอยู่เป็นจำนวนมาก เทวสภาก็มีความชื่นชมยินดี แต่คราวใดมนุษย์ปฏิบัติเช่นนั้นมีน้อย เทวสภาก็ปริวิตกและเสียใจ...มีคราวหนึ่งซึ่งผ่านมาเมื่อชั่วครู่ในวันบนดาวดึงส์ ซึ่งเป็นยามเช้าของวันนี้นี่เอง แต่ก็เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วในโลกมนุษย์ เทวสภาก็เปิดประชุมเป็นปกติ

    ท้าวธตรฐก็รายงาน...ข้าแต่จอมเทพ เมื่อ 15 ค่ำ แห่งโลกมนุษย์คราวนี้ข้าพระองค์ได้ตรวจดูมนุษย์ในโลกภพเห็นผู้คนกำลังมัวเมาประมาท เห็นการอธิษฐานอุโบสถเป็นเรื่องขำขัน กล่าวถึงบุญถึงสวรรค์เป็นเรื่องเพ้อพก มนุษย์ส่วนใหญ่มีแนวโน้มไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษมากขึ้น เห็นเทพเทวดาเป็นตัวตลกล้อเลียน ข้าแต่จอมเทพมนุษย์กำลังพากันเดินไปสู่ความพินาศแห่งจิต เทวสภาจะช่วยเกื้อกูลอนุเคราะห์มนุษย์สถานใด”

    ธรรม เห็นเทวสภาทั้งสิ้นสลด เงียบกริบชั่วครู่หนึ่งแล้วเทพบุตรองค์หนึ่งปรากฏองค์ยืนขึ้นแสดงตน
    “ข้าแต่จอมเทพสักกเทวราชองค์ประธาน และจอมมหาราชธตรฐ เทพมนตรีผู้ห่วงใยโลกมนุษย์ ข้าพระองค์ก็มีความห่วงใยมนุษยชาติในข้อนี้อย่างมากมาย ในข้อที่มนุษย์เห็นการอธิษฐานอุโบสถเป็นเรื่องขำขัน กล่าวถึงบุญถึงสวรรค์เป็นเรื่องเพ้อพก เห็นเทพเทวดาเป็นตัวตลกล้อเลียนมนุษย์กำลังพากันเดินไปสู่ความพินาศแห่งจิตเพราะไม่เชื่อว่าบุญกุศลมีจริง สวรรค์มีจริง ข้าพระองค์ขอประทานเทวานุญาต ขอปวารณาที่จะจุติเพื่อเกื้อกูลมนุษย์ให้เกิดกุศลศรัทธาในสัจธรรมแห่งสวรรค์ให้ผ่อนคลายทิฐิแห่งจิตของเขาลงบ้างตามแต่เหตุการณ์และกุศลตามสมควร ข้าพระองค์ยินดีสละการเสวยสุขในดาวดึงส์ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ แม้จะต้องทนทุกข์ในกายหยาบแต่เพื่อเป็นการสร้างกุศลอันยิ่งขึ้นต่อไปจึงขอประทานเทวานุญาตต่อจอมเทพ”

    “เป็นกุศลกิจที่น่ายินดียิ่ง...เทพบุตร”
    ท้าวสักกะกล่าวนามของเทพบุตรองค์นั้น แต่ธรรมกลับมิได้ยินนามที่จอมเทพเรียกขานแต่ประการใด เทวราชได้ตรัสต่อไป
    “เราอนุญาตเพื่อกุศลของท่านเพื่อมนุษย์จะได้รับการอนุเคราะห์จิตให้เห็นทางสวรรค์มากขึ้น ท่านจงท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์เพื่อกิจดังประสงค์ และถ้าท่านไม่ประมาทจนติดอกุศลกรรมใหม่ ท่านจะกลับมาสถิตยังวิมานทองในแดนนี้เมื่อยามเย็นพอดี”

    เทพบุตรผู้ปรากฏนามแต่อาคันตุกะหาได้ยินไม่ อันตรธานจุติในโลกมนุษย์ทันทีนับแต่จอมเทพท้าวสักกะประทานอนุญาตในวาระไล่เลี่ยกัน เทพธิดาองค์หนึ่งก็ปรากฏองค์ขอประทานอาสาบ้าง
    “ข้าแต่จอมเทพ ข้าพระองค์เทพบริจาริกาขอปวารณาที่จะจุติลงไปเกื้อกูลมนุษย์ในกิจกุศลประการเดียวกันด้วยจึงขอประทานอนุญาต”
    “น่ายินดีอย่างยิ่ง เทพธิดาบริจาริกา ท่านจงประกอบกิจดังประสงค์เถิด และถ้าท่านไม่ประมาทจนติดอกุศลกรรมใหม่ท่านจะกลับมาสถิตยังวิมานทองในแดนนี้เมื่อเข้ายามเที่ยงวันเท่านั้น”
    เทพธิดาบริจาริกาของเทพองค์แรกก็อันตรธานจุติตามไป
    เทพบุตรอีกองค์หนึ่งปรากฏปวารณาองค์ในกิจเดียวกัน

    “...ข้าพระองค์ได้ตรวจกระแสแล้ว เห็นว่ากุศลกิจของเทพทั้งสองจะยังไม่สัมฤทธิ์ผลสมบูรณ์เพราะกาลเวลาเพียงยามเที่ยงและยามเย็นที่เทพทั้งสองพึงมี เพื่อช่วยเสริมกุศลกิจดังกล่าวให้เกื้อกูลมนุษย์ได้เห็นผลมากขึ้น ข้าพระองค์จึงขอประทานกาลเวลาประกอบกุศลกิจมากกว่านั้นพระเจ้าข้า”

    “กุมุทเทพบุตร กุศลกิจตามประสงค์ของท่านเป็นสิ่งน่าสรรเสริญเราอนุญาตท่านตามขอ ถ้าท่านไม่ประมาทท่านจะมีเวลาท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์เพื่อประกอบกิจจนถึงเวลาค่อนรุ่ง ท่านจะกลับมาสถิตในวิมานทองอันวิจิตรในวาระนั้น” เทพบุตรผู้มีนามว่ากุมุทก็อันตรธานไปจุติทันที

    “ดูก่อนอาคันตุกะ นี่เป็นเพียงตัวอย่างของเทพกลุ่มหนึ่งที่อาสาปวารณาองค์ลงไปเกื้อกูลมนุษย์ยามเมื่อเกิดความประมาทมาก เทพทั้งสามร่วมกันประกอบกุศลกิจอันใด กิจอันนั้นจะพึงเกิดขึ้นด้วยปฏิภาณร่วมกันเองเมื่อถึงวาระในโลกภพ กิจที่จะเกิดจะเป็นไปตามข้ออธิษฐานปวารณาที่ตั้งไว้สำหรับเทพทั้งสามนั้นได้ปวารณาว่าจะช่วยแก้ไขผ่อนคลายทิฐิมนุษย์ที่กำลังมีแนวโน้มเห็นเรื่องบุญเรื่องสวรรค์เป็นเรื่องเพ้อพกตามที่ท้าวธตรฐได้แจ้งรายงานคราวนั้น”

    ท้าวสักกะกรุณาตรัสกถาธิบายให้ธรรมเห็นชัดขึ้นในกิจที่เทพเกื้อกูลมนุษย์อยู่
    บัดนี้ภาวะของการประชุมตามปกติของเทวสภาสุธรรมาก็อันตรธานไป ธรรมกายทิพย์ลอยเลื่อนไปตามแมกเมฆอันอ่อนนุ่มลอยไปอยู่เบื้องหน้าวิมานทองคำวิจิตรสวยงามมาก อลังการด้วยเพชรนิลจินดาประดับประดา วิมานนั้นอยู่บนเนินไศลเด่นสง่าแต่ว่างเปล่าองค์เทพสถิต ธรรมสัมผัสอยู่นาน รู้สึกมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าอยากจะเข้าไปในวิมานนั้นแต่ได้ยินเสียงท้าวสักกะดังแว่วขึ้นโดยมิได้สัมผัสองค์เทพ

    “นั่นเป็นวิมานทองคำของเทพบุตรและเทพธิดาบริจาริกาสององค์แรกที่อธิษฐานปวารณาองค์ลงไปคลายจิตทิฐิของมนุษยชาติที่ห่างไกลบุญไกลสวรรค์ ยังไม่ถึงเวลาที่เทพผู้เป็นเจ้าของจะกลับมา”
    ธรรม จึงชะงักจิตอยู่เพียงเท่านั้นเหมือนเป็นการเตือนจากเสียงแว่วของจอมเทพที่ตรัสเตือนว่านั่นเป็นวิมานมีเจ้าของ เจ้าของเขายังไม่ถึงเวลากลับมาสถิต อย่ากล้ำกรายเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาจึงรู้สึกละอายใจที่จิตปรารถนาจะรุกล้ำเมื่อกี้

    กายทิพย์เลื่อนลอยไปเรื่อยๆ จนมาถึงสระโบกขรณีใหญ่ มีบัวสายดอกสีขาวเป็นประกายเพชรน้ำดียอดกลอกกลิ้งล้อเล่นแสงสีโกเมนอ่อนอยู่ทั่วทั้งสระ ตรงกลางสระอันรื่นรมย์มีวิมานทองคำประดับรัตนะหลากหลายเช่นกัน วิจิตรและตระการตายิ่งนัก เงียบสงบตระหง่านอยู่กลางธารทิพย์แสนเย็นสดชื่น วิมานอันงดงามว่างเปล่าผู้สถิตเช่นกันจึงดูเงียบเชียบและสงัด
    “กุมุทเทพบุตรเป็นเจ้าของวิมานนี้”

    แว่วเสียงท้าวสักกะตรัสแจ้ง ธรรมจึงนึกถึงเทพบุตรองค์ที่สามที่ร่วมลงไปประกอบกุศลกิจและจะมีเวลาอยู่ในโลกมนุษย์จนถึงค่อนรุ่งบนดาวดึงส์ แสดงว่ากุมุทเทพบุตรจะเป็นมนุษย์มีอายุยืนเพราะจุติเมื่อยามเช้าและจะกลับมาบังเกิดเมื่อค่อนรุ่ง เท่ากับหนึ่งวันค่อน
    “ข้าแด่จอมเทพ ข้าพเจ้าพึงจะสัมผัสเทพทั้งสามดังกล่าวในโลกภพได้เพียงใดหรือไม่”
    กายทิพย์รำพึงถามเสียงของพระองค์
    “ท่านกำลังอยู่ในภูมิภาคเดียวกันแล้ว พึงพิจารณาสัมผัสด้วยปฏิภาณในกายหยาบด้วยกันเองเถิด”
     
  19. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    เทพอาสาอยู่หนใด

    ธรรม บำรุงศีล กลับเข้าสู่ร่างเดิมในคืนอันสงัด
    “เทพบุตรผู้ไม่ได้ยินนาม เทพธิดาบริจาริกา และกุมุทเทพบุตร”
    เขาบันทึกกระแสสมาธิไว้ในความทรงจำอย่างมั่นคงเพื่อจะแสวงหาบุคคลเหล่านั้น บางทีถ้าพบก็น่าจะเป็นประโยชน์ในข้อเขียนของวิลาสินียิ่งขึ้นไป
    เมื่อถ่ายทอดกระแสสมาธิเกี่ยวกับภารกิจของเทพอันมีต่อโลกมนุษย์ดังได้สัมผัสมาให้หญิงสาวจดบันทึกไว้โดยละเอียดแล้ว ทั้งสองก็ปรึกษากันที่จะแสวงหาเทพทั้งสามในสังขารมนุษย์ตามที่ท้าวสักกะตรัสเป็นนัยว่า
    “พึงพิจารณาสัมผัสด้วยปฏิภาณในกายหยาบด้วยกันเองเถิด”
    ชายหนุ่มครุ่นคิดตีความ แต่รู้สึกงงๆ หญิงสาวก็มีความสงสัยด้วยพิจารณาความหมายไม่ออก ได้แต่อธิษฐานภาวนา ขอให้พบเทพทั้งสามนั้นด้วยเถิด เพราะจะเป็นสักขีพยานอันเกิดแก่ตนคือผู้สัมผัสและผู้เขียนให้เห็นจริงเห็นจังขึ้นมาได้อีกประสบการณ์หนึ่ง
    แต่ก็ไม่มีวี่แววอย่างใดที่ทั้งสองจะสมความปรารถนาดังอธิษฐานนั้น

    จากเทพกิจเทวดาตรวจโลกมนุษย์และตัวอย่างเทพกลุ่มหนึ่งที่สละการเสวยสุขบนดาวดึงส์จุติลงมาเกื้อกูลมนุษยชาติตามที่ธรรมได้สัมผัสและถ่ายทอดให้เธอบันทึก วิลาสินีก็ขยายความในวิสัยแห่งเทพได้มากขึ้นในข้อเขียนของเธอ

    “ในหมู่มวลมนุษยชาติย่อมมีเทพเบื้องสวรรค์ผู้ปรารถนาเกื้อกูลอนุเคราะห์ชาวมนุษย์และเพื่อเป็นการเสริมสร้างกุศลกรรมเพิ่มบุญบารมีขององค์เทพยิ่งๆ ขึ้นไป มาปฏิสนธิในสังขารกายหยาบอยู่ในวิสัยมนุษย์ปะปนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย บุคคลเหล่านั้นแม้จะไม่สามารถรำลึกได้ว่าตนมาจากเบื้องสูง แต่นิสัยความประพฤติโดยธรรมชาติเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อคนทั่วไปเป็นเนืองนิตย์ นั่นย่อมแสดงถึงมีวิสัยแห่งเทพเทวดาดั้งเดิมปรากฏอยู่ ผู้ใดเป็นผู้ทำดีโดยมิเสแสร้ง ทำดีด้วยความจริงใจ มีเมตตา กรุณา เป็นบุคลิกประจำกายมีแต่ความเสียสละส่วนตนเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง พึงรู้จักตนเองเบื้องแรกเถิดว่าท่านเคยอธิษฐานลงมาที่จะช่วยเหลือมนุษยโลกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การสร้างสรรค์กิจใดของท่านที่กำลังดำเนินอยู่เพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น นั่นเป็นกิจที่ท่านปวารณาตนที่จะทำเอาไว้แต่เบื้องบน ท่านจงปฏิบัติกุศลกิจดังกล่าวต่อไปด้วยความมั่นคงเถิด ท่านได้กระทำถูกทางแล้ว เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์แล้ว เหลือเวลาอีกน้อยนิดบนสวรรค์ ท่านก็จะต้องกลับไปตามกำหนด ซึ่งมนุษย์เราในกาลนี้มีอายุอยู่ได้ไม่มากกว่าช่วงวันหนึ่งกับคืนหนึ่งบนดาวดึงส์ การใดที่บริสุทธิ์และรำลึกได้ด้วยตัวเองว่าเป็นกุศลกรรมพึงรีบทำเข้าเถิดอย่ารีรอต่อไปเลย...”

    เธอขยายข้อความนี้ขึ้นเพราะปัจจุบันเธอมักจะเห็นผู้บริสุทธิ์ที่ทำความดีด้วยความจริงใจ มีเป็นจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกย่อท้อ เหนื่อยหน่าย และถดถอยที่จะทำดีต่อไป เนื่องจากถูกสังคมที่กำลังประมาทไม่ยอมรับ

    “เทพทั้งสามองค์ กำลังปฏิบัติกิจอันใดอยู่หนอ เราอยากจะพบเพื่ออย่างน้อยน่าจะเป็นละครตัวเอกในเรื่องที่เรากำลังเขียนอยู่นี้ได้”
    วกไปวนมา หญิงสาวก็คำนึงถึงเทพทั้งสามตามที่ได้ปรารถนาพบอีก
    แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้พบแม้กระทั่งในความฝันของเธอ
    “ธรรม บำรุงศีล จึงยังเป็นพระเอกแต่เพียงผู้เดียวที่ยังหาคู่แข่งมิได้ต่อไป”

    วิลาสินีเมื่อถึงทางตันหยิบปากกาขึ้นมาจิ้มแห้งอีก จึงต้องติดต่อนัดหมายกับเทพบุตรเดินดิน เช่น ธรรม มนุษย์ธรรมดาเพื่อจะให้ข้อเขียนของเธอจบลงได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในไม่ช้า

    “เป็นไปได้หรือไม่ ในเมื่อเรายังไม่มีโอกาสได้พบเทพทั้งสามองค์ กลุ่มที่ท้าวสักกะได้ปรากฏนิมิตเป็นตัวอย่างให้คุณสัมผัส แต่ท่านได้ตรัสในทำนองมีเทพกลุ่มอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่อาสาปวารณาจุติลงมาเกื้อกูลมนุษย์และสร้างบารมี น่าจะมีเทพองค์ในสังขารมนุษย์ที่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นสักขีในบทประพันธ์ต่อไปตามควร วิหวังว่าข้อเขียนดังกล่าวคงจะไม่จบลงด้วนๆ เพราะเขียนต่อไปไม่ออกเช่นนี้นะเจ้าคะ”

    ชายหนุ่มรู้สึกลังเลเล็กน้อยในยามนี้จิตของเขามีความรู้สึกคลอนแคลนลงไปพอสมควรเพราะจิตสมาธิที่ผ่านมาทุกครั้งเมื่อเขาสัมผัสเทพองค์ใดเบื้องบนสวรรค์แล้วเขาจะต้องลงมาพบเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ตรงกันในโลกภพ แต่คราวนี้ในขณะที่เขาต้องการพบเทพที่เบื้องบนได้กล่าวถึงและยืนยันว่ากำลังอยู่ในภูมิภาคเดียวกันในยามนี้ แต่เขาก็มิได้พบบุคคลใดอันจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงจนน่าจะศรัทธาได้ว่าเป็นเทพทั้งสามองค์นั้นแต่ประการใดเลย

    “หรือจิตสมาธิของเราจะตกลง” เขาครุ่นคิด
    “จิตสมาธิอันตกลงเสียแล้ว กระแสสัมผัสที่ปรากฏก็เท่ากับการเพ้อเจ้อเพ้อพกนั่นเอง” เขาคิดต่อไป
    “การที่จะถ่ายทอดความเพ้อฝันโดยตนเองไม่มั่นใจว่าน่าจะเป็นสัจธรรม การนั้นเหมือนเป็นการหลอกลวงผู้รับให้หลงใหลฟั่นเฟือนไปด้วย”
    ธรรม บำรุงศีล ยังคงนั่งนิ่งไม่กล้ารับปากเพื่อนหญิงตามที่เธอกำลังร้องขอขึ้นมา
    หญิงสาวจ้องมองอยู่บนใบหน้าของเขา
    “ดูคุณไม่ค่อยสบาย รู้สึกใบหน้าหม่นหมองลงไป”
    “มันเป็นเพียงความไม่สบายใจที่เกรงว่าถ้าเรื่องราวที่จิตผมได้สัมผัสมามันเป็นความเพ้อพกของผมที่จินตนาการขึ้นเองก็จะไม่ใช่สัจธรรม มันจะกลายเป็นความเพ้อเจ้อเหลวไหล”
    “ทำไมคุณธรรมจึงรู้สึกเช่นนั้นเล่าคะ”
    “ผมเกิดความลังเลและสับสนอยู่กับเทพสามองค์ที่ท้าวสักกะปรากฏนิมิตให้สัมผัสเมื่อคราวที่แล้วท่านรับรองเช่นนั้น แต่หามีตัวตนปรากฏให้เราพบในโลกมนุษย์นี้ไม่”
    “ยังไม่ถึงเวลาก็ได้กระมังคะ คุณอย่าเพิ่งท้อแท้และลังเลเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยนั้นเลย”
    “เล็กน้อยหรือ ผมคิดว่าถ้าจิตสัมผัสของผมไม่ตรงต่อความเป็นจริง มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะคุณวิลาสินี...ความเพ้อฝันที่ลมๆ แล้งๆ ถ้านำมาเล่าให้คนฟังเพ้อพกตามไปด้วย อย่างน้อยทั้งคุณและผมจะกลายเป็นคนสติเฟื่องเป็นอกุศล”
    ชายหนุ่มทักท้วง แม้จะมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บ้างแต่ก็มันแฝงอยู่ด้วยความกังวล หญิงสาวเข้าใจความรู้สึกของเขาและเห็นใจในความกังวลอันเกิดจากความรู้สึกผิดชอบ
    “คงไม่เป็นไรมากหรอก เพราะเรากำลังเขียนนิยาย เรามิได้เขียนสารคดีอ้างอิง”
    เธอพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกให้เพื่อนชายสบายใจขึ้นบ้าง
    “แต่คุณกำลังเขียนวิทยานิพนธ์”
    “แต่ก็เป็นวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ”
    “คุณมิต้องอ้างข้อมูลบ้างหรือเพื่อการวิจัยค้นคว้าได้”
    “สวรรค์แดนดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราชนั่นแหละข้อมูล ถ้าใครจะค้นคว้าหาความจริงก็ต้องมาศึกษาการปฏิบัติสมาธิจากคุณก็ย่อมจะวิจัยได้”
    “คุณมั่นใจหรือว่าข้อเขียนเช่นนี้ของคุณจะผ่าน”
    “ข้อนั้นวิไม่กังวล กังวลอยู่แต่ว่าจะเขียนให้จบลงเอยโดยสมบูรณ์ได้อย่างไรเท่านั้น”
    หญิงสาวยืนยันและมั่นใจในความถูกต้องในสิ่งที่กำลังกระทำอยู่
    ธรรมถอนหายใจยาวและมีความรู้สึกดีขึ้น
    “ผมจะลองพยายามต่อไป คุณวิมีหัวข้ออย่างไรในตอนต่อไปที่จะให้ผมสัมผัส”
    วิลาสินียิ้มออกมาได้
    “ขอบคุณสวรรค์...ว่าที่จริงน่าจะขอบคุณธรรมาเทพบุตรมากกว่า”
    เธอกล่าวทีเล่นทีจริงเพื่อต้องการให้ผ่อนคลายความเครียด

    “ธรรมาเทพบุตร...”
    ชายหนุ่มทบทวนคำของเธออยู่ในส่วนลึกของความรู้สึกแต่ก็มิได้กล่าวอะไรออกมา
    “เพื่อจะให้ได้เรื่องราวสัมพันธ์กันกับคราวที่แล้ว ที่เทพเทวดามีหน้าที่คอยตรวจตราดูแลโลกมนุษย์อยู่ และคอยเกื้อกูลอนุเคราะห์ดังกล่าว วิอยากจะหาที่มาหรือกฎเกณฑ์ความเป็นมาว่าทำไมเทพในดาวดึงส์และจาตุมหาราชิกา จึงต้องมีภาระหน้าที่เป็นปกติในลักษณะเช่นนั้น”
     
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,519
    ค่าพลัง:
    +18,702
    ดาวดึงส์คุ้มครองโลก

    ในวาระอันควรของคืนที่สงัด ธรรม ในรูปกายทิพย์จึงอธิษฐานเข้าเฝ้าท้าวสักกะอีกครั้งหนึ่ง จอมเทพสัมผัสด้วยรอยยิ้มอยู่ในที
    “เจริญกุศล อาคันตุกะธรรมา...”
    พระองค์ทรงทักทายขึ้นก่อน
    “จงพิจารณาเราก่อนอื่นสิว่า เราคือท้าวสักกะองค์เดิมหรือเปล่า”
    ธรรมกายทิพย์รู้สึกพิศวงเล็กน้อยที่จอมเทพทรงเตือนเช่นนั้นซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
    “ข้าแด่จอมเทพ ท่านก็คือท้าวสักกเทวราชผู้อดีตชาติคือมาฆมาณพแน่นอนพระเจ้าข้า”

    “ถ้าเช่นนั้นจงมั่นใจเถิดว่าจิตสมาธิของท่านยังไม่ตก ท่านจงเลิกวิตกข้อนั้นเสีย ในกาลนี้ ท่านสัมผัสเราเพื่อต้องการทราบในสองประการโดยที่ท่านยังไม่ต้องแจ้งถามในประการแรกเราขออุเบกขาเสียในคำถามที่ท่านจะถามเกี่ยวกับเทพสามองค์ที่ท่านอ้างว่ายังไม่ได้พบในโลกมนุษย์ ส่วนประการที่สองที่ประสงค์จะทราบว่าทำไมเทพบนสวรรค์ทั้งสองสวรรค์จึงมีภาระหน้าที่คอยตรวจตราดูแลและเกื้อกูลมนุษย์...

    ปรากฏการณ์ของธรรมชาติมีภาวะอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่เรียกว่าโลกธาตุซึ่งมีอยู่มากมายมากกว่าหมื่นโลกธาตุเป็นที่อยู่ของพรหม เทพเทวดา มนุษย์ ดิรัจฉาน อสุรกาย เปรต และสัตว์นรก โลกธาตุของพรหมและเทพซึ่งมนุษย์เรียกว่าสวรรค์ โลกธาตุของมนุษย์และดิรัจฉานคือแผ่นดินหรือโลกภพ โลกธาตุของอสุรกาย เปรต สัตว์นรก เรียกว่าอบายภูมิ

    พรหมและเทพ เป็นผู้มีความสุขอันแท้จริงยิ่งกว่าพวกอื่นๆ
    พรหมและเทพชั้นที่ละเอียดประณีตกว่าดาวดึงส์ขึ้นไปมีจิตถืออุเบกขามั่นคง เป็นผู้ห่างไกลมนุษย์ตามสมควร ส่วนเทพดาวดึงส์และมหาราชิกามีความผูกพันใกล้ชิดโลกมนุษย์มากกว่า เป็นธรรมดาของธรรมชาติผู้ที่มีจิตฝ่ายกุศลมักจะสงสารและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ที่ด้อยกว่าตน เทพเห็นว่ามนุษย์เป็นผู้มีความทุกข์มากมาย ประมาท โลภหลง มัวเมา น่าเป็นห่วงและสงสารทุกยุคทุกสมัยเสมอมา หน้าที่เทพเทวดาจะช่วยกันอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มนุษย์หลุดพ้นความทุกข์ยาก เพื่อจะได้พบความสุขที่แท้จริงขึ้นมาได้บ้าง จึงคอยสอดส่องดูแล และให้ความเกื้อกูลตามควรแก่กุศล ถือเป็นภาระหน้าที่โดยธรรมชาติที่เป็นมาเช่นนั้น

    การช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อให้มนุษย์มีโอกาสพบความสุขขึ้นเพื่อความสุขของมนุษยชาติเอง แล้วเทพผู้อนุเคราะห์ก็จะได้รับความสุขโดยผลแห่งกุศลมากขึ้นไปอีกส่วนหนึ่งด้วย มนุษย์ในโลกภพปรารถนาสมบัติอันเป็นทรัพย์สินเงินทองมากฉันใด เทพบนสวรรค์ก็ปรารถนาสมบัติอันเป็นกุศลมากฉันนั้น ธรรมฝ่ายกุศลนี่เองเป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์โดยอัตโนมัติให้เทพเทวดามีภาระหน้าที่เช่นนั้น เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เช่น คำอุปมาของมนุษย์ คือการอนุเคราะห์เกื้อกูลโลกภพ นอกจากมนุษย์ในโลกที่รู้ได้เห็นได้จะได้รับประโยชน์แล้วเทพผู้อนุเคราะห์ก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วย นั่นคือที่มาของภารกิจอันนี้ของเทพเทวดา

    ยกตัวอย่างก็เปรียบเสมือนคนในโลกนั่นแหละ บางพวกที่อยู่ดีกินดีกว่าพวกอื่นๆ ซึ่งยากจนไม่ค่อยมีจะกิน ถ้าพวกอยู่ดีกินดีเป็นผู้มีจิตเป็นกุศล ก็จะมีความรู้สึกนึกคิดที่จะแบ่งปันให้ผู้ที่อดอยากได้กินดีอยู่ดีบ้าง เป็นจิตสำนึกฝ่ายกุศลที่เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติไม่มีผู้ใดสั่งการ ไม่มีผู้ใดตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมา เมื่อช่วยอนุเคราะห์เกื้อกูลคนยากให้ดีขึ้นมาได้ก็เกิดความยินดี นั่นเป็นความสุขเป็นกุศล ตัวกุศลนั่นแหละเป็นผู้สร้างจิตสำนึกแล้วจิตสำนึกก็เป็นผู้สร้างกุศลวนเวียนพอกพูนขึ้นไป ฉะนั้นผู้ใดมีจิตสำนึกผู้นั้นมีกุศล ผู้ใดมีกุศลผู้นั้นมีจิตสำนึก กุศลและความสุขเป็นของคู่กัน กุศลและสวรรค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งเหล่านี้มีอยู่ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีจิตสำนึกอันเกิดจากกุศล

    วิสัยของเทพเทวดาเป็นผู้ที่ละอายและเกรงกลัวต่อบาป การใดที่เทวดาเห็นเป็นบาปเทพจะไม่แตะต้องเข้าใกล้ ภารกิจของเทวดาก็มีอยู่ในประการสำคัญเพียงประการเดียวคือ การเสวยสุขที่มีอยู่แล้วและสร้างสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้นไป จะเห็นว่าอายุของเทพยืนยาวกว่ามนุษย์มากมายนัก กาลเวลาอันยาวนานเช่นนั้นเทพทำอะไรกัน ถ้าไม่เพียงแต่เสวยสุขอยู่บนทิพยสถานก็ต้องแสวงหากุศลบารมียิ่งๆ ขึ้นไป บนสวรรค์ไม่มีผู้ทุกข์ยากที่เทพจะอนุเคราะห์เกื้อกูลได้เหมือนโลกภพ ไม่มีวัดที่จะไปทำบุญได้ทุกวัน ไม่มีสมณะที่โปรดสัตว์ทุกเช้าค่ำ

    ฉะนั้นการสร้างสมบารมีอันเป็นกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปบนสวรรค์จึงทำยาก มีแต่จะกินบุญเก่าหมดไปๆ เทพผู้ไม่ประมาท เทพผู้รำลึกถึงกาลไกลจึงพากันอาสาเสียสละความสุขที่น่ารื่นรมย์ลงไปอนุเคราะห์เกื้อกูลมนุษย์อันเป็นสถานที่ชุมทางแหล่งใหญ่ซึ่งจะตักตวงบุญกุศลได้ตามความประสงค์ จะเห็นว่าเมืองมนุษย์นี่เป็นเวทีทองของเทวดาเสียจริงๆ น่าเสียดายที่มนุษย์ด้วยกันเองกลับมองไม่เห็นแหล่งตักตวงผลประโยชน์อันสำคัญนี้ดังที่ได้วิสัชนามาตามสมควร อาคันตุกะผู้ถึงบุญคงจะเข้าใจชัดแจ้งแล้ว”

    จอมเทพตรัสอธิบายด้วยความยินดีแล้วรู้สึกปีติที่ได้มีโอกาสจะถ่ายทอดทิพยกระแสลงมาสู่มนุษย์โดยตรงโดยผ่านมนุษย์ด้วยกันเองได้บ้าง

    “เป็นมหากรุณาอย่างล้นพ้น ขอจอมเทพจงถึงกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด ข้าแด่เทวะ เมื่อพระองค์ทรงกล่าวว่าน่าเสียดายที่มนุษย์กลับมองไม่เห็นแหล่งตักตวงผลประโยชน์อันสำคัญ ผลประโยชน์ที่พระองค์ตรัสถึงคือบุญกุศล อันเป็นสวรรค์สมบัติ แต่มีมนุษย์ในยุคนี้เป็นจำนวนมากที่ละประโยชน์อันนี้เสีย กลับตักตวงผลประโยชน์อันเป็นโลกิยสมบัติร่ำรวยมหาศาลทันตาเห็น แม้จะได้มาด้วยการสร้างบาปก็ตาม ที่เขาประสบผลสำเร็จเช่นนั้นเป็นเพราะบุญเก่าของเขาหรือจอมเทพ”
    ธรรม ถือโอกาสปุจฉาต่อ

    “มิใช่เช่นนั้น บุญเก่าถ้าจะตามมาเสริมให้คนร่ำรวย จะต้องเป็นการร่ำรวยสมหวังในสิ่งที่ถูกที่ชอบ แต่ถ้าร่ำรวยด้วยการสร้างบาปไม่ใช่เพราะบุญเก่าแน่ นั่นเป็นการสร้างอกุศลกรรมขึ้นมาใหม่ต่างหาก”
    “ข้าแด่เทวะ ผู้สร้างอกุศลกรรมเพื่อหวังความร่ำรวยหวังลาภยศแล้วสมหวังง่ายๆ ซึ่งมีอยู่ดาษดื่นในเมืองมนุษย์วันนี้ที่เขาประสบผลทันตาเห็นเช่นนั้น เป็นเพราะสิ่งใดช่วยค้ำจุนหรือ”

    “การสร้างอกุศลกรรมไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดช่วยค้ำจุนคนทำชั่วแล้วร่ำรวยเงินทอง ลาภยศ นั่นเป็นโลกิยสมบัติโดยแท้เป็นความทุกข์ทั้งสิ้นทั้งปัจจุบันและอนาคต แต่ผู้ที่ปรารถนากุศลสมบัตินี่สิจะต้องมีสิ่งค้ำจุนช่วยเสริม เป็นต้นว่าการตั้งใจทำทาน ทำบุญ ทำสมาธิปัญญาให้ถึงพร้อมจึงจะประสบความสุขอันแท้จริงได้”

    “ทำไมมนุษยชาติส่วนใหญ่จึงปรารถนาร่ำรวยโลกิยสมบัติ แม้จะได้มาด้วยการสร้างอกุศลก็ตาม”
    “เพราะคนเหล่านั้นมิได้มีศรัทธาว่าทิพยสถานมีจริง ทิพยสมบัติมีจริง เห็นกาลเวลาแห่งอายุขัยของตนมีน้อย จึงพยายามตักตวงความสุขสมมุติเฉพาะหน้าเอาไว้ก่อน บุคคลเหล่านั้นจะไม่มีวันได้พบความสุขอันแท้จริงได้เลย”
    ธรรมได้รับกถาธิบายจากองค์เทพตามสมควร กระจ่างชัดขึ้นมากในธรรมชาติแห่งโลกธาตุ เมื่อได้เวลาอันควรจึงนมัสการลากลับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...